บทที่ 349 ราวกับคนบ้า
บทที่ 349 ราวกับคนบ้า
ทุกคนในร้านที่เห็นฉากนี้ต่างก็คิดเหมือนกันว่าอวี้ฮ่าวหรานบ้าไปแล้ว!
นั่นคือนายน้อยจิน!
คนธรรมดากล้าดียังไงไปตบจินเส่าแบบนี้??
นี่มันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตายเลย!!
ทุกคนต่างมีลางสังหรณ์ที่เลวร้ายอยู่ในใจ พวกเขาเดาได้ว่าหลังจากนี้ จินเส่าจะต้องโกรธเหมือนภูเขาไฟที่ปะทุแน่นอน!
ไม่มีใครอยากจะเผชิญหน้ากับจินเส่าเวลาโกรธ!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ จินเส่ากลับแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างยิ่ง และพูดอะไรไม่ออก!
อันที่จริงแล้ว ในใจของจินเส่านั้นเดือดพล่านไปด้วยความโกรธ แต่เมื่อเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายซึ่งกำลังมองตอบเขาอย่างเย็นชา ก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังได้เห็นทะเลเลือดซึ่งมีบนภูเขาศพนับล้าน ๆ ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง!
มันเหมือนกับว่าในดวงตาของอวี้ฮ่าวหรานมีขุมนรกทั้งขุมซ่อนอยู่ในนั้น!
“ป…ไป หนีเร็ว!!!!!”
เขาตะเกียกตะกายลุกขนและวิ่งหนีราวกับสุนัขจรจัดที่กำลังหนีเอาชีวิตรอดด้วยความตื่นตระหนก!
“จิน…จินเส่า…”
เมื่อผู้จัดการอ้วนเห็นสิ่งนี้ เขาแสดงสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
จินเส่าคนที่ไม่เคยกลัวใครวันนี้เป็นบ้าอะไรขึ้นมา?
อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจเขาและวิ่งหนีออกไปแล้ว เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจด้วยความหนักใจ!
เรื่องไม่จบแค่นี้แน่ ๆ!
คนอย่างจินเส่าไม่มีทางยอมใครง่าย ๆ แบบนี้หรอก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้จัดการก็รู้สึกอยากจะหน้ามืด! วันนี้มันเป็นวันซวยอะไรอย่างนี้!
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่บรรยากาศของร้านอาหารทั้งร้านกำลังหนักอึ้ง เสียงของอวี้ฮ่าวหรานก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เร็วเข้า ฉันอยากจะสั่งอาหารแล้ว!”
เขาตะโกนด้วยท่าทีสบาย ๆ
สีหน้าของผู้จัดการเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด เมื่อได้ยินคำพูดนี้!
“น…นี่คุณยังอยากกินอยู่ได้ยังไง! ไปเร็ว รีบหนีไปก่อนที่จินเส่าจะพาคนของเขามา ขืนคุณกับแฟนของคุณยังอยู่ที่นี่ พวกคุณได้ตายแน่วันนี้!!”
เขารีบเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายด้วยความหวังดี กลัวว่าชายหนุ่มคนนี้จะมีชีวิตไม่รอดจนถึงสิ้นวัน ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะมีจุดจบที่น่าสังเวชไม่ต่างกัน
“ตระกูลจินเป็นตระกูลมีอิทธิพลแถมยังรู้จักกับพวกแก๊งใต้ดินอีกต่างหาก! นายทำให้เขาขุ่นเคืองแบบนี้ นายกับแฟนรีบหนีไปดีกว่า!”
บรรดาแขกทุกคนในร้านอาหารต่างก็ตะโกนขึ้นโน้มน้าวด้วยเช่นกัน
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤตมาก ชายหนุ่มคนนี้ยังจะมามีอารมณ์กินอีกได้ยังไง!
“เร็วเข้าผู้จัดการ! ฉันจะสั่งอาหารแล้ว!”
อวี้ฮ่าวหรานยังคงโบกมือเรียกผู้จัดการร้านให้มารับออเดอร์
ตอนนี้เขาหิวมาก นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ส่วนเรื่องของจินเส่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าให้สนใจเลย
“โธ่! ก็ได้! ในเมื่อไม่ฟังที่เตือนถ้างั้นก็แล้วแต่ก็แล้วกัน ถ้าตายขึ้นมาก็อย่ามาโทษพวกฉันที่ไม่เตือนก็แล้วกัน มา! คุณจะกินอะไรผมจะให้ในครัวทำให้!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดื้อรั้นไม่ฟังเลย ผู้จัดการร้านก็ได้แต่ทำใจปล่อยเลยตามเลยเอาแบบที่อวี้ฮ่าวหรานต้องการ
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาเตือนแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
ในเวลานี้ เมื่อบรรยากาศของร้านไม่น่านั่งกินต่ออีกแล้ว บรรดาแขกส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะเรียกเก็บเงินและรีบจากไป
มีเพียงแขกไม่กี่คนตรงมุมร้านที่อยู่ห่างไกลจากโต๊ะ อวี้ฮ่าวหราน เท่านั้นที่ยังคงนั่งกินอยู่ ซึ่งพวกเขาคิดว่าต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นมันก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
ไม่นานอาหารที่ดูน่ากินหลายอย่างก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ
เฉิงชิวอวี้ดูสงบมากในเวลานี้ เนื่องจากเธอรู้ถึงความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหรานเป็นอย่างดี
ตราบใดที่เธอมีชายหนุ่มอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
แต่แล้วหลังจากกินไปได้สักพัก ประตูร้านอาหารก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรง!
โครม!
“ไอ้ผู้จัดการหน้าหมา! แกกล้าดียังไงถึงปล่อยให้จินเส่าได้รับบาดเจ็บ! แกไม่รู้หรือไงว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของ ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ ของเรา!
ชายหัวโล้นบุกนำเข้ามาทางประตูโดยถือมีดยาวหนึ่งฟุตอยู่ในมือของเขา และยิ่งไปกว่านั้นที่ด้านหลังชายหัวโล้นยังมีกลุ่มนักเลงอีกสิบกว่าคนยืนถือมีดกันทุกคนซึ่งเป็นภาพที่น่ากลัวมาก!
“ผม…ผมไม่รู้จะห้ามยังไงจริง ๆ และ…และผมไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย!”
ถึงแม้ว่าตัวเองจะถูกเรียกว่าหมาอีกแล้ว แต่ผู้จัดการก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าโกรธเคืองแม้แต่น้อย เขาทำได้แค่ก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว
“ฮึ่ม! ในเมื่อแกไม่เกี่ยวถ้างั้นก็หลีกไปซะ ไม่งั้นแกอาจจะต้องเจ็บตัวอีกคน!”
ชายหัวโล้นร่างกำยำมองผู้จัดการร้านอาหารอย่างดูถูก
ในเวลานี้ จินเส่าที่แก้มบวมอยู่ข้างหนึ่งมองไปทางโต๊ะริมหน้าต่างด้วยสายตาอาฆาตแค้น
อย่างไรก็ตาม เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำว่า ‘แก๊งพยัคฆ์เวหา’ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันที
เขาไม่คิดเลยว่าลูกน้องของโจวเฟยหู่จะชอบรังแกคนธรรมดาทั่วไปแบบนี้!
เขาหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาอีกฝ่ายทันที
“น…น้องอวี้ โทรหาฉันมีอะไรงั้นเหรอ?”
น้ำเสียงของโจวเฟยหู่ดูสับสน เพราะเขาไม่ค่อยจะได้รับโทรศัพท์จากอีกฝ่าย
“ฮึ่ม! เพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เราดีต่อกันมาโดยตลอด ฉันจะให้โอกาสนายมาที่ร้านอาหารจินอวิ๋นภายในสิบนาที!”
เสียงของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชาและผิดหวังกับโจวเฟยหู่
ถ้าหากเขาไม่แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ วันนี้เขาคงได้พบกับจุดจบที่น่าอนาถจากคนของแก๊งที่เขาคอยช่วยเหลือมาตลอด!
ในขณะเดียวกันนี้ ชายหัวล้านซึ่งน่าจะเป็นผู้นำกลุ่มนักเลงเดินเข้ามาใกล้อวี้ฮ่าวหรานพร้อมกับมีดในมือแล้ว
เมื่อมองดูจากระยะใกล้ อวี้ฮ่าวหรานไม่คุ้นหน้าชายคนนี้เลย ดังนั้นเขาจึงเดาว่าชายหัวล้านคนนี้น่าจะมีตำแหน่งไม่สูงนักในแก๊งพยัคฆ์เวหา เพราะหลังจากที่เขาติดต่อกับแก๊งพยัคฆ์เวหามาแล้วหลายครั้ง ชายหนุ่มมั่นใจว่าตัวเองจำหน้าพวกระดับสูงของแก๊งพยัคฆ์เวหาได้หมด
“แกใช่ไหมที่กล้าทำร้ายจินเส่า? แกรู้หรือเปล่าว่านี่มันหมายความว่าแกกำลังล่วงเกินแก๊งพยัคฆ์เวหาของเรา!!”
ชายหัวล้านมองอวี้ฮ่าวหรานอย่างดูถูกและไร้ความกังวลราวกับว่าเขาสามารถฆ่าอวี้ฮ่าวหรานให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้!
แต่ในเวลานี้ ดวงตาของจินเส่าแสดงความชั่วร้าย!
“เป็นไง! ตอนนี้แกไม่กล้าเพิกเฉยฉันอีกแล้วใช่ไหม วันนี้แกตายแน่! แต่ก่อนที่แกจะตาย ฉันจะตัดแขนตัดขาของแกออกก่อน!”
จากนั้นถัดมา เขามองไปที่เฉิงชิวอวี้ ซึ่งมีความงามจนสามารถทำให้เขาตะลึงงัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย!
“และเธอ! วันนี้แฟนของเธอไม่สามารถปกป้องเธอได้ในวันนี้แน่! หลังจากนี้บิดาคนนี้จะเล่นสนุกกับเธอเจ็ดวันเจ็ดคืน และหลังจากนั้นฉันจะแบ่งให้พี่น้องของฉันสนุกกับเธอด้วย!”
“จินเส่า ฉันอุตส่าห์รีบมาช่วยนายขนาดนี้อย่างน้อย ๆ เราก็ต้องเล่นกับนังนี่พร้อม ๆ กันสิวะ ฮ่า ๆ!”
เมื่อชายหัวโล้นมองดูสาวงามที่อยู่ข้างหน้าเขาอย่างหื่นกระหาย แทบจะละสายตาจากไปไม่ได้
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดาแขกในร้านที่เหลือต่างก็ไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของพวกนักเลง พวกเขาเริ่มเสียใจว่าทำไมพวกเขาถึงไม่รีบออกไปก่อนหน้านี้
ฉากแบบนี้น่ากลัวเกินกว่าคนธรรมดาอย่างพวกเขาจะอยู่ดู!
“ยังกล้าทำเป็นมองไม่เห็นฉันอีกงั้นเหรอ เอาเลย! ตัดมือมันมาให้ฉันก่อนสักข้างหนึ่ง!”
แม้เป็นตอนนี้ จินเส่าก็ยังเห็นว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันทำให้เขาโมโหมากจนตะโกนสั่งเสียงดัลั่นร้าน
เขาอยากจะรู้ว่าหากอีกฝ่ายเสียแขนไปแล้วยังจะกล้าทำตัวเหมือนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีกไหม!
ทันทีที่ได้ยินคำสั่ง ชายหัวล้านก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย และพร้อมกันนั้นเขาสับมีดลงไปที่ข้อมือของอวี้ฮ่าวหรานบนโต๊ะทันที!
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้น!
อวี้ฮ่าวหรานก็ขยับตัว!
มือของอวี้ฮ่าวหรานรวดเร็วจนไม่มีใครมองตามทัน จากนั้นชายหัวล้านก็โดนชกเข้าที่อกเต็ม ๆ!
ปัง!!
ชายหัวล้านผู้ที่ไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับเทพแห่งความตาย โดนชกร่างจนลอยกระเด็นไปกระแทกกำแพงที่อยู่ห่างไปถึงสิบเมตรอย่างรุนแรง!
โครม!
ด้วยความรุนแรงจากแรงกระแทก กำแพงของร้านในจุดที่ชายหัวล้านกระแทกแตกระแหงเหมือนใยแมงมุมทันที!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง!
ทั้งร้านเงียบกริบ!
หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ใครจะเชื่อว่าหมัดชายจากชายหนุ่มที่ดูธรรมดาจะทรงพลังน่ากลัวได้ขนาดนี้!
อั่ก!
ชายร่างกำยำล้มลงบนพื้นและกระอักเลือดออกมาคำโต ดูเหมือนว่าเขาเองก็น่าจะเป็นผู้ฝึกฝนร่างกายมาอย่างดีเยี่ยม ดังนั้นตอนนี้จึงยังไม่สลบเหมือดไป
เขามองไปที่ชายหนุ่มที่ยังคงนั่งด้วยแววตาเหลือเชื่อ และหัวใจของเขาก็เต้นระทึกไม่หยุด!
บรรดานักเลงที่เหลือต่างก็ตกตะลึง และไม่อยากจะเชื่อสายตากับภาพที่เพิ่งเห็นเช่นกัน!
บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของหวังเหยียนแล้ว โจวเฟยหู่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ
“เฮ้อ…น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าไอ้สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดโจวเฟยหู่ก็พูดขึ้นอย่างจนใจ
ตอนนี้แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเหมือนกับลูกศรที่ถูกยิงออกไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะกลอุบายใด ๆ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ต่อไป…
หลังจากสูญเสียพี่น้องไปมากมาย ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองกันได้
…
ในเวลาเดียวกัน อู๋หมิ่น ผู้นำตระกูลอู๋ ก็ได้ติดต่อกับศิษย์ของสำนักลึกลับแห่งหนึ่งเรียบร้อย…
ในห้องโถงของตระกูลอู๋ อาการบาดเจ็บของอู๋หมิ่นยังไม่หายดี และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาออกมาจากละครย้อนยุค
แต่ด้วยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งทำให้ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยการแต่งกายที่แปลกประหลาดนี้แน่นอน
สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้กำลังนั่งอย่างสบาย ๆ ในตำแหน่งที่นั่งของอู๋หมิ่น!
“เจ้ากำลังบอกว่าชายหนุ่มเพียงคนเดียวสามารถทำให้ตระกูลอู๋วอดวายได้ถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? นี่เจ้าดูแลตระกูลอู๋แบบไหน ทำไมพวกเจ้าถึงตกต่ำได้ขนาดนี้?”
ชายวัยกลางคนทำตัวราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กำลังดุด่าลูกหลานตัวเอง ซึ่งคนที่เขากำลังดุด่าอยู่ก็คือ อู๋หมิ่น
“ช…ชายหนุ่มคนนั้น…ไม่ใช่คนธรรมดา! ผมได้จ้างปรมาจารย์มาแล้วมากมาย แต่ปรมาจารย์พวกนั้นเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มคนนั้น และลูกชายของผม อู๋เส้าฮัวก็ถูกเขาฆ่าเช่นกัน!”
อู๋หมิ่นดูวิตกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังคงพยายามเถียง
อย่างไรก็ตาม คำพูดเถียงนี้กลับทำให้ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าดูถูกมากยิ่งขึ้น
“ฮ่า ๆ จ้างพวกปรมาจารย์งั้นเหรอ? แล้วไง? ไอ้พวกที่เจ้าจ้างมามันต่างจากคนธรรมดาตรงไหน?”
เขามองหน้าอู๋หมิ่นอย่างเย้ยหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน”
“ผม…ผมไม่รู้…”
อู๋หมิ่นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนคนนี้อายุน้อยกว่าเขา แต่กลิ่นอายความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก
“เฮอะ ช่างมีความรู้ต่ำต้อยอะไรขนาดนี้! ช้าผู้นี้ชื่ออู๋ลั่น เพื่อเห็นแก่ที่เรามีสายเลือดเดียวกัน ข้าจะบอกเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ว่าเหนือว่าขั้นพลังภายในที่เจ้าเคยรู้จัก ยังมีระดับที่เรียกขอบเขตก่อรากฐาน!”
“ก่อรากฐาน?”
อู๋หมิ่นพึมพำราวกับเคยได้ยินมาก่อนที่ไหนสักแห่ง
“ถูกต้อง ขอบเขตก่อรากฐานคือการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นผู้อมตะ ซึ่งความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะเทียบเทียมได้ และข้าเองคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อรากฐาน!”
ชายวัยกลางคนชื่ออู๋ลั่นพูดช้าๆ
ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มอบเงินให้กับสำนักของเขาเป็นจำนวนมหาศาล เขาคงไม่มีทางเสียเวลาคุยกับมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสายเลือดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน
อู๋หมิ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตพลังภายในมาก่อนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกตกตะลึงและงุนงงในเวลาเดียวกัน
“ถ…ถ้างั้นก็หมายความว่า…ท่านทรงพลังมากเลยใช่ไหม?”
เขาไม่อยากเชื่อเลย ถ้าหากตระกูลของเขามีปัญญาสร้างคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงถูกทิ้งให้ดูแลตระกูลอู๋อยู่ที่นี่มาตลอด? ทำไมเขาถึงไม่ได้มีโอกาสบ่มเพาะบ้าง?
ถ้าเขาสามารถเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานได้ เขาก็จะสามารถบดขยี้ตระกูลหลี่หรือตระกูลไหน ๆ ในเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดาย จนสามารถทำให้ตระกูลอู๋เป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ทำไมตระกูลของเขาถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้?
อู๋ลั่นรู้ทันความคิดของอู๋หมิ่นเช่นกัน และพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยโดยไม่ลังเลเลย…
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ อย่าคิดเพ้อเจ้อให้เสียเวลา การบ่มเพาะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ หากพรสวรรค์ไม่เพียงพอ เจ้าก็จะไม่มีวันทะลวงขึ้นมาถึงขอบเขตก่อรากฐานได้ ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าเทียบได้กับข้าผู้นี้งั้นเหรอ?”
หลังจากนั้น อู๋ลั่นก็รู้สึกไม่อยากจะคุยไร้สาระอะไรอีกต่อไป เขาถามถึงรายละเอียดของภารกิจโดยตรง
อู๋หมิ่นไม่ลังเลเมื่อถูกถามถึงเรื่องภารกิจ เขาพูดทุกอย่างที่เขารู้ทันที
หลังจากนั้นไม่นาน อู๋ลั่นก็พยักหน้าเล็กน้อย
“เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่ามา ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด เขาถือได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้า เรื่องนี้จึงไม่สามารถตำหนิเจ้าได้ในการที่เจ้าจัดการกับเขาไม่สำเร็จ”
หลังจากพอจะเข้าใจข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างคร่าว ๆ อู๋ลั่นจึงสรุปเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง
“ใช่ ตระกูลอู๋ของผมไม่มีพลังที่จะต่อกรจริง ๆ ได้โปรดช่วยผมกำจัดชายหนุ่มคนนั้นให้ผมที!”
อู๋หมิ่นอ้อนวอนอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้น อู๋ลั่นเองก็ไม่รอช้า เขาพยักหน้าตกลงอย่างไร้กังวล
…
สองวันต่อมา
“พ่อจ๋า ๆ หนูอยากไปเล่นที่บริษัทของพ่อวันนี้! หนูคิดถึงเพื่อน ๆ ของหนูที่นั่น!”
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กน้อยจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษ ดังนั้นเธอจึงตื่นแต่เช้าและรีบไปที่ห้องของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตื่นเต้นและตะโกน
“โอเค พ่อตกลง!”
เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่โตของลูกสาว และเห็นว่าเด็กน้อยคาดหวังมาก อวี้ฮ่าวหรานก็ตกลงในทันที
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองก็ออกไป
ถวนถวนนั่งอยู่ในรถสปอร์ตคันใหม่ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยดูตื่นเต้นอย่างมาก
รถสปอร์ตวิ่งออกไปจากเขตที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไปถึงย่านไร้ผู้คน ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะเหยียบคันเร่งเพิ่ม ร่างของคน ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางถนน!
ชายผู้นั้นสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาหลุดมาจากยุคโบราณ
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงเหยียบเบรกอย่างรุนแรงทันที!
อวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่อสูรที่ไร้หัวจิตหัวใจ เขาไม่สามารถขับรถชนคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเปล่าไม่ได้
หลังจากเบรกอย่างเร่งรีบ รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสก็หยุดนิ่งกลางถนน!
รถสปอร์ตคันนี้คู่ควรกับเงินเกือบสิบล้านเป็นอย่างมาก ระบบเบรกของมันยอดเยี่ยมกว่ารถคันเก่าของเขาอย่างเทียบกันไม่ได้
หากเป็นรถคันเก่า ระยะห่างสั้น ๆ แบบนี้รถไม่มีทางหยุดทันแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวไม่ได้ดูตื่นตระหนกเลย เขามองดูอวี้ฮ่าวหรานอย่างเฉยเมยพร้อมกับเอามือไพล่หลังอย่างองอาจ
อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วของตัวเองเมื่อเห็นสิ่งนี้…นี่มันผิดปกติ
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ลงจากรถไปถาม ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวก็ตะโกนถามขึ้นก่อน
“เจ้าคืออวี้ฮ่าวหรานใช่ไหม?!”
น้ำเสียงของชายเสื้อคลุมเขียวหยิ่งผยองมาก
“เพื่อเห็นแก่ที่เจ้ามีไหวพริบดีไม่ขับรถพุ่งเข้าชนข้าเหมือนคนโง่ ข้าจะฆ่าเจ้าโดยจะปล่อยให้ศพของเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์!” เขาเยาะเย้ย
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ยืนยันได้แล้วว่าคนที่มาขวางทางเขาคือศัตรู ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงลงจากรถ
“แกเป็นใคร แกรู้จักฉันได้ยังไง?”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าผู้นี้เป็นใคร เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้มีเพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าจะต้องตายวันนี้”
ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกราวกับว่าเขากำลังพูดกับมดแมลง
“แต่ก็เอาเถอะ ข้าบอกให้เจ้ารู้สักนิดหน่อยก็ได้ว่าข้าเป็นคนที่ตระกูลอู๋ส่งมาเพื่อฆ่าเจ้า อย่างน้อย ๆ หลังจากรู้เรื่องนี้เจ้าจะได้ไม่ตายอย่างคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยว่าใครฆ่าเจ้า!”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกตลกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าจะฆ่าฉันได้?”
เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เปิดใช้เนตรเทวะเพื่อดูความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งหลังจากที่มองดูเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย…
บทที่ 311 หนึ่งร้อย
บทที่ 311 หนึ่งร้อย
สมาชิกหลักของแก๊งวาฬยักษ์สบตากัน ทุกคนต่างตื่นตระหนกและพากันถอยกลับด้วยความกลัว!
การโจมตีครั้งเดียว!
ด้วยมือเดียว!
หัวหน้าสาขาที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา ก็ถูกบดขยี้ไม่ต่างอะไรกับมดแมลง!
ความแข็งแกร่งของบุคคลนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
คนของแก๊งวาฬยักษ์ไม่มีใครกล้าปริปากพูดสักคน บรรยากาศในห้องเงียบราวกับป่าช้า ไม่มีใครกล้าพูดเกินครึ่งคำ!
ไม่ถึงครึ่งนาทีต่อมา หัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ที่เหลืออีกสามคนเหลือบมองกันและกัน และตัดสินใจ
“พวกเรามีกันมากกว่าหนึ่งร้อยคน! พวกเราจะต้องไปกลัวอะไรกับคนแค่คน ๆ เดียว! ถึงแม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากมีมีดสักเล่มที่หลุดฟันไปถึงคอเขาได้ พวกเราก็จะชนะ!”
หัวหน้าสาขาแก๊งวาฬยักษ์ตะโกน!
เมื่อได้ยินคำพูดปลุกใจนี้ บรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ก็มีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น พวกเขาเริ่มข่มความกลัวของตัวเองได้ไม่มากก็น้อย
พวกเขาตระหนักว่าต่อให้คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็มีเพียงคนเดียว มันคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมที่คน ๆ เดียวจะเอาชนะคนร้อยคนได้?
และยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีหัวหน้าสาขาอยู่ด้วยอีกตั้งสามคน!
“ฆ่ามัน! แก้แค้นให้หัวหน้าสาขาจิ่น!”
“ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!”
“แก๊งวาฬยักษ์ของเราไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำได้ง่าย ๆ!”
“…”
เมื่อมีความมั่นใจกันแล้ว บรรดาสมาชิกร้อยคนของแก๊งวาฬยักษ์ก็เริ่มตะโกนปลุกใจกันเองเสียงดังลั่นจนบรรยากาศในห้องกลายเป็นโกลาหลอีกครั้ง!
ทันทีหลังจากนั้น ภายใต้การนำของหัวหน้าสาขาทั้งสามคน คนของแก๊งวาฬยักษ์ทุกคนต่างพุ่งเข้าหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม!
คนของแก๊งวาฬยักษ์วิ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ราวกับว่าพวกเขากำลังแข่งวิ่งเพื่อต้องการไปให้ถึงเส้นชัยเป็นคนแรก!
อวี้ฮ่าวหรานกวาดสายไปรอบ ๆ แววตาของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
ชายหนุ่มโคจรพลังวิญญาณในร่างของตัวเองแบบสบาย ๆ โดยไม่มีการออกท่าทางหวือหวาใด ๆ จากนั้นเขาก็แค่ชกไปในอากาศตรงหน้าอย่างช้า ๆ!
ปัง!!
แม้หมัดที่อวี้ฮ่าวหรานชกออกไปจะดูธรรมดา แต่ในทันทีที่ฤทธิ์ของมันสำแดงออกมา มันก็กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของบรรดาสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์!
พลังวิญญาณอันมหาศาลพุ่งออกไปในแนวตรง โจมตีทะลุผ่านคนของแก๊งวาฬยักษ์อย่างไม่มีอะไรจะหยุดได้!
สองคน!
สามคน!
พลังวิญญาณอันรุนแรงนี้พุ่งผ่านคนนับสิบภายในพริบตา!
ท้ายที่สุด พลังวิญญาณก็พุ่งไปชนกับกำแพงของห้องโถงบ่อน!
บรึ้ม!
เสียงกำแพงระเบิดดังลั่น จากนั้นแสงจากด้านนอกบ่อนก็ส่องทะลุเข้ามาด้านในห้องโถง แค่การต่อยช้า ๆ เพียงครั้งเดียวของอวี้ฮ่าวหรานก็สามารถทำลายกำแพงจนเป็นรูโหว่ขนาดยักษ์ได้อย่างไม่ยากเย็น!
แต่ที่น่าประหลาดก็คือ แม้ว่าพลังนี้จะรุนแรงจนถึงขนาดทำลายกำแพงได้ง่าย ๆ แต่พวกสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์ที่ถูกพลังวิญญาณทะลุผ่านเนื้อตัวของพวกเขากลับไม่มีร่อยรอยขีดข่วนหรือฟกช้ำเลย แต่พวกเขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับว่าพวกเขาถูกสาป!
พวกคนของแก๊งวาฬยักษ์คนอื่น ๆ ต่างก็หยุดมองภาพเหตุการณ์ด้วยสีหน้าโง่งม
มนุษย์สามารถสร้างพลังทำลายล้างได้ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
พวกเขาทั้งหมดมองไปที่รอยทะลุขนาดใหญ่ที่กำแพง ก่อนที่จะเบนสายตากลับมาที่อวี้ฮ่าวหราน
ระยะห่างระหว่างกำแพงกับชายหนุ่มที่น่ากลัวตรงหน้าพวกเขามันห่างกันถึง 20 เมตร!
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ภาพถัดมาที่พวกคนที่โดนพลังประหลาดพุ่งผ่านใส่ซึ่งอยู่ถัดจากพวกเขานั้น ในตอนแรกก็ยืนนิ่งอยู่เฉย ๆ แต่พอเวลาผ่านราวไม่เกินห้าวินาที คนเหล่านั้นกลับกระอักเลือดออกมาอย่างฉับพลัน!
อั่ก…
ขณะที่คนอื่น ๆ ตกใจและหน้าซีด พวกคนที่สัมผัสพลังหมัดของอวี้ฮ่าวหรานต่างก็อาเจียนเป็นเลือด และเลือดก็เริ่มไหลออกจากทวารทั้ง 7 และต่อมาผู้คนนับสิบก็ล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับหมดลมหายใจ!
ผู้คนนับสิบตายภายในการโจมตีครั้งเดียว!
ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว คนอื่น ๆ ที่เหลือต่างตกตะลึงและมองหน้ากันอย่างไม่รู้ตัว!
นี่…นี่มันไม่ใช่การต่อสู้แล้ว!
การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มันคือการฆ่าตัวตายชัด ๆ!
อีกทั้งวันนี้อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้วางแผนที่จะไว้ชีวิตคนเหล่านี้สักคน คนพวกนี้ต่างเป็นพวกคนเลวช้าสามานย์ จึงไม่สมควรได้รับความเมตตาใด ๆ ทั้งนั้น!
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาโคจรเร็วขึ้นและรุนแรงมากขึ้น ก่อนจะแผ่กระจายพลังวิญญาณปกคลุมทุกส่วนร่างของตัวเองและพุ่งเข้าหากลุ่มคนของแก๊งวาฬยักษ์รวดเร็วราวกับสายฟ้า! เขาเหมือนเสือกระโจนเข้าฝูงแกะ!
นับจากนั้น ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความโกลาหล และเสียงร้องโหยหวนที่สิ้นหวัง!
คนของแก๊งวาฬยักษ์ไม่อาจต้านทานอวี้ฮ่าวหรานได้เลย หนึ่งหมัดที่เขาปล่อยไปหมายถึงหนึ่งชีวิตที่หลุดลอย
เมื่อเห็นเช่นนี้ สามปรมาจารย์หัวหน้าสาขาแก๊งวาฬยักษ์ที่เป็นผู้นำกลุ่มจึงต้องการที่จะรวมกำลังกันตอบโต้ แต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีถัดมา พวกเขาก็โดนหมัดของอวี้ฮ่าวหรานอัดเข้าใส่อย่างจังจนพวกเขากระเด็นไปคนละทิศทาง!
หมัดเมื่อครู่นี้ อวี้ฮ่าวหรานใส่แรงไปมากพอสมควร ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาคือ หัวหน้าสาขาของแก๊งวาฬยักษ์ตายทันที 2 ราย!
ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณและพลังภายในนั้นต่างราวฟ้ากับเหว ไม่มีทางที่จะเอามาเทียบกันได้!
หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปอีกราวสิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็ค่อย ๆ ถอนพลังวิญญาณของตัวเองกลับ พร้อมกับที่สมาชิกของแก๊งวาฬยักษ์คนสุดท้ายล้มลงและสิ้นลมหายใจ!
การฆ่าคนร้อยกว่าคนครั้งนี้ อวี้ฮ่าวหรานเสียพลังวิญญาณไปแค่หนึ่งในสี่เท่านั้น
ต่อให้เป็นปรมาจารย์กำลังภายในขั้นสูงสุด หากเผชิญหน้ากับเหล่าอันธพาลที่มากประสบการณ์มากกว่าร้อยคนที่นำโดยสามปรมาจารย์กำลังภายใน คนผู้นั้นคงทำได้แต่หนี ไม่เช่นนั้นท้ายที่สุด เขาก็จะหมดพลังและโดนรุมกระทืบตาย
หลังจากคนของแก๊งวาฬยักษ์คนสุดท้ายตายลง บรรยากาศของทั้งห้องโถงก็เงียบสงัด
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เดินเข้าไปหาหวังเหยียน
ฝ่ายตรงข้ามดูเศร้าหมองอย่างยิ่งในเวลานี้ แขนทั้งสองข้างหัก และซี่โครงของเขาดูเหมือนจะหักสองหรือสามซี่
โชคดีที่พลังชีวิตยังคงหลงเหลือและการหายใจยังคงที่
“ขอบคุณ…ขอบคุณ…ฉัน…คราวนี้ฉันเป็นหนี้บุญคุณนายมากจริง ๆ!”
หวังเหยียนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาและกล่าวคำขอบคุณเป็นระยะ
หวังเหยียนเป็นคนที่สำนึกในบุญคุณที่คนอื่นทำให้เสมอ และเขาจะต้องตอบแทนคืนให้ได้
ก่อนหน้านี้ที่โจวเฟยหู่ช่วยชีวิตเขา เขาก็ตอบแทนอีกฝ่ายโดยการยอมเป็นผู้ติดตามคอยช่วยต่อสู้เคียงข้างเพื่อทำให้แก๊งของอีกฝ่ายรุ่งโรจน์
ทว่าในเวลานี้ในใจของเขารู้สึกสับสน เขาเป็นหนี้ชายหนุ่มคนนี้มากเกินไปจนคิดไม่ออกว่าทั้งชีวิตนี้จะทำอย่างไร ถึงจะสามารถตอบแทนได้หมด!
อวี้ฮ่าวหรานนั่งยอง ๆ และมองอีกฝ่าย อาการบาดเจ็บของหวังเหยียนสาหัสพอสมควร อวี้ฮ่าวหรานจึงอดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจ
“คราวหน้าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ โทรหาฉันให้เร็วกว่านี้ ฉันจะได้มาไวกว่าเดิม”
เขารู้สึกพอใจหวังเหยียนมาโดยตลอด และจากมุมมองของชายหนุ่ม เขาสามารถเห็นได้ง่าย ๆ ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะมีคุณสมบัติพอที่จะตอบแทนสิ่งที่เขาต้องการได้ไม่มากก็น้อย
คนประเภทนี้เขาไว้วางใจได้
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โทรออกหาโจวเฟยหู่
โจวเฟยหู่รู้ข่าวแล้วและกำลังรีบมาที่นี่พร้อมกับผู้คน
สมาชิกแก๊งพยัคฆ์เวหาที่ยังรอดอยู่ในบ่อน อวี้ฮ่าวหรานก็ปล่อยให้พวกเขารอโจวเฟยหู่ไปก่อน จากนั้นเขาก็พาหวังเหยียนไปโรงพยาบาลเพียงแค่คนเดียว
ก่อนหน้านี้สมองของอีกฝ่ายตึงเครียดถึงขีดสุด ดังนั้นหลังจากถูกช่วยเหลือและเห็นว่าสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายแล้ว หวังเหยียนจึงหมดแรงและเกือบจะอยู่ในอาการโคม่าทันที
…
โรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮ่วยอัน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากการรักษาเบื้องต้น หวังเหยียนก็ถูกสั่งให้นอนที่โรงพยาบาลโดยยังไม่มีกำหนดให้ออก
เขามีบาดแผลนับสิบแห่ง มีกระดูกแตกหักหลายท่อน บรรดาแพทย์จึงต้องวินิจฉัยอย่างละเอียดก่อนถึงจะสามารถผ่าตัดได้
“ขอบคุณนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ…”
หวังเหยียนปากสั่นและมีน้ำตาคลอในเวลานี้ ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะเจ็บจนแทบขาดใจ เขาก็ไม่ได้ขมวดคิ้วเลย
แต่ในเวลานี้ เมื่อเผชิญหน้ากับอวี้ฮ่าวหราน และคิดว่าตัวเองรอดมาได้โดยที่ลูกน้องของเขาตายเกือบหมด เขาก็ไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้อีกต่อไป
“ฉัน…ฉัน…พี่น้องของฉัน…ฉันประมาทเกินไป…”
เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะร้องไห้อย่างขมขื่น
หลังจากนั้นไม่นาน โจวเฟยหู่ก็รีบเข้ามาพร้อมกับคนอื่น ๆ
“หวังเหยียน! หวังเหยียน! เป็นไงบ้าง!”
แววตาของเขาดูตื่นตระหนกอย่างมาก นับตั้งแต่ก่อตั้งแก๊งพยัคฆ์เวหา พวกเขาก็เคยเผชิญมาหมดแล้วไม่ว่าจะศึกใหญ่หรือเล็ก แต่ไม่มีสักครั้งที่หวังเหยียนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้
“แค่ก…แค่ก…หัวหน้าฉันไม่เป็นไร…น้อง…ไม่สิ พี่อวี้ช่วยฉันเอาไว้…”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูกังวล หวังเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะปลอบโยน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่กล้าเรียกอวี้ฮ่าวหรานว่า ‘น้อง’ อีกต่อไป
เขาติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายเกินกว่าจะมองว่าตัวเองอาวุโสทางอายุกว่า
“ดีแล้ว…ดีแล้ว! ดีแล้ว!”
เมื่อโจวเฟยหูได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของเขาก็สงบลงเล็กน้อย เขาทั้งโล่งใจและพอเข้าใจในความหมายของการที่หวังเหยียนไม่เรียกอวี้ฮ่าวหราน ว่า ‘น้อง’ อีกแล้ว
แต่จากนั้นความโกรธที่หาที่เปรียบมิได้ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ฉันสัญญา! เราจะฆ่าแก๊งวาฬยักษ์อย่างแน่นอน! ฉันจะจับหลิ่วอวี้จิง มาคุกเข่าขอขมาต่อหน้านายให้ได้!”