ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ

บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ

บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ
บทที่ 316 ผู้บ่มเพาะจากสำนักลึกลับ

เมื่อได้ยินการวิเคราะห์ของหวังเหยียนแล้ว โจวเฟยหู่ก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจริง ๆ

“เฮ้อ…น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าไอ้สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่”

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดโจวเฟยหู่ก็พูดขึ้นอย่างจนใจ

ตอนนี้แก๊งพยัคฆ์เวหาเป็นเหมือนกับลูกศรที่ถูกยิงออกไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าอีกฝ่ายจะกลอุบายใด ๆ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ต่อไป…

หลังจากสูญเสียพี่น้องไปมากมาย ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองกันได้

ในเวลาเดียวกัน อู๋หมิ่น ผู้นำตระกูลอู๋ ก็ได้ติดต่อกับศิษย์ของสำนักลึกลับแห่งหนึ่งเรียบร้อย…

ในห้องโถงของตระกูลอู๋ อาการบาดเจ็บของอู๋หมิ่นยังไม่หายดี และตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาออกมาจากละครย้อนยุค

แต่ด้วยกลิ่นอายอันแข็งแกร่งทำให้ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยการแต่งกายที่แปลกประหลาดนี้แน่นอน

สิ่งที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือชายวัยกลางคนผู้นี้กำลังนั่งอย่างสบาย ๆ ในตำแหน่งที่นั่งของอู๋หมิ่น!

“เจ้ากำลังบอกว่าชายหนุ่มเพียงคนเดียวสามารถทำให้ตระกูลอู๋วอดวายได้ถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? นี่เจ้าดูแลตระกูลอู๋แบบไหน ทำไมพวกเจ้าถึงตกต่ำได้ขนาดนี้?”

ชายวัยกลางคนทำตัวราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กำลังดุด่าลูกหลานตัวเอง ซึ่งคนที่เขากำลังดุด่าอยู่ก็คือ อู๋หมิ่น

“ช…ชายหนุ่มคนนั้น…ไม่ใช่คนธรรมดา! ผมได้จ้างปรมาจารย์มาแล้วมากมาย แต่ปรมาจารย์พวกนั้นเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มคนนั้น และลูกชายของผม อู๋เส้าฮัวก็ถูกเขาฆ่าเช่นกัน!”

อู๋หมิ่นดูวิตกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังคงพยายามเถียง

อย่างไรก็ตาม คำพูดเถียงนี้กลับทำให้ชายวัยกลางคนแสดงสีหน้าดูถูกมากยิ่งขึ้น

“ฮ่า ๆ จ้างพวกปรมาจารย์งั้นเหรอ? แล้วไง? ไอ้พวกที่เจ้าจ้างมามันต่างจากคนธรรมดาตรงไหน?”

เขามองหน้าอู๋หมิ่นอย่างเย้ยหยัน ดวงตาเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหน”

“ผม…ผมไม่รู้…”

อู๋หมิ่นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าชายวัยกลางคนคนนี้อายุน้อยกว่าเขา แต่กลิ่นอายความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกกดดันจนหายใจไม่ออก

“เฮอะ ช่างมีความรู้ต่ำต้อยอะไรขนาดนี้! ช้าผู้นี้ชื่ออู๋ลั่น เพื่อเห็นแก่ที่เรามีสายเลือดเดียวกัน ข้าจะบอกเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ว่าเหนือว่าขั้นพลังภายในที่เจ้าเคยรู้จัก ยังมีระดับที่เรียกขอบเขตก่อรากฐาน!”

“ก่อรากฐาน?”

อู๋หมิ่นพึมพำราวกับเคยได้ยินมาก่อนที่ไหนสักแห่ง

“ถูกต้อง ขอบเขตก่อรากฐานคือการเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางแห่งการเป็นผู้อมตะ ซึ่งความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะเทียบเทียมได้ และข้าเองคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อรากฐาน!”

ชายวัยกลางคนชื่ออู๋ลั่นพูดช้าๆ

ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้มอบเงินให้กับสำนักของเขาเป็นจำนวนมหาศาล เขาคงไม่มีทางเสียเวลาคุยกับมนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสายเลือดมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน

อู๋หมิ่นไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับขอบเขตที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตพลังภายในมาก่อนเลย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกตกตะลึงและงุนงงในเวลาเดียวกัน

“ถ…ถ้างั้นก็หมายความว่า…ท่านทรงพลังมากเลยใช่ไหม?”

เขาไม่อยากเชื่อเลย ถ้าหากตระกูลของเขามีปัญญาสร้างคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วทำไมเขาถึงถูกทิ้งให้ดูแลตระกูลอู๋อยู่ที่นี่มาตลอด? ทำไมเขาถึงไม่ได้มีโอกาสบ่มเพาะบ้าง?

ถ้าเขาสามารถเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานได้ เขาก็จะสามารถบดขยี้ตระกูลหลี่หรือตระกูลไหน ๆ ในเมืองฮ่วยอันได้อย่างง่ายดาย จนสามารถทำให้ตระกูลอู๋เป็นตระกูลอันดับหนึ่ง ทำไมตระกูลของเขาถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้?

อู๋ลั่นรู้ทันความคิดของอู๋หมิ่นเช่นกัน และพูดขึ้นอย่างเยาะเย้ยโดยไม่ลังเลเลย…

“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ อย่าคิดเพ้อเจ้อให้เสียเวลา การบ่มเพาะขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ หากพรสวรรค์ไม่เพียงพอ เจ้าก็จะไม่มีวันทะลวงขึ้นมาถึงขอบเขตก่อรากฐานได้ ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ เจ้าคิดว่าคนอย่างเจ้าเทียบได้กับข้าผู้นี้งั้นเหรอ?”

หลังจากนั้น อู๋ลั่นก็รู้สึกไม่อยากจะคุยไร้สาระอะไรอีกต่อไป เขาถามถึงรายละเอียดของภารกิจโดยตรง

อู๋หมิ่นไม่ลังเลเมื่อถูกถามถึงเรื่องภารกิจ เขาพูดทุกอย่างที่เขารู้ทันที

หลังจากนั้นไม่นาน อู๋ลั่นก็พยักหน้าเล็กน้อย

“เอาล่ะ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าเล่ามา ชายหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด เขาถือได้ว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้า เรื่องนี้จึงไม่สามารถตำหนิเจ้าได้ในการที่เจ้าจัดการกับเขาไม่สำเร็จ”

หลังจากพอจะเข้าใจข้อมูลของอีกฝ่ายอย่างคร่าว ๆ อู๋ลั่นจึงสรุปเรื่องราวได้ด้วยตัวเอง

“ใช่ ตระกูลอู๋ของผมไม่มีพลังที่จะต่อกรจริง ๆ ได้โปรดช่วยผมกำจัดชายหนุ่มคนนั้นให้ผมที!”

อู๋หมิ่นอ้อนวอนอีกครั้ง

เมื่อเห็นเช่นนั้น อู๋ลั่นเองก็ไม่รอช้า เขาพยักหน้าตกลงอย่างไร้กังวล

สองวันต่อมา

“พ่อจ๋า ๆ หนูอยากไปเล่นที่บริษัทของพ่อวันนี้! หนูคิดถึงเพื่อน ๆ ของหนูที่นั่น!”

วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กน้อยจึงไม่จำเป็นต้องไปเรียนพิเศษ ดังนั้นเธอจึงตื่นแต่เช้าและรีบไปที่ห้องของอวี้ฮ่าวหรานอย่างตื่นเต้นและตะโกน

“โอเค พ่อตกลง!”

เมื่อมองไปที่ดวงตาคู่โตของลูกสาว และเห็นว่าเด็กน้อยคาดหวังมาก อวี้ฮ่าวหรานก็ตกลงในทันที

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองก็ออกไป

ถวนถวนนั่งอยู่ในรถสปอร์ตคันใหม่ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยดูตื่นเต้นอย่างมาก

รถสปอร์ตวิ่งออกไปจากเขตที่อยู่อาศัยอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อไปถึงย่านไร้ผู้คน ในขณะที่อวี้ฮ่าวหรานกำลังจะเหยียบคันเร่งเพิ่ม ร่างของคน ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางถนน!

ชายผู้นั้นสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวราวกับว่าเขาหลุดมาจากยุคโบราณ

เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงเหยียบเบรกอย่างรุนแรงทันที!

อวี้ฮ่าวหรานไม่ใช่อสูรที่ไร้หัวจิตหัวใจ เขาไม่สามารถขับรถชนคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือเปล่าไม่ได้

หลังจากเบรกอย่างเร่งรีบ รถสปอร์ตสีเหลืองสดใสก็หยุดนิ่งกลางถนน!

รถสปอร์ตคันนี้คู่ควรกับเงินเกือบสิบล้านเป็นอย่างมาก ระบบเบรกของมันยอดเยี่ยมกว่ารถคันเก่าของเขาอย่างเทียบกันไม่ได้

หากเป็นรถคันเก่า ระยะห่างสั้น ๆ แบบนี้รถไม่มีทางหยุดทันแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวไม่ได้ดูตื่นตระหนกเลย เขามองดูอวี้ฮ่าวหรานอย่างเฉยเมยพร้อมกับเอามือไพล่หลังอย่างองอาจ

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วของตัวเองเมื่อเห็นสิ่งนี้…นี่มันผิดปกติ

แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ลงจากรถไปถาม ชายในชุดเสื้อคลุมเขียวก็ตะโกนถามขึ้นก่อน

“เจ้าคืออวี้ฮ่าวหรานใช่ไหม?!”

น้ำเสียงของชายเสื้อคลุมเขียวหยิ่งผยองมาก

“เพื่อเห็นแก่ที่เจ้ามีไหวพริบดีไม่ขับรถพุ่งเข้าชนข้าเหมือนคนโง่ ข้าจะฆ่าเจ้าโดยจะปล่อยให้ศพของเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์!” เขาเยาะเย้ย

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ยืนยันได้แล้วว่าคนที่มาขวางทางเขาคือศัตรู ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขบขันเล็กน้อย

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงลงจากรถ

“แกเป็นใคร แกรู้จักฉันได้ยังไง?”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าผู้นี้เป็นใคร เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้ สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้มีเพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าจะต้องตายวันนี้”

ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าดูถูกราวกับว่าเขากำลังพูดกับมดแมลง

“แต่ก็เอาเถอะ ข้าบอกให้เจ้ารู้สักนิดหน่อยก็ได้ว่าข้าเป็นคนที่ตระกูลอู๋ส่งมาเพื่อฆ่าเจ้า อย่างน้อย ๆ หลังจากรู้เรื่องนี้เจ้าจะได้ไม่ตายอย่างคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยว่าใครฆ่าเจ้า!”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกตลกเล็กน้อยเมื่อได้ยินเรื่องนี้

“มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอว่าจะฆ่าฉันได้?”

เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เปิดใช้เนตรเทวะเพื่อดูความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย ซึ่งหลังจากที่มองดูเขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย…

บทที่ 322 คืนตำแหน่ง
บทที่ 322 คืนตำแหน่ง

“พูดมาเลย ผมรอฟังอยู่”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นเพื่อผลักดันให้อีกฝ่ายพูดต่อไป พลางป้อนอาหารให้ลูกสาวของตัวเองราวกับว่าไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่

หลี่ชงซานพยักหน้าหลังจากได้ยิน

“อันที่จริง ฉันมีความหวังว่าก่อนที่ฉันจะตาย ฉันอยากจะเห็นลูก ๆ ของฉันมีชีวิตที่สุขสบายและมีงานที่มั่นคง ไม่งั้นฉันคงนอนตายตาไม่หลับ”

ในที่สุดเขาก็เผยจุดประสงค์ของการเชิญอวี้ฮ่าวหรานมาในวันนี้

แต่ในทันทีที่หลี่หรงได้ยินคำพูดนี้ เธอกผ้รู้สึกไม่มีความสุขทันที และโต้แย้งอย่างรวดเร็ว

“พ่อ! พ่ออย่าพูดอะไรแบบนี้ได้ไหม พ่อจะต้องอยู่อีกนาน! ส่วนเรื่องของพี่รอง พ่อก็รู้ว่าพี่เขยเคยให้โอกาสเขามาก่อน ไม่ใช่สิ เคยให้โอกาสเขาหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เคยสำนึกเลยสักครั้ง!”

เธอรู้สึกโกรธอย่างชัดเจนกับประโยคตอนท้าย

เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพี่รองของเธอเป็นเหมือนสุนัขที่ชอบกินอึจนเลิกไม่ได้ หากเขามีอำนาจขึ้นมาสักหน่อย ก็คงไม่วายที่จะสร้างปัญหาขึ้นมาอีกเหมือนเดิม

“พ่อรู้ เรื่องนั้นพ่อรู้! แต่หรงเอ๋อร์ พ่อแค่อยากจะมั่นใจว่าชีวิตของลูก ๆ จะมั่นคงก่อนที่พ่อจะจากไป และครั้งนี้พ่อไม่ได้ขอให้ฮ่าวหรานมอบอำนาจอะไรให้เทียนเอ๋อร์ พ่อขอแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ให้เทียนเอ๋อร์ก็แค่นั้น”

หลี่ชงซานแสดงสีหน้ากังวลก่อนจะถอนหายใจให้ลูกสาวของเขา “หรงเอ๋อร์…ที่พี่ชายของลูกเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะพ่อเอง…ดังนั้นพ่อแค่อยากให้พี่ชายของลูกมีเงินเดือนพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ก็แค่นั้น พ่อไม่ได้ต้องการขออะไรไปมากกว่านั้น”

“เงินเดือนพอเลี้ยงตัวเอง?”

หลี่หรงรู้สึกประหลาดใจกับคำขอนี้ เพราะมันต่ำเกินไป

เธอจำได้ว่าพ่อของเธอมีความคาดหวังสูงมากกับพี่ชายไม่เอาไหนคนนี้

แต่ถึงอย่างนั้น พ่อของเธอก็ไม่ควรมาขอเธอหรือพี่เขยของเธอแบบนี้!

“พ่อคะ! พี่เขยของหนูจะยอมรับกับสิ่งที่พี่รองของหนูทำกับเขาก่อนหน้านี้ได้ยังไง? ไม่สิ แม้แต่พวกผู้บริหารคนอื่นของบริษัทก็คงไม่ยอมรับเช่นกัน”

“พ่อรู้ พ่อถึงได้ขอแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ให้กับเทียนเอ๋อร์เท่านั้นไง เอาแค่ตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจและใคร ๆ ก็สามารถทำได้ก็พอ”

หลี่ชงซานรู้ว่าลูกชายของเขาไม่มีความสามารถ แถมยังเชื่อถือไม่ได้ ในเวลานี้เขารู้สึกอับอายจริง ๆ แต่ก็จำเป็นต้องพูดขอเพื่อให้ลูกชายของเขาได้มีงานที่มั่นคง

“เทียนเอ๋อร์ยังบอกกับพ่อด้วยว่าหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่ลึกซึ้งเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ไม่มีทางกล้าสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกอีกต่อไป”

หลี่หรงเงียบไปเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของพ่อเธอ เธอไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ

ในขณะเดียวกัน หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานป้อนอาหารลูกสาวของเขาเองเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า

“ก็ได้ผมตกลง ต่อจากนี้ผมจะให้หลี่จิงเทียนดำรงตำแหน่งรองประธานของบริษัทตามเดิมที่เขาเคยเป็นตอนอยู่ในบริษัทชงซาน แต่เขาจะไม่มีอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้นในเครือฮ่าวหราน และตราบใดที่เขาไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อบริษัท ตำแหน่งนี้จะเป็นของเขาเสมอ”

ทันทีที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เขาก็กล่าวถึงการตัดสินใจของตัวเอง

การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้หลี่ชงซานตกตะลึง

“น…นี่…ฮ่าวหราน ลูกไม่ต้องให้ตำแหน่งที่ดีขนาดนี้ก็ได้! ก่อนหน้านี้จิงเทียนสร้างเรื่องเอาไว้มากมาย ดังนั้นลูกไม่จำเป็นต้องให้ตำแหน่งที่สูงขนาดนี้หรอก!”

เขาไม่คิดเลยว่าลูกเขยของเขาจะใจกว้างขนาดนี้

“ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจแล้ว”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่หลี่จิงเทียน และเอ่ยยืนยันอย่างสบาย ๆ

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาใจกว้างและสงสารอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของหลี่เม่ยและหลี่หรง

“หลี่จิงเทียน นายควรขอบคุณโชคชะตาของตัวเองสักล้านครั้งที่ได้เกิดมาในตระกูลหลี่”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นพลางพ่นลมหายใจ

หากอีกฝ่ายไม่ใช่น้องชายของหลี่เม่ย หรือไม่ใช่ลูกของหลี่ชงซานหรือพี่ชายของหลี่หรง ป่านนี้ร่างของเขาคงเน่าอยู่ใต้ดินในสุสานไปนานแล้ว

คงไม่มีทางที่จะได้นั่งอยู่ที่นี่ พร้อมกับได้รับตำแหน่งรองประธานอย่างแน่นอน

“ค…ครับ พี่เขย! พี่พูดถูก! ผมโชคดีจริง ๆ ครอบครัวของผมดีที่สุด พี่เขยก็ดีที่สุดเหมือนกัน!”

เมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินคำยืนยันนี้ เขาก็แทบจะกระโดดจากความสุขที่มันปะทุขึ้นในใจ ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวเองจะรู้สึกดีมากที่ได้กลับมาอยู่บ้านและไม่ต้องไปนอนอยู่ในคุก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาที่เคยเป็นรองประธานบริษัทชงซานอันหล่อเหลาแถมมีเงินเดือนสูงปรี๊ด

ในตอนนี้ เงินที่พ่อของเขาให้ใช้จ่ายในแต่ละวันมันไม่พอให้เขาไปเที่ยวในไนท์คลับได้ด้วยซ้ำ…

คนธรรมดาทั่วไปยังได้ไปเที่ยวบ้าง แต่นี่เขาเป็นถึงลูกชายของผู้นำตระกูลหลี่ แต่กลับไม่สามารถออกไปเที่ยวได้เลยเพราะไม่มีเงิน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดสุด ๆ สำหรับเขา

“โอเค ตราบใดที่นายไม่สร้างปัญหาอะไรอีก เมื่อกลับไป ฉันจะจ่ายเงินเดือนให้นาย ซึ่งนายก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลตามปกติของนายได้อย่างไร้กังวล”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยกับคำประจบของหลี่จิงเทียน และรู้สึกว่าเมื่อก่อนอีกฝ่ายยังไม่น่ารำคาญเท่านี้

อย่างน้อยถ้าเป็นเมื่อก่อน อวี้ฮ่าวหรานก็สามารถอัดอีกฝ่ายได้หากรู้สึกรำคาญ แต่ตอนนี้พออีกฝ่ายประจบประแจงชายหนุ่มแบบนี้ เขาก็ไม่สามารถอัดอีกฝ่ายได้อีกต่อไปไม่ว่าจะรู้สึกรำคาญแค่ไหนก็ตาม

หลังอาหาร หลี่จิงเทียนแทบรอไม่ไหวที่จะตามอวี้ฮ่าวหรานกลับไปที่เครือฮ่าวหราน

บางคนที่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังปรากฏตัวในบริษัทของพวกเขาได้?

อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อสายตาของคนอื่น ๆ ในบริษัท และหลังจากพาถวนถวนไปที่สวนสนุกของบริษัท เขาก็พาหลี่จิงเทียนกลับไปที่ออฟฟิศเดิมของหลี่จิงเทียน

“ฉันยังไม่ได้สั่งคนย้ายของ ๆ นายออกไป ดังนั้นนายก็ใช้ห้องนี้ต่อไปตามเดิมก็แล้วกัน”

หลี่จิงเทียนกวาดสายตามองไปทั่วห้องและตาลุกวาวทันที เขารีบวิ่งไปลูบ ๆ คลำ ๆ ข้าวของตัวเองและพูดขึ้นด้วยสีหน้าดีใจสุด ๆ

“พี่เขย…พี่เขย พี่ใจดีกับผมมากจริง ๆ! นับจากนี้ผมขอสาบานว่าจะไม่ทำอะไรให้พี่ผิดหวังอย่างแน่นอน!”

หลี่จิงเทียนไม่นึกเลยว่านอกจากที่จะได้รับตำแหน่งรองประธานแล้ว ตัวเองยังได้ห้องกลับคืนมาอีกด้วย ทั้งหมดนี้มันเกินความคาดหมายของตัวเองไปไกลลิบ เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนี้และหันหลังเดินจากไป แต่เมื่อเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“ฉันหวังว่านับจากนี้นายจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ฉันโกรธขึ้นมาอีก ไม่อย่างนั้นต่อให้นายจะเป็นน้องของหลี่เม่ย ฉันก็คงไม่สามารถปล่อยนายไปได้อีกแล้ว!”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็จากไปทันที เหลือเพียงหลี่จิงเทียนที่ยืนเงียบในห้อง…

เขากลัวจริง ๆ การเสียชีวิตของหวังเจวีย ทำให้หลี่จิงเทียนกลัวมากพอแล้วเมื่อเห็นพี่เขยคนนี้ แถมด้วยข่าวการล่มสลายของตระกูลอู๋ มันทำให้เขาไม่กล้าต่อต้านอีกต่อไป

ท้ายที่สุด เขาได้รู้แล้วว่าพี่เขยของตัวเองเป็นคนที่โหดเหี้ยมและสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย

ในเวลาเดียวกัน หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การต่อสู้ระหว่างแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งพยัคฆ์เวหา

แก๊งวาฬยักษ์ได้รับความเสียหายมากกว่าอย่างชัดเจน

หัวหน้าสาขาของแก๊งบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย และสมาชิกระดับทั่วไปของแก๊งก็ตายไปถึงครึ่งหนึ่งแล้วด้วย และสิ่งที่น่าอึดอัดใจมากที่สุดก็คือ หลิ่วอวี้จิงไม่เคยเคลื่อนไหวเลยจวบจนทุกวันนี้ จนสมาชิกของแก๊งต้องอ้างว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถต่อสู้ไหวอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในบ่ายวันนี้ หลิ่วอวี้จิงได้เรียกประชุมฉุกเฉิน!

บ่ายสามโมง สมาชิกระดับเสาหลักของแก๊งส่วนใหญ่ก็มาถึงห้องประชุม

อย่างไรก็ตาม หัวหน้าแก๊งที่เป็นผู้เรียกประชุมกลับยังไม่ปรากฏตัว

“หัวหน้าของเราเป็นอะไรกันแน่? ทำไมเขาถึงไม่ออกมาให้พวกเราเห็นเลย นี่มันก็หลายวันแล้วที่พวกเราเสียเปรียบ!”

“บัดซบ! ไอ้พวกแก๊งฉลามคลั่งก็ไม่โผล่มาช่วยพวกเราเลยทั้ง ๆ ที่พวกมันเพิ่งประกาศเป็นพันธมิตรกับเรา! นี่พวกมันจงใจให้เรารับความเสียหายอยู่ฝ่ายเดียวใช่ไหม!?”

“…”

บรรยากาศในห้องประชุมไม่ค่อยดีนัก แก๊งวาฬยักษ์ได้รับความสูญเสียอย่างหนักในทุกวันนี้ ดังนั้น ณ เวลานี้ สีหน้าของหัวหน้าสาขาทุกคนที่มาในวันนี้จึงเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

พวกเขาอยากรู้ว่าหัวหน้าแก๊งของพวกเขากำลังทำอะไรอยู่!

ในขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียด หลิ่วอวี้จิงก็เดินเข้ามาด้วยการก้าวที่ไม่มั่นคงนัก ใบหน้าของเขาซีดมากราวกับว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมา

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท