ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 323 รวมแก๊ง

บทที่ 323 รวมแก๊ง

บทที่ 323 รวมแก๊ง
บทที่ 323 รวมแก๊ง

“มาเริ่มการประชุมกันเถอะ!”

หลัวจากเดินเข้ามาในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ประกาศขึ้นทันที

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เมื่อบรรดาหัวหน้าสาขามองเห็นสภาพที่น่าสังเวชของหัวหน้าตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในทันที

“หัวหน้า…เกิดบ้าอะไรขึ้น ทำไมหัวหน้าถึงเจ็บแบบนี้?”

“ตราบใดที่หัวหน้าบอกมาว่าใครเป็นคนทำให้หัวหน้าอยู่ในสภาพแบบนี้ พวกเราจะรีบไปเด็ดหัวคนผู้นั้นในทันที!”

“…”

เมื่อทุกคนเห็นสภาพเช่นนี้ของหลิ่วอวี้จิง ทุกคนก็ลืมเรื่องที่เพิ่งบ่นไป และรีบเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

หลิ่วอวี้จิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แววตาของเขาดูหวั่นไหว

“ทุกคน…ฉันซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่พวกนายเป็นห่วงฉันแบบนี้ แต่ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ฉันได้รับบาดเจ็บโดยอวี้ฮ่าวหราน ซึ่งตอนนี้มันร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างเต็มตัวแล้ว พวกนายไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้หรอก”

เขาแสร้งทำเป็นสิ้นหวัง

ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดนี้ ห้องประชุมทั้งห้องก็เงียบลง พวกเขาต่างรู้สึกหนักใจกับการล้างแค้น

ในขณะนี้ แก๊งฉลามคลั่งไม่ยอมส่งคนมาช่วยเหลือพวกเขา ภายใต้การรุกหนักของแก๊งพยัคฆ์เวหา แก๊งวาฬยักษ์จึงแทบจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ นับประสาอะไรกับการแก้แค้น?

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หัวหน้าสาขาคนหนึ่งก็อดไม่ได้!

“แต่! เราจะยอมง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้! แก๊งวาฬยักษ์ของเราประสบความสูญเสียอย่างหนักไปแล้ว! อย่างน้อย ๆ เราต้องแก้แค้นให้ได้!”

น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและหงุดหงิดอย่างยิ่ง

คนอื่น ๆ ต่างก็ครุ่นคิดถึงปัญหาซึ่งไม่นานนักพวกเขาก็จำได้ถึงคำถามที่คาใจพวกเขาอยู่ทุกวันนี้

“หัวหน้า! ผมอยากจะถามว่า ทำไมแก๊งฉลามคลั่งที่บอกว่าเป็นพันธมิตรกับเราถึงไม่ส่งคนมาช่วยพวกเราเลย?”

“ไอ้เฒ่ากงซุนซากำลังทำอะไรอยู่? มันบอกว่าเป็นพันธมิตรกับเรา แต่ทำไมการกระทำของมันเหมือนกับพยายามจะทำให้เราอ่อนแอลงเพื่อที่มันจะได้กลืนกินพวกเราซะเองแบบนี้?”

ทุกคนวิจารณ์กันอย่างดุเดือด

เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลิ่วอวี้จิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับ ๆ เขากำลังจะทำลายกองกำลังของเขาด้วยมือของเขาเอง

“พวกนายเดาผิดแล้ว เมื่อครู่นี้ฉันเพิ่งรู้ข่าวของกงซุนซา เขาเพิ่งไปหาอวี้ฮ่าวหรานคนเดียว แต่กลับได้รับบาดเจ็บกลับมาเช่นกัน ตอนนี้เขาจึงไม่ไว้ใจพันธมิตรที่เปราะบางอย่างเรา และไม่เต็มใจที่จะขัดแย้งกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอีกต่อไป”

บรรดาหัวหน้าสาขาทั้งหลายต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ หากเป็นกรณีนี้ แสดงว่าแก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแก๊งฉลามคลั่งแน่นอน!

หากเผชิญหน้ากับแก๊งพยัคฆ์เวหาเพียงลำพังพวกเขาจะไม่สามารถอยู่รอดได้นานแน่ พวกเขาเสร็จแน่!

แม้ว่าโจวเฟยหู่จะไม่แข็งแกร่งนัก แต่ในแก๊งพยัคฆ์เวหามีพวกที่มีฝีมือเข้าขั้นปรมาจารย์มากมาย ซึ่งมันทำให้เวลาเปิดศึกใหญ่ใส่กัน แก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจึงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง

“แล้ว…หัวหน้า เราควรทำยังไงดี?

หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากแก๊งฉลามคลั่ง พวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก๊งพยัคฆ์เวหาเลย!”

“ใช่หัวหน้า! เราต้องคิดหาวิธี ไม่งั้นพวกเราจบเห่แน่!”

“…”

ผู้คนในห้องต่างตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหาอย่างรวดเร็ว

ถ้าแก๊งฉลามคลั่งไม่ช่วย แก๊งวาฬยักษ์ก็จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง!

อันที่จริง แก๊งวาฬยักษ์ไม่ควรจะเสียเปรียบถึงขนาดนี้ แต่พวกเขาตัดสินใจพลาดในตอนแรกที่เพิกเฉยต่อพวกแก๊งเล็ก ๆ ทั้งหลาย จนในเวลานี้ พวกแก๊งเล็ก ๆ เหล่านั้นร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมันทำให้สถานการณ์ของแก๊งวาฬยักษ์ย่ำแย่ลงไปอีก

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหวั่นวิตก หลิ่วอวี้จิงก็เอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้ารู้สึกผิด

“ฉัน หลิ่วอวี้จิงไม่ได้วางแผนรับมือให้ดี ฉันขอโทษทุกคนจากใจจริง!”

เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยซึ่งมันยิ่งกินใจผู้คนในห้องประชุม

“แก๊งพยัคฆ์เวหาได้สังหารพี่น้องของเราไปมากมาย และอวี้ฮ่าวหรานก็จัดการพี่น้องของเราไปเป็นร้อยคนแล้ว เดิมทีฉันคิดว่าแก๊งฉลามคลั่งจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเราเมื่อเห็นว่าเราลำบาก แต่ฉันไม่คิดเลย…ฉันไม่คิดเลยว่า…สิ่งต่าง ๆ จะกลายเป็นแบบนี้”

ในประโยคเดียวนี้เขาโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปยังอวี้ฮ่าวหรานและแก๊งพยัคฆ์เวหาเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดจากสิ่งที่ตัวเองทำไว้ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่ามันจะยิ่งทำให้นับจากนี้เขาจะหว่านล้อมคนของเขาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย

“หัวหน้า! อย่าโทษตัวเองแบบนี้! ที่หัวหน้าทำลงไปทั้งหมดก็เพราะคิดถึงอนาคตของแก๊งเรา และอีกฝ่ายก็หยิ่งผยองขนาดนั้น แม้ว่าเราจะไม่เริ่มก่อน ไม่ช้าก็เร็วพวกมันคงเล่นงานเราเช่นกัน”

“ใช่ เราทุกคนสนับสนุนหัวหน้า!”

“…”

นี่คือสถานการณ์ที่หวังเอาไว้

หากหลิ่วอวี้จิงต้องการรวมแก๊งของตัวเองเข้ากับแก๊งฉลามคลั่งอย่างราบรื่น จะต้องทำให้บรรดาหัวหน้าสาขาของแก๊งรู้สึกสิ้นหวัง ไม่เช่นนั้นพวกเดนตายเหล่านี้ไม่มีทางละทิ้งศักดิ์ศรีไปอยู่ใต้ร่มเงาของแก๊งอื่นแน่นอน

“อันที่จริงฉันมีแผนบางอย่างที่ไม่เพียงแต่เราจะแก้แค้นได้เท่านั้น แต่มันยังจะทำให้เรามีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย!”

หลังจากที่บรรยากาศคุกกรุ่นดีพอแล้ว ในที่สุดหลิ่วอวี้จิงก็พูดเข้าประเด็น

“แผนอะไรงั้นเหรอหัวหน้า?”

“หัวหน้า…พูดมาเลย!”

เมื่อหัวหน้าสาขาเหล่านี้ได้ยินว่าอาจมีแผนที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบ พวกเขาก็แทบรอไม่ไหวในทันที ตราบใดที่สามารถแก้แค้นได้ พวกเขาก็ยินดียอมทำตามแผนทุกอย่าง

เมื่อเห็นแววตาที่คาดหวังและคล้อยตามของผู้คนในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะพูด

“เหตุผลที่แก๊งฉลามคลั่งไม่เต็มใจที่จะดำเนินการร่วมมือกับเราต่อ เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการที่จะปะทะกับศัตรูที่ทรงพลังโดยไม่มีเหตุผล”

“แต่เมื่อวานฉันได้คุยกับกงซุนซาแล้ว และเขาบอกว่าถ้าเรายินยอมเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่ง เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยทำลายแก๊งพยัคฆ์เวหา และอวี้ฮ่าวหราน!”

ผู้คนในห้องตกอยู่ในความเงียบงันทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้!

หากเป็นก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่มีสงคราม หากหลิ่วอวี้จิงพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนในห้องคงโต้แย้งอย่างรุนแรงจนยอมตายดีกว่าจะยอมไปเข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง

แต่สถานการณ์ตอนนี้มันต่างออกไป แก๊งวาฬยักษ์ได้มาถึงจุดที่เรียกได้ว่าสิ้นหวังสุด ๆ และการเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งมันอาจถือได้ว่าเป็นโอกาสเดียวในการอยู่รอด

“ผมไม่เห็นด้วย! ผมเข้าร่วมแก๊งวาฬยักษ์เพื่อสนับสนุนหัวหน้าให้เป็นชายที่ปกครองโลกใต้ดินทั้งหมด ดังนั้นหากผมจะต้องเปลี่ยนมาเป็นก้มหัวให้กับตาแก่นั่น ผมไม่อาจยอมรับได้!”

“ฉันด้วย! ฉันยอมสู้จนตัวตายดีกว่าปล่อยให้แก๊งวาฬยักษ์ของเราถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนกิน!”

ในขณะที่คนอื่น ๆ เงียบ หัวหน้าสาขาสองคนยืนขึ้นแย้งในทันใด

แต่ในขณะเดียวกัน!

จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากนอกประตู!

“ฮ่า ๆ! ดี! ช่างขัดแย้งอะไรกันเช่นนี้!”

ทันทีที่ประตูถูกผลักเปิดออก ทุกคนก็เห็นว่าเจ้าของเสียงหัวเราะคือ กงซุนซา หัวหน้าแก๊งฉลามคลั่ง!

ทันทีที่เดินเข้ามาด้านในห้อง กงซุนซาก็โบกมือซัดพลังวิญญาณใส่หนึ่งในหัวหน้าสาขาสองคนที่ยืนขึ้นโต้แย้งในทันที!

บึ้ม!

เสียงร่างของหัวหน้าสาขาที่โดนซัดพลังเข้าใส่จนกระเด็นลอยไปกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนสะดุ้ง!

แค่โบกมือครั้งเดียวก็ส่งร่างปรมาจารย์พลังภายในกระเด็นไปเจ็ดแปดเมตร!

ความแข็งแกร่งของชายชราคนนี้มากมายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยดสยองในใจ

หลังจากจัดการไปคนหนึ่งแล้ว กงซุนซาจึงเบนสายตามองไปที่อีกคนที่ยังยืนอยู่และเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“ว่าไง? ตอนนี้นายยังไม่เห็นด้วยอยู่อีกไหม?”

เขาถามพลางลูบเคราของตัวเอง

“ผ…ผมเห็นด้วยแล้ว ๆ!”

หัวหน้าสาขามองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครยืนขึ้นกับเขาเลย เขาจึงทำได้เพียงนั่งลงอย่างสิ้นหวัง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ กงซุนซาก็หัวเราะเสียงดัง

“ฮ่า ๆ ดี! เมื่อไม่มีใครแย้งอะไรแล้วงั้นฉันขอประกาศว่าแก๊งวาฬยักษ์จะเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งของฉันนับจากวันนี้เป็นต้นไป!”

ในที่สุดแผนการที่ตัวเองวางไว้ก็สำเร็จ ซึ่งมันทำให้กงซุนซาอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าหยิ่งผยอง

“พวกนายทุกคนในห้องไม่ต้องกังวล แม้ว่าชื่อของแก๊งวาฬยักษ์จะหายไป แต่ฉันจะไม่ปฏิบัติต่อพวกนายอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน หัวหน้าหลิ่ว นับจากนี้ฉันขอแต่งตั้งให้นายเป็นรองหัวหน้าแก๊งฉลามคลั่งของฉัน!”

ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะดูเป็นการออกคำสั่งซึ่งมันฟังไม่รื่นหูเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าขัดขืนแม้แต่น้อย

บทที่ 341 กวาดล้าง
บทที่ 341 กวาดล้าง

“ท่านครับ นี่เป็นเขตคฤหาสน์ส่วนตัว โปรดกลับรถถอยไปด้วย”

เมื่อเห็นรถซูเปอร์คาร์สุดหรูสีเหลือง รปภ. สองคนก็เดินเข้ามาคุยกับอวี้ฮ่าวหรานอย่างสุภาพทันที

แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่สนใจที่จะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้ เขาใช้เนตรเทวะสำรวจร่างกายรปภ. สองคนนี้ทันที และเขาก็ได้พบรอยสักรูปองค์กรอสรพิษที่แขนของคนทั้งสองซึ่งอยู่ใต้แขนเสื้อ

เห็นได้ชัดว่าอสรพิษเงินไม่ได้โกหกเขา

“คุณครับ?”

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ในรถไม่ตอบสนอง รปภ. ทั้งสองก็มองหน้ากันอย่างสับสนและถามอีกครั้ง

พวกเขาไม่มีทางเปิดเผยการมีอยู่ขององค์กรอย่างง่ายดายแน่นอน

แต่หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็ไม่สนใจที่จะพูดไร้สาระกับคนสองคนนี้อีก เขาเปิดประตูลงจากรถ

“ฉันมาฆ่าเจ้าตำหนักของพวกแก! ถ้ายังไม่อยากตายก็ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!”

เขาพูดอย่างดูถูกและเย็นชา

ยังไงอีกฝ่ายก็ต้องตาย!

ตำหนักคุมกฎขององค์กรอสรพิษนี้อยู่ใกล้กับเมืองฮ่วยอันมากเกินไป หากเขายังปล่อยให้มีภัยคุกคามนี้ดำรงอยู่ อีกไม่นานเขาคงถูกโจมตีอีกรอบ!

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของรปภ. ทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน!

อย่างไรก็ตาม หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็แสร้งทำเป็นสงบ “ท่านครับ รบกวนออกไปเดี๋ยวนี้ เราไม่รู้ว่าองค์กรอสรพิษที่ท่านพูดถึงคืออะไร!”

อวี้ฮ่าวหราน ไม่แปลกใจกับการโต้แย้งนี้ ตามปกติแล้วพวกองค์กรนักฆ่าย่อมถูกหมายหัวโดยญาติของผู้ที่เคยเป็นเหยื่อมากมาย หากต้องการอยู่อย่างปลอดภัย องค์กรพวกนี้จะต้องซ่อนตัวเองให้แนบเนียนที่สุด

แต่การซ่อนตัวทุกรูปแบบไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา!

“ในเมื่อไม่หลีกก็ตายไปซะ!”

ทันทีที่พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ชกหมัดเข้าใส่หนึ่งในรปภ. อย่างรุนแรงทันที!

‘ปัง!’

ด้วยการชก รปภ.ผู้โชคร้ายร่างละลิ่วพร้อมกับวิญญาณก็หลุดออกจากร่างอย่างไม่มีใครช่วยได้

“ก…แกกล้าดียังไงมายุ่งกับพวกเรา! หาที่ตาย!”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายกล้าลงมือก่อน รปภ. ก็แสดงสีหน้าเย็นชาทันที!

“ฮึ่ม! มดแมลงกล้าอวดดีต่อหน้าข้าผู้นี้งั้นเหรอ!!”

อวี้ฮ่าวหรานพ่นลมหายใจ แต่เพียงแค่ชั่วอึดใจเขาก็เห็นว่ามีรปภ. อีกหลายสิบคนที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่นอกกลุ่มคฤหาสน์วิ่งกรูเข้ามาหาเขา!

ต่างจากรปภ. ทั่วไป คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นผู้บ่มเพาะที่เกือบจะทะลวงขึ้นมาเป็นปรมาจารย์พลังภายใน ในเวลานี้ พวกเขาก็พุ่งเข้ามาด้วยมีดในมือ ซึ่งน่ากลัวกว่าคนธรรมดาถือปืนมาก!

ภายในไม่กี่วินาที อวี้ฮ่าวหรานก็ถูกล้อมจากทุกด้าน

“แกรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่คือองค์กรอสรพิษ!?”

คนที่เป็นผู้นำกลุ่มรปภ. เป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นต้น และสีหน้าของเขาก็ดูดุดันมากในขณะนี้

เขาไม่อาจยอมให้คนนอกรู้ได้ว่าที่นี่คือสถานที่ที่พวกเขากำลังซุ่มซ่อนอยู่

หากคนนอกคนใดที่รู้ความลับนี้ เขาจำเป็นต้องกำจัดในทันที!

“เหอะ ๆ ฉันรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ?”

แม้ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับนักฆ่ามืออาชีพมากกว่าสามสิบคนที่ปลอมตัวเป็นรปภ. อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงแสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยาม

“แน่นอนว่ามันเป็นเพราะไอ้คนที่เรียกตัวเองว่าอสรพิษเงินอะไรนั่น มันบอกฉันมาก่อนที่จะฉันจะกระทืบมันจนตาย! เอ๊ะ ว่าแต่พวกแกรู้รึเปล่าว่ามันเพิ่งถูกส่งออกไปทำภารกิจอะไร?”

ขณะที่เขาพูด สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหยอกล้อกับอีกฝ่าย

“รองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินตายแล้ว?? นี่มัน…”

ปรมาจารย์พลังภายในที่เป็นผู้นำสีหน้าเปลี่ยนในทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! รองเจ้าตำแหนักเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นสูงสุดของพลังภายใน คนอย่างแกไม่มีทางฆ่ารองเจ้าตำหนักได้สำเร็จแน่นอน!”

“แกเข้าใจผิดแล้ว ไอ้อสรพิษเงินอะไรนั่นมันตายอย่างน่าอนาถมากเลยเชียวละ!”

อวี้ฮ่าวหราน กล่าวอย่างเยาะเย้ยพลางมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม!

“แต่ถ้าแกไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรเพราะอีกเดี๋ยวแกก็จะได้รู้ความจริงอยู่ดีหลังจากลงไปอยู่ในนรกกับมัน!”

เมื่อพูดจบประโยคนี้ อวี้ฮ่าวหรานระเบิดกลิ่นอายสังหารหนาแน่นออกมา!

เหล่านักฆ่ารู้สึกใจสั่นรุนแรงอย่างกะทันหัน มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าพระเจ้าที่ไม่อาจต้านทานได้!

“น…นี่มันเวทมนตร์หรือบ้าอะไรเนี่ย! แต่แกคิดว่าคำพูดไร้สาระสองสามคำของแกจะสามารถรบกวนจิตใจของเราได้เหรอ…”

หลังจากปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง บรรดานักฆ่าก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีจิตใจที่มั่นคงแค่ไหน แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ หนึ่งในพวกนักฆ่าก็ถูกอวี้ฮ่าวหรานกุมคอเอาไว้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาโผล่มากลางวงแบบนี้ได้ยังไง!

“ฉันเบื่อที่จะพูดกับพวกแกแล้ว ในเมื่อพวกแกไม่หลีกไป ถ้างั้นก็ลงไปอยู่ในนรกกับไอ้อสรพิษเงินนั่นซะ!”

“กร๊อบ!”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็หักคออีกฝ่ายทันทีและโยนทิ้งราวกับโยนขยะ ก่อนที่จะหันไปกวาดสายตามองนักฆ่าอีกสามสิบกว่าคนที่อยู่รอบ ๆ ด้วยแววตาเย็นชา!

“วันนี้! พวกแกทั้งหมดต้องตาย!”

เหล่านักฆ่าที่เคยภาคภูมิใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังวิญญาณอันทรงพลังของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับมดที่รอการถูกบดขยี้เลย!

หลังจากนั้นไม่กี่นาทีบรรยากาศรอบ ๆ ก็กลับมาเงียบลงอีกครั้ง!

และในขณะเดียวกันนี้ ประตูรั้วกำแพงก็ถูกเปิดออก และร่างสีดำจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน!

คนเหล่านี้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตพลังภายในอย่างแท้จริง!

เมื่อถูกล้อมอีกรอบด้วยคนมากกว่าหนึ่งโหล อวี้ฮ่าวหรานก็ประหลาดใจเล็กน้อยกับความแข็งแกร่งของตำหนักคุมกฎแห่งนี้

เขาปะทะกับองค์กรอสรพิษนี้มาหลายครั้งแล้ว และฆ่าเจ้าตำหนักของอีกฝ่ายไปหลายคน ดังนั้นเขาจึงพอเดาโครงสร้างขององค์กรนี้ได้แบบคร่าว ๆ ว่าคนที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในนั้นมีคุณสมบัติพอจะเป็นเจ้าตำหนักได้ แต่ในทางกลับกัน ตำหนักคุมกฎนี้กลับมีเหล่าผู้คนที่มีคุณสมบัติพอจะดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าตำหนักได้แบบสบาย ๆ อยู่ในสังกัดมากกว่าสิบคน เห็นได้ชัดว่าตำหนักคุมกฎนี้น่าจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากคนที่เป็นผู้นำองค์กรนี้

“รนหาที่ตาย!”

ทันทีที่พวกคนขององค์กรอสรพิษเห็นสภาพที่เละเทะด้านนอก พวกเขาต่างก็โกรธจัด!

ทันใดนั้นโดยไม่ทราบว่าใช้วิธีใด งูพิษจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีสีสันแตกต่างกันก็ปรากฏขึ้นจากกอหญ้าที่อยู่รอบ ๆ!

หากเป็นคนธรรมดาเมื่อถูกงูนับพันตัวล้อมไว้แบบนี้ คนผู้นั้นก็คงกลัวจนทรุดตัวลงไปที่พื้นทันที

“ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่แกจะเสียใจ! ไอ้หนู โทษที่แกต้องรับจากการมาสร้างปัญหาให้องค์กรอสรพิษของเราคือตายสถานเดียว!”

นักฆ่าที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในขั้นสูงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา!

อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายตามองไปที่งูพิษรอบตัวเขาอย่างไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเดรัจฉานพวกนี้ได้รับการฝึกและเลี้ยงดูมาเป็นพิเศษ พวกมันจึงมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษและมีสีที่ดูสว่างกว่างูทั่วไป

คนธรรมดาคงจะตายในไม่กี่วินาทีหากถูกงูพิษพวกนี้กัด!

แต่น่าเสียดายที่งูน้อยพวกนี้กำลังเผชิญอยู่กับอวี้ฮ่าวหราน!

อวี้ฮ่าวหรานโคจรพลังวิญญาณอย่างรุนแรง จากนั้นเขาจึงสะบัดมือปล่อยคลื่นพลังวิญญาณแผ่กระจายออกไปทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว กลายเป็นคลื่นที่มองไม่เห็นและกวาดไปรอบ ๆ!

‘บรึม!!’

ภายใต้ความรุนแรงของคลื่นพลังวิญญาณ ทั้งต้นหญ้าและงูที่อยู่รอบ ๆ รัศมีสามสิบเมตรก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที!

พวกปรมาจารย์พลังภายในที่กำลังจะลงมือเช่นกัน ต่างก็ตัวแข็งค้างเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้!

แม้แต่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงก็ไม่อาจทำอะไรแบบนี้ได้!

“แกเป็นใครกันแน่!? ทำไมแกถึงมาสร้างปัญหาให้เราแบบนี้!”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิดไว้ หนึ่งในปรมาจารย์พลังภายในจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันมาที่นี่เพื่อฆ่าพวกแกและเจ้าตำหนักของพวกแก!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก

บทที่ 304 ซื้อรถใหม่
บทที่ 304 ซื้อรถใหม่

หลิ่วอวี้จิงครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดในขณะนี้

ทว่าเมื่อตัวเองนึกถึงความแข็งแกร่งของกงซุนซา เขาก็ยิ่งต้องการที่จะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตถัดไปมากกว่าจึงยอมแลกได้ทุกอย่าง

“ตกลงพี่กงซุน! ฉันจะสั่งให้แก๊งวาฬยักษ์ออกไปสู้เดี๋ยวนี้!”

หลังจากชั่งน้ำหนักทุกอย่างในใจแล้ว ในที่สุดเขาก็ตกลงตามข้อเสนอของอีกฝ่าย!

คืนนั้น แก๊งวาฬยักษ์เริ่มโต้กลับอย่างเต็มรูปแบบ!

ด้วยสถานการณ์นี้ สองในสามแก๊งใหญ่ในเมืองฮ่วยอัน จึงเริ่มสงครามเต็มรูปแบบระหว่างกัน!

แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปแทบจะไม่รับรู้เลยว่าโลกใต้ดินของเมืองฮ่วยอันกำลังเกิดศึกนองเลือด เพราะถึงแม้ว่าพวกอันธพาลจะรวมกลุ่มกัน แต่พวกเขาลอบฆ่าในที่ลับตาคน เนื่องจากยังคงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง

บ่ายวันถัดมา…

อวี้ฮ่าวหรานต้องการซื้อรถ และเมื่อชายหนุ่มเดินทางเกือบจะถึงโชว์รูม เขาก็โทรศัพท์ไปหาหลิวเทียนอี้

หลิวเทียนอี้รู้สึกปลื้มปริ่มทันที เมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานโทรมาหาตัวเองก่อน

“สวัสดีครับคุณอวี้! ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ ถึงได้โทรมาหาผมก่อนเช่นนี้…”

น้ำเสียงของเขายังคงเต็มไปด้วยการประจบประแจง ซึ่งทำให้อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขยะแขยง

“ตอนนี้นายยังอยู่ในโชว์รูมรถหรือเปล่า?”

อวี้ฮ่าวหรานขี้เกียจเกินกว่าจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่าย เขาจึงถามเข้าตรงประเด็นทันที…

“ผมเหรอ? ผมเพิ่งออกมาข้างนอกเมื่อครู่นี้เอง…คุณอวี้จะมาเพื่อซื้อรถใช่ไหม? ไม่ต้องห่วง! ผมจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้!!”

หลิวเทียนอี้พอจะเดาได้ถึงจุดประสงค์ของอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทำให้เขาตื่นเต้น

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเลือกซื้อของฉันเอง เอาไว้ตอนเย็นฉันจะพาถวนถวนไปบ้านนายเพื่อดูพวกลูกหมา”

“ม…ไม่ได้หรอกคุณอวี้! คนพิเศษอย่างคุณหากต้องการจะซื้อรถ ผมต้องดูแลคุณด้วยตัวผมเองให้ดีที่สุด และอีกอย่างผมอยากจะ…”

‘…’

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเริ่มเพ้อเจ้อ อวี้ฮ่าวหรานก็วางสายอย่างไม่อดทนและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง

ไม่ว่าชายหนุ่มจะคุยกับหลิวเทียนอี้มาแล้วกี่รอบ แต่น้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดได้เสมอ

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่อยู่ในโชว์รูมรถ เขารีบเร่งเครื่องรถของตัวเองเพื่อไปให้ถึงเร็วที่สุดทันที ก่อนที่ไอ้อ้วนที่น่ารำคาญนั่นจะกลับมา

โชว์รูมขายรถ ‘4S’

เนื่องจากเป็นบ่ายวันจันทร์ ลูกค้าในโชว์รูมจึงมีไม่มาก

ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าไปในโชว์รูม เขาก็ได้ยินเสียงแหลมที่น่ารำคาญหูดังขึ้น

“ฉันบอกแกแล้วไง! ถ้าแกไม่มีสองล้าน ฉันไม่มีทางยกลูกสาวของฉันให้แกแน่! แกคิดว่าฉันจะสงสารคนจน ๆ อย่างแกงั้นเหรอ? และอย่ามาพูดเรื่องความรักบ้าบอให้ฉันได้ยินเชียวนะ ฉันไม่สน! ความรักมันกินไม่ได้จำใส่กะโหลกแกไว้ ถ้าแกไม่มีเงิน แกอย่าหวังว่าจะได้แต่งงานกับลูกสาวของฉัน ฉันยอมให้ลูกสาวของฉันเป็นโสดตายไปดีกว่าให้แต่งงานกับคนจน ๆ อย่างแก!!!”

หลังจากมองไปยังต้นเสียง อวี้ฮ่าวหรานก็พบว่าเป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งหน้าหนาเตอะและเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่

“ถ้าแกไม่มีเงิน แกก็ไสหัวออกไปจากชีวิตลูกสาวของฉันซะ! เออ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แค่นี้แหละ ฉันมีลูกค้า!”

เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามา หญิงวัยกลางคนก็วางสายทันทีและทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ?”

เห็นได้ว่าหญิงวัยกลางคนปากร้ายคนนี้ยังคงมีความเป็นมืออาชีพอยู่บ้าง แม้ว่าเธอจะอารมณ์ไม่ดีกับการคุยกับคนในโทรศัพท์ แต่หลังจากที่วางสาย เธอก็ยังสามารถทักทายอวี้ฮ่าวหรานด้วยรอยยิ้มได้

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจมากนักกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แม่บางคนมองลูกสาวของตัวเองเป็นเหมือนสินค้า

“ช่วยฉันเลือกรถที”

หลังจากได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน หญิงวัยกลางคนสำรวจอวี้ฮ่าวหรานตั้งแต่หัวจรดเท้าทันทีเพื่อประเมิน

จากนั้นเมื่อเธอพบว่าเสื้อผ้าของอีกฝ่ายดูธรรมดามาก เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยในใจ

นี่ฉันต้องเสียเวลาขายรถให้กับคนจน ๆ อีกแล้วงั้นเหรอ?

ตามประสบการณ์ที่เธอเจอมา คนธรรมดาแทบทั้งหมดมักจะชั่งใจครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนที่จะซื้อรถสักคันซึ่งมันเสียเวลามาก และท้ายที่สุดพวกคนธรรมดาก็มักจะลงเอยด้วยการซื้อรถที่มีราคาไม่เกิน 100,000 หยวน

ด้วยราคารถที่ถูกแค่นั้น มันทำให้เธอรู้สึกว่าได้รับค่าคอมมิชชั่นน้อยมากหากเทียบกับความพยายามที่เธอต้องดูแลลูกค้า

ดังนั้นสีหน้าของเธอจึงผิดหวังเล็กน้อยในทันที จากนั้นหญิงวัยกลางคนก็หันไปตะโกนบอกหญิงสาวอายุราวยี่สิบต้น ๆ อีกคน

“อาลี่! เธอมาดูแลลูกค้าคนนี้ที ฉันมีบางอย่างที่ต้องทำ!”

หลังจากพูดจบ หญิงวัยกลางคนก็ไม่สนใจอวี้ฮ่าวหรานอีกเลย และหันหลังเดินจากไป

อย่างไรก็ตาม ผ่านไปครึ่งทาง หญิงวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเบา ๆ กับตัวเองอย่างหงุดหงิด

“เฮอะ! พวกบ้านจนอีกตัว! คนพวกนี้นี่มันน่ารำคาญจริง ๆ! ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่รู้จักประมาณตัว และไปซื้อแค่มอเตอร์ไซค์ขับก็พอ!”

ลูกค้าที่เธอต้องการคือประธานบริษัทที่ร่ำรวยและมีอำนาจ หรือพวกนายน้อยรุ่นที่สองที่ร่ำรวย ส่วนพวกคนธรรมดาทั้งหลายนั้นเธอไม่คิดจะต้อนรับด้วยตัวเองแน่นอน

แต่เนื่องจากกฎของบริษัท เธอจึงทำได้เพียงบ่นอย่างแผ่วเบาซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีทางได้ยินเธอ

แต่น่าเสียดายที่คำบ่นเบา ๆ ของเธอหนีไม่พ้นการได้ยินของอวี้ฮ่าวหราน

เมื่อได้ยินคำบ่นของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ๆ คนส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ชอบคนจนและรักคนรวย

ในขณะเดียวกัน หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘อาลี่’ ก็รีบเดินเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว

เธอดูเหมือนจะเป็นพนักงานใหม่ และเมื่อเธอได้พบกับอวี้ฮ่าวหราน การแสดงออกของเธอก็กระสับกระส่ายเล็กน้อย

“อ…เอ่อ…คุณลูกค้าต้องการดูรถราคาประมาณเท่าไหร่เหรอคะ?”

หญิงสาวที่ชื่ออาลี่พยายามสงบสติอารมณ์ในระหว่างที่ถาม

แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับความเป็นมือใหม่ของอีกฝ่าย เขาแค่มาซื้อรถ ไม่ได้มาจับผิดพนักงานขาย

“รถคันไหนที่แพงที่สุดของคุณ ผมต้องการดูพวกมัน”

“หา?”

อาลี่ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เธอไม่คิดว่าคนที่แต่งตัวดูธรรมดาแบบนี้จะมาถามถึงรถที่แพงที่สุด

“ถ…ถ้าเป็นรถที่แพงที่สุดของเรา…ราคาเต็มของมันคือประมาณ 8 ล้าน คุณลูกค้าอาจจะ…”

เธอพูดอย่างลังเล และสงสัยจริงๆ ว่าอีกฝ่ายมีเงินหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หญิงสาวรู้ตัวเองได้อย่างรวดเร็วว่า ตอนนี้เธอกำลังแสดงทัศนคติไม่สุภาพอยู่แน่นอน ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง และเธอรีบเอ่ยขึ้นเสริมในทันที

“เอ่อ…คุณลูกค้าคะ…อย่าเพิ่งเข้าใจดิฉันผิด…ด…เดี๋ยวดิฉัน…จะพาคุณไปดูเดี๋ยวนี้!”

หลังจากพูดจบ เธอรีบเดินนำอวี้ฮ่าวหรานไปยังรถที่จัดแสดงอยู่ตรงกลางห้องโถงทันที

“โรลส์-รอยซ์ แฟนธอม ราคาของรถคันนี้อยู่ที่ 8.5 ล้านหยวน ด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหรา…”

ในขณะเดียวกันนี้ หญิงวัยกลางคนที่ก้าวออกไปแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะจากระยะไกล

“ดูนั่นสิ ฉันสามารถบอกได้เลยว่าไอ้ลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่คนนั้นไม่ใช่คนที่จะมีปัญญาซื้อรถแน่นอน พวกคนแบบนี้เข้ามาในโชว์รูมของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันล่ะเหนื่อยใจจริง ๆ แล้วดูสิตอนนี้มันเดินไปดูโรลส์รอยซ์เข้าให้แล้วไง มันคงอยากจำภาพรถเอาไปฝันในคืนนี้แน่ ๆ!”

“พี่โจว ฉันล่ะสงสารอาลี่ จริง ๆ สงสัยวันนี้คงขายรถไม่ได้อีกแล้วล่ะนะ”

ผู้หญิงอีกคนข้าง ๆ เธอพูด

“น้องใหม่ก็แบบนี้แหละ ไม่มีประสบการณ์บอกปัดลูกค้าไม่เป็น ทำตัวเองให้ยุ่งยากโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็อย่างว่าคนมาจากชนบทอย่างอาลี่ก็ได้อยู่แค่นี้แหละ ไม่มีสมองมากสักเท่าไหร่ ไม่มีวันเจริญในหน้าที่การงานหรอก”

หญิงวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่า ‘พี่โจว’ พูดขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก

อย่างไรก็ตาม พวกเธอไม่รู้เลยว่าอวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดของพวกเธอทั้งหมด

ประสาทการได้ยินของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปมาก

หลังจากที่อาลี่แนะนำเกี่ยวกับรถโรลส์-รอยซ์เสร็จ เธอก็แนะนำอวี้ฮ่าวหรานดูรถสปอร์ตสีเหลืองสดใสที่อยู่ข้าง ๆ ต่อ

“ราคาของรถคันนี้อยู่ที่ 8 ล้านหยวน เป็นแบรนด์ชั้นนำของต่างประเทศ แลมโบกินี…”

หลังจากฟังการแนะนำของอีกฝ่ายแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ชายหนุ่มพอใจมากกับรถสปอร์ตสีเหลืองคันนี้

ความเร็วของรถคันนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา เพราะประสาทสัมผัสการตอบสนองที่เหนือมนุษย์ของตัวชายหนุ่มเอง มันก็ทำให้เขาสามารถควบคุมรถคันใดก็ได้ในโลกไม่ว่ามันจะเร็วสักแค่ไหนก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานมั่นใจว่าตัวเองสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกสถานการณ์

และสำหรับเขา เงิน 8 ล้านหยวนเป็นเพียงเงินจำนวนเล็กน้อย

“ผมเอาคันนี้ คุณไม่จำเป็นต้องให้ส่วนลด แค่ถ่ายโอนกรรมสิทธิ์มาให้ผมโดยเร็วที่สุดก็พอ”

“เอ๊ะ?”

อาลี่ที่กำลังจะแนะนำรถคันถัดไปถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดตกลงซื้ออย่างสบาย ๆ ของอวี้ฮ่าวหราน

เธอไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมีปัญญาซื้อรถราคาแพงแบบนี้ได้!

บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก

หมับ!

นักเลงลูกน้องของสวีเปียว ฟันมีดอย่างสุดกำลังที่ตัวเองมีหวังจะฟันคอของอวี้ฮ่าวหรานให้ขาดภายในครั้งเดียว สีหน้าของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ตัวเองกำลังจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อพบว่ามีดที่เขาฟันไปมันกลับถูกอีกฝ่ายใช้มือเปล่า ๆ จับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!

นี่…มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?!

เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักเลงก็พยายามดึงมีดออกอย่างสุดแรง

แต่วินาทีต่อมา อวี้ฮ่าวหรานใช้กำลังเล็กน้อยบดขยี้ใบมีดที่ตัวเองจับอยู่จนแหลกละเอียด พร้อมกับปล่อยคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าใส่นักเลงผู้น่าสงสาร!

บรึ้ม!

อ๊ากกกก

นักเลงที่โดนคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าเต็ม ๆ กระอักเลือดเป็นสายและลอยละลิ่วหายเข้าป่าข้างทาง โดยที่ไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าเป็นหรือตาย!

อวี้ฮ่าวหรานยิ้มเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของอีกฝ่าย

“หึหึ เป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่องแต่น่าเสียดายที่ใช้มันผิดที่!”

หลังจากเยาะเย้ยนักเลงที่โชคร้ายคนนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เบนสายตากลับมามองพวกนักเลงที่เหลือ

“พวกแกอยากลองด้วยไหม?”

สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เขาตอบกลับทันทีด้วยอาการสั่นกลัว

“พี่อวี้ พี่อวี้! ผ…ผมไม่โทษพี่แน่นอนต่อให้ไอ้นั่นมันตาย! ผ…ผมจะไปเดี๋ยวนี้! ร…เร็วเข้า! พวกแกทั้งหมดรีบกลับไปขึ้นรถเร็ว!”

ขณะที่เขาพูด สีหน้าของสวีเปียวหวาดกลัวสุดขีด เขารีบเอ่ยสั่งลูกน้องทันทีให้เตรียมออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้โบกมือหยุดเขาเอาไว้!

“เดี๋ยวก่อน! ฉันบอกแกเมื่อไหร่ว่าฉันจะปล่อยแกไป?”

สวีเปียวแข็งค้างเป็นรูปปั้นทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้

ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา และเขาก็รีบหันไปอธิบายด้วยสีหน้าวิงวอน

“พี่อวี้ ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินพี่จริง ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อการร้องขอความเมตตาของอีกฝ่าย เขาจึงถามกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ฉันได้ยินมาว่าแก๊งวาฬยักษ์ของแกสั่งให้สมาชิกทั้งหมดถอยร่นจากแนวหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกแกมีแผนชั่วใหม่ ๆ อีกแล้วใช่ไหม?”

เนื่องจากชายหนุ่มเคยเจอกับพวกแก๊งวาฬยักษ์หลายรอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำได้ว่าคนเหล่านี้สวมชุดของแก๊งวาฬยักษ์

“ฉัน…ไม่…คือเราแค่ขัดคำสั่งของหัวหน้าไม่ได้…”

“ถ้าแกโกหก แกตาย!”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลไม่กล้าพูดบางประโยคออกมา อวี้ฮ่าวหรานจึงข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขาเอาจริง!

สวีเปียวเลิกลังเลและไม่กล้าโกหกในทันที

เขามองอีกฝ่ายด้วยความสยดสยองเล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงความตายที่จะมาถึงแน่หากตัวเองโกหกต่อไปอีกแค่ครึ่งคำ!

น่ากลัวโคตร ๆ เลย!

“พวกเรา…แก๊งวาฬยักษ์ของเราได้เข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง ดังนั้นการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นคำสั่งของกงซุนซา!”

ในที่สุดเขาก็จะพูดความจริง…

ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจทันที

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อย

“อืม เข้าใจแล้ว แกไสหัวไปได้แล้ว”

จากการเพ่งมองจังหวะการเต้นของหัวใจและภาษากายต่าง ๆ เขาจึงสามารถตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน

หลังจากได้รับอนุญาต สวีเปียวรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถด้วยความตื่นตระหนกและจากไปพร้อมกับลูกน้องทั้งหมดของเขา

ย่านรกร้างแห่งนี้จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยกเว้นเสียงร้องโอดโอยที่เจ็บปวดของเฉียนเซา เพราะโดนเตะจนกระดูกซี่โครงหักไปหลายซี่

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่กลุ่มของเฉียนเซาอย่างดูถูก แต่เมื่อคิดได้ว่าขณะนี้มีซูหว่านเอ๋อเฝ้ามองอยู่ เขาจึงไม่อยากจะสร้างฉากโหดร้ายขึ้นมาให้อีกฝ่ายฝันร้าย ดังนั้นจึงเดินกลับไปที่รถและเร่งเครื่องจากไป

ภายในรถ

ไม่นานหลังจากที่ขับออกมา ซูหว่านเอ๋อที่ตื่นตระหนกก็เริ่มทำใจได้บ้างเล็กน้อย

การปรากฏตัวของพวกนักเลงเมื่อครู่นี้ทำให้เธอตกใจมาก

โชคดีที่คนที่เธอชอบแข็งแกร่งกว่า!

“ฮ่าวหราน…คุณ…คุณสุดยอดมากเลย…”

ซูหว่านเอ๋อยิ่งรู้สึกเชิดชูเขามากกว่าเดิม และอดไม่ได้ที่จะพูดชมเบา ๆ

เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายผู้นี้จะมีอำนาจมากจนคำพูดของเขาสามารถทำให้ผู้คนคุกเข่าขอความเมตตาได้

“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มีผมอยู่ด้วยไม่มีใครทำร้ายคุณได้หรอก”

เมื่อเห็นใบหน้าซีดของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ให้ความมั่นใจกับเธอ

อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าประโยคนี้ได้ทำให้หัวใจของซูหว่านเอ๋อหวั่นไหวมากเพียงใด

อีกด้านหนึ่ง

โจวเฟยหู่มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับกระเช้าผลไม้

“คราวนี้สถานการณ์ยิ่งแปลกมากขึ้น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกแก๊งวาฬยักษ์ถึงถอยร่นทิ้งพื้นที่แนวหน้าให้เรายึดไปฟรี ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเราและพวกมันต่างก็สูญเสียในจำนวนพอ ๆ กัน?”

ทันทีที่โจวเฟยหู่นั่งลง เขาก็พูดเรื่องนี้กับหวังเหยียน

หวังเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

“การที่พวกมันทำแบบนี้ มันน่าจะเป็นเพราะมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นภายในแก๊งของพวกมัน”

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ หวังเหยียนก็ได้รับข้อความบนโทรศัพท์มือถือของเขา

‘แก๊งวาฬยักษ์ถูกยุบและสมาชิกทั้งหมดเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งแล้ว’

ข้อความสั้น ๆ นี้ทำให้เขาตกใจจนขนลุก

“เกิดอะไรขึ้น!”

โจวเฟยหู่รู้สึกไม่ดีอย่างมากเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหวังเหยียน เขาไม่เคยเห็นหวังเหยียนแสดงสีหน้าแบบนี้เลยนอกจากว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย

“แก๊งวาฬยักษ์ตกเป็นของกงซุนซาแล้ว! ทั้งสองแก๊งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!”

หวังเหยียนบอกข้อความที่เขาเพิ่งอ่านผ่านโทรศัพท์ เขาเชื่อมั่นในข่าวนี้หมดใจ เพราะอวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งต่อข่าวนี้!

เขาเชื่อว่าคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางส่งข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยันมาหาเขาแน่นอน

“นี่มัน…!”

โจวเฟยหู่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากได้สติ เขาก็ลุกขึ้นพรวดทันที

“นายเพิ่งพูดว่าแก๊งวาฬยักษ์ถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนไปแล้วงั้นเหรอ!? นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง!!”

โจวเฟยหู่ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนอุทานเสียงดัง

เขารู้ดีว่าหลิ่วอวี้จิงเป็นคนยังไง คนประเภทนี้เต็มใจที่จะยอมก้มหัวให้กับคนอื่นแถมยอมยุบแก๊งตัวเองง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?

“นี่…ข่าวนี้จริงเหรอ?”

“ผมมั่นใจที่สุด เพราะข่าวนี้อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งมาให้ผม มันไม่มีทางที่จะเป็นข่าวลวงแน่นอน และนี่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเร็ว ๆ นี้แก๊งวาฬยักษ์ถึงเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ”

น้ำเสียงของหวังเหยียนหนักแน่นมากในขณะนี้ และข่าวนี้ทำให้ตัวเองรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก

“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องสั่งให้คนของเราถอยร่นมาเช่นกันเพื่อที่เราจะได้รวมกลุ่มกันรับมือกับการถูกโจมตีได้เร็วมากกว่าเดิม!”

หลังจากที่โจวเฟยหู่ได้รับคำตอบยืนยัน เขาเริ่มคิดหาแผนรับมือในหัวมากมาย

ในเวลาเดียวกัน

หลังจากอวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋อกินข้าวกันเสร็จแล้ว เขาจึงไปส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน ส่วนตัวของชายหนุ่มนั้นก็ขับรถกลับไปที่บริษัทต่อเพื่อดูเอกสารต่าง ๆ ที่ตัวเองจำเป็นต้องเซ็นอนุมัติให้เสร็จสิ้น

หลังบ่ายสามโมง เขาก็ขับรถออกจากบริษัทเพื่อไปรับถวนถวน

ทว่า ในระหว่างที่เขาขับผ่านสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาก็เห็นสวีรุ่ยและพ่อของเธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน

แต่เมื่อชายหนุ่มเพ่งมองดี ๆ เขาก็เห็นว่าสีหน้าของพ่อลูกคู่นี้ในเวลานี้ดูเป็นกังวลอย่างมาก

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและเมื่อดูนาฬิกาและเห็นว่ามันเพิ่งจะสามโมงกว่า ชายหนุ่มจึงหยุดรถสปอร์ตที่ข้างถนนอย่างช้า ๆ

“…จะทำยังไงดีนะเฮ้อ…หางานไม่ได้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว…”

บทที่ 327 กระถางธูป
บทที่ 327 กระถางธูป

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วมองไปที่ชายชราที่ทุกคนเรียกว่าประธานเจ่า ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขา

“ช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อย จึงไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอะไรสักเท่าไหร่ ผมขอเสียมารยาทถามได้ไหมว่าคุณคือ?”

“ฮ่าฮ่า ฉันเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ นอกจากนี้ ฉันยังมีโรงแรมอยู่ในเครืออีกหลายแห่งกระจายอยู่ในเมืองฮ่วยอัน และมีธุรกิจต่าง ๆ อีกนิดหน่อย น้องชาย นายรู้ไหมว่าฉันอยากจะเจอนายมาตั้งนานแล้ว!”

ประธานเจ่าหัวเราะเสียงดัง เมื่อได้ยินคำถามของอวี้ฮ่าวหราน จากนั้นเขาก็ตอบกลับอย่างเป็นกันเอง

ด้วยทัศนคติเชิงบวกขนาดนี้ ผู้คนรอบ ๆ ที่มองดูอย่างสนใจอยู่ก็รู้สึกไม่แปลกใจอีกแล้วว่าทำไม ประธานเจ่าถึงช่วยพูดให้กับชายหนุ่มคนนี้ กลายเป็นว่าทั้งสองรู้จักกันจริง ๆ

“อ้อ ที่แท้คุณคือประธานเจ่าผู้โด่งดังนี่เอง”

เมื่อรู้ถึงตัวตนอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าอย่างสุภาพ

ผู้คนรอบ ๆ เมื่อคลายสงสัยในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอวี้ฮ่าวหราน และประธานเจ่าแล้ว พวกเขาก็พากันแยกย้ายไปในทุกทิศทาง

ในขณะนี้ เฉียนเซายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าว่างเปล่า สีหน้าของเขาซีดขาว และในใจก็รู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่งยวด!

“แม่งเอ๊ย! ที่แท้ไอ้เวรนั่นมันรู้จักกับประธานเจ่านี่เอง! ฮึ่ม! แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมง่าย ๆ ฉันต้องแก้แค้นแกให้ได้!”

เขาพึมพำด้วยความอาฆาตแค้น

หากเขาไม่สามารถล้างแค้นเรื่องวันนี้ได้ มันจะเป็นแผลในใจที่เขาไม่อาจรักษาได้ตลอดชีวิต!

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนอื่นรังแก ตามปกติแล้วเขาต้องเป็นคนรังแกคนอื่นสิวะ!

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานและคนอื่น ๆ เดินห่างออกไปไกลแล้ว และไม่มีใครเห็นหัวของเขาเลยสักคน

“ฮ่าฮ่า จริงด้วย! จริงด้วย! น้องชายนี่เก่งในเรื่องดูโบราณวัตถุอย่างที่น้องหลินพูดจริง ๆ ด้วย!”

ยิ่งสนทนามากขึ้นเท่าไหร่ ประธานเจ่าก็ยิ่งรู้สึกถูกใจอวี้ฮ่าวหรานมากขึ้นเท่านั้น จนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมีความสุขมาก

เขาเป็นคนที่ชอบสะสมโบราณวัตถุอยู่แล้ว ดังนั้นการได้มาเจอกับอวี้ฮ่าวหรานที่มีความรู้เรื่องโบราณวัตถุมากมาย จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากกว่าเดิม

“จริง ๆ แล้วการดูโบราณวัตถุก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่เราจำเป็นต้องศึกษาอ่านประวัติศาสตร์ให้มาก ๆ เท่านี้โอกาสที่จะดูของพลาดก็ลดลงแล้ว” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยกลับ

แต่แล้วจู่ ๆ ในขณะเดียวกันนี้ เลขาหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของประธานเจ่า

“อืม ๆ เข้าใจแล้วเธอไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันตามไป”

หลังจากฟังคำพูดของเลขาตัวเองจบ ประธานเจ่าก็โบกมือให้อีกฝ่ายออกไปก่อน แล้วจากนั้นเขาจึงหันมาหาอวี้ฮ่าวหราน ซูหว่านเอ๋อ และหลินป๋อ ด้วยท่าทางขออภัย

“เอาละ เดี๋ยวฉันคงต้องขอตัวไปเตรียมเริ่มงานประมูลก่อน ส่วนพวกนายทั้งหมดก็นั่งรอกันตรงนี้แหละ อีกสักเดี๋ยวการประมูลก็จะเริ่มแล้ว”

“ได้เลยครับ ประธานเจ่า เชิญตามสบายเลย!”

หลินป๋อตอบกลับอย่างสุภาพในทันที

เมื่อประธานเจ่าจากไปได้แค่เพียงไม่นานการประมูลก็เริ่มขึ้น!

บรรดาเศรษฐีที่มาเข้าร่วมการประมูลต่างก็มานั่งลงทีละคนที่เก้าอี้ซึ่งถูกจัดวางเป็นแถวเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนอวี้ฮ่าวหรานและคนอื่น ๆ ก็นั่งอยู่ที่เดิมเพื่อรอการประมูลที่กำลังจะเริ่ม

“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย! การประมูลของชิ้นแรกของวันนี้ ผมขอภูมิใจนำเสนอ! กระถางธูปหยกเคลือบทองคำสมัยราชวงศ์หมิง! ต่อให้จะไม่นับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เอาแค่นับมูลค่าด้านฝีมือและวัสดุเพียงอย่างเดียว กระถางใบนี้ก็มีมูลค่าอย่างน้อยหลายล้านหยวน!”

พิธีกรจัดการประมูลบนเวทีแนะนำโบราณวัตถุชิ้นแรกของการประมูลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

หลังจากนั้นแค่เพียงอึดใจเดียว กระถางธูปหยกที่ลงลวดลายด้วยทองคำอย่างวิจิตรงดงามก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่บนเวทีอย่างรวดเร็ว อวี้ฮ่าวหรานเปิดใช้เนตรเทวะของเขาด้วยความสนใจอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ของชิ้นนี้ไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่เลย

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สนใจมันในทันที

ในทางกลับกัน ซูหว่านเอ๋อที่อยู่ข้าง ๆ กลับแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าขาว ๆ ของเธอในตอนนี้เปลี่ยนเป็นแดงเล็กน้อย

“นี่…มัน…มันสวยมาก ๆ เลย!”

เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก

ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาตอนนี้ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริง ๆ มีน้อยมากที่คนอายุน้อยแบบนี้จะชอบสะสมของเก่า

และยิ่งไปกว่านั้น เธอถึงขนาดมีห้องเก็บโบราณวัตถุอยู่ในบ้านอีกต่างหาก!

เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าใครเป็นคนปลูกฝังความสนใจนี้ให้กับสาวน้อยคนนี้?

แต่ในขณะเดียวกันนี้ การประมูลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!

“กระถางธูปหยกที่ถูกเคลือบด้วยทองจากสมัยหมิงไท่จูของราชวงศ์หมิง นี่นับได้ว่าเป็นของหายาก…”

หลังจากที่การบรรยายแนะนำกระถางธูปจบลง บรรยากาศในห้องประมูลก็ดุเดือดขึ้นมาทันใด

“ราคาเปิดประมูลของกระถางธูปนี้คือ 10 ล้าน! แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญประมูลกันตามปรารถนาได้เลย!”

ทันทีที่พิธีกรประกาศจบ บรรดาเศรษฐีทั้งหลายต่างก็เริ่มเสนอราคาอย่างรวดเร็ว

“สุภาพสตรีหมายเลข 32 ประมูล 11 ล้าน!”

คนที่ยื่นข้อเสนอครั้งแรกคือซูหว่านเอ๋อซึ่งถูกใจกับกระถางนี้เป็นอย่างมาก

เธอเพิ่มราคาขึ้นมาหนึ่งล้านทันที

สิ่งนี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าที่บ้านของอีกฝ่ายจะเอ็นดูลูกสาวของตัวเองขนาดนี้จนให้เงินมาใช้ซื้อของเก่าราคาเป็นสิบล้านได้โดยไม่คิดอะไรมาก

“ฉัน… ฉัน…ที่ฉันมีเงินเยอะมันเป็นเพราะ…ที่ผ่านมาพอฉันโชคดีได้ซื้อของแท้มาในราคาถูก ๆ บางทีฉันก็เอาไปขายทำกำไรต่อ ดังนั้นฉันก็เลยพอจะมีเงินเก็บบ้าง…”

เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เหล่มองดูเธออย่างสงสัย ซู่หว่านเอ๋อก็รีบอธิบายอย่างร้อนรนทันที

หลินป๋อที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็พูดติดตลก

“น้องอวี้ นายรู้รึเปล่าว่า ถึงแม้หว่านเอ๋อร์จะอายุแค่นี้ แต่ในแง่ของความรู้ในการดูพวกโบราณวัตถุนั้นสาวน้อยคนนี้แก่กล้ากว่าฉันอีก ฮ่าฮ่า”

“ไม่จริงสักหน่อย…ลุงหลินเก่งกว่าหนูตั้งเยอะ!”

“ฮ่าฮ่า อย่าถ่อมตัวไปเลย อันที่จริงแล้วบางทีลุงก็เคยคิดเล่น ๆ เหมือนกันว่าถ้าหากผู้ชายคนไหนได้แต่งงานกับหว่านเอ๋อร์ ผู้ชายคนนั้นคงโชคดีสุด ๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเขาจะได้โบราณวัตถุในบ้านตระกูลซูไปครอบครอง และเขาก็คงรวยเละเลยละ ถ้าหากกอบโกยพวกมันไปขายทั้งหมด! ฮ่าฮ่า”

“ลุงหลิน!!”

ซูหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเขินอายเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แก้มของเธอแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด

“ฮึ่ม! หนูไม่พูดกับลุงหลินแล้ว!”

เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลินป๋อก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม

ในตอนนี้ราคาของกระถางธูปหยกได้พุ่งขึ้นมาเป็น 18 ล้านแล้ว

“สุภาพสตรีหมายเลข 32 ประมูล 19 ล้าน!”

ซูหว่านเอ๋อหันศีรษะกลับมาดูการประมูลอีกครั้ง และยกป้ายขึ้นทันทีด้วยความคาดหวังว่าเธอจะได้มันมาครอบครองในราคาที่ไม่แรงเกินไปนัก

“คงจะดีถ้าไม่มีใครแข่งมันกับฉัน”

เธอมองดูกระถางธูปหยกสีทองอันวิจิตรงดงามบนเวทีด้วยสายตาโหยหา และอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ

“สุภาพบุรุษหมายเลข 22 เสนอราคา 21 ล้านหยวน!”

อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ความหวังของเธอพังทลายอย่างรวดเร็ว เมื่อมีคนยกป้ายแข่งราคากับเธอ

ต่อมาไม่นานนักราคาก็พุ่งไปถึง 24 ล้าน ซูหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะยกป้ายสู้ราคาขึ้นอีกรอบ

“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 25 ล้าน!”

เมื่อราคาสูงขึ้นไปถึงยี่สิบล้าน เสียงของผู้เข้าร่วมสู้ราคาก็เริ่มเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยี่สิบห้าล้านนั้นก็ยังไม่ใช่ขีดจำกัดในใจของใครหลาย ๆ คน

ในไม่ช้าก็มีคนยกป้ายสู้ราคาขึ้นอีก

“หมายเลข 18 เสนอราคา 26 ล้าน!”

ทันทีที่ราคานี้ถูกขาน ซูหว่านเอ๋อก็แสดงสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน

เธอก้มศีรษะลง และพลิกดูโบรชัวร์การประมูลในมือ ดวงตาของเธอที่ดำราวกับไข่มุกดำมองดูที่รายชื่อสิ่งของการประมูลอันต่อไปอย่างไม่เต็มใจนัก

เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้ว่าราคาของกระถางธูปนี้มันเกินขีดจำกัดความอดทนของซูหว่านเอ๋อแล้ว ดังนั้นต่อให้เขาช่วยเธอไป เธอก็คงจะไม่ดีใจสักเท่าไหร่

แต่ในเวลานี้ หลินป๋อที่อยู่ข้าง ๆ เขากลับพูดขึ้นเป็นคนแรก

“หว่านเอ๋อร์ หนูอยากได้กระถางนี้มาก ๆ เลยใช่ไหม? มา ๆ เดี๋ยวลุงซื้อให้เอง!”

เขามองหน้าสาวน้อยที่เขารักเหมือนหลานแท้ ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม

“หืม? ม…ไม่…ลุงหลิน อย่าเลยหนู…”

ซูหว่านเอ๋อ ตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย และเธอก็รีบปฏิเสธ

แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ปฏิเสธจบ หลินป๋อก็ได้เสนอราคาไปแล้ว

“สุภาพบุรุษหมายเลข 33 เสนอราคา 30 ล้าน!”

แน่นอนว่าเมื่อราคาดีดไปเป็นสามสิบล้าน ทุกคนในห้องก็เงียบเสียงไปทันที!

บทที่ 348 เสียหน้า
บทที่ 348 เสียหน้า

เมื่อได้ยินบทสนทนารอบ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะมองไปหญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย

เดี๋ยวจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นอีกแน่…

“มีอะไรงั้นเหรอ?”

เฉิงชิวอวี้ที่กำลังดูเมนูอย่างตั้งใจ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเธออยู่ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาถามกลับด้วยความสงสัย

อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ เสียงของนายน้อยจินก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ไหนให้ฉันดูโต๊ะหน่อยสิ”

เขามองไปรอบ ๆ และจากนั้นก็ขมวดคิ้ว

“ทำไมถึงมีคนนั่งโต๊ะประจำของฉันแบบนั้น ไอ้แก่! แกยังอยากจะเปิดร้านนี้อีกไหม!”

“หา?”

ผู้จัดการอ้วนหันศีรษะไปมองยังโต๊ะที่นายน้อยจินชี้ทันที ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่ามีคู่หญิงชายกำลังนั่งอยู่

“ข…ขอโทษด้วยจริง ๆ ครับนายน้อยจิน นี่…อาจเป็นเพราะว่าพนักงานคนใหม่ของผมไม่รู้เรื่อง…เราก็เลย…”

เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็อธิบายอย่างกังวลใจ

“บัดซบ! แกไม่ต้องอธิบายอะไรให้ฉันฟังทั้งนั้น! แกรีบไล่ไอ้สองคนนั้นออกไปจากโต๊ะของฉันเดี๋ยวนี้เลย!”

“แต่…แต่…”

แม้ว่าผู้จัดการอ้วนจะกลัวนายน้อยจิน แต่เขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อน

ขณะนี้มีคนอยู่ในร้านจำนวนมาก หากเขาผู้ที่เป็นผู้จัดการร้านจู่ ๆ ไปขับไล่แขกโดยที่ไม่มีเหตุผล ชื่อเสียงของร้านอาหารคงป่นปี้แน่นอน

“ฮึ่ม! วันนี้ถือว่าแกโชคดีที่ฉันกำลังอารมณ์ดีอยู่ ดังนั้นฉันจะไปไล่พวกมันเอง แกอยู่เฉย ๆ ตรงนี้ไป!”

หลังจากพูดจบ นายน้อยจินก็เดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่างที่วิวดีที่สุดพร้อมกับอดี้การ์ดร่างกำยำสองคน

แน่นอนว่าโต๊ะนี้คือโต๊ะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังนั่งอยู่

ที่โต๊ะ

“พวกแกทั้งสองคนลุกออกไปซะ นี่มันคือโต๊ะของบิดาผู้นี้โว้ย!”

เมื่อเดินมาถึงโต๊ะนายน้อยจินตะคอกเสียงดังด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่สนใจอีกฝ่ายเลย

“ผู้จัดการร้าน รีบมารับออเดอร์อาหารเร็ว พวกฉันจะสั่งอาหารแล้ว!”

ราวกับไม่เห็นว่านายน้อยจินมีตัวตน อวี้ฮ่าวหรานจึงตะโกนขึ้นว่าอยากจะสั่งอาหารที่เฉิงชิวอวี้เลือกไว้

ทางด้านของนายน้อยจินก็ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะกล้าเมินเขาแบบนี้!

“ไอ้เวรนี่…”

ทว่าเมื่อเขาเบนสายตามองไปที่เฉิงชิวอวี้ ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อวี้ฮ่าวหราน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที!

“แม่เจ้าโว้ยยยย ผู้หญิงคนนี้สวยโครตเลย!!”

เมื่อเห็นเฉิงชิวอวี้ผู้งดงาม ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกจากเบ้า

“ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว! แม้ว่าแกจะกล้าทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน แต่ฉันจะยอมปล่อยแกไปก็ได้ถ้าแกปล่อยผู้หญิงคนนี้ให้อยู่กับฉันตามลำพัง!”

แขกในร้านทุกคนสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ ซึ่งมันทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารอวี้ฮ่าวหราน

โดนผู้ชายคนอื่นไล่ต่อหน้าแฟนตัวเองเช่นนี้ นับจากนี้คงไม่สามารถเดินเงยหน้าได้ตลอดชีวิต

ยิ่งไปกว่านั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่านายน้อยจิน หรือชื่อเต็มว่า จินเส่า ผู้นี้มีสันดานเลวทรามขนาดไหน เกรงว่าถ้าหากปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ที่นี่ตามลำพัง คืนนี้เธอคงจะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้ายแน่นอน

พวกเขาเองก็อยากจะช่วยแต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีอำนาจพอจะทำอะไรได้เลย!

ท้ายที่สุด จินเส่าผู้นี้เป็นลูกหลานของตระกูลร่ำรวยที่มีอิทธิพลทั้งบนดินและใต้ดิน ถ้าขืนพวกเขาสอดมือเข้าช่วยมันก็หมายความว่าพวกเขารนหาเรื่องเดือดร้อน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่มองอวี้ฮ่าวหรานอย่างสงสาร

โทษที แต่ถ้าจะโทษใครจริง ๆ ก็คงต้องโทษตัวนายเองที่ขาดความแข็งแกร่งจนไม่สามารถรักษาแฟนที่งดงามเช่นนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้อวี้ฮ่าวหรานเพียงชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างดูถูก และจากนั้นก็เพิกเฉยโดยสิ้นเชิง

“ชิวอวี้ มีอะไรอร่อยอีกบ้างนอกจากคาเวียร์ คราวหน้าผมจะได้พาถวนถวนมาลองกินบ้าง”

เฉิงชิวอวี้อึ้ง

ได้ไงเนี่ย?

ตอนนี้มีคนต้องการจะฉุดฉันไป! แต่คุณกลับคิดแต่เรื่องกินเนี่ยนะ?

ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เฉิงชิวอวี้ก็แสดงสีหน้าบูดบึงทันที

จินเส่าที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกสับสนมากกว่าเดิม!

เขาเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนุ่มสาวคู่นี้ถึงกล้าเพิกเฉยต่อเขาขนาดนี้!

บรรดาผู้คนที่แอบมองอยู่ก็ทั้งงุนงงและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน พวกเขากลัวว่าหลังจากถูกเมินเฉยแบบนี้ จินเส่าจะต้องทำเรื่องที่น่ากลัวแน่ ๆ!

แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขายังคงมองดูเมนูในมืออย่างตั้งใจ

ร้านอาหารนี้อยู่ไม่ไกลจากบริษัทของอวี้ฮ่าวหราน และปกติชายหนุ่มจะพาถวนถวนไปเล่นที่บริษัทบ่อย ๆ ดังนั้นจึงสงสัยว่าร้านนี้จะดีพอจะให้เขาพาลูกมานั่งไหม

เมื่อเผชิญกับการถูกเพิกเฉยขนาดนี้ ในที่สุดจินเส่าก็ทนไม่ไหวแล้ว!

“แม่งเอ๊ย! ทิ้งแฟนแกแล้วออกไปจากที่นี่ซะ ไม่งั้นฉันจะทำให้แกพิการตรงนี้!”

เขาตะโกนอย่างเดือดดาลจนหน้าสั่น เมื่อไหร่กันที่จะมีใครกล้าเพิกเฉยต่อคำพูดของเขามากขนาดนี้?

ไอ้เวรนี่กำลังรนหาเรื่องตาย!

“หนวกหู!!”

ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ปล่อยจิตสังหารออกมา!

ดวงตาดำทมิฬลึกล้ำจ้องเขม็งไปที่จินเส่า

จินเส่ารู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูกและหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่างราวกับว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางพายุหิมะที่หนาวเหน็บ!

เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว!

แต่ถ้ามองจากมุมมองคนนอกมันเหมือนกับว่าแค่ถูกอีกฝ่ายตวาดใส่เขาก็กลัวจนหัวหดแล้ว

“ก…ก…แก!”

หลังจากที่จินเส่าได้สติและพบว่าทุกคนรอบตัวเขากำลังมองมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน ก็รู้สึกว่าศักดิ์ศรีที่เขาเคยมีถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง!

ความโกรธปะทุขึ้นมาในใจของเขาอีกครั้ง!

“แก! แกกำลังหาเรื่องตาย! แกทำให้ฉันขายหน้าแบบนี้ ฉันไม่ปล่อยแกไปอีกแล้ว! วันนี้ฉันจะหักแขนขาแกต่อหน้าแฟนของแก แล้วจากนั้นคืนนี้ฉันจะให้แกดูหนังสดที่ฉันจะเล่นกับแฟนของแก!”

เขาคำรามอย่างเดือดดาล

อย่างไรก็ตาม หลังจากพูดจบ เขาก็รู้สึกเจ็บหน้าอย่างแรงและลงไปนั่งกองที่พื้นทันที!

เพี้ยะ!

ไม่มีใครเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เห็นว่าจินเส่าผู้หยิ่งผยองจู่ ๆ ก็ลงไปนั่งกองที่พื้นหลังจากมีเสียงเหมือนถูกตบ!

ฟันของจินเส่าหลุดออกไปสองสามซี่ทันที!

“ถ้าแกกล้าพูดไร้สาระอีกแค่คำเดียว ฉันจะฆ่าแกแน่!”

อวี้ฮ่าวหรานไม่อยากจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดเขาก็อดไม่ไหวเมื่ออีกฝ่ายพูดจาล่วงเกินเพื่อนของเขาอีกแล้ว!

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท