บทที่ 325 เหยียบหน้า
บทที่ 325 เหยียบหน้า
สีหน้าของซูหว่านเอ๋อหม่นหมองทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างอ้วน เธออยากจะอธิบายอย่างกระวนกระวาย
“ไม่…มันไม่ใช่แบบนั้น…ฮ่าวหรานไม่ใช่…ฮ่าวหรานไม่ใช่…”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นดวงตาดำขลับของซูหว่านเอ๋อเปลี่ยนไปอย่างไม่สบายใจ เขาก้าวไปบังเธอและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“ไม่ว่าฉันกับซูหว่านเอ๋อจะเป็นอะไรกัน คนอย่างแกก็ไม่มีสิทธิจะมายุ่มย่ามหรอก”
ชายหนุ่มโต้กลับอีกฝ่ายอย่างดูถูก
“ไอ้บ้านี่แกกล้าทำตัวจองหองต่อหน้าฉันงั้นเหรอ! แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายร่างอ้วนโมโหในทันที
อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้ให้มากมายนัก เขากระซิบและแสดงท่าทางจะพาซูหว่านเอ๋อออกไป
“หลีกไปให้พ้นทาง!”
“แม่งเอ๊ย! นี่แกกล้าดีมากเกินไปแล้ว! แกรู้ไหมว่าครอบครัวของฉัน เฉียนเซา ยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่ฉันดีดนิ้วครั้งเดียว แกก็หายไปจากโลกนี้ได้แล้ว!”
ชายร่างอ้วนไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทีโอหังของอวี้ฮ่าวหรานเขาก้าวเข้ามาขวางทางด้วยสีหน้าเย็นชา
ซูหว่านเอ๋อรีบคว้าแขนของอวี้ฮ่าวหราน ใบหน้าของเธอกังวลจนถึงขีดสุด
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน เรา…เราอย่ามีเรื่องกับพวกเขาเลย พวกคนที่อยู่ที่นี่มาจากตระกูลใหญ่ ๆ กันทั้งนั้น ต…ตระกูลซูของฉันไม่อาจล่วงเกินพวกเขาได้…”
ในเวลานี้ ด้วยความกลัวปัญหาที่จะตามมา ซูหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมด้วยความเป็นห่วง
“ฮ่า ๆ หว่านเอ๋อ เธอนี่ฉลาดจริง ๆ เธอนี่ฉลาดกว่าไอ้หมาที่อยู่ข้าง ๆ เธอเยอะเลย มาเร็ว รีบมาหาฉันดีกว่า ยิ่งเธอยืนอยู่ข้าง ๆ ไอ้คนจนนี่มากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งหม่นหมองมากขึ้นเท่านั้น!”
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย
พวกเขาคือพวกนายน้อยรุ่นสองที่ร่ำรวยมาแต่กำเนิดไม่ได้หาเงินใช้เอง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะดูถูกทุกคนที่ต่ำต้อยกว่า และไม่เห็นตระกูลซูที่ด้อยกว่าอยู่ในสายตา
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือพวกเขามีนิสัยคล้ายกับหลี่จิงเทียนจอมโอหังและโง่เขลา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ ชายหนุ่มต้องเจ็บปวดเพราะปากของตัวเองในทันที!
อวี้ฮ่าวหรานถีบอีกฝ่ายลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว!
“เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น!”
“มีคนตีกัน!”
“…”
ฉากนี้ทำให้ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ก้าวถอยกลับพร้อมกับอุทาน
พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นชนชั้นสูงในเมืองฮ่วยอัน ซึ่งโดยทั่วไปการใช้ความรุนแรงกันแบบนี้จึงเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ๆ
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร? ทำไมเขาถึงหยาบคายแบบนี้?”
“ใช่ แล้วดูการแต่งตัวนั่นสิ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูกแบบนี้ นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเขาเข้ามาได้ยังไง?”
“…”
ฝูงชนวิจารณ์กันสนั่นหลังจากเห็นการแต่งกายของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขาต่างให้คะแนนติดลบกับชายหนุ่มที่ดูเหมือนมาจากครอบครัวชนชั้นกลางทันที
“ไอ้สารเลว! แกกล้าดียังไงมาตีฉัน!”
ในขณะเดียวกันนี้ ชายหนุ่มที่ถูกถีบลงไปกองกับพื้นตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล
แต่เนื่องจากอวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรง เขาจึงไม่คิดที่จะไว้หน้าใครอีกต่อไป!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปากมากอยู่อีก อวี้ฮ่าวหรานก็ก้าวไปเหยียบหน้าคน ๆ นั้นอีกครั้งทันที!
“ฮึ! ยังปากดีได้อยู่ใช่ไหม? ได้! งั้นเรามาดูกันว่าปากของแกจะดีมากจนทนเท้าของฉันได้นานขนาดไหน!”
เฉียนเซาตกตะลึงกับฉากตรงหน้าเขาขณะนี้ เขาอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ชายหนุ่มอีกคนก็ก้าวมาข้างหน้า!
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่รูปร่างล่ำสันที่เพิ่งก้าวออกมาโดนอวี้ฮ่าวหรานตบด้วยหลังมือและลงไปนั่งกองที่พื้นอีกคนอย่างรวดเร็ว!
เมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองสองคนถูกจัดการอย่างน่าอนาถ เฉียนเซาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แก! แกกล้าดียังไงมาทำร้ายเพื่อนของฉันแบบนี้ รู้ไหมว่าพ่อของฉันเป็นใคร!”
“แม้แต่ชื่อพ่อตัวเองยังจำไม่ได้จนต้องมาถามคนอื่น แกนี่มันลูกอกตัญญูจริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดติดตลกเล็กน้อย
ซูหว่านเอ๋อที่ในตอนแรกประหม่าเป็นอย่างมาก เมื่อเธอได้ยินประโยคล้อเลียนนี้เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“แก! แกตายแน่!!”
เฉียนเซาถูกกระตุ้นมากจนไขมันทั่วทั้งใบหน้าของเขาสั่นเป็นคลื่น
ไม่นานหลังจากเกิดความโกลาหลนี้เกิดขึ้น บอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนก็โผล่พรวดออกมาจากฝูงชนและรีบเดินดิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง!
“คุณมาสร้างปัญหาที่นี่ทำไม??”
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ หัวหน้าบอดี้การ์ดขมวดคิ้วแน่นทันที ร่างกายของเขาพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่คนสร้างปัญหาได้ตลอดเวลา
เฉียนเซาเมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยเขาแล้ว ก็ไม่รอช้า รีบตะโกนปรักปรำอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว
“ไอ้นี่แหละ! ไอ้นี่มันหาเรื่องพวกผมก่อน! อยู่ดี ๆ มันก็ทำร้ายพวกผม แล้วดูการแต่งตัวของมันสิ คนแต่งตัวแบบนี้ไม่มีทางได้รับเชิญเข้ามางานประมูลแห่งนี้แน่นอน มันต้องแอบเข้ามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย! พวกคุณรีบลากมันออกไปเร็ว และถ้าจะให้ดีอัดสั่งสอนมันสักหน่อยด้วยเพื่อให้หลาบจำว่าอย่าเสนอมาที่นี่อีก!”
คราวนี้สีหน้าของเฉียนเซากลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง และพูดขึ้นก่อน
“หืม? เรื่องเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียนเซา หัวหน้าบอดี้การ์ดหันไปมองฝูงชนรอบ ๆ และถาม
“ใช่ ฉันเห็นชายหนุ่มคนนี้เริ่มลงมือก่อนจริง ๆ”
“ใช่! กลุ่มของเฉียนเซาถูกรังแกก่อนเช่นกัน”
“ฉันก็เห็นเหมือนกัน ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนนี้พยายามเข้าใกล้กลุ่มของเฉียนเซา แต่เขากลับโกรธหลังจากถูกไล่ตะเพิด”
“…”
ทุกคนต่างพูดเอนเอียงไปทางเฉียนเซา ไม่มีใครเข้าข้างอวี้ฮ่าวหรานที่ดูแต่งตัวธรรมดาเลยสักคน
เฉียนเซาคนนี้ชอบเข้าร่วมงานเลี้ยงและงานสังคมต่างๆ เสมอ หลายคนจึงรู้จักเขาและอยากที่จะผูกมิตรกับเขา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูหว่านเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโห
แต่ด้วยบุคลิกไม่สู้คนของเธอ เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกระตุกชายเสื้อของอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าวิตก
“ฮ่าวหราน… ฉัน…เราจะทำยังไงกันดี… พวกเขา…พวกเขาพยายามจะไล่พวกเราออกไป…”
เหตุการณ์ในขณะนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนก และเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานยังคงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย!
“เฮอะ ฉันบอกเอาไว้เลยว่าวันนี้ใครกล้าจับต้องตัวฉัน มันได้เจ็บตัวแน่!”
เหตุผลที่เขาอัดอีกฝ่ายเป็นเพราะคนพวกนี้ไม่ยอมหลีกทางให้แถมยังตวาดด่าเขาอีกต่างหาก ชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อมาประมูลของและได้รับเชิญมา เขาไม่ได้มาเป็นตัวตลกให้ใครเหยียบย่ำ!
“โอ้? ไอ้หนุ่ม แกใจกล้าดีนี่หว่า!”
หัวหน้าบอดี้การ์ดประหลาดใจเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดจาที่ดูหยิ่งยโสของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่คิดมาก่อนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะกล้ามากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ถูกล้อมอยู่
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายและพบว่ามันเป็นชุดที่ราคาถูกจริง ๆ ริ้วรอยแห่งการดูถูกก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
ยากจนไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันโง่มากถ้ามายั่วโมโหพวกคนรวยแบบนี้!
ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าต้องทำอะไรต่อไป
“สุภาพบุรุษท่านนี้ คุณมากับพวกเราจะดีกว่า! ผมรู้ว่าคุณอยากจะสู้ แต่ลองมองดูรอบ ๆ ก่อน คุณไม่มีทางสู้พวกเราได้ ดังนั้นอย่ามาสร้างปัญหาให้กับการประมูลครั้งนี้ไม่เช่นนั้นคุณไม่มีทางแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาไหว!”
เพื่อทำให้สถานการ์ณในงานประมูลสงบลงโดยเร็วที่สุดเขาจำเป็นต้องเชิญอวี้ฮ่าวหรานออกไปก่อน ส่วนหลังจากนั้นเขาไม่คิดจะปล่อยอวี้ฮ่าวหรานที่กล้ามาสร้างความวุ่นวายไปง่าย ๆ อยู่แล้ว!
แต่ในขณะเดียวกันนี้!
หลินป๋อก็ปรากฏตัว!
เขามาพร้อมกับชายชราคนหนึ่งซึ่งมีอายุเกือบหกสิบปี
“เดี๋ยวก่อน!”
เขาตะโกนขึ้นและโบกมือหยุดพวกบอดี้การ์ดทันที
บรรดาบอดี้การ์ดทั้งหลายหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเจ้าของโรงแรมของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย!
ถูกต้อง! ชายชราข้าง ๆ หลินป๋อ คือเจ้าของโรงแรมสุดหรูแห่งนี้!
“ท่านประธาน! ชายหนุ่มคนนี้เข้ามาก่อกวนที่นี่ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่นก่อน พวกผมก็เลยกำลังจะไล่เขาออกไป”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดรายงานอย่างร้อนรน
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
บทที่ 324 งานประมูลใหญ่
ในไม่ช้าเรื่องนี้ก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง คนของแก๊งวาฬยักษ์ทั้งหมดก็รวมตัวกัน และเปลี่ยนชื่อเป็นแก๊งทะเลฉลาม
อีกด้านหนึ่ง…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทแต่เช้าและนั่งบนเก้าอี้ราคาแพงอันแสนสบายของตัวเองอีกครั้งด้วยสีหน้าเบิกบานสุดขีด
หลี่อิงไห่ถูกโค่น หวังเจวียตายแล้ว อู๋เส้าฮัวก็ตายเช่นกัน แม้แต่เผิงอิงอิงที่เคยสมรู้ร่วมคิดกับเขาก่อนหน้านี้ก็ต้องไปนอนในคุก แต่ตอนนี้เขากลับยังสามารถนั่งสบายอยู่ที่นี่ได้
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาฉลาดกว่าคนพวกนั้นหรอกเหรอ?
หลี่จิงเทียนคิดอย่างภาคภูมิใจ
“ฮึ คนเหล่านั้นมันก็แค่พวกโง่เง่า พวกมันคิดว่าพวกมันฉลาดมาก แต่ฉันต่างหากที่ฉลาดมากกว่าพวกมัน!”
ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่ามากกว่าเดิม
แต่แน่นอนว่าถึงแม้ในตอนนี้เขาจะยังละทิ้งนิสัยหลงตัวเองไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวอยู่เหนือกว่าพี่เขยของตัวเองอีกแล้ว เขาเข้าใจดีว่าจากทัศนคติของพี่เขย นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ตัวเองจะได้รับการให้อภัย หลังจากนี้หากเขาสร้างเรื่องอีก เขาอาจจะได้ไปนอนตัวเย็นอยู่ใต้ต้นไม้แถบชานเมืองแทน
ชั้นบนสุดของอาคารสำนักงาน
“วันนี้หลี่จิงเทียนมาที่บริษัทหรือเปล่า?”
หลังจากฟังรายงานตามปกติแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ถามด้วยความสนใจ
“เขามาครับท่านประธาน แต่หลังจากที่เขาเข้าไปในออฟฟิศของตัวเอง เขาก็ไม่ออกมาเลย”
ผู้จัดการหวังจับตาดูความเคลื่อนไหวของหลี่จิงเทียนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถตอบได้อย่างรวดเร็ว
“อืม ดีแล้วที่มันไม่ออกมาเดินเพ่นพ่าน ถึงแม้ว่าผมจะให้ตำแหน่งรองประธานกับเขา แต่เขาจะไม่มีสิทธิไม่มีเสียงใด ๆ ทั้งนั้นในบริษัท เอาไว้เดี๋ยวผมจะจัดการประชุมกับผู้บริหารทุกคนเพื่ออธิบายเรื่องนี้กับทุกคนให้รู้เอาไว้ด้วย”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและอธิบายแผนของเขาอย่างชัดเจน
ชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรมากกับการให้เงินเดือนหลี่จิงเทียนแบบเปล่า ๆ แต่สิ่งที่กังวลก็คือ เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมายุ่มย่ามกับกิจการในบริษัท
หลี่จิงเทียนนั้นค่อนข้างโง่ และเป็นพวกไร้สมอง คนแบบนี้ต่อให้ไม่คิดร้ายต่อบริษัท แต่หากเข้ามามีอำนาจตัดสินใจในบริษัทมากเกินไปมันก็รังแต่จะทำให้บริษัทวุ่นวาย
ผู้จัดการหวังไม่ได้ถามอะไรต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท้ายที่สุด นี่คือเรื่องในครอบครัวของเจ้านายของเขา ดังนั้นจึงไม่ควรออกความเห็นมากเกินไป
แต่ในขณะเดียวกันนี้ จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของอวี้ฮ่าวหรานก็ดังขึ้น
“คุณออกไปก่อน”
เมื่อเห็นมีสายเข้า อวี้ฮ่าวหรานโบกมือให้ผู้จัดการหวังออกไปและรับโทรศัพท์
“ฮ่า ๆๆ! น้องอวี้ ช่วงนี้นายเป็นไงบ้างสบายดีไหม? ไม่เห็นนายติดต่อมาบ้างเลย หรือว่าเดี๋ยวนี้นายไม่สนใจพวกวัตถุโบราณแล้ว?”
น้ำเสียงที่ร่าเริงของหลินป๋อดังมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง
“อืม ก่อนหน้านี้ผมยุ่งนิดหน่อย แต่วันนี้ผมว่างอยู่”
“ฮ่า ๆ ถ้างั้นก็เยี่ยมเลย! วันนี้ฉันจะไปงานประมูลระดับสูง ในงานมีโบราณวัตถุล้ำค่ามากมายที่จะถูกนำขึ้นประมูลแยกกัน และงานประมูลนี้ก็เชิญแขกไม่มาก อีกทั้งคนนอกไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม แต่ถ้านายว่างวันนี้ตอนเที่ยงนายมาหาฉันได้เลย!”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของอวี้ฮ่าวหรานเต้นรัวทันที
“โอเค บอกสถานที่มาได้เลย ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
เขาตกลงโดยไม่ลังเล
ถึงเวลาที่เขาควรจะเร่งเพิ่มระดับการบ่มเพาะ
การปรากฏตัวของผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานทำให้เขาตระหนักว่านับจากนี้เขาจะต้องเจอกับพวกผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งในโลกนี้แล้ว ซึ่งถ้าหากต้องการใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นต่อไป ชายหนุ่มก็จำเป็นต้องบ่มเพาะให้เร็วขึ้นเท่านั้น
“ตกลง! สถานที่จัดงานประมูลคือห้องจัดเลี้ยงที่ชั้นบนสุดของโรงแรมเคมปินสกี้ ตอนนี้ฉันเองก็อยู่ในระหว่างเดินทางไป เอาไว้เราเจอกันที่นั่นก็แล้วกันนะน้องอวี้!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าแล้วก็วางสาย
ช่วงก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ซื้อโบราณวัตถุมาพักใหญ่ ๆ แล้ว
หลังจากกลับจากการทริปไปเที่ยว มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ชายหนุ่มยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่น
จากนั้นเขาก็ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการจัดการเอกสารตอนเช้า และขับรถตรงไปยังโรงแรมเคมปินสกี้
หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบนาที อวี้ฮ่าวหรานก็มาถึงล็อบบี้ของโรงแรม และแจ้งชื่อของตัวเองกับพนักงานโรงแรม
ดูเหมือนว่าหลินป๋อจัดการทุกอย่างให้เขาหมดแล้ว พวกพนักงานโรงแรมจึงนำทางเขาตรงไปยังลิฟท์อย่างนอบน้อม
ระหว่างทางนั้นมีพวกบอดี้การ์ดชุดดำจำนวนมากยืนประจำจุดตามรายทางทุก ๆ สิบเมตร ที่เอวของบอดี้การ์ดเหล่านี้โปนเล็กน้อยซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าคนเหล่านี้ล้วนติดอาวุธกันทุกคน
เห็นได้ชัดว่าการประมูลครั้งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่
ในไม่ช้า ภายใต้การนำของพนักงาน เขาก็เข้าไปในห้องจัดเลี้ยงชั้นบนสุด
ห้องจัดเลี้ยงแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหลังของห้องเต็มไปด้วยอาหารและของขบเคี้ยวต่าง ๆ เหมือนงานเลี้ยงทั่วไป
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งมีโต๊ะที่ดูหรูหราวางอยู่บนเวที และที่ด้านล่างเวทีก็มีเก้าอี้ที่แต่ละตัวดูราคาแพงจำนวนมากวางเรียวแถวอยู่หลายสิบตัว เห็นได้ชัดว่าส่วนนี้ใช้สำหรับจัดงานประมูล
ในเวลานี้ห้องจัดเลี้ยงเต็มไปด้วยพวกผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ ในเมืองฮ่วยอันมากมาย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงของซูหว่านเอ๋อ
“ฉัน…ฉัน…ไปได้แล้วหรือยัง?”
น้ำเสียงของซูหว่านเอ๋อเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก ซึ่งมันทำให้อวี้ฮ่าวหรานอดไม่ได้ที่จะเดินไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
หลังจากเดินผ่านผู้คน
อวี้ฮ่าวหรานเห็นกลุ่มชายสามคนยืนล้อมรอบซูหว่านเอ๋ออยู่ตรงกลาง
“โธ่ จะรีบไปไหนกันล่ะหว่านเอ๋อ? รู้ไหมว่าผมชอบคุณมานานแล้ว ตอนนี้สัญญาการแต่งงานของคุณก็ถูกยกเลิก คุณแต่งงานกับผมได้ไหม? คุณก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ได้ด้อยกว่าหลี่จิงเทียนมากเท่าไหร่หรอก”
“หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกันนะ! ถ้าเป็นเรื่องเงิน ผมเองก็มีเงินเหมือนกับหลี่จิงเทียน!”
“อย่าไปฟังไอ้สองคนนี้ หว่านเอ๋อ ผมเองก็ชอบคุณเช่นกัน ถ้าคุณตกลงกับผม ผมจะให้พ่อผมไปคุยกับพ่อคุณทันทีวันนี้เลย!”
ในเวลาเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานได้ยินทุกคำพูดของชายทั้งสามคนจากประสาทการฟังอันเหนือมนุษย์
ซูหว่านเอ๋อดูสับสนในเวลานี้ และเนื่องจากเธอพูดไม่เก่ง จึงไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเหนื่อยใจ แม้กระทั่งหลังจากเหตุการณ์นั้น สาวน้อยคนนี้ก็ยังพูดกับคนอื่นไม่เก่งอยู่ดี
ถ้าเปลี่ยนเป็นเฉิงชิวอวี้ที่ยืนอยู่ตรงนั้น ป่านนี้ไอ้สามหนุ่มนั่นคงโดนตบไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้ชายหนุ่มก็รีบเดินออกไป ในฐานะที่เขาและเธอเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นตามปกติแล้วจึงไม่สามารถมองดูอีกฝ่ายถูกรังแกได้
“แต่… ฉันไม่ต้องการ…ฉันไม่ต้องการที่จะแต่งงาน…”
ซูหว่านเอ๋อเริ่มตื่นตระหนกและสับสนจากการถูกชายทั้งสามคุกคามที่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอไม่สามารถพูดโต้แย้งได้อย่างเหมาะสมเพราะความหัวอ่อนของเธอ
แน่นอนว่าสิ่งนี้ทำให้ชายทั้งสามได้ใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ ไม่เป็นเรา งั้นเรายังไม่ต้องแต่งงานกันก็ได้ พวกเรามาทดลองอยู่ด้วยกันก่อน แต่ฉันมั่นใจว่าเมื่อไหร่ที่ฉันทำให้เธอขึ้นสวร…”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮึ่ม! พวกแกไม่เห็นหรือไงว่าผู้หญิงกำลังไม่พอใจ?”
อวี้ฮ่าวหรานเดินมาหยุดที่ด้านหลังและมองดูชายทั้งสามคนอย่างดูถูก
ทั้งสามคนประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่พวกเขาก็หัวเราะทันทีเมื่อเห็นว่าผู้พูดเป็นแค่ชายที่สวมเสื้อผ้าธรรมดามาก
“ฮ่า ๆ ฉันก็นึกว่าเป็นใครใหญ่โตที่ไหนมาพูดจาอวดเบ่ง นี่คนจน ๆ อย่างแกเข้ามาในงานนี้ได้ไงเนี่ย? ไปเลย รีบไสหัวไปให้ไกล ๆ อย่ามารบกวนเวลาของฉันกับหว่านเอ๋อ ไม่งั้นฉันจะเรียกยามให้มาลากแกออกไป!”
ผู้พูดขณะนี้คือชายหนุ่มร่างอ้วนที่แต่งตัวดี แต่สีหน้าของเขาแสดงอาการดูถูกอย่างชัดเจน
“ฮ…ฮ่าวหราน!”
ซูหว่านเอ๋อไม่คิดเลยว่าเธอจะได้พบกับอวี้ฮ่าวหรานที่นี่ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ใบหน้าซีดเผือดของเธอจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด
ชายร่างอ้วนประหลาดใจกับอาการแสดงออกของซูหว่านเอ๋อ เขามองทั้งสองอย่างสับสน
“บัดซบ! นี่มันบ้าอะไรกัน? ซูหว่านเอ๋อ ฉันไม่คิดเลยนะว่าผู้หญิงที่อยู่ในสังคมชั้นเดียวกับเราจะลดตัวลงไปคบกับคนจน ๆ แบบนี้ด้วย!”
เขาอดไม่ได้ที่จะติเตียนด้วยความอิจฉาในใจ
บทที่ 321 ประจบประแจงจนผิดสังเกต
บทที่ 321 ประจบประแจงจนผิดสังเกต
อวี้ฮ่าวหรานถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นอาการประจบประแจงของหลี่จิงเทียน
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะทุบตีไอ้นายน้อยรุ่นที่สองของตระกูลหลี่ผู้นี้สักเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยเลยที่จะสำนึกผิด หรืออย่างมากที่สุดมันก็แค่แสดงสีหน้ากลัวเมื่อเจอเขาเท่านั้น
แต่วันนี้ไหงถึงมาทำหน้าประจบประแจงเอาใจเขาแบบนี้ได้?
“สมองของนายมีปัญหาหรือเปล่าวันนี้?”
อวี้ฮ่าวหรานหันศีรษะไปถามด้วยความสนใจ เขาเดาว่าหลี่จิงเทียนมีจุดประสงค์บางอย่างถึงปฏิบัติตัวเปลี่ยนไปขนาดนี้
“เปล่า…ไม่มีอะไร ผม…ผมแค่คิดว่าพี่เขยดู…ยอดเยี่ยมมากเลยก็เท่านั้นเอง!”
เมื่อถูกถามแบบจับผิด หลี่จิงเทียนก็ตอบกลับแบบติดอ่างเล็กน้อย
หลังจากผ่านเหตุการณ์มามากมาย สิ่งที่เขากลัวที่สุดในตอนนี้ก็คือพี่เขยของตัวเอง
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีอะไร! อย่ามาทำตัวให้พวกเราตายใจจะดีกว่า!”
หลี่หรงหรี่ตามองพี่ชายของเธออย่างสงสัย
“แค่ก ๆ…หรงหรง น้องนั่งลงก่อนสิ ดูสิ บนโต๊ะมีอาหารที่น้องชอบเยอะแยะเลย”
หลี่จิงเทียนรู้ตัวดีว่าการกระทำของเขาตอนนี้มันดูแปลกไปมาก ดังนั้นเมื่อโดนจับผิด สีหน้าของเขาจึงดูอับอายอย่างมากในทันที
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม พร้อมกับยกมือขึ้นปรามอีกฝ่ายทันที
“ก่อนที่นายจะทำอะไรต่อไป ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนว่าตระกูลอู๋เพิ่งถูกฉันจัดการไป และอู๋เส้าฮัวก็ตายไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่านายกำลังจะมีแผนอะไรต่อ นายอย่าทำให้ฉันโกรธจะดีกว่า!”
อวี้ฮ่าวหรานพยายามใช้บารมีสามส่วน และการคุกคามอีกสามส่วนเพื่อเตือนอีกฝ่าย
แม้ว่าน้องภรรยาของเขาคนนี้จะโง่เง่า และไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ชายหนุ่มมากนัก แต่ก็ควรขู่อีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
แน่นอนว่าเมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินประโยคนี้ เขาก็ตกใจในทันที
“อู๋…อู๋เส้าฮัวตายแล้วเหรอ?”
เขาจ้องมองอวี้ฮ่าวหรานอย่างไม่เชื่อ ไม่นึกเลยว่าตระกูลที่เก่าแก่อย่างตระกูลอู๋จะถูกทำลายลงไปด้วยน้ำมือของพี่เขยของเขาแบบนี้!
ใบหน้าของหลี่จิงเทียนขาวซีดอย่างฉับพลัน
“นายควรจะรู้ว่าถ้านายไม่ใช่คนของตระกูลหลี่ ป่านนี้นายคงจะตายไปแล้วเช่นกัน”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากพูดจบ ชายหนุ่มอยากให้อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้เอาไว้ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ระงับความคิดชั่วได้มากกว่าเดิม
เมื่อเห็นฉากนี้ หลี่ชงซานจึงอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก
“เอาน่า ๆ พวกเราครอบครัวเดียวกันทังนั้น อย่าทะเลาะกันเลย แม้ว่าฉันจะเกลียดลูกชายอกตัญญูคนนี้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็เป็นลูกชายของฉัน และอันที่จริงการที่เขาเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะฉันด้วยที่ดูแลเขาได้ไม่ดี”
หลี่ชงซานพยายามแสดงสีหน้ายิ้มกระอักกระอ่วนกลบเกลื่อนฉาก
“พ่อ! ทำไมพ่อถึงปกป้องเขาตลอดเลย! พ่อจำไม่ได้หรือไงว่าเขาเคยทำอะไรกับพ่อบ้าง!”
“พิษนั่น ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เขย…”
หลี่หรงรู้สึกไม่มีความสุขเลยเมื่อเห็นพ่อของเธอยังคงปกป้องพี่ชายของเธอเองอย่างหน้ามืดตามัว โดยเฉพาะเมื่อเธอนึกถึงวีรกรรมที่ผ่านมาของอีกฝ่ายจนเธออดไม่ได้ที่จะพูดอย่างหุนหันพลันแล่น
อวี้ฮ่าวหรานโบกมือหยุดหญิงสาวทันทีไม่ให้พูดต่อ
“มานั่งทานอาหารเย็นกันเถอะ หลี่จิงเทียน นายก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้วมาเริ่มกินอาหารกันดีกว่า”
หลี่หรงพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และนั่งลงโดยไม่พูดอะไรอีก
หลี่จิงเทียนเต็มไปด้วยความกลัวและกลับไปนั่งที่ที่นั่งของเขา
หลี่ชงซานที่เห็นฉากนี้ก็ค่อนข้างเบาใจลง
ถึงแม้ว่าลูก ๆ ของเขาจะไม่ลงรอยกันสักเท่าไหร่ แต่ยังโชคดีที่ลูกเขยของเขามีอิทธิพลมากจนสามารถระงับความขัดแย้งได้อย่างง่ายดาย ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน
“ใช่ ๆ ทุกคนกินข้าวกันก่อนเถอะ วันนี้ฉันให้พ่อครัวเตรียมอาหารดี ๆ เอาไว้เยอะมากเลย”
หลี่ชงซานเอ่ยขึ้นเปลี่ยนเรื่องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หลานสาวของปู่ก็หิวแล้วเหมือนกันใช่ไหม? ดูสิ ปู่ให้พ่อครัวทำเสี่ยวหลงเปาเอาไว้ให้หลานโดยเฉพาะเลย”
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว หลี่ชงซานก็เริ่มคีบอาหารใส่จานตรงหน้าถวนถวน
ด้วยเหตุผลบางอย่างเด็กน้อยดูเหมือนจะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเมื่อมาที่บ้านหลักตระกูลหลี่
“ขอบคุณ…ขอบคุณค่ะ…คุณ…”
ถวนถวนลังเลอยู่นานและไม่รู้ว่าจะเรียกหลี่ชงซานว่าอะไร
เมื่อก่อนตอนที่พ่อของเธอไม่อยู่ เธอแทบไม่มีโอกาสได้มาบ้านหลักตระกูลหลี่เลย ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงการทานอาหารที่โต๊ะแบบนี้
เมื่อเห็นลูกสาวของตัวเองแสดงสีหน้าลังเล อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ถวนถวน ลูกเรียกคุณตาสิลูก ไม่ต้องกลัว”
“ค…คุณตา”
เด็กน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน จากนั้นเธอก็พูดสองคำนี้ออกมาด้วยสีหน้าแปลก ๆ
“ฮ่า ๆ ดีมาก! หลานรักของตา น่ารักจริง ๆ”
หลี่ชงซานหลังจากได้ยินคำพูดของหลานตัวเอง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงเขาชอบหลานสาวของตัวเองมาตั้งนานแล้ว แต่ทั้งตระกูลหลี่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของอวี้ฮ่าวหรานและหลี่เม่ย ดังนั้นในฐานะหัวหน้าตระกูล เขาจึงไม่สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างโจ่งแจ้ง
โชคดีที่ลูกเขยของเขามีความสามารถ จนตอนนี้เขาไม่ต้องกังวลกับอะไรอีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลี่ชงซานก็ยิ่งชอบใจลูกเขยของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ลูกสาวของฉันนี่ช่างตาแหลมจริง ๆ!
นอกจากนี้เขายังได้รู้ข่าวการล่มสลายของตระกูลอู๋มาบ้างแล้ว สมาชิกในตระกูลอู๋ที่เหลือกำลังต่อสู้เพื่อแก่งแย่งทรัพย์สินของตระกูลอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้อิทธิพลของตระกูลอู๋บั่นทอนลงไปอย่างมาก หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป ตระกูลอู๋จะไม่มีทางเทียบได้กับตระกูลหลี่ได้อีก
เรื่องนี้ทำให้ชายชราถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ต้องรู้ว่าที่ผ่านมาความแข็งแกร่งของตระกูลอู๋นั้นเหนือกว่าตระกูลหลี่มาโดยตลอด และอู๋หมิ่นก็ต้องการฮุบกิจการของตระกูลหลี่เรื่อยมา ซึ่งไม่มีใครเลยที่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้
แต่ในตอนนี้สถานการณ์ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ดี ๆ!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ชงซานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเสียงดัง
หลี่หรงรู้สึกสับสนเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ พ่อของเธอถึงมีความสุขนัก
ไม่นานหลังจากทานอาหารเย็นไปครึ่งทาง หลี่ชงซานก็ค่อย ๆ เอ่ยถึงประเด็นที่เขาต้องการจะพูดคุยในวันนี้
“ฮ่าวหราน ที่พ่อเรียกลูกมาเจอพ่อในวันนี้ เพราะพ่อมีเรื่องบางอย่างที่ยังวางใจไม่ได้อยากจะคุยกับลูก”
“อืม…บอกมา”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรตั้งแต่แรก เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะพูด
เขารู้ไส้รู้พุงของชายชราคนนี้ชัดเจนอย่างมาก
“อะแฮ่ม จริง ๆ แล้วมันเกี่ยวกับหลี่จิงเทียน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันแย่ลงเรื่อย ๆ และลูกชายไม่เอาถ่านคนนี้ของฉันก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหลี่แน่นอน ดังนั้น…”
หลี่ชงซานกระแอมเบา ๆ แต่เมื่อพูดไปได้ครึ่งทางเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจจนพูดต่อไม่ได้
เขารู้สึกหนักใจกับวีรกรรมที่ผ่านมาของหลี่จิงเทียนที่ทำเอาไว้กับอวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมันทำให้คำขอของตัวเองดูมากเกินไป
บทที่ 323 รวมแก๊ง
บทที่ 323 รวมแก๊ง
“มาเริ่มการประชุมกันเถอะ!”
หลัวจากเดินเข้ามาในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ประกาศขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เมื่อบรรดาหัวหน้าสาขามองเห็นสภาพที่น่าสังเวชของหัวหน้าตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในทันที
“หัวหน้า…เกิดบ้าอะไรขึ้น ทำไมหัวหน้าถึงเจ็บแบบนี้?”
“ตราบใดที่หัวหน้าบอกมาว่าใครเป็นคนทำให้หัวหน้าอยู่ในสภาพแบบนี้ พวกเราจะรีบไปเด็ดหัวคนผู้นั้นในทันที!”
“…”
เมื่อทุกคนเห็นสภาพเช่นนี้ของหลิ่วอวี้จิง ทุกคนก็ลืมเรื่องที่เพิ่งบ่นไป และรีบเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
หลิ่วอวี้จิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แววตาของเขาดูหวั่นไหว
“ทุกคน…ฉันซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่พวกนายเป็นห่วงฉันแบบนี้ แต่ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ฉันได้รับบาดเจ็บโดยอวี้ฮ่าวหราน ซึ่งตอนนี้มันร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างเต็มตัวแล้ว พวกนายไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้หรอก”
เขาแสร้งทำเป็นสิ้นหวัง
ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดนี้ ห้องประชุมทั้งห้องก็เงียบลง พวกเขาต่างรู้สึกหนักใจกับการล้างแค้น
ในขณะนี้ แก๊งฉลามคลั่งไม่ยอมส่งคนมาช่วยเหลือพวกเขา ภายใต้การรุกหนักของแก๊งพยัคฆ์เวหา แก๊งวาฬยักษ์จึงแทบจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ นับประสาอะไรกับการแก้แค้น?
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หัวหน้าสาขาคนหนึ่งก็อดไม่ได้!
“แต่! เราจะยอมง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้! แก๊งวาฬยักษ์ของเราประสบความสูญเสียอย่างหนักไปแล้ว! อย่างน้อย ๆ เราต้องแก้แค้นให้ได้!”
น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและหงุดหงิดอย่างยิ่ง
คนอื่น ๆ ต่างก็ครุ่นคิดถึงปัญหาซึ่งไม่นานนักพวกเขาก็จำได้ถึงคำถามที่คาใจพวกเขาอยู่ทุกวันนี้
“หัวหน้า! ผมอยากจะถามว่า ทำไมแก๊งฉลามคลั่งที่บอกว่าเป็นพันธมิตรกับเราถึงไม่ส่งคนมาช่วยพวกเราเลย?”
“ไอ้เฒ่ากงซุนซากำลังทำอะไรอยู่? มันบอกว่าเป็นพันธมิตรกับเรา แต่ทำไมการกระทำของมันเหมือนกับพยายามจะทำให้เราอ่อนแอลงเพื่อที่มันจะได้กลืนกินพวกเราซะเองแบบนี้?”
ทุกคนวิจารณ์กันอย่างดุเดือด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลิ่วอวี้จิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับ ๆ เขากำลังจะทำลายกองกำลังของเขาด้วยมือของเขาเอง
“พวกนายเดาผิดแล้ว เมื่อครู่นี้ฉันเพิ่งรู้ข่าวของกงซุนซา เขาเพิ่งไปหาอวี้ฮ่าวหรานคนเดียว แต่กลับได้รับบาดเจ็บกลับมาเช่นกัน ตอนนี้เขาจึงไม่ไว้ใจพันธมิตรที่เปราะบางอย่างเรา และไม่เต็มใจที่จะขัดแย้งกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอีกต่อไป”
บรรดาหัวหน้าสาขาทั้งหลายต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ หากเป็นกรณีนี้ แสดงว่าแก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแก๊งฉลามคลั่งแน่นอน!
หากเผชิญหน้ากับแก๊งพยัคฆ์เวหาเพียงลำพังพวกเขาจะไม่สามารถอยู่รอดได้นานแน่ พวกเขาเสร็จแน่!
แม้ว่าโจวเฟยหู่จะไม่แข็งแกร่งนัก แต่ในแก๊งพยัคฆ์เวหามีพวกที่มีฝีมือเข้าขั้นปรมาจารย์มากมาย ซึ่งมันทำให้เวลาเปิดศึกใหญ่ใส่กัน แก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจึงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
“แล้ว…หัวหน้า เราควรทำยังไงดี?
หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากแก๊งฉลามคลั่ง พวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก๊งพยัคฆ์เวหาเลย!”
“ใช่หัวหน้า! เราต้องคิดหาวิธี ไม่งั้นพวกเราจบเห่แน่!”
“…”
ผู้คนในห้องต่างตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหาอย่างรวดเร็ว
ถ้าแก๊งฉลามคลั่งไม่ช่วย แก๊งวาฬยักษ์ก็จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง!
อันที่จริง แก๊งวาฬยักษ์ไม่ควรจะเสียเปรียบถึงขนาดนี้ แต่พวกเขาตัดสินใจพลาดในตอนแรกที่เพิกเฉยต่อพวกแก๊งเล็ก ๆ ทั้งหลาย จนในเวลานี้ พวกแก๊งเล็ก ๆ เหล่านั้นร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมันทำให้สถานการณ์ของแก๊งวาฬยักษ์ย่ำแย่ลงไปอีก
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหวั่นวิตก หลิ่วอวี้จิงก็เอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ฉัน หลิ่วอวี้จิงไม่ได้วางแผนรับมือให้ดี ฉันขอโทษทุกคนจากใจจริง!”
เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยซึ่งมันยิ่งกินใจผู้คนในห้องประชุม
“แก๊งพยัคฆ์เวหาได้สังหารพี่น้องของเราไปมากมาย และอวี้ฮ่าวหรานก็จัดการพี่น้องของเราไปเป็นร้อยคนแล้ว เดิมทีฉันคิดว่าแก๊งฉลามคลั่งจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเราเมื่อเห็นว่าเราลำบาก แต่ฉันไม่คิดเลย…ฉันไม่คิดเลยว่า…สิ่งต่าง ๆ จะกลายเป็นแบบนี้”
ในประโยคเดียวนี้เขาโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปยังอวี้ฮ่าวหรานและแก๊งพยัคฆ์เวหาเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดจากสิ่งที่ตัวเองทำไว้ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่ามันจะยิ่งทำให้นับจากนี้เขาจะหว่านล้อมคนของเขาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย
“หัวหน้า! อย่าโทษตัวเองแบบนี้! ที่หัวหน้าทำลงไปทั้งหมดก็เพราะคิดถึงอนาคตของแก๊งเรา และอีกฝ่ายก็หยิ่งผยองขนาดนั้น แม้ว่าเราจะไม่เริ่มก่อน ไม่ช้าก็เร็วพวกมันคงเล่นงานเราเช่นกัน”
“ใช่ เราทุกคนสนับสนุนหัวหน้า!”
“…”
นี่คือสถานการณ์ที่หวังเอาไว้
หากหลิ่วอวี้จิงต้องการรวมแก๊งของตัวเองเข้ากับแก๊งฉลามคลั่งอย่างราบรื่น จะต้องทำให้บรรดาหัวหน้าสาขาของแก๊งรู้สึกสิ้นหวัง ไม่เช่นนั้นพวกเดนตายเหล่านี้ไม่มีทางละทิ้งศักดิ์ศรีไปอยู่ใต้ร่มเงาของแก๊งอื่นแน่นอน
“อันที่จริงฉันมีแผนบางอย่างที่ไม่เพียงแต่เราจะแก้แค้นได้เท่านั้น แต่มันยังจะทำให้เรามีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย!”
หลังจากที่บรรยากาศคุกกรุ่นดีพอแล้ว ในที่สุดหลิ่วอวี้จิงก็พูดเข้าประเด็น
“แผนอะไรงั้นเหรอหัวหน้า?”
“หัวหน้า…พูดมาเลย!”
เมื่อหัวหน้าสาขาเหล่านี้ได้ยินว่าอาจมีแผนที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบ พวกเขาก็แทบรอไม่ไหวในทันที ตราบใดที่สามารถแก้แค้นได้ พวกเขาก็ยินดียอมทำตามแผนทุกอย่าง
เมื่อเห็นแววตาที่คาดหวังและคล้อยตามของผู้คนในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะพูด
“เหตุผลที่แก๊งฉลามคลั่งไม่เต็มใจที่จะดำเนินการร่วมมือกับเราต่อ เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการที่จะปะทะกับศัตรูที่ทรงพลังโดยไม่มีเหตุผล”
“แต่เมื่อวานฉันได้คุยกับกงซุนซาแล้ว และเขาบอกว่าถ้าเรายินยอมเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่ง เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยทำลายแก๊งพยัคฆ์เวหา และอวี้ฮ่าวหราน!”
ผู้คนในห้องตกอยู่ในความเงียบงันทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้!
หากเป็นก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่มีสงคราม หากหลิ่วอวี้จิงพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนในห้องคงโต้แย้งอย่างรุนแรงจนยอมตายดีกว่าจะยอมไปเข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง
แต่สถานการณ์ตอนนี้มันต่างออกไป แก๊งวาฬยักษ์ได้มาถึงจุดที่เรียกได้ว่าสิ้นหวังสุด ๆ และการเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งมันอาจถือได้ว่าเป็นโอกาสเดียวในการอยู่รอด
“ผมไม่เห็นด้วย! ผมเข้าร่วมแก๊งวาฬยักษ์เพื่อสนับสนุนหัวหน้าให้เป็นชายที่ปกครองโลกใต้ดินทั้งหมด ดังนั้นหากผมจะต้องเปลี่ยนมาเป็นก้มหัวให้กับตาแก่นั่น ผมไม่อาจยอมรับได้!”
“ฉันด้วย! ฉันยอมสู้จนตัวตายดีกว่าปล่อยให้แก๊งวาฬยักษ์ของเราถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนกิน!”
ในขณะที่คนอื่น ๆ เงียบ หัวหน้าสาขาสองคนยืนขึ้นแย้งในทันใด
แต่ในขณะเดียวกัน!
จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากนอกประตู!
“ฮ่า ๆ! ดี! ช่างขัดแย้งอะไรกันเช่นนี้!”
ทันทีที่ประตูถูกผลักเปิดออก ทุกคนก็เห็นว่าเจ้าของเสียงหัวเราะคือ กงซุนซา หัวหน้าแก๊งฉลามคลั่ง!
ทันทีที่เดินเข้ามาด้านในห้อง กงซุนซาก็โบกมือซัดพลังวิญญาณใส่หนึ่งในหัวหน้าสาขาสองคนที่ยืนขึ้นโต้แย้งในทันที!
บึ้ม!
เสียงร่างของหัวหน้าสาขาที่โดนซัดพลังเข้าใส่จนกระเด็นลอยไปกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนสะดุ้ง!
แค่โบกมือครั้งเดียวก็ส่งร่างปรมาจารย์พลังภายในกระเด็นไปเจ็ดแปดเมตร!
ความแข็งแกร่งของชายชราคนนี้มากมายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยดสยองในใจ
หลังจากจัดการไปคนหนึ่งแล้ว กงซุนซาจึงเบนสายตามองไปที่อีกคนที่ยังยืนอยู่และเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“ว่าไง? ตอนนี้นายยังไม่เห็นด้วยอยู่อีกไหม?”
เขาถามพลางลูบเคราของตัวเอง
“ผ…ผมเห็นด้วยแล้ว ๆ!”
หัวหน้าสาขามองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครยืนขึ้นกับเขาเลย เขาจึงทำได้เพียงนั่งลงอย่างสิ้นหวัง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ กงซุนซาก็หัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ดี! เมื่อไม่มีใครแย้งอะไรแล้วงั้นฉันขอประกาศว่าแก๊งวาฬยักษ์จะเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งของฉันนับจากวันนี้เป็นต้นไป!”
ในที่สุดแผนการที่ตัวเองวางไว้ก็สำเร็จ ซึ่งมันทำให้กงซุนซาอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าหยิ่งผยอง
“พวกนายทุกคนในห้องไม่ต้องกังวล แม้ว่าชื่อของแก๊งวาฬยักษ์จะหายไป แต่ฉันจะไม่ปฏิบัติต่อพวกนายอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน หัวหน้าหลิ่ว นับจากนี้ฉันขอแต่งตั้งให้นายเป็นรองหัวหน้าแก๊งฉลามคลั่งของฉัน!”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะดูเป็นการออกคำสั่งซึ่งมันฟังไม่รื่นหูเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าขัดขืนแม้แต่น้อย
บทที่ 322 คืนตำแหน่ง
บทที่ 322 คืนตำแหน่ง
“พูดมาเลย ผมรอฟังอยู่”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นเพื่อผลักดันให้อีกฝ่ายพูดต่อไป พลางป้อนอาหารให้ลูกสาวของตัวเองราวกับว่าไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
หลี่ชงซานพยักหน้าหลังจากได้ยิน
“อันที่จริง ฉันมีความหวังว่าก่อนที่ฉันจะตาย ฉันอยากจะเห็นลูก ๆ ของฉันมีชีวิตที่สุขสบายและมีงานที่มั่นคง ไม่งั้นฉันคงนอนตายตาไม่หลับ”
ในที่สุดเขาก็เผยจุดประสงค์ของการเชิญอวี้ฮ่าวหรานมาในวันนี้
แต่ในทันทีที่หลี่หรงได้ยินคำพูดนี้ เธอกผ้รู้สึกไม่มีความสุขทันที และโต้แย้งอย่างรวดเร็ว
“พ่อ! พ่ออย่าพูดอะไรแบบนี้ได้ไหม พ่อจะต้องอยู่อีกนาน! ส่วนเรื่องของพี่รอง พ่อก็รู้ว่าพี่เขยเคยให้โอกาสเขามาก่อน ไม่ใช่สิ เคยให้โอกาสเขาหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เคยสำนึกเลยสักครั้ง!”
เธอรู้สึกโกรธอย่างชัดเจนกับประโยคตอนท้าย
เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพี่รองของเธอเป็นเหมือนสุนัขที่ชอบกินอึจนเลิกไม่ได้ หากเขามีอำนาจขึ้นมาสักหน่อย ก็คงไม่วายที่จะสร้างปัญหาขึ้นมาอีกเหมือนเดิม
“พ่อรู้ เรื่องนั้นพ่อรู้! แต่หรงเอ๋อร์ พ่อแค่อยากจะมั่นใจว่าชีวิตของลูก ๆ จะมั่นคงก่อนที่พ่อจะจากไป และครั้งนี้พ่อไม่ได้ขอให้ฮ่าวหรานมอบอำนาจอะไรให้เทียนเอ๋อร์ พ่อขอแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ให้เทียนเอ๋อร์ก็แค่นั้น”
หลี่ชงซานแสดงสีหน้ากังวลก่อนจะถอนหายใจให้ลูกสาวของเขา “หรงเอ๋อร์…ที่พี่ชายของลูกเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะพ่อเอง…ดังนั้นพ่อแค่อยากให้พี่ชายของลูกมีเงินเดือนพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ก็แค่นั้น พ่อไม่ได้ต้องการขออะไรไปมากกว่านั้น”
“เงินเดือนพอเลี้ยงตัวเอง?”
หลี่หรงรู้สึกประหลาดใจกับคำขอนี้ เพราะมันต่ำเกินไป
เธอจำได้ว่าพ่อของเธอมีความคาดหวังสูงมากกับพี่ชายไม่เอาไหนคนนี้
แต่ถึงอย่างนั้น พ่อของเธอก็ไม่ควรมาขอเธอหรือพี่เขยของเธอแบบนี้!
“พ่อคะ! พี่เขยของหนูจะยอมรับกับสิ่งที่พี่รองของหนูทำกับเขาก่อนหน้านี้ได้ยังไง? ไม่สิ แม้แต่พวกผู้บริหารคนอื่นของบริษัทก็คงไม่ยอมรับเช่นกัน”
“พ่อรู้ พ่อถึงได้ขอแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ให้กับเทียนเอ๋อร์เท่านั้นไง เอาแค่ตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจและใคร ๆ ก็สามารถทำได้ก็พอ”
หลี่ชงซานรู้ว่าลูกชายของเขาไม่มีความสามารถ แถมยังเชื่อถือไม่ได้ ในเวลานี้เขารู้สึกอับอายจริง ๆ แต่ก็จำเป็นต้องพูดขอเพื่อให้ลูกชายของเขาได้มีงานที่มั่นคง
“เทียนเอ๋อร์ยังบอกกับพ่อด้วยว่าหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่ลึกซึ้งเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ไม่มีทางกล้าสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกอีกต่อไป”
หลี่หรงเงียบไปเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของพ่อเธอ เธอไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานป้อนอาหารลูกสาวของเขาเองเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า
“ก็ได้ผมตกลง ต่อจากนี้ผมจะให้หลี่จิงเทียนดำรงตำแหน่งรองประธานของบริษัทตามเดิมที่เขาเคยเป็นตอนอยู่ในบริษัทชงซาน แต่เขาจะไม่มีอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้นในเครือฮ่าวหราน และตราบใดที่เขาไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อบริษัท ตำแหน่งนี้จะเป็นของเขาเสมอ”
ทันทีที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เขาก็กล่าวถึงการตัดสินใจของตัวเอง
การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้หลี่ชงซานตกตะลึง
“น…นี่…ฮ่าวหราน ลูกไม่ต้องให้ตำแหน่งที่ดีขนาดนี้ก็ได้! ก่อนหน้านี้จิงเทียนสร้างเรื่องเอาไว้มากมาย ดังนั้นลูกไม่จำเป็นต้องให้ตำแหน่งที่สูงขนาดนี้หรอก!”
เขาไม่คิดเลยว่าลูกเขยของเขาจะใจกว้างขนาดนี้
“ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจแล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่หลี่จิงเทียน และเอ่ยยืนยันอย่างสบาย ๆ
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาใจกว้างและสงสารอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของหลี่เม่ยและหลี่หรง
“หลี่จิงเทียน นายควรขอบคุณโชคชะตาของตัวเองสักล้านครั้งที่ได้เกิดมาในตระกูลหลี่”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นพลางพ่นลมหายใจ
หากอีกฝ่ายไม่ใช่น้องชายของหลี่เม่ย หรือไม่ใช่ลูกของหลี่ชงซานหรือพี่ชายของหลี่หรง ป่านนี้ร่างของเขาคงเน่าอยู่ใต้ดินในสุสานไปนานแล้ว
คงไม่มีทางที่จะได้นั่งอยู่ที่นี่ พร้อมกับได้รับตำแหน่งรองประธานอย่างแน่นอน
“ค…ครับ พี่เขย! พี่พูดถูก! ผมโชคดีจริง ๆ ครอบครัวของผมดีที่สุด พี่เขยก็ดีที่สุดเหมือนกัน!”
เมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินคำยืนยันนี้ เขาก็แทบจะกระโดดจากความสุขที่มันปะทุขึ้นในใจ ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวเองจะรู้สึกดีมากที่ได้กลับมาอยู่บ้านและไม่ต้องไปนอนอยู่ในคุก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาที่เคยเป็นรองประธานบริษัทชงซานอันหล่อเหลาแถมมีเงินเดือนสูงปรี๊ด
ในตอนนี้ เงินที่พ่อของเขาให้ใช้จ่ายในแต่ละวันมันไม่พอให้เขาไปเที่ยวในไนท์คลับได้ด้วยซ้ำ…
คนธรรมดาทั่วไปยังได้ไปเที่ยวบ้าง แต่นี่เขาเป็นถึงลูกชายของผู้นำตระกูลหลี่ แต่กลับไม่สามารถออกไปเที่ยวได้เลยเพราะไม่มีเงิน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดสุด ๆ สำหรับเขา
“โอเค ตราบใดที่นายไม่สร้างปัญหาอะไรอีก เมื่อกลับไป ฉันจะจ่ายเงินเดือนให้นาย ซึ่งนายก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลตามปกติของนายได้อย่างไร้กังวล”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยกับคำประจบของหลี่จิงเทียน และรู้สึกว่าเมื่อก่อนอีกฝ่ายยังไม่น่ารำคาญเท่านี้
อย่างน้อยถ้าเป็นเมื่อก่อน อวี้ฮ่าวหรานก็สามารถอัดอีกฝ่ายได้หากรู้สึกรำคาญ แต่ตอนนี้พออีกฝ่ายประจบประแจงชายหนุ่มแบบนี้ เขาก็ไม่สามารถอัดอีกฝ่ายได้อีกต่อไปไม่ว่าจะรู้สึกรำคาญแค่ไหนก็ตาม
หลังอาหาร หลี่จิงเทียนแทบรอไม่ไหวที่จะตามอวี้ฮ่าวหรานกลับไปที่เครือฮ่าวหราน
บางคนที่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังปรากฏตัวในบริษัทของพวกเขาได้?
อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อสายตาของคนอื่น ๆ ในบริษัท และหลังจากพาถวนถวนไปที่สวนสนุกของบริษัท เขาก็พาหลี่จิงเทียนกลับไปที่ออฟฟิศเดิมของหลี่จิงเทียน
“ฉันยังไม่ได้สั่งคนย้ายของ ๆ นายออกไป ดังนั้นนายก็ใช้ห้องนี้ต่อไปตามเดิมก็แล้วกัน”
หลี่จิงเทียนกวาดสายตามองไปทั่วห้องและตาลุกวาวทันที เขารีบวิ่งไปลูบ ๆ คลำ ๆ ข้าวของตัวเองและพูดขึ้นด้วยสีหน้าดีใจสุด ๆ
“พี่เขย…พี่เขย พี่ใจดีกับผมมากจริง ๆ! นับจากนี้ผมขอสาบานว่าจะไม่ทำอะไรให้พี่ผิดหวังอย่างแน่นอน!”
หลี่จิงเทียนไม่นึกเลยว่านอกจากที่จะได้รับตำแหน่งรองประธานแล้ว ตัวเองยังได้ห้องกลับคืนมาอีกด้วย ทั้งหมดนี้มันเกินความคาดหมายของตัวเองไปไกลลิบ เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนี้และหันหลังเดินจากไป แต่เมื่อเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ฉันหวังว่านับจากนี้นายจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ฉันโกรธขึ้นมาอีก ไม่อย่างนั้นต่อให้นายจะเป็นน้องของหลี่เม่ย ฉันก็คงไม่สามารถปล่อยนายไปได้อีกแล้ว!”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็จากไปทันที เหลือเพียงหลี่จิงเทียนที่ยืนเงียบในห้อง…
เขากลัวจริง ๆ การเสียชีวิตของหวังเจวีย ทำให้หลี่จิงเทียนกลัวมากพอแล้วเมื่อเห็นพี่เขยคนนี้ แถมด้วยข่าวการล่มสลายของตระกูลอู๋ มันทำให้เขาไม่กล้าต่อต้านอีกต่อไป
ท้ายที่สุด เขาได้รู้แล้วว่าพี่เขยของตัวเองเป็นคนที่โหดเหี้ยมและสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
…
ในเวลาเดียวกัน หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การต่อสู้ระหว่างแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งพยัคฆ์เวหา
แก๊งวาฬยักษ์ได้รับความเสียหายมากกว่าอย่างชัดเจน
หัวหน้าสาขาของแก๊งบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย และสมาชิกระดับทั่วไปของแก๊งก็ตายไปถึงครึ่งหนึ่งแล้วด้วย และสิ่งที่น่าอึดอัดใจมากที่สุดก็คือ หลิ่วอวี้จิงไม่เคยเคลื่อนไหวเลยจวบจนทุกวันนี้ จนสมาชิกของแก๊งต้องอ้างว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถต่อสู้ไหวอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในบ่ายวันนี้ หลิ่วอวี้จิงได้เรียกประชุมฉุกเฉิน!
บ่ายสามโมง สมาชิกระดับเสาหลักของแก๊งส่วนใหญ่ก็มาถึงห้องประชุม
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าแก๊งที่เป็นผู้เรียกประชุมกลับยังไม่ปรากฏตัว
“หัวหน้าของเราเป็นอะไรกันแน่? ทำไมเขาถึงไม่ออกมาให้พวกเราเห็นเลย นี่มันก็หลายวันแล้วที่พวกเราเสียเปรียบ!”
“บัดซบ! ไอ้พวกแก๊งฉลามคลั่งก็ไม่โผล่มาช่วยพวกเราเลยทั้ง ๆ ที่พวกมันเพิ่งประกาศเป็นพันธมิตรกับเรา! นี่พวกมันจงใจให้เรารับความเสียหายอยู่ฝ่ายเดียวใช่ไหม!?”
“…”
บรรยากาศในห้องประชุมไม่ค่อยดีนัก แก๊งวาฬยักษ์ได้รับความสูญเสียอย่างหนักในทุกวันนี้ ดังนั้น ณ เวลานี้ สีหน้าของหัวหน้าสาขาทุกคนที่มาในวันนี้จึงเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
พวกเขาอยากรู้ว่าหัวหน้าแก๊งของพวกเขากำลังทำอะไรอยู่!
ในขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียด หลิ่วอวี้จิงก็เดินเข้ามาด้วยการก้าวที่ไม่มั่นคงนัก ใบหน้าของเขาซีดมากราวกับว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมา
บทที่ 317 หมัดเดียวทำลายค่ายกล
บทที่ 317 หมัดเดียวทำลายค่ายกล
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมชายวัยกลางคนร่างผอมบางที่สวมเสื้อหลุดยุคคนนี้จะมีความมั่นใจอย่างสุดกู่ ที่แท้ชายผู้นี้คือผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐาน!
ตั้งแต่ที่เขากลับมาโลกมนุษย์ นี่เพิ่งเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานคนที่สองที่เขาเจอ แน่นอนว่าคนแรกก็คือ คงเหอ สิ่งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้บ่มเพาะระดับนี้หายากมาก!
ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายจะมีความมั่นใจขนาดนี้
อวี้ฮ่าวหรานคาดไม่ถึงเช่นกันว่าตระกูลอู๋จะมีเส้นสายพอที่จะหาผู้บ่มเพาะระดับนี้มาเล่นงานเขาได้!
ดูเหมือนว่าต่อให้ชายหนุ่มจะไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น แต่เมื่อความแข็งแกร่งของเขายิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ โชคชะตาก็จะร้อยเรียงให้เขาได้พานพบกับผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งมากขึ้นไปด้วย!
ชายวัยกลางคนคืออู๋ลั่น ที่ถูกเชิญมาโดยตระกูลอู๋ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความดูถูกมากกว่าเดิม
“น่าสงสารจริง ๆ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าตอนนี้เจ้ากำลังเผชิญกับตัวตนแบบไหน? เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าด้วยความแข็งแกร่งแค่นั้นของเจ้ามันเพียงพอแล้วที่จะสามารถอวดดีได้อย่างไม่เกรงกลัวใครในโลกใบนี้ได้?”
“น่าขำ! น่าขำจริง ๆ!”
ทันทีที่พูดจบ อู๋ลั่นก็ระเบิดพลังวิญญาณออกจากร่างจนเป็นรัศมีแสงตระการตาในทันที!
“เดี๋ยวข้าจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ากับข้า เราต่างชั้นกันแค่ไหน!”
อู๋ลั่นเดินช้า ๆ ไปทางอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าดูแคลนสุดขีด ในสายตาของเขา ปรมาจารย์พลังภายในก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทารกที่แค่บีบก็ตายคลายมือก็รอด
ในทางกลับกัน ในเวลานี้ สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่เขาหันไปมองลูกสาวของเขาในรถแทน
“ไม่ต้องกลัวนะถวนถวน เดี๋ยววันนี้พ่อจะอัดคนเลวคนนี้ให้ลูกดู!”
“เย้! พ่อจัดการคนเลวเลย! หนูอยากดู!”
เด็กน้อยไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวเลยเช่นกัน กลับกันเธอก็ปรบมือด้วยความตื่นเต้นอีกต่างหาก
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกสาวตัวเองเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกโล่งใจในทันที
แต่เมื่ออู๋ลั่นเห็นภาพนี้ แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเดือดดาลอย่างรวดเร็ว!
ไอ้สองพ่อลูกคู่นี้ดูถูกเขา!
“มนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเจ้ากล้าดียังไงถึงดูถูกข้าเช่นนี้! รนหาที่ตาย!!”
อู๋ลั่นโคจรพลังวิญญาณของตัวเองอีกครั้งอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม แต่ในขณะที่เขากำลังจะพุ่งเข้าใส่ อวี้ฮ่าวหรานกลับหันกลับมาก่อนและตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยพลังวิญญาณเข้มข้น!
“มดแมลงอย่างเจ้า กล้าดียังไงมารบกวนความสุขสงบของข้าเทพผู้นี้!”
หากเป็นคนธรรมดาคงมองว่าคำพูดของอวี้ฮ่าวหรานเป็นแค่คำพูดที่ชวนหัวเราะ แต่ในทางกลับกัน สำหรับอู๋ลั่นนั้นเขารู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าเข้าใส่หูจนพลังวิญญาณที่เขาเพิ่งโคจรมันติดขัดอย่างน่าตื่นตระหนก!
อู๋ลั่นตกตะลึงเป็นอย่างมาก!
พลังของชายหนุ่มตรงหน้าเขาน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึง!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายหนุ่มก็ไม่ให้โอกาสคู่ต่อสู้ตั้งตัว เขาโคจรพลังและปล่อยคลื่นพลังรุนแรงใส่ชั้นพลังป้องกันของอู๋ลั่นทันที!
บรึ้ม!
เมื่อพลังวิญญาณของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เสียงระเบิดดังสนั่นไกลไปหลายกิโล!
คลื่นกระแทกอันทรงพลังกวาดวัชพืชในรัศมีมากกว่าสิบเมตรจนล้มระเนระนาด แม้แต่ฝุ่นก็ฟุ้งขึ้นไปบนอากาศอย่างรุนแรง!
อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นแค่เพียงผลกระทบจากคลื่นกระแทกเท่านั้น!
อู๋ลั่นตกตะลึงจนแทบหยุดหายใจ เพราะแค่คลื่นพลังเพียงอย่างเดียวของอีกฝ่าย ร่างของเขากลับไถลไปไกลกว่าสิบเมตร!
อั่ก!
หลังจากตั้งหลักได้สำเร็จ อู๋ลั่นก็ทนไม่ไหวกับอาการบาดเจ็บจนกระอักเลือดออกมา!
“เจ้า! นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง!
อู๋ลั่นไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายที่เขาคิดว่าเป็นเพียงปรมาจารย์พลังภายในจะน่าสะพรึงกลัวได้ขนาดนี้!
ชายหนุ่มคนนี้ดูเด็กมาก แต่ความแข็งแกร่งกลับเหนือล้ำจนน่าตกตะลึง!
ไอ้หนุ่มนี่อายุเท่าไหร่?
นี่มันไม่น่าเป็นไปได้!
“เป็นไปไม่ได้!! เจ้าแข็งแกร่งมากกว่าข้าขนาดนี้ได้ยังไง?!”
เมื่อเผชิญกับความจริงที่ว่าแค่คลื่นพลังของอีกฝ่ายก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้แล้ว มันก็ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างช่วยไม่ได้!
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหรานก็ยิ้มอย่างเยาะเย้ย ผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานขั้นต้นกล้าอวดดีต่อหน้าเขางั้นเหรอ?
“อย่างเจ้าเนี่ยนะจะฆ่าข้าได้? ความแข็งแกร่งแค่นั้นของเจ้าสำหรับข้าแล้วมันไม่ต่างอะไรกับความแข็งแกร่งของมดแมลง!”
อวี้ฮ่าวหรานย้อนคำพูดของอีกฝ่ายอย่างดูถูก
ใบหน้าของอู๋ลั่นซีดทันทีเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจคิดไว้!
“ไอ้หนู! แกอย่าได้ใจไปนัก ฉันไม่เชื่อว่าวันนี้ฉันจะฆ่าแกไม่ได้!”
จากนั้น เขาก็รีบโคจรพลังวิญญาณเพื่อใช้ทักษะที่ตัวเองถนัดที่สุด!
“เบิ่งตาดูให้ดี นี่คือค่ายกลเบญจธาตุของข้า! ตาย!”
อู๋ลั่นตะโกนพร้อมกับวาดมือไปมาบนอากาศเขียนอักขระบางอย่างซึ่งมันส่งผลให้เกิดเส้นลวดลายลอยขึ้นไปบนฟ้าปกคลุมบริเวณที่อวี้ฮ่าวหรานยืนอยู่!
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มอีกฝ่ายติดอยู่ในค่ายกลที่จนเองสร้างขึ้นโดยได้ขยับหนีไปไหน อู๋ลั่นก็หัวเราะทันที!
“ฮ่า ๆ! แกเสร็จแน่! กล้าดูถูกฉันงั้นเหรอ แกคิดว่าฉันเป็นเหมือนพวกกระจอกที่แกเคยเจอมาหรือไง?”
หลังจากสร้างค่ายกลเสร็จ อู๋ลั่นก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาอีกรอบ
ค่ายกลนี้คือค่ายกลขึ้นชื่อของสำนักของเขา อำนาจของมันนั้นมหาศาลเป็นอย่างมาก
ด้วยค่ายกลนี้ อู๋ลั่นจึงมั่นใจว่าจะสามารถสยบศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองได้แน่นอน
แต่ค่ายกลนี้มีจุดอ่อนอยู่อย่างหนึ่งก็คือมันควรถูกจัดวางเอาไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่นำมาใช้ซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ เพราะมันต้องใช้เวลาในการวาดมือสั่งพลังสร้างค่ายกล หากในระหว่างที่เขาตระเตรียม ศัตรูวิ่งหลบออกไปจากระยะค่ายกลนี้ก็จะใช้ไม่ได้ผลทันที แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือชายหนุ่มคนนี้จะโง่ไม่ยอมหลบแบบนี้
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับไม่ได้ใส่ใจกับกลเม็ดเล็ก ๆ นี้ของอีกฝ่ายเลย
ค่ายกล?
เป็นเวลาหลายหมื่นปีที่เขาอยู่ในดินแดนแห่งเทพ ดังนั้นมันจึงไม่มีค่ายกลใด ๆ ที่เขาไม่เคยเห็น!
ของพวกนี้มันก็แค่กลเม็ดเล็กน้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น เนตรเทวะที่ชายหนุ่มฝึกฝนนั้นไม่ใช่แค่เอาไว้ดูโบราณวัตถุเพียงอย่างเดียว มันยังสามารถทำให้เห็นโครงข่ายหรือจุดอ่อนของค่ายกลทั้งหมดได้ในพริบตา!
ดังนั้นการทำลายค่ายกลไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน สำหรับเขาแล้วมันคือเรื่องง่ายราวพลิกฝ่ามือ!
“เฮอะ! ไร้สาระ!”
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่หยิ่งผยองของอีกฝ่าย แววตาของอวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งเต็มไปด้วยการดูถูก
หลังจากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณไปที่หว่างคิ้ว และเนตรเทวะก็ถูกเปิดใช้ทันที!
จุดอ่อนของค่ายกลถูกเห็นได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน!
“ทลาย!”
หลังจากตะโกนเสียงดังลั่น อวี้ฮ่าวหรานชกหมัดออกไปอย่างรุนแรงควบแน่นพลังวิญญาณให้อยู่ในรูปแบบหมัดยักษ์พุ่งออกไปยังบริเวณจุดอ่อนของค่ายกล!
บรึ้ม!!
เคร้ง!!
หลังจากพลังหมัดกระแทกเข้ากับค่ายกล จู่ ๆ ก็มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นไปทั่วบริเวณ!
สีหน้าภาคภูมิใจของอู๋ลั่นหยุดนิ่งอย่างกะทันหัน!
เขามองไปรอบ ๆ ค่ายกลของตัวเองด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ อีกฝ่ายทำลายค่ายกลของเขาได้ด้วยหมัดเดียว!
เมื่อเผชิญกับเรื่องแบบนี้ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกสยองจนขนหัวลุก!
อู๋หมิ่นส่งเขามาเจอสัตว์ประหลาดแบบนี้ได้ไง!?
วินาทีถัดมา อวี้ฮ่าวหรานออกมายืนอยู่ด้านนอกค่ายกลที่พังทลาย!
“เฮอะ ๆ เนี่ยน่ะเหรอ ค่ายกลที่แกภูมิใจ?”
เขาเย้ยหยันและหัวเราะคิกคัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยครั้งนี้ อู๋ลั่นก็โต้แย้งไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว!
มันช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้!
ค่ายกลที่ไม่มีใครเทียบได้ ถูกทำลายด้วยหมัดเดียว!
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์พลังภายในจะทำได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคือผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก!
“อู๋หมิ่น! อู๋หมิ่น! เจ้าหลอกข้า! เจ้าต้องการจะฆ่าข้าใช่ไหม!!”
ในเวลานี้ ในใจของเขาทั้งหวาดกลัวและเคียดแค้น เขาสะพรึงกลัวกับความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหราน และเคียดแค้นอู๋หมิ่นที่ไม่ได้บอกกับเขาว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดนี้!
ไอ้เวรอู๋หมิ่นมันไม่ได้อยากจะให้เขาแก้แค้นแทนแล้ว! มันอยากให้เขาตายมากกว่า!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อู๋ลั่นก็ไม่มีแรงจะสู้ต่ออีกแล้ว เขาต้องหนี!
แต่อวี้ฮ่าวหรานจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ตามต้องการได้อย่างไร?!