บทที่ 306 ไล่ออก!
บทที่ 306 ไล่ออก!
“นังบ้า! ฉันไล่แกนั่นแหละ!!!”
หลิวเทียนอี้โกรธมากจนแทบจะระเบิด! เขาไม่คิดว่าลูกน้องของตัวเองคนนี้จะกล้าได้ขนาดนี้!!
“ยังยืนโง่อะไรอยู่อีก! ออกไปซะ ฉันไล่แกออกยังไม่เข้าใจหรือไง!!”
หลิวเทียนอี้ตะโกนอย่างโกรธจัด เมื่อเห็นว่าหญิงวัยกลางคนหน้าโง่คนนี้ยังคงยืนตกตะลึงไม่ขยับไปไหน
เธอไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมีอารมณ์รุนแรงขนาดนี้มาก่อน
“คุณ…ผู้จัดการกำลังพูดกับฉันงั้นเหรอ?”
หญิงวัยกลางคนถามกลับด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“แต่…แต่คนสร้างปัญญาคือไอ้พวกคนจนพวกนี้นะ…”
เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่โดนลงโทษจะเป็นตัวเธอเอง
“ฉันพูดถึงแกนั่นแหละ! ออกไปจากร้านของฉันเดี๋ยวนี้!”
หลิวเทียนอี้ยิ่งโมโหมากกว่าเดิมเมื่อยังได้ยินหญิงวัยกลางคนยังคงเอ่ยคำพูดดูถูกอวี้ฮ่าวหราน
นังนี่มันอยากให้ฉันตายแน่ ๆ!
“รปภ. โว้ย! รปภ. ของฉันแม่งไปตายกันหมดแล้วหรือไงวะ!! รีบมาลากตัวนังนี่ออกไปเดี๋ยวนี้เร็ว!!”
เขาตะโกนอย่างโกรธจัด
รปภ. หลายคนมองหน้ากันอย่างสับสนก่อนจะรีบวิ่งเข้ามาตามคำสั่ง
“ผ…ผู้จัดการหลิว ให้เราลากเราพี่โจวออกไปจริง ๆ เหรอครับ?”
พวกรปภ. งุนงงจนอดไม่ได้ที่เอ่ยถามขึ้นให้แน่ใจอีกที หญิงวัยกลางคนทำงานที่นี่มานานแล้วจนพวกเขาเองก็รู้จัก ดังนั้นการที่จู่ ๆ จะลากอีกฝ่ายออกไปเลยทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร จึงค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วน
“เออ! แกไม่ต้องถามมาก! รีบลากนังผู้หญิงคนนี้ออกไปเดี๋ยวนี้ ตอนนี้!!”
เมื่อเห็นว่าพวกรปภ. ลังเล หลิวเทียนก็ตะโกนออกไปอีกครั้ง!
รปภ. ทุกคนตกตะลึง พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมผู้จัดการถึงได้ไล่พี่โจวออกอย่างกะทันหันแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเป็นคำสั่งจากผู้จัดการ พวกเขาก็ต้องเชื่อฟัง
“พ…พี่โจว พวกเราขอโทษด้วยนะ…เชิญด้านนอกครับ…”
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะรู้จักผู้หญิงคนนี้ แต่คำพูดของผู้จัดการนั้นไม่อาจขัดขืนได้
“ทำไม…ทำไม???!!”
ในเวลานี้ หญิงวัยกลางคนตะโกนด้วยความอยากรู้ เพราะเธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้จัดการหลิวถึงไล่เธอออกอย่างสายฟ้าแลบแบบนี้
หลิวเทียนอี้หัวเราะแทนความโกรธ
“ฮ่า ๆๆ! ทำไมงั้นเหรอ? แกรู้ไหมว่าคนที่แกกำลังล่วงเกินอยู่เป็นใคร! เขาผู้นี้คือประธานอวี้แห่งเครือฮ่าวหราน! เขาเพิ่งจะสั่งซื้อรถระดับผู้บริหารสองชุดกับเราไป และมูลค่าของการสั่งซื้อทั้งสองนั้นไม่ใช่สิ่งที่แกจะจินตนาการได้! แกกำลังพยายามจะฆ่าฉันให้ตายใช่ไหม!!!”
“ห…หา? น…นี่…เป็นไปได้ยังไง!?”
เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินประโยคนี้ เธอจึงหันไปจ้องมองอวี้ฮ่าวหราน อย่างรวดเร็วด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าชายหนุ่มที่แต่งตัวธรรมดาคนนี้จะเป็นคนใหญ่คนโต!
“ผู้จัดการหลิว ฟังฉันอธิบายก่อน…ฉันไม่รู้จริงๆ ฉัน…”
หญิงวัยกลางคนตื่นตระหนกสุดขีด เธอทำงานที่นี่มาเกือบสิบปีแล้ว ฐานเงินเดือนของเธอมากกว่าค่าคอมมิชชั่นซะอีก หากเธอถูกไล่ออกไป เธอก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ซึ่งกว่าที่เธอจะไต่เต้าจนกลับมามีรายได้เท่าเดิมคงต้องใช้เวลาอีกนานโข แถมไม่รู้ว่างานใหม่จะสบายเหมือนที่นี่อีกหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม หลิวเทียนอี้ไม่ได้สนใจเธอเลยในเวลานี้ เขาโบกมือสั่งให้รปภ. ลากตัวหญิงวัยกลางคนออกไป ก่อนที่จะหันไปหาชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าเพื่อประจบประแจง
“ป…ประธานอวี้? คุณพอใจกับการจัดการของผมไหม หรือถ้าคุณยังไม่พอใจ ผมยังมีวิธีที่จะทำให้เธอกลายเป็นขอทานในเวลาอันสั้น!”
ในระหว่างที่พูดประโยคนี้ หลิวเทียนอี้ก็แสดงท่าทางประจบแจงราวกับเป็นสุนัขที่กำลังกระดิกหางเพื่อขออาหาร
น้ำเสียงที่ประจบสอพลอขนาดนี้ ทำให้อาลี่ที่อยู่ข้าง ๆ ตกตะลึง
เธอไม่เคยเห็นผู้จัดการของเธอแสดงท่าทีประจบใครขนาดนี้มาก่อน ในมุมมองของเธอ ผู้จัดการหลิวเป็นคนที่ดุและเคร่งขรึมมาก
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้
“หึหึ ดูเหมือนว่านายยังคงอารมณ์ร้ายไม่เปลี่ยนเลยนะ”
เขารู้ว่า หลิวเทียนอี้เป็นคนที่ชอบรังแกคนอื่นและชอบทำให้คนอื่นกลัวอยู่เสมอ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเย้ยหยันทันที
“อ…เอ่อ ไม่ใช่หรอก…ประธานอวี้ ไม่ใช่หรอกผมเปลี่ยนไปแล้ว…แต่ที่ผมต้องโหดร้ายเช่นนี้เป็นเพราะผมทนไม่ได้ที่เห็นนังผู้หญิงนั่นล่วงเกินคุณอย่างหยาบคายต่างหาก…”
หลิวเทียนอี้รีบตอบกลับด้วยอาการกระอักกระอ่วน และลงท้ายด้วยน้ำเสียงที่ประจบประแจงอีกครั้ง
เมื่อเธอได้ยินสิ่งนี้ อาลี่ก็ไม่ตกตะลึงอีกเลย
ผู้จัดการของเธอที่มีอารมณ์รุนแรง แต่กลับยอมให้กับชายหนุ่มคนนี้ได้ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยราวกับยอมรับคำพูดของอีกฝ่าย
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้จบเรื่องแล้ว งั้นนายก็ไปทำงานของนายต่อเถอะ ให้พนักงานคนนี้ดูแลฉันต่อไปตามเดิม”
ขณะพูด อวี้ฮ่าวหรานมองไปยังเด็กสาวที่กำลังตกใจอยู่ข้าง ๆ และพยักหน้าให้เธอทำงานของเธอต่อ
“อ…โอ้…ได้ครับ! ได้ครับ! เดี๋ยวผมจะไปยืนรอออยู่ตรงด้านนู้นก็แล้วกัน หากท่านมีอะไรขาดเหลือก็ตะโกนเรียกผมได้เลย ผมจะได้ช่วยเหลือได้ในทันที!”
เมื่อหลิวเทียนอี้ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงถอยออกไปที่เคาน์เตอร์ฝ่ายขายและมองดูจากระยะไกลทันที เพราะเขารู้จักอารมณ์ของอีกฝ่ายว่าเป็นยังไง
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นเช่นนี้ เขาก็พ่นลมหายใจด้วยความรำคาญเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาหันมาทางอาลี่ และบอกให้เธอแนะนำรถต่อไป
ถัดมา ภายใต้การแนะนำของอาลี่ ในที่สุดอวี้ฮ่าวหรานก็เลือก แลมโบกินีที่มีราคา 9.6 ล้าน
หลังจากจ่ายเงินทั้งหมดเรียบร้อย ขั้นตอนการทำเอกสารต่าง ๆ ก็เสร็จอย่างรวดเร็ว
“ประธานอวี้ คุณกำลังจะไปแล้วงั้นเหรอ ต้องการให้ผมรับใช้อะไรต่อหลังจากนี้อีกหรือเปล่า?”
ที่ด้านนอกร้าน หลิวเทียนอี้ถามอย่างตรงไปตรงมา
“วันนี้พอเลิกงานแล้วนายรีบกลับบ้านเร็ว ๆ หน่อยก็แล้วกัน ฉันจะพาลูกสาวไปดูพวกลูกหมา”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็ขึ้นรถคันใหม่และเร่งเครื่องจากไปทันที
หลังจากที่ Lamborghini สีเหลืองสดใสหายไปจากสายตา หลิวเทียนอี้ ค่อย ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฉากเมื่อครู่นี้เกือบจะทำให้วิญญาณของเขาหลุดออกจากร่างจริง ๆ
โชคดีจริง ๆ ที่ไม่ใช่พนักงานทุกคนที่ร่วมวงกับหญิงวัยกลางคนนั่น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาหันศีรษะมองไปยังอาลี่ที่อยู่ถัดจากเขา และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมาก
“อาลี่ วันนี้เธอทำได้ดีมาก! ช่วงทดลองงานของเธอจบแล้ว หลังจากนี้ฉันจะขึ้นฐานเงินเดือนให้เธอหนึ่งพันหยวน ขยันทำงานด้วยล่ะ!”
“เอ๊? ต…แต่ว่า…ผู้จัดการ ฉันเพิ่งทดลองงานได้แค่หนึ่งเดือนเท่านั้นเอง…”
อาลี่อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“ไม่เป็นไร! ด้วยคำสั่งของฉัน ทุกอย่างมันจะเป็นไปตามนั้น และอีกอย่าง ถ้าฉันบอกจะขึ้นเงินเดือนให้เธอ ฉันก็จะขึ้นเงินเดือนให้แน่นอน!”
…
มากกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมา อวี้ฮ่าวหรานจึงได้พาถวนถวนเดินทางไปที่บ้านของหลิวเทียนอี้
ทันทีที่เด็กน้อยลงจากรถ เธอก็วิ่งไปที่หน้าประตูบ้านของหลิวเทียนอี้ อย่างตื่นเต้น
ในเวลานี้ หลิวเทียนอี้กำลังรออยู่ที่ประตูแล้ว
“ยินดีต้อนรับคุณหนูถวนถวน!”
หลิวเทียนอี้เอ่ยต้อนรับทันที
“ลูกสุนัขอยู่ที่ไหน? หนูอยากดูลูกสุนัข!”
ถวนถวนมองไปรอบ ๆ ทันทีที่เขาเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มก็เดินตามเข้าไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
พูดตามตรง เขาไม่อยากมาเห็นหน้าไอ้อ้วนนี่หากไม่จำเป็น!
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามเอาอกเอาใจเขาสารพัด แต่ความรู้สึกด้านลบมันก็ยังคงอยู่
“ว้าว! พ่อจ๋า! พวกลูกหมาโตขึ้นมากเลย!”
ทันทีที่ถวนถวนและอวี้ฮ่าวหรานเข้าไปในห้องที่มีลูกหมามากมาย สีหน้าของชายหนุ่มก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพความเป็นอยู่ของพวกลูกหมา
บทที่ 314 ยินยอม
บทที่ 314 ยินยอม
“เฮ้อ…มันเป็นฉันเอง…มันเป็นเพราะฉันเองที่โลภเกินไป…”
หลี่อิงไห่ถอนหายใจยาว รอยยิ้มที่ขมขื่นชัดเจนปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ไปกันเถอะ ออกไปรอพบกับคนของเครือฮ่าวหรานกันเถอะ”
เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยท่าทางเหนื่อยล้า
ในเวลานี้ ทุกอย่างไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เขาจึงไม่มีสิ่งใดพอที่จะไปแข็งขืนได้อีก
เมื่อระลึกถึงสิ่งที่เขาเคยทำมา อวี้ฮ่าวหรานจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังพอจะมีหวังอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะไม่ว่ายังไง อวี้ฮ่าวหรานก็เป็นลูกเขยของหลี่ชงซาน หากอวี้ฮ่าวหรานยังมีใจพอจะไว้หน้าตระกูลหลี่อยู่บ้าง อย่างน้อยก็อาจจะยังคงได้อยู่ในบริษัทต่อไปในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปแทน
ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาจึงค่อย ๆ เดินออกจากออฟฟิศ ซึ่งเลขาสาวก็นิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตามเขามาอย่างรวดเร็วโดยถือแฟ้มไว้ในมือ
ในเวลานี้ ทุกคนในบริษัทอิงเหมาทราบข่าวการเปลี่ยนแปลงการเป็นเจ้าของของบริษัทเรียบร้อย และรู้ด้วยว่าเจ้าของใหม่จะเข้ามารับช่วงต่อเร็ว ๆ นี้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนจึงหมดแรงใจที่จะทำงาน และต่างก็กำลังคิดและปรึกษาหารือกันถึงทางออกสำหรับอนาคตของตัวเอง…
“ฉันคิดว่าเจ้านายคนใหม่น่าจะต้องการให้บริษัทของเราทำเงินทันทีตามเดิม ดังนั้นเขาไม่น่าจะหาคนใหม่มาแทนที่พวกเรา เราแค่ต้องทำหน้าที่ของเราไปตามปกติ”
“ใช่ อันที่จริง มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราอยู่แล้ว ตาแก่หลี่อิงไห่นั่น ฉันไม่ชอบหน้าเขามาตั้งนานแล้วเหมือนกัน”
“ฉันได้ยินมาว่าเครือฮ่าวหราน ที่เป็นเจ้าของใหม่ของบริษัทเราเป็นกลุ่มธุรกิจที่ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับพนักงานของบริษัท สวัสดิการของเครือฮ่าวหรานนับได้ว่าดีที่สุดในเมืองฮ่วยอัน!”
“…”
ระหว่างทาง เสียงกระซิบกระซาบของบทสนทนาได้ยินถึงหูของหลี่อิงไห่เช่นกัน
คำพูดของบางคนที่ระบายความไม่พอใจออกมานั้นกล่าวถึงเขาอย่างรุนแรง
หากเป็นก่อนหน้านี้ ถ้าเขาได้ยินคำพูดแบบนี้เข้าหูเมื่อไหร่ เขาคงจะเรียกคนพูดมายืนอยู่ตรงหน้าเขาทันที จากนั้นจะตบสั่งสอนสักฉาดและสั่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลากออกไปจากบริษัทอย่างรวดเร็ว
แต่วันนี้แตกต่างออกไป แม้ว่าเขาจะสามารถรักษาตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปได้ แต่ก็คงเป็นแค่หุ่นเชิด ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใด ๆ ในบริษัทโดยเฉพาะอำนาจเกี่ยวกับการจัดการกับพวกพนักงาน
“ท…ท่านประธาน…ท่านได้ยินหรือเปล่า? พวกเขา…พวกเขากำลังกล่าวร้ายท่าน…”
เลขาสาวเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับทำท่าจะก้าวไปเผชิญหน้ากับพวกคนที่พูดนินทาหลี่อิงไห่ เธอรับไม่ได้จริง ๆ กับคำพูดหลาย ๆ คำพูดที่คนพวกนี้เอ่ยออกมา
“แล้วไงล่ะ? ฮ่า ๆ ลืมมันไปเถอะ นับจากนี้ฉันไม่มีอำนาจจะทำอะไรใครได้อีกแล้ว”
หลี่อิงไห่หัวเราะเยาะตัวเอง เมื่อเขาได้ยินคำพูดนินทาเหล่านั้น จากนั้นจึงมองไปยังเลขาข้าง ๆ เขาที่กำลังแสดงสีหน้าไม่เต็มใจ
“เสี่ยวอวิ๋น ฉันจำได้ว่าเธออยู่กับฉันมาเกือบปีแล้วใช่ไหม?”
“ก็คุณหลี่เรียกให้ฉันมาทำงานให้คุณตั้งแต่หลังจากเรียนจบทันที”
เลขาสาวไม่รู้ว่าทำไมหลี่อิงไห่ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอจึงได้แต่ตอบตามความจริงเท่านั้น
“เฮ้อ…เวลาผ่านไปเร็วมากจริง ๆ เอาล่ะ เดี๋ยวตอนออกไปยืนรอ เธออย่ามายืนข้าง ๆ ฉันแบบนี้เด็ดขาด เจ้าของเครือฮ่าวหรานไม่ชอบฉัน มันจะส่งผลต่ออนาคตของเธอเอง”
หลี่อิงไห่ถอนหายใจก่อนที่จะออกคำสั่ง
“เอ๊ะ? แต่…แต่…”
เลขาสาวชื่อเสี่ยวอวิ๋นกระสับกระส่ายทันที เธอพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักอย่างลังเล
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น คิดถึงพ่อแม่ของเธอเอาไว้ ฉันจำได้ว่าอาการป่วยของแม่เธอยังไม่หายดีใช่ไหม? ถ้าฉันเดาไม่ผิด เงินก้อนนั้นที่ฉันให้ไปมันคงหมดไปแล้วตั้งแต่ก่อนเธอเรียนจบมหาวิทยาลัยถูกต้องไหมล่ะ?”
หลี่อิงไห่ขัดจังหวะอีกฝ่าย
ในทางกลับกันเลขาสาวกลับดื้อรั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ม…ไม่! ท่านประธานหลี่ ฉันไม่สน! ท่านใจดีกับฉันมาโดยตลอด ฉันจะไม่มีวันทิ้งท่าน ฉันจะขอติดตามท่านไปทำงานในทุก ๆ ที่ท่านไป!”
“อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย!”
หลี่อิงไห่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อได้ยินคำตอบนี้จากเลขาสาวของตัวเอง เขากลับรู้สึกอึดอัด เขาอุปถัมภ์เด็กหญิงที่ยากจนซึ่งแม่ป่วยหนัก ตอนแรกเขาทำเพียงเพื่อสนองความไร้สาระของเขา
แต่เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยืนหยัดเพื่อเขาในเวลานี้
ในทางกลับกัน พวกผู้บริหารที่มักจะมาเลียแข้งเลียขาเขาตลอดเวลาก่อนหน้านี้กลับแสดงสีหน้าเย็นชาใส่ และพร้อมที่จะไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายคนใหม่เต็มแก่เมื่อเขาหมดอำนาจ
จากนั้นทั้งสองก็ค่อย ๆ เดินออกจากอาคารสำนักงาน
ไม่กี่นาทีต่อมา ขบวนรถหรูสุดเด่นก็ขับเข้ามาจอดหน้าตึกสำนักงาน
รถนำขบวนคือรถสปอร์ตสุดหรูแลมโบกินีและตามมาด้วยเมอเซเดสต์ เบนซ์ เอสคลาสตัวท๊อปอีกเจ็ดคัน
เนื่องจากมีการแจ้งล่วงหน้ามาแล้ว คณะผู้บริหารของบริษัทอิงเหมาจึงตั้งแถวรออยู่ที่หน้าประตูเรียบร้อย
ในไม่ช้า อวี้ฮ่าวหราน ก็เป็นผู้นำในการลงจากรถ จากนั้นผู้จัดการหวัง และคนอื่น ๆ ก็ลงจากรถและปิดประตู
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาเดินมาที่ประตูหน้าของอาคารสำนักงาน พวกเขาพบว่า หลี่อิงไห่และเลขาสาวกำลังรออยู่ที่ประตูพร้อมกับคนอีกนับสิบ
เมื่อเห็นภาพนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันทันที
“โอ้? ท่านประธานบริษัทอิงเหมาผู้สูงส่งมารอรับฉันถึงหน้าประตูเลยงั้นเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเลยสักนิด
ในความทรงจำของเขา ชายแก่คนนี้คือคนที่คัดค้านการแต่งงานของเขากับหลี่เม่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อประโยชน์ของตระกูลหลี่ แถมยังใช้เหตุการณ์ที่เขาแต่งงานกับหลี่เม่ยบังคับให้หลี่ชงซานสละตำแหน่งผู้นำตระกูลมาให้กับตัวเอง
อาจกล่าวได้ว่าการกระทำของคน ๆ นี้มุ่งเน้นแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลหลี่และตัวเองเท่านั้น เขาไม่มีความเห็นใจในฐานะของการเป็นมนุษย์หรือเครือญาติเลย
“แน่นอนว่าเมื่อประธานอวี้กำลังมา ผมต้องออกมารอต้อนรับอยู่แล้ว”
หลี่อิงไห่รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานมาด้วยตัวเอง แต่ก็รีบเก็บความประหลาดใจได้อย่างรวดเร็วและปกปิดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ในตอนนี้ ชายหนุ่มที่เขาเคยดูถูกและเชื่อว่าจะเป็นคนทำลายผลประโยชน์ของตระกูลหลี่จนป่นปี้นั้นแข็งแกร่งมากจนเขาต้องก้มศีรษะให้
ในทางกลับกัน เมื่อเผชิญกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ขมวดคิ้วและไม่รู้ว่าจะเสียดสีอะไรต่อดี เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมก้มหัวให้ง่ายขนาดนี้
“ไปซะ วันนี้ฉันมารับช่วงต่อบริษัทจากแก ฉันไล่แกออก!”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเสียดสีอีกฝ่ายต่อไม่ได้ ถ้างั้นเขาก็จะทำตามจุดประสงค์ของการเดินทางมาครั้งนี้โดยไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไงทันที
“ด…เดี๋ยวสิ…”
หลี่อิงไห่แทบจะทั้งล้มทั้งยืน เมื่อเขาได้ยินประโยคนี้จากปากของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่คิดเลยว่าความหวังสุดท้ายในใจของเขาจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วและป่นปี้ขนาดนี้
นี่มันตรงไปตรงมาเกินไป!
“ต…แต่เราเป็นคนตระกูลหลี่เหมือนกัน คุณทำแบบนี้ไม่ได้…”
“ฉันทำอะไรไม่ได้?”
อวี้ฮ่าวหรานจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่ายทันทีและขัดจังหวะ
ถ้าตาแก่นี่ไม่เริ่มโจมตีเครือฮ่าวหรานของเขาก่อน เพื่อเห็นแก่ตระกูลหลี่ เขาคงไม่ทำอะไรกับบริษัทอิงเหมา
แต่เนื่องจากมันลงมือกับฉันอย่างหน้าด้าน ๆ ขนาดนี้ ถ้างั้นมันก็ต้องรับกับผลที่ตามมา!
“ฉันขอปลดแกออกจากทุกตำแหน่งในบริษัทตอนนี้เดี๋ยวนี้! แกต้องขนข้าวของส่วนตัวออกไปจากบริษัทของฉันภายใน 10 นาที!”
อวี้ฮ่าวหรานประกาศอย่างเด็ดขาด
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่อิงไห่มองไปที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเวลานาน เขารู้สึกสิ้นหวังในใจ
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สูดหายใจเข้าลึกอย่างจนใจ
“ตกลง ฉันยอมรับการตัดสินใจของประธานอวี้”
ถ้าต่อต้านไม่ได้ก็ต้องยอม ในเวลานี้เขาไม่มีอำนาจอีกแล้ว
ในเวลานี้ พวกผู้บริหารที่อยู่รอบ ๆ เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบนินทา
“หึหึ ดูหลี่อิงไห่สิ ก่อนหน้านี้ทำตัวราวกับเป็นพระเจ้า แต่ตอนนี้กลับหงอไม่ต่างอะไรกับสุนัขเลย!”
“ก่อนหน้านี้ฉันเตือนเขาไปแล้วว่าไม่ควรทำและฉันก็ไม่อยากจะทำ แต่เขากลับด่าว่าฉันไร้ประโยชน์และยังคงเริ่มแผนเล่นงานเครือฮ่าวหรานต่อไป แล้วดูตอนนี้สิ เห็นไหมล่ะ? ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเขาเองที่รนหาที่ตาย!”
“สมควรแล้ว! หลานชายของฉันถูกไล่ออกจากบริษัทเพราะเหตุผลส่วนตัวของหลี่อิงไห่ล้วน ๆ เขาไม่ไว้หน้าฉันเลยสักนิด ตอนนี้ถึงตาของเขาบ้างแล้ว!”
“…”
เสียงนินทาของผู้บริหารหลายคนไม่ได้เบาเลย ซึ่งมันทำให้สีหน้าของหลี่อิงไห่แย่มากกว่าเดิม