บทที่ 307 ถูกวางกับดัก
บทที่ 307 ถูกวางกับดัก
อวี้ฮ่าวหรานหยิบลูกสุนัขขึ้นมาทีละตัวแล้วลูบพวกมัน เขาสัมผัสได้ว่าพวกมันได้รับการดูแลอย่างดีมาก
อย่างน้อย ๆ หลิวเทียนอี้ก็ยังมีประโยชน์อยู่!
“พ่อจ๋า ดูสิ พวกมันโตกันหมดแล้ว!”
แต่หลังจากเด็กน้อยเล่นกับพวกลูกหมาอยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ เด็กน้อยก็แสดงสีหน้าเศร้าเล็กน้อย
“พ่อจ๋า เราพาพวกมันกลับบ้านได้ไหม? หนูอยากเห็นพวกมันอยู่ในบ้านของเรา…”
ดวงตาที่กลมโตเริ่มคลอไปด้วยน้ำตาของถวนถวนพยายามอ้อนวอนอย่างจริงจัง
เมื่อเห็นลูกสุนัขเหล่านี้อีกครั้ง เธอชอบมันมากและอยากเอากลับบ้านไปให้เจ้าลูกกวาดดูด้วย
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและยังไม่เห็นด้วย
“พ่อคงอนุญาตไม่ได้ ถ้าลูกจะเอาพวกมันไปทุกตัว”
ไม่มีทาง แค่การดูแลเจ้าลูกกวาดตัวเดียวก็ยุ่งยากแล้ว ขืนถ้าเอาไปเลี้ยงมากกว่าหนึ่งโหล…
หลี่หรงคงระเบิดลง และเธอคงรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่ ๆ
แต่เพื่อไม่ให้ลูกสาวของเขาเศร้า เขาจึงพยายามหาทางประนีประนอม
“แต่ถ้าลูกจะเลือกไปสักหนึ่งตัว พ่อคิดว่าแม่หรงของลูกน่าจะไม่มีปัญหา”
ถ้าเป็นตัวเดียว หลี่หรงน่าจะพอรับได้
“เย้! ได้ ๆ!”
เด็กน้อยก็มีเหตุผลเช่นกัน หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เด็กน้อยก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในเวลาเดียวกันนี้ หลิวเทียนอี้ก็เอ่ยขึ้นแทรก “ถวนถวน ไม่ต้องกังวลลุงสัญญาว่าจะดูแลพวกมันให้หนูเป็นอย่างดีที่สุด!”
“อื้ม ขอบคุณค่ะ!”
เมื่อได้ยินคำสัญญา ถวนถวนจึงพยักหน้าขอบคุณอย่างมีความสุข
คำขอบคุณนี้ของเด็กน้อย ทำให้ใบหน้าของหลิวเทียนอี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เขาจะไม่ยินดีดูแลพวกมันได้ยังไง? เป็นเพราะลูกหมาพวกนี้แท้ ๆ ที่ทำให้เครือฮ่าวหรานสั่งรถกับเขาเป็นมูลค่าหลายสิบล้าน!
หากมีใครจะมาแย่งลูกหมาพวกนี้ไปดูแลล่ะก็ เขาจะยอมสู้ตายเลยทีเดียว!
ผ่านไปอีกสักพัก หลังจากครุ่นคิดอย่างหนัก ถวนถวนก็จับลูกสุนัขที่มีขนคล้ายกับสีของเจ้าลูกกวาดมากที่สุดมาอุ้ม
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็พาถวนถวนเดินออกไปจากบ้านของหลิวเทียนอี้
ก่อนขึ้นรถเขาก็เหลือบมองชายอ้วนและเอ่ยขึ้น
“นายต้องดูแลลูกสุนัขพวกนั้นให้ดีที่สุด เพื่อที่ถวนถวนจะได้ไม่เสียใจเมื่อมาดูพวกมันอีกรอบ ในอนาคตเมื่อไหร่ที่บริษัทของฉันจะซื้อรถใหม่ ฉันจะสั่งให้คนของฉันเลือกโชว์รูมนายเป็นที่แรก”
เมื่อหลิวเทียนอี้ได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นในทันที
“ค…ครับผม! ผมจะดูแลพวกลูกหมาให้ดีที่สุด! ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ประธานอวี้ผิดหวัง!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะขับรถออกไปทันที
…
ในเวลาเดียวกัน การต่อสู้เพื่อแย่งพื้นที่ระหว่างแก๊งพยัคฆ์เวหาและ แก๊งวาฬยักษ์ก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์!
กลางดึก หวังเหยียน รองหัวหน้าแก๊งค์พยัคฆ์เวหาได้นำลูกน้องของตัวเองบุกตะลุยเข้าไปในบ่อนขนาดใหญ่ของพวกแก๊งวาฬยักษ์!
กำลังภายในอันทรงพลังของเขาถูกปลดปล่อยออกอย่างรุนแรง ปรมาจารย์ด้านกำลังภายในในบ่อนแห่งนี้จึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าส่วนที่เหลือจะยังต่อสู้อย่างดื้อรั้น แต่ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่บ่อนนี้จะถูกยึดโดยสมบูรณ์
หวังเหยียนกวาดสายตามองสำรวจห้องโถงของบ่อนอย่างละเอียด หลังจากจัดการกับปรมาจารย์กำลังภายในซึ่งเป็นคนดูแลบ่อนนี้ไปแล้ว เขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับการต่อสู้ต่อไปอีก
หลังจากที่ต่อสู้กับปรมาจารย์กำลังภายในอย่างดุเดือด กำลังภายในของหวังเหยียนเองก็เกือบจะหมด
ในเวลานี้ เขาจึงต้องหยุดพักและฟื้นตัวอย่างเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ชั่วครู่ถัดมา หนึ่งในลูกน้องของเขาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสภาพโชกเลือด!!
“ล…ลูกพี่! พวกเราแย่แล้ว! ข้างนอกมีคนของแก๊งวาฬยักษ์อยู่เต็มไปหมดเลย! หัวหน้าสาขาของพวกมันก็มากันด้วยตั้งสี่คน! คนของเราที่อยู่ข้างนอกต้านไม่ไหวเลย!!”
“ว่าไงนะ!”
หวังเหยียน เมื่อได้ยินแบบนี้เขาก็ตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจ!
นี่พวกเขาถูกวางกับดักงั้นเหรอ?
เขาเพิ่งมาถล่มที่นี่ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงรวบรวมหัวหน้าสาขาทั้งสี่มาได้เร็วขนาดนี้ไม่ได้แน่ หากไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้ก่อน!
ในขณะเดียวกันนี้ ประตูห้องโถงก็ถูกทำลายจนกระจายเป็นชิ้น ๆ!
เศษไม้กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่ว และชายฉกรรจ์ที่ดูไม่ธรรมดาสี่คนก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ!
หลังจากนั้น บรรดาสมาชิกทั่วไปของแก๊งวาฬยักษ์ก็กรูตามเข้ามา!
เมื่อเห็นฉากนี้ หวังเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง
“ฮ่า ๆๆ! หวังเหยียน! ถึงแม้ว่าแกจะแข็งแกร่ง แต่ฉันเดาว่าตอนนี้พลังของแกคงใกล้หมดแล้วใช่ไหม?”
หนึ่งในหัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“หึหึหึ รองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหา! แกนี่มันโง่เง่าจริง ๆ แกคิดว่าแกจะเล่นงานพวกเราได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ? แกไม่รู้ซะแล้วว่าความเคลื่อนไหวของแก พวกเรารู้มันทั้งหมด!”
หวังเหยียนเมื่อกวาดสายตามองประเมินฝั่งตรงข้าม เขารู้สึกเครียดหนักขึ้นมากกว่าเดิม
ตอนนี้พลังของตัวเองใกล้หมดแล้ว และคนพวกนี้ก็แข็งแกร่งพอสมควร!
หากเป็นตอนปกติ เขาคงพอจะเอาตัวรอดได้ ทว่าด้วยความอ่อนแอของตัวเองในตอนนี้มันก็ยากเหลือเกินที่หนีสี่คนนี้พ้น และไหนจะลูกน้องของเขาอีกที่ยังคงอยู่ที่นี่ เขาจะทิ้งลูกน้องตัวเองไปไม่ได้!
“จิ่นเฟิง! เรามาเจรจากันก่อนไหม? แลกกับการที่พวกฉันจะปล่อยเชลยแก๊งของแกที่พวกฉันจับไปก่อนหน้านี้ แกก็ปล่อยพวกฉันไปครั้งนี้แกว่าไง?”
หวังเหยียนจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึม เขาก็รู้จักคนที่เป็นผู้นำกลุ่มที่เพิ่งบุกเข้ามา!
ในเวลานี้ คนของแก๊งวาฬยักษ์ได้ล้อมพวกเขาเอาไว้ทุกด้านเรียบร้อยแล้ว
จำนวนคนของแก๊งพยัคฆ์เวหาขณะนี้เสียเปรียบเป็นอย่างมาก พวกเขามีคนน้อยกว่าถึงสามเท่า!
ถ้าสู้ก็ตายแน่นอน!
อย่างไรก็ตาม ชายที่ถูกเรียกว่าจิ่นเฟิงก็หัวเราะขึ้นมาอย่างประชดประชันทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของหวังเหยียน
“ฮ่า ๆๆ! หวังเหยียน นี่แกคิดว่าฉันเป็นเด็กอายุ 3 ขวบหรือไง? มูลค่าของไอ้พวกลิ่วล้อที่พวกแกจับไปได้มันจะเทียบได้กับรองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างแกได้ยังไงจริงไหม?”
“สรุปแล้วคือไม่เจรจาใช่ไหม?”
หวังเหยียน จ้องมองไปที่อีกฝ่ายพร้อมกับเตรียมตัวรับมือการต่อสู้เป็นตาย
“เจรจางั้นเหรอ…อืม…จริง ๆ แล้วหัวหน้าหลิ่วของฉันก็พูดเอาไว้เหมือนกันว่า ถ้าแกยอมออกจากแก๊งพยัคฆ์เวหา ทิ้งไอ้ขยะโจวเฟยหู่ และเข้าร่วมแก๊งวาฬยักษ์ของฉัน แกก็จะสามารถรอดตายได้ในวันนี้!”
จิ่นเฟิงตอบกลับพร้อมกับแสดงท่าทีใจกว้าง ยอมถอยให้กับหวังเหยียน
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ หวังเหยียนก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม
อีกฝ่ายกำลังดูถูกเขาและพยายามจะบั่นทอนกำลังใจคนของฝ่ายเขาอย่างเห็นได้ชัด!
ในตอนนี้รอบ ๆ ตัวหวังเหยียนมีลูกน้องอยู่กว่าสี่สิบคน พวกเขาคงมีโอกาสรอดเล็กน้อย ถ้าเขายอมทรยศจริง ๆ
แต่หลังจากนั้น แก๊งพยัคฆ์เวหาคงจะวุ่นวายในทันที!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสิ้นหวัง
เขาจะทำยังไงดี? เขาจะยอมเสียสละตัวเองพร้อมกับลูกน้องอีกสี่สิบกว่าคนเพื่อไม่ทำให้แก๊งพยัคฆ์เวหาสั่นคลอนดีไหม?
แต่แล้วในขณะที่เขากำลังหมดหวัง จู่ ๆ เขานึกอะไรบางอย่างออก ซึ่งราวกับว่ามีแสงสว่างวาบขึ้นมาในใจ ใช่แล้ว ชายคนนั้นไง!
…
ขณะนี้ อวี้ฮ่าวหรานกำลังกินข้าวอยู่ที่โต๊ะอาหารในห้องหลี่หรงจนอิ่มไปแล้ว และถวนถวนก็กินอิ่มแล้วเช่นกัน เด็กน้อยกำลังเล่นกับสุนัขสองตัวอย่างสนุกสนาน
จู่ ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
“น้องอวี้! ตอนนี้นายว่างไหม? มาช่วยฉันที!”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เป็นเสียงตื่นตระหนกของหวังเหยียน
“เกิดอะไรขึ้น?”
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้ว
“ฉันติดอยู่ที่บ่อนเป่ยเชิงที่อยู่ทางทิศเหนือของเมือง! น้องอวี้ หากนายไม่ได้ทำอะไรสำคัญอยู่ โปรดมาช่วยฉันที!”
“ฉันว่างอยู่”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางหันศีรษะไปเหลือบมองน้องภรรยาที่กำลังเล่นกับถวนถวน ใช่แล้ว ตอนนี้เขาว่างอยู่
“งั้นก็มาช่วยฉันตอนนี้ที น้องอวี้! ฉันกำลังจะถูกรุมฆ่าแล้ว!”
บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล
บทที่ 350 ไม่เจออีกตลอดกาล
อวี้ฮ่าวหรานยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบาย ๆ ราวกับว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้ทำอะไรลงไปเลย พร้อมกับเหลือบมองไปที่ชายหัวล้านและพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก
“อยู่แค่ขอบเขตกำลังภายนอกแท้ ๆ กลับกล้าเสนอส่งเสียงดังต่อหน้าฉัน ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวบ้างเลยจริง ๆ!”
หลังจากที่ต่อยอีกฝ่ายจนปลิวได้ขนาดนี้ ไม่มีใครกล้าดูถูกคำพูดของเขาอีกแล้ว
“แก…แกอย่าได้ใจไปนักนะโว้ย ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มีคนที่แข็งแกร่งกว่าแกอีกมากมาย! ต่อให้แกจะแข็งแกร่งกว่าฉันแต่หลังจากนี้แกไม่รอดแน่!”
แม้ว่าชายหัวล้านจะบาดเจ็บจนอาเจียนเป็นเลือด แต่ก็ยังสามารถตะโกนข่มขู่เสียงดังได้
“แกทำร้ายสมาชิก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ แบบนี้ แกไม่มีทางรอดแน่!”
ในตอนแรกพวกแขกในร้านอาหารรวมไปถึงพนักงานของร้าน เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจได้บ้าง แต่แล้วเมื่อพวกเขาได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ สีหน้าของเขาทุกคนก็มืดมนลงอย่างกะทันหันกับความจริงที่โหดร้าย
ในสายตาของคนทั่วไป ปัจจุบันแก๊งพยัคฆ์เวหาคือแก๊งที่มีอิทธิพลที่สุดในเมืองฮ่วยอัน!
ดังนั้นไม่ว่าคน ๆ หนึ่งจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแก๊งที่มีอิทธิพลและกำลังคนเป็นร้อย ๆ คน ไม่ช้าก็เร็วคน ๆ นั้นจะต้องตายอย่างน่าอนาถในท้ายที่สุด!
แต่ในทางกลับกัน เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’อีกครั้ง รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาทันที
“หึหึ ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนว่าแก๊งพยัคฆ์เวหาที่แกพูดถึงจะจัดการกับฉันคนนี้ยังไง!”
แปดนาทีผ่านไปตั้งแต่เขาโทรหาโจวเฟยหู่
ในเวลาเดียวกันนี้!
รถ SUV มากกว่าหนึ่งโหลพุ่งเข้ามาเบรกอย่างรุนแรงที่ด้านนอกร้านอาหาร!
ทันใดนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์สวมสูทดำและแว่นกันแดดจำนวนมากก็เปิดประตูลงจากรถ!
โจวเฟยหู่รีบวิ่งเข้ามาในร้านอาหารทันทีที่เขาลงจากรถ และหัวหน้าสาขาอีกแปดคนก็วิ่งตามมาติด ๆ อย่างรวดเร็ว
ชายหัวล้านและจินเส่า เมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าเบิกบานสุดฤทธิ์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักโจวเฟยหู่จริง ๆ!
“ห…หัวหน้าโจว! ขอบคุณมากที่คุณอุตส่าห์มาที่นี่ด้วยตัวเอง! นี่เลย ไอ้ลูกหมานั่นมันดูถูก ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ มันบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ น่าขยะแขยง! มันดูถูกพวกเราทุกคนเลย!”
จินเส่ารีบวิ่งเข้ามาหาโจวเฟยหู่เป็นคนแรกและปั้นเรื่องใส่ร้ายอวี้ฮ่าวหรานทันที
เขาไม่คิดเลยว่าโจวเฟยหู่จะมาที่นี่ด้วยตัวเองแบบนี้หลังจากที่เขาแค่โทรหาอีกฝ่ายเพียงครั้งเดียว!
วันนี้ไอ้สารเลวคนที่กล้าตบหน้าเขาต้องตายแน่!
แต่ในทางกลับกัน ชายหัวล้านกลับรู้สึกอยากจะหนีไปให้พ้น ๆ
สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ดีเลย!
อันที่จริงเขานั้นไม่ใช่คนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เขาเป็นแค่รองหัวหน้าแก๊งขนาดเล็กที่ตกลงจะร่วมมือกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ในการต่อกรกับแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งฉลามคลั่ง
ด้วยความลำพองใจหลังจากเป็นพันธมิตรกับ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ หลายครั้งเขาจึงแอบอ้างว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เพื่อขู่ให้คนอื่นกลัวเขามากกว่าเดิม
ดังนั้น “แก๊งพยัคฆ์เวหา” ตัวจริงจะคาดโทษเขาแน่นอนหากรู้ว่าตัวเขาชอบอ้างชื่อพยัคฆ์เวหาเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว
แต่จินเส่าไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นตอนนี้จึงแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเต็มที่
“หัวหน้าโจว เอาเลย! จัดการไอ้เวรนั่น…”
พลั่ก!
แต่แล้วขณะที่จินเส่าพูดขึ้นยังไม่ทันจบประโยค เขาก็โดนต่อยเข้าเต็มท้องน้อยจนทรุดลงไปนอนตัวงอเหมือนกุ้งทันที
โจวเฟยหู่โกรธสุดขีดจนควันแทบออกหู!
ไม่จำเป็นต้องมีใครอธิบายเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่! ไอ้ลูกหมาพวกนี้กำลังยั่วยุอวี้ฮ่าวหรานภายใต้ชื่อแก๊งของเขา!
“บัดซบ! ขยะอย่างแกกล้าดียังไงมาทำเรื่องชั่วโดยอ้างชื่อ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ของฉัน??”
โจวเฟยหู่กระชากคอเสื้อของจินเส่า และยกตัวอีกฝ่ายขึ้นจากพื้นอีกครั้งอย่างเดือดดาล!
“วันนี้แกตายแน่! ฉันจะฆ่าแกในข้อหาที่แกกล้าล่วงเกินน้องชายของฉัน!”
จินเส่าที่เพิ่งโดนชกท้องยังไม่หายงุนงง
“ช…ชกผมทำไม? อ…ไอ้ผู้ชายคนนั้นต่างหากที่ทำร้ายคนของคุณ แถมมันยังบอกว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ เป็นขยะทั้งหมด!”
เพี้ยะ!!
เมื่อโจวเฟยหูได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ตบไปที่หน้าจินเส่าอย่างแรงจนฟันของอีกฝ่ายร่วงแทบจะหมดปาก!
“น้องอวี้ไม่ใช่คนที่แกจะพูดจาหมา ๆ ใส่ได้โว้ย! และถ้าเขาบอกว่าพวกของฉันเป็นขยะ พวกฉันก็คือขยะกันทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้น!”
อวี้ฮ่าวหรานคือตัวตนที่สามารถกำหนดความเป็นตายของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ได้อย่างใจนึก ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โจวเฟยหู่ก็ไม่มีทางที่จะกล้าโกรธเคืองหรือล่วงเกินอวี้ฮ่าวหรานไม่ว่าด้วยเหตุผลใด
ตอนนี้จินเส่าเริ่มกลัวขึ้นมาจริง ๆ แล้ว! ตัวของเขาสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้
ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาได้ล่วงเกินตัวตนที่น่ากลัวสุด ๆ เข้าให้แล้ว!
“ลากไอ้เวรนั่นมาตรงนี้ให้ฉัน!”
หลังจากที่โจวเฟยหู่ตบหน้าจินเส่าไปอย่างแรง เขาก็ชี้ไปที่ชายหัวล้านซึ่งกำลังนั่งทรุดอยู่ตรงกำแพง
หัวหน้าสาขาซึ่งอยู่ในขอบเขตพลังภายในสองคนพุ่งตรงไปหาชายหัวล้านและลากตัวมาให้โจวเฟยหู่อย่างรวดเร็ว
“แกรีบบอกมาเดี๋ยวนี้เลยว่าแกเป็นคนของสาขาไหนในแก๊งพยัคฆ์เวหาของฉัน! ทำไมฉันถึงไม่คุ้นหน้าแกเลย?”
เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้น่าจะแอบอ้างชื่อแก๊งของเขามาสร้างเรื่องชั่ว
“ผม…ผม จริง ๆ แล้วผมอยู่ในแก็งค์มังกรดิน…แก๊งของผมเป็นแก๊งเล็ก ๆ ที่อยู่แถวนี้…”
“แก๊งมังกรดิน? โอ้ ฉันจำได้แล้ว ดูเหมือนว่าแก๊งของแกจะมาเข้าร่วมประชุมพันธมิตรครั้งล่าสุดด้วยใช่ไหม!”
ถึงแม้ว่าสีหน้าของโจวเฟยหู่จะเย็นชาอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จากนั้นเขารีบหันศีรษะไปพูดอย่างจริงใจกับอวี้ฮ่าวหรานที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ “น้องอวี้ นายได้ยินแล้วใช่ไหมว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนของแก๊งพยัคฆ์เวหา พวกมันเอาชื่อแก๊งของฉันมาแอบอ้างต่างหาก!”
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับการทำสงครามกับแก๊งฉลามคลั่งเช่นนี้ โจวเฟยหู่ไม่ต้องการให้อวี้ฮ่าวหรานผิดหวังกับแก๊งของเขา ไม่งั้นแก๊งพยัคฆ์เวหาคงจะพบกับจุดจบ หากไม่มีอวี้ฮ่าวหรานคอยช่วยเหลือ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าเขารับรู้
จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่กำลังจะเกิดต่อไป เขาหันกลับไปชิมอาหารที่เฉิงชิวอวี้แนะนำให้เขาลองลิ้มรสอย่างสบาย ๆ ต่อ
อย่างไรก็ตาม แค่ได้เห็นการพยักหน้าเล็กน้อยนี้ มันก็ทำให้โจวเฟยหูรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งรอดจากโทษประหาร!
ก่อนหน้านี้ที่เขาได้รับโทรศัพท์และได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจและผิดหวังของอวี้ฮ่าวหราน เขาตกใจมากจนหัวใจเกือบหยุดเต้น แล้วก็รีบรวมคนและตรงดิ่งมาที่นี่ทันที
ในเวลานี้ เขารู้สึกผ่อนคลายราวกับว่ามีคนยกภูเขาออกจากอกของเขาไปแล้ว
“น้องอวี้ เชิญนายกินต่อตามสบายได้เลย! ฉันสัญญาว่าหลังจากนี้ ไอ้สองตัวนี้จะไม่โผล่หน้ามาให้นายเห็นอีกตลอดไปแน่นอน!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันกลับไปกินอาหารต่อ โจวเฟยหู่จึงไม่กังวลอะไรอีกต่อไป เขาหันไปสั่งให้คนของเขาลากทั้งจินเส่าและชายหัวล้านรวมไปถึงนักเลงสิบกว่าคนที่มากับชายหัวล้านออกไปจากร้าน!
บรรดานักเลงที่มากับชายหัวล้านต่างก็เดินตัวสั่นออกไปจากร้านแต่โดยดีโดยไม่ขัดขืนอะไรเลย
ตลกเถอะ!
ต่อหน้าคนของแก๊งพยัคฆ์เวหา หากพวกเขากล้าขัดขืน พวกเขาคงจะถูกฆ่าตายในทันที!
บทที่ 313 เตรียมยึดบริษัทอิงเหมา
บทที่ 313 เตรียมยึดบริษัทอิงเหมา
ตอนสิบโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปถึงบริษัท ผู้จัดการหวังก็เข้ามาหาเขาในออฟฟิศทันที
“หลังจากที่กลับมา คุณโอเคหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง
ผู้จัดการหวังพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามนี้ เขารู้ได้ว่าประธานของเขากำลังถามถึงเรื่องที่หลังจากเขาถูกลักพาตัวไปครั้งล่าสุด
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี แม้ว่าภรรยาของผมจะยังคงมีอาการตื่นกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไป แต่เธอก็ยังคงชมว่าท่านประธานเป็นเจ้านายที่ดี เธอสนับสนุนให้ผมมาทำงานกับท่านประธานมากกว่าเดิมซะอีก”
“อืม ผมจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เดี๋ยวผมจะให้ใครสักคนมาแก้ปัญหาเกี่ยวกับพวกแก๊งพวกนั้นอีกที”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย และเปิดเผยข้อมูลบางอย่างเพื่อทำให้อีกฝ่ายอุ่นใจขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้จัดการหวังได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกใจเล็กน้อยและพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่เคยคิดเลยว่าประธานอายุน้อยของเขา ไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ทางด้านการทำธุรกิจและเป็นเลิศในด้านศิลปะการต่อสู้ แต่กลับมีเส้นสายเกี่ยวข้องกับพวกกลุ่มแก๊งใต้ดินของเมืองอีกต่างหาก!
นี่ประธานของเขาน่ากลัวเกินไปหน่อยไหม?!
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือประธานที่มีอำนาจเช่นนี้ แต่บุคลิกกลับเป็นคนจิตใจดีและเข้าถึงได้ง่าย…
เรื่องนี้ต้องชื่นชม…
“ท่านประธาน ผมจะตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อเครือฮ่าวหราน ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน!”
ผู้จัดการหวังให้คำมั่นสัญญา
ไม่เพียงแต่ปากที่เอ่ยคำสัญญา ในใจของเขาก็สัญญากับตัวเองเอาไว้เช่นกันว่า ตัวเองจะไม่มีวันหักหลังเครือฮ่าวหราน ไม่ว่าอนาคตจะมีผลประโยชน์มหาศาลเพียงใดมาล่อเขา…
การที่เขาได้มีเจ้านายที่เลิศเลอขนาดนี้นับได้ว่าเป็นโชคที่หาได้ยากในชีวิตของเขา
“ผมรู้ว่าคุณจะทำงานเต็มที่ให้กับผมแน่นอน ผมรู้เรื่องนี้ดี ส่วนตัวของผมเองก็จะไม่ทำให้คุณผิดหวังเช่นกัน”
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มและพยักหน้า บุคคลคนนี้สมแล้วที่ชายหนุ่มไว้ใจให้จัดการงานส่วนใหญ่ของบริษัทแทนเขาจริง ๆ
ไม่เช่นนั้น หากเขาดูแลกิจการทั้งหมดนี้อยู่คนเดียว ไม่ต้องพูดถึงการฝึกฝนบ่มเพาะ แม้แต่เวลานอนให้เพียงพอก็คงทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
และที่สำคัญที่สุด ถ้าเขามัวยุ่งอยู่แต่กับการดูแลบริษัท ความตั้งใจเดิมของเขาที่จะไปช่วยหลี่เม่ยคงไม่มีทางสำเร็จแน่นอน…
“ขอบคุณครับท่านประธานอวี้ แต่ว่าวันนี้ผมมีเรื่องจะแนะนำท่าน ท่านประธาน ผมคิดว่าวันนี้เราควรมาคุยเรื่องเซ็นสัญญาควบรวมกิจการของบริษัทอิงเหมา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราได้แล้ว ตอนนี้เรากว้านซื้อหุ้นของพวกเขามากจนเกินพอแล้วครับท่าน”
“อืม ว่ามาเลย”
“หลังจากที่เราร่วมมือกับบริษัทชิวเฮิงโจมตีบริษัทอิงเหมาเพื่อยึดกิจการมา สิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นมาก เราแทบจะไม่พบกับการต่อต้านที่แข็งแกร่งจนถึงขณะนี้ จึงเรียกได้ว่าทั้งบริษัทอิงเหมาตกเป็นของเราและบริษัทชิวเฮิงแล้ว แต่ด้วยเหตุผลใดผมก็ไม่ทราบเช่นกัน ในวันนี้บริษัทชิวเฮิงกลับโอนหุ้นทั้งหมดของบริษัทอิงเหมาที่พวกเขาถืออยู่มาให้เราทั้งหมด”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผู้จัดการหวังก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย
หุ้นที่ได้มานั้นคือเงินจำนวนไม่น้อยเลย ดังนั้นการโอนหุ้นมาเปล่า ๆ แบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการโอนเงินมาให้ฟรี ๆ
นี่ไม่ใช่ทัศนคติของบริษัทที่หวังผลกำไรทั่วไปเขาจะทำกันอย่างแน่นอน
“ถ้างั้นแล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า เขาพอจะเข้าใจการกระทำของเฉิงกัวอันอยู่บ้าง
“ตอนนี้ หลังจากได้รับหุ้นบริษัทอิงเหมามาจากบริษัทชิวเฮิงแล้ว เราสามารถพูดได้ว่าเราได้ควบคุมบริษัทอิงเหมาอย่างสมบูรณ์ คุณมีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับบริษัทอิงเหมาทุกอย่างโดยสมบูรณ์ คุณสามารถที่จะยุบหรือจัดระเบียบใหม่ หรือเอาเข้ามาควบรวมเข้ากับเครือฮ่าวหรานได้ตลอดเวลา”
“ถ้างั้นนี่มันก็หมายความว่า ฉันสามารถไล่หลี่อิงไห่ออกจากบริษัทของเขาเองได้ตลอดเวลาใช่ไหม?”
“ถูกต้องครับท่านประธาน! แต่ถ้าจะพูดให้ถูก ท่านควรจะกล่าวว่าไล่ออกจากบริษัทของท่านมากกว่า เพราะตอนนี้บริษัทอิงเหมาเป็นทรัพย์สินของท่านแล้ว” ผู้จัดการหวังพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามของอวี้ฮ่าวหราน
“หึหึ ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย เอาล่ะ คุณไปเตรียมตัวให้พร้อม ผมอยากให้คุณพาผมไปดูบริษัทอิงเหมาในวันนี้!”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ เขาตัดสินใจว่าเขาจะเข้าครอบครองบริษัทอิงเหมาในวันนี้เลย
เรื่องนี้มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสะใจเล็กน้อย
เมื่อหลายสิบวันก่อน หลี่อิงไห่เคยต้องการที่จะขอรวมบริษัทอิงเหมาเข้ากับเครือฮ่าวหราน ด้วยเงื่อนไขหลังจากรวมแล้วขอแบ่งหุ้นเครือฮ่าวหรานไปครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สุดแสนจะต่ำช้า ซึ่งชายหนุ่มก็ปฏิเสธไปในทันทีในเวลานั้น
ทว่าวันนี้…บริษัทอิงเหมาได้ถูกรวมเข้ากับเครือฮ่าวหรานจริง ๆ
เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ หลี่อิงไห่ไม่ได้รับส่วนแบ่งใด ๆ เลยสักหยวน!
น่าตลกจริง ๆ!
นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทต่างก็เป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรซึ่งสามารถสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกันและกันได้อย่างเหมาะเจาะ
หลังจากความสำเร็จของการควบรวมกันนี้ จุดแข็งของเครือฮ่าวหราน จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกว่าบางทีเขาควรจะขอบคุณเฉิงกัวอันให้เหมาะสม เพราะถ้าหากปราศจากความช่วยเหลือจากบริษัทชิวเฮิง ความสำเร็จนี้มันคงได้มาไม่ง่ายนัก
แต่ในขณะนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือต้องเข้าควบคุมบริษัทอิงเหมาก่อน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้จัดการหวังกลับมาที่ออฟฟิศของอวี้ฮ่าวหรานอีกครั้ง และส่งสัญญาณว่าผู้ติดตามทุกคนพร้อมแล้ว
กลุ่มคนมากกว่าหนึ่งโหล แบ่งกันนั่งรถหรูสำหรับผู้บริหารแปดคัน ออกจากเครือฮ่าวหรานเป็นขบวน
คณะที่เดินทางไปในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริหารที่มากประสบการณ์ของเครือฮ่าวหราน และในคณะยังมีทนายความมืออาชีพอีกสองคน
ที่หัวขบวนรถคือรถสปอร์ตสุดหรูสีเหลืองสดใสที่โดดเด่นของอวี้ฮ่าวหราน
หลังจากนั้น Mercedes Benzes S class สีดำสุดหรูเจ็ดคันก็ขับตามกันมุ่งหน้าไปที่บริษัทอิงเหมา
…
ในบริษัทอิงเหมา หลี่อิงไห่กำลังนั่งมองเพดานบนเก้าอี้ผู้บริหารของตัวเอง
คราวนี้เขาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์!
ภายใต้การถูกรุมโจมตีของบริษัทใหญ่ยักษ์ถึงสองบริษัท เขาไม่มีทางต่อต้านอะไรได้เลย!
เขาไม่ได้นอนหลับมาสองวันสองคืน สีหน้าของเขาจึงดูซีดเซียวอย่างยิ่งในเวลานี้
“ท…ท่านประธานหลี่…เราเพิ่งได้รับโทรศัพท์ว่า คนจากเครือฮ่าวหรานกำลังจะมาที่บริษัทของเรา!”
ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ เลขาสาวดูมีท่าทีกังวลเป็นอย่างมาก
เธอเพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาหนึ่งปีกว่า และเธอมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลี่อิงไห่ ในเวลานี้เมื่อบริษัทได้ถูกเปลี่ยนมือ มันจึงทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจ
“ท่านประธาน…เราจะทำยังไงกันดี?”
“เหอะ ๆ…จะทำอะไรได้อีก? มันจบแล้ว…ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว…”
หลี่อิงไห่หัวเราะอย่างขมขื่น
บทที่ 341 กวาดล้าง
บทที่ 341 กวาดล้าง
“ท่านครับ นี่เป็นเขตคฤหาสน์ส่วนตัว โปรดกลับรถถอยไปด้วย”
เมื่อเห็นรถซูเปอร์คาร์สุดหรูสีเหลือง รปภ. สองคนก็เดินเข้ามาคุยกับอวี้ฮ่าวหรานอย่างสุภาพทันที
แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่สนใจที่จะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้ เขาใช้เนตรเทวะสำรวจร่างกายรปภ. สองคนนี้ทันที และเขาก็ได้พบรอยสักรูปองค์กรอสรพิษที่แขนของคนทั้งสองซึ่งอยู่ใต้แขนเสื้อ
เห็นได้ชัดว่าอสรพิษเงินไม่ได้โกหกเขา
“คุณครับ?”
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ในรถไม่ตอบสนอง รปภ. ทั้งสองก็มองหน้ากันอย่างสับสนและถามอีกครั้ง
พวกเขาไม่มีทางเปิดเผยการมีอยู่ขององค์กรอย่างง่ายดายแน่นอน
แต่หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานรู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็ไม่สนใจที่จะพูดไร้สาระกับคนสองคนนี้อีก เขาเปิดประตูลงจากรถ
“ฉันมาฆ่าเจ้าตำหนักของพวกแก! ถ้ายังไม่อยากตายก็ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!”
เขาพูดอย่างดูถูกและเย็นชา
ยังไงอีกฝ่ายก็ต้องตาย!
ตำหนักคุมกฎขององค์กรอสรพิษนี้อยู่ใกล้กับเมืองฮ่วยอันมากเกินไป หากเขายังปล่อยให้มีภัยคุกคามนี้ดำรงอยู่ อีกไม่นานเขาคงถูกโจมตีอีกรอบ!
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน สีหน้าของรปภ. ทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน!
อย่างไรก็ตาม หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็แสร้งทำเป็นสงบ “ท่านครับ รบกวนออกไปเดี๋ยวนี้ เราไม่รู้ว่าองค์กรอสรพิษที่ท่านพูดถึงคืออะไร!”
อวี้ฮ่าวหราน ไม่แปลกใจกับการโต้แย้งนี้ ตามปกติแล้วพวกองค์กรนักฆ่าย่อมถูกหมายหัวโดยญาติของผู้ที่เคยเป็นเหยื่อมากมาย หากต้องการอยู่อย่างปลอดภัย องค์กรพวกนี้จะต้องซ่อนตัวเองให้แนบเนียนที่สุด
แต่การซ่อนตัวทุกรูปแบบไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา!
“ในเมื่อไม่หลีกก็ตายไปซะ!”
ทันทีที่พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ชกหมัดเข้าใส่หนึ่งในรปภ. อย่างรุนแรงทันที!
‘ปัง!’
ด้วยการชก รปภ.ผู้โชคร้ายร่างละลิ่วพร้อมกับวิญญาณก็หลุดออกจากร่างอย่างไม่มีใครช่วยได้
“ก…แกกล้าดียังไงมายุ่งกับพวกเรา! หาที่ตาย!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายกล้าลงมือก่อน รปภ. ก็แสดงสีหน้าเย็นชาทันที!
“ฮึ่ม! มดแมลงกล้าอวดดีต่อหน้าข้าผู้นี้งั้นเหรอ!!”
อวี้ฮ่าวหรานพ่นลมหายใจ แต่เพียงแค่ชั่วอึดใจเขาก็เห็นว่ามีรปภ. อีกหลายสิบคนที่กำลังเดินลาดตระเวนอยู่นอกกลุ่มคฤหาสน์วิ่งกรูเข้ามาหาเขา!
ต่างจากรปภ. ทั่วไป คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นผู้บ่มเพาะที่เกือบจะทะลวงขึ้นมาเป็นปรมาจารย์พลังภายใน ในเวลานี้ พวกเขาก็พุ่งเข้ามาด้วยมีดในมือ ซึ่งน่ากลัวกว่าคนธรรมดาถือปืนมาก!
ภายในไม่กี่วินาที อวี้ฮ่าวหรานก็ถูกล้อมจากทุกด้าน
“แกรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่คือองค์กรอสรพิษ!?”
คนที่เป็นผู้นำกลุ่มรปภ. เป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นต้น และสีหน้าของเขาก็ดูดุดันมากในขณะนี้
เขาไม่อาจยอมให้คนนอกรู้ได้ว่าที่นี่คือสถานที่ที่พวกเขากำลังซุ่มซ่อนอยู่
หากคนนอกคนใดที่รู้ความลับนี้ เขาจำเป็นต้องกำจัดในทันที!
“เหอะ ๆ ฉันรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ?”
แม้ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับนักฆ่ามืออาชีพมากกว่าสามสิบคนที่ปลอมตัวเป็นรปภ. อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงแสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยาม
“แน่นอนว่ามันเป็นเพราะไอ้คนที่เรียกตัวเองว่าอสรพิษเงินอะไรนั่น มันบอกฉันมาก่อนที่จะฉันจะกระทืบมันจนตาย! เอ๊ะ ว่าแต่พวกแกรู้รึเปล่าว่ามันเพิ่งถูกส่งออกไปทำภารกิจอะไร?”
ขณะที่เขาพูด สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นหยอกล้อกับอีกฝ่าย
“รองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินตายแล้ว?? นี่มัน…”
ปรมาจารย์พลังภายในที่เป็นผู้นำสีหน้าเปลี่ยนในทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! รองเจ้าตำแหนักเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นสูงสุดของพลังภายใน คนอย่างแกไม่มีทางฆ่ารองเจ้าตำหนักได้สำเร็จแน่นอน!”
“แกเข้าใจผิดแล้ว ไอ้อสรพิษเงินอะไรนั่นมันตายอย่างน่าอนาถมากเลยเชียวละ!”
อวี้ฮ่าวหราน กล่าวอย่างเยาะเย้ยพลางมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม!
“แต่ถ้าแกไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรเพราะอีกเดี๋ยวแกก็จะได้รู้ความจริงอยู่ดีหลังจากลงไปอยู่ในนรกกับมัน!”
เมื่อพูดจบประโยคนี้ อวี้ฮ่าวหรานระเบิดกลิ่นอายสังหารหนาแน่นออกมา!
เหล่านักฆ่ารู้สึกใจสั่นรุนแรงอย่างกะทันหัน มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าพระเจ้าที่ไม่อาจต้านทานได้!
“น…นี่มันเวทมนตร์หรือบ้าอะไรเนี่ย! แต่แกคิดว่าคำพูดไร้สาระสองสามคำของแกจะสามารถรบกวนจิตใจของเราได้เหรอ…”
หลังจากปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง บรรดานักฆ่าก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีจิตใจที่มั่นคงแค่ไหน แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ หนึ่งในพวกนักฆ่าก็ถูกอวี้ฮ่าวหรานกุมคอเอาไว้ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาโผล่มากลางวงแบบนี้ได้ยังไง!
“ฉันเบื่อที่จะพูดกับพวกแกแล้ว ในเมื่อพวกแกไม่หลีกไป ถ้างั้นก็ลงไปอยู่ในนรกกับไอ้อสรพิษเงินนั่นซะ!”
“กร๊อบ!”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็หักคออีกฝ่ายทันทีและโยนทิ้งราวกับโยนขยะ ก่อนที่จะหันไปกวาดสายตามองนักฆ่าอีกสามสิบกว่าคนที่อยู่รอบ ๆ ด้วยแววตาเย็นชา!
“วันนี้! พวกแกทั้งหมดต้องตาย!”
เหล่านักฆ่าที่เคยภาคภูมิใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังวิญญาณอันทรงพลังของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขานั้นก็ไม่ต่างอะไรกับมดที่รอการถูกบดขยี้เลย!
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีบรรยากาศรอบ ๆ ก็กลับมาเงียบลงอีกครั้ง!
และในขณะเดียวกันนี้ ประตูรั้วกำแพงก็ถูกเปิดออก และร่างสีดำจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน!
คนเหล่านี้เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตพลังภายในอย่างแท้จริง!
เมื่อถูกล้อมอีกรอบด้วยคนมากกว่าหนึ่งโหล อวี้ฮ่าวหรานก็ประหลาดใจเล็กน้อยกับความแข็งแกร่งของตำหนักคุมกฎแห่งนี้
เขาปะทะกับองค์กรอสรพิษนี้มาหลายครั้งแล้ว และฆ่าเจ้าตำหนักของอีกฝ่ายไปหลายคน ดังนั้นเขาจึงพอเดาโครงสร้างขององค์กรนี้ได้แบบคร่าว ๆ ว่าคนที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในนั้นมีคุณสมบัติพอจะเป็นเจ้าตำหนักได้ แต่ในทางกลับกัน ตำหนักคุมกฎนี้กลับมีเหล่าผู้คนที่มีคุณสมบัติพอจะดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าตำหนักได้แบบสบาย ๆ อยู่ในสังกัดมากกว่าสิบคน เห็นได้ชัดว่าตำหนักคุมกฎนี้น่าจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากที่สุดรองจากคนที่เป็นผู้นำองค์กรนี้
“รนหาที่ตาย!”
ทันทีที่พวกคนขององค์กรอสรพิษเห็นสภาพที่เละเทะด้านนอก พวกเขาต่างก็โกรธจัด!
ทันใดนั้นโดยไม่ทราบว่าใช้วิธีใด งูพิษจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีสีสันแตกต่างกันก็ปรากฏขึ้นจากกอหญ้าที่อยู่รอบ ๆ!
หากเป็นคนธรรมดาเมื่อถูกงูนับพันตัวล้อมไว้แบบนี้ คนผู้นั้นก็คงกลัวจนทรุดตัวลงไปที่พื้นทันที
“ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่แกจะเสียใจ! ไอ้หนู โทษที่แกต้องรับจากการมาสร้างปัญหาให้องค์กรอสรพิษของเราคือตายสถานเดียว!”
นักฆ่าที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในขั้นสูงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา!
อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายตามองไปที่งูพิษรอบตัวเขาอย่างไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเดรัจฉานพวกนี้ได้รับการฝึกและเลี้ยงดูมาเป็นพิเศษ พวกมันจึงมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษและมีสีที่ดูสว่างกว่างูทั่วไป
คนธรรมดาคงจะตายในไม่กี่วินาทีหากถูกงูพิษพวกนี้กัด!
แต่น่าเสียดายที่งูน้อยพวกนี้กำลังเผชิญอยู่กับอวี้ฮ่าวหราน!
อวี้ฮ่าวหรานโคจรพลังวิญญาณอย่างรุนแรง จากนั้นเขาจึงสะบัดมือปล่อยคลื่นพลังวิญญาณแผ่กระจายออกไปทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว กลายเป็นคลื่นที่มองไม่เห็นและกวาดไปรอบ ๆ!
‘บรึม!!’
ภายใต้ความรุนแรงของคลื่นพลังวิญญาณ ทั้งต้นหญ้าและงูที่อยู่รอบ ๆ รัศมีสามสิบเมตรก็ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที!
พวกปรมาจารย์พลังภายในที่กำลังจะลงมือเช่นกัน ต่างก็ตัวแข็งค้างเมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้!
แม้แต่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงก็ไม่อาจทำอะไรแบบนี้ได้!
“แกเป็นใครกันแน่!? ทำไมแกถึงมาสร้างปัญหาให้เราแบบนี้!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิดไว้ หนึ่งในปรมาจารย์พลังภายในจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันมาที่นี่เพื่อฆ่าพวกแกและเจ้าตำหนักของพวกแก!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
“ชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมออกไปแต่โดยดี ดังนั้นพวกเราจึงต้องใช้กำลังเพื่อบังคับให้เขาออกไป”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประธานของเขาเอง หัวหน้าบอดี้การ์ดจึงไม่กล้าที่จะพูดจาแต่งเติมเรื่องแม้แต่น้อย เขาพูดเฉพาะในสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นและได้ยินมา
ในเวลานี้เฉียนเซา เมื่อเห็นว่าเจ้าของโรงแรมออกมาแล้ว เขาก็มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมในทันที
“ใช่ ๆ! ไอ้ยาจกตัวนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน อยู่ ๆ มันก็ทำร้ายเพื่อนของผมโดยที่พวกผมยังไม่ได้ทันทำอะไรมันก่อนเลย และโดยเฉพาะคำพูดคำจาของมันเย่อหยิ่งมากราวกับไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ท่านประธานควรจะไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้และประกาศห้ามให้เขามาเหยียบที่นี่อีกตลอดชีวิต!”
สีหน้าของเขาตื่นเต้นมากในขณะที่เขาพูด
คิดจะสู้กับเขางั้นเหรอ?
ในแวดวงชนชั้นสูงมีแต่คนรู้จักเขาเยอะแยะไปหมด คนจน ๆ คนหนึ่งจะมาสู้กับเขาได้ยังไง!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลินป๋อเพิกเฉยต่อคำพูดของคนอื่น ๆ และหันไปหาเจ้าของโรงแรม
“ประธานเจ่า ชายหนุ่มคนนี้ไงที่วันนี้ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง เขามีความสามารถอย่างมาก แถมยังสามารถบริหารจัดการบริษัทใหญ่ยักษ์ด้วยตัวของเขาเองแค่คนเดียว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าอย่างชื่นชม โดยไม่ได้ใส่ใจกับพวกบอดี้การ์ดของเขาหรือเฉียนเซาเลยแม้แต่น้อย
“อืม ช่างคนเป็นคนหนุ่มอายุน้อยที่น่าประทับใจจริง ๆ ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาบ้างก่อนหน้านี้ แต่ไม่นึกเลยว่าตัวจริงจะดูดุดันมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก คนแก่อย่างฉันเทียบไม่ได้เลยจริง ๆ ฮ่า ๆ”
หลังจากพูดจบ ชายชราโบกมือให้บอดี้การ์ดของเขา
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว อย่ารบกวนแขกผู้มีเกียรติของฉัน”
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดอึ้งไปในทันที ส่วนบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็ทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
“ท…ท่านประธาน แต่ชายหนุ่มคนนี้คือคนที่เริ่มสร้างปัญหาก่อน ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านสั่งกับพวกเราหรอกเหรอว่าเราต้องจัดการพวกที่สร้างปัญหาให้กับเราอย่างเด็ดขาด?”
“นายแน่ใจเหรอว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนสร้างปัญหาก่อน? นายเห็นกับตาตัวเองหรือเปล่า? สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้ดูสุภาพที่สุดแล้ว!”
ชายชราผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ประธานเจ่า’ เมื่อได้ยินคำถามของลูกน้องตัวเอง เขาตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรอบตัวเขาตกตะลึง
ที่พวกเขาตกตะลึงกันมากเป็นเพราะหนุ่มน้อยที่ประธานเจ่าบอกว่าเป็นคนสุภาพกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ในตอนนี้!
คนสุภาพแบบไหนที่เหยียบหน้าคนอื่นแบบนี้กัน???
ในเวลานี้ หลินป๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอารมณ์ดี
“ฮ่า ๆ น้องอวี้ นายรีบยกเท้าออกก่อนเถอะ นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าเมื่อครู่นี้ นายก้าวพลาดจนตอนนี้กำลังเหยียบอยู่บนหน้าคนอื่นอยู่?”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูด เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก
“โอ้ จริงด้วย โทษทีเมื่อกี้ไม่ทันมอง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ส่งยิ้มเยาะเย้ยไปให้คนที่เขากำลังเหยียบหน้าอยู่แล้วค่อยถอนเท้ากลับ
ทุกคนตกตะลึงมากกว่าเดิมกับบทสนทนานี้!
ก้าวพลาดจนเหยียบหน้าคนอื่น? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน!?
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเมื่อกี้ไอ้หนุ่มนี่มันถีบคนอื่นก่อน แล้วจากนั้นก็เหยียบหน้าอีกฝ่ายอย่างอุกอาจ!
ข้ออ้างแบบนี้มันรังแกกันชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่สนใจการแสดงออกของทุกคนรอบ ๆ แม้แต่น้อย เขายังคงแสดงทัศนคติที่เป็นมิตรต่ออวี้ฮ่าวหรานต่อไป
“ฮ่า ๆ นายเห็นแล้วหรือยัง? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่น้องชายของฉันคนนี้หรอกที่สร้างปัญหา แต่เนื่องผู้คนที่นี่แออัดมาก ดังนั้นมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการพลาดเหยียบกันขึ้น!”
เขายืนยันและจ้องไปที่หัวหน้าบอดี้การ์ดด้วยแววตาบอกเป็นนัยให้คล้อยตาม
หัวหน้าบอดี้การ์ดเห็นสิ่งนี้และเข้าใจในทันที
“อ…เอ่อ…ครับท่านประธาน! เมื่อครู่มันอาจจะเป็นผมเองที่ได้ยินผิดไป น้องชายคนนี้น่าจะไม่ได้สร้างปัญหาจริง ๆ มันน่าจะมีแค่ไอ้สองคนนี้ที่พยายามจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตเพื่อก่อกวนโรงแรมของเรา เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะโยนตัวปัญหาสองคนนี้ออกไปจากโรมแรมของเราทันทีครับท่าน!”
เขาเปลี่ยนทัศนคติทันที
ขณะพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ อย่างตกตะลึง
เขาพยายามเดาว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?
ต้องรู้ว่าประธานของเขาเป็นคนที่เข้มงวดกับกฏระเบียบมากเสมอ ไม่มีสักครั้งเลยที่ประธานของเขาจะพูดละเว้นใครแบบนี้!
ทางด้านของฝูงชนเมื่อได้ยินคำพูดของประธานเจ่า พวกเขาก็ยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม!
แออัดจนพลาดเหยียบหน้ากันเนี่ยนะ!? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน??
อ้างแบบนี้ก็ได้เหรอ?!
คนปัญญาอ่อนยังรับรู้ได้ว่านี่มันคือการแก้ตัวให้กันอย่างน่าไม่อายชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อคำพูดนี้มันถูกเอ่ยออกมาจากปากของเจ้าของโรงแรม พวกเขาจะสามารถโต้แย้งอะไรได้?
หลังจากเห็นสถานการณ์ที่าพลิกผันขนาดนี้ ทุกคนต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบพลางมองคู่หนุ่มสาวอย่างสงสัย
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมประธานเจ่าถึงพูดช่วยเขาขนาดนี้?”
“นี่มันเป็นการช่วยแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยสักนิด!”
“พระเจ้า ชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ พวกเรารีบไปยืนกันตรงอื่นดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนหางเลขเอาได้ เมื่อกี้ฉันเพิ่งพูดช่วยเฉียนเซาไปด้วย!”
“…”
มีการพูดคุยกันมากมายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูถูกคู่หนุ่มสาวซึ่งก็คืออวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋ออีกแล้ว
ล้อเล่นเถอะ ขนาดเจ้าของโรงแรมยังออกโรงพูดช่วยขนาดนี้ ต้องโง่ขนาดไหนถึงยังจะกล้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคู่หนุ่มสาวคู่นี้อีก?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นความบิดเบี้ยวนี้ เฉียนเซาก็โมโหจนแทบหัวระเบิด
“ไม่…นี่มันไม่ถูกต้อง! เมื่อกี้ไอ้เวรนี่มันตีเพื่อนของผมก่อนชัด ๆ! ทำไมคุณกลับพูดจาเข้าข้างมันแบบนี้ ผมไม่ยอม!”
เฉียนเซายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ และความโมโหทำให้กระบวนการคิดของตัวเองสับสนไปหมดจนกล้าพูดเถียงคนที่เป็นถึงเจ้าของโรงแรมที่เขากำลังยืนอยู่!
แน่นอนว่าชายสองคนที่นอนอยู่ที่พื้นนั้นก็รู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่งกว่า
“พวกเราไม่ได้สร้างปัญหาก่อนสักหน่อย! พวกเราถูกทำร้ายก่อนชัด ๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เห็นเต็มสองตา!”
นี่มันบ้าอะไรกัน!
นี่มันเป็นสิ่งที่เรียกว่ากลับขาวเป็นดำใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สายตาของชายชรา หัวหน้าบอดี้การ์ดและลูกน้องกระโจนเข้าหาทั้งสองคนทันที!
“พวกคุณทั้งสองคนยังกล้าสร้างปัญหาในโรงแรมของเราอีกงั้นเหรอ! ได้! ในเมื่อเตือนกันแล้วไม่ฟังแบบนี้ถ้างั้นก็อย่ามาหาว่าพวกเราไม่ให้เกียรติ!”
หลังจากพูดจบ บอดี้การ์ดสี่คนก็รวมตัวกันและลากทั้งสองคนออกไป
“ไม่…ไม่…เราบริสุทธิ์!”
ระหว่างโดนลากชายทั้งสองคนยังคงตะโกนเรียกร้องความบริสุทธิ์ของตัวเองเสียงดังลั่น
นี่พวกเขาพลาดไปยั่วยุตัวตนแบบไหนเข้ากันแน่? นอกจากพวกเขาจะโดนอัดแบบฟรี ๆ แล้วตอนนี้ยังต้องโดนลากออกจากงานประมูลด้วยเนี่ยนะ?
ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่ได้มองทั้งสองคนที่ถูกลากออกไปเลย แต่เขากลับมองไปที่เฉียนเซาด้วยแววตาจริงจัง
“คุณยังอยากจะพูดอะไรต่อไหมกับการตัดสินใจของฉัน? หรือว่าคุณไม่พอใจอะไรตรงไหนหรือเปล่า?”
คำถามที่เย็นชานี้ทำให้หัวใจของเฉียนเซาเต้นผิดจังหวะ
ฉันจะบอกไปว่าไม่พอใจได้ยังไง?!
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย ทรัพย์สินของชายชราผู้นี้รวยกว่าครอบครัวของเขามาก แม้ว่าพ่อของเขาจะอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่สามารถเถียงชายชราคนนี้ได้!
หากตัวเองทำให้ชายชราคนนี้โกรธเคือง เมื่อเขากลับไปก็คงจะโดนพ่อถลกหนังเป็นแน่
“ผ…ผมพอใจแล้ว”
เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
“ฮ่า ๆ เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่า น้องอวี้ของฉันไม่เคยคิดที่จะสร้างปัญหาให้กับใคร นี่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น!”
หลินป๋อหัวเราะเมื่อเรื่องนี้ได้รับการจัดการตามที่เขาต้องการ
อย่างไรก็ตาม เสียงหัวเราะนี้ทำให้เฉียนเซารู้สึกเศร้าใจ
นี่มันเป็นการกลับขาวให้เป็นดำไม่ใช่หรือไง?
เห็นกันชัด ๆ ว่าเพื่อนของเขาถูกทำร้ายก่อน แต่ในท้ายที่สุดเพื่อนของเขากลับถูกลากออกไปซะงั้น
แถมอีกฝ่ายยังบังคับให้เขายอมรับว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดอีกต่างหาก…
บัดซบเอ๊ย!
ในขณะนี้ แม้แต่ซูหว่านเอ๋อที่ตอนแรกตื่นตระหนกก็ยังตกตะลึง เธอไม่เคยเห็นฉากบังคับให้เข้าใจผิดแบบนี้มาก่อน
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ในเวลานี้ ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
“ฮ่า ๆ นี่แหละคือประโยชน์ของการมีอิทธิพล!”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างสบาย ๆ
ตราบใดที่มีอำนาจมีพลัง เขาก็สามารถบังคับให้ใครก็ได้พูดว่าสีดำเป็นสีขาว และคนพวกนั้นก็จำเป็นต้องเชื่อว่ามันสีขาวอย่างไม่อาจเถียงได้
หลังจากที่เหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว หลินป๋อก็เข้ามาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงบ้างน้องอวี้ ไม่ได้เจอกันนานเลย ดูนายสบายดีนะใช่ไหม?”
ในขณะนี้ สีหน้าของหลินป๋อดูปกติอย่างมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการบังคับและอ้างเหตุผลว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ
บทที่ 328 พระพุทธรูปหยก
บทที่ 328 พระพุทธรูปหยก
ราคาสามสิบล้านมันเกินมูลค่าของกระถางธูปหยกนี้มากเกินไปจนผู้คนไม่กล้าประมูลต่ออีก
ในไม่ช้า รายการประมูลนี้ก็สรุปผล
“หว่านเอ๋อร์ เดี๋ยวหลานเอาของชิ้นนี้กลับไปเก็บในห้องเก็บสมบัติของหลานได้เลย คิดซะว่าลุงมอบให้เป็นของขวัญในฐานะที่หลานทำตัวเป็นเด็กดีมาโดยตลอด”
หลังจากรับกระถางธูปมาแล้ว หลินป๋อก็หันศีรษะไปพูดกับซูหว่านเอ๋อ อย่างอ่อนโยน
“แต่…แต่…”
ซูหว่านเอ๋อลังเลมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอต้องการปฏิเสธ แต่เธอก็อยากได้กระถางธูปนี้มากจริง ๆ
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก ลุงหลินบอกให้หลานรับไว้ก็รับเอาไว้เถอะ ก่อนหน้านี้ที่พ่อของหลานบังคับให้หลานแต่งงาน ลุงก็มัวแต่ติดธุระที่ต่างประเทศไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรจนไม่ได้ช่วยหลาน ไม่งั้นพ่อของหลานคงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นแน่ เอาเป็นว่านี่ถือว่าเป็นการขอไถ่โทษจากลุงก็แล้วกัน”
หลินป๋อหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเธอแสดงสีหน้าชวนน่าเอ็นดู
เขาเอ็นดูซูหว่านเอ๋อมาตลอด ตอนนี้อายุเขาก็ปาเข้าไปถึงเลขสี่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีบุตรหลาน ดังนั้นเขาจึงมองซูหว่านเอ๋อเป็นเหมือนกับบุตรหลานแท้ ๆ ของเขาเอง
ก่อนหน้านี้เมื่อเขากลับมาจากการเดินทางไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศและได้รู้ว่าตระกูลซูทำอะไรลงไป เขาก็รีบตรงดิ่งไปที่บ้านตระกูลซูเพื่อตำหนิ ซูกว่างไห่อย่างรุนแรงภายในคืนที่กลับมาทันที
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ซูกว่างไห่ตกตะลึงมากที่ลูกสาวของเขารู้จักคนที่มีอำนาจขนาดนี้
และเมื่อรวมกับการกระทำก่อนหน้านี้ของอวี้ฮ่าวหราน ตระกูลซูก็ยิ่งไม่กล้าโต้แย้งอะไรเลย
หลังจากการประมูลของชิ้นแรกจบไป ของชิ้นที่สองก็ถูกนำขึ้นมาประมูลอย่างรวดเร็ว มันเป็นแจกันลายคราม แต่ไม่ใช่แบบที่ซูหว่านเอ๋อชอบ
อวี้ฮ่าวหราน ใช้เนตรเทวะตรวจสอบตามปกติ ซึ่งมันก็เช่นเดิมกับชิ้นที่แล้ว เขาไม่เห็นพลังวิญญาณใด ๆ แฝงอยู่ในแจกันที่นำขึ้นมาประมูลเป็นชิ้นที่สอง
เขารู้สึกผิดหวังในใจนิดหน่อย
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาอย่างเร่งด่วน ชายวัยกลางคนที่เขาฆ่าตายไปเมื่อล่าสุดเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานแถมยังแต่งตัวแปลก ๆ และมีสำเนียงพูดที่แปลก ๆ ราวกับหลุดมาจากยุคเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งจากองค์ประกอบทั้งหมดมันมีความเป็นไปได้สูงมากที่อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักบ่มเพาะที่แอบซ่อนอยู่ในโลกนี้ และนั่นหมายความว่าหลังจากนี้เขาจะต้องรับมือกับพวกผู้บ่มเพาะของจริง ไม่ใช่พวกนักเลงธรรมดา ๆ กระจอก ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา
ในไม่ช้าการประมูลโบราณวัตถุชิ้นที่สองก็จบลงและถูกยกออกไป โบราณวัตถุชิ้นที่สองถูกเฉียนเซาซื้อไปด้วยราคากว่าสิบสามล้าน
แน่นอนว่าหลังจากได้ของมา เฉียนเซาก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาดูถูก อวี้ฮ่าวหรานราวกับว่าเขาเป็นเศรษฐีที่อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของอีกฝ่ายเท่าไหร่ เพราะเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่ามาที่นี่เพื่ออะไร
หลังจากนั้นไม่นาน ของประมูลชิ้นที่สามก็ถูกนำมาวาง ซึ่งก็คือภาพวาดโบราณ
สำหรับของชิ้นนี้ อวี้ฮ่าวหรานไม่มีความจำเป็นต้องใช้เนตรเทวะมองดูมันด้วยซ้ำ ภาพวาดบนผืนกระดาษแบบนี้ตามปกติแล้วมันไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานมากนัก ดังนั้นภาพที่ยังดูสมบูรณ์ขนาดนี้อย่างมากที่สุดก็มีอายุแค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้น
ของที่มีอายุแค่หลักร้อยปีตามปกติแล้วมันย่อมไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่แน่นอน
และรายการประมูลนี้ก็ยังไปอยู่ในมือของเฉียนเซาเช่นเดิม
เขาภูมิใจมากกับการซื้อของอวดชาวบ้านแบบนี้
“หึหึ ต่อให้มันรู้จักกับประธานเจ่าแล้วยังไง? ท้ายที่สุดคนที่รวยกว่าอย่างฉันก็ได้เปรียบ!”
เสียงของเขาดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก
“ใช่ คนจน ๆ แบบนั้นจะมีคุณสมบัติที่จะเทียบกับคุณได้อย่างไร”
“ฮึ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะบอดี้การ์ดที่นี่เข้มงวดมาก ผมคงสั่งให้คนของผมเข้ามาลากไอ้เวรนั่นออกไปกระทืบให้คุณเฉียนไปแล้ว!”
ที่ด้านข้างทั้งสองฝั่งของเฉียนเซามีนายน้อยรุ่นที่สองจากตระกูลร่ำรวยหลายคนนั่งขนาบด้วยสีหน้าประจบแจง
เมื่อไหร่ที่พวกเขารวมตัวกัน พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดเสมอ
“ฮึ่ม! ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ปล่อยมันไปแน่ หลังจากที่มันออกจากโรงแรมนี้ไป!”
ใบหน้าของเฉียนเซาเต็มไปด้วยความอาฆาต เขามองไปที่อวี้ฮ่าวหราน เป็นระยะ ๆ พลางกัดฟันกรอด
“…”
หลังจากนั้นไม่นานนักของชิ้นที่สี่ก็ถูกนำมาตั้งบนเวที มันคือโต๊ะเครื่องแป้งไม้จันทน์สมัยราชวงศ์หมิงที่มีกระจกทองเหลืองบานใหญ่ถูกติดตั้งอยู่ด้านบน สภาพของมันสมบูรณ์เป็นอย่างมากจนทำให้ความวิจิตรงดงามของมันไม่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาเลย
ราคาเริ่มต้นของรายการประมูลนี้คือห้าล้าน!
เมื่อเห็นรายการนี้ ดวงตาของซูหว่านเอ๋อก็เปล่งประกายอีกครั้ง และเธอก็เสนอราคาทันที
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 8 ล้าน!”
เธอขึ้นราคาสามล้านเต็มในครั้งเดียว ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจแน่วแน่มากที่จะได้มันมา
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าสีหน้าและท่าทางของซูหว่านเอ๋อในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก เธอดูจริงจังแน่วแน่ไม่ยอมใคร ไม่เหมือนกับตามปกติที่แทบไม่กล้าเอ่ยปากปฏิเสธคนทั้งโลก
ผู้หญิงคนนี้ชอบพวกของโบราณมากจริง ๆ
ในไม่ช้าราคาก็พุ่งขึ้นไปถึงสิบสามล้าน แต่ซูหว่านเอ๋อก็ยังไม่ลดละง่าย ๆ
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 16 ล้าน!”
การเพิ่มราคาขึ้นอีกสามล้านครั้งนี้ ทำให้ทุกคนในห้องประมูลตกตะลึงเล็กน้อย และทุกคนก็มองมายังหญิงสาวที่กำลังแสดงแน่วแน่มากในขณะนี้
สุดท้ายก็ไม่มีใครสู้ราคาต่ออีก เพราะในความคิดของทุกคน มูลค่าของโบราณวัตถุชิ้นนี้คงไม่เกินสิบหกล้านแน่นอน
ดังนั้นซูหว่านเอ๋อจึงได้โบราณวัตถุชิ้นนี้ไปตามที่เธอปรารถนา ดวงตาสีดำของเธอโค้งเป็นเสี้ยว เธอดูมีความสุขมากจริง ๆ
จากนั้นภาพวาดโบราณอีกชิ้นถูกซื้ออีกครั้งโดยเฉียนเซาด้วยราคายี่สิบสามล้าน
ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานยังไม่เคลื่อนไหว
“ดูสิ คุณเฉียนเซา ไอ้คนจนคนนั้นมันไม่กล้าซื้ออะไรสักอย่างเลย น่าสมเพชจริง ๆ คนจนอย่างมันมาทำที่นี่เพื่อมาทำให้ตัวเองขายขี้หน้ารึไง?”
“ใช่แล้ว ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวตัวเองบ้างเลย สถานที่แบบนี้คนจน ๆ อย่างมันเหมาะที่จะมาเหยียบที่ไหนกัน?”
“…”
ในเวลานี้ เฉียนเซาเหลือบมองอวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาดูถูกสุดขีด
“ไอ้คนจน ๆ แบบนี้จะมาเทียบบิดาผู้นี้ได้ยังไง!”
ในสายตาของเขา แม้ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะรู้จักกับคนใหญ่คนโต เขาก็ยังอยู่สูงกว่าเพราะเขาคือคนที่มีเงินมากกว่า!
ของชิ้นถัดมาถูกนำขึ้นมาวางอย่างรวดเร็วเช่นเดิม แต่คราวนี้แววตาของ อวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
มันคือพระพุทธรูปหยกโบราณที่ดูเก่าแก่มาก พระพุทธรูปหยกนี้มีความสูงประมาณยี่สิบเซนติเมตร และรูปร่างขององค์พระพุทธรูปก็บอบบางมาก!
แค่เพียงหลือบมองแวบเดียวเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ต่างออกไปจากโบราณวัตถุก่อนหน้านี้ที่ถูกนำขึ้นมาประมูล!
ด้วยทักษะเนตรเทวะ อวี้ฮ่าวหรานก็เห็นได้อย่างชัดเจน!
พระพุทธรูปองค์นี้มีพลังวิญญาณแฝงอยู่อย่างหนาแน่น!
ความหนาแน่นของพลังวิญญาณนั้นมีมากกว่าสองเท่าของจี้หยกที่เขาได้รับมาก่อนด้วยซ้ำ!
มันเป็นของโบราณที่มีพลังวิญญาณมากที่สุดที่เขาเคยเห็นมา!
“พระพุทธรูปหยกองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง และการแกะสลักพื้นผิวของตัวองค์พระพุทธรูปก็ละเอียดละออมาก แม้แต่เทคโนโลยีการแกะสลักในปัจจุบันนี้ก็ยังบรรลุถึงระดับนี้ได้ยาก และที่น่ายกย่องที่สุดคือคุณภาพของหยกที่ใช้ในการแกะสลัก หยกนี้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง! พระพุทธรูปหยกองค์นี้จึงนับได้ว่าเป็นสมบัติที่…”
หลังจากการแนะนำอย่างยิ่งใหญ่จากพิธีกร หลายคนในห้องประมูลก็มองไปที่พระพุทธรูปด้วยดวงตาเป็นประกาย
อย่างไรก็ตาม ราคาเริ่มต้นของพระพุทธรูปหยกองค์นี้ก็ทำให้คนส่วนใหญ่ถึงกับผงะ
“พระพุทธรูปหยกสมัยราชวงศ์ถังองค์นี้ ราคาเปิดประมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 55 ล้าน!”
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
ในไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง คนของแก๊งวาฬยักษ์ทั้งหมดก็รวมตัวกัน และเปลี่ยนชื่อเป็นแก๊งทะเลฉลาม
อีกด้านหนึ่ง…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทแต่เช้าและนั่งบนเก้าอี้ราคาแพงอันแสนสบายของตัวเองอีกครั้งด้วยสีหน้าเบิกบานสุดขีด
หลี่อิงไห่ถูกโค่น หวังเจวียตายแล้ว อู๋เส้าฮัวก็ตายเช่นกัน แม้แต่เผิงอิงอิงที่เคยสมรู้ร่วมคิดกับเขาก่อนหน้านี้ก็ต้องไปนอนในคุก แต่ตอนนี้เขากลับยังสามารถนั่งสบายอยู่ที่นี่ได้
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาฉลาดกว่าคนพวกนั้นหรอกเหรอ?
หลี่จิงเทียนคิดอย่างภาคภูมิใจ
“ฮึ คนเหล่านั้นมันก็แค่พวกโง่เง่า พวกมันคิดว่าพวกมันฉลาดมาก แต่ฉันต่างหากที่ฉลาดมากกว่าพวกมัน!”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่ามากกว่าเดิม
แต่แน่นอนว่าถึงแม้ในตอนนี้เขาจะยังละทิ้งนิสัยหลงตัวเองไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวอยู่เหนือกว่าพี่เขยของตัวเองอีกแล้ว เขาเข้าใจดีว่าจากทัศนคติของพี่เขย นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตัวเองจะได้รับการให้อภัย หลังจากนี้หากเขาสร้างเรื่องอีก เขาอาจจะได้ไปนอนตัวเย็นอยู่ใต้ต้นไม้แถบชานเมืองแทน
ชั้นบนสุดของอาคารสำนักงาน
“วันนี้หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทหรือเปล่า?”
หลังจากฟังรายงานตามปกติแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ถามด้วยความสนใจ
“เขามาครับท่านประธาน แต่หลังจากที่เขาเข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง เขาก็ไม่ออกมาเลย”
ผู้จัดการหวังจับตาดูความเคลื่อนไหวของหลี่จิงเทียนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว
“อืม ดีแล้วที่มันไม่ออกมาเดินเพ่นพ่าน ถึงแม้ว่าผมจะให้ตำแหน่งรองประธานกับเขา แต่เขาจะไม่มีสิทธิไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งนั้นในบริษัท เอาไว้เดี๋ยวผมจะจัดการประชุมกับผู้บริหารทุกคนเพื่ออธิบายเรื่องนี้กับทุกคนให้รู้เอาไว้ด้วย”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและอธิบายแผนของเขาอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรมากกับการให้เงินเดือนหลี่จิงเทียนแบบเปล่า ๆ แต่สิ่งที่กังวลก็คือ เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมายุ่มย่ามกับกิจการในบริษัท
หลี่จิงเทียนนั้นค่อนข้างโง่ และเป็นพวกไร้สมอง คนแบบนี้ต่อให้ไม่คิดร้ายต่อบริษัท แต่หากเข้ามามีอำนาจตัดสินใจในบริษัทมากเกินไปมันก็รังแต่จะทำให้บริษัทวุ่นวาย
ผู้จัดการหวังไม่ได้ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท้ายที่สุด นี่คือเรื่องในครอบครัวของเจ้านายของเขา ดังนั้นจึงไม่ควรออกความเห็นมากเกินไป
แต่ในขณะเดียวกันนี้ จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของอวี้ฮ่าวหรานก็ดังขึ้น
“คุณออกไปก่อน”
เมื่อเห็นมีสายเข้า อวี้ฮ่าวหรานโบกมือให้ผู้จัดการหวังออกไปและรับโทรศัพท์
“ฮ่า ๆๆ! น้องอวี้ ช่วงนี้นายเป็นไงบ้างสบายดีไหม? ไม่เห็นนายติดต่อมาบ้างเลย หรือว่าเดี๋ยวนี้นายไม่สนใจพวกวัตถุโบราณแล้ว?”
น้ำเสียงที่ร่าเริงของหลินป๋อดังมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง
“อืม ก่อนหน้านี้ผมยุ่งนิดหน่อย แต่วันนี้ผมว่างอยู่”
“ฮ่า ๆ ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย! วันนี้ฉันจะไปงานประมูลระดับสูง ในงานมีโบราณวัตถุล้ำค่ามากมายที่จะถูกนำขึ้นประมูลแยกกัน และงานประมูลนี้ก็เชิญแขกไม่มาก อีกทั้งคนนอกไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม แต่ถ้านายว่างวันนี้ตอนเที่ยงนายมาหาฉันได้เลย!”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของอวี้ฮ่าวหรานเต้นรัวทันที
“โอเค บอกสถานที่มาได้เลย ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาตกลงโดยไม่ลังเล
ถึงเวลาที่เขาควรจะเร่งเพิ่มระดับการบ่มเพาะ
การปรากฏตัวของผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานทำให้เขาตระหนักว่านับจากนี้เขาจะต้องเจอกับพวกผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งในโลกนี้แล้ว ซึ่งถ้าหากต้องการใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นต่อไป ชายหนุ่มก็จำเป็นต้องบ่มเพาะให้เร็วขึ้นเท่านั้น
“ตกลง! สถานที่จัดงานประมูลคือห้องจัดเลี้ยงที่ชั้นบนสุดของโรงแรมเคมปินสกี้ ตอนนี้ฉันเองก็อยู่ในระหว่างเดินทางไป เอาไว้เราเจอกันที่นั่นก็แล้วกันนะน้องอวี้!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วก็วางสาย
ช่วงก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ซื้อโบราณวัตถุมาพักใหญ่ ๆ แล้ว
หลังจากกลับจากการทริปไปเที่ยว มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ชายหนุ่มยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่น
จากนั้นเขาก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการจัดการเอกสารตอนเช้า และขับรถตรงไปยังโรงแรมเคมปินสกี้
หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็มาถึงล็อบบี้ของโรงแรม และแจ้งชื่อของตัวเองกับพนักงานโรงแรม
ดูเหมือนว่าหลินป๋อจัดการทุกอย่างให้เขาหมดแล้ว พวกพนักงานโรงแรมจึงนำทางเขาตรงไปยังลิฟท์อย่างนอบน้อม
ระหว่างทางนั้นมีพวกบอดี้การ์ดชุดดำจำนวนมากยืนประจำจุดตามรายทางทุก ๆ สิบเมตร ที่เอวของบอดี้การ์ดเหล่านี้โปนเล็กน้อยซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าคนเหล่านี้ล้วนติดอาวุธกันทุกคน
เห็นได้ชัดว่าการประมูลครั้งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่
ในไม่ช้า ภายใต้การนำของพนักงาน เขาก็เข้าไปในห้องจัดเลี้ยงชั้นบนสุด
ห้องจัดเลี้ยงแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหลังของห้องเต็มไปด้วยอาหารและของขบเคี้ยวต่าง ๆ เหมือนงานเลี้ยงทั่วไป
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมีโต๊ะที่ดูหรูหราวางอยู่บนเวที และที่ด้านล่างเวทีก็มีเก้าอี้ที่แต่ละตัวดูราคาแพงจำนวนมากวางเรียวแถวอยู่หลายสิบตัว เห็นได้ชัดว่าส่วนนี้ใช้สำหรับจัดงานประมูล
ในเวลานี้ห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยพวกผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ในเมืองฮ่วยอันมากมาย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงของซูหว่านเอ๋อ
“ฉัน…ฉัน…ไปได้แล้วหรือยัง?”
น้ำเสียงของซูหว่านเอ๋อเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก ซึ่งมันทำให้อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หลังจากเดินผ่านผู้คน
อวี้ฮ่าวหรานเห็นกลุ่มชายสามคนยืนล้อมรอบซูหว่านเอ๋ออยู่ตรงกลาง
“โธ่ จะรีบไปไหนกันล่ะหว่านเอ๋อ? รู้ไหมว่าผมชอบคุณมานานแล้ว ตอนนี้สัญญาการแต่งงานของคุณก็ถูกยกเลิก คุณแต่งงานกับผมได้ไหม? คุณก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ได้ด้อยกว่าหลี่จิงเทียนมากเท่าไหร่หรอก”
“หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกันนะ! ถ้าเป็นเรื่องเงิน ผมเองก็มีเงินเหมือนกับหลี่จิงเทียน!”
“อย่าไปฟังไอ้สองคนนี้ หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกัน ถ้าคุณตกลงกับผม ผมจะให้พ่อผมไปคุยกับพ่อคุณทันทีวันนี้เลย!”
ในเวลาเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานได้ยินทุกคำพูดของชายทั้งสามคนจากประสาทการฟังอันเหนือมนุษย์
ซูหว่านเอ๋อดูสับสนในเวลานี้ และเนื่องจากเธอพูดไม่เก่ง จึงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ แม้กระทั่งหลังจากเหตุการณ์นั้น สาวน้อยคนนี้ก็ยังพูดกับคนอื่นไม่เก่งอยู่ดี
ถ้าเปลี่ยนเป็นเฉิงชิวอวี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ป่านนี้ไอ้สามหนุ่มนั่นคงโดนตบไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มก็รีบเดินออกไป ในฐานะที่เขาและเธอเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นตามปกติแล้วจึงไม่สามารถมองดูอีกฝ่ายถูกรังแกได้
“แต่… ฉันไม่ต้องการ…ฉันไม่ต้องการที่จะแต่งงาน…”
ซูหว่านเอ๋อเริ่มตื่นตระหนกและสับสนจากการถูกชายทั้งสามคุกคามที่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอไม่สามารถพูดโต้แย้งได้อย่างเหมาะสมเพราะความหัวอ่อนของเธอ
แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ชายทั้งสามได้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นเรา งั้นเรายังไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ พวกเรามาทดลองอยู่ด้วยกันก่อน แต่ฉันมั่นใจว่าเมื่อไหร่ที่ฉันทำให้เธอขึ้นสวร…”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮึ่ม! พวกแกไม่เห็นหรือไงว่าผู้หญิงกำลังไม่พอใจ?”
อวี้ฮ่าวหรานเดินมาหยุดที่ด้านหลังและมองดูชายทั้งสามคนอย่างดูถูก
ทั้งสามคนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่พวกเขาก็หัวเราะทันทีเมื่อเห็นว่าผู้พูดเป็นแค่ชายที่สวมเสื้อผ้าธรรมดามาก
“ฮ่า ๆ ฉันก็นึกว่าเป็นใครใหญ่โตที่ไหนมาพูดจาอวดเบ่ง นี่คนจน ๆ อย่างแกเข้ามาในงานนี้ได้ไงเนี่ย? ไปเลย รีบไสหัวไปให้ไกล ๆ อย่ามารบกวนเวลาของฉันกับหว่านเอ๋อ ไม่งั้นฉันจะเรียกยามให้มาลากแกออกไป!”
ผู้พูดขณะนี้คือชายหนุ่มร่างอ้วนที่แต่งตัวดี แต่สีหน้าของเขาแสดงอาการดูถูกอย่างชัดเจน
“ฮ…ฮ่าวหราน!”
ซูหว่านเอ๋อไม่คิดเลยว่าเธอจะได้พบกับอวี้ฮ่าวหรานที่นี่ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ใบหน้าซีดเผือดของเธอจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด
ชายร่างอ้วนประหลาดใจกับอาการแสดงออกของซูหว่านเอ๋อ เขามองทั้งสองอย่างสับสน
“บัดซบ! นี่มันบ้าอะไรกัน? ซูหว่านเอ๋อ ฉันไม่คิดเลยนะว่าผู้หญิงที่อยู่ในสังคมชั้นเดียวกับเราจะลดตัวลงไปคบกับคนจน ๆ แบบนี้ด้วย!”
เขาอดไม่ได้ที่จะติเตียนด้วยความอิจฉาในใจ
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
หมับ!
นักเลงลูกน้องของสวีเปียว ฟันมีดอย่างสุดกำลังที่ตัวเองมีหวังจะฟันคอของอวี้ฮ่าวหรานให้ขาดภายในครั้งเดียว สีหน้าของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ตัวเองกำลังจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อพบว่ามีดที่เขาฟันไปมันกลับถูกอีกฝ่ายใช้มือเปล่า ๆ จับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!
นี่…มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักเลงก็พยายามดึงมีดออกอย่างสุดแรง
แต่วินาทีต่อมา อวี้ฮ่าวหรานใช้กำลังเล็กน้อยบดขยี้ใบมีดที่ตัวเองจับอยู่จนแหลกละเอียด พร้อมกับปล่อยคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าใส่นักเลงผู้น่าสงสาร!
บรึ้ม!
อ๊ากกกก
นักเลงที่โดนคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าเต็ม ๆ กระอักเลือดเป็นสายและลอยละลิ่วหายเข้าป่าข้างทาง โดยที่ไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าเป็นหรือตาย!
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของอีกฝ่าย
“หึหึ เป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่องแต่น่าเสียดายที่ใช้มันผิดที่!”
หลังจากเยาะเย้ยนักเลงที่โชคร้ายคนนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เบนสายตากลับมามองพวกนักเลงที่เหลือ
“พวกแกอยากลองด้วยไหม?”
สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เขาตอบกลับทันทีด้วยอาการสั่นกลัว
“พี่อวี้ พี่อวี้! ผ…ผมไม่โทษพี่แน่นอนต่อให้ไอ้นั่นมันตาย! ผ…ผมจะไปเดี๋ยวนี้! ร…เร็วเข้า! พวกแกทั้งหมดรีบกลับไปขึ้นรถเร็ว!”
ขณะที่เขาพูด สีหน้าของสวีเปียวหวาดกลัวสุดขีด เขารีบเอ่ยสั่งลูกน้องทันทีให้เตรียมออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้โบกมือหยุดเขาเอาไว้!
“เดี๋ยวก่อน! ฉันบอกแกเมื่อไหร่ว่าฉันจะปล่อยแกไป?”
สวีเปียวแข็งค้างเป็นรูปปั้นทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา และเขาก็รีบหันไปอธิบายด้วยสีหน้าวิงวอน
“พี่อวี้ ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินพี่จริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อการร้องขอความเมตตาของอีกฝ่าย เขาจึงถามกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฉันได้ยินมาว่าแก๊งวาฬยักษ์ของแกสั่งให้สมาชิกทั้งหมดถอยร่นจากแนวหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกแกมีแผนชั่วใหม่ ๆ อีกแล้วใช่ไหม?”
เนื่องจากชายหนุ่มเคยเจอกับพวกแก๊งวาฬยักษ์หลายรอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำได้ว่าคนเหล่านี้สวมชุดของแก๊งวาฬยักษ์
“ฉัน…ไม่…คือเราแค่ขัดคำสั่งของหัวหน้าไม่ได้…”
“ถ้าแกโกหก แกตาย!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลไม่กล้าพูดบางประโยคออกมา อวี้ฮ่าวหรานจึงข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขาเอาจริง!
สวีเปียวเลิกลังเลและไม่กล้าโกหกในทันที
เขามองอีกฝ่ายด้วยความสยดสยองเล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงความตายที่จะมาถึงแน่หากตัวเองโกหกต่อไปอีกแค่ครึ่งคำ!
น่ากลัวโคตร ๆ เลย!
“พวกเรา…แก๊งวาฬยักษ์ของเราได้เข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง ดังนั้นการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นคำสั่งของกงซุนซา!”
ในที่สุดเขาก็จะพูดความจริง…
ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจทันที
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อย
“อืม เข้าใจแล้ว แกไสหัวไปได้แล้ว”
จากการเพ่งมองจังหวะการเต้นของหัวใจและภาษากายต่าง ๆ เขาจึงสามารถตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน
หลังจากได้รับอนุญาต สวีเปียวรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถด้วยความตื่นตระหนกและจากไปพร้อมกับลูกน้องทั้งหมดของเขา
ย่านรกร้างแห่งนี้จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยกเว้นเสียงร้องโอดโอยที่เจ็บปวดของเฉียนเซา เพราะโดนเตะจนกระดูกซี่โครงหักไปหลายซี่
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่กลุ่มของเฉียนเซาอย่างดูถูก แต่เมื่อคิดได้ว่าขณะนี้มีซูหว่านเอ๋อเฝ้ามองอยู่ เขาจึงไม่อยากจะสร้างฉากโหดร้ายขึ้นมาให้อีกฝ่ายฝันร้าย ดังนั้นจึงเดินกลับไปที่รถและเร่งเครื่องจากไป
ภายในรถ
ไม่นานหลังจากที่ขับออกมา ซูหว่านเอ๋อที่ตื่นตระหนกก็เริ่มทำใจได้บ้างเล็กน้อย
การปรากฏตัวของพวกนักเลงเมื่อครู่นี้ทำให้เธอตกใจมาก
โชคดีที่คนที่เธอชอบแข็งแกร่งกว่า!
“ฮ่าวหราน…คุณ…คุณสุดยอดมากเลย…”
ซูหว่านเอ๋อยิ่งรู้สึกเชิดชูเขามากกว่าเดิม และอดไม่ได้ที่จะพูดชมเบา ๆ
เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายผู้นี้จะมีอำนาจมากจนคำพูดของเขาสามารถทำให้ผู้คนคุกเข่าขอความเมตตาได้
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มีผมอยู่ด้วยไม่มีใครทำร้ายคุณได้หรอก”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ให้ความมั่นใจกับเธอ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าประโยคนี้ได้ทำให้หัวใจของซูหว่านเอ๋อหวั่นไหวมากเพียงใด
…
อีกด้านหนึ่ง
โจวเฟยหู่มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับกระเช้าผลไม้
“คราวนี้สถานการณ์ยิ่งแปลกมากขึ้น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกแก๊งวาฬยักษ์ถึงถอยร่นทิ้งพื้นที่แนวหน้าให้เรายึดไปฟรี ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเราและพวกมันต่างก็สูญเสียในจำนวนพอ ๆ กัน?”
ทันทีที่โจวเฟยหู่นั่งลง เขาก็พูดเรื่องนี้กับหวังเหยียน
หวังเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“การที่พวกมันทำแบบนี้ มันน่าจะเป็นเพราะมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นภายในแก๊งของพวกมัน”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ หวังเหยียนก็ได้รับข้อความบนโทรศัพท์มือถือของเขา
‘แก๊งวาฬยักษ์ถูกยุบและสมาชิกทั้งหมดเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งแล้ว’
ข้อความสั้น ๆ นี้ทำให้เขาตกใจจนขนลุก
“เกิดอะไรขึ้น!”
โจวเฟยหู่รู้สึกไม่ดีอย่างมากเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหวังเหยียน เขาไม่เคยเห็นหวังเหยียนแสดงสีหน้าแบบนี้เลยนอกจากว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย
“แก๊งวาฬยักษ์ตกเป็นของกงซุนซาแล้ว! ทั้งสองแก๊งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!”
หวังเหยียนบอกข้อความที่เขาเพิ่งอ่านผ่านโทรศัพท์ เขาเชื่อมั่นในข่าวนี้หมดใจ เพราะอวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งต่อข่าวนี้!
เขาเชื่อว่าคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางส่งข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยันมาหาเขาแน่นอน
“นี่มัน…!”
โจวเฟยหู่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากได้สติ เขาก็ลุกขึ้นพรวดทันที
“นายเพิ่งพูดว่าแก๊งวาฬยักษ์ถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนไปแล้วงั้นเหรอ!? นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง!!”
โจวเฟยหู่ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนอุทานเสียงดัง
เขารู้ดีว่าหลิ่วอวี้จิงเป็นคนยังไง คนประเภทนี้เต็มใจที่จะยอมก้มหัวให้กับคนอื่นแถมยอมยุบแก๊งตัวเองง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?
“นี่…ข่าวนี้จริงเหรอ?”
“ผมมั่นใจที่สุด เพราะข่าวนี้อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งมาให้ผม มันไม่มีทางที่จะเป็นข่าวลวงแน่นอน และนี่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเร็ว ๆ นี้แก๊งวาฬยักษ์ถึงเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ”
น้ำเสียงของหวังเหยียนหนักแน่นมากในขณะนี้ และข่าวนี้ทำให้ตัวเองรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องสั่งให้คนของเราถอยร่นมาเช่นกันเพื่อที่เราจะได้รวมกลุ่มกันรับมือกับการถูกโจมตีได้เร็วมากกว่าเดิม!”
หลังจากที่โจวเฟยหู่ได้รับคำตอบยืนยัน เขาเริ่มคิดหาแผนรับมือในหัวมากมาย
…
ในเวลาเดียวกัน
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋อกินข้าวกันเสร็จแล้ว เขาจึงไปส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน ส่วนตัวของชายหนุ่มนั้นก็ขับรถกลับไปที่บริษัทต่อเพื่อดูเอกสารต่าง ๆ ที่ตัวเองจำเป็นต้องเซ็นอนุมัติให้เสร็จสิ้น
หลังบ่ายสามโมง เขาก็ขับรถออกจากบริษัทเพื่อไปรับถวนถวน
ทว่า ในระหว่างที่เขาขับผ่านสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาก็เห็นสวีรุ่ยและพ่อของเธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน
แต่เมื่อชายหนุ่มเพ่งมองดี ๆ เขาก็เห็นว่าสีหน้าของพ่อลูกคู่นี้ในเวลานี้ดูเป็นกังวลอย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและเมื่อดูนาฬิกาและเห็นว่ามันเพิ่งจะสามโมงกว่า ชายหนุ่มจึงหยุดรถสปอร์ตที่ข้างถนนอย่างช้า ๆ
“…จะทำยังไงดีนะเฮ้อ…หางานไม่ได้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว…”
บทที่ 310 ฆ่าด้วยมือเดียว!
บทที่ 310 ฆ่าด้วยมือเดียว!
หลังจากตัดหัวหนึ่งในลูกน้องของหวังเหยียนที่ยังรอดอยู่ไปแล้ว จิ่นเฟิง ก็ลากลูกน้องของหวังเหยียนอีกคนมานั่งคุกเข่าตรงหน้าเขา
“หึหึ ดูลูกน้องของแกคนนี้สิ! ขาหักขนาดนี้คงเดินไม่ได้เหมือนเดิมอีกตลอดชีวิต เฮ้อ…แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะช่วยให้มันไม่ต้องเป็นคนพิการโดยการจบชีวิตมันทิ้งให้!”
จิ่นเฟิงพูดติดตลกพร้อมกับทาบมีดไปที่คอของชายคนนั้น และมองขึ้นไปยังหวังเหยียนด้วยแววตาหยอกล้อ
แต่แล้วก่อนที่เขาจะทันได้ลงมีด!
เสียงคำรามของรถสปอร์ตดังจากที่ไกล ๆ และเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หลังจากเสียงเบรกอันรุนแรง รถสปอร์ตก็หยุดที่หน้าทางเข้าบ่อน!
“ห่าอะไรวะ! นี่แกเป็นใคร…”
“บัดซบ แกกำลังหาเรื่อง…”
พลั่ก ๆ! โครม!
ก่อนที่ลูกน้องของจิ่นเฟิงที่เฝ้าหน้าประตูอยู่สองคนข้างนอกจะทันได้พูดจบ คำพูดของเขาก็หายไปกลางคันก่อนที่จะมีเสียงโครมครามดังลั่นตามมา!
วินาทีถัดมา พวกเขาสองคนก็ถูกโจมตีจากด้านนอก ก่อนจะลอยเข้ามาในห้องโถงของบ่อน!
เสียงดังลั่นขนาดนี้ดึงดูดความสนใจของทุกคนในห้องโถงทันที!
ที่ประตู ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แต่ก่อนที่จะมองเห็นได้ชัดเจน สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ก็ตะโกนสาปแช่งซะก่อน
“บัดซบ! ไอ้เวรนี่มันเป็นใคร!!”
“แม่งเอ๊ย! กล้าทำร้ายคนของพวกเราแบบนี้วันนี้แกตายแน่!”
“…”
ทว่าทันใดนั้นชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา!
“วันนี้พวกแกทุกคนจะไม่มีใครรอดไปจากที่นี่!”
ทันทีที่ประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์ต่างก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง พวกทุกคนต่างรู้สึกขนลุก!
ชายหนุ่มคนที่เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้า ๆ นั้นดูคล้ายกับสัตว์ร้ายที่จ้องจะขย้ำพวกเขาได้ทุกเวลา แค่ประโยคเดียว ทุกคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว!
ทุกคนต่างมองหน้ากันอย่างโง่งมและหยุดสาปแช่ง
“บัดซบ! พวกแกเป็นบ้าอะไรกัน? พวกแกกลัวคน ๆ เดียวแบบนี้ได้ไงวะ!?”
ในขณะเดียวกัน จิ่นเฟิงก็ตะโกนด่าคนของตัวเองเสียงดังลั่น เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งลูกน้องของตัวเองเมื่อเห็นเช่นนี้
แต่จริง ๆ แล้วตัวเขาเองก็ยังตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามา ด้วยเหตุผลที่ตัวเองก็อธิบายไม่ได้ มันเหมือนกับว่าเขาได้เห็นยักษ์จากนรกที่แสนเหี้ยมโหดกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
อวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจความคิดของคนเหล่านี้ เขาค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องโถงอย่างช้า ๆ พร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารให้ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง!
กลิ่นอายสังหารที่หนาแน่นขนาดนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างตกอยู่ในความกลัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อคนของแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนมองเห็นรูปร่างของชายที่เดินเข้ามาได้อย่างชัดเจน ความกลัวของพวกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเยาะเย้ย!
มันเป็นเพียงชายหนุ่มร่างผอมเท่านั้นเอง!
พวกเขาไม่รู้จักอวี้ฮ่าวหราน ในวันนั้นตอนที่หลิ่วอวี้จิงพาคนไปล้อมบริษัทชิวเฮิง หลิ่วอวี้จิงไม่ได้เรียกคนของตัวเองไปทั้งหมด ซึ่งในวันนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ไปด้วย
“ถุย! ฉันหลงคิดไปได้ยังไงว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด! แม่งก็แค่ไอ้ละอ่อนที่เบื่อชีวิตก็แค่นั้นเอง!”
“เฮอะ! ผอมแห้งขนาดนั้น แค่ฉันดีดหัวมันทีเดียวกะโหลกมันก็ยุบแล้วมั้ง!”
“แม่งเอ๊ย! กล้าขู่ให้พ่อคนนี้กลัวงั้นเหรอ วันนี้แกตายแน่!”
“…”
หลังจากที่ทุกคนเห็นว่าคนที่เพิ่งเข้ามาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา พวกเขาก็เริ่มด่าทอกันในทันที
แม้แต่จิ่นเฟิงก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูก
“ฮ่า ๆ แกน่ะเหรอ คนที่หวังเหยียนโทรหา?”
เขายิ้มเยาะเย้ย
“แกมาที่นี่เพื่อมาตายกับสหายของแกงั้นเหรอ?”
ขณะที่พูด จิ่นเฟิงก็ผลักลูกน้องของหวังเหยียนที่เขากำลังจะฆ่าให้กระเด็นออกไปก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปหาชายหนุ่มปริศนาพร้อมกับควงมีดในมือไปด้วยแบบสบาย ๆ
เมื่อเห็นการกระทำของเหล่านี้ อวี้ฮ่าวหรานก็พ่นลมหายใจก่อนที่จะแสดงสีหน้าดูถูก
“พวกฝูงมดนี่มันไร้สาระเหมือน ๆ กันหมด!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอวี้ฮ่าวหราน จิ่นเฟิงกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ!
“ฮ่า ๆ! หวังเหยียน ไหนแกลองบอกมาหน่อยสิว่าแกไปรู้จักกับไอ้เพี้ยนนี่มาจากไหน? ฝูงมด?? ฮ่า ๆๆ! คนที่แกเรียกมานี่แม่งโคตรตลกเลย!”
จิ่นเฟิงเอ่ยขึ้นพลางหันไปมองหวังเหยียนที่ลุกขึ้นมานั่งเอาหลังพิงกำแพงได้แล้วอย่างเยาะเย้ย
น่าเสียดายที่จิ่นเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของ หวังเหยียนในเวลานี้!
จิ่นเฟิงเยาะเย้ยหวังเหยียนแค่เพียงประโยค จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเขาอีกครั้ง
“แกนี่ตลกดีวะ ว่าแต่แกเป็นใครกันวะ ถึงได้กล้าเรียกพวกฉันว่ามด?”
จิ่นเฟิงยังคงเยาะเย้ยอย่างไม่กลัวตาย
“เอาแบบนี้ดีกว่า เห็นแก่ที่แกแม่งโคตรตลกเลย ฉันจะให้โอกาสแก ถ้าแกคุกเข่าลงและคลานลอดหว่างขาของฉัน ฉันอาจจะปล่อยให้แกรอดจากที่นี่ไปโดยที่หักขาแกแค่สองข้างพอ!”
อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดที่ไร้สาระแบบนี้
มนุษย์ธรรมดาสั่งให้เขาคลานลอดหว่างขาน่ะเหรอ?
“ฉันควรขอบคุณแกด้วยไหมที่คิดเมตตาฉันขนาดนี้?”
สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไปเป็นเหี้ยมโหดอย่างฉับพลัน!
แต่แล้วก่อนที่จิ่นเฟิงจะทันได้เยาะเย้ยต่อไป ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ!
ร่างของไอ้หนุ่มนั่นทำไมมันถึงค่อย ๆ หายไปแบบนั้น!
อะไรวะน่ะ?
เสี้ยววินาทีถัดมา!
ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขาราวกับผี!
อันที่จริงแล้ว ภาพที่จิ่นเฟิงเห็น มันคือภาพติดตาที่เกิดจากความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อของอวี้ฮ่าวหราน!
ทันทีหลังจากนั้น เขาก็รู้สึกว่าคอของตัวเองถูกบีบอย่างกะทันหัน และจู่ ๆ ก็มีคลื่นพลังอันแข็งแกร่งกวาดผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาให้กระเด็นลอยออกไปไกลจนกระแทกกับกำแพง!
‘บรึ้ม!’
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่จิ่นเฟิง ซึ่งเขากำลังกำคออยู่ด้วยแววตาดูถูกเหยียดหยามและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“แกมีคุณสมบัติอะไรดีถึงกล้ามาโอ้อวดต่อหน้าข้าผู้นี้ ไอ้มดแมลง!!”
“อ่อก…อ่อก…อ่อก…”
จิ่นเฟิงรู้สึกหวาดกลัวสุดขีด เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป แต่คอของตัวเองก็ถูกบีบแน่นจนไม่สามารถพูดอะไรได้เลย!
“อยากพูดเหรอ? น่าเสียดายที่ฉันไม่อยากจะฟัง แกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดอะไรให้ฉันได้ยิน!”
อวี้ฮ่าวหรานเยาะเย้ยอย่างเย็นชา
ถ้าเป็นในดินแดนแห่งเทพ มนุษย์คนใดก็ตามที่กล้าดูหมิ่นเขาโดยการบอกให้เขาไปคลานลอดหว่างขา เขาจะฆ่าล้างตระกูลของคน ๆ นั้นให้เหี้ยนไม่เหลือแม้แต่หมูหมากาไก่ หรือถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่น เขาจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกมันทั้งหมดในทันที!
ศพนับล้านจะต้องปรากฏขึ้นเพื่อชะล้างความแค้นของเขา!
ในเวลานี้ หัวใจของจิ่นเฟิงเป็นเหมือนทะเลที่บ้าคลั่ง เขาหวาดกลัว เขาหวาดกลัวจริง ๆ!
หวังเหยียนเรียกสัตว์ประหลาดแบบนี้มาได้ยังไง!
หากเขาพูดได้ในตอนนี้ ก็คงจะรีบสั่งให้คนของเขาวิ่งหนีเอาชีวิตรอดทันที!
ชายคนนี้คือตัวตนที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้!
“แกกลัวงั้นเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่ใบหน้าของจิ่นเฟิง ซึ่งเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีดอย่างเยาะเย้ย
“ถ้าเมื่อกี้แกยอมคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาตั้งแต่วินาทีแรกที่ข้าผู้นี้ปรากฏตัว บางทีข้าอาจจะไว้ชีวิตแก เพียงแค่ทำให้แกพิการไปตลอดชีวิต แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว!”
“โฮ…โฮ…”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความตื่นตระหนกในหัวใจของจิ่นเฟิงก็พุ่งขึ้นทะลุปรอท!
เขารู้สึกได้ถึงเจตนาฆ่าที่เข้มข้น!
กร๊อบ!
ในขณะที่จิ่นเฟิงกำลังตื่นตระหนกสุดขีด อวี้ฮ่าวหรานก็หักคอของอีกฝ่ายอย่างไร้ความปราณี!
หลังจากจบชีวิตของจิ่นเฟิงไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปมองคนของแก๊งวาฬยักษ์ที่ยังคงอยู่ในห้องโถง!
บทที่ 339 สมองมด
บทที่ 339 สมองมด
แน่นอนว่าเมื่อคนธรรมดาเห็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่เกิดขึ้นด้านนอก พวกเขาทุกคนจึงพร้อมใจวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เขาได้ปล่อยให้พวกคนธรรมดาเหล่านี้หนีไป เพราะคนธรรมดาพวกนี้ไม่ใช่เป้าหมายของเขา หลังจากเข้าไปในห้องโถง เขาก็เลือกที่จะวิ่งด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ขึ้นไปทางบันไดแทนที่จะใช้ลิฟท์
ด้วยความเร็วของเขาที่เร็วมากกว่าการใช้ลิฟท์ แค่เพียงไม่ถึงสามสิบวินาทีเขาก็วิ่งขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้า!
บนดาดฟ้า!
“ฮิฮิ แกนี่ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ แต่น่าเสียดายที่แกจะต้องตายที่นี่!”
เมื่ออสรพิษเงินเห็นว่าอีกฝ่ายมาถึงในที่สุด เขาก็เยาะเย้ยอย่างไร้กังวล
เขาคาดคะเนว่าอวี้ฮ่าวหรานน่าจะอยู่ในขั้นจุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายใน ซึ่งเขาเองก็อยู่ในระดับนี้ด้วยเช่นกัน แต่ด้วยอายุของเขาที่มากกว่า ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจะช่วยให้เขากำชัยได้อย่างไม่ยากเย็น
ต้องรู้ว่าเขาอยู่ในจุดสูงสุดของพลังภายในมามานานกว่าสิบปีแล้ว!
ไม่มีใครในขอบเขตเดียวกับเขาสามารถเอาชนะเขาได้!
“อ้อ ฉันเพิ่งได้รับข้อมูลมาว่าแกมีลูกสาวตัวเล็ก ๆ อยู่คนหนึ่งด้วยใช่ไหม? ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าใบหน้าที่ไร้เดียงสานั่นจะเป็นแบบไหนเมื่อถูกฉันจับกรอกยาพิษ!”
อสรพิษเงินชอบใช้วิธีการยั่วยุศัตรูของเขาให้ปั่นป่วนใจมากที่สุด ซึ่งหลังจากที่ศัตรูของเขาถูกความโกรธเข้าครอบงำ เขาก็จะยิ่งสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่ายมากขึ้น
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาก็หัวเราะเสียงดังลั่นและเอ่ยถามกลับ
“ฮ่าฮ่าฮ่า แกรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรู้สึกตลก”
“ฮิฮิ ใครจะไปรู้ มันอาจเป็นเพราะว่าแกหมดหวังจนเสียสติไปแล้วก็ได้จริงไหม?”
อสรพิษเงินไม่ได้กังวลใจอะไรเลย ในทางกลับกัน เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกเช่นกันที่วันนี้อีกฝ่ายมาให้เขาฆ่าถึงที่นี่อย่างว่าง่ายราวกับคนโง่
“ไม่ใช่เลย มันเป็นเพราะว่าฉันตลกที่คนจะตายแล้วอย่างแกยังเปลืองสมองคิดถึงเรื่องในอนาคตอยู่อีกต่างหาก!”
เสียงของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนเป็นลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง
ประโยคนี้มาพร้อมกับเจตนาฆ่าซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่รอบบริเวณถึงกับใจสั่น!
อสรพิษเงินขมวดคิ้วแน่น แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เขาไม่คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่คู่ต่อสู้จะเอาชนะเขาได้
“ถุย! เลิกหลงตัวเองได้แล้วโว้ย! แกมันก็แค่คนที่น่าจะอยู่ในขั้นจุดสูงสุดของปรมาจารย์พลังภายในก็แค่นั้น ก่อนหน้านี้องค์กรของฉันไม่ทำอะไรแกเพราะพวกเราไม่อยากเปลืองแรง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว การที่ฉันมาที่นี่มันหมายความว่าไม่ว่ายังไงแกก็ต้องตายในท้ายที่สุด!”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินประโยคนี้ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของเขาทันที
“โอ้? แกเดาเกือบถูกแน่ะ แต่ฉันอยู่ในขั้นสูงต่างหาก”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า! ถ้าแกอยู่แค่ขั้นสูง งั้นแกเตรียมรอรับความตายได้เลย ฉันเชือดแกได้อย่างไม่ยากเย็นแน่! ”
เมื่อได้ยิน อวี้ฮ่าวหรานก็ยอมรับความแข็งแกร่งของตัวเอง ซึ่งมันต่ำกว่าที่เขาคาดไว้ อสรพิษเงินก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน
อีกฝ่ายตอกตะปูฝาโลงตัวเองแท้ ๆ ที่เผยระดับการบ่มเพาะของตัวเองแบบนี้!
แต่ในขณะเดียวกันนี้ที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน เฉิงชิวอวี้ก็ตื่นขึ้น!
แต่เมื่อเธอรู้สึกได้ว่าทั้งตัวของเธอถูกมัดอย่างแน่นหนาจนไม่สามารถดิ้นหลุดได้ เธอก็ตะโกนไปหาอวี้ฮ่าวหรานที่อยู่ไม่ไกลทันที
“ฮ่าวหราน หนีไปซะ! คนพวกนี้ไม่ใช่คนธรรมดา! แถมทั้งหมดนี้เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพ่อของฉันกับคนเหล่านี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย คุณอย่าเอาตัวมาเสี่ยง หนีไปซะ!”
ก่อนที่เธอจะถูกทำให้หลับไปตอนที่อยู่ในบริษัท เธอพอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูเก่าของพ่อเธอแน่นอน
ดังนั้น เธอจึงไม่อยากให้คนที่เธอรักต้องมาเดือดร้อนด้วยกับเรื่องส่วนตัวของพ่อเธอแบบนี้
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดของเฉิงชิวอวี้ เขาก็หัวเราะเบา ๆ อย่างไร้กังวล
“อย่ากังวล สำหรับผมเรื่องนี้มันเรื่องเล็กน้อย”
คำพูดนี้ทำให้อสรพิษเงินที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย
“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าตลกชิบหายเลย! แกคิดว่าปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงอย่างแกจะสู้ฉันได้งั้นเหรอ?”
จากนั้นทันทีที่พูดจบ มือผอมบางของเขาก็สะบัดอย่างรวดเร็ว ส่งมีดสั้นสามเล่มสีดำทะมึนพุ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยความรวดเร็ว!
‘ฟิ้ว ฟิ้ว!’
ภายใต้การระเบิดกำลังของกล้ามเนื้อปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด มีดทั้งสามเล่มจึงพุ่งเร็วจนเป็นภาพติดตาและทำให้มองดูคล้ายลำแสงสามเส้นกำลังพุ่งเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหราน!
มีดสามเล่มนี้ถูกอาบยาพิษร้ายแรงมาอย่างประณีต แม้แต่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด หากแค่เพียงโดนคมมีดของมันสะกิดกับผิวหนังเพียงนิดเดียวก็อาจจะสิ้นลมหายใจได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที!
แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เกรงกลัวของเล่นแบบนี้เลย เขามองไปที่อสรพิษเงินด้วยความเหยียดหยาม
“ไอ้สมองมด! ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าฉันอยู่ในขอบเขตพลังภายใน?”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็โบกมือเบา ๆ และส่งคลื่นพลังวิญญาณเข้าสกัดมีดทั้งสามเล่นที่พุ่งเข้าหา ปัดมีดทั้งสามเปลี่ยนทิศทางไปอย่างง่ายดายราวกับว่าพวกมันเป็นแค่ขนนกที่แค่เป่านิดหน่อยก็พริ้วไปตามแรงลมปาก!
‘เคร้ง ๆ ๆ ๆ…’
หลังจากมีดทั้งสามถูกปัดจนปลิวไปตกที่พื้น เจ้าตำหนักอีกสองคนซึ่งมากับอสรพิษเงินก็ลงมือเช่นกัน พวกเขาทั้งสองเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูง พวกเขามั่นใจว่าถ้าหากพวกเขาร่วมมือกัน พวกเขาควรจะรับมือกับอวี้ฮ่าวหรานได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“เหอะ! ไร้สาระ!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
“เป็นแค่มด กล้าดียังไงมาแยกเขี้ยวใส่ฉัน!”
ทันทีที่พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณอย่างเต็มที่และชกหมัดออกไปเต็มแรงใส่เจ้าตำหนักองค์กรอสรพิษทั้งสองคนที่พุ่งเข้ามาหาเขา!
“ปัง!!”
หลังจากการปะทะ เจ้าตำหนักทั้งสองก็ลอยละลิ่วกระเด็นกลับไปราวกับว่าวสายป่านขาดโดยไร้ลมหายใจ!
ฆ่าสองด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
อสรพิษเงินที่กำลังจะลงมือโจมตีเช่นกัน เมื่อเห็นฉากนี้เขาพลันชะงักทันทีด้วยความตกตะลึง!
“ก…แกไม่ใช่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงนี่นา! น…นี่แกเป็นใครกันแน่! คนที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในไม่สามารถทำแบบนี้ได้แน่!”
อสรพิษเงินขนลุกชูชันด้วยความหวาดกลัว แม้แต่เจ้าตำหนักคุมกฎที่แข็งแกร่งกว่าเขาเองก็ไม่แข็งแกร่งถึงขนาดฆ่าปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงได้ภายในการโจมตีครั้งเดียวแบบนี้ และนี่ยังไม่นับเรื่องที่อวี้ฮ่าวหรานโจมตีครั้งเดียว แต่ฆ่าได้สองคนอีกต่างหาก!
มีคนเดียวที่เขาพอจะนึกออกได้ว่าน่าจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ก็มีแค่คนเดียวซึ่งก็คือผู้นำองค์กรที่สุดแสนลึกลับของพวกเขาเท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม แต่คนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งที่เหนือมนุษย์ไปแล้ว
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นอีกฝ่ายกำลังกลัวจนขนหัวลุก เขาก็หัวเราะเบา ๆ
“หึหึ รู้มั้ยว่าทำไมสัตว์เลื้อยคลานถึงไม่กลัวเมื่อเห็นเท้ามนุษย์กำลังจะมาเหยียบมัน”
ดวงตาของเขาแสดงความเยาะเย้ยในขณะที่เขาพูด
“มันเพราะว่าสัตว์เลื้อยคลานนั้นสมองน้อยจนไม่รู้ว่ามนุษย์มีอำนาจขนาดไหน!”
ทันทีที่พูดจบ ร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หายวับไปกับตา!
ระยะห่างเกือบสิบเมตร แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับเคลื่อนที่ได้ภายในเศษเสี้ยววินาที!
‘ปัง!’
อสรพิษเงินที่เพิ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเข้ามาประชิดแล้ว ก็รีบยกแขนขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณทันที!
อย่างไรก็ตาม พลังของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต่อกรได้!
‘อั่ก!’
ภายใต้อิทธิพลของพลังวิญญาณอันรุนแรง เกราะพลังภายในที่ถูกสร้างขึ้นของอสรพิษเงินได้พังทลายลงราวกับกำแพงทรายโดนคลื่นซัด!
อสรพิษเงินถูกชกอย่างรุนแรงจนลอยละลิ่วบินกลับหัวไปเกือบ 20 เมตร และตกลงที่มุมดาดฟ้า
เขารีบยันตัวลุกขึ้นและปาดเลือดออกจากปาก มองดูชายหนุ่มด้วยความกลัว!
“แกแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่! มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง!”
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่เพียงการโจมตีเดียว เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้!
มันเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด ถ้าเทียบกันแล้วความแข็งแกร่งของเขาไม่ต่างอะไรกับมดเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้!
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันอยู่ในขั้นสูง”
อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าหาคู่ต่อสู้ช้า ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการล้อเล่น
“เป็นไปไม่ได้! ขอบเขตพลังภายในขั้นสูงไม่มีวันแข็งแกร่งขนาดนี้!”
อสรพิษเงินไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้เขาไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งอีกต่อไปแล้ว
“เห็นไหม แกมันเป็นแค่สัตว์เลื้อยคลานที่ตาบอดแถมยังสมองน้อย ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าฉันอยู่ในขอบเขตพลังภายใน? ความแข็งแกร่งของฉันอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานต่างหาก!”
หลังจากหยอกล้อกับอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็หายตัวไปอีกครั้ง!
‘ผลั่ก!’
เขาโผล่ยืนค้ำหัวอสรพิษเงินและย่ำเท้าลงไปที่ท้องอีกฝ่ายอย่างแรง!
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตอนนี้อสรพิษเงินจะสติหลุดไปเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ร้องออกมาสักแอะ เขาจึงเอาแต่พึมพำด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“ก่อรากฐานระดับสูง…ก่อรากฐานระดับสูง…”
เขารู้สึกว่าเขาดูเหมือนจะเคยได้ยินคำนี้ที่ไหนสักแห่ง ดูเหมือนว่ามันเป็นขอบเขตที่หลุดพ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้วใช่ไหม?
บทที่ 327 กระถางธูป
บทที่ 327 กระถางธูป
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วมองไปที่ชายชราที่ทุกคนเรียกว่าประธานเจ่า ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“ช่วงนี้ผมยุ่งนิดหน่อย จึงไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงอะไรสักเท่าไหร่ ผมขอเสียมารยาทถามได้ไหมว่าคุณคือ?”
“ฮ่าฮ่า ฉันเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ นอกจากนี้ ฉันยังมีโรงแรมอยู่ในเครืออีกหลายแห่งกระจายอยู่ในเมืองฮ่วยอัน และมีธุรกิจต่าง ๆ อีกนิดหน่อย น้องชาย นายรู้ไหมว่าฉันอยากจะเจอนายมาตั้งนานแล้ว!”
ประธานเจ่าหัวเราะเสียงดัง เมื่อได้ยินคำถามของอวี้ฮ่าวหราน จากนั้นเขาก็ตอบกลับอย่างเป็นกันเอง
ด้วยทัศนคติเชิงบวกขนาดนี้ ผู้คนรอบ ๆ ที่มองดูอย่างสนใจอยู่ก็รู้สึกไม่แปลกใจอีกแล้วว่าทำไม ประธานเจ่าถึงช่วยพูดให้กับชายหนุ่มคนนี้ กลายเป็นว่าทั้งสองรู้จักกันจริง ๆ
“อ้อ ที่แท้คุณคือประธานเจ่าผู้โด่งดังนี่เอง”
เมื่อรู้ถึงตัวตนอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าอย่างสุภาพ
ผู้คนรอบ ๆ เมื่อคลายสงสัยในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอวี้ฮ่าวหราน และประธานเจ่าแล้ว พวกเขาก็พากันแยกย้ายไปในทุกทิศทาง
ในขณะนี้ เฉียนเซายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าว่างเปล่า สีหน้าของเขาซีดขาว และในใจก็รู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่งยวด!
“แม่งเอ๊ย! ที่แท้ไอ้เวรนั่นมันรู้จักกับประธานเจ่านี่เอง! ฮึ่ม! แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมง่าย ๆ ฉันต้องแก้แค้นแกให้ได้!”
เขาพึมพำด้วยความอาฆาตแค้น
หากเขาไม่สามารถล้างแค้นเรื่องวันนี้ได้ มันจะเป็นแผลในใจที่เขาไม่อาจรักษาได้ตลอดชีวิต!
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนอื่นรังแก ตามปกติแล้วเขาต้องเป็นคนรังแกคนอื่นสิวะ!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานและคนอื่น ๆ เดินห่างออกไปไกลแล้ว และไม่มีใครเห็นหัวของเขาเลยสักคน
“ฮ่าฮ่า จริงด้วย! จริงด้วย! น้องชายนี่เก่งในเรื่องดูโบราณวัตถุอย่างที่น้องหลินพูดจริง ๆ ด้วย!”
ยิ่งสนทนามากขึ้นเท่าไหร่ ประธานเจ่าก็ยิ่งรู้สึกถูกใจอวี้ฮ่าวหรานมากขึ้นเท่านั้น จนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมีความสุขมาก
เขาเป็นคนที่ชอบสะสมโบราณวัตถุอยู่แล้ว ดังนั้นการได้มาเจอกับอวี้ฮ่าวหรานที่มีความรู้เรื่องโบราณวัตถุมากมาย จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากกว่าเดิม
“จริง ๆ แล้วการดูโบราณวัตถุก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่เราจำเป็นต้องศึกษาอ่านประวัติศาสตร์ให้มาก ๆ เท่านี้โอกาสที่จะดูของพลาดก็ลดลงแล้ว” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยกลับ
แต่แล้วจู่ ๆ ในขณะเดียวกันนี้ เลขาหญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของประธานเจ่า
“อืม ๆ เข้าใจแล้วเธอไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันตามไป”
หลังจากฟังคำพูดของเลขาตัวเองจบ ประธานเจ่าก็โบกมือให้อีกฝ่ายออกไปก่อน แล้วจากนั้นเขาจึงหันมาหาอวี้ฮ่าวหราน ซูหว่านเอ๋อ และหลินป๋อ ด้วยท่าทางขออภัย
“เอาละ เดี๋ยวฉันคงต้องขอตัวไปเตรียมเริ่มงานประมูลก่อน ส่วนพวกนายทั้งหมดก็นั่งรอกันตรงนี้แหละ อีกสักเดี๋ยวการประมูลก็จะเริ่มแล้ว”
“ได้เลยครับ ประธานเจ่า เชิญตามสบายเลย!”
หลินป๋อตอบกลับอย่างสุภาพในทันที
เมื่อประธานเจ่าจากไปได้แค่เพียงไม่นานการประมูลก็เริ่มขึ้น!
บรรดาเศรษฐีที่มาเข้าร่วมการประมูลต่างก็มานั่งลงทีละคนที่เก้าอี้ซึ่งถูกจัดวางเป็นแถวเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ ส่วนอวี้ฮ่าวหรานและคนอื่น ๆ ก็นั่งอยู่ที่เดิมเพื่อรอการประมูลที่กำลังจะเริ่ม
“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย! การประมูลของชิ้นแรกของวันนี้ ผมขอภูมิใจนำเสนอ! กระถางธูปหยกเคลือบทองคำสมัยราชวงศ์หมิง! ต่อให้จะไม่นับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เอาแค่นับมูลค่าด้านฝีมือและวัสดุเพียงอย่างเดียว กระถางใบนี้ก็มีมูลค่าอย่างน้อยหลายล้านหยวน!”
พิธีกรจัดการประมูลบนเวทีแนะนำโบราณวัตถุชิ้นแรกของการประมูลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากนั้นแค่เพียงอึดใจเดียว กระถางธูปหยกที่ลงลวดลายด้วยทองคำอย่างวิจิตรงดงามก็ถูกนำมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่บนเวทีอย่างรวดเร็ว อวี้ฮ่าวหรานเปิดใช้เนตรเทวะของเขาด้วยความสนใจอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ของชิ้นนี้ไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่เลย
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สนใจมันในทันที
ในทางกลับกัน ซูหว่านเอ๋อที่อยู่ข้าง ๆ กลับแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าขาว ๆ ของเธอในตอนนี้เปลี่ยนเป็นแดงเล็กน้อย
“นี่…มัน…มันสวยมาก ๆ เลย!”
เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก
ผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขาตอนนี้ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริง ๆ มีน้อยมากที่คนอายุน้อยแบบนี้จะชอบสะสมของเก่า
และยิ่งไปกว่านั้น เธอถึงขนาดมีห้องเก็บโบราณวัตถุอยู่ในบ้านอีกต่างหาก!
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าใครเป็นคนปลูกฝังความสนใจนี้ให้กับสาวน้อยคนนี้?
แต่ในขณะเดียวกันนี้ การประมูลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!
“กระถางธูปหยกที่ถูกเคลือบด้วยทองจากสมัยหมิงไท่จูของราชวงศ์หมิง นี่นับได้ว่าเป็นของหายาก…”
หลังจากที่การบรรยายแนะนำกระถางธูปจบลง บรรยากาศในห้องประมูลก็ดุเดือดขึ้นมาทันใด
“ราคาเปิดประมูลของกระถางธูปนี้คือ 10 ล้าน! แขกผู้มีเกียรติทุกท่านเชิญประมูลกันตามปรารถนาได้เลย!”
ทันทีที่พิธีกรประกาศจบ บรรดาเศรษฐีทั้งหลายต่างก็เริ่มเสนอราคาอย่างรวดเร็ว
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 ประมูล 11 ล้าน!”
คนที่ยื่นข้อเสนอครั้งแรกคือซูหว่านเอ๋อซึ่งถูกใจกับกระถางนี้เป็นอย่างมาก
เธอเพิ่มราคาขึ้นมาหนึ่งล้านทันที
สิ่งนี้ทำให้อวี้ฮ่าวหรานประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าที่บ้านของอีกฝ่ายจะเอ็นดูลูกสาวของตัวเองขนาดนี้จนให้เงินมาใช้ซื้อของเก่าราคาเป็นสิบล้านได้โดยไม่คิดอะไรมาก
“ฉัน… ฉัน…ที่ฉันมีเงินเยอะมันเป็นเพราะ…ที่ผ่านมาพอฉันโชคดีได้ซื้อของแท้มาในราคาถูก ๆ บางทีฉันก็เอาไปขายทำกำไรต่อ ดังนั้นฉันก็เลยพอจะมีเงินเก็บบ้าง…”
เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เหล่มองดูเธออย่างสงสัย ซู่หว่านเอ๋อก็รีบอธิบายอย่างร้อนรนทันที
หลินป๋อที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็พูดติดตลก
“น้องอวี้ นายรู้รึเปล่าว่า ถึงแม้หว่านเอ๋อร์จะอายุแค่นี้ แต่ในแง่ของความรู้ในการดูพวกโบราณวัตถุนั้นสาวน้อยคนนี้แก่กล้ากว่าฉันอีก ฮ่าฮ่า”
“ไม่จริงสักหน่อย…ลุงหลินเก่งกว่าหนูตั้งเยอะ!”
“ฮ่าฮ่า อย่าถ่อมตัวไปเลย อันที่จริงแล้วบางทีลุงก็เคยคิดเล่น ๆ เหมือนกันว่าถ้าหากผู้ชายคนไหนได้แต่งงานกับหว่านเอ๋อร์ ผู้ชายคนนั้นคงโชคดีสุด ๆ เพราะนั่นหมายถึงว่าเขาจะได้โบราณวัตถุในบ้านตระกูลซูไปครอบครอง และเขาก็คงรวยเละเลยละ ถ้าหากกอบโกยพวกมันไปขายทั้งหมด! ฮ่าฮ่า”
“ลุงหลิน!!”
ซูหว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะเขินอายเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แก้มของเธอแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด
“ฮึ่ม! หนูไม่พูดกับลุงหลินแล้ว!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลินป๋อก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม
ในตอนนี้ราคาของกระถางธูปหยกได้พุ่งขึ้นมาเป็น 18 ล้านแล้ว
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 ประมูล 19 ล้าน!”
ซูหว่านเอ๋อหันศีรษะกลับมาดูการประมูลอีกครั้ง และยกป้ายขึ้นทันทีด้วยความคาดหวังว่าเธอจะได้มันมาครอบครองในราคาที่ไม่แรงเกินไปนัก
“คงจะดีถ้าไม่มีใครแข่งมันกับฉัน”
เธอมองดูกระถางธูปหยกสีทองอันวิจิตรงดงามบนเวทีด้วยสายตาโหยหา และอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ
“สุภาพบุรุษหมายเลข 22 เสนอราคา 21 ล้านหยวน!”
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ความหวังของเธอพังทลายอย่างรวดเร็ว เมื่อมีคนยกป้ายแข่งราคากับเธอ
ต่อมาไม่นานนักราคาก็พุ่งไปถึง 24 ล้าน ซูหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะยกป้ายสู้ราคาขึ้นอีกรอบ
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 25 ล้าน!”
เมื่อราคาสูงขึ้นไปถึงยี่สิบล้าน เสียงของผู้เข้าร่วมสู้ราคาก็เริ่มเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ยี่สิบห้าล้านนั้นก็ยังไม่ใช่ขีดจำกัดในใจของใครหลาย ๆ คน
ในไม่ช้าก็มีคนยกป้ายสู้ราคาขึ้นอีก
“หมายเลข 18 เสนอราคา 26 ล้าน!”
ทันทีที่ราคานี้ถูกขาน ซูหว่านเอ๋อก็แสดงสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน
เธอก้มศีรษะลง และพลิกดูโบรชัวร์การประมูลในมือ ดวงตาของเธอที่ดำราวกับไข่มุกดำมองดูที่รายชื่อสิ่งของการประมูลอันต่อไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้ว่าราคาของกระถางธูปนี้มันเกินขีดจำกัดความอดทนของซูหว่านเอ๋อแล้ว ดังนั้นต่อให้เขาช่วยเธอไป เธอก็คงจะไม่ดีใจสักเท่าไหร่
แต่ในเวลานี้ หลินป๋อที่อยู่ข้าง ๆ เขากลับพูดขึ้นเป็นคนแรก
“หว่านเอ๋อร์ หนูอยากได้กระถางนี้มาก ๆ เลยใช่ไหม? มา ๆ เดี๋ยวลุงซื้อให้เอง!”
เขามองหน้าสาวน้อยที่เขารักเหมือนหลานแท้ ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม
“หืม? ม…ไม่…ลุงหลิน อย่าเลยหนู…”
ซูหว่านเอ๋อ ตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย และเธอก็รีบปฏิเสธ
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ปฏิเสธจบ หลินป๋อก็ได้เสนอราคาไปแล้ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 33 เสนอราคา 30 ล้าน!”
แน่นอนว่าเมื่อราคาดีดไปเป็นสามสิบล้าน ทุกคนในห้องก็เงียบเสียงไปทันที!
บทที่ 342 ปีศาจ
บทที่ 342 ปีศาจ
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่คนที่โง่เขลาเหล่านี้อย่างขบขัน
“นี่พวกแกยังนึกไม่ออกอีกเหรอไงว่าฉันเป็นใคร? พวกแกไล่กัดฉันเหมือนหมาบ้ามาหลายรอบแล้ว และล่าสุดพวกแกก็ส่งไอ้อสรพิษเงินนั่นมาให้ฉันกระทืบตาย คราวนี้พวกแกนึกออกแล้วหรือยัง?”
“ก…แกคืออวี้ฮ่าวหราน!!”
ในที่สุด เมื่อได้ยินชื่อรองเจ้าตำหนัก นักฆ่าชุดดำที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในขั้นสูงก็ตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง!
เขาคือคนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในระดับสูงของตำหนักคุมกฎ ดังนั้นจึงรู้ข้อมูลว่ารองเจ้าตำหนักออกไปทำภารกิจสังหารใครเมื่อล่าสุดนี้
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้รองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินไม่ได้กลับมา แต่อีกฝ่ายกลับโผล่มาแทน…
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?!
“แกฆ่ารองเจ้าตำหนักของเราไปแล้วเหรอ!?”
ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อการคาดเดาของตัวเองนัก
ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าเขาอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ เท่านั้นเอง
เป็นไปได้อย่างไรที่ชายหนุ่มอายุแค่นี้สามารถฆ่ารองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในขั้นสูงสุดได้?
“นี่แกเป็นเฒ่าปีศาจอายุร้อยปีที่เอาหนังมนุษย์มาสวมหรือไง!?”
เขามองที่ใบหน้าของอวี้ฮ่าวหรานอย่างสับสน ทั้งความแข็งแกร่งและอารมณ์ที่ไม่สั่นไหวของชายหนุ่มนั้นไม่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอกที่อายุน้อยเป็นอย่างมาก
“ฉีกหนังมนุษย์ที่แกสวมออกซะ! ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าแกเป็นปีศาจเฒ่าแบบไหนที่มาจัดการกับพวกเรา!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ปีศาจเฒ่า??
แม้ว่าตัวเองจะอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งเทพมานานกว่าสามหมื่นปี แต่เขาก็มีอายุเพียง 24 ปีเท่านั้นในโลกมนุษย์ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเรียกเขาว่าปีศาจเฒ่าเนี่ยนะ?
แต่ถ้ามองในมุมที่เอาอายุของทั้งสองโลกมารวมกัน ชายหนุ่มก็คงเป็นปีศาจเฒ่าจริง ๆ ซึ่งเรื่องนี้เขาคงเถียงไม่ได้…
“หยุดไร้สาระสักที รีบไปเรียกเจ้าตำหนักของแกออกมาได้แล้ว ฉันไม่อยากไล่ฆ่าพวกแกทีละคนให้เสียเวลา มันน่าเบื่อ!”
วันนี้สิ่งที่เรียกว่าตำหนักคุมกฎ เขาจะต้องทำลายมันให้หมดอย่างแน่นอน!
“ฮึ่ม! ถึงแม้ว่าแกจะแข็งแกร่ง แต่อย่าคิดว่าพวกเราจะกลัวแก! พวกเราโจมตี!”
เมื่อเห็นว่าคงไม่สามารถเจรจาอะไรกันได้อีก นักฆ่าชุดดำก็พ่นลมหายใจ ก่อนที่จะโบกมือสั่งคนของตัวเองทั้งหมดให้รุมอวี้ฮ่าวหราน ทันที
ด้วยคำสั่ง นักฆ่าขอบเขตพลังภายในมากกว่าหนึ่งโหลที่ล้อมรอบอวี้ฮ่าวหรานอยู่ต่างพึมพำคาถาบางอย่างและโบกมือไปมาอย่างพร้อมเพรียง!
แค่เวลาเพียงเสี้ยวพริบตาในขณะที่พวกนักฆ่าท่องคาถา หมอกพิษสีเขียวอ่อนค่อย ๆ แพร่กระจายออกจากแขนเสื้อของพวกเขา!
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาดของหมอกพิษนี้
“หืม? หมอกพิษนี้สามารถกัดกร่อนพลังวิญญาณของฉันได้ด้วย? ของดีนี่นา!”
เขาสัมผัสได้ถึงพลังกัดกร่อนของหมอกพิษนี้ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มแปลกใจนิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้กลับเป็นเหมือนการดูถูกอย่างสุดแสนต่อพวกนักฆ่าองค์กรอสรพิษ!
“ไอ้เฒ่าปีศาจ แกอย่าปากดีให้มากนัก! ถึงแม้ว่าแกจะแข็งแกร่ง แต่ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตพลังภายใน แกก็ไม่มีทางรอดจากสุดยอดพิษของพวกเราได้แน่!”
แววตาของนักฆ่าชุดดำที่เป็นผู้นำนั้นดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าพลังวิญญาณคืออะไร เขาคิดแค่ว่ามันน่าจะเป็นอีกชื่อหนึ่งของพลังภายใน
ในไม่ช้า หมอกพิษที่ล่องลอยอยู่ก็ค่อย ๆ ควบแน่น และในที่สุดมันก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นงูพิษสีเขียวอ่อนตัวขนาดมหึมาลอยอยู่
มันดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก…
แต่ขนาดค่ายกลที่นับได้ว่ายอดเยี่ยมในโลกนี้ของอู๋หลั่น อวี้ฮ่าวหรานยังสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นค่ายกลแบบนี้ที่อ่อนแอกว่าอย่างชัดเจนจะทำอะไรอวี้ฮ่าวหรานได้?
“ภายนอกดูดี แต่น่าเสียดายที่แก่นแท้ของมันกลับกลวงโบ๋!”
อวี้ฮ่าวหรานไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เนตรเทวะเพ่งหาจุดอ่อนด้วยซ้ำ เขาโคจรพลังวิญญาณและโบกมือซัดคลื่นพลังวิญญาณมหาศาลถาโถมเข้าหางูพิษยักษ์โดยตรง!
วินาทีถัดมา เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ทำให้พวกนักฆ่าต่างตะลึงพรึงเพริด
เงาพิษยักษ์ที่เกิดจากหมอกพิษที่ควบแน่น แทนที่จะกลืนพลังวิญญาณของอวี้ฮ่าวหรานเข้าไป มันกลับถูกบดขยี้ด้วยคลื่นพลังวิญญาณอันมหาศาลซะเอง!
“น…นี่มันบ้าอะไรกัน!!”
“มันเป็นไปได้ยังไง!?”
เมื่อเห็นฉากที่น่าทึ่งนี้ นักฆ่าทุกคนก็ตกตะลึง!
แต่คลื่นพลังวิญญาณของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น คลื่นพลังยังคงแผ่กระจายกวาดล้างต่อไปอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง!
บรึ้ม!
บรรดานักฆ่าชุดดำต่างโคจรพลังของตัวเองเพื่อสร้างเกราะป้องกันทันทีอย่างเร่งรีบ เมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่กำลังถาโถมเข้าหา!
นี่ไม่ใช่พลังที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตพลังภายในควรจะมีเลย!
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเขา ก่อนที่ร่างของพวกนักฆ่าทั้งหมดจะถูกกระแทกจนปลิวไปราวกับว่าวสายป่านขาด!
วินาทีถัดมา ค่ายกลงูพิษยักษ์ก็แตกสลายไปจนหมดสิ้น!
แค่การระเบิดคลื่นพลังวิญญาณเพียงครั้งเดียว อวี้ฮ่าวหรานก็สามารถสังหารเหล่านักฆ่าชุดดำที่เพิ่งช่วยกันประสานค่ายกลจนหมด!
ในท้ายที่สุดก็เหลือเพียงผู้ที่เป็นผู้นำกลุ่มเท่านั้น
“เจ้าตำหนักของแกอยู่ที่ไหน?”
อวี้ฮ่าวหรานพุ่งเข้าไปประชิดตัวและกุมคออีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
“ฉัน…ฉันไม่รู้”
ดวงตาของผู้นำกลุ่มนักฆ่าเต็มไปด้วยความสยดสยอง เขาไม่เคยเห็นใครที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นเทพสวรรค์ที่เสด็จลงมายังโลก และทำลายค่ายกลของพวกเขาตามความประสงค์
ในเวลานี้เองที่เขาเพิ่งเข้าใจว่าองค์กรอสรพิษของเขาได้ยั่วยุตัวตนที่พวกเขาไม่อาจต่อกรได้เข้าให้แล้ว!
ไม่น่าแปลกใจที่รองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินจะตายไปอย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะตกใจกลัวมากขนาดไหน เขาถามขึ้นอีกรอบอย่างเย็นชา
“แกแน่ใจนะว่าแกไม่รู้?”
“ฉัน…อ๊ากกก! ไม่…”
นักฆ่าต้องการจะปฏิเสธ แต่จู่ ๆ แขนของเขาก็ถูกบีบจนกระดูกแหลก แล้วก็กรีดร้องทันที
“แกฆ่าฉัน แกฆ่าฉันซะเลยสิ!!”
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ใบหน้าของเขาซีดเซียวและมีเหงื่อออกทั่วหน้าผากของเขา!
กร๊อบ!
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย และค่อย ๆ ไล่บีบแขนของอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าจะบดกระดูกแขนทั้งแขนให้แหลกเละทุกตารางนิ้ว
“แกสามารถเลี่ยงความเจ็บปวดได้ ถ้าแกยอมพูดความจริง”
ตราบใดที่อวี้ฮ่าวหรานจ้องมองอย่างตั้งใจ เขาก็สามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกหรือไม่
“ฉัน…ฉันยอมบอกแล้ว!”
ในที่สุดนักฆ่าก็ทนไม่ไหว และพูดออกมาอย่างสั่นสะท้าน
“เจ้าตำหนักของเรากำลังฝึกอยู่ในห้องใต้ดิน ใต้คฤหาสน์กลาง”
“ยอมบอกมาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ทนทรมานให้ฉันเสียเวลาไปทำไม?”
อวี้ฮ่าวหรานมองอีกฝ่ายอย่างดูถูก คนบางคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!
เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการมาเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ไม่อยากพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายอีก อวี้ฮ่าวหรานจัดการหักคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว และโยนศพทิ้งไปอย่างไม่แยแส
สำหรับคนเหล่านี้เขาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติ
องค์กรนักฆ่าได้สังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วน
คนในองค์กรนี้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีก
หลังจากรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเจ้าตำหนักคุมกฎ อวี้ฮ่าวหรานก็วิ่งรีบไปที่คฤหาสน์กลางอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง หากมีพวกนักฆ่าคนไหนเข้ามาขวางทาง เขาก็จะฆ่าพวกมันจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว!
โครม!
ด้วยการซัดพลังวิญญาณเข้าใส่ ประตูของคฤหาสน์ก็พังทลายลงทันที!
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาก้าวเข้าไป ลูกศรพิษจากหน้าไม้อันเขื่องหลายสิบลูกก็พุ่งเข้ามาแทบจะพร้อมกัน!
ลูกศรหน้าไม้พวกนี้หากถูกยิงจากระยะไม่ไกล ความเร็วของพวกมันจะเร็วกว่าลูกปืนธรรมดาซะอีก หากเป็นคนธรรมดาคงโดนยิงจนพรุนโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดนอะไรเข้าไปและตายโดยที่ไม่มีโอกาสตอบโต้เลย
แต่สำหรับอวี้ฮ่าวหราน ความเร็วของลูกศรพิษจากหน้าไม้เหล่านี้ไม่ใช่ภัยคุกคามเลย!
เขาโบกมืออย่างรวดเร็วซัดคลื่นพลังวิญญาณให้กระจายไปทั่วด้านหน้า!
ลูกศรพิษที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ทันทีเมื่อสัมผัสกับคลื่นพลังวิญญาณของอวี้ฮ่าวหราน!
“นี่! นี่มันเป็นสัตว์ประหลาดหรือเปล่า!?”
“ไม่…เป็นไปไม่ได้!”
ถึงแม้ว่านักฆ่าพวกนี้จะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเมื่อได้เห็นฉากที่น่ากลัวเช่นนี้
“การโจมตีของพวกแกจบแล้วเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่เหล่านักฆ่าที่ถือหน้าไม้อยู่อย่างเยาะเย้ย และเจตนาฆ่าก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา!
“ถ้างั้นก็ตาฉันบ้างละนะ!”
บทที่ 325 เหยียบหน้า
บทที่ 325 เหยียบหน้า
สีหน้าของซูหว่านเอ๋อหม่นหมองทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างอ้วน เธออยากจะอธิบายอย่างกระวนกระวาย
“ไม่…มันไม่ใช่แบบนั้น…ฮ่าวหรานไม่ใช่…ฮ่าวหรานไม่ใช่…”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นดวงตาดำขลับของซูหว่านเอ๋อเปลี่ยนไปอย่างไม่สบายใจ เขาก้าวไปบังเธอและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“ไม่ว่าฉันกับซูหว่านเอ๋อจะเป็นอะไรกัน คนอย่างแกก็ไม่มีสิทธิจะมายุ่มย่ามหรอก”
ชายหนุ่มโต้กลับอีกฝ่ายอย่างดูถูก
“ไอ้บ้านี่แกกล้าทำตัวจองหองต่อหน้าฉันงั้นเหรอ! แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายร่างอ้วนโมโหในทันที
อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้ให้มากมายนัก เขากระซิบและแสดงท่าทางจะพาซูหว่านเอ๋อออกไป
“หลีกไปให้พ้นทาง!”
“แม่งเอ๊ย! นี่แกกล้าดีมากเกินไปแล้ว! แกรู้ไหมว่าครอบครัวของฉัน เฉียนเซา ยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่ฉันดีดนิ้วครั้งเดียว แกก็หายไปจากโลกนี้ได้แล้ว!”
ชายร่างอ้วนไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทีโอหังของอวี้ฮ่าวหรานเขาก้าวเข้ามาขวางทางด้วยสีหน้าเย็นชา
ซูหว่านเอ๋อรีบคว้าแขนของอวี้ฮ่าวหราน ใบหน้าของเธอกังวลจนถึงขีดสุด
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน เรา…เราอย่ามีเรื่องกับพวกเขาเลย พวกคนที่อยู่ที่นี่มาจากตระกูลใหญ่ ๆ กันทั้งนั้น ต…ตระกูลซูของฉันไม่อาจล่วงเกินพวกเขาได้…”
ในเวลานี้ ด้วยความกลัวปัญหาที่จะตามมา ซูหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมด้วยความเป็นห่วง
“ฮ่า ๆ หว่านเอ๋อ เธอนี่ฉลาดจริง ๆ เธอนี่ฉลาดกว่าไอ้หมาที่อยู่ข้าง ๆ เธอเยอะเลย มาเร็ว รีบมาหาฉันดีกว่า ยิ่งเธอยืนอยู่ข้าง ๆ ไอ้คนจนนี่มากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งหม่นหมองมากขึ้นเท่านั้น!”
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย
พวกเขาคือพวกนายน้อยรุ่นสองที่ร่ำรวยมาแต่กำเนิดไม่ได้หาเงินใช้เอง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะดูถูกทุกคนที่ต่ำต้อยกว่า และไม่เห็นตระกูลซูที่ด้อยกว่าอยู่ในสายตา
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือพวกเขามีนิสัยคล้ายกับหลี่จิงเทียนจอมโอหังและโง่เขลา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ ชายหนุ่มต้องเจ็บปวดเพราะปากของตัวเองในทันที!
อวี้ฮ่าวหรานถีบอีกฝ่ายลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว!
“เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น!”
“มีคนตีกัน!”
“…”
ฉากนี้ทำให้ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ก้าวถอยกลับพร้อมกับอุทาน
พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นชนชั้นสูงในเมืองฮ่วยอัน ซึ่งโดยทั่วไปการใช้ความรุนแรงกันแบบนี้จึงเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ๆ
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร? ทำไมเขาถึงหยาบคายแบบนี้?”
“ใช่ แล้วดูการแต่งตัวนั่นสิ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูกแบบนี้ นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเขาเข้ามาได้ยังไง?”
“…”
ฝูงชนวิจารณ์กันสนั่นหลังจากเห็นการแต่งกายของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขาต่างให้คะแนนติดลบกับชายหนุ่มที่ดูเหมือนมาจากครอบครัวชนชั้นกลางทันที
“ไอ้สารเลว! แกกล้าดียังไงมาตีฉัน!”
ในขณะเดียวกันนี้ ชายหนุ่มที่ถูกถีบลงไปกองกับพื้นตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล
แต่เนื่องจากอวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรง เขาจึงไม่คิดที่จะไว้หน้าใครอีกต่อไป!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปากมากอยู่อีก อวี้ฮ่าวหรานก็ก้าวไปเหยียบหน้าคน ๆ นั้นอีกครั้งทันที!
“ฮึ! ยังปากดีได้อยู่ใช่ไหม? ได้! งั้นเรามาดูกันว่าปากของแกจะดีมากจนทนเท้าของฉันได้นานขนาดไหน!”
เฉียนเซาตกตะลึงกับฉากตรงหน้าเขาขณะนี้ เขาอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ชายหนุ่มอีกคนก็ก้าวมาข้างหน้า!
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่รูปร่างล่ำสันที่เพิ่งก้าวออกมาโดนอวี้ฮ่าวหรานตบด้วยหลังมือและลงไปนั่งกองที่พื้นอีกคนอย่างรวดเร็ว!
เมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองสองคนถูกจัดการอย่างน่าอนาถ เฉียนเซาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แก! แกกล้าดียังไงมาทำร้ายเพื่อนของฉันแบบนี้ รู้ไหมว่าพ่อของฉันเป็นใคร!”
“แม้แต่ชื่อพ่อตัวเองยังจำไม่ได้จนต้องมาถามคนอื่น แกนี่มันลูกอกตัญญูจริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดติดตลกเล็กน้อย
ซูหว่านเอ๋อที่ในตอนแรกประหม่าเป็นอย่างมาก เมื่อเธอได้ยินประโยคล้อเลียนนี้เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“แก! แกตายแน่!!”
เฉียนเซาถูกกระตุ้นมากจนไขมันทั่วทั้งใบหน้าของเขาสั่นเป็นคลื่น
ไม่นานหลังจากเกิดความโกลาหลนี้เกิดขึ้น บอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนก็โผล่พรวดออกมาจากฝูงชนและรีบเดินดิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง!
“คุณมาสร้างปัญหาที่นี่ทำไม??”
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ หัวหน้าบอดี้การ์ดขมวดคิ้วแน่นทันที ร่างกายของเขาพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่คนสร้างปัญหาได้ตลอดเวลา
เฉียนเซาเมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยเขาแล้ว ก็ไม่รอช้า รีบตะโกนปรักปรำอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว
“ไอ้นี่แหละ! ไอ้นี่มันหาเรื่องพวกผมก่อน! อยู่ดี ๆ มันก็ทำร้ายพวกผม แล้วดูการแต่งตัวของมันสิ คนแต่งตัวแบบนี้ไม่มีทางได้รับเชิญเข้ามางานประมูลแห่งนี้แน่นอน มันต้องแอบเข้ามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย! พวกคุณรีบลากมันออกไปเร็ว และถ้าจะให้ดีอัดสั่งสอนมันสักหน่อยด้วยเพื่อให้หลาบจำว่าอย่าเสนอมาที่นี่อีก!”
คราวนี้สีหน้าของเฉียนเซากลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง และพูดขึ้นก่อน
“หืม? เรื่องเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียนเซา หัวหน้าบอดี้การ์ดหันไปมองฝูงชนรอบ ๆ และถาม
“ใช่ ฉันเห็นชายหนุ่มคนนี้เริ่มลงมือก่อนจริง ๆ”
“ใช่! กลุ่มของเฉียนเซาถูกรังแกก่อนเช่นกัน”
“ฉันก็เห็นเหมือนกัน ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนนี้พยายามเข้าใกล้กลุ่มของเฉียนเซา แต่เขากลับโกรธหลังจากถูกไล่ตะเพิด”
“…”
ทุกคนต่างพูดเอนเอียงไปทางเฉียนเซา ไม่มีใครเข้าข้างอวี้ฮ่าวหรานที่ดูแต่งตัวธรรมดาเลยสักคน
เฉียนเซาคนนี้ชอบเข้าร่วมงานเลี้ยงและงานสังคมต่างๆ เสมอ หลายคนจึงรู้จักเขาและอยากที่จะผูกมิตรกับเขา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูหว่านเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโห
แต่ด้วยบุคลิกไม่สู้คนของเธอ เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกระตุกชายเสื้อของอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าวิตก
“ฮ่าวหราน… ฉัน…เราจะทำยังไงกันดี… พวกเขา…พวกเขาพยายามจะไล่พวกเราออกไป…”
เหตุการณ์ในขณะนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนก และเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานยังคงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย!
“เฮอะ ฉันบอกเอาไว้เลยว่าวันนี้ใครกล้าจับต้องตัวฉัน มันได้เจ็บตัวแน่!”
เหตุผลที่เขาอัดอีกฝ่ายเป็นเพราะคนพวกนี้ไม่ยอมหลีกทางให้แถมยังตวาดด่าเขาอีกต่างหาก ชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อมาประมูลของและได้รับเชิญมา เขาไม่ได้มาเป็นตัวตลกให้ใครเหยียบย่ำ!
“โอ้? ไอ้หนุ่ม แกใจกล้าดีนี่หว่า!”
หัวหน้าบอดี้การ์ดประหลาดใจเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดจาที่ดูหยิ่งยโสของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่คิดมาก่อนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะกล้ามากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ถูกล้อมอยู่
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายและพบว่ามันเป็นชุดที่ราคาถูกจริง ๆ ริ้วรอยแห่งการดูถูกก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
ยากจนไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันโง่มากถ้ามายั่วโมโหพวกคนรวยแบบนี้!
ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าต้องทำอะไรต่อไป
“สุภาพบุรุษท่านนี้ คุณมากับพวกเราจะดีกว่า! ผมรู้ว่าคุณอยากจะสู้ แต่ลองมองดูรอบ ๆ ก่อน คุณไม่มีทางสู้พวกเราได้ ดังนั้นอย่ามาสร้างปัญหาให้กับการประมูลครั้งนี้ไม่เช่นนั้นคุณไม่มีทางแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาไหว!”
เพื่อทำให้สถานการ์ณในงานประมูลสงบลงโดยเร็วที่สุดเขาจำเป็นต้องเชิญอวี้ฮ่าวหรานออกไปก่อน ส่วนหลังจากนั้นเขาไม่คิดจะปล่อยอวี้ฮ่าวหรานที่กล้ามาสร้างความวุ่นวายไปง่าย ๆ อยู่แล้ว!
แต่ในขณะเดียวกันนี้!
หลินป๋อก็ปรากฏตัว!
เขามาพร้อมกับชายชราคนหนึ่งซึ่งมีอายุเกือบหกสิบปี
“เดี๋ยวก่อน!”
เขาตะโกนขึ้นและโบกมือหยุดพวกบอดี้การ์ดทันที
บรรดาบอดี้การ์ดทั้งหลายหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเจ้าของโรงแรมของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย!
ถูกต้อง! ชายชราข้าง ๆ หลินป๋อ คือเจ้าของโรงแรมสุดหรูแห่งนี้!
“ท่านประธาน! ชายหนุ่มคนนี้เข้ามาก่อกวนที่นี่ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่นก่อน พวกผมก็เลยกำลังจะไล่เขาออกไป”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดรายงานอย่างร้อนรน
บทที่ 348 เสียหน้า
บทที่ 348 เสียหน้า
เมื่อได้ยินบทสนทนารอบ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่จะมองไปหญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา ก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย
เดี๋ยวจะต้องมีเรื่องเกิดขึ้นอีกแน่…
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
เฉิงชิวอวี้ที่กำลังดูเมนูอย่างตั้งใจ แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเธออยู่ หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมาถามกลับด้วยความสงสัย
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ เสียงของนายน้อยจินก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ไหนให้ฉันดูโต๊ะหน่อยสิ”
เขามองไปรอบ ๆ และจากนั้นก็ขมวดคิ้ว
“ทำไมถึงมีคนนั่งโต๊ะประจำของฉันแบบนั้น ไอ้แก่! แกยังอยากจะเปิดร้านนี้อีกไหม!”
“หา?”
ผู้จัดการอ้วนหันศีรษะไปมองยังโต๊ะที่นายน้อยจินชี้ทันที ซึ่งเขาก็ได้เห็นว่ามีคู่หญิงชายกำลังนั่งอยู่
“ข…ขอโทษด้วยจริง ๆ ครับนายน้อยจิน นี่…อาจเป็นเพราะว่าพนักงานคนใหม่ของผมไม่รู้เรื่อง…เราก็เลย…”
เมื่อเห็นฉากนี้ เขาก็อธิบายอย่างกังวลใจ
“บัดซบ! แกไม่ต้องอธิบายอะไรให้ฉันฟังทั้งนั้น! แกรีบไล่ไอ้สองคนนั้นออกไปจากโต๊ะของฉันเดี๋ยวนี้เลย!”
“แต่…แต่…”
แม้ว่าผู้จัดการอ้วนจะกลัวนายน้อยจิน แต่เขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
ขณะนี้มีคนอยู่ในร้านจำนวนมาก หากเขาผู้ที่เป็นผู้จัดการร้านจู่ ๆ ไปขับไล่แขกโดยที่ไม่มีเหตุผล ชื่อเสียงของร้านอาหารคงป่นปี้แน่นอน
“ฮึ่ม! วันนี้ถือว่าแกโชคดีที่ฉันกำลังอารมณ์ดีอยู่ ดังนั้นฉันจะไปไล่พวกมันเอง แกอยู่เฉย ๆ ตรงนี้ไป!”
หลังจากพูดจบ นายน้อยจินก็เดินไปที่โต๊ะริมหน้าต่างที่วิวดีที่สุดพร้อมกับอดี้การ์ดร่างกำยำสองคน
แน่นอนว่าโต๊ะนี้คือโต๊ะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังนั่งอยู่
ที่โต๊ะ
“พวกแกทั้งสองคนลุกออกไปซะ นี่มันคือโต๊ะของบิดาผู้นี้โว้ย!”
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะนายน้อยจินตะคอกเสียงดังด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่สนใจอีกฝ่ายเลย
“ผู้จัดการร้าน รีบมารับออเดอร์อาหารเร็ว พวกฉันจะสั่งอาหารแล้ว!”
ราวกับไม่เห็นว่านายน้อยจินมีตัวตน อวี้ฮ่าวหรานจึงตะโกนขึ้นว่าอยากจะสั่งอาหารที่เฉิงชิวอวี้เลือกไว้
ทางด้านของนายน้อยจินก็ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะกล้าเมินเขาแบบนี้!
“ไอ้เวรนี่…”
ทว่าเมื่อเขาเบนสายตามองไปที่เฉิงชิวอวี้ ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อวี้ฮ่าวหราน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที!
“แม่เจ้าโว้ยยยย ผู้หญิงคนนี้สวยโครตเลย!!”
เมื่อเห็นเฉิงชิวอวี้ผู้งดงาม ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกจากเบ้า
“ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว! แม้ว่าแกจะกล้าทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน แต่ฉันจะยอมปล่อยแกไปก็ได้ถ้าแกปล่อยผู้หญิงคนนี้ให้อยู่กับฉันตามลำพัง!”
แขกในร้านทุกคนสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้ ซึ่งมันทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารอวี้ฮ่าวหราน
โดนผู้ชายคนอื่นไล่ต่อหน้าแฟนตัวเองเช่นนี้ นับจากนี้คงไม่สามารถเดินเงยหน้าได้ตลอดชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น ใคร ๆ ก็รู้ว่านายน้อยจิน หรือชื่อเต็มว่า จินเส่า ผู้นี้มีสันดานเลวทรามขนาดไหน เกรงว่าถ้าหากปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ที่นี่ตามลำพัง คืนนี้เธอคงจะต้องเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้ายแน่นอน
พวกเขาเองก็อยากจะช่วยแต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีอำนาจพอจะทำอะไรได้เลย!
ท้ายที่สุด จินเส่าผู้นี้เป็นลูกหลานของตระกูลร่ำรวยที่มีอิทธิพลทั้งบนดินและใต้ดิน ถ้าขืนพวกเขาสอดมือเข้าช่วยมันก็หมายความว่าพวกเขารนหาเรื่องเดือดร้อน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่มองอวี้ฮ่าวหรานอย่างสงสาร
โทษที แต่ถ้าจะโทษใครจริง ๆ ก็คงต้องโทษตัวนายเองที่ขาดความแข็งแกร่งจนไม่สามารถรักษาแฟนที่งดงามเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้อวี้ฮ่าวหรานเพียงชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างดูถูก และจากนั้นก็เพิกเฉยโดยสิ้นเชิง
“ชิวอวี้ มีอะไรอร่อยอีกบ้างนอกจากคาเวียร์ คราวหน้าผมจะได้พาถวนถวนมาลองกินบ้าง”
เฉิงชิวอวี้อึ้ง
ได้ไงเนี่ย?
ตอนนี้มีคนต้องการจะฉุดฉันไป! แต่คุณกลับคิดแต่เรื่องกินเนี่ยนะ?
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ เฉิงชิวอวี้ก็แสดงสีหน้าบูดบึงทันที
จินเส่าที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกสับสนมากกว่าเดิม!
เขาเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนุ่มสาวคู่นี้ถึงกล้าเพิกเฉยต่อเขาขนาดนี้!
บรรดาผู้คนที่แอบมองอยู่ก็ทั้งงุนงงและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน พวกเขากลัวว่าหลังจากถูกเมินเฉยแบบนี้ จินเส่าจะต้องทำเรื่องที่น่ากลัวแน่ ๆ!
แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขายังคงมองดูเมนูในมืออย่างตั้งใจ
ร้านอาหารนี้อยู่ไม่ไกลจากบริษัทของอวี้ฮ่าวหราน และปกติชายหนุ่มจะพาถวนถวนไปเล่นที่บริษัทบ่อย ๆ ดังนั้นจึงสงสัยว่าร้านนี้จะดีพอจะให้เขาพาลูกมานั่งไหม
เมื่อเผชิญกับการถูกเพิกเฉยขนาดนี้ ในที่สุดจินเส่าก็ทนไม่ไหวแล้ว!
“แม่งเอ๊ย! ทิ้งแฟนแกแล้วออกไปจากที่นี่ซะ ไม่งั้นฉันจะทำให้แกพิการตรงนี้!”
เขาตะโกนอย่างเดือดดาลจนหน้าสั่น เมื่อไหร่กันที่จะมีใครกล้าเพิกเฉยต่อคำพูดของเขามากขนาดนี้?
ไอ้เวรนี่กำลังรนหาเรื่องตาย!
“หนวกหู!!”
ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ปล่อยจิตสังหารออกมา!
ดวงตาดำทมิฬลึกล้ำจ้องเขม็งไปที่จินเส่า
จินเส่ารู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูกและหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่างราวกับว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางพายุหิมะที่หนาวเหน็บ!
เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว!
แต่ถ้ามองจากมุมมองคนนอกมันเหมือนกับว่าแค่ถูกอีกฝ่ายตวาดใส่เขาก็กลัวจนหัวหดแล้ว
“ก…ก…แก!”
หลังจากที่จินเส่าได้สติและพบว่าทุกคนรอบตัวเขากำลังมองมาที่เขาเป็นตาเดียวกัน ก็รู้สึกว่าศักดิ์ศรีที่เขาเคยมีถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง!
ความโกรธปะทุขึ้นมาในใจของเขาอีกครั้ง!
“แก! แกกำลังหาเรื่องตาย! แกทำให้ฉันขายหน้าแบบนี้ ฉันไม่ปล่อยแกไปอีกแล้ว! วันนี้ฉันจะหักแขนขาแกต่อหน้าแฟนของแก แล้วจากนั้นคืนนี้ฉันจะให้แกดูหนังสดที่ฉันจะเล่นกับแฟนของแก!”
เขาคำรามอย่างเดือดดาล
อย่างไรก็ตาม หลังจากพูดจบ เขาก็รู้สึกเจ็บหน้าอย่างแรงและลงไปนั่งกองที่พื้นทันที!
เพี้ยะ!
ไม่มีใครเห็นได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่เห็นว่าจินเส่าผู้หยิ่งผยองจู่ ๆ ก็ลงไปนั่งกองที่พื้นหลังจากมีเสียงเหมือนถูกตบ!
ฟันของจินเส่าหลุดออกไปสองสามซี่ทันที!
“ถ้าแกกล้าพูดไร้สาระอีกแค่คำเดียว ฉันจะฆ่าแกแน่!”
อวี้ฮ่าวหรานไม่อยากจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดเขาก็อดไม่ไหวเมื่ออีกฝ่ายพูดจาล่วงเกินเพื่อนของเขาอีกแล้ว!
บทที่ 312 แผนการที่ถูกวางเอาไว้แล้ว
บทที่ 312 แผนการที่ถูกวางเอาไว้แล้ว
“ถ…ถึงแม้ว่า…พวกพี่น้องของเราจะไม่ตายโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้ แต่…แต่หัวหน้าอย่าเพิ่งทำอะไรโดยใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว สำหรับหลิ่วอวี้จิ่ง ตอนนี้เรายังไม่สามารถจัดการกับมันได้ชั่วคราว”
สีหน้าของหวังเหยียนเปลี่ยนเป็นวิตกกังวลทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของโจวเฟยหู่
เขาเข้าใจดีถึงความแข็งแกร่งของโจวเฟยหู่ว่ามีขนาดไหน หัวหน้าแก๊งของตัวเองเพิ่งบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์กำลังภายในมาไม่นานนี้เอง ดังนั้นโจวเฟยหู่จึงยังไม่สามารถที่จะไปจัดการกับหลิ่วอวี้จิงได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงรีบปรามอีกฝ่ายทันที
หวังเหยียนไม่ได้นับรวมความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหราน เข้ามาอยู่ในความแข็งแกร่งของแก๊งพยัคฆ์เวหา เพราะอีกฝ่ายไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณแก๊งพยัคฆ์เวหาอะไรทั้งนั้น…
อันที่จริงตั้งแต่แรก แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเพียงฝ่ายเดียวที่ติดหนี้บุญคุณ อวี้ฮ่าวหราน
ทว่าในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็เริ่มพูดแทรก
“ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าในอนาคตมีเรื่องอะไรก็แค่บอก ฉันจะไปช่วยในทันที”
เขาให้สัญญากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง
“น…น้องอวี้ นายยินดีจะช่วยพวกฉันจริง ๆ งั้นเหรอ?”
โจวเฟยหู่ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขาไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้อีกฝ่ายถึงลงทุนทำเช่นนี้เพื่อพวกเขา
ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เขาพอจะสังเกตเห็นว่า อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนที่ไม่ค่อยยี่หระกับอะไร และห่วงใยแค่ครอบครัวของตัวเองเท่านั้น
“ไม่ต้องถามมาก แค่รู้ว่าฉันจะไปช่วยก็พอ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้อธิบายมาก
การที่เขาตัดสินใจจะช่วยแบบนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะหวังเหยียน แต่ส่วนหลักเป็นเพราะชายหนุ่มรู้สึกรำคาญกับความเลวทรามของพวกแก๊งวาฬยักษ์ที่แสดงออกมาตอนเหตุการณ์ในบ่อน
อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการให้แก๊งที่ชั่วช้าแบบนี้เดินร่อนไปมาอยู่ในเมืองเดียวกับที่ครอบครัวของตัวเองอยู่ เขารู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่!
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เดินออกจากวอร์ดไป
…
ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง
ตรู๊ดด ตรู๊ดดด ตรู๊ดดดด…
เวลาตีสาม หลิ่วอวี้จิงเพิ่งผล็อยหลับไปบนโซฟา แต่จู่ ๆ ก็ถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์รัวถี่ ๆ!
จริง ๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะหลับ แต่เขาแค่รอสายนี้มานานเกินไปจนเผลอผล็อยหลับ
“ห…หัวหน้า! มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว!!”
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขารับโทรศัพท์ เสียงตื่นตระหนกก็ดังมาจากอีกฝั่งสาย
สีหน้าของหลิ่วอวี้จิงเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที เมื่อได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่าย และเดาถึงเรื่องที่กำลังจะได้ยินถัดมา
“จิ่นเฟิง…ทำพลาดจนหวังเหยียนหนีไปได้ใช่ไหม?”
“ไม่…ไม่…ผมเพิ่งมาถึงที่บ่อน! พวกของเรา…พวกของเราตายกันหมดเลยหัวหน้า!!”
เมื่อพูดประโยคนี้เสียงของปลายสายยิ่งตื่นตระหนกมากกว่าเดิม ราวกับว่าเห็นบางสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ
“อะไรนะ!?”
หลิ่วอวี้จิงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และเขาตกใจจนดีดตัวยืนขึ้น! !
“แกอธิบายมาดี ๆ เลยนะ! ถ้าแกล้อฉันเล่นฉันฆ่าแกแน่!!”
ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าลูกน้องของเขาไม่มีทางล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ แต่ด้วยความโกรธจัด หลิ่วอวี้จิงจึงตะโกนขู่ออกโดยไม่รู้ตัว
หรือบางทีเขาอาจกลัวจนไม่อยากจะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
เสียงลมหายใจที่ปลายสายสั่นเทิ้ม และต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อปรับอารมณ์และอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ในสิ่งที่ตัวเองเห็น
“ค…คือผมรอสายโทรศัพท์จากหัวหน้าสาขาจิ่นนานมาก จนเริ่มสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่โทรหาผมสักที ผมก็เลยเริ่มโทรไปแต่ก็ไม่มีใครรับสาย จากนั้นด้วยความกังวลผมก็เลยขับรถมาที่บ่อนเพื่อดู…แต่แล้ว…แต่แล้ว…สิ่งที่ผมเห็นก็คือ…ทุกคนตายหมดแล้ว หัวหน้าสาขาจิ่นรวมไปถึงหัวหน้าสาขาอีกสามคนก็ตายทั้งหมดด้วย…”
ขณะที่พูด เสียงของปลายสายสั่นกลัวมาก
หลังจากที่ฟังจนจบ หลิ่วอวี้จิงก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาท่อนเหล็กมาตีที่หัวของตัวเองอย่างจังจนมึนงงไปหมด และมือไม้ของเขาก็อ่อนจนโทรศัพท์ในมือร่วงตกไปที่พื้น
“ทั้งหมด…ตายทั้งหมด … ”
หัวหน้าสาขาสี่คนที่เป็นปรมาจารย์กำลังภายในตายหมดเลย! เพื่อแผนการสังหารหวังเหยียน เขาจึงได้สั่งการเสาหลักของแก๊งเกือบทั้งหมด แต่ตอนนี้ทุกคนที่เขาส่งไปกลับตายหมดแล้ว!
แม้ว่าตัวเองจะตัดสินใจเข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง แต่ความแข็งแกร่งของลูกน้องของเขาก็นับได้ว่าเป็นตัวกำหนดตำแหน่งในอนาคตของเขาต่อ กงซุนซา!
หากความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเท่ากัน ตำแหน่งของเขาจะไม่ด้อยกว่าอีกฝ่าย
แต่ในเวลานี้เขาไม่เหลือความแข็งแกร่งอะไรไปต่อรองตำแหน่งเลย!
“นี่…มันเข้าทางของตาเฒ่ากงซุนอย่างถึงที่สุดเลยใช่ไหม? ตาแก่นั่นคงเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้?”
เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง และรู้สึกสยดสยองกับแผนการของกงซุนซา
ด้วยวิธีนี้ ตาแก่นั่นคงยิ่งยึดครองโลกใต้ดินของเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น!
ในมุมมองของหลิ่วอวี้จิง ต่อให้อวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งมากเพียงไหน เขาก็มองว่าไม่ได้อันตรายสักเท่าไหร่ เพราะอวี้ฮ่าวหรานดูไม่ใช่คนที่ชอบใช้แผนเจ้าเล่ห์ แต่กับกงซุนซา…ชายแก่คนนี้อันตรายมากว่ามาก ๆ!
“เฮ้อ…ช่างเถอะ…ลืมมันซะ ให้มันเป็นไปตามที่ตาแก่นั่นต้องการก็แล้วกัน ไม่ว่ายังไงฉันเองก็ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย”
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับว่ายอมรับชะตากรรมของตัวเองแล้ว
ความปรารถนาในความแข็งแกร่งได้เอาชนะหน้าที่ความรับผิดชอบของแก๊งตัวเองไปจนหมดสิ้นเรียบร้อย
…
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเสร็จสิ้นสิ่งที่ควรทำทั้งหมดแล้ว เขาจึงตรงกลับคอนโดทันที และกว่าจะกลับไปถึงก็เป็นเวลาตีสองเข้าไปแล้ว
เมื่อมองเวลาดูแล้วและเห็นว่าดึกมาก อวี้ฮ่าวหรานจึงค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าไฟในห้องนั่งเล่นยังคงเปิดอยู่!
หลี่หรง น้องภรรยาของเขากำลังนอนอยู่บนโซฟา!
แต่เธอหลับไปแล้วในเวลานี้
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ อากาศจะค่อนข้างหนาว หลี่หรงจึงนอนอยู่บนโซฟาในท่าขดตัว
เมื่อเห็นสิ่งนี้ มุมปากของอวี้ฮ่าวหรานก็กระตุกเล็กน้อย เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
แม้ว่าอีกฝ่ายมักจะเจ้าอารมณ์ แต่อันที่จริงชายหนุ่มเข้าใจดีกว่าอีกฝ่ายรู้สึกเป็นห่วงกังวลเรื่องความเป็นอยู่ของเขามากอย่างชัดเจน
เมื่อเห็นว่าอากาศมันค่อนข้างหนาวกว่าปกติ อวี้ฮ่าวหรานจึงกลัวว่าคนธรรมดาอย่างน้องภรรยาจะเป็นไข้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปในห้องของตัวเองและหยิบเอาผ้าห่มสำรองที่อยู่ในตู้มาห่มให้อีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด
บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด
ทันทีที่ประกาศราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนออกมา คนส่วนใหญ่ก็นิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าราคาดังกล่าวสูงกว่าที่คนส่วนใหญ่สามารถจ่ายได้
ก่อนหน้านี้ โบราณวัตถุที่ขายออกไปแพงที่สุดราคาเพียงสามสิบล้านหยวน ใครจะจินตนาการได้ว่ามันจะมีของที่มีราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนโผล่ออกมาแบบนี้
สมบัติเช่นนี้เศรษฐีทั่ว ๆ ไปไม่มีสิทธิ์ซื้อได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เฉียนเซาก็ยกป้ายของเขาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 56 ล้าน!”
ทันทีที่พิธีกรบนเวทีรายงานราคา เฉียนเซาไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาเยาะเย้ยอวี้ฮ่าวหรานอย่างมีชัย
ในเวลานี้ เขาคาดไว้ว่าอีกฝ่ายไม่ทางที่จะมีเงินพอประมูลของชิ้นนี้ร่วมกับเขาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเอ่ยราคาขึ้นมาเพื่อเยาะเย้ยอีกฝ่ายแบบนี้
แน่นอนว่า เฉียนเซาไม่ได้คิดว่าท้ายที่สุดตัวเองจะมีปัญญาพอซื้อพระพุทธรูปหยกนี้ เพราะราคามันคงโดดไปไกลมากกว่าที่ตัวเองจะเอื้อมไหว เขาแค่อยากเอ่ยราคาขึ้นเพื่อหยามหน้าอวี้ฮ่าวหรานก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็ยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายของตัวเองขึ้น
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 80 ล้าน!”
พิธีกรรายงานราคา และทุกคนในห้องโถงที่ยังคงลังเลอยู่ต่างกันก็หันศีรษะมองมาไปยังตำแหน่งหมายเลข 31 ด้วยความตกใจ
“พระเจ้า! เขาบ้าไปแล้วงั้นเหรอ? เพิ่มราคามาถึง 80 ล้านดื้อ ๆ แบบนี้เลยเนี่ยนะ?”
“เพิ่มราคามาขนาดนี้ได้ยังไง?? นี่เขาบ้าหรือเขาโง่กันแน่? แล้วแบบนี้ฉันจะสู้ราคาได้ยังไงต่อ!”
“…”
ทุกคนตกตะลึงแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ หลังจากเงียบไปหลายวินาที ก็เกิดเสียงวิจารณ์ดังทั่วห้อง
ทางด้านของเฉียนเซา ตอนนี้เขากำลังตกตะลึงจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า!
เขาแค่ส่งสายตาเยาะเย้ยอีกฝ่ายนิดหน่อยเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสู้ราคาจริง ๆ!
แถมราคาที่อีกฝ่ายสู้มามันมากกว่าราคาของทั้งหมดที่เขาซื้อ ๆ ไปในวันนี้ทั้งหมด!
สิ่งนี้มันทำให้เฉียนเซาดูเหมือนเป็นตัวตลกไปเลย
“จะบ้าเหรอ! แกมีเงินมากมายขนาดนั้นเลยหรือไง!?”
เขาตะโกนร้องออกมาอย่างไม่เชื่อ
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ย
“ทำไม? แกไม่คิดจะสู้ราคากับฉันแล้วงั้นเหรอ? ฉันแค่ขึ้นราคานิดหน่อย แค่นี้แกก็กลัวแล้วงั้นเหรอ?”
“แก!”
เฉียนเซาไม่รู้จะเถียงยังไงต่อ ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเฉียนเซา เห็นชัด ๆ ว่าไอ้เวรนั่นมันแค่แกล้งคุณเล่น มันจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้ยังไง? ตราบใดที่คุณไม่เสนอราคาสู้กับมันและปล่อยให้มันชนะการประมูลไป ท้ายที่สุดมันเองนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายเดือดร้อน!”
ในเวลานี้ ชายหนุ่มลูกหลานตระกูลเศรษฐีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เฉียนเซาให้คำแนะนำราวกับเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้
“หุบปาก! แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอไง?”
เฉียนเซาหันหน้าไปตวาดใส่ชายหนุ่มข้าง ๆ ทันที ใบหน้าของเขามืดมนเต็มที่
เขารู้สึกหงุดหงิดมากที่โดนคนที่ตัวเองคิดว่าอยู่ต่ำกว่าสร้างความลำบากให้กับเขาได้ขนาดนี้
ในวงสังคม เขาสามารถเสียทุกอย่างได้ แต่จะเสียหน้าไม่ได้!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 81 ล้านหยวน!”
ไม่นานนักพิธีกรก็รายงานราคาใหม่
ในเวลานี้ เฉียนเซานั่งลงและมองดูอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาเคียดแค้น จู่ ๆ เขาต้องเสียเงินมากกว่า 80 ล้านในครั้งนี้ เขาจะจดจำความแค้นนี้อย่างแน่นอน!
แต่อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างดูถูกและยกป้ายขึ้นอีกครั้ง!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 100 ล้านหยวน!”
“บ้าอะไรวะน่ะ?!!!”
เฉียนเซาที่เพิ่งนั่งลงกระเด้งตัวลุกขึ้นมายืนทันที เขาทั้งตกใจและโกรธ
“นี่แกโง่หรือบ้ากันแน่!! ฉันอุตส่าห์เมตตาแกให้ทางถอยกับแกแล้ว แต่แกกลับเสนอราคาต่อแบบนี้ทำบ้าอะไร!?”
ในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อพระพุทธรูปหยกนี่ด้วยซ้ำเพราะรู้ว่ามันจะต้องแพงมาก แต่ถัดมาเขาก็ถูกบีบให้รักษาหน้าของตัวเองโดยการต้องยอมตัดใจเพิ่มราคาเกทับอวี้ฮ่าวหรานมาเป็น 81 ล้านซึ่งเขาคิดว่าตัวเขาคงจะต้องได้ซื้อมันจริง ๆ แน่ โดยที่ไม่ได้อยากจะเสียเงินมากขนาดนี้เลย แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับขึ้นราคามาอีกเกือบยี่สิบล้านหยวน!
นี่มันมากเกินไปแล้ว!
แม้ว่าจะเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเฉียนก็ตาม แต่ราคาหนึ่งร้อยล้านก็ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย!
เฉียนเซาไม่สามารถเสี่ยงดวงขานราคาเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป เพราะถ้าหากได้ซื้อมันจริง ๆ ในราคามากกว่าร้อยล้านหยวน มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของเขา…
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับทำเพียงแค่เหลือบมองกลับไปและเอ่ยขึ้นอย่างดูถูก
“นั่นมันเรื่องของแก ฉันแค่ต้องการซื้อของนี่ไปประดับห้องนั่งเล่นของฉันก็แค่นั่น”
เมื่อเฉียนเซาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกตะลึง
คำพูดนี้มันเย่อหยิ่งเกินไป ซื้อสมบัติหายากมูลค่า 100 ล้านหยวน เพื่อเอาไปตกแต่งห้องนั่งเล่นแค่นั้นเนี่ยนะ?
นรกเถอะ!
บ้านของแกมีมูลค่าถึงร้อยล้านแล้วหรือไง!
กล้าเอาของมูลค่าร้อยล้านไปประดับห้องนั่งเล่นเนี่ยนะ!
เฉียนเซามองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างโกรธจัด ก่อนที่จะตวาดขึ้นดังลั่น
“ฉันเข้าใจแกผิดไป! แกไม่ใช่คนยากจน แต่แกมันเป็นไอ้โง่! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะมีปัญญาจ่าย!”
“แล้วถ้าฉันสามารถจ่ายได้ล่ะ?” อวี้ฮ่าวหราน ถามกลับทันควัน
“ฮึ่ม! ถ้าแกสามารถจ่ายได้ ฉันจะยอมเรียกแกว่าพ่อเลย!”
เฉียนเซาปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมีเงินทุนขนาดนั้น ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคนรวยจริง ๆ จะใส่ชุดราคาถูกแบบนั้นทำไม? มันคงไม่มีคนรวยคนไหนที่ไม่ดูแลการแต่งกายของตัวเองหรอกจริงไหม?
“เหอะ ๆ อย่าเลย ฉันไม่อยากมีลูกชายแบบแก ถ้ามี ฉันเกรงว่าฉันคงฆ่าแกทันทีที่แกลืมตาดูโลก”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเยาะ
“แก!”
เฉียนเซาโกรธจนเกือบควันออกหู
“ฉันไม่เชื่อแกหรอก! แกมันก็ดีแต่ปาก!”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน การเสนอราคาในงานประมูลก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 13 เสนอราคา 110 ล้าน!”
“สุภาพบุรุษหมายเลข 19 เสนอราคา 115 ล้าน!”
ราคามาถึงจุดที่คนส่วนใหญ่พูดไม่ออกอย่างรวดเร็ว
คุณค่าของพระพุทธรูปหยกองค์นี้มีค่าคู่ควรกับเงินจำนวนนี้ และคุณภาพของหยกเช่นนี้นั้นหายากมากในโลกปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้อยู่แล้ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 150 ล้านหยวน!”
เพิ่มราคา 35 ล้านด้วยการขานครั้งเดียว!
ทุกคนสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง!
พวกเขาพบว่าชายหนุ่มหมายเลข 31 กำลังใช้เงินราวกับว่ามันเป็นแค่เศษกระดาษ!
ต้องรู้ว่าเงิน 150 ล้านนั้นเพียงพอที่จะซื้อบริษัทขนาดเล็กได้หลายบริษัท!
ในเวลานี้ คนส่วนใหญ่หยุดประมูล แต่ก็ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งที่ยังไม่เต็มใจจะยอมแพ้อยู่ และขานราคาสู้อย่างอีกครั้ง
“สุภาพบุรุษหมายเลข 14 เสนอราคา 155 ล้าน!”
ทุกคนไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้มันเป็นการแข่งขันของมหาเศรษฐีตัวจริง!
บางคนที่เพิกเฉยต่ออวี้ฮ่าวหรานก่อนหน้านี้ ตอนนี้รู้สึกเสียดายโอกาสของตัวเองเป็นอย่างมาก ทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีโอกาสพวกเขาถึงโง่ไม่ยอมผูกมิตรกับมหาเศรษฐีอายุน้อยคนนี้??
คนที่สามารถใช้เงินซื้อของประดับบ้านมูลค่า 150 ล้านได้นั้น พวกเขาเทียบไม่ได้เลย
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นว่ายังมีคนพยายามจะสู้ราคาอยู่ เขาก็ยกยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายสู้ราคาอีกรอบ เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะได้พระพุทธรูปหยกองค์นี้!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 200 ล้าน!”
ราคานี้แม้แต่พิธีกรบนเวทียังตกใจ!
พระเจ้า!
เขาไม่เคยเห็นการขานราคาสู้ที่บ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนในชีวิต!
ตามปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะซื้อราคากันทีละล้านสองล้าน แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับเพิ่มราคาขึ้นมาทีเดียวถึง 45 ล้าน!
เศรษฐีผู้ที่เคยคิดจะสู้ราคากับอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินราคานี้เขาถอนหายใจก่อนที่จะโบกมือยอมแพ้ราคาไปในที่สุด
ในขณะนี้ บรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องประมูลต่างมองไปที่ชายหนุ่มหมายเลข 31 โดยพยายามเดากันว่าชายหนุ่มคนนี้มีที่มายังไง ทำไมถึงได้กล้าใช้เงินมากขนาดนี้?