บทที่ 340 ตำหนักคุมกฎ
บทที่ 340 ตำหนักคุมกฎ
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายให้เปลืองน้ำลายโดยไม่จำเป็น เพราะเขาตั้งใจจะกวาดล้างองค์กรนักฆ่านี้ให้หมดไปจากโลกเพื่อยุติปัญหาที่อาจจะเกิดอีกในอนาคต!
องค์กรอสรพิษสร้างความรำคาญให้เขาหลายครั้งแล้ว เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้องค์กรนี้ลอยนวลต่อไปได้อีก!
‘กร๊อบ!’
อวี้ฮ่าวหรานกระทืบไปที่แขนของอสรพิษเงินอีกครั้ง จนมีเสียงกระดูกแหลกดังลั่น!
อสรพิษเงินที่กำลังเสียสติอยู่นั้น เมื่อถูกกระทืบอีกครั้งเขาก็ได้สติจากความเจ็บปวดที่สั่งสมรุนแรง และตอบสนองทันที
“อ๊ากกก แขนฉัน! อ๊ากกก! ไอ้สารเลว!”
ความเจ็บปวดรุนแรงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยผ่านการฝึกทนการถูกทรมานมาก่อน ดังนั้นตอนนี้ใบหน้าของเขาจึงบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด
สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง
“ฉันถามแกหน่อย สาขาใหญ่ขององค์กรอสรพิษของแกอยู่ที่ไหน?”
“ส…สาขาใหญ่?”
อสรพิษเงินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายต้องการจะไปที่สาขาใหญ่ของพวกเขา!
‘กร๊อบ!’
อวี้ฮ่าวหรานขี้เกียจเกินกว่าจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่าย เขายกเท้าขึ้นและกระทืบลงไปที่แขนอีกข้างของอสรพิษเงินอีกครั้ง!
กระดูกแขนอีกข้างของอสรพิษเงินแหลกในทันที!
“อ๊าก!! ฉันพูด! ฉันพูดแล้ว!!!”
อสรพิษเงินทนความเจ็บปวดไม่ไหว ใบหน้าของเขาซีดมาก และหน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก
“ต…แต่ฉันไม่รู้จักที่ตั้งของสาขาใหญ่จริง ๆ ฉันรู้แค่สถานที่ตั้งของตำหนักคุมกฎซึ่งมันอยู่แถวเมืองจงซิง ที่อยู่คือ…”
เขารีบบอกทุกอย่างที่เขารู้
หลังจากฟังคำอธิบายโดยละเอียดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็เหลือบมองอีกฝ่าย และหลังจากยืนยันว่าข้อมูลที่ได้รับมาเป็นของจริง เขาก็กระทืบไปที่หน้าอกทำลายหัวใจของอสรพิษเงินจนแหลกเละ
คนที่มีจิตใจชั่วช้าบิดเบี้ยวแบบนี้ไม่คู่ควรอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป!
“ฮ่าวหราน…คุณ…”
ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้รับการช่วยเหลือ แต่เฉิงชิวอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นไหวเมื่อเห็นความแข็งแกร่งของคนที่เธอรักเหนือล้ำขนาดนี้
มีใครในโลกนี้ที่เทียบกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอได้รึเปล่า?
“ไปกันเถอะ!”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตอบข้อสงสัยของอีกฝ่าย ตอนนี้เขาแค่อยากจะจัดการปัญหาองค์กรอสรพิษให้มันจบลงโดยเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยในตอนนี้ ตำหนักคุมกฎอะไรนั่นจะต้องถูกทำลาย!
ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงโผล่หน้ามาก่อกวนเขาอีกแน่ในเวลาไม่นาน
หลังจากปลดเชือกของเฉิงกัวอัน อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณของเขาเข้าไปสลายพิษในร่างของอีกฝ่ายและปลุกให้ตื่น
“ย…อย่านะ! แกอย่าทำลูกของฉัน…”
ทันทีที่เฉิงกัวอันตื่นขึ้น เขาก็อุทานทันที ราวกับว่าเขายังคงจมอยู่ในเหตการณ์ก่อนที่เขาจะสลบไป
แต่เมื่อเขาเห็นลูกสาวของเขาและอวี้ฮ่าวหรานยืนอยู่ข้างหน้าเขา เขาก็ได้สติ
“ฮ่าวหราน…นายช่วยฉันอีกแล้วเหรอ?”
ดวงตาของเขาดูงุนงงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รู้ว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว
“พ่อ! ใช่แล้ว! ฮ่าวหราน ช่วยชีวิตเราไว้อีกครั้งแล้ว!”
เฉิงชิวอวี้ช่วยพยุงพ่อของเธออย่างรวดเร็ว
“แล้ว… แล้วอสรพิษเงินขององค์กรอสรพิษล่ะ?”
แต่แล้วเมื่อเขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเห็นศพของอสรพิษเงิน เขาก็เบนสายตากลับมามองที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขาอย่างเหลือเชื่อ เขาตกตะลึงเกินบรรยาย
ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชายหนุ่มที่เขาเคยคิดแค่จ้างเอาไว้ชั่วคราวให้ปกป้องลูกสาวของเขาจะไร้เทียมทานถึงขนาดฆ่าอสรพิษเงินได้แบบนี้!
“นั่นมัน…มันคืออสรพิษเงิน!”
เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตั้งแต่ในอดีต อสรพิษเงินคนนี้เป็นตัวตนที่เขากลัวมาตลอด เขาเคยแม้กระทั่งฝันร้ายว่าถูกชายคนนี้จับตัวไปทรมานด้วยซ้ำ!
แต่เวลานี้…
“ตาย! ในที่สุดมันก็ตาย!”
เฉิงกัวอันมีน้ำตา เขามองไปที่ศพที่น่าสังเวช หัวใจของเขาตื่นเต้นอย่างท่วมท้น!
หลายปีแห่งความหวาดกลัวในใจฉัน หายไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเก็บความขมขื่นอีกต่อไป
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะในความคิดของเขาปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุดนั้นไม่ต่างอะไรกับมดที่เขาจะบี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้หากโผล่มาขวางทางเขา
อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาต่อไปสำคัญกว่า
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงมองไปที่คู่พ่อลูกที่อยู่ข้างหน้าเขา
“พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ ผมมีเรื่องต้องจัดการ”
เฉิงกัวอันพอจะเดาได้ทันทีว่า อวี้ฮ่าวหรานต้องการทำอะไรต่อ
“เรื่องที่นายกำลังจะไปจัดการ…มันเกี่ยวกับองค์กรอสรพิษใช่ไหม?”
“ถูกต้อง ผมจะไปตัดรากถอนโคนพวกมัน!”
“แต่…แต่ผู้นำองค์กรอสรพิษนั้นแข็งแกร่งเหนือล้ำจนไม่มีใครหยั่งถึงได้ ว่ากันว่าต่อให้ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุดรุมเขานับสิบ เขาก็สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ฉันเกรงว่า…”
“แล้วไง?”
อวี้ฮ่าวหรานรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลแทนตัวเขา แต่เขามีความมั่นใจมากเกินพอ ดังนั้นเขาจึงพูดขัดจังหวะขึ้นและเดินนำลงไปข้างล่างทันที
หลังจากลงไปข้างล่าง เฉิงกัวอันก็ไม่ได้พยายามพูดโน้มน้าวให้หยุดอวี้ฮ่าวหรานอีกต่อไป
เขาเห็นความแน่วแน่และความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในแววตาของอวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะพูดห้ามอะไรอีกเพราะมันคงไม่มีประโยชน์
“งั้นพวกเรากลับก่อนแล้วกันนะ”
วันนี้เขาเพิ่งเข้าใจได้ถึงสิ่งหนึ่ง การที่คนอย่างเขาเอาตัวเองเป็นที่ตั้งและคิดแทนคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นอวี้ฮ่าวหราน มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นเขากลับขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่อยู่ที่อสรพิษเงินให้มานั้นมันอยู่ในเมืองใกล้เคียง ซึ่งเขาต้องขับรถอย่างน้อยสองชั่วโมง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากล่าช้าไปแม้เพียงครึ่งนาที
เฉิงกัวอันมองตามหลังอวี้ฮ่าวหราน จนรถสปอร์ตสีเหลืองหายไปจากสายตาแล้วจากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาว
“เฮ้อ…คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้”
แต่ในขณะเดียวกันนี้ เฉิงชิวอวี้ก็กระตุกแขนเสื้อพ่อของเธอและแถมขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“พ่อ! ถ้าเรื่องในวันนี้ไม่เกิดขึ้น อีกนานไหมกว่าพ่อจะบอกหนูเกี่ยวกับความลับของพ่อ?”
เธอเพิ่งรู้วันนี้ว่าพ่อของเธอที่ใจดีกับเธอมาตลอด มีอดีตที่น่าระทึกใจเช่นนั้น
“พ่อ…เฮ้อ…”
เมื่อเฉิงกัวอันได้ยินเช่นนี้ เขาก็คิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของตัวเองและตัดสินใจว่าวันนี้เขาควรบอกเรื่องทั้งหมดให้กับลูกสาวตัวเองได้รู้
“ที่พ่อไม่ได้บอกลูกเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไปและพ่อเกรงว่ามันจะส่งผลกระทบถึงลูก”
“คนพวกนี้แข็งแกร่งที่ไหนกัน? หนูไม่เห็นว่าฮ่าวหรานจะจัดการคนพวกนั้นลำบากตรงไหนเลย?”
เฉิงชิวอวี้งุนงงเนื่องจากเธอไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพลังวิญญาณหรือพลังภายใน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าพวกองค์กรอสรพิษนั้นไร้น้ำยา
“ลูกไม่เข้าใจหรอกว่าองค์กรอสรพิษทรงพลังแค่ไหน! พวกเขาเป็นองค์กรนักฆ่าที่ชั่วร้ายซึ่งมีสาขากระจายอยู่ถึงครึ่งหนึ่งของประเทศจีน!”
“แล้วไง หนูเป็นลูกสาวของพ่อ! หนูเคยแสดงความขี้ขลาดให้พ่อเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ก็ได้! พ่อจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดเมื่อเรากลับถึงบ้าน!”
เฉิงกัวอันรู้สึกท้อแท้ เขารู้ว่าวันนี้เขาคงไม่สามารถปกปิดอะไรได้อีกแล้ว
ทั้งสองจึงขึ้นแท็กซี่กลับบ้านทันที
…
อีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานกำลังเหยียบคันเร่งจนมิด!
ประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมทำให้เขาสามารถรับมือกับความเร็วของรถได้แบบสบาย ๆ
สองชั่วโมงต่อมา เขาก็ขับไปถึงเขตชานเมืองของเมืองถัดไปตามที่อยู่ที่อสรพิษเงินบอกมา
มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่หลายหลังที่นี่
แม้ว่าคฤหาสน์พวกนี้ดูเหมือนว่าถูกสร้างขึ้นโดยคนรวยบางคน แต่ที่จริงแล้ว นี่คือฐานที่มั่นของตำหนักคุมกฎขององค์กรอสรพิษ!
แต่แล้วทันทีที่เขาหยุดรถ บรรดารปภ. ที่เฝ้าอยู่นอกกลุ่มคฤหาสน์ก็สังเกตเห็นเขาทันที!
บทที่ 331 สั่งคุกเข่า
บทที่ 331 สั่งคุกเข่า
อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูรถและมองไปที่พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเจ็ดแปดคนที่ยืนจ้องเยาะเย้ยเขาอยู่
“ฮ่าฮ่า! แกใจกล้าไม่เบานี่หว่าที่หยุดรถรอพวกฉันแบบนี้!”
เฉียนเซามองอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาประชดประชัน
ในเวลานี้ นอกจากเพื่อน ๆ ของเขาอีกเจ็ดแปดที่ตามมา เขายังมีพวกบอดี้การ์ดมากกว่าหนึ่งโหลที่ตามมาสบทบอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้ว่าจะเรียกแกว่าคนโง่หรือว่าคนบ้าดีที่ไปไหนมาตามลำพังคนเดียวโดยไม่มีบอดี้การ์ดแบบนี้?”
เขาตั้งใจเยาะเย้ยเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่คนเดียว
แต่แล้วเมื่อเขาเหลือบเห็นซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของเขาก็ยิ่งชั่วร้ายมากกว่าเดิม
“หึหึ ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าแกโดนอัดจนยอมก้มกราบเท้าฉันวิงวอนขอชีวิตเหมือนหมาข้างถนน ซูหว่านเอ๋อที่อยู่ในรถนั่นยังจะชอบแกอยู่ไหม? พวกผู้หญิงน่ะมันเปลี่ยนใจง่ายจะตาย ถ้าเห็นแกอยู่ในสภาพน่าสังเวชแบบนั้น แกคงถูกมองเหยียดเหมือนเศษขยะเลยล่ะ ฮ่าฮ่า!”
ในขณะเดียวกันนี้ พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็แสดงสีหน้าดูถูกอวี้ฮ่าวหรานเช่นกัน ในสายตาของพวกเขา อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่กลุ่มของเฉียนเซากำลังชื่นมื่น จู่ ๆ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองหลุดไปอยู่ในโลกน้ำแข็งที่หนาวเหน็บจนถึงขั้วกระดูกอย่างฉับพลัน!
“หึ! พวกฝูงมด”
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มที่มุมปากพร้อมกับมองพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านี้ด้วยแววตารังเกียจ
แม้ว่าเสียงพูดของเขาจะไม่ดัง แต่กลุ่มของเฉียนเซากลับได้ยินชัดเจนอย่างน่าประหลาด
เฉียนเซาตกตะลึงกับประโยคนี้อยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อตั้งสติได้แล้ว เขาก็จ้องไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างดุเดือด
“ไอ้ลูกหมา! แกคิดว่าแกเป็นใครวะถึงกล้ามาเรียกฉันว่ามด? แกปากดีนักใช่ไหม? พวกแกทุกคนไปจับมันมาคุกเข่าต่อหน้าฉันเดี๋ยวนี้!”
หลังจากตะคอกจบ เฉียนเซาก็โบกมือข้างหนึ่งสั่งให้พวกบอดี้การ์ดลงมือทันที!
บอดี้การ์ดสิบกว่าคนวิ่งตรงดิ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานทันทีหลังจากได้รับสัญญาณ พวกเขาแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าดุร้ายและชักกระบองสั้นที่เอวออกมาเตรียมจะฟาดเป้าหมายให้ลงไปนอนกองที่พื้นโดยเร็วที่สุด
แต่น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเขาจะต่อกรได้!
ในขณะที่พวกบอดี้การ์ดเข้ามาใกล้จนได้ระยะ
ทันใดนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาแต่เสียงที่เปล่งออกมานั้นแฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่น!
“คุกเข่าลง!”
ถึงแม้ว่าเสียงที่เปล่งออกมาจากปากของอวี้ฮ่าวหรานจะเบา แต่ในจิตวิญญาณของของพวกบอดี้การ์ดกลับได้ยินเสียงนี้ดังก้องจนร่างแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และร่างของพวกเขาทุกคนก็หยุดลงอย่างกะทันหัน!
บอดี้การ์ดเหล่านี้ราวกับว่ากำลังมองเห็นพระเจ้าที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าและโลกที่แดงฉานเต็มไปด้วยโลหิตก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเขา
ทุกคนหยุด
พวกเขาตื่นตระหนกจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อเผชิญกับภาพลวงตาที่น่ากลัวจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้นี้
‘ผลั่ก!’
หลังจากหยุดนิ่งอยู่เพียงอึดใจ พวกบอดี้การ์ดต่างก็คุกเข่าลงราวกับว่าขาของพวกเขาไร้เรี่ยวแรงโดยสมบูรณ์!
“นี่มันบ้าอะไรวะ!”
ดวงตาของเฉียนเซาเบิกโพลงมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า! เขาอุทานคำหยาบเสียงดังอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกบอดี้การ์ดมืออาชีพที่เคยดุร้ายเหล่านี้ถึงจู่ ๆ ก็คุกเข่าให้กับอีกฝ่ายง่าย ๆ ราวกับเจอบรรพบุรุษตัวเองเช่นนี้?
ไอ้พวกบอดี้การ์ดพวกนี้มันปัญญาอ่อนไปแล้วงั้นเหรอ?
เมื่อเฉียนเซาตะโกน พวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยคนอื่น ๆ ก็เริ่มตะโกนด่าบอดี้การ์ดของตัวเองเช่นกันด้วยความตกใจ
“บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกทำบ้าอะไรกันอยู่! พวกแกคุกเข่าให้กับมันทำไม มันเป็นพ่อแกเหรอไงถึงไปคุกเข่าให้มันแบบนี้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะโว๊ยไม่งั้นฉันจะบอกพ่อให้ไล่แกออกหลังจากนี้!!”
เขาตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ก็แปลกประหลาดเกินไปจริง ๆ
บอดี้การ์ดมืออาชีพที่แข็งแกร่งกว่าโหล ทุกคนคุกเข่าต่อหน้าชายหนุ่มผอมบางที่ดูไม่มีพิษภัยแบบนี้ได้ไง!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฉียนเซาจะตะโกนใส่พวกบอดี้การ์ดอย่างไร พวกบอดี้การ์ดเหล่านี้ต่างก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย พวกเขาเอาแต่มองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว
ไม่ใช่ว่าพวกเขาอยากจะคุกเข่า แต่ภาพมายาที่ปรากฏขึ้นในจิตวิญญาณของพวกเขา ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งจนยอมทำทุกอย่างที่ชายหนุ่มคนนี้สั่ง
ในสายตาของพวกเขาตอนนี้ชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีอำนาจสูงส่งราวกับเป็นเทพเจ้าที่ไม่สามารถจ้องมองโดยตรงได้
เฉียนเซายิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก เมื่อตะโกนจนคอแหบแล้วก็ยังไม่มีใครเชื่อฟังเขา!
“ขยะเอ๊ย! ไอ้พวกขยะ! ไอ้พวกไร้น้ำยา! พวกแกเอาแต่คุกเข่าแบบนี้ได้ไง?”
เขาไม่สามารถระงับความโกรธของเขาได้
การที่ลูกน้องของเขาคุกเข่าให้กับศัตรูของเขาเองแบบนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเขาอย่างแรงในที่สาธารณะ!
หลังจากที่สยบพวกบอดี้การ์ดเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เบนสายตากลับมามองเฉียนเซา และพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกครั้งอย่างล้อเลียน
“คนพวกนี้เพิ่งประจักษ์ในความจริงที่ว่าต่อหน้าฉันพวกมันไม่ต่างอะไรกับมดแมลง ดังนั้นไม่ว่าแกจะสั่งพวกมันยังไง พวกมันก็ฝ่าฝืนคำพูดของฉันด้วยการลุกขึ้นตามคำสั่งของแกหรอก”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ เดินเข้าหาคนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยเหล่านั้น
เฉียนเซาอยากจะด่ากลับ แต่เมื่อเขาสบตาอีกฝ่าย เจ้าตัวก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกจนคำพูดทุกอย่างจุกอยู่ที่คอ
นี่มันแววตาแบบไหนกัน? ทำไมมันถึงได้น่ากลัวแบบนี้วะ!
เขาอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง
แต่หลังจากก้าวถอยไปได้ราวห้าหกก้าว ขาของเขาก็สั่นและไร้เรี่ยวแรงจนก้าวไม่ออกอีกต่อไป!
“ก…แกเป็นใครกันแน่!?”
เฉียนเซาถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้น่ากลัวขนาดนี้ ตั้งแต่เขาเกิดมาเขาไม่เคยกลัวอะไรจนก้าวขาไม่ออกแบบนี้มาก่อนเลย!
แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอีกฝ่าย เขายังคงก้าวมาข้างหน้าเรื่อย ๆ
วินาทีต่อมา น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณหนาแน่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง!
“แกกับพวกของแกนี่มันน่ารำคาญจริง ๆ! พวกแกคุกเข่าลงให้หมด!”
พลังเสียงของอวี้ฮ่าวหรานไม่ต่างอะไรกับประกาศิตจากสวรรค์ ทันทีที่เฉียนเซาและพรรคพวกที่เหลือได้ยินคำสั่งนี้ พวกเขาก็คุกเข่าลงอย่างว่าง่าย!
‘ผลั่ก…ผลั่ก…’
เมื่อเผชิญกับพลังวิญญาณอันกล้าแกร่งและกลิ่นอายที่สุดแสนจะล้ำลึก คนพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยต่างก็เห็นภาพมายาถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในหัวใจของพวกเขา ขาของพวกเขาอ่อนแรงลง และพวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นเหมือนพวกบอดี้การ์ดเหล่านั้น!
เฉียนเซาจับจ้องที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยความรู้สึกสยองขวัญ
“นี่…นี่แกเป็นสัตว์ประหลาดหรือยังไงกัน!?”
เขาดวงซวยมาเจอคนที่แข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง!
แต่ในขณะเดียวกันนี้ รถตู้เจ็ดแปดคันก็พุ่งมาด้วยความเร็วสูงจากระยะไกล!
“บ้าอะไรวะน่ะ? พวกพวกลูกคนรวยพวกนั้นมันกำลังทำบ้าอะไรอยู่?”
ในรถ SUV ที่อยู่หัวขบวน ชายหัวล้านอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งเมื่อเห็นฉากประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ไกลนัก
ทันทีที่รถหยุดนิ่ง ชายหัวล้านก็กระโดดลงจากรถ
“ไอ้บ้าเอ๊ย! นี่พวกแกกำลังทำพิธีกรรมบ้าอะไรของพวกแก?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นฉากแปลก ๆ เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะคร่ำหวอดอยู่ในโลกใต้ดินมาหลายปีแล้ว
คนเกือบยี่สิบคนคุกเข่าลง และมีชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น
ที่สำคัญ ชายหนุ่มคนที่ยังยืนอยู่นั้นเป็นชายที่ดูเหมือนจะมีอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ ร่างผอมบางไร้พิษสงอีกต่างหาก!
ในความเห็นของเขา เหตุการณ์นี้มันไร้สาระสุด ๆ!
