ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 315 เปลี่ยนการตัดสินใจ

บทที่ 315 เปลี่ยนการตัดสินใจ

บทที่ 315 เปลี่ยนการตัดสินใจ
บทที่ 315 เปลี่ยนการตัดสินใจ

หลี่อิงไห่หันศีรษะไปเหลือบมองที่พวกผู้บริหารเก่าของตนเอง

คนเหล่านี้มักจะเลียแข้งเลียขาของเขาอย่างประจบสอพลอมาโดยตลอด แต่ตอนนี้พอเกิดปัญหา คนพวกนี้กลับทิ้งเขาอย่างไม่ไยดีเลย

อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีสิทธิ์จัดการกับคนพวกนี้ได้อีกแล้ว

แต่แล้วจู่ ๆ ในขณะเดียวกันนี้!

เลขาสาวน้อยที่ติดตามเขาอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอดก็เดินก้าวเข้ามาขวางตรงหน้าหลี่อิงไห่!

“คุณ…คุณทำแบบนี้ไม่ได้! บริษัทนี้เป็นความพยายามทั้งชีวิตของท่านประธานหลี่!”

เลขาสาวเงยศีรษะขึ้น แววตาของเธอมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก

เธอสูงเพียง 1.65 เมตร เธอนับได้ว่าเตี้ยถ้าเทียบกับเหล่าผู้คนที่ยืนอยู่ ณ ตรงนี้ ซึ่งมันทำให้เธอดูไม่มีความน่าเกรงขามเลย

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของสาวน้อยคนนี้

เขาไม่คิดเลยว่าในช่วงเวลานี้ คนอย่างหลี่อิงไห่จะมีลูกน้องที่ซื่อสัตย์ปกป้อง

อย่างไรก็ตาม แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะเลยที่จะสนับสนุนหลี่อิงไห่ ซึ่งมันจะทำให้เจ้านายคนใหม่ไม่พอใจ

“เสี่ยวอวิ๋น นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเข้ามาแทรกแซงได้!”

หลี่อิงไห่ตกใจกับการกระทำที่กะทันหันนี้เช่นกัน แต่หลังจากได้สติ เขาก็รีบตะโกนขึ้นอย่างเร่งร้อน

เขารู้ใจของอีกฝ่าย เด็กผู้หญิงคนนี้ไร้เดียงสาเกินไป!

“เธอรีบถอยไปซะ ฉันถูกไล่ออกแล้ว นับจากนี้เราไม่เกี่ยวข้องอะไรกันทั้งนั้น!”

เขาพูดอย่างเคร่งขรึม แต่ใคร ๆ ก็เห็นได้ว่าหลี่อิงไห่กำลังตื่นตระหนกอยู่ในน้ำเสียงของเขา

“ไม่! คุณใจดีกับฉัน ฉันจะไปทุกที่ที่คุณไป!”

น้ำเสียงของเลขาสาวดื้อรั้น และใคร ๆ ก็เห็นความดื้อรั้นบนใบหน้าของเธอ

อวี้ฮ่าวหรานมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเลขาสาวตรงหน้าเขาอย่างชัดเจนผ่านประสบการณ์ชีวิตหลายหมื่นปี

“สาวน้อย นี่เธอพูดจริงหรือเปล่าที่บอกว่าติดตามเจ้านายคนเดิมไปทุกที่ที่เขาไป? เธอรู้หรือเปล่าว่าด้วยอิทธิพลของฉันในตอนนี้ หลังจากที่ หลี่อิงไห่ถูกไล่ออกจากที่นี่ ฉันสามารถทำให้เขาไม่มีทางหางานทำในเมืองฮ่วยอันได้อีกเลยตลอดชีวิต หลังจากนี้เขาอาจจะไม่มีปัญญาซื้อข้าวกินได้ครบสามมื้อด้วยซ้ำ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเธอจะทำยังไง?”

ถึงแม้ว่าจะประหลาดใจและประทับใจกับความซื่อสัตย์ของสาวน้อยคนนี้ แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ยังอยากจะหยอกล้อเธอดูสักหน่อย

“ล…แล้ว…ยังไงล่ะ! ฉันไม่กลัวอิทธิพลของคุณหรอก!”

ดูเหมือนเลขาสาวจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงพอสมควร เธอกัดริมฝีปากก่อนที่จะขึ้นเสียงเถียงอย่างไม่ยอมแพ้

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลี่อิงไห่ทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาดึงเลขาของตัวเองออกไปด้านข้างทันที

ยิ่งเลขาของเขาพูดมากเท่าไหร่ เรื่องมันก็ยิ่งมีแต่แย่ลงเท่านั้น!

แตกต่างจากความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย เขาเข้าใจดีกับความโหดร้ายในโลกของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการธุรกิจ มันไม่มีมนุษย์ธรรมอะไรทั้งนั้น…

และยิ่งไปกว่านั้น การทำแบบนี้มันยิ่งเป็นการสร้างความขบขันให้กับทุกคนมากกว่าเดิม

อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่เลขาสาวอย่างขบขันโดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเขาพาคนของตัวเองตรงเข้าไปในอาคาร

แต่ก่อนที่พวกคณะผู้บริหารของบริษัทอิงเหมาจะทันได้เอ่ยทักทายอวี้ฮ่าวหราน

ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส

“ฉันเปลี่ยนใจ ถ้าแกต้องการ แกยังสามารถเป็นผู้จัดการทั่วไปของที่นี่ได้ แต่อำนาจการตัดสินใจทุกอย่างจะต้องอยู่ที่ฉันทั้งหมด ทุกอย่างในบริษัทนี้จะต้องถูกกำหนดโดยฉันเท่านั้น”

ขณะพูด อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้หันศีรษะกลับแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ประโยคนี้ทำให้หลี่อิงไห่ซึ่งกำลังจะจากไปต้องตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคำพูดเมื่อครู่นี้เอ่ยถึงเขา

เขาหันกลับไปมองอวี้ฮ่าวหรานอย่างไม่อยากจะเชื่อ สงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันแบบนี้

หรืออาจเป็นเพราะคำพูดของเลขาของเขา?

แต่ว่าคนระดับประธานบริษัทใหญ่สนใจกับความรู้สึกของคนอื่นด้วยงั้นเหรอ?

หลี่อิงไห่รู้สึกประหลาดใจ เขาไม่สามารถเดาได้จริง ๆ ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนการตัดสินใจอย่างรวดเร็วขนาดนี้

แต่เลขาที่ชื่อเสี่ยวอวิ๋นไม่ได้คิดอะไรมาก ใบหน้าของเธอตื่นเต้นทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้

“ป…ประธาน…ไม่สิ ผู้จัดการหลี่! คุณได้ยินไหม! คุณยังได้ทำงานต่อ! เขาเห็นใจเรา!”

เธอส่งเสียงเชียร์และกระโดดด้วยความยินดี เธอไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

เสียงตื่นเต้นของเลขาสาวดังลั่น และแน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินมันอย่างชัดเจน เสียงตื่นเต้นนี้ทำให้มุมปากของเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กน้อย

ไม่เข้าใจจริง ๆ เลยว่าคนอย่างหลี่อิงไห่จะสามารถมีเลขาที่กล้าหาญและซื่อสัตย์แบบนี้ได้ยังไง

แน่นอนว่าการที่จะซื้อใจคนของตัวเองได้ขนาดนี้คงไม่ใช่แค่การพูดเพียงสองสามคำ หลี่อิงไห่คงทำอะไรบางอย่างที่ดีมาก ๆ ให้กับเลขาคนนี้มานานแล้วแน่นอน

บางทีคนอย่างหลี่อิงไห่คงมีด้านดีบ้างพอที่เขาจะเอามาใช้ประโยชน์ได้

อย่างน้อย ๆ ตาแก่คนนี้ก็มีความสามารถพอในการพัฒนาบริษัท

ไม่ว่ายังไงบริษัทอิงเหมาก็พัฒนาได้ดีตลอดในช่วงที่ผ่านมา

จากนั้น ทุกคนก็เข้าไปในห้องประชุมของบริษัท หลังจากการส่งมอบและขั้นตอนที่น่าเบื่อหน่าย บริษัทก็ถูกรวมเข้ากับเครือฮ่าวหราน

นับจากนี้ธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลในเมืองฮ่วยอันจะไม่มีบริษัทไหนเทียบได้กับเครือฮ่าวหรานอีกแล้ว!

ในขณะเดียวกัน การฆ่าฟันกันระหว่างแก๊งพยัคฆ์เวหาและแก๊งวาฬยักษ์ก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ

ในอาณาเขตของทั้งสองฝ่าย แม้แต่คนธรรมดาก็ยังรู้สึกว่ามีการต่อสู้กันมากขึ้นในหมู่พวกอันธพาลรอบตัวพวกเขา

อย่างไรก็ตาม พวกสมาชิกระดับหัวกะทิจะไม่ไปไล่ฆ่ากันข้างนอกในที่สาธารณะ พวกเขาจะไปห้ำหั่นกันในบ่อนหรือพวกผับบาร์ที่ลับตาคนแทน

“หลิ่วอวี้จิงกำลังทำอะไรอยู่?”

ภายในโรงพยาบาล โจวเฟยหู่เอ่ยขึ้นด้วยความงุนงง

ในขณะนี้ หวังเหยียนเพิ่งตื่นขึ้นหลังจากการผ่าตัด

“หัวหน้า…ผมฉันคิดว่าเราต้องระวังแก๊งฉลามคลั่งให้ดี ตั้งแต่ต้น พวกเขายังไม่ได้ส่งคนออกมาเลย ผมคิดว่าอีกไม่นานพวกนั้นจะต้องกรูกันออกมาและโจมตีเราอย่างสายฟ้าแลบแน่ ๆ”

หวังเหยียนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำวิเคราะห์นี้ออกไป ถึงแม้ว่าตัวเองจะบาดเจ็บปางตาย แต่เขาก็ยังอยากที่จะช่วยเหลือโจวเฟยหู่ต่อไป

“อยู่เฉย ๆ ไปซะ หน้าที่ของนายตอนนี้คือพักอย่างเดียว! ฉันแค่พึมพำของฉันคนเดียวเท่านั้น”

เมื่อโจวเฟยหู่ได้ยินคำพูดของลูกน้องตัวเอง ก็รีบหันกลับมาดุทันที เขาไม่ต้องการให้ลูกน้องคนสนิทของตัวเองต้องมาร่วมแบกรับปัญหาทั้ง ๆ ที่นอนเจ็บอยู่แบบนี้

อย่างไรก็ตาม หวังเหยียนก็ยังคงดื้อดึง

“หัวหน้า! ไม่ว่ายังไงผมต้องพูด! แก๊งฉลามคลั่งไม่ใช่แก๊งที่เราจะประมาทได้ และหลิ่วอวี้จิงก็ยังไม่เผยตัวออกมาเลยจนถึงตอนนี้ บางทีพวกเขาอาจบรรลุข้อตกลงบางอย่างที่เลวร้ายกันเรียบร้อยแล้ว!”

โจวเฟยหู่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้นั้นน่าคิด ดังนั้นเขาจึงไม่หยุดให้อีกฝ่ายพูดอีกต่อไป…

“พวกเขาตกลงร่วมมือกันไปแล้วไม่ใช่เหรอไง? ก็แค่ตอนนี้ ตาแก่กงซุนซายังไม่ได้ลงมือ มันก็ไม่ควรที่จะมีอะไรมากไปกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”

เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันจะมีอะไรมากกว่านี้ได้ยังไง

หวังเหยียนวิเคราะห์ต่อทันที

“หัวหน้า คิดว่าคนอย่างหลิ่วอวี้จิงจะเป็นคนที่เต็มใจยอมทนทุกข์ทรมานอยู่ฝ่ายเดียวงั้นเหรอ? ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันแล้ว แต่แก๊งวาฬยักษ์เป็นฝ่ายเดียวที่เสียหายอย่างหนักโดยที่แก๊งฉลามคลั่งไม่ได้เสียหายอะไรเลย หัวหน้าคิดว่าตามสันดานของหลิ่วอวี้จิง มีเหรอที่คนแบบนั้นจะนั่งดูได้อยู่เฉย ๆ?”

บทที่ 314 ยินยอม
บทที่ 314 ยินยอม

“เฮ้อ…มันเป็นฉันเอง…มันเป็นเพราะฉันเองที่โลภเกินไป…”

หลี่อิงไห่ถอนหายใจยาว รอยยิ้มที่ขมขื่นชัดเจนปรากฏบนใบหน้าของเขา

“ไปกันเถอะ ออกไปรอพบกับคนของเครือฮ่าวหรานกันเถอะ”

เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยล้า

ในเวลานี้ ทุกอย่างไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เขาจึงไม่มีสิ่งใดพอที่จะไปแข็งขืนได้อีก

เมื่อระลึกถึงสิ่งที่เขาเคยทำมา อวี้ฮ่าวหรานจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพอจะมีหวังอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะไม่ว่ายังไง อวี้ฮ่าวหรานก็เป็นลูกเขยของหลี่ชงซาน หากอวี้ฮ่าวหรานยังมีใจพอจะไว้หน้าตระกูลหลี่อยู่บ้าง อย่างน้อยก็อาจจะยังคงได้อยู่ในบริษัทต่อไปในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปแทน

ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาจึงค่อย ๆ เดินออกจากออฟฟิศ ซึ่งเลขาสาวก็นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตามเขามาอย่างรวดเร็วโดยถือแฟ้มไว้ในมือ

ในเวลานี้ ทุกคนในบริษัทอิงเหมาทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงการเป็นเจ้าของของบริษัทเรียบร้อย และรู้ด้วยว่าเจ้าของใหม่จะเข้ามารับช่วงต่อเร็ว ๆ นี้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนจึงหมดแรงใจที่จะทำงาน และต่างก็กำลังคิดและปรึกษาหารือกันถึงทางออกสำหรับอนาคตของตัวเอง…

“ฉันคิดว่าเจ้านายคนใหม่น่าจะต้องการให้บริษัทของเราทำเงินทันทีตามเดิม ดังนั้นเขาไม่น่าจะหาคนใหม่มาแทนที่พวกเรา เราแค่ต้องทำหน้าที่ของเราไปตามปกติ”

“ใช่ อันที่จริง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราอยู่แล้ว ตาแก่หลี่อิงไห่นั่น ฉันไม่ชอบหน้าเขามาตั้งนานแล้วเหมือนกัน”

“ฉันได้ยินมาว่าเครือฮ่าวหราน ที่เป็นเจ้าของใหม่ของบริษัทเราเป็นกลุ่มธุรกิจที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับพนักงานของบริษัท สวัสดิการของเครือฮ่าวหรานนับได้ว่าดีที่สุดในเมืองฮ่วยอัน!”

“…”

ระหว่างทาง เสียงกระซิบกระซาบของบทสนทนาได้ยินถึงหูของหลี่อิงไห่เช่นกัน

คำพูดของบางคนที่ระบายความไม่พอใจออกมานั้นกล่าวถึงเขาอย่างรุนแรง

หากเป็นก่อนหน้านี้ ถ้าเขาได้ยินคำพูดแบบนี้เข้าหูเมื่อไหร่ เขาคงจะเรียกคนพูดมายืนอยู่ตรงหน้าเขาทันที จากนั้นจะตบสั่งสอนสักฉาดและสั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลากออกไปจากบริษัทอย่างรวดเร็ว

แต่วันนี้แตกต่างออกไป แม้ว่าเขาจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปได้ แต่ก็คงเป็นแค่หุ่นเชิด ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใด ๆ ในบริษัทโดยเฉพาะอำนาจเกี่ยวกับการจัดการกับพวกพนักงาน

“ท…ท่านประธาน…ท่านได้ยินหรือเปล่า? พวกเขา…พวกเขากำลังกล่าวร้ายท่าน…”

เลขาสาวเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับทำท่าจะก้าวไปเผชิญหน้ากับพวกคนที่พูดนินทาหลี่อิงไห่ เธอรับไม่ได้จริง ๆ กับคำพูดหลาย ๆ คำพูดที่คนพวกนี้เอ่ยออกมา

“แล้วไงล่ะ? ฮ่า ๆ ลืมมันไปเถอะ นับจากนี้ฉันไม่มีอำนาจจะทำอะไรใครได้อีกแล้ว”

หลี่อิงไห่หัวเราะเยาะตัวเอง เมื่อเขาได้ยินคำพูดนินทาเหล่านั้น จากนั้นจึงมองไปยังเลขาข้าง ๆ เขาที่กำลังแสดงสีหน้าไม่เต็มใจ

“เสี่ยวอวิ๋น ฉันจำได้ว่าเธออยู่กับฉันมาเกือบปีแล้วใช่ไหม?”

“ก็คุณหลี่เรียกให้ฉันมาทำงานให้คุณตั้งแต่หลังจากเรียนจบทันที”

เลขาสาวไม่รู้ว่าทำไมหลี่อิงไห่ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอจึงได้แต่ตอบตามความจริงเท่านั้น

“เฮ้อ…เวลาผ่านไปเร็วมากจริง ๆ เอาล่ะ เดี๋ยวตอนออกไปยืนรอ เธออย่ามายืนข้าง ๆ ฉันแบบนี้เด็ดขาด เจ้าของเครือฮ่าวหรานไม่ชอบฉัน มันจะส่งผลต่ออนาคตของเธอเอง”

หลี่อิงไห่ถอนหายใจก่อนที่จะออกคำสั่ง

“เอ๊ะ? แต่…แต่…”

เลขาสาวชื่อเสี่ยวอวิ๋นกระสับกระส่ายทันที เธอพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักอย่างลังเล

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น คิดถึงพ่อแม่ของเธอเอาไว้ ฉันจำได้ว่าอาการป่วยของแม่เธอยังไม่หายดีใช่ไหม? ถ้าฉันเดาไม่ผิด เงินก้อนนั้นที่ฉันให้ไปมันคงหมดไปแล้วตั้งแต่ก่อนเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยถูกต้องไหมล่ะ?”

หลี่อิงไห่ขัดจังหวะอีกฝ่าย

ในทางกลับกันเลขาสาวกลับดื้อรั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง

“ม…ไม่! ท่านประธานหลี่ ฉันไม่สน! ท่านใจดีกับฉันมาโดยตลอด ฉันจะไม่มีวันทิ้งท่าน ฉันจะขอติดตามท่านไปทำงานในทุก ๆ ที่ท่านไป!”

“อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย!”

หลี่อิงไห่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อได้ยินคำตอบนี้จากเลขาสาวของตัวเอง เขากลับรู้สึกอึดอัด เขาอุปถัมภ์เด็กหญิงที่ยากจนซึ่งแม่ป่วยหนัก ตอนแรกเขาทำเพียงเพื่อสนองความไร้สาระของเขา

แต่เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยืนหยัดเพื่อเขาในเวลานี้

ในทางกลับกัน พวกผู้บริหารที่มักจะมาเลียแข้งเลียขาเขาตลอดเวลาก่อนหน้านี้กลับแสดงสีหน้าเย็นชาใส่ และพร้อมที่จะไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายคนใหม่เต็มแก่เมื่อเขาหมดอำนาจ

จากนั้นทั้งสองก็ค่อย ๆ เดินออกจากอาคารสำนักงาน

ไม่กี่นาทีต่อมา ขบวนรถหรูสุดเด่นก็ขับเข้ามาจอดหน้าตึกสำนักงาน

รถนำขบวนคือรถสปอร์ตสุดหรูแลมโบกินีและตามมาด้วยเมอเซเดสต์ เบนซ์ เอสคลาสตัวท๊อปอีกเจ็ดคัน

เนื่องจากมีการแจ้งล่วงหน้ามาแล้ว คณะผู้บริหารของบริษัทอิงเหมาจึงตั้งแถวรออยู่ที่หน้าประตูเรียบร้อย

ในไม่ช้า อวี้ฮ่าวหราน ก็เป็นผู้นำในการลงจากรถ จากนั้นผู้จัดการหวัง และคนอื่น ๆ ก็ลงจากรถและปิดประตู

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาเดินมาที่ประตูหน้าของอาคารสำนักงาน พวกเขาพบว่า หลี่อิงไห่และเลขาสาวกำลังรออยู่ที่ประตูพร้อมกับคนอีกนับสิบ

เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันทันที

“โอ้? ท่านประธานบริษัทอิงเหมาผู้สูงส่งมารอรับฉันถึงหน้าประตูเลยงั้นเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด

ในความทรงจำของเขา ชายแก่คนนี้คือคนที่คัดค้านการแต่งงานของเขากับหลี่เม่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อประโยชน์ของตระกูลหลี่ แถมยังใช้เหตุการณ์ที่เขาแต่งงานกับหลี่เม่ยบังคับให้หลี่ชงซานสละตำแหน่งผู้นำตระกูลมาให้กับตัวเอง

อาจกล่าวได้ว่าการกระทำของคน ๆ นี้มุ่งเน้นแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลหลี่และตัวเองเท่านั้น เขาไม่มีความเห็นใจในฐานะของการเป็นมนุษย์หรือเครือญาติเลย

“แน่นอนว่าเมื่อประธานอวี้กำลังมา ผมต้องออกมารอต้อนรับอยู่แล้ว”

หลี่อิงไห่รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานมาด้วยตัวเอง แต่ก็รีบเก็บความประหลาดใจได้อย่างรวดเร็วและปกปิดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

ในตอนนี้ ชายหนุ่มที่เขาเคยดูถูกและเชื่อว่าจะเป็นคนทำลายผลประโยชน์ของตระกูลหลี่จนป่นปี้นั้นแข็งแกร่งมากจนเขาต้องก้มศีรษะให้

ในทางกลับกัน เมื่อเผชิญกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วและไม่รู้ว่าจะเสียดสีอะไรต่อดี เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมก้มหัวให้ง่ายขนาดนี้

“ไปซะ วันนี้ฉันมารับช่วงต่อบริษัทจากแก ฉันไล่แกออก!”

อย่างไรก็ตาม เมื่อเสียดสีอีกฝ่ายต่อไม่ได้ ถ้างั้นเขาก็จะทำตามจุดประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้โดยไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไงทันที

“ด…เดี๋ยวสิ…”

หลี่อิงไห่แทบจะทั้งล้มทั้งยืน เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้จากปากของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่คิดเลยว่าความหวังสุดท้ายในใจของเขาจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วและป่นปี้ขนาดนี้

นี่มันตรงไปตรงมาเกินไป!

“ต…แต่เราเป็นคนตระกูลหลี่เหมือนกัน คุณทำแบบนี้ไม่ได้…”

“ฉันทำอะไรไม่ได้?”

อวี้ฮ่าวหรานจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายทันทีและขัดจังหวะ

ถ้าตาแก่นี่ไม่เริ่มโจมตีเครือฮ่าวหรานของเขาก่อน เพื่อเห็นแก่ตระกูลหลี่ เขาคงไม่ทำอะไรกับบริษัทอิงเหมา

แต่เนื่องจากมันลงมือกับฉันอย่างหน้าด้าน ๆ ขนาดนี้ ถ้างั้นมันก็ต้องรับกับผลที่ตามมา!

“ฉันขอปลดแกออกจากทุกตำแหน่งในบริษัทตอนนี้เดี๋ยวนี้! แกต้องขนข้าวของส่วนตัวออกไปจากบริษัทของฉันภายใน 10 นาที!”

อวี้ฮ่าวหรานประกาศอย่างเด็ดขาด

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่อิงไห่มองไปที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลานาน เขารู้สึกสิ้นหวังในใจ

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สูดหายใจเข้าลึกอย่างจนใจ

“ตกลง ฉันยอมรับการตัดสินใจของประธานอวี้”

ถ้าต่อต้านไม่ได้ก็ต้องยอม ในเวลานี้เขาไม่มีอำนาจอีกแล้ว

ในเวลานี้ พวกผู้บริหารที่อยู่รอบ ๆ เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบนินทา

“หึหึ ดูหลี่อิงไห่สิ ก่อนหน้านี้ทำตัวราวกับเป็นพระเจ้า แต่ตอนนี้กลับหงอไม่ต่างอะไรกับสุนัขเลย!”

“ก่อนหน้านี้ฉันเตือนเขาไปแล้วว่าไม่ควรทำและฉันก็ไม่อยากจะทำ แต่เขากลับด่าว่าฉันไร้ประโยชน์และยังคงเริ่มแผนเล่นงานเครือฮ่าวหรานต่อไป แล้วดูตอนนี้สิ เห็นไหมล่ะ? ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเขาเองที่รนหาที่ตาย!”

“สมควรแล้ว! หลานชายของฉันถูกไล่ออกจากบริษัทเพราะเหตุผลส่วนตัวของหลี่อิงไห่ล้วน ๆ เขาไม่ไว้หน้าฉันเลยสักนิด ตอนนี้ถึงตาของเขาบ้างแล้ว!”

“…”

เสียงนินทาของผู้บริหารหลายคนไม่ได้เบาเลย ซึ่งมันทำให้สีหน้าของหลี่อิงไห่แย่มากกว่าเดิม

บทที่ 311 หนึ่งร้อย
บทที่ 311 หนึ่งร้อย

สมาชิกหลักของแก๊งวาฬยักษ์สบตากัน ทุกคนต่างตื่นตระหนกและพากันถอยกลับด้วยความกลัว!

การโจมตีครั้งเดียว!

ด้วยมือเดียว!

หัวหน้าสาขาที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา ก็ถูกบดขยี้ไม่ต่างอะไรกับมดแมลง!

ความแข็งแกร่งของบุคคลนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!

คนของแก๊งวาฬยักษ์ไม่มีใครกล้าปริปากพูดสักคน บรรยากาศในห้องเงียบราวกับป่าช้า ไม่มีใครกล้าพูดเกินครึ่งคำ!

ไม่ถึงครึ่งนาทีต่อมา หัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ที่เหลืออีกสามคนเหลือบมองกันและกัน และตัดสินใจ

“พวกเรามีกันมากกว่าหนึ่งร้อยคน! พวกเราจะต้องไปกลัวอะไรกับคนแค่คน ๆ เดียว! ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากมีมีดสักเล่มที่หลุดฟันไปถึงคอเขาได้ พวกเราก็จะชนะ!”

หัวหน้าสาขาแก๊งวาฬยักษ์ตะโกน!

เมื่อได้ยินคำพูดปลุกใจนี้ บรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ก็มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น พวกเขาเริ่มข่มความกลัวของตัวเองได้ไม่มากก็น้อย

พวกเขาตระหนักว่าต่อให้คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็มีเพียงคนเดียว มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมที่คน ๆ เดียวจะเอาชนะคนร้อยคนได้?

และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีหัวหน้าสาขาอยู่ด้วยอีกตั้งสามคน!

“ฆ่ามัน! แก้แค้นให้หัวหน้าสาขาจิ่น!”

“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”

“แก๊งวาฬยักษ์ของเราไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำได้ง่าย ๆ!”

“…”

เมื่อมีความมั่นใจกันแล้ว บรรดาสมาชิกร้อยคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็เริ่มตะโกนปลุกใจกันเองเสียงดังลั่นจนบรรยากาศในห้องกลายเป็นโกลาหลอีกครั้ง!

ทันทีหลังจากนั้น ภายใต้การนำของหัวหน้าสาขาทั้งสามคน คนของแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนต่างพุ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม!

คนของแก๊งวาฬยักษ์วิ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ราวกับว่าพวกเขากำลังแข่งวิ่งเพื่อต้องการไปให้ถึงเส้นชัยเป็นคนแรก!

อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายไปรอบ ๆ แววตาของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

ชายหนุ่มโคจรพลังวิญญาณในร่างของตัวเองแบบสบาย ๆ โดยไม่มีการออกท่าทางหวือหวาใด ๆ จากนั้นเขาก็แค่ชกไปในอากาศตรงหน้าอย่างช้า ๆ!

ปัง!!

แม้หมัดที่อวี้ฮ่าวหรานชกออกไปจะดูธรรมดา แต่ในทันทีที่ฤทธิ์ของมันสำแดงออกมา มันก็กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของบรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์!

พลังวิญญาณอันมหาศาลพุ่งออกไปในแนวตรง โจมตีทะลุผ่านคนของแก๊งวาฬยักษ์อย่างไม่มีอะไรจะหยุดได้!

สองคน!

สามคน!

พลังวิญญาณอันรุนแรงนี้พุ่งผ่านคนนับสิบภายในพริบตา!

ท้ายที่สุด พลังวิญญาณก็พุ่งไปชนกับกำแพงของห้องโถงบ่อน!

บรึ้ม!

เสียงกำแพงระเบิดดังลั่น จากนั้นแสงจากด้านนอกบ่อนก็ส่องทะลุเข้ามาด้านในห้องโถง แค่การต่อยช้า ๆ เพียงครั้งเดียวของอวี้ฮ่าวหรานก็สามารถทำลายกำแพงจนเป็นรูโหว่ขนาดยักษ์ได้อย่างไม่ยากเย็น!

แต่ที่น่าประหลาดก็คือ แม้ว่าพลังนี้จะรุนแรงจนถึงขนาดทำลายกำแพงได้ง่าย ๆ แต่พวกสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ที่ถูกพลังวิญญาณทะลุผ่านเนื้อตัวของพวกเขากลับไม่มีร่อยรอยขีดข่วนหรือฟกช้ำเลย แต่พวกเขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับว่าพวกเขาถูกสาป!

พวกคนของแก๊งวาฬยักษ์คนอื่น ๆ ต่างก็หยุดมองภาพเหตุการณ์ด้วยสีหน้าโง่งม

มนุษย์สามารถสร้างพลังทำลายล้างได้ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?

พวกเขาทั้งหมดมองไปที่รอยทะลุขนาดใหญ่ที่กำแพง ก่อนที่จะเบนสายตากลับมาที่อวี้ฮ่าวหราน

ระยะห่างระหว่างกำแพงกับชายหนุ่มที่น่ากลัวตรงหน้าพวกเขามันห่างกันถึง 20 เมตร!

ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ภาพถัดมาที่พวกคนที่โดนพลังประหลาดพุ่งผ่านใส่ซึ่งอยู่ถัดจากพวกเขานั้น ในตอนแรกก็ยืนนิ่งอยู่เฉย ๆ แต่พอเวลาผ่านราวไม่เกินห้าวินาที คนเหล่านั้นกลับกระอักเลือดออกมาอย่างฉับพลัน!

อั่ก…

ขณะที่คนอื่น ๆ ตกใจและหน้าซีด พวกคนที่สัมผัสพลังหมัดของอวี้ฮ่าวหรานต่างก็อาเจียนเป็นเลือด และเลือดก็เริ่มไหลออกจากทวารทั้ง 7 และต่อมาผู้คนนับสิบก็ล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับหมดลมหายใจ!

ผู้คนนับสิบตายภายในการโจมตีครั้งเดียว!

ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างตกตะลึงและมองหน้ากันอย่างไม่รู้ตัว!

นี่…นี่มันไม่ใช่การต่อสู้แล้ว!

การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มันคือการฆ่าตัวตายชัด ๆ!

อีกทั้งวันนี้อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้วางแผนที่จะไว้ชีวิตคนเหล่านี้สักคน คนพวกนี้ต่างเป็นพวกคนเลวช้าสามานย์ จึงไม่สมควรได้รับความเมตตาใด ๆ ทั้งนั้น!

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาโคจรเร็วขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ก่อนจะแผ่กระจายพลังวิญญาณปกคลุมทุกส่วนร่างของตัวเองและพุ่งเข้าหากลุ่มคนของแก๊งวาฬยักษ์รวดเร็วราวกับสายฟ้า! เขาเหมือนเสือกระโจนเข้าฝูงแกะ!

นับจากนั้น ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความโกลาหล และเสียงร้องโหยหวนที่สิ้นหวัง!

คนของแก๊งวาฬยักษ์ไม่อาจต้านทานอวี้ฮ่าวหรานได้เลย หนึ่งหมัดที่เขาปล่อยไปหมายถึงหนึ่งชีวิตที่หลุดลอย

เมื่อเห็นเช่นนี้ สามปรมาจารย์หัวหน้าสาขาแก๊งวาฬยักษ์ที่เป็นผู้นำกลุ่มจึงต้องการที่จะรวมกำลังกันตอบโต้ แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีถัดมา พวกเขาก็โดนหมัดของอวี้ฮ่าวหรานอัดเข้าใส่อย่างจังจนพวกเขากระเด็นไปคนละทิศทาง!

หมัดเมื่อครู่นี้ อวี้ฮ่าวหรานใส่แรงไปมากพอสมควร ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาคือ หัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ตายทันที 2 ราย!

ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณและพลังภายในนั้นต่างราวฟ้ากับเหว ไม่มีทางที่จะเอามาเทียบกันได้!

หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปอีกราวสิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ ถอนพลังวิญญาณของตัวเองกลับ พร้อมกับที่สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์คนสุดท้ายล้มลงและสิ้นลมหายใจ!

การฆ่าคนร้อยกว่าคนครั้งนี้ อวี้ฮ่าวหรานเสียพลังวิญญาณไปแค่หนึ่งในสี่เท่านั้น

ต่อให้เป็นปรมาจารย์กำลังภายในขั้นสูงสุด หากเผชิญหน้ากับเหล่าอันธพาลที่มากประสบการณ์มากกว่าร้อยคนที่นำโดยสามปรมาจารย์กำลังภายใน คนผู้นั้นคงทำได้แต่หนี ไม่เช่นนั้นท้ายที่สุด เขาก็จะหมดพลังและโดนรุมกระทืบตาย

หลังจากคนของแก๊งวาฬยักษ์คนสุดท้ายตายลง บรรยากาศของทั้งห้องโถงก็เงียบสงัด

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เดินเข้าไปหาหวังเหยียน

ฝ่ายตรงข้ามดูเศร้าหมองอย่างยิ่งในเวลานี้ แขนทั้งสองข้างหัก และซี่โครงของเขาดูเหมือนจะหักสองหรือสามซี่

โชคดีที่พลังชีวิตยังคงหลงเหลือและการหายใจยังคงที่

“ขอบคุณ…ขอบคุณ…ฉัน…คราวนี้ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายมากจริง ๆ!”

หวังเหยียนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาและกล่าวคำขอบคุณเป็นระยะ

หวังเหยียนเป็นคนที่สำนึกในบุญคุณที่คนอื่นทำให้เสมอ และเขาจะต้องตอบแทนคืนให้ได้

ก่อนหน้านี้ที่โจวเฟยหู่ช่วยชีวิตเขา เขาก็ตอบแทนอีกฝ่ายโดยการยอมเป็นผู้ติดตามคอยช่วยต่อสู้เคียงข้างเพื่อทำให้แก๊งของอีกฝ่ายรุ่งโรจน์

ทว่าในเวลานี้ในใจของเขารู้สึกสับสน เขาเป็นหนี้ชายหนุ่มคนนี้มากเกินไปจนคิดไม่ออกว่าทั้งชีวิตนี้จะทำอย่างไร ถึงจะสามารถตอบแทนได้หมด!

อวี้ฮ่าวหรานนั่งยอง ๆ และมองอีกฝ่าย อาการบาดเจ็บของหวังเหยียนสาหัสพอสมควร อวี้ฮ่าวหรานจึงอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ

“คราวหน้าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ โทรหาฉันให้เร็วกว่านี้ ฉันจะได้มาไวกว่าเดิม”

เขารู้สึกพอใจหวังเหยียนมาโดยตลอด และจากมุมมองของชายหนุ่ม เขาสามารถเห็นได้ง่าย ๆ ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะมีคุณสมบัติพอที่จะตอบแทนสิ่งที่เขาต้องการได้ไม่มากก็น้อย

คนประเภทนี้เขาไว้วางใจได้

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โทรออกหาโจวเฟยหู่

โจวเฟยหู่รู้ข่าวแล้วและกำลังรีบมาที่นี่พร้อมกับผู้คน

สมาชิกแก๊งพยัคฆ์เวหาที่ยังรอดอยู่ในบ่อน อวี้ฮ่าวหรานก็ปล่อยให้พวกเขารอโจวเฟยหู่ไปก่อน จากนั้นเขาก็พาหวังเหยียนไปโรงพยาบาลเพียงแค่คนเดียว

ก่อนหน้านี้สมองของอีกฝ่ายตึงเครียดถึงขีดสุด ดังนั้นหลังจากถูกช่วยเหลือและเห็นว่าสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายแล้ว หวังเหยียนจึงหมดแรงและเกือบจะอยู่ในอาการโคม่าทันที

โรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮ่วยอัน

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากการรักษาเบื้องต้น หวังเหยียนก็ถูกสั่งให้นอนที่โรงพยาบาลโดยยังไม่มีกำหนดให้ออก

เขามีบาดแผลนับสิบแห่ง มีกระดูกแตกหักหลายท่อน บรรดาแพทย์จึงต้องวินิจฉัยอย่างละเอียดก่อนถึงจะสามารถผ่าตัดได้

“ขอบคุณนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ…”

หวังเหยียนปากสั่นและมีน้ำตาคลอในเวลานี้ ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะเจ็บจนแทบขาดใจ เขาก็ไม่ได้ขมวดคิ้วเลย

แต่ในเวลานี้ เมื่อเผชิญหน้ากับอวี้ฮ่าวหราน และคิดว่าตัวเองรอดมาได้โดยที่ลูกน้องของเขาตายเกือบหมด เขาก็ไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้อีกต่อไป

“ฉัน…ฉัน…พี่น้องของฉัน…ฉันประมาทเกินไป…”

เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะร้องไห้อย่างขมขื่น

หลังจากนั้นไม่นาน โจวเฟยหู่ก็รีบเข้ามาพร้อมกับคนอื่น ๆ

“หวังเหยียน! หวังเหยียน! เป็นไงบ้าง!”

แววตาของเขาดูตื่นตระหนกอย่างมาก นับตั้งแต่ก่อตั้งแก๊งพยัคฆ์เวหา พวกเขาก็เคยเผชิญมาหมดแล้วไม่ว่าจะศึกใหญ่หรือเล็ก แต่ไม่มีสักครั้งที่หวังเหยียนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้

“แค่ก…แค่ก…หัวหน้าฉันไม่เป็นไร…น้อง…ไม่สิ พี่อวี้ช่วยฉันเอาไว้…”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูกังวล หวังเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะปลอบโยน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่กล้าเรียกอวี้ฮ่าวหรานว่า ‘น้อง’ อีกต่อไป

เขาติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายเกินกว่าจะมองว่าตัวเองอาวุโสทางอายุกว่า

“ดีแล้ว…ดีแล้ว! ดีแล้ว!”

เมื่อโจวเฟยหูได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของเขาก็สงบลงเล็กน้อย เขาทั้งโล่งใจและพอเข้าใจในความหมายของการที่หวังเหยียนไม่เรียกอวี้ฮ่าวหราน ว่า ‘น้อง’ อีกแล้ว

แต่จากนั้นความโกรธที่หาที่เปรียบมิได้ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“ฉันสัญญา! เราจะฆ่าแก๊งวาฬยักษ์อย่างแน่นอน! ฉันจะจับหลิ่วอวี้จิง มาคุกเข่าขอขมาต่อหน้านายให้ได้!”

บทที่ 312 แผนการที่ถูกวางเอาไว้แล้ว
บทที่ 312 แผนการที่ถูกวางเอาไว้แล้ว

“ถ…ถึงแม้ว่า…พวกพี่น้องของเราจะไม่ตายโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้ แต่…แต่หัวหน้าอย่าเพิ่งทำอะไรโดยใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว สำหรับหลิ่วอวี้จิ่ง ตอนนี้เรายังไม่สามารถจัดการกับมันได้ชั่วคราว”

สีหน้าของหวังเหยียนเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของโจวเฟยหู่

เขาเข้าใจดีถึงความแข็งแกร่งของโจวเฟยหู่ว่ามีขนาดไหน หัวหน้าแก๊งของตัวเองเพิ่งบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์กำลังภายในมาไม่นานนี้เอง ดังนั้นโจวเฟยหู่จึงยังไม่สามารถที่จะไปจัดการกับหลิ่วอวี้จิงได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงรีบปรามอีกฝ่ายทันที

หวังเหยียนไม่ได้นับรวมความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหราน เข้ามาอยู่ในความแข็งแกร่งของแก๊งพยัคฆ์เวหา เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณแก๊งพยัคฆ์เวหาอะไรทั้งนั้น…

อันที่จริงตั้งแต่แรก แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ติดหนี้บุญคุณ อวี้ฮ่าวหราน

ทว่าในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็เริ่มพูดแทรก

“ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าในอนาคตมีเรื่องอะไรก็แค่บอก ฉันจะไปช่วยในทันที”

เขาให้สัญญากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง

“น…น้องอวี้ นายยินดีจะช่วยพวกฉันจริง ๆ งั้นเหรอ?”

โจวเฟยหู่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้อีกฝ่ายถึงลงทุนทำเช่นนี้เพื่อพวกเขา

ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เขาพอจะสังเกตเห็นว่า อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนที่ไม่ค่อยยี่หระกับอะไร และห่วงใยแค่ครอบครัวของตัวเองเท่านั้น

“ไม่ต้องถามมาก แค่รู้ว่าฉันจะไปช่วยก็พอ”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้อธิบายมาก

การที่เขาตัดสินใจจะช่วยแบบนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะหวังเหยียน แต่ส่วนหลักเป็นเพราะชายหนุ่มรู้สึกรำคาญกับความเลวทรามของพวกแก๊งวาฬยักษ์ที่แสดงออกมาตอนเหตุการณ์ในบ่อน

อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการให้แก๊งที่ชั่วช้าแบบนี้เดินร่อนไปมาอยู่ในเมืองเดียวกับที่ครอบครัวของตัวเองอยู่ เขารู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่!

ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เดินออกจากวอร์ดไป

ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง

ตรู๊ดด ตรู๊ดดด ตรู๊ดดดด…

เวลาตีสาม หลิ่วอวี้จิงเพิ่งผล็อยหลับไปบนโซฟา แต่จู่ ๆ ก็ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์รัวถี่ ๆ!

จริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะหลับ แต่เขาแค่รอสายนี้มานานเกินไปจนเผลอผล็อยหลับ

“ห…หัวหน้า! มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว!!”

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขารับโทรศัพท์ เสียงตื่นตระหนกก็ดังมาจากอีกฝั่งสาย

สีหน้าของหลิ่วอวี้จิงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่าย และเดาถึงเรื่องที่กำลังจะได้ยินถัดมา

“จิ่นเฟิง…ทำพลาดจนหวังเหยียนหนีไปได้ใช่ไหม?”

“ไม่…ไม่…ผมเพิ่งมาถึงที่บ่อน! พวกของเรา…พวกของเราตายกันหมดเลยหัวหน้า!!”

เมื่อพูดประโยคนี้เสียงของปลายสายยิ่งตื่นตระหนกมากกว่าเดิม ราวกับว่าเห็นบางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ

“อะไรนะ!?”

หลิ่วอวี้จิงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และเขาตกใจจนดีดตัวยืนขึ้น! !

“แกอธิบายมาดี ๆ เลยนะ! ถ้าแกล้อฉันเล่นฉันฆ่าแกแน่!!”

ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าลูกน้องของเขาไม่มีทางล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ แต่ด้วยความโกรธจัด หลิ่วอวี้จิงจึงตะโกนขู่ออกโดยไม่รู้ตัว

หรือบางทีเขาอาจกลัวจนไม่อยากจะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น

เสียงลมหายใจที่ปลายสายสั่นเทิ้ม และต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อปรับอารมณ์และอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ในสิ่งที่ตัวเองเห็น

“ค…คือผมรอสายโทรศัพท์จากหัวหน้าสาขาจิ่นนานมาก จนเริ่มสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่โทรหาผมสักที ผมก็เลยเริ่มโทรไปแต่ก็ไม่มีใครรับสาย จากนั้นด้วยความกังวลผมก็เลยขับรถมาที่บ่อนเพื่อดู…แต่แล้ว…แต่แล้ว…สิ่งที่ผมเห็นก็คือ…ทุกคนตายหมดแล้ว หัวหน้าสาขาจิ่นรวมไปถึงหัวหน้าสาขาอีกสามคนก็ตายทั้งหมดด้วย…”

ขณะที่พูด เสียงของปลายสายสั่นกลัวมาก

หลังจากที่ฟังจนจบ หลิ่วอวี้จิงก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาท่อนเหล็กมาตีที่หัวของตัวเองอย่างจังจนมึนงงไปหมด และมือไม้ของเขาก็อ่อนจนโทรศัพท์ในมือร่วงตกไปที่พื้น

“ทั้งหมด…ตายทั้งหมด … ”

หัวหน้าสาขาสี่คนที่เป็นปรมาจารย์กำลังภายในตายหมดเลย! เพื่อแผนการสังหารหวังเหยียน เขาจึงได้สั่งการเสาหลักของแก๊งเกือบทั้งหมด แต่ตอนนี้ทุกคนที่เขาส่งไปกลับตายหมดแล้ว!

แม้ว่าตัวเองจะตัดสินใจเข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง แต่ความแข็งแกร่งของลูกน้องของเขาก็นับได้ว่าเป็นตัวกำหนดตำแหน่งในอนาคตของเขาต่อ กงซุนซา!

หากความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเท่ากัน ตำแหน่งของเขาจะไม่ด้อยกว่าอีกฝ่าย

แต่ในเวลานี้เขาไม่เหลือความแข็งแกร่งอะไรไปต่อรองตำแหน่งเลย!

“นี่…มันเข้าทางของตาเฒ่ากงซุนอย่างถึงที่สุดเลยใช่ไหม? ตาแก่นั่นคงเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้?”

เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง และรู้สึกสยดสยองกับแผนการของกงซุนซา

ด้วยวิธีนี้ ตาแก่นั่นคงยิ่งยึดครองโลกใต้ดินของเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น!

ในมุมมองของหลิ่วอวี้จิง ต่อให้อวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งมากเพียงไหน เขาก็มองว่าไม่ได้อันตรายสักเท่าไหร่ เพราะอวี้ฮ่าวหรานดูไม่ใช่คนที่ชอบใช้แผนเจ้าเล่ห์ แต่กับกงซุนซา…ชายแก่คนนี้อันตรายมากว่ามาก ๆ!

“เฮ้อ…ช่างเถอะ…ลืมมันซะ ให้มันเป็นไปตามที่ตาแก่นั่นต้องการก็แล้วกัน ไม่ว่ายังไงฉันเองก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย”

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับว่ายอมรับชะตากรรมของตัวเองแล้ว

ความปรารถนาในความแข็งแกร่งได้เอาชนะหน้าที่ความรับผิดชอบของแก๊งตัวเองไปจนหมดสิ้นเรียบร้อย

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเสร็จสิ้นสิ่งที่ควรทำทั้งหมดแล้ว เขาจึงตรงกลับคอนโดทันที และกว่าจะกลับไปถึงก็เป็นเวลาตีสองเข้าไปแล้ว

เมื่อมองเวลาดูแล้วและเห็นว่าดึกมาก อวี้ฮ่าวหรานจึงค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าไฟในห้องนั่งเล่นยังคงเปิดอยู่!

หลี่หรง น้องภรรยาของเขากำลังนอนอยู่บนโซฟา!

แต่เธอหลับไปแล้วในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ อากาศจะค่อนข้างหนาว หลี่หรงจึงนอนอยู่บนโซฟาในท่าขดตัว

เมื่อเห็นสิ่งนี้ มุมปากของอวี้ฮ่าวหรานก็กระตุกเล็กน้อย เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ

แม้ว่าอีกฝ่ายมักจะเจ้าอารมณ์ แต่อันที่จริงชายหนุ่มเข้าใจดีกว่าอีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของเขามากอย่างชัดเจน

เมื่อเห็นว่าอากาศมันค่อนข้างหนาวกว่าปกติ อวี้ฮ่าวหรานจึงกลัวว่าคนธรรมดาอย่างน้องภรรยาจะเป็นไข้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องของตัวเองและหยิบเอาผ้าห่มสำรองที่อยู่ในตู้มาห่มให้อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

บทที่ 318 ล้ำเส้น
บทที่ 318 ล้ำเส้น

อู๋ลั่นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาจึงตั้งใจจะหนี

อย่างไรก็ตามด้วยความแค้นจากการล้มเหลว ก่อนจะจากไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนข่มขู่ขึ้น

“ไอ้หนุ่ม แกอย่าได้ใจไปนัก ถึงแม้ว่าคราวนี้ฉันจะฆ่าแกไม่ได้ แต่คราวหน้าฉันมั่นใจว่าฉันฆ่าแกกับลูกของแกได้แน่!”

หลังจากพูดจบเขาพุ่งตัวจากไปโดยไม่เหลียวหลังมอง

แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานพลันเปลี่ยนเป็นมืดมนทันทีหลังจากได้ยินประโยคนี้!

เขาไล่ตามอีกฝ่ายทันราวกับเล่นกล!

‘ผัวะ!!’

หมัดลุ่น ๆ กระแทกเข้าที่ใบหน้าของอู๋ลั่นอย่างจัง!

หมัดนี้แฝงด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นอู๋ลั่นจึงกระเด็นไปไกลห้าเมตรทันที!

อู๋ลั่นกระแทกไปที่พื้นอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“แกกล้าดียังไงมาต่อยหน้าฉันแบบนี้!!!”

เขาจับแก้มซ้ายของตัวเองซึ่งเป็นด้านที่โดนต่อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าทำร้ายเขาขนาดนี้

อวี้ฮ่าวหรานจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา

“มดแมลงอย่างแกกล้าขู่ลูกของฉันผู้นี้งั้นเหรอ รนหาที่ตาย!”

การที่อีกฝ่ายขู่ฆ่าลูกสาวของเขาเช่นนี้มันคือการล้ำเส้นของเขาอย่างรุนแรง คน ๆ นี้ต้องตาย!

แน่นอนว่าประโยคนี้ของอวี้ฮ่าวหราน ทำให้อู๋ลั่นใจสั่น เขาไม่รีรออะไรอีกแล้ว และรีบใช้วิธีการลับบางอย่างทันที ซึ่งส่งผลให้ทั้งตัวของเขากลายเป็นกลุ่มควันก่อนจะหายตัวไปจากที่เดิม

เมื่อร่างของเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรแล้ว!

อวี้ฮ่าวหรานหันขวับมองตามทันทีด้วยความประหลาดใจ

เขาไม่นึกเลยว่าโลกมนุษย์จะมีวิธีเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลันเช่นนี้ แน่นอนว่าชายหนุ่มเห็นทุกขั้นตอนว่าอู๋ลั่นหนีไปยังไง สิ่งนี้ไม่สามารถซ่อนจากสายตาของเขาได้

“ฮ่า ๆ! เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ง่าย ๆ หรอกโว้ย! รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะกลับมาอีกแน่และวันไหนที่ข้ากลับมา มันจะหมายถึงวันตายของเจ้ากับลูก…”

เมื่อเข้าใจว่าตัวเองหนีรอดแน่ ๆ แล้ว อู๋ลั่นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และหันหลังหนีไปในทันที

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่อู๋ลั่นกำลังได้ใจคิดว่าตัวเองหนีรอดแล้วและพุ่งหนีต่อไปได้ราวห้าสิบเมตร จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาขึ้นข้าง ๆ หู

“แกคิดว่าจะรอดจากเงื้อมมือฉันไปได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?”

‘ปัง!!’

ยังไม่ทันที่จะได้ขนลุก อู๋ลั่นก็เจ็บแปลบที่ชายโครงอย่างรุนแรง จากนั้นร่างของเขาก็ลอยละลิ่วไปตกที่ในป่าทึบข้างทางห่างออกไปห้าสิบเมตรด้วยพลังเตะของอวี้ฮ่าวหราน!

โครม! อั่ก!!

หลังจากหล่นลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง พลังวิญญาณในร่างของอู๋ลั่นก็ปั่นป่วนจนไม่อาจโคจรเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ เขาจึงพยายามที่จะยันกายลุกขึ้นเพื่อหนีต่อ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจนทำได้แค่พยายามคลานอย่างน่าสังเวช

“ป…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”

อู๋ลั่นไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะตามเขาทันได้ในพริบตาแบบนั้น ความเร็วที่อีกฝ่ายมีมันแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงระดับ…

“เป็นไปได้ยังไง?? คนอายุอย่างมันอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดได้ยังไง!?”

“มดแมลงอย่างแกจะมาเข้าใจเทพอย่างฉันผู้นี้ได้ยังไง?”

โดยไม่ทันรู้ตัว อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ปรากฏขึ้นยืนค้ำหัวของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว

เขามองลงไปที่อู๋ลั่นด้วยแววตาเย็นชาและดูถูก…

“บทลงโทษสถานเดียวกับคนที่กล้าบังอาจหมายชีวิตลูกสาวของฉันคือตาย!”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองรอบ ๆ ก่อนชั่วอึดใจ และเมื่อมั่นใจว่าตรงจุดนี้รกทึบมากจนถวนถวนมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดแน่ เขาจึงโคจรพลังวิญญาณจนถึงขีดสุดและกระทืบเท้าลงไปที่หัวของอู๋ลั่นอย่างเต็มแรงโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูดอะไร!

บรึ้ม!!

ด้วยการกระทืบอย่างรุนแรง พื้นดินบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนเล็กน้อย

เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ สภาพแวดล้อมโดยรอบที่มีแต่ต้นไม้รกทึบก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

“ถุย!”

ด้วยความโมโห อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่ศพของอู๋ลั่น

อันที่จริงหากอีกฝ่ายไม่ขู่ลามไปถึงลูกของเขา ชายหนุ่มก็คงจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไป เพราะตัวของเขาเองก็ยังไม่อยากฆ่าคนที่แข็งแกร่งแบบนี้หากไม่จำเป็น

เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นี้น่าจะมาจากสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกนี้ ซึ่งคนผู้นี้คงไม่ใช่คนที่เก่งสุดในสำนัก การที่เขาฆ่าคนเช่นนี้ไปก็หมายถึงว่าในอนาคตเขาคงจะถูกล้างแค้นโดยผู้บ่มเพาะที่อาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ได้ก้าวล้ำเส้นของเขาไปมาก ดังนั้นจึงต้องฆ่าทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก!

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เตะโด่งศพของอู๋ลั่นให้กระเด็นเข้าในป่าลึกกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะใช้พลังวิญญาณทำความสะอาดเลือดของอีกฝ่ายออกจากเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไปที่รถ

“พ่อจ๋า คนเลวหายไปไหนแล้ว เมื่อกี้พ่อเข้าไปทำอะไรในป่ากับคนเลว?”

หลังจากขึ้นรถ ถวนถวนเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยอย่างไร้เดียงสา

“ไม่มีอะไรแล้ว พ่อจัดการกับคนเลวไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปเขาจะไม่มากวนเราอีก”

อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางลูบหัวลูกสาวของเขาด้วยความเอ็นดู

“ฮ่าฮ่า พ่อจ๋าสุดยอดที่สุด! พ่อจ๋าไล่คนเลวไปอีกแล้ว ถวนถวนก็ไม่ต้องกลัวคนเลวคนไหนทั้งนั้น!”

เด็กน้อยเมื่อได้ยินคำปลอบของพ่อตัวเอง เธอก็อารมณ์ดีมากกว่าเดิม ด้วยความเป็นเด็กและไร้เดียงสา เธอจึงไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่พ่อของเธอเพิ่งลงมือสังหารโหดโดยการเหยียบหัวของศัตรูจนเละไปหมาด ๆ

หลังจากนั้นคู่พ่อลูกก็พากันไปที่เครือฮ่าวหราน และเมื่อเวลาล่วงเลยถึงห้าโมงเย็น อวี้ฮ่าวหรานก็รีบพาถวนถวนที่ยังติดใจอยากจะอยู่เล่นต่อกลับคอนโด

หลังจากกลับไปถึงห้อง หลี่หรงก็บ่นขึ้นทันที

“พี่เขย ทำไมวันนี้พี่กลับซะเย็นแบบนี้! นี่ฉันอุ่นข้าวไปตั้งหลายรอบเพื่อรอพี่กลับมา! เร็ว ๆ เลย รีบพาถวนถวนไปล้างมือล้างเท้าแล้วมากินข้าวกันเดี๋ยวนี้เลย!”

“แหะ ๆ แม่หรงจ๋า วันนี้พ่อจ๋าอัดคนเลวด้วยแหละ!”

ในระหว่างที่กำลังถูกอวี้ฮ่าวหรานพาเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างมือ เด็กน้อยก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าสนุกสนาน

“อัดคนเลว? พี่เขย พี่มีเรื่องอีกแล้วงั้นเหรอวันนี้?”

หลี่หรงเบนสายไปถามอวี้ฮ่าวหรานทันที เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อยใจกับพี่เขยของตัวเองที่มีเรื่องค่อนข้างบ่อย

บทที่ 313 เตรียมยึดบริษัทอิงเหมา
บทที่ 313 เตรียมยึดบริษัทอิงเหมา

ตอนสิบโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปถึงบริษัท ผู้จัดการหวังก็เข้ามาหาเขาในออฟฟิศทันที

“หลังจากที่กลับมา คุณโอเคหรือเปล่า?”

เมื่อเห็นอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง

ผู้จัดการหวังพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามนี้ เขารู้ได้ว่าประธานของเขากำลังถามถึงเรื่องที่หลังจากเขาถูกลักพาตัวไปครั้งล่าสุด

“ทุกอย่างเรียบร้อยดี แม้ว่าภรรยาของผมจะยังคงมีอาการตื่นกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไป แต่เธอก็ยังคงชมว่าท่านประธานเป็นเจ้านายที่ดี เธอสนับสนุนให้ผมมาทำงานกับท่านประธานมากกว่าเดิมซะอีก”

“อืม ผมจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เดี๋ยวผมจะให้ใครสักคนมาแก้ปัญหาเกี่ยวกับพวกแก๊งพวกนั้นอีกที”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย และเปิดเผยข้อมูลบางอย่างเพื่อทำให้อีกฝ่ายอุ่นใจขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้จัดการหวังได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกใจเล็กน้อยและพูดอะไรไม่ออก

เขาไม่เคยคิดเลยว่าประธานอายุน้อยของเขา ไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ทางด้านการทำธุรกิจและเป็นเลิศในด้านศิลปะการต่อสู้ แต่กลับมีเส้นสายเกี่ยวข้องกับพวกกลุ่มแก๊งใต้ดินของเมืองอีกต่างหาก!

นี่ประธานของเขาน่ากลัวเกินไปหน่อยไหม?!

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือประธานที่มีอำนาจเช่นนี้ แต่บุคลิกกลับเป็นคนจิตใจดีและเข้าถึงได้ง่าย…

เรื่องนี้ต้องชื่นชม…

“ท่านประธาน ผมจะตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อเครือฮ่าวหราน ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน!”

ผู้จัดการหวังให้คำมั่นสัญญา

ไม่เพียงแต่ปากที่เอ่ยคำสัญญา ในใจของเขาก็สัญญากับตัวเองเอาไว้เช่นกันว่า ตัวเองจะไม่มีวันหักหลังเครือฮ่าวหราน ไม่ว่าอนาคตจะมีผลประโยชน์มหาศาลเพียงใดมาล่อเขา…

การที่เขาได้มีเจ้านายที่เลิศเลอขนาดนี้นับได้ว่าเป็นโชคที่หาได้ยากในชีวิตของเขา

“ผมรู้ว่าคุณจะทำงานเต็มที่ให้กับผมแน่นอน ผมรู้เรื่องนี้ดี ส่วนตัวของผมเองก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังเช่นกัน”

อวี้ฮ่าวหรานยิ้มและพยักหน้า บุคคลคนนี้สมแล้วที่ชายหนุ่มไว้ใจให้จัดการงานส่วนใหญ่ของบริษัทแทนเขาจริง ๆ

ไม่เช่นนั้น หากเขาดูแลกิจการทั้งหมดนี้อยู่คนเดียว ไม่ต้องพูดถึงการฝึกฝนบ่มเพาะ แม้แต่เวลานอนให้เพียงพอก็คงทำไม่ได้ด้วยซ้ำ

และที่สำคัญที่สุด ถ้าเขามัวยุ่งอยู่แต่กับการดูแลบริษัท ความตั้งใจเดิมของเขาที่จะไปช่วยหลี่เม่ยคงไม่มีทางสำเร็จแน่นอน…

“ขอบคุณครับท่านประธานอวี้ แต่ว่าวันนี้ผมมีเรื่องจะแนะนำท่าน ท่านประธาน ผมคิดว่าวันนี้เราควรมาคุยเรื่องเซ็นสัญญาควบรวมกิจการของบริษัทอิงเหมา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราได้แล้ว ตอนนี้เรากว้านซื้อหุ้นของพวกเขามากจนเกินพอแล้วครับท่าน”

“อืม ว่ามาเลย”

“หลังจากที่เราร่วมมือกับบริษัทชิวเฮิงโจมตีบริษัทอิงเหมาเพื่อยึดกิจการมา สิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นมาก เราแทบจะไม่พบกับการต่อต้านที่แข็งแกร่งจนถึงขณะนี้ จึงเรียกได้ว่าทั้งบริษัทอิงเหมาตกเป็นของเราและบริษัทชิวเฮิงแล้ว แต่ด้วยเหตุผลใดผมก็ไม่ทราบเช่นกัน ในวันนี้บริษัทชิวเฮิงกลับโอนหุ้นทั้งหมดของบริษัทอิงเหมาที่พวกเขาถืออยู่มาให้เราทั้งหมด”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้จัดการหวังก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย

หุ้นที่ได้มานั้นคือเงินจำนวนไม่น้อยเลย ดังนั้นการโอนหุ้นมาเปล่า ๆ แบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการโอนเงินมาให้ฟรี ๆ

นี่ไม่ใช่ทัศนคติของบริษัทที่หวังผลกำไรทั่วไปเขาจะทำกันอย่างแน่นอน

“ถ้างั้นแล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เขาพอจะเข้าใจการกระทำของเฉิงกัวอันอยู่บ้าง

“ตอนนี้ หลังจากได้รับหุ้นบริษัทอิงเหมามาจากบริษัทชิวเฮิงแล้ว เราสามารถพูดได้ว่าเราได้ควบคุมบริษัทอิงเหมาอย่างสมบูรณ์ คุณมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับบริษัทอิงเหมาทุกอย่างโดยสมบูรณ์ คุณสามารถที่จะยุบหรือจัดระเบียบใหม่ หรือเอาเข้ามาควบรวมเข้ากับเครือฮ่าวหรานได้ตลอดเวลา”

“ถ้างั้นนี่มันก็หมายความว่า ฉันสามารถไล่หลี่อิงไห่ออกจากบริษัทของเขาเองได้ตลอดเวลาใช่ไหม?”

“ถูกต้องครับท่านประธาน! แต่ถ้าจะพูดให้ถูก ท่านควรจะกล่าวว่าไล่ออกจากบริษัทของท่านมากกว่า เพราะตอนนี้บริษัทอิงเหมาเป็นทรัพย์สินของท่านแล้ว” ผู้จัดการหวังพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามของอวี้ฮ่าวหราน

“หึหึ ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย เอาล่ะ คุณไปเตรียมตัวให้พร้อม ผมอยากให้คุณพาผมไปดูบริษัทอิงเหมาในวันนี้!”

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ เขาตัดสินใจว่าเขาจะเข้าครอบครองบริษัทอิงเหมาในวันนี้เลย

เรื่องนี้มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะใจเล็กน้อย

เมื่อหลายสิบวันก่อน หลี่อิงไห่เคยต้องการที่จะขอรวมบริษัทอิงเหมาเข้ากับเครือฮ่าวหราน ด้วยเงื่อนไขหลังจากรวมแล้วขอแบ่งหุ้นเครือฮ่าวหรานไปครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สุดแสนจะต่ำช้า ซึ่งชายหนุ่มก็ปฏิเสธไปในทันทีในเวลานั้น

ทว่าวันนี้…บริษัทอิงเหมาได้ถูกรวมเข้ากับเครือฮ่าวหรานจริง ๆ

เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ หลี่อิงไห่ไม่ได้รับส่วนแบ่งใด ๆ เลยสักหยวน!

น่าตลกจริง ๆ!

นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทต่างก็เป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรซึ่งสามารถสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้อย่างเหมาะเจาะ

หลังจากความสำเร็จของการควบรวมกันนี้ จุดแข็งของเครือฮ่าวหราน จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกว่าบางทีเขาควรจะขอบคุณเฉิงกัวอันให้เหมาะสม เพราะถ้าหากปราศจากความช่วยเหลือจากบริษัทชิวเฮิง ความสำเร็จนี้มันคงได้มาไม่ง่ายนัก

แต่ในขณะนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือต้องเข้าควบคุมบริษัทอิงเหมาก่อน

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้จัดการหวังกลับมาที่ออฟฟิศของอวี้ฮ่าวหรานอีกครั้ง และส่งสัญญาณว่าผู้ติดตามทุกคนพร้อมแล้ว

กลุ่มคนมากกว่าหนึ่งโหล แบ่งกันนั่งรถหรูสำหรับผู้บริหารแปดคัน ออกจากเครือฮ่าวหรานเป็นขบวน

คณะที่เดินทางไปในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริหารที่มากประสบการณ์ของเครือฮ่าวหราน และในคณะยังมีทนายความมืออาชีพอีกสองคน

ที่หัวขบวนรถคือรถสปอร์ตสุดหรูสีเหลืองสดใสที่โดดเด่นของอวี้ฮ่าวหราน

หลังจากนั้น Mercedes Benzes S class สีดำสุดหรูเจ็ดคันก็ขับตามกันมุ่งหน้าไปที่บริษัทอิงเหมา

ในบริษัทอิงเหมา หลี่อิงไห่กำลังนั่งมองเพดานบนเก้าอี้ผู้บริหารของตัวเอง

คราวนี้เขาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์!

ภายใต้การถูกรุมโจมตีของบริษัทใหญ่ยักษ์ถึงสองบริษัท เขาไม่มีทางต่อต้านอะไรได้เลย!

เขาไม่ได้นอนหลับมาสองวันสองคืน สีหน้าของเขาจึงดูซีดเซียวอย่างยิ่งในเวลานี้

“ท…ท่านประธานหลี่…เราเพิ่งได้รับโทรศัพท์ว่า คนจากเครือฮ่าวหรานกำลังจะมาที่บริษัทของเรา!”

ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ เลขาสาวดูมีท่าทีกังวลเป็นอย่างมาก

เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาหนึ่งปีกว่า และเธอมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลี่อิงไห่ ในเวลานี้เมื่อบริษัทได้ถูกเปลี่ยนมือ มันจึงทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจ

“ท่านประธาน…เราจะทำยังไงกันดี?”

“เหอะ ๆ…จะทำอะไรได้อีก? มันจบแล้ว…ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว…”

หลี่อิงไห่หัวเราะอย่างขมขื่น

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท