บทที่ 342 ปีศาจ
บทที่ 342 ปีศาจ
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่คนที่โง่เขลาเหล่านี้อย่างขบขัน
“นี่พวกแกยังนึกไม่ออกอีกเหรอไงว่าฉันเป็นใคร? พวกแกไล่กัดฉันเหมือนหมาบ้ามาหลายรอบแล้ว และล่าสุดพวกแกก็ส่งไอ้อสรพิษเงินนั่นมาให้ฉันกระทืบตาย คราวนี้พวกแกนึกออกแล้วหรือยัง?”
“ก…แกคืออวี้ฮ่าวหราน!!”
ในที่สุด เมื่อได้ยินชื่อรองเจ้าตำหนัก นักฆ่าชุดดำที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในขั้นสูงก็ตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง!
เขาคือคนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในระดับสูงของตำหนักคุมกฎ ดังนั้นจึงรู้ข้อมูลว่ารองเจ้าตำหนักออกไปทำภารกิจสังหารใครเมื่อล่าสุดนี้
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้รองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินไม่ได้กลับมา แต่อีกฝ่ายกลับโผล่มาแทน…
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?!
“แกฆ่ารองเจ้าตำหนักของเราไปแล้วเหรอ!?”
ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อการคาดเดาของตัวเองนัก
ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าเขาอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ เท่านั้นเอง
เป็นไปได้อย่างไรที่ชายหนุ่มอายุแค่นี้สามารถฆ่ารองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในขั้นสูงสุดได้?
“นี่แกเป็นเฒ่าปีศาจอายุร้อยปีที่เอาหนังมนุษย์มาสวมหรือไง!?”
เขามองที่ใบหน้าของอวี้ฮ่าวหรานอย่างสับสน ทั้งความแข็งแกร่งและอารมณ์ที่ไม่สั่นไหวของชายหนุ่มนั้นไม่สอดคล้องกับรูปลักษณ์ภายนอกที่อายุน้อยเป็นอย่างมาก
“ฉีกหนังมนุษย์ที่แกสวมออกซะ! ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าแกเป็นปีศาจเฒ่าแบบไหนที่มาจัดการกับพวกเรา!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ปีศาจเฒ่า??
แม้ว่าตัวเองจะอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งเทพมานานกว่าสามหมื่นปี แต่เขาก็มีอายุเพียง 24 ปีเท่านั้นในโลกมนุษย์ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเรียกเขาว่าปีศาจเฒ่าเนี่ยนะ?
แต่ถ้ามองในมุมที่เอาอายุของทั้งสองโลกมารวมกัน ชายหนุ่มก็คงเป็นปีศาจเฒ่าจริง ๆ ซึ่งเรื่องนี้เขาคงเถียงไม่ได้…
“หยุดไร้สาระสักที รีบไปเรียกเจ้าตำหนักของแกออกมาได้แล้ว ฉันไม่อยากไล่ฆ่าพวกแกทีละคนให้เสียเวลา มันน่าเบื่อ!”
วันนี้สิ่งที่เรียกว่าตำหนักคุมกฎ เขาจะต้องทำลายมันให้หมดอย่างแน่นอน!
“ฮึ่ม! ถึงแม้ว่าแกจะแข็งแกร่ง แต่อย่าคิดว่าพวกเราจะกลัวแก! พวกเราโจมตี!”
เมื่อเห็นว่าคงไม่สามารถเจรจาอะไรกันได้อีก นักฆ่าชุดดำก็พ่นลมหายใจ ก่อนที่จะโบกมือสั่งคนของตัวเองทั้งหมดให้รุมอวี้ฮ่าวหราน ทันที
ด้วยคำสั่ง นักฆ่าขอบเขตพลังภายในมากกว่าหนึ่งโหลที่ล้อมรอบอวี้ฮ่าวหรานอยู่ต่างพึมพำคาถาบางอย่างและโบกมือไปมาอย่างพร้อมเพรียง!
แค่เวลาเพียงเสี้ยวพริบตาในขณะที่พวกนักฆ่าท่องคาถา หมอกพิษสีเขียวอ่อนค่อย ๆ แพร่กระจายออกจากแขนเสื้อของพวกเขา!
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาดของหมอกพิษนี้
“หืม? หมอกพิษนี้สามารถกัดกร่อนพลังวิญญาณของฉันได้ด้วย? ของดีนี่นา!”
เขาสัมผัสได้ถึงพลังกัดกร่อนของหมอกพิษนี้ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มแปลกใจนิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้กลับเป็นเหมือนการดูถูกอย่างสุดแสนต่อพวกนักฆ่าองค์กรอสรพิษ!
“ไอ้เฒ่าปีศาจ แกอย่าปากดีให้มากนัก! ถึงแม้ว่าแกจะแข็งแกร่ง แต่ตราบใดที่อยู่ในขอบเขตพลังภายใน แกก็ไม่มีทางรอดจากสุดยอดพิษของพวกเราได้แน่!”
แววตาของนักฆ่าชุดดำที่เป็นผู้นำนั้นดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่าพลังวิญญาณคืออะไร เขาคิดแค่ว่ามันน่าจะเป็นอีกชื่อหนึ่งของพลังภายใน
ในไม่ช้า หมอกพิษที่ล่องลอยอยู่ก็ค่อย ๆ ควบแน่น และในที่สุดมันก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นงูพิษสีเขียวอ่อนตัวขนาดมหึมาลอยอยู่
มันดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก…
แต่ขนาดค่ายกลที่นับได้ว่ายอดเยี่ยมในโลกนี้ของอู๋หลั่น อวี้ฮ่าวหรานยังสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นค่ายกลแบบนี้ที่อ่อนแอกว่าอย่างชัดเจนจะทำอะไรอวี้ฮ่าวหรานได้?
“ภายนอกดูดี แต่น่าเสียดายที่แก่นแท้ของมันกลับกลวงโบ๋!”
อวี้ฮ่าวหรานไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เนตรเทวะเพ่งหาจุดอ่อนด้วยซ้ำ เขาโคจรพลังวิญญาณและโบกมือซัดคลื่นพลังวิญญาณมหาศาลถาโถมเข้าหางูพิษยักษ์โดยตรง!
วินาทีถัดมา เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ทำให้พวกนักฆ่าต่างตะลึงพรึงเพริด
เงาพิษยักษ์ที่เกิดจากหมอกพิษที่ควบแน่น แทนที่จะกลืนพลังวิญญาณของอวี้ฮ่าวหรานเข้าไป มันกลับถูกบดขยี้ด้วยคลื่นพลังวิญญาณอันมหาศาลซะเอง!
“น…นี่มันบ้าอะไรกัน!!”
“มันเป็นไปได้ยังไง!?”
เมื่อเห็นฉากที่น่าทึ่งนี้ นักฆ่าทุกคนก็ตกตะลึง!
แต่คลื่นพลังวิญญาณของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น คลื่นพลังยังคงแผ่กระจายกวาดล้างต่อไปอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลง!
บรึ้ม!
บรรดานักฆ่าชุดดำต่างโคจรพลังของตัวเองเพื่อสร้างเกราะป้องกันทันทีอย่างเร่งรีบ เมื่อพวกเขารู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่กำลังถาโถมเข้าหา!
นี่ไม่ใช่พลังที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตพลังภายในควรจะมีเลย!
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเขา ก่อนที่ร่างของพวกนักฆ่าทั้งหมดจะถูกกระแทกจนปลิวไปราวกับว่าวสายป่านขาด!
วินาทีถัดมา ค่ายกลงูพิษยักษ์ก็แตกสลายไปจนหมดสิ้น!
แค่การระเบิดคลื่นพลังวิญญาณเพียงครั้งเดียว อวี้ฮ่าวหรานก็สามารถสังหารเหล่านักฆ่าชุดดำที่เพิ่งช่วยกันประสานค่ายกลจนหมด!
ในท้ายที่สุดก็เหลือเพียงผู้ที่เป็นผู้นำกลุ่มเท่านั้น
“เจ้าตำหนักของแกอยู่ที่ไหน?”
อวี้ฮ่าวหรานพุ่งเข้าไปประชิดตัวและกุมคออีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
“ฉัน…ฉันไม่รู้”
ดวงตาของผู้นำกลุ่มนักฆ่าเต็มไปด้วยความสยดสยอง เขาไม่เคยเห็นใครที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นเทพสวรรค์ที่เสด็จลงมายังโลก และทำลายค่ายกลของพวกเขาตามความประสงค์
ในเวลานี้เองที่เขาเพิ่งเข้าใจว่าองค์กรอสรพิษของเขาได้ยั่วยุตัวตนที่พวกเขาไม่อาจต่อกรได้เข้าให้แล้ว!
ไม่น่าแปลกใจที่รองเจ้าตำหนักอสรพิษเงินจะตายไปอย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะตกใจกลัวมากขนาดไหน เขาถามขึ้นอีกรอบอย่างเย็นชา
“แกแน่ใจนะว่าแกไม่รู้?”
“ฉัน…อ๊ากกก! ไม่…”
นักฆ่าต้องการจะปฏิเสธ แต่จู่ ๆ แขนของเขาก็ถูกบีบจนกระดูกแหลก แล้วก็กรีดร้องทันที
“แกฆ่าฉัน แกฆ่าฉันซะเลยสิ!!”
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ใบหน้าของเขาซีดเซียวและมีเหงื่อออกทั่วหน้าผากของเขา!
กร๊อบ!
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย และค่อย ๆ ไล่บีบแขนของอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าจะบดกระดูกแขนทั้งแขนให้แหลกเละทุกตารางนิ้ว
“แกสามารถเลี่ยงความเจ็บปวดได้ ถ้าแกยอมพูดความจริง”
ตราบใดที่อวี้ฮ่าวหรานจ้องมองอย่างตั้งใจ เขาก็สามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกหรือไม่
“ฉัน…ฉันยอมบอกแล้ว!”
ในที่สุดนักฆ่าก็ทนไม่ไหว และพูดออกมาอย่างสั่นสะท้าน
“เจ้าตำหนักของเรากำลังฝึกอยู่ในห้องใต้ดิน ใต้คฤหาสน์กลาง”
“ยอมบอกมาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว ทนทรมานให้ฉันเสียเวลาไปทำไม?”
อวี้ฮ่าวหรานมองอีกฝ่ายอย่างดูถูก คนบางคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!
เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการมาเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ไม่อยากพูดไร้สาระกับอีกฝ่ายอีก อวี้ฮ่าวหรานจัดการหักคออีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว และโยนศพทิ้งไปอย่างไม่แยแส
สำหรับคนเหล่านี้เขาไม่จำเป็นต้องให้เกียรติ
องค์กรนักฆ่าได้สังหารผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วน
คนในองค์กรนี้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไปอีก
หลังจากรู้ตำแหน่งที่แน่นอนของเจ้าตำหนักคุมกฎ อวี้ฮ่าวหรานก็วิ่งรีบไปที่คฤหาสน์กลางอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง หากมีพวกนักฆ่าคนไหนเข้ามาขวางทาง เขาก็จะฆ่าพวกมันจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว!
โครม!
ด้วยการซัดพลังวิญญาณเข้าใส่ ประตูของคฤหาสน์ก็พังทลายลงทันที!
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาก้าวเข้าไป ลูกศรพิษจากหน้าไม้อันเขื่องหลายสิบลูกก็พุ่งเข้ามาแทบจะพร้อมกัน!
ลูกศรหน้าไม้พวกนี้หากถูกยิงจากระยะไม่ไกล ความเร็วของพวกมันจะเร็วกว่าลูกปืนธรรมดาซะอีก หากเป็นคนธรรมดาคงโดนยิงจนพรุนโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโดนอะไรเข้าไปและตายโดยที่ไม่มีโอกาสตอบโต้เลย
แต่สำหรับอวี้ฮ่าวหราน ความเร็วของลูกศรพิษจากหน้าไม้เหล่านี้ไม่ใช่ภัยคุกคามเลย!
เขาโบกมืออย่างรวดเร็วซัดคลื่นพลังวิญญาณให้กระจายไปทั่วด้านหน้า!
ลูกศรพิษที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ทันทีเมื่อสัมผัสกับคลื่นพลังวิญญาณของอวี้ฮ่าวหราน!
“นี่! นี่มันเป็นสัตว์ประหลาดหรือเปล่า!?”
“ไม่…เป็นไปไม่ได้!”
ถึงแม้ว่านักฆ่าพวกนี้จะได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาเมื่อได้เห็นฉากที่น่ากลัวเช่นนี้
“การโจมตีของพวกแกจบแล้วเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่เหล่านักฆ่าที่ถือหน้าไม้อยู่อย่างเยาะเย้ย และเจตนาฆ่าก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา!
“ถ้างั้นก็ตาฉันบ้างละนะ!”
บทที่ 336 ตำแหน่งงานเฉพาะ
อวี้ฮ่าวหรานรีบส่งถวนถวนและขับรถไปที่เครือฮ่าวหราน
เมื่อวานเขาลืมบอกอีกฝ่ายว่าปกติเขาไม่ได้เข้าบริษัทเร็วเหมือนคนอื่น
ปกติกว่าเขาจะเข้าบริษัทก็ปาเข้าไปเก้าโมงกว่าเพราะต้องส่งถวนถวน ก่อนเป็นอันดับแรก
ทันทีที่เขามาถึงบริษัท อวี้ฮ่าวหรานก็ตรงไปที่ออฟฟิศของหลี่จิงเทียน ทันที
เดิมทีเขากังวลว่า หลี่จิงเทียนจะทำให้ทั้งสองพ่อลูกอึดอัดใจ แต่ไม่นึกเลยว่าพอเขาไปถึง เขากลับเห็นว่าหลี่จิงเทียนกำลังพูดคุยกับสองพ่อลูกเป็นอย่างดีและดูสนิทสนม…
“…พี่เขยของฉันมีโด่งดังและเก่งสุด ๆ ก่อนหน้านี้ตระกูลหลี่ของเรา…”
ทันทีที่อวี้ฮ่าวหรานเปิดประตูเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงคุยโวของหลี่จิงเทียน
“หลี่จิงเทียน!”
“พ…พี่เขย…”
เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำของอวี้ฮ่าวหราน หลี่จิงเทียนก็หยุดชะงักในทันที
หลังจากเห็นว่านอกเหนือจากการคุยโวแล้ว หลี่จิงเทียนก็ไม่ได้ทำอะไรเกินเลย อวี้ฮ่าวหรานจึงรู้สึกโล่งใจ
ดูเหมือนว่าตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เข้าคุกไป หลี่จิงเทียนก็เปลี่ยนไปมากพอสมควร
อย่างน้อยทุกครั้งที่เจอหน้ากัน หลี่จิงเทียนก็ทำตัวเรียบร้อยขึ้นมาก
“อวี้ฮ่าวหราน คุณ…ในที่สุดคุณก็มา”
สวีรุ่ย ยืนขึ้นทันทีที่เธอเห็นอีกฝ่ายมาถึง
“อืม เมื่อวานผมรีบไปหน่อยเลยไม่ได้แจ้งกับคนในบริษัทเอาไว้ก่อนว่าพวกคุณจะมาหาผม”
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่หญิงสาวตรงหน้า เขารู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ
“ม…ไม่เป็นไรหรอก แม้ว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะหยุดเรา แต่เขาก็สุภาพกับเรามาก เช่นเดียวกับรองประธานหลี่ เขากำลังเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับบริษัทเมื่อสักครู่นี้”
สวีรุ่ยพยักหน้าและไม่ได้พูดถึงตอนที่หลี่จิงเทียนทำตัวหยาบคายกับเธอและพ่อเมื่อตอนที่อยู่หน้าประตูแรก ๆ
“ช…ใช่! ผมดูแลแขกของพี่เขยอย่างดีที่สุด ทันทีที่ผมเจอแขกของพี่เขยที่ประตู…ผม…ผมก็ต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดีจริง ๆ นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่จิงเทียนก็รีบเอ่ยเสริมปกปิดช่วงที่เขาทำพลาดไป
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองคนอื่นอย่างไม่เป็นมิตร
“ฮึ่ม นายคิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่านายเป็นคนยังไง!”
เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าน้องภรรยาตัวแสบของเขาคนนี้ไม่ได้พูดจริงทั้งหมด และพยายามพูดเอาดีเข้าตัวแบบเต็ม ๆ
หากหลี่จิงเทียนปฏิบัติตัวดีอย่างที่พูดทั้งหมด สวีรุ่ยก็คงไม่น่าจะโทรหาเขาในตอนนั้น เพื่อให้เขาช่วยอธิบายเรื่องการมาของเธอและพ่อ
อย่างไรก็ตาม หลี่งจิงเทียนก็พัฒนาตัวเองได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน พอรู้ว่าตัวเองกำลังทำผิดก็รีบแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองทันที ซึ่งดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานจึงไม่คิดอยากเอาเรื่องน้องภรรยาของเขาคนนี้อีก
“พวกคุณมากับผม เดี๋ยวผมจะพาไปหาผู้จัดการหวัง ให้เขาดูว่างานประเภทไหนที่เหมาะสมกับคุณ”
หลังจากทักทายกันเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็พาทั้งสองออกจากออฟฟิศของ หลี่จิงเทียน
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานพาคู่พ่อลูกจากไป หลี่จิงเทียนก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก เขากลัวจริง ๆ ว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของเขาจะทำให้พี่เขยไม่พอใจ จนเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งอีกรอบ
หลังจากกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาก็ตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วชีวิตของเขาดีแค่ไหน
เขาไม่ต้องทำอะไรเลย วัน ๆ มีแต่คนยกยอเขา แถมเงินเดือนของเขาก็สูงปรี้ดและโอนเข้าบัญชีโดยอัตโนมัติเมื่อครบเดือน โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากขอเหมือนตอนที่เขาอยู่บ้านกับพ่อตัวเอง
มันช่างเป็นชีวิตที่ไร้กังวลอะไรแบบนี้!
และที่สำคัญที่สุด เมื่อเทียบกับการอยู่ในคุก ความแตกต่างนี้มันเปรียบได้กับสวรรค์และขุมนรก!
“เฮ้อ…ก่อนหน้านี้ฉันคิดบ้าอะไรของฉันกันหว่า? ไหงฉันถึงทำตัวหาเรื่องเดือนร้อนแบบนั้นไปได้?”
เขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาพลางพึมพำและถอนหายใจ
ในอีกด้านหนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็พาคู่พ่อลูกเข้าไปในออฟฟิศของเขา
“นั่งลงก่อน เมื่อครู่ผมเรียกให้คนที่จะคอยดูว่าพ่อของคุณเหมาะกับตำแหน่งงานไหนให้มาที่ห้องของผมแล้ว”
เขาผายมือให้ทั้งสองคนนั่งลง และสวีเซี่ยงจวินก็ขอบคุณเขาอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ ประธานอวี้! ผมขอสาบานว่าหลังจากนี้ผมจะตั้งใจทำงาน ผมจะหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อให้รุ่ยเอ๋อร์มีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้!”
เขายังไม่ได้นั่งลงตามที่อวี้ฮ่าวหรานเพิ่งบอก แต่เขาโค้งตัวขอบคุณอย่างจริงจังเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างแท้จริง
“อืม ไม่เป็นไร”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมือให้อีกฝ่ายนั่งลง เรื่องนี้สำหรับเขาไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายทำตัวมากพิธีกับเขานัก
สักพัก ผู้จัดการหวังก็เดินเข้ามาในห้อง
“ประธานอวี้ ท่านกำลังตามหาผมอยู่หรือเปล่า?”
เขาเห็นคนอีกสองคนที่นั่งอยู่ในออฟฟิศได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงดูสับสนเล็กน้อย
“เอาล่ะ มีบางอย่างที่ผมอยากจะให้คุณช่วยจัดการให้สักหน่อย คุณช่วยดูให้ทีว่าชายคนนี้เหมาะกับงานประเภทไหนในบริษัทของเราที่สุด”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าและส่งสัญญาณให้ผู้จัดการหวังให้ความสนใจกับสวีเซี่ยงจวิน
“ให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ดีมากกว่าพนักงานทั่วไปสักหน่อยก็แล้วกัน”
“ม…ไม่ อย่าดีกว่าครับประธานอวี้! ความสามารถของผมมีจำกัด แค่ให้ตำแหน่งงานปกติกับผมก็พอ”
สวีเซี่ยงจวินโบกมืออย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ในทางกลับกัน เมื่อผู้จัดการหวังได้ยินคำสั่งนี้ เขาก็มองคู่พ่อลูกคู่นี้ด้วยความสงสัย มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำให้ประธานของเขาเอ่ยปากพูดเป็นการส่วนตัวให้แบบนี้
คำสั่งนี้เขาจำเป็นต้องจัดการให้ถี่ถ้วน!
โชคดีที่เขารู้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับบริษัท ซึ่งในไม่ช้าเขาก็มีทางเลือกหลายทางในใจ
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจ เขาต้องถามคุณสมบัติของอีกฝ่ายก่อน
ถึงแม้ว่าประธานของเขาจะต้องการมอบตำแหน่งดี ๆ ให้กับคน ๆ นี้ แต่คนผู้นี้ก็จำเป็นที่จะต้องทำหน้าที่ในตำแหน่งงานนั้น ๆ ได้เหมาะสมเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้มันจะทำให้ภาพลักษณ์ของประธานของเขาเสียหายได้
“ผมขอถามคุณสักหน่อย ปัจจุบันคุณจบการศึกษาถึงระดับไหน?”
“การศึกษา? เอ่อ…ผมแค่…ผมเรียนจบแค่ชั้นประถมศึกษา แต่ผมอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี และผมสามารถเป็นคนขนของในสายการผลิตทั่วไปได้!”
สวีเซี่ยงจวินตอบกลับอย่างรวดเร็วหลังจากได้ยินคำถาม
ผู้จัดการหวังไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย คนรุ่นก่อน ๆ ส่วนใหญ่ต่างก็จบระดับการศึกษาแค่ชั้นประถมเท่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก
ในขณะเดียวกันนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยถามอีกครั้ง
“เราพอจะมีตำแหน่งที่เหมาะสมกับเขาไหม?”
“แน่นอนว่ามีครับท่านประธาน บริษัทของเราเพิ่งขยายฝ่ายการผลิตเพิ่มเกือบสองเท่าจากเดิม ดังนั้นเราจึงยังขาดอีกหลายตำแหน่งที่ต้องการจ้างเพิ่ม ในเมื่อท่านต้องการจ้างชายคนนี้ผมจึงขอแนะนำให้เขารับตำแหน่งพนักงานดูแลความเรียบร้อยโกดังสินค้าใหม่ของเราที่เพิ่งสร้างเสร็จ”
ผู้จัดการหวังวางตำแหน่งให้สวีเซี่ยงจวินได้อย่างรวดเร็ว
“งานนี้ไม่ยากเย็นอะไร เนื้องานเป็นแค่การตรวจสอบรถที่เข้าออกโกดัง และตรวจดูคนขับรถว่ามีบัตรผ่านรึเปล่าก็แค่นั้น หรือบางครั้งอาจจะมีคำสั่งพิเศษให้ทำบ้างประปราย และชั่วโมงการทำงานก็แค่แปดชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ เงินเดือนที่เขาจะได้รับยังสูงกว่าพนักงานในสายการผลิตทั่วไปถึง 50%”
ผู้จัดการหวังมองดูสีหน้าของเจ้านายตัวเองตลอดเวลาในระหว่างที่เขาอธิบายเงินเดือนและข้อกำหนดของตำแหน่งนี้โดยละเอียด
งานนี้เรียกได้ว่าดีมากเลยทีเดียว โดยทั่วไปแล้ว เวลาผู้บริหารของบริษัทต่าง ๆ มอบตำแหน่งงานให้ญาติพี่น้องของตัวเอง พวกเขามักจะมอบตำแหน่งประมาณนี้ให้
หลังจากฟังจบ อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขารู้สึกว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมแล้ว ไม่สูงเกินไปไม่ต่ำเกินไป และมองไปที่สวีเซี่ยงจวินที่อยู่ด้านข้าง
“ฉันคิดว่าตำแหน่งนี้เหมาะสมแล้ว ว่าแต่นายว่ายังไง?”
“แน่นอน! มันดีมาก ๆ เลย! ผมยินดีทำอย่างแน่นอน!”
สวีเซี่ยงจวินรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะได้งานตำแหน่งดีขนาดนี้!
นี่ดีกว่างานก่อนหน้านี้ทั้งหมดที่เขาเคยทำมา!
“ถ้างั้นก็เอาตามนี้ หลังจากนี้ผมขอรบกวนคุณด้วยก็แล้วกันผู้จัดการหวัง”
อวี้ฮ่าวหราน พยักหน้า บทสรุปนี้ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อสวีเซี่ยงจวินมีรายได้ ชีวิตของสวีรุ่ยก็จะดียิ่งขึ้น
หลังจากได้ยินคำสั่ง ผู้จัดการหวังก็ส่งสัญญาณให้สวีเซี่ยงจวินเดินตามเขาออกไป
“ตามผมมา โกดังอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวผมจะพาไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ทำงานและรายละเอียดของหน้าที่ที่คุณจำเป็นต้องรู้”
อวี้ฮ่าวหรานมองดูทั้งสองคนออกไป และหลังจากที่ประตูออฟฟิศปิดลง เขาจึงมองไปที่สวีรุ่ย
บทที่ 318 ล้ำเส้น
บทที่ 318 ล้ำเส้น
อู๋ลั่นเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาจึงตั้งใจจะหนี
อย่างไรก็ตามด้วยความแค้นจากการล้มเหลว ก่อนจะจากไปเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนข่มขู่ขึ้น
“ไอ้หนุ่ม แกอย่าได้ใจไปนัก ถึงแม้ว่าคราวนี้ฉันจะฆ่าแกไม่ได้ แต่คราวหน้าฉันมั่นใจว่าฉันฆ่าแกกับลูกของแกได้แน่!”
หลังจากพูดจบเขาพุ่งตัวจากไปโดยไม่เหลียวหลังมอง
แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานพลันเปลี่ยนเป็นมืดมนทันทีหลังจากได้ยินประโยคนี้!
เขาไล่ตามอีกฝ่ายทันราวกับเล่นกล!
‘ผัวะ!!’
หมัดลุ่น ๆ กระแทกเข้าที่ใบหน้าของอู๋ลั่นอย่างจัง!
หมัดนี้แฝงด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นอู๋ลั่นจึงกระเด็นไปไกลห้าเมตรทันที!
อู๋ลั่นกระแทกไปที่พื้นอย่างรุนแรง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“แกกล้าดียังไงมาต่อยหน้าฉันแบบนี้!!!”
เขาจับแก้มซ้ายของตัวเองซึ่งเป็นด้านที่โดนต่อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าทำร้ายเขาขนาดนี้
อวี้ฮ่าวหรานจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา
“มดแมลงอย่างแกกล้าขู่ลูกของฉันผู้นี้งั้นเหรอ รนหาที่ตาย!”
การที่อีกฝ่ายขู่ฆ่าลูกสาวของเขาเช่นนี้มันคือการล้ำเส้นของเขาอย่างรุนแรง คน ๆ นี้ต้องตาย!
แน่นอนว่าประโยคนี้ของอวี้ฮ่าวหราน ทำให้อู๋ลั่นใจสั่น เขาไม่รีรออะไรอีกแล้ว และรีบใช้วิธีการลับบางอย่างทันที ซึ่งส่งผลให้ทั้งตัวของเขากลายเป็นกลุ่มควันก่อนจะหายตัวไปจากที่เดิม
เมื่อร่างของเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาก็อยู่ห่างออกไปร้อยเมตรแล้ว!
อวี้ฮ่าวหรานหันขวับมองตามทันทีด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่นึกเลยว่าโลกมนุษย์จะมีวิธีเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลันเช่นนี้ แน่นอนว่าชายหนุ่มเห็นทุกขั้นตอนว่าอู๋ลั่นหนีไปยังไง สิ่งนี้ไม่สามารถซ่อนจากสายตาของเขาได้
“ฮ่า ๆ! เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ง่าย ๆ หรอกโว้ย! รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะกลับมาอีกแน่และวันไหนที่ข้ากลับมา มันจะหมายถึงวันตายของเจ้ากับลูก…”
เมื่อเข้าใจว่าตัวเองหนีรอดแน่ ๆ แล้ว อู๋ลั่นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และหันหลังหนีไปในทันที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่อู๋ลั่นกำลังได้ใจคิดว่าตัวเองหนีรอดแล้วและพุ่งหนีต่อไปได้ราวห้าสิบเมตร จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงที่เย็นชาขึ้นข้าง ๆ หู
“แกคิดว่าจะรอดจากเงื้อมมือฉันไปได้ง่าย ๆ งั้นเหรอ?”
‘ปัง!!’
ยังไม่ทันที่จะได้ขนลุก อู๋ลั่นก็เจ็บแปลบที่ชายโครงอย่างรุนแรง จากนั้นร่างของเขาก็ลอยละลิ่วไปตกที่ในป่าทึบข้างทางห่างออกไปห้าสิบเมตรด้วยพลังเตะของอวี้ฮ่าวหราน!
โครม! อั่ก!!
หลังจากหล่นลงไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง พลังวิญญาณในร่างของอู๋ลั่นก็ปั่นป่วนจนไม่อาจโคจรเพื่อบรรเทาอาการบาดเจ็บได้ เขาจึงพยายามที่จะยันกายลุกขึ้นเพื่อหนีต่อ แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจนทำได้แค่พยายามคลานอย่างน่าสังเวช
“ป…เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”
อู๋ลั่นไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะตามเขาทันได้ในพริบตาแบบนั้น ความเร็วที่อีกฝ่ายมีมันแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งถึงระดับ…
“เป็นไปได้ยังไง?? คนอายุอย่างมันอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดได้ยังไง!?”
“มดแมลงอย่างแกจะมาเข้าใจเทพอย่างฉันผู้นี้ได้ยังไง?”
โดยไม่ทันรู้ตัว อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ปรากฏขึ้นยืนค้ำหัวของอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
เขามองลงไปที่อู๋ลั่นด้วยแววตาเย็นชาและดูถูก…
“บทลงโทษสถานเดียวกับคนที่กล้าบังอาจหมายชีวิตลูกสาวของฉันคือตาย!”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองรอบ ๆ ก่อนชั่วอึดใจ และเมื่อมั่นใจว่าตรงจุดนี้รกทึบมากจนถวนถวนมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดแน่ เขาจึงโคจรพลังวิญญาณจนถึงขีดสุดและกระทืบเท้าลงไปที่หัวของอู๋ลั่นอย่างเต็มแรงโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูดอะไร!
บรึ้ม!!
ด้วยการกระทืบอย่างรุนแรง พื้นดินบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือนเล็กน้อย
เมื่อสิ้นสุดการต่อสู้ สภาพแวดล้อมโดยรอบที่มีแต่ต้นไม้รกทึบก็กลับสู่ความสงบอีกครั้ง
“ถุย!”
ด้วยความโมโห อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายใส่ศพของอู๋ลั่น
อันที่จริงหากอีกฝ่ายไม่ขู่ลามไปถึงลูกของเขา ชายหนุ่มก็คงจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอดไป เพราะตัวของเขาเองก็ยังไม่อยากฆ่าคนที่แข็งแกร่งแบบนี้หากไม่จำเป็น
เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นี้น่าจะมาจากสำนักที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกนี้ ซึ่งคนผู้นี้คงไม่ใช่คนที่เก่งสุดในสำนัก การที่เขาฆ่าคนเช่นนี้ไปก็หมายถึงว่าในอนาคตเขาคงจะถูกล้างแค้นโดยผู้บ่มเพาะที่อาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ได้ก้าวล้ำเส้นของเขาไปมาก ดังนั้นจึงต้องฆ่าทิ้งอย่างไม่มีทางเลือก!
จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เตะโด่งศพของอู๋ลั่นให้กระเด็นเข้าในป่าลึกกว่าเดิม ก่อนที่เขาจะใช้พลังวิญญาณทำความสะอาดเลือดของอีกฝ่ายออกจากเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นก็รีบวิ่งกลับไปที่รถ
…
“พ่อจ๋า คนเลวหายไปไหนแล้ว เมื่อกี้พ่อเข้าไปทำอะไรในป่ากับคนเลว?”
หลังจากขึ้นรถ ถวนถวนเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัยอย่างไร้เดียงสา
“ไม่มีอะไรแล้ว พ่อจัดการกับคนเลวไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปเขาจะไม่มากวนเราอีก”
อวี้ฮ่าวหรานตอบกลับพลางลูบหัวลูกสาวของเขาด้วยความเอ็นดู
“ฮ่าฮ่า พ่อจ๋าสุดยอดที่สุด! พ่อจ๋าไล่คนเลวไปอีกแล้ว ถวนถวนก็ไม่ต้องกลัวคนเลวคนไหนทั้งนั้น!”
เด็กน้อยเมื่อได้ยินคำปลอบของพ่อตัวเอง เธอก็อารมณ์ดีมากกว่าเดิม ด้วยความเป็นเด็กและไร้เดียงสา เธอจึงไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่พ่อของเธอเพิ่งลงมือสังหารโหดโดยการเหยียบหัวของศัตรูจนเละไปหมาด ๆ
หลังจากนั้นคู่พ่อลูกก็พากันไปที่เครือฮ่าวหราน และเมื่อเวลาล่วงเลยถึงห้าโมงเย็น อวี้ฮ่าวหรานก็รีบพาถวนถวนที่ยังติดใจอยากจะอยู่เล่นต่อกลับคอนโด
หลังจากกลับไปถึงห้อง หลี่หรงก็บ่นขึ้นทันที
“พี่เขย ทำไมวันนี้พี่กลับซะเย็นแบบนี้! นี่ฉันอุ่นข้าวไปตั้งหลายรอบเพื่อรอพี่กลับมา! เร็ว ๆ เลย รีบพาถวนถวนไปล้างมือล้างเท้าแล้วมากินข้าวกันเดี๋ยวนี้เลย!”
“แหะ ๆ แม่หรงจ๋า วันนี้พ่อจ๋าอัดคนเลวด้วยแหละ!”
ในระหว่างที่กำลังถูกอวี้ฮ่าวหรานพาเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างมือ เด็กน้อยก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าสนุกสนาน
“อัดคนเลว? พี่เขย พี่มีเรื่องอีกแล้วงั้นเหรอวันนี้?”
หลี่หรงเบนสายไปถามอวี้ฮ่าวหรานทันที เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนื่อยใจกับพี่เขยของตัวเองที่มีเรื่องค่อนข้างบ่อย
บทที่ 330 แก้แค้น
บทที่ 330 แก้แค้น
หลังจากได้ยินราคาสูงเสียดฟ้านี้ ทุกคนก็พยายามคาดเดา
มีชนชั้นสูงเพียงไม่กี่คนในเมืองฮ่วยอันที่สามารถควักเงินสองร้อยล้านออกมาได้อย่างง่ายดาย
แต่อวี้ฮ่าวหรานไม่ค่อยเข้าร่วมงานเลี้ยงต่าง ๆ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่รู้จักเขาเลย
ในเวลานี้ เฉียนเซาตกตะลึง!
ถ้าอีกฝ่ายหยุดลงตอนที่ขานราคาหนึ่งร้อยล้าน เขาก็คงคิดแค่ว่ามันเป็นแค่การขู่ขวัญ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับขานราคาขึ้นมาเป็นสองร้อยล้าน ดังนั้นมันก็เท่ากับว่าอีกฝ่ายต้องการจะซื้อของชิ้นนี้จริง ๆ
นี่อีกฝ่ายรวยขนาดนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?
จากนั้น ภาพความเป็นจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏขึ้นแก่สายตาของเขา เมื่อเฉียนเซาเห็นคนของโรงแรมได้นำหีบห่อที่บรรจุพระพุทธรูปหยกมาให้อีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็ยื่นบัตรเครดิตสีทองสะดุดตารูดจ่ายออกไป!
และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที พนักงานของโรงแรมก็คืนบัตรเครดิตสีทองคืนด้วยท่าทางเคารพ
แน่นอน…จ่ายไปแล้ว!
“นี่มัน…”
หลังจากตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น เฉียนเซาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ดวงตาของเขาเบิกกว้างและมองไปที่หน้าของบรรดาคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างเหลือเชื่อ
พวกลูกหลานรุ่นที่สองของตระกูลร่ำรวยต่างก็พูดไม่ออกอ้าปากค้างอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาไม่นึกเลยว่า คนที่พวกเขาคิดดูถูกมาตลอดจะกลายเป็นมหาเศรษฐีตัวจริง!
หลังจากได้รับของที่ต้องการมา อวี้ฮ่าวหรานก็ลุกขึ้นทันทีเตรียมที่จะจากไป แต่ก่อนที่จะเดินออกไปนั้น ชายหนุ่มเหลือบมองเฉียนเซาอย่างดูถูกและเอ่ยขึ้น
“ฉันจำได้ว่าแกอยากจะเรียกฉันว่า ‘พ่อ’ ใช่ไหม? อย่าฝันไปหน่อยเลย! ฉันไม่ต้องการจะมีลูกโง่ ๆ อย่างแกหรอก!”
เมื่อสมบัติอยู่ในมือแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี และต้องการเยาะเย้ยอีกฝ่ายเล็กน้อย
อุ๊บ…!
ซูหว่านเอ๋อเมื่อได้ยินประโยคนี้ เธอเกือบจะหลุดขำออกมา
เมื่อเฉียนเซาได้ยินประโยคนี้ เขาแทบอยากจะกระอักเลือดออกมาเพราะความโกรธ!
เจ็บใจ! เจ็บใจจริง ๆ!!
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งดูถูกอีกฝ่ายว่าเป็นคนจน แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้มันย้อนคำพูดของเขาเข้ามาหาตัวเองเต็ม ๆ!
นี่ไม่ต่างอะไรกับการถูกตบหน้าในที่สาธารณะ!
ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้!
“แก! แกรอฉันก่อนเถอะ!!”
หงุดหงิด โกรธ เถียงไม่ได้ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงต่อและบวกกับความอับอายสุดขีด เฉียนเซาจึงลุกและเดินหนีไปอย่างรวดเร็วทันที
ลูกหลานตระกูลร่ำรวยเจ็ดแปดคนที่คอยสนับสนุนเฉียนเซาอยู่ตลอด เมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาก็รีบลุกตามไปในทันที
อวี้ฮ่าวหรานไม่มีเวลาที่จะติดตามและให้ความสนใจ ในขณะนี้การประมูลสิ้นสุดลงและการโอนต้องออกไป
“ฮ…ฮ่าวหราน คือว่า…”
“หืม?”
ขณะที่เขากำลังจะจากไป จู่ ๆ ซูหว่านเอ๋อก็คว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้
“ฉ…ฉัน…ฉันอยากชวนคุณไปทานอาหาร…”
เธอทำใจอยู่นาน และในที่สุดเธอก็สามารถรวบรวมความกล้าเพื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้
ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำคู่นั้นมองที่อวี้ฮ่าวหรานอย่างคาดหวัง
“กินข้าว?”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดนี้ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อคิดว่าตัวเองก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเช่นกัน ดังนั้นจึงพยักหน้า
“อืมไปกันเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวคุณเอง”
“ไม่ ครั้งนี้…ครั้งนี้ฉันอยากจ่าย!”
ซูหว่านเอ๋อดูเหมือนจะคิดเรื่องนี้เอาไว้ได้พักใหญ่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าเธอจะประหม่าจนหน้าแดงก่ำ แต่น้ำเสียงที่เธอพูดขึ้นกลับดูแน่วแน่เป็นอย่างมาก
“อืม…ก็ได้ งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ และตอบตกลงหลังจากที่ตัวเองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันนี้ หลินป๋อที่เพิ่งคุยกับประธานเจ่าเสร็จก็เดินมาหา
“ฮ่า ๆ หนุ่มสาวกำลังจะไปเดทกันงั้นเหรอ? ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไปช่วยพาชายชราคนนี้ไปด้วยจะได้ไหม?”
เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง และตั้งใจเดินเข้ามาพูดแหย่เล่นด้วยสีหน้าเบิกบาน
ซูหว่านเอ๋อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสนุกกับการหยอกล้อตัวเธอ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากของเธอและมองหน้าอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย
“อะแฮ่ม ๆ แหม ลุงแค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง ดูสิทำหน้าทำตางอนลุงซะแล้ว ฮ่า ๆ ลุงไปก็ได้”
หลินป๋อรู้สึกขบขันเล็กน้อยกับดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำที่จ้องมาที่เขาอย่างขุ่นเคือง เขาโบกมืออย่างสบาย ๆ ก่อนที่จะจากไป
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นความเป็นกันเองระหว่างหลินป๋อและซูหว่านเอ๋อ
“ไปเถอะ ไปด้วยรถของผมกัน คุณแค่บอกทางไปร้านที่คุณอยากจะกินมาก็พอ”
จากนั้นคนทั้งคู่ก็พากันเดินไปที่ลานจอดรถ
อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่เฉียนเซาออกจากโรงแรมไป เขาก็โทรเรียกบอดี้การ์ดของตัวเองทันที และพวกลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกหลายคนก็เรียกบอดี้การ์ดของพวกเขาเอง
จากนั้นไม่นานบอดี้การ์ดมากกว่ายี่สิบคนก็มารวมตัวกัน ซึ่งทำให้กลุ่มของพวกเขาดูค่อนข้างน่ากลัว
“คุณเฉียนเซา คุณคิดว่าคนเราจะจัดการกับไอ้เวรนั่นได้จริง ๆ เหรอ? ผมคิดว่าไอ้เวรนั่นไม่น่าจะใช่คนธรรมดาเช่นกัน มันไม่มีทางที่คนแบบนั้นที่สามารถจ่ายเงินได้ 200 ล้านอย่างสบาย ๆ จะมีอิทธิพลน้อยกว่าเรา!”
ในเวลานี้ หนึ่งในลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่อยู่กลุ่มเดียวกับเฉียนเซาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
แม้ว่าครอบครัวของเขาจะรวย แต่เงินสองร้อยล้านนั้นเกือบจะเทียบเท่ากับทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวของเขา ดังนั้นจึงคิดว่าเขาไม่ควรที่จะไปยั่วยุอีกฝ่ายที่มีเงินมากกว่าครอบครัวมากขนาดนี้ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉียนเซาได้ยินคำพูดนี้ จากที่ตัวเองโมโหอยู่แล้ว เขาก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม
“โว้ย! นี่แกคิดว่าฉันจะเอาบอดี้การ์ดของพวกเราไปสู้งั้นเหรอ? ฉันไม่ประมาทขนาดนั้นหรอก คราวนี้ฉันจะเล่นให้แรงจนไอ้เวรนั่นมันจะต้องเสียใจที่ได้เกิดมาเลย!”
“ไม่ประมาท? เฉียนเซา นี่คุณกำลังจะทำอะไร…”
“ฉันรู้จักสมาชิกแก๊งวาฬยักษ์อยู่สองสามคน พวกมันใช้ประโยชน์จากฉันมาหลายรอบแล้ว ตอนนี้มันได้เวลาที่พวกมันจะต้องทำประโยชน์ให้กับฉันบ้าง!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แววตาของเฉียนเซาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
ในสังคมลูกคนรวยอย่างพวกเขา เมื่อไหร่ที่มีการเรียกใช้คนของแก๊งใต้ดิน มันหมายถึงว่าพวกเขาต้องการให้ศัตรูตายหรือไม่ก็พิการเป็นอย่างน้อย!
ดังนั้นเมื่อได้ยินแผนการนี้ของเฉียนเซา พวกลูกหลานคนรวยเหล่านี้จึงก้าวถอยห่างออกไปเล็กน้อย และบางคนก็กลัวจนไม่อยากที่จะเข้าร่วมการล้างแค้นนี้อีกต่อไป
ต้องรู้ว่าจริง ๆ แล้วคนที่โดนอวี้ฮ่าวหรานดูถูกมีแค่คนเดียวคือเฉียนเซา ส่วนพวกเขานั้นไม่ได้มีความแค้นอะไรต่ออวี้ฮ่าวหรานเลย
ถ้าเป็นไปได้พวกเขาก็ไม่อยากที่จะเอาตัวถลำลึกลงไปให้เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางโดยที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรแบบนี้
“ด…เดี๋ยว…ก่อน อย่าให้มันถึงขนาดนั้นเลยจะดีกว่าไหม?”
หนึ่งในลูกหลานคนรวยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหม่าสุดขีด
“ถ้ากลัวแกก็ไสหัวไปซะ และจากนี้ไปอย่าโผล่หน้ามาในกลุ่มของฉันอีก!”
เฉียนเซาจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มที่กำลังแสดงสีหน้าประหม่าสุดขีด เขาไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าเฉียนเซาจริงจังมากกับเรื่องนี้ คนที่เหลือไม่กี่คนก็ตกลงกับแผนการของเฉียนเซา
ตัดกลับมาทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน
หลังจากที่เขาขับรถพาซูหว่านเอ๋อออกไปจากโรงแรม สถานการณ์ทุกอย่างก็ปกติดีจนกระทั่งเขาขับรถไปถึงย่านรกร้าง ซึ่งเขาได้พบว่ามีรถหลายคันกำลังขับตามเขามาอย่างประสงค์ร้าย!
ภายในรถสปอร์ตสีเหลืองสดใส
“ฮ่าวหราน…ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ทางไปร้านอาหารที่ฉันบอกนี่นา”
ซูหว่านเอ๋อรู้สึกสงสัยเมื่อเห็นว่าสองข้างทางที่พวกเขากำลังขับผ่านอยู่มันไม่คุ้นตาเธอเลยแม้แต่น้อย แถมอวี้ฮ่าวหรานก็ขับไปไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอกผมไม่ใช่คนเลว ผมไม่ลักพาตัวคุณไปไหนหรอกสบายใจได้!”
เขาหยอกล้ออย่างสบายใจ
“แต่…”
ซูหว่านเอ๋อไม่เข้าใจเลยว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังจะขับรถพาเธอไปไหน แต่ด้วยความเชื่อใจ เธอจึงไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรและแค่เพียงสงสัยว่าท้ายที่สุดเขาจะไปจอดที่ไหน
แต่แล้วจู่ ๆ อวี้ฮ่าวหรานก็เบี่ยงรถไปข้างทางและจอดรถอย่างกระทันหัน!
“มีคนกำลังตามเรามา ผมแค่ไม่อยากให้คนทั่วไปเห็นสิ่งที่ผมกำลังจะทำ ดังนั้นผมเลยขับมาในย่านร้างผู้คนนี้ เอาล่ะ คุณรออยู่ในรถก่อน ผมขอเวลาครู่หนึ่งจัดการแก้ไขปัญหาเล็ก ๆ นี่ก่อน!”
ทันทีที่คำอธิบายจบลง อวี้ฮ่าวหรานก็ลงจากรถและเดินไปหยุดอยู่ที่หลังรถ!
“เอ๊ะ?”
ซูหว่านเอ๋อรู้สึกสับสนทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้ แต่ครู่ต่อมา มีรถสปอร์ตหลายคันพุ่งมาหยุดอย่างรุนแรงที่ด้านหลังห่างไปไม่ไกลนัก และตามมาด้วยรถ SUV อีกสี่ห้าคันก็ทยอยตามมาหยุดลง!
ทันทีที่รถเหล่านี้หยุดลง บอดี้การ์ดร่างกำยำมากกว่าโหลก็ลงมาจากรถ SUV!
ถัดมา พวกลูกหลานคนรวยก็ลงจากรถสปอร์ต และเดินเข้ามาอยู่ภายใต้การนำของเฉียนเซา!
บทที่ 322 คืนตำแหน่ง
บทที่ 322 คืนตำแหน่ง
“พูดมาเลย ผมรอฟังอยู่”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นเพื่อผลักดันให้อีกฝ่ายพูดต่อไป พลางป้อนอาหารให้ลูกสาวของตัวเองราวกับว่าไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่
หลี่ชงซานพยักหน้าหลังจากได้ยิน
“อันที่จริง ฉันมีความหวังว่าก่อนที่ฉันจะตาย ฉันอยากจะเห็นลูก ๆ ของฉันมีชีวิตที่สุขสบายและมีงานที่มั่นคง ไม่งั้นฉันคงนอนตายตาไม่หลับ”
ในที่สุดเขาก็เผยจุดประสงค์ของการเชิญอวี้ฮ่าวหรานมาในวันนี้
แต่ในทันทีที่หลี่หรงได้ยินคำพูดนี้ เธอกผ้รู้สึกไม่มีความสุขทันที และโต้แย้งอย่างรวดเร็ว
“พ่อ! พ่ออย่าพูดอะไรแบบนี้ได้ไหม พ่อจะต้องอยู่อีกนาน! ส่วนเรื่องของพี่รอง พ่อก็รู้ว่าพี่เขยเคยให้โอกาสเขามาก่อน ไม่ใช่สิ เคยให้โอกาสเขาหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เคยสำนึกเลยสักครั้ง!”
เธอรู้สึกโกรธอย่างชัดเจนกับประโยคตอนท้าย
เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าพี่รองของเธอเป็นเหมือนสุนัขที่ชอบกินอึจนเลิกไม่ได้ หากเขามีอำนาจขึ้นมาสักหน่อย ก็คงไม่วายที่จะสร้างปัญหาขึ้นมาอีกเหมือนเดิม
“พ่อรู้ เรื่องนั้นพ่อรู้! แต่หรงเอ๋อร์ พ่อแค่อยากจะมั่นใจว่าชีวิตของลูก ๆ จะมั่นคงก่อนที่พ่อจะจากไป และครั้งนี้พ่อไม่ได้ขอให้ฮ่าวหรานมอบอำนาจอะไรให้เทียนเอ๋อร์ พ่อขอแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ให้เทียนเอ๋อร์ก็แค่นั้น”
หลี่ชงซานแสดงสีหน้ากังวลก่อนจะถอนหายใจให้ลูกสาวของเขา “หรงเอ๋อร์…ที่พี่ชายของลูกเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะพ่อเอง…ดังนั้นพ่อแค่อยากให้พี่ชายของลูกมีเงินเดือนพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ก็แค่นั้น พ่อไม่ได้ต้องการขออะไรไปมากกว่านั้น”
“เงินเดือนพอเลี้ยงตัวเอง?”
หลี่หรงรู้สึกประหลาดใจกับคำขอนี้ เพราะมันต่ำเกินไป
เธอจำได้ว่าพ่อของเธอมีความคาดหวังสูงมากกับพี่ชายไม่เอาไหนคนนี้
แต่ถึงอย่างนั้น พ่อของเธอก็ไม่ควรมาขอเธอหรือพี่เขยของเธอแบบนี้!
“พ่อคะ! พี่เขยของหนูจะยอมรับกับสิ่งที่พี่รองของหนูทำกับเขาก่อนหน้านี้ได้ยังไง? ไม่สิ แม้แต่พวกผู้บริหารคนอื่นของบริษัทก็คงไม่ยอมรับเช่นกัน”
“พ่อรู้ พ่อถึงได้ขอแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ให้กับเทียนเอ๋อร์เท่านั้นไง เอาแค่ตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจและใคร ๆ ก็สามารถทำได้ก็พอ”
หลี่ชงซานรู้ว่าลูกชายของเขาไม่มีความสามารถ แถมยังเชื่อถือไม่ได้ ในเวลานี้เขารู้สึกอับอายจริง ๆ แต่ก็จำเป็นต้องพูดขอเพื่อให้ลูกชายของเขาได้มีงานที่มั่นคง
“เทียนเอ๋อร์ยังบอกกับพ่อด้วยว่าหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่ลึกซึ้งเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ไม่มีทางกล้าสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกอีกต่อไป”
หลี่หรงเงียบไปเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของพ่อเธอ เธอไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ
ในขณะเดียวกัน หลังจากที่อวี้ฮ่าวหรานป้อนอาหารลูกสาวของเขาเองเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า
“ก็ได้ผมตกลง ต่อจากนี้ผมจะให้หลี่จิงเทียนดำรงตำแหน่งรองประธานของบริษัทตามเดิมที่เขาเคยเป็นตอนอยู่ในบริษัทชงซาน แต่เขาจะไม่มีอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้นในเครือฮ่าวหราน และตราบใดที่เขาไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อบริษัท ตำแหน่งนี้จะเป็นของเขาเสมอ”
ทันทีที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เขาก็กล่าวถึงการตัดสินใจของตัวเอง
การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้หลี่ชงซานตกตะลึง
“น…นี่…ฮ่าวหราน ลูกไม่ต้องให้ตำแหน่งที่ดีขนาดนี้ก็ได้! ก่อนหน้านี้จิงเทียนสร้างเรื่องเอาไว้มากมาย ดังนั้นลูกไม่จำเป็นต้องให้ตำแหน่งที่สูงขนาดนี้หรอก!”
เขาไม่คิดเลยว่าลูกเขยของเขาจะใจกว้างขนาดนี้
“ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจแล้ว”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่หลี่จิงเทียน และเอ่ยยืนยันอย่างสบาย ๆ
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาใจกว้างและสงสารอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของหลี่เม่ยและหลี่หรง
“หลี่จิงเทียน นายควรขอบคุณโชคชะตาของตัวเองสักล้านครั้งที่ได้เกิดมาในตระกูลหลี่”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นพลางพ่นลมหายใจ
หากอีกฝ่ายไม่ใช่น้องชายของหลี่เม่ย หรือไม่ใช่ลูกของหลี่ชงซานหรือพี่ชายของหลี่หรง ป่านนี้ร่างของเขาคงเน่าอยู่ใต้ดินในสุสานไปนานแล้ว
คงไม่มีทางที่จะได้นั่งอยู่ที่นี่ พร้อมกับได้รับตำแหน่งรองประธานอย่างแน่นอน
“ค…ครับ พี่เขย! พี่พูดถูก! ผมโชคดีจริง ๆ ครอบครัวของผมดีที่สุด พี่เขยก็ดีที่สุดเหมือนกัน!”
เมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินคำยืนยันนี้ เขาก็แทบจะกระโดดจากความสุขที่มันปะทุขึ้นในใจ ถึงแม้ว่าตอนนี้ตัวเองจะรู้สึกดีมากที่ได้กลับมาอยู่บ้านและไม่ต้องไปนอนอยู่ในคุก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาที่เคยเป็นรองประธานบริษัทชงซานอันหล่อเหลาแถมมีเงินเดือนสูงปรี๊ด
ในตอนนี้ เงินที่พ่อของเขาให้ใช้จ่ายในแต่ละวันมันไม่พอให้เขาไปเที่ยวในไนท์คลับได้ด้วยซ้ำ…
คนธรรมดาทั่วไปยังได้ไปเที่ยวบ้าง แต่นี่เขาเป็นถึงลูกชายของผู้นำตระกูลหลี่ แต่กลับไม่สามารถออกไปเที่ยวได้เลยเพราะไม่มีเงิน เรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดสุด ๆ สำหรับเขา
“โอเค ตราบใดที่นายไม่สร้างปัญหาอะไรอีก เมื่อกลับไป ฉันจะจ่ายเงินเดือนให้นาย ซึ่งนายก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเสเพลตามปกติของนายได้อย่างไร้กังวล”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกรังเกียจเล็กน้อยกับคำประจบของหลี่จิงเทียน และรู้สึกว่าเมื่อก่อนอีกฝ่ายยังไม่น่ารำคาญเท่านี้
อย่างน้อยถ้าเป็นเมื่อก่อน อวี้ฮ่าวหรานก็สามารถอัดอีกฝ่ายได้หากรู้สึกรำคาญ แต่ตอนนี้พออีกฝ่ายประจบประแจงชายหนุ่มแบบนี้ เขาก็ไม่สามารถอัดอีกฝ่ายได้อีกต่อไปไม่ว่าจะรู้สึกรำคาญแค่ไหนก็ตาม
หลังอาหาร หลี่จิงเทียนแทบรอไม่ไหวที่จะตามอวี้ฮ่าวหรานกลับไปที่เครือฮ่าวหราน
บางคนที่รู้เรื่องก่อนหน้านี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังปรากฏตัวในบริษัทของพวกเขาได้?
อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อสายตาของคนอื่น ๆ ในบริษัท และหลังจากพาถวนถวนไปที่สวนสนุกของบริษัท เขาก็พาหลี่จิงเทียนกลับไปที่ออฟฟิศเดิมของหลี่จิงเทียน
“ฉันยังไม่ได้สั่งคนย้ายของ ๆ นายออกไป ดังนั้นนายก็ใช้ห้องนี้ต่อไปตามเดิมก็แล้วกัน”
หลี่จิงเทียนกวาดสายตามองไปทั่วห้องและตาลุกวาวทันที เขารีบวิ่งไปลูบ ๆ คลำ ๆ ข้าวของตัวเองและพูดขึ้นด้วยสีหน้าดีใจสุด ๆ
“พี่เขย…พี่เขย พี่ใจดีกับผมมากจริง ๆ! นับจากนี้ผมขอสาบานว่าจะไม่ทำอะไรให้พี่ผิดหวังอย่างแน่นอน!”
หลี่จิงเทียนไม่นึกเลยว่านอกจากที่จะได้รับตำแหน่งรองประธานแล้ว ตัวเองยังได้ห้องกลับคืนมาอีกด้วย ทั้งหมดนี้มันเกินความคาดหมายของตัวเองไปไกลลิบ เขาจึงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนี้และหันหลังเดินจากไป แต่เมื่อเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นเขาก็พูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ฉันหวังว่านับจากนี้นายจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ฉันโกรธขึ้นมาอีก ไม่อย่างนั้นต่อให้นายจะเป็นน้องของหลี่เม่ย ฉันก็คงไม่สามารถปล่อยนายไปได้อีกแล้ว!”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็จากไปทันที เหลือเพียงหลี่จิงเทียนที่ยืนเงียบในห้อง…
เขากลัวจริง ๆ การเสียชีวิตของหวังเจวีย ทำให้หลี่จิงเทียนกลัวมากพอแล้วเมื่อเห็นพี่เขยคนนี้ แถมด้วยข่าวการล่มสลายของตระกูลอู๋ มันทำให้เขาไม่กล้าต่อต้านอีกต่อไป
ท้ายที่สุด เขาได้รู้แล้วว่าพี่เขยของตัวเองเป็นคนที่โหดเหี้ยมและสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย
…
ในเวลาเดียวกัน หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การต่อสู้ระหว่างแก๊งวาฬยักษ์และแก๊งพยัคฆ์เวหา
แก๊งวาฬยักษ์ได้รับความเสียหายมากกว่าอย่างชัดเจน
หัวหน้าสาขาของแก๊งบาดเจ็บล้มตายไปมากมาย และสมาชิกระดับทั่วไปของแก๊งก็ตายไปถึงครึ่งหนึ่งแล้วด้วย และสิ่งที่น่าอึดอัดใจมากที่สุดก็คือ หลิ่วอวี้จิงไม่เคยเคลื่อนไหวเลยจวบจนทุกวันนี้ จนสมาชิกของแก๊งต้องอ้างว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บและไม่สามารถต่อสู้ไหวอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในบ่ายวันนี้ หลิ่วอวี้จิงได้เรียกประชุมฉุกเฉิน!
บ่ายสามโมง สมาชิกระดับเสาหลักของแก๊งส่วนใหญ่ก็มาถึงห้องประชุม
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าแก๊งที่เป็นผู้เรียกประชุมกลับยังไม่ปรากฏตัว
“หัวหน้าของเราเป็นอะไรกันแน่? ทำไมเขาถึงไม่ออกมาให้พวกเราเห็นเลย นี่มันก็หลายวันแล้วที่พวกเราเสียเปรียบ!”
“บัดซบ! ไอ้พวกแก๊งฉลามคลั่งก็ไม่โผล่มาช่วยพวกเราเลยทั้ง ๆ ที่พวกมันเพิ่งประกาศเป็นพันธมิตรกับเรา! นี่พวกมันจงใจให้เรารับความเสียหายอยู่ฝ่ายเดียวใช่ไหม!?”
“…”
บรรยากาศในห้องประชุมไม่ค่อยดีนัก แก๊งวาฬยักษ์ได้รับความสูญเสียอย่างหนักในทุกวันนี้ ดังนั้น ณ เวลานี้ สีหน้าของหัวหน้าสาขาทุกคนที่มาในวันนี้จึงเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
พวกเขาอยากรู้ว่าหัวหน้าแก๊งของพวกเขากำลังทำอะไรอยู่!
ในขณะที่ทุกคนกำลังเคร่งเครียด หลิ่วอวี้จิงก็เดินเข้ามาด้วยการก้าวที่ไม่มั่นคงนัก ใบหน้าของเขาซีดมากราวกับว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมา