ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸] – บทที่ 351 สามชายลึกลับ

บทที่ 351 สามชายลึกลับ

บทที่ 351 สามชายลึกลับ
บทที่ 351 สามชายลึกลับ

หลังจากที่กลุ่มของโจวเฟยหู่ออกจากร้านอาหารไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ทักให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาให้กินอาหารกันต่ออย่างใจเย็น

“ฮ่าวหราน…คุณนี่ใจเย็นดีจริง ๆ”

เฉิงชิวอวี้มองไปยังกลุ่มคนที่น่ากลัวของโจวเฟยหู่ทยอยกันจากไป

“นี่แค่เรื่องเล็กน้อย อย่ากลัวไปเลย”

อวี้ฮ่าวหรานปลอบโยนอย่างสบาย ๆ

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่น ๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ!

ผู้ที่มากินอาหารในร้านวันนี้ต่างก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะทำให้ตัวเองเอาไปเล่าโอ้อวดไปชั่วชีวิต

ผู้จัดการเหงื่อออก

ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เห็นว่าคนที่มีอำนาจจริง ๆ มันเป็นเช่นไร!

เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!

จินเส่าที่หยิ่งผยองเสมอมา ได้ถูกลากออกไปราวกับหมาที่ตายแล้ว!

ไม่นานทั้งสองก็กินข้าวเสร็จ

“ที่นี่อร่อยจริง ๆ ผมชอบมาก!”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยปากชม เฉิงชิวอวี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

นี่น่ะเหรอคือผู้ชายที่สามารถทำให้คนอื่นกลัวจนแทบจะเป็นลมได้?

“ข…แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง…ค่อย ๆ เดินช้า ๆ นะครับ ผมขอประทานอภัยจริง ๆ สำหรับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นในวันนี้ เอาไว้คราวหน้าที่พวกท่านมา ผมจะปรับปรุงการบริการให้ดีมากกว่าเดิม!”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะจากไป ผู้จัดการก็เอ่ยอำลาอย่างนอบน้อมทันที

“คราวหน้าถ้าฉันมา ที่นี่คงไม่มีคนอย่างนายน้อยจินอะไรนั่นอีกแล้วจริงไหม?”

อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายและพูดอย่างเฉยเมย

“ไม่! ไม่มีแล้วแน่นอน!”

ผู้จัดการรีบสัญญา ล้อเล่นเถอะ หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปใครจะกล้าทำตัวรนหาที่ตายแบบนั้นที่นี่อีก?

หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็ไปส่งเฉิงชิวอวี้กลับบ้าน

“ฮ่าวหราน วันนี้คุณน่าทึ่งอีกแล้ว!”

เมื่อลงจากรถ เฉิงชิวอวี้ก็พูดขึ้นทันที

“หืม? ผมน่าทึ่งตรงไหนกัน?”

อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขบขันกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา มันไม่มีผลต่ออารมณ์โดยรวมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“คุณ…”

จู่ ๆ เฉิงชิวอวี้ก็แก้มแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ปกติแล้วหากผู้หญิงยกย่องผู้ชาย เธอมักจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่เสมอ

“งั้น…งั้นฉันเข้าบ้านก่อนก็แล้วกัน”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจเธอ เฉิงชิ้วอวี้จึงอยากกลับบ้านโดยเร็วเพื่อทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเธอสงบลง

หลังจากที่ทั้งสองกล่าวคำอำลา เขาก็ขับรถออกไป

แต่แทนที่จะกลับไปที่บริษัท อวี้ฮ่าวหรานกลับขับรถกลับคอนโดทันที

ชายหนุ่มวางแผนว่าหลังจากกลับไปถึงห้อง เขาจะใช้โบราณวัตถุที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณซึ่งตัวเองเพิ่งได้มาจากตำหนักคุมกฎขององค์กรสรพิษเมื่อวานนี้ทันที

วันนี้เขาต้องดูดซับพลังจากพวกมันให้หมด

เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่เขากลับมาที่โลกนี้ ทำให้ชายหนุ่มกระหายที่จะแข็งแกร่งให้เร็วมากขึ้น

และที่สำคัญ…หากต้องการพบกับภรรยาตัวเองอย่างเร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้

อวี้ฮ่าวหรานกลับไปถึงคอนโดประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ

ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและล็อกประตู จากนั้นจึงนำโบราณวัตถุขึ้นมาดูดซับพลังวิญญาณทันที

กระแสพลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง มัน ค่อย ๆ ขยายทะเลวิญญาณในตันเถียนของตัวเองให้กว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ

ในเวลานี้เขาใกล้จะทะลวงระดับแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ชายลึกลับสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลอู๋ ซึ่งพวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตระกูลอู๋นั้นกำลังตกต่ำมากจากการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติภายในตระกูล!

“อู๋ลั่น? เรา…เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย…”

ในห้องโถงตระกูลอู๋ สมาชิกทุกคนในตระกูลอู๋ยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาต่างมองไปที่ชายลึกลับทั้งสามคนอย่างหวาดกลัว

ทั้งสามแต่งตัวในชุดเสื้อคลุมโบราณ ราวกับหลุดออกจากละครย้อนยุคกำลังภายใน

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะการแต่งกายของชายวัยกลางคนทั้งสามคนนี้

ที่พื้นบ้าน บอดี้การ์ดสิบกว่าคนทั้งหมดนอนสลบไสลอยู่ในอาการปางตาย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้

“แกล้อเล่นใช่ไหมที่บอกว่าไม่รู้! อู๋ลั่นออกเดินทางมาที่นี่หลังจากได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากพวกแก! แต่ตอนนี้พวกแกกลับบอกว่าไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ?”

ในบรรดาชายวัยกลางคนทั้งสามที่สวมชุดโบราณ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดซึ่งสวมชุดคลุมสีดำถามอย่างเย็นชาในเวลานี้

“นั่น… นั่นเป็นเพราะผู้นำตระกูลอู๋หมิ่นที่เพิ่งตายไป เป็นคนร้องขอความช่วยเหลือไปโดยไม่บอกคนอื่นเลย และตอนนี้ทั้งครอบครัวของเขาถูกฆ่าหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้รายละเอียดอื่น ๆ อีกเลย”

ในห้องโถง ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นและอธิบายอย่างร้อนรน

ชายวัยกลางคนทั้งสามนี้เข้ามาที่ตระกูลอย่างหยิ่งผยองและแข็งกร้าว ซึ่งทำให้เขานึกถึงสำนักเมฆาเขียวที่เคยมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับตระกูลอู๋

อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักนั้น

“ผู้นำตระกูลของพวกแกถูกฆ่า? เกิดอะไรขึ้น?”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

“เรื่องนี้…เรายังไม่ได้ตรวจสอบทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกคือชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมีเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูลมากที่สุด”

“อวี้ฮ่าวหราน? ชายหนุ่มผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด?”

“นี่…นี่ ผู้น้อยก็ไม่รู้”

ชายชราที่ยืนขึ้นตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน เขาไม่เคยเจอกับอวี้ฮ่าวหรานโดยตรง ดังนั้นเขาจะรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

“อืม การที่อู๋ลั่นหายตัวไปน่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน หากชายหนุ่มผู้นั้นสามารถจัดการกับอู๋ลั่นได้ มันก็ไม่แปลกที่พวกเจ้าตระกูลอู๋จะรับมือไม่ไหว”

ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย แล้วปลอบอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวพวกข้าขนาดนั้น พวกข้าสามคนรวมไปถึงอู๋ลั่นมาจากสำนักเดียวกัน พวกเราทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับตระกูลอู๋อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นพวกข้าจะไม่ทำอันตรายต่อพวกเจ้าตระกูลอู๋”

ผู้อาวุโสของตระกูลอู๋ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย “ผู้น้อย…ผู้น้อยเคยได้ยินเรื่องของสำนักเมฆาเขียวมาเช่นกันว่าพวกท่านมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับตระกูลอู๋ของเรา คราวนี้การหายตัวไปของอู๋ลั่น นับได้ว่าเป็นความผิดของตระกูลอู๋ด้วยจริง ๆ พวกผู้น้อยละอายใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย!”

“เอาละ ช่างมันเถอะ เรื่องนี้โทษพวกเจ้าที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ตอนนี้พวกเจ้าจงไปเตรียมที่พักอาศัยให้เราก่อน ส่วนเรื่องอวี้ฮ่าวหราน เราจะตรวจสอบเอง”

บรรยากาศในห้องโถงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และหลังจากที่ทั้งสามรู้ว่าผู้นำตระกูลอู๋คนที่เรียกอู่ลั่นมาถูกฆ่าตายไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีอคติกับคนอื่น ๆ ของตระกูลอู๋อีกต่อไป

บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน

บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน

หกโมงเย็น

เมื่อหลี่หรงพาถวนถวนกลับมาถึงคอนโด ห้องของอวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงล็อกแน่น

ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงระดับการบ่มเพาะ ทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ

อันที่จริง ต่อให้ประตูจะไม่ได้ล็อก แต่ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณด้านใน หากคนธรรมดาจะเปิดประตูเข้าไปก็คงไม่สามารถเปิดได้อยู่ดี

หลังจากดูดซับโบราณวัตถุทีละชิ้นจนหมด พลังวิญญาณในร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หนาแน่นจนเข้าสู่จุดปะทุ!

ทันใดนั้น!

การไหลเข้าของพลังวิญญาณจำนวนมาก ได้ส่งผลให้ทะเลวิญญาณในตันเถียนของอวี้ฮ่าวหรานระเบิดออกครั้งใหญ่คล้ายกับเหตุการณ์บิ๊กแบง จากนั้นมวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ฟุ้งกระจายในจุดตันเถียนก็ค่อย ๆ ควบแน่นกันก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายดวงดาว

“เฮ้อ…ในที่สุดก็ทะลวงสำเร็จ”

อวี้ฮ่าวหรานลืมตาขึ้นและถอนหายใจยาว

ในเวลานี้ ระดับการบ่มเพาะของชายหนุ่มได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน และเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งคิดถึงหลี่เม่ยมากยิ่งขึ้นไปอีก

เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่กลับมายังโลกมนุษย์ และเขาพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเอง

แต่จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับภรรยาของตัวเองเลย และในแง่ของความแข็งแกร่งของตัวเองในปัจจุบัน มันยังเร็วเกินไปที่จะสามารถท่องโลกนี้ไปทั่วได้อย่างปลอดภัย

หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ชายหนุ่มก็เปิดประตูออกจากห้องของตัวเอง

ในห้องนั่งเล่นมีกลิ่นอาหารหอม ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า หลี่หรงได้เตรียมอาหารมื้ออร่อยไว้บนโต๊ะแล้ว

“พี่เขยในที่สุดพี่ก็ออกมาสักที มาเร็ว มากินข้าวได้แล้ว”

เมื่อพี่เขยของเธอออกมาจากห้องเธอก็เอ่ยทักเขาทันที

“โทษทีที่วันนี้ต้องให้เธอลำบากไปรับถวนถวน ทั้ง ๆ ที่เธอต้องกลับมาทำอาหารต่ออีกแบบนี้”

อวี้ฮ่าวหรานกล่าวขอโทษ แต่การทะลวงระดับเช่นนี้จำเป็นต้องใช้เวลาและสมาธิเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งกลางคันและออกไปรับถวนถวนได้อย่างปกติเหมือนเช่นทุกวัน

อย่างไรก็ตาม หลี่หรงก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่บ้าง เธอจึงไม่รบกวนเขาเลยในระหว่างที่ชายหนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้อง

“ไม่เป็นไรพี่เขย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ที่พี่มาช่วยจัดการปัญหาในบริษัทให้ฉัน บริษัทของฉันก็เลยสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นมากกว่าเดิมจนฉันไม่ต้องปวดหัวอีกเลย”

หลี่หรงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร กลับกันเธอรู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำที่ได้แบ่งเบาภาระให้อวี้ฮ่าวหราน

“พ่อจ๋า!”

ในขณะเดียวกันนี้ ถวนถวนก็วิ่งออกจากห้องของตัวเองมาพร้อมกับมือที่ถือขนม และตามมาด้วยสุนัขสองตัวที่คล้ายคลึงกัน

“พ่อจ๋า ถวนถวนอยากบอกข่าวดีกับพ่อ!”

เด็กน้อยในเวลานี้แสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด

“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานบังเกิดความสนใจ หลี่หรงก็ยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้

“พี่เขย นั่งลงกินข้าวก่อนเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเดี๋ยวฉันอธิบายเอง” เธอส่งชามข้าวให้ชายหนุ่มก่อน แล้วพูดต่อว่า “ครูสอนเปียโนเห็นว่าถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโนมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น เธอจึงอยากให้ถวนถวนเข้าร่วมการแข่งขันเปียโนระดับเยาวชนที่กำลังจะจัดขึ้นในเมือง”

“การแข่งขันเปียโน?”

เมื่อได้ยินข่าวนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็หันไปมองลูกสาวของตัวเองด้วยความประหลาดใจ

“เอาสิ! ในเมื่อถวนถวนมีความสามารถจนครูเห็นแววขนาดนี้ ถ้างั้นก็ไปแข่งกันเลย!”

ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องเรียนเปียโนของถวนถวน ชายหนุ่มแค่ให้ถวนถวนไปเรียนเพราะไม่อยากขัดใจหลี่หรงก็แค่นั้น ใครจะไปนึกว่าลูกสาวของเขาจะเก่งจนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้แบบนี้?

“คุณครูหลิวบอกว่าถวนถวนน่าทึ่งมาก หลังจากที่เรียนได้แค่เพียงหนึ่งเดือน ถวนถวนก็เก่งกว่าเด็กคนอื่นที่เรียนมาเป็นปีซะอีก”

ถวนถวนเข้ามาใกล้ในขณะนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่วิจิตรงดงามราวกับตุ๊กตา ก็แสดงสีหน้าอย่างมีชัย

“ฮ่า ๆ! เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ลูกสาวของอวี้ฮ่าวหรานย่อมเหนือกว่าคนอื่น ๆ”

อวี้ฮ่าวหรานปรบมือ

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้นี้ หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม

หลังอาหารเย็น อวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงก็พูดคุยเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโนต่ออีกสักพัก และหลังจากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็กลับเข้าห้องเพื่อบ่มเพาะอีกรอบ

เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งทะลวงระดับมาอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน เขาจึงจำเป็นต้องปรับรากฐานการบ่มเพาะของตัวเองให้มั่นคง

เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ฮ่าวหรานส่งถวนถวนไปเรียนเปียโนเช่นเคย แต่เมื่อเขาเห็นหลิวว่านฉิง เขาก็ถามเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโน

ในห้องพักครู

“ใช่ ถวนถวน มีพรสวรรค์จริง ๆ มือของเธอคล่องแคล่วมาก ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่มีความสามารถขนาดนี้มาก่อน”

หลิวว่านฉิงไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมความสามารถของถวนถวนในเวลานี้

“เธอเป็นเด็กหัวไวที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาเลยทีเดียว”

“เอาละ ขอบคุณที่ครูหลิวส่งเสริมลูกของผมเสมอมา ว่าแต่การแข่งจะเริ่มเมื่อไหร่”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า ลูกสาวของเทพฮ่าวหรานนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนธรรมดา

“การแข่งขันจะเริ่มวันมะรืนนี้ และเมื่อการแข่งขันนี้จบลงมันก็จะเป็นช่วงเดียวกับที่คลาสเปียโนภาคฤดูร้อนของเราสิ้นสุดลง”

หลิวว่านชิงตอบกลับ

“ยิ่งไปกว่านั้นมันจะดีที่สุด หากผู้ปกครองจริงจังกับเรื่องนี้มากสักหน่อย พรุ่งนี้ชั้นเรียนเปียโนจะหยุดหนึ่งวัน ดังนั้นในวันพรุ่งนี้คุณควรพาถวนถวนไปฝึกซ้อมต่อด้วย เพื่อช่วยให้ถวนถวนทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นในวันแข่งขัน”

“ได้ ไม่มีปัญหา”

หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยคำอำลาและจากไป

หลังจากส่งลูกสาวของตัวเองเรียบร้อย เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทของตัวเอง

ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการในวันนี้

ในออฟฟิศ อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเรื่องของถวนถวนและเปียโน

การฝึกซ้อมที่คอนโดอาจมีเสียงดังจนทำให้เพื่อนบ้านร้องเรียนได้ แถมสถานที่มันก็เล็กไปสักหน่อยกับการนำเปียโนตัวใหญ่ไปวาง

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงเรียกผู้จัดการหวังให้เข้ามาหา

“ผมต้องการให้บริษัทของเรามีห้องเปียโน ผมต้องการให้ทุกอย่างเรียบร้อยในวันนี้”

“หา?”

ผู้จัดการหวังตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งนี้

พวกเขาเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกล การมีห้องเปียโนในบริษัทมันจึงดูแปลกสุดกู่!

“ท…ท่านประธาน นี่คุณพูดจริงงั้นเหรอ?”

เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“ผมจริงจัง! ยิ่งไปกว่านั้นผมต้องการให้ห้องเปียโนสมบูรณ์แบบที่สุด เอาแบบที่มืออาชีพใช้งาน!”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง สีหน้าของเขาแน่วแน่มาก

“ลูกสาวของผม ถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโน ดังนั้นในอนาคตผมอาจจะให้ลูกสาวมาซ้อมที่นี่”

เนื่องจากการซื้อเปียโนไปไว้ที่คอนโดไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงแก้ปัญหาโดยการสร้างห้องเปียโนในบริษัทมันซะเลย

ผู้จัดการหวังพูดไม่ออกเกี่ยวกับเรื่องนี้

ประธานของเขาตามใจลูกมากเกินไปหน่อยไหม? พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองชอบไปเล่นที่สวนสนุก ประธานของเขาก็สร้างสวนสนุกในบริษัทขึ้นมา และมาตอนนี้พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองไปเรียนเปียโนมาแล้วดันเก่ง ประธานของเขาก็สั่งให้สร้างห้องเปียโน…

“รับทราบครับท่านประธาน! ไม่มีปัญหา บริษัทมีห้องเก็บเสียงที่สร้างเสร็จเอาไว้อยู่แล้ว เราแค่ต้องปรับเปลี่ยนมันนิดหน่อย วันนี้วันเดียวก็น่าจะเสร็จ”

อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการหวังก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ตอนนี้กิจการบริษัทกำลังไปได้สวยมาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อย

ในตอนเย็น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปรับถวนถวน เขาก็บอกข่าวดีกับลูกสาวของตัวเอง

“จริงเหรอ พ่อจ๋า! หนูจะมีเปียโนเป็นของตัวเองงั้นเหรอ!”

เด็กน้อยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากเรียนเปียโนมาได้เป็นเดือน เธอก็ตกหลุมรักเปียโนเข้าเต็มเปา

“แน่นอน!”

อวี้ฮ่าวหรานยืนยัน

บทที่ 340 ตำหนักคุมกฎ
บทที่ 340 ตำหนักคุมกฎ

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายให้เปลืองน้ำลายโดยไม่จำเป็น เพราะเขาตั้งใจจะกวาดล้างองค์กรนักฆ่านี้ให้หมดไปจากโลกเพื่อยุติปัญหาที่อาจจะเกิดอีกในอนาคต!

องค์กรอสรพิษสร้างความรำคาญให้เขาหลายครั้งแล้ว เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้องค์กรนี้ลอยนวลต่อไปได้อีก!

‘กร๊อบ!’

อวี้ฮ่าวหรานกระทืบไปที่แขนของอสรพิษเงินอีกครั้ง จนมีเสียงกระดูกแหลกดังลั่น!

อสรพิษเงินที่กำลังเสียสติอยู่นั้น เมื่อถูกกระทืบอีกครั้งเขาก็ได้สติจากความเจ็บปวดที่สั่งสมรุนแรง และตอบสนองทันที

“อ๊ากกก แขนฉัน! อ๊ากกก! ไอ้สารเลว!”

ความเจ็บปวดรุนแรงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยผ่านการฝึกทนการถูกทรมานมาก่อน ดังนั้นตอนนี้ใบหน้าของเขาจึงบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด

สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง

“ฉันถามแกหน่อย สาขาใหญ่ขององค์กรอสรพิษของแกอยู่ที่ไหน?”

“ส…สาขาใหญ่?”

อสรพิษเงินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายต้องการจะไปที่สาขาใหญ่ของพวกเขา!

‘กร๊อบ!’

อวี้ฮ่าวหรานขี้เกียจเกินกว่าจะพูดไร้สาระกับอีกฝ่าย เขายกเท้าขึ้นและกระทืบลงไปที่แขนอีกข้างของอสรพิษเงินอีกครั้ง!

กระดูกแขนอีกข้างของอสรพิษเงินแหลกในทันที!

“อ๊าก!! ฉันพูด! ฉันพูดแล้ว!!!”

อสรพิษเงินทนความเจ็บปวดไม่ไหว ใบหน้าของเขาซีดมาก และหน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก

“ต…แต่ฉันไม่รู้จักที่ตั้งของสาขาใหญ่จริง ๆ ฉันรู้แค่สถานที่ตั้งของตำหนักคุมกฎซึ่งมันอยู่แถวเมืองจงซิง ที่อยู่คือ…”

เขารีบบอกทุกอย่างที่เขารู้

หลังจากฟังคำอธิบายโดยละเอียดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็เหลือบมองอีกฝ่าย และหลังจากยืนยันว่าข้อมูลที่ได้รับมาเป็นของจริง เขาก็กระทืบไปที่หน้าอกทำลายหัวใจของอสรพิษเงินจนแหลกเละ

คนที่มีจิตใจชั่วช้าบิดเบี้ยวแบบนี้ไม่คู่ควรอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป!

“ฮ่าวหราน…คุณ…”

ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้รับการช่วยเหลือ แต่เฉิงชิวอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นไหวเมื่อเห็นความแข็งแกร่งของคนที่เธอรักเหนือล้ำขนาดนี้

มีใครในโลกนี้ที่เทียบกับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอได้รึเปล่า?

“ไปกันเถอะ!”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตอบข้อสงสัยของอีกฝ่าย ตอนนี้เขาแค่อยากจะจัดการปัญหาองค์กรอสรพิษให้มันจบลงโดยเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยในตอนนี้ ตำหนักคุมกฎอะไรนั่นจะต้องถูกทำลาย!

ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงโผล่หน้ามาก่อกวนเขาอีกแน่ในเวลาไม่นาน

หลังจากปลดเชือกของเฉิงกัวอัน อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณของเขาเข้าไปสลายพิษในร่างของอีกฝ่ายและปลุกให้ตื่น

“ย…อย่านะ! แกอย่าทำลูกของฉัน…”

ทันทีที่เฉิงกัวอันตื่นขึ้น เขาก็อุทานทันที ราวกับว่าเขายังคงจมอยู่ในเหตการณ์ก่อนที่เขาจะสลบไป

แต่เมื่อเขาเห็นลูกสาวของเขาและอวี้ฮ่าวหรานยืนอยู่ข้างหน้าเขา เขาก็ได้สติ

“ฮ่าวหราน…นายช่วยฉันอีกแล้วเหรอ?”

ดวงตาของเขาดูงุนงงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รู้ว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้ว

“พ่อ! ใช่แล้ว! ฮ่าวหราน ช่วยชีวิตเราไว้อีกครั้งแล้ว!”

เฉิงชิวอวี้ช่วยพยุงพ่อของเธออย่างรวดเร็ว

“แล้ว… แล้วอสรพิษเงินขององค์กรอสรพิษล่ะ?”

แต่แล้วเมื่อเขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ และเห็นศพของอสรพิษเงิน เขาก็เบนสายตากลับมามองที่ชายหนุ่มตรงหน้าเขาอย่างเหลือเชื่อ เขาตกตะลึงเกินบรรยาย

ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชายหนุ่มที่เขาเคยคิดแค่จ้างเอาไว้ชั่วคราวให้ปกป้องลูกสาวของเขาจะไร้เทียมทานถึงขนาดฆ่าอสรพิษเงินได้แบบนี้!

“นั่นมัน…มันคืออสรพิษเงิน!”

เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ตั้งแต่ในอดีต อสรพิษเงินคนนี้เป็นตัวตนที่เขากลัวมาตลอด เขาเคยแม้กระทั่งฝันร้ายว่าถูกชายคนนี้จับตัวไปทรมานด้วยซ้ำ!

แต่เวลานี้…

“ตาย! ในที่สุดมันก็ตาย!”

เฉิงกัวอันมีน้ำตา เขามองไปที่ศพที่น่าสังเวช หัวใจของเขาตื่นเต้นอย่างท่วมท้น!

หลายปีแห่งความหวาดกลัวในใจฉัน หายไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเก็บความขมขื่นอีกต่อไป

ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะในความคิดของเขาปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุดนั้นไม่ต่างอะไรกับมดที่เขาจะบี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้หากโผล่มาขวางทางเขา

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาต่อไปสำคัญกว่า

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงมองไปที่คู่พ่อลูกที่อยู่ข้างหน้าเขา

“พวกคุณกลับไปก่อนเถอะ ผมมีเรื่องต้องจัดการ”

เฉิงกัวอันพอจะเดาได้ทันทีว่า อวี้ฮ่าวหรานต้องการทำอะไรต่อ

“เรื่องที่นายกำลังจะไปจัดการ…มันเกี่ยวกับองค์กรอสรพิษใช่ไหม?”

“ถูกต้อง ผมจะไปตัดรากถอนโคนพวกมัน!”

“แต่…แต่ผู้นำองค์กรอสรพิษนั้นแข็งแกร่งเหนือล้ำจนไม่มีใครหยั่งถึงได้ ว่ากันว่าต่อให้ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุดรุมเขานับสิบ เขาก็สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ฉันเกรงว่า…”

“แล้วไง?”

อวี้ฮ่าวหรานรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลแทนตัวเขา แต่เขามีความมั่นใจมากเกินพอ ดังนั้นเขาจึงพูดขัดจังหวะขึ้นและเดินนำลงไปข้างล่างทันที

หลังจากลงไปข้างล่าง เฉิงกัวอันก็ไม่ได้พยายามพูดโน้มน้าวให้หยุดอวี้ฮ่าวหรานอีกต่อไป

เขาเห็นความแน่วแน่และความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในแววตาของอวี้ฮ่าวหราน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะพูดห้ามอะไรอีกเพราะมันคงไม่มีประโยชน์

“งั้นพวกเรากลับก่อนแล้วกันนะ”

วันนี้เขาเพิ่งเข้าใจได้ถึงสิ่งหนึ่ง การที่คนอย่างเขาเอาตัวเองเป็นที่ตั้งและคิดแทนคนที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นอวี้ฮ่าวหราน มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าตอบกลับ จากนั้นเขากลับขึ้นรถและขับออกไปอย่างรวดเร็ว

ที่อยู่ที่อสรพิษเงินให้มานั้นมันอยู่ในเมืองใกล้เคียง ซึ่งเขาต้องขับรถอย่างน้อยสองชั่วโมง ดังนั้นเขาจึงไม่อยากล่าช้าไปแม้เพียงครึ่งนาที

เฉิงกัวอันมองตามหลังอวี้ฮ่าวหราน จนรถสปอร์ตสีเหลืองหายไปจากสายตาแล้วจากนั้นเขาก็ถอนหายใจยาว

“เฮ้อ…คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้”

แต่ในขณะเดียวกันนี้ เฉิงชิวอวี้ก็กระตุกแขนเสื้อพ่อของเธอและแถมขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“พ่อ! ถ้าเรื่องในวันนี้ไม่เกิดขึ้น อีกนานไหมกว่าพ่อจะบอกหนูเกี่ยวกับความลับของพ่อ?”

เธอเพิ่งรู้วันนี้ว่าพ่อของเธอที่ใจดีกับเธอมาตลอด มีอดีตที่น่าระทึกใจเช่นนั้น

“พ่อ…เฮ้อ…”

เมื่อเฉิงกัวอันได้ยินเช่นนี้ เขาก็คิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตของตัวเองและตัดสินใจว่าวันนี้เขาควรบอกเรื่องทั้งหมดให้กับลูกสาวตัวเองได้รู้

“ที่พ่อไม่ได้บอกลูกเรื่องนี้ตั้งแต่แรกเพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไปและพ่อเกรงว่ามันจะส่งผลกระทบถึงลูก”

“คนพวกนี้แข็งแกร่งที่ไหนกัน? หนูไม่เห็นว่าฮ่าวหรานจะจัดการคนพวกนั้นลำบากตรงไหนเลย?”

เฉิงชิวอวี้งุนงงเนื่องจากเธอไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพลังวิญญาณหรือพลังภายใน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าพวกองค์กรอสรพิษนั้นไร้น้ำยา

“ลูกไม่เข้าใจหรอกว่าองค์กรอสรพิษทรงพลังแค่ไหน! พวกเขาเป็นองค์กรนักฆ่าที่ชั่วร้ายซึ่งมีสาขากระจายอยู่ถึงครึ่งหนึ่งของประเทศจีน!”

“แล้วไง หนูเป็นลูกสาวของพ่อ! หนูเคยแสดงความขี้ขลาดให้พ่อเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็ได้! พ่อจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมดเมื่อเรากลับถึงบ้าน!”

เฉิงกัวอันรู้สึกท้อแท้ เขารู้ว่าวันนี้เขาคงไม่สามารถปกปิดอะไรได้อีกแล้ว

ทั้งสองจึงขึ้นแท็กซี่กลับบ้านทันที

อีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานกำลังเหยียบคันเร่งจนมิด!

ประสาทสัมผัสที่เฉียบแหลมทำให้เขาสามารถรับมือกับความเร็วของรถได้แบบสบาย ๆ

สองชั่วโมงต่อมา เขาก็ขับไปถึงเขตชานเมืองของเมืองถัดไปตามที่อยู่ที่อสรพิษเงินบอกมา

มีคฤหาสน์ขนาดใหญ่หลายหลังที่นี่

แม้ว่าคฤหาสน์พวกนี้ดูเหมือนว่าถูกสร้างขึ้นโดยคนรวยบางคน แต่ที่จริงแล้ว นี่คือฐานที่มั่นของตำหนักคุมกฎขององค์กรอสรพิษ!

แต่แล้วทันทีที่เขาหยุดรถ บรรดารปภ. ที่เฝ้าอยู่นอกกลุ่มคฤหาสน์ก็สังเกตเห็นเขาทันที!

บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน
บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน

“โอ้! อรุณสวัสดิ์ครับรองประธานหลี่! ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ทั้งสองนี้ต้องการพบท่านประธานอวี้จของเรา แต่พวกเขาไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าหรือใบรับรองใด ๆ เลย”

เมื่อรปภ. เห็นว่าเป็นหลี่จิงเทียนที่เอ่ยทัก เขาก็แสดงความเคารพในทันที

หลี่จิงเทียนหรี่ตาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และพบว่าเขาไม่รู้จักสองคนนี้เลย

“อยากเจอพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า ล้อเล่นรึเปล่า คนธรรมดาจะเข้าพบพี่เขยของฉันง่าย ๆ ได้ยังไง?”

เขาแสดงสีหน้าดูหมิ่นและคิดว่าสองคนนี้น่าจะมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา

อันที่จริง เขาลืมไปเลยว่าเขาเคยเจอสวีรุ่ย และเคยพยายามจะรังแกเธอมาก่อน แต่เนื่องจากมันนานมากแล้วและหลังจากนั้นก็มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับเขามากมายจนเขาลืมเหตุการณ์เล็ก ๆ นั้นไปซะสนิท

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉากนี้สวีเซี่ยงจวินก็รีบเดินเข้ามาหา

“คุณ…คุณเป็นรองประธานหลี่งั้นเหรอครับ? คือว่าเมื่อวานท่านประธานอวี้บอกกับพวกเราว่าให้เรามาพบเขาที่นี่วันนี้ คุณช่วยแจ้งท่านประธานให้พวกเราหน่อยจะได้ไหม?”

เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่จิงเทียนที่แสดงสีหน้าหยิ่งผยอง ท่าทางของสวีเซี่ยงจวินก็ยิ่งนอบน้อมมากขึ้น

แต่ใครคือหลี่จิงเทียน?

“ฮ่าฮ่า แกนี่ตลกจริง ๆ! แกต้องการพบกับพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? นี่แกฝันอยู่รึไง?”

เขามองสวีเซี่ยงจวินตั้งแต่หัวจรดเท้า คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ

“แกโชคดีมากเลยนะที่เช้านี้ฉันอารมณ์ดีมาก ไม่งั้นล่ะก็ฉันคงออกจากรถไปตบหน้าของแกแล้ว แกนี่ไม่รู้จักเจียมตัวซะเลย!”

“แต่…แต่ประธานอวี้บอกให้ผมมาจริง ๆ…”

สวีเซี่ยงจวิน ตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายและลังเล

“พ่อคะ พ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้วเดี๋ยวหนูขอโทรหาเขาก่อนดีกว่า เมื่อวานเขาบอกว่าให้เราโทรหาเมื่อเรามาถึงบริษัท!”

สวีรุ่ยก้าวออกมาขวางไว้และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรออก

“โอ้! ใช่! ใช่! เรายังไม่ได้โทรเลย!”

สวีเซี่ยงจวินพยักหน้ารัวและพูดขึ้นด้วยความดีใจราวกับว่าเขาเพิ่งหาทางออกจากเขาวงกตที่น่ากลัวได้

“โทรหางั้นเหรอ? เหอะ คนอย่างพวกแกไม่มีทางมีเบอร์โทรของพี่เขยฉันหรอก!”

หลี่จิงเทียนรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจึงบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในใจ

การโทรเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว

“ฮัลโหล คือ…คือว่าเรามาถึงแล้ว”

“หืม? มาแต่เช้าเลยงั้นเหรอ? ทำไมคุณถึงไม่โทรหาผมล่วงหน้าก่อน ตอนนี้ผมยังไปไม่ถึงบริษัทเลย”

“ค…คือฉันลืมไป แต่ตอนนี้เราเข้าไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกักตัวเราเอาไว้…”

สวีรุ่ยบอกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็น เธอก็ไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายจริงๆ ทว่าในเดียวกันนี้ หลี่จิงเทียนกลับขนลุกไปทั่วทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงที่ลอดออกมาจากโทรศัพท์ของสวีรุ่ย

“น…นั่นมันเสียง…เสียงของพี่เขยของฉันจริง ๆ!”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินเสียงของหลี่จิงเทียนลอดมาทางโทรศัพท์ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที!

“คุณยื่นโทรศัพท์ของคุณให้ไอ้โง่ที่อยู่ไม่ไกลจากคุณที!”

หลี่จิงเทียนเป็นคนที่มีนิสัยชอบรังแกคนอื่นและมองคนธรรมดาทั่วไปต่ำกว่าตัวเองเสมอมา ดังนั้นอวี้ฮ่าวหรานจึงคาดเดาสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายจากน้ำเสียงที่ดูตื่นตระหนกของหลี่จิงเทียน

สวีรุ่ยตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน และเธอก็เดาได้ว่า ‘ไอ้โง่’ ที่อวี้ฮ่าวหรานหมายถึงนั้นคือใคร

“เอ่อ…รองประธานหลี่ พี่เขยของคุณขอให้คุณคุยกับเขา”

เธอยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน อันที่จริงเธอจำได้ว่าหลี่จิงเทียนเป็นคนที่เคยพยายามรังแกเธอมาก่อน

ทางด้านของหลี่จิงเทียน เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าคู่พ่อลูกนี้รู้จักกับพี่เขยของเขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่หลงเหลือความหยิ่งผยองอีกต่อไป

“พ…พี่เขย…อรุณสวัสดิ์พี่เขย”

“หลี่จิงเทียน!”

เสียงตะคอกจากปลายสายดังขึ้นอย่างชัดเจนจนทำให้มือของหลี่จิงเทียนสั่นริก ๆ จนแทบจะจับโทรศัพท์ไม่อยู่…

“พ…พี่เขย…พี่อย่าเพิ่งโกรธผมสิ…”

เมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินเสียงที่ดูไม่พอใจอย่างรุนแรงของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาก็ขมขื่น!

“แกยังมีหน้ามาบอกให้ฉันไม่โกรธอีกงั้นเหรอ! สองคนนั้นเป็นเพื่อนของฉัน เมื่อกี้แกทำตัวหยาบคายอีกแล้วใช่ไหม!”

แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อวี้ฮ่าวหรานรู้ดีว่าสันดานของ หลี่จิงเทียนเป็นอย่างไร

เขาไม่ต้องการให้สวีรุ่ยไม่สบายใจด้วยเหตุนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองส่วนหนึ่งกับเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น

ระบบความปลอดภัยของเครือฮ่าวหรานถูกปรับปรุงให้เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าหลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวผู้บริหารที่ผ่านมา ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะเข้าไปในบริษัทได้โดยไม่มีใบรับรองหรือการนัดหมายล่วงหน้า

เมื่อวานมันฉุกละหุกเกินไปหน่อยจนเขาลืมแจ้งเรื่องนี้กับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทตัวเอง

“ผม…ผมผิดไปแล้ว…พี่เขย…”

หลี่จิงเทียนมีสีหน้าขมขื่นเมื่อเขาโดนตะคอกด่า และเขาก็ไม่กล้าโต้เถียงเลย ดังนั้นเขาจึงรีบขอโทษ

รปภ. ที่ดูฉากนี้ถึงกับอึ้ง แน่นอนว่า ประธานอวี้คงเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้รองประธานหลี่ที่แสนจะหยาบคายหงอถึงขนาดนี้ได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคู่ของพ่อและลูกสาวที่แต่งตัวธรรมดาด้วยความตกใจ เขาลอบถอนหายใจอยู่หลายครั้ง โชคดีที่เขาระมัดระวังพอไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายไปก่อนหน้านี้…

ไม่เช่นนั้น ตอนนี้เขาอาจจะถูกเลิกจ้างก็เป็นได้

“แกฟังฉันให้ดี ๆ นะ อีกเดี๋ยวฉันจะไปถึงบริษัท ดังนั้นในระหว่างนี้แกต้องต้อนรับเพื่อนของฉันทั้งสองให้ดี ๆ ดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่แกจะทำได้เข้าใจไหม!”

“ครับ ครับพี่เขย! ผมสัญญาว่าจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี!”

หลังจากได้รับคำสั่งจากปลายสายของโทรศัพท์แล้ว หลี่จิงเทียนก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอีกฝ่ายวางสาย เขาจึงตระหนักได้ว่าหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจำนวนมาก

พี่เขยของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว!

“เอ่อ…ตอนนี้เราเข้าไปได้แล้วใช่ไหม?”

เมื่อเห็นหลี่จิงเทียนกำลังหน้าซีด สวีรุ่ยก็ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

จากนั้นหลี่จิงเทียนก็ตอบสนองและเขาก็รีบเปิดประตูลงจากรถและรีบเดินเข้ามาประจบประแจงคู่พ่อลูกอย่างนอบน้อม

“น…แน่นอนเลย! อีกเดี๋ยวพี่เขยของผมจะมาถึง เพราะงั้นในระหว่างนี้เดี๋ยวผมจะดูแลพวกคุณเอง มาเถอะ ๆ ทำตัวตามตามสบายเหมือนที่นี่เป็นบ้านของพวกคุณเองได้เลย!”

ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปแบบ 180 องศาทันที ราวกับว่าเขาได้เห็นญาติที่เขาไม่ได้พบหน้ากันมานาน

“มาเถอะ! มาขึ้นรถของผมได้เลย! หน้าประตูนี้มันอยู่ห่างจากตึกสำนักงานพอสมควร เดินเข้าไปไม่ไหวหรอกเหนื่อยแย่เลย มา ๆ เดี๋ยวผมขับรถพาพวกคุณเข้าไปเอง!”

เมื่อพูดจบ เขาก็รีบเปิดประตูรถให้คนทั้งสองอย่างรวดเร็วและชักชวนให้ขึ้นรถ

รปภ. ที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกละอายใจมาก ๆ

ดูจากความเร็วที่พวกคนชั้นสูงสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วขนาดนี้ มันไม่แปลกเลยที่คนอย่างเขาจะเป็นได้แค่รปภ. ไปตลอดชีวิต

สวีเซี่ยงจวิน ยังคงมึนงงและกว่าที่เขาจะตอบสนองได้ก็คือตอนที่เขาถูกอีกฝ่ายลากเข้าไปนั่งในรถ BMW แล้ว

ทั้งสองขึ้นรถ และคราวนี้ไม่มีรปภ. คนไหนกล้าหยุดพวกเขาอีกต่อไป

“โธ่ เมื่อกี้พวกคุณก็ไม่ยอมบอกก่อนว่าพวกคุณเป็นเพื่อนของพี่เขยของผม เอาล่ะ เดี๋ยวในระหว่างตอนที่พี่เขยของผมยังไม่มา พวกคุณเข้าไปนั่งรอในออฟฟิศของผมก่อน ข้างในออฟฟิศของผมสะดวกสบายที่สุดในบริษัทแล้ว!”

หลี่จิงเทียนพยายามเอาอกเอาใจจนสวีรุ่ยและพ่อของเธอเริ่มรู้สึกอึดอัด

แน่นอนว่าสาเหตุที่หลี่จิงเทียนยอมลงทุนทำถึงขนาดนี้เป็นเพราะเขากลัวพี่เขยของเขา

“อืม…จริง ๆ แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้”

สวีรุ่ยชักจะทนไม่ไหว เธอไม่คุ้นชินกับการได้รับการปฏิบัติแบบนี้

“โธ่ ๆ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก! ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินของพี่เขยผมทั้งหมด และคุณก็เป็นเพื่อนกับเขา ดังนั้นคุณสามารถทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”

หลี่จิงเทียนยิ้มร่าและค่อย ๆ ขับรถเข้าไปในลานจอดรถ

จากนั้นเขาก็พาคู่พ่อลูกขึ้นไปที่ออฟฟิศของเขาเอง

สวีรุ่ยตกตะลึงเมื่อเห็นออฟฟิศส่วนตัวของอีกฝ่าย

“นี่…นี่มันห้องทำงานของคุณเหรอ รองประธานหลี่? นี่มันใช่ห้องทำงานจริง ๆ งั้นเหรอ…”

เธอไม่รู้จะอธิบายยังไง นี่มันออฟฟิศแบบไหนกัน?

โต๊ะพูล โปรเจคเตอร์ กอล์ฟในร่ม…

เธอเห็นเครื่องเล่นเกมอีกหลายเครื่องตรงมุมห้องด้วย!

ที่นี่มีวิธีความบันเทิงขั้นพื้นฐานทั้งหมด!

“เป็นไงล่ะ สุดยอดเลยใช่ม้า? กว่าที่ผมจะแต่งห้องได้ขนาดนี้เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่แน่ะ! เอาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ อยากเล่นอะไรพวกคุณเล่นได้เลย ทำตัวเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”

หลี่จิงเทียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เนื่องจากเขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องทำอะไรในบริษัทอยู่แล้วและพี่เขยรวมไปถึงพ่อของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าการที่เขาแต่งห้องแบบนี้มันผิดตรงไหน

แต่แน่นอนว่า สวีรุ่ยกับพ่อของเธอไม่กล้าทำตัวตามสบายเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ ในห้องนี้ตามที่หลี่จิงเทียนอนุญาต พวกเขาทั้งคู่จึงเอาแต่นั่งรอที่โซฟาอย่างเงียบ ๆ

พวกเขารู้สึกทึ่งกับขนาดของบริษัทนี้ และในทางกลับกัน พวกเขาก็พูดไม่ออกเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของหลี่จิงเทียนที่ย่ำแย่เมื่อเจอคนที่ดูต่ำกว่า และสามารถเปลี่ยนบุคลิกได้อย่างทันควันเมื่อพบว่าพวกเขาเป็นคนรู้จักของอวี้ฮ่าวหราน

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

Status: Ongoing
ในที่สุด… มหาจักรพรรดิแห่งมวลเทพ ‘อวี้ฮ่าวหราน’ ก็สามารถกลับมาที่โลกได้สำเร็จ.. ! 3 หมื่นปี เขาต้องติดอยู่ในดินแดนแห่งเทพเจ้านานถึง 3 หมื่นปีหลักจากตกหน้าผาและเกิดใหม่ในดินแดนเหนือจินตนาการ !!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท