บทที่ 321 ประจบประแจงจนผิดสังเกต
บทที่ 321 ประจบประแจงจนผิดสังเกต
อวี้ฮ่าวหรานถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นอาการประจบประแจงของหลี่จิงเทียน
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะทุบตีไอ้นายน้อยรุ่นที่สองของตระกูลหลี่ผู้นี้สักเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยเลยที่จะสำนึกผิด หรืออย่างมากที่สุดมันก็แค่แสดงสีหน้ากลัวเมื่อเจอเขาเท่านั้น
แต่วันนี้ไหงถึงมาทำหน้าประจบประแจงเอาใจเขาแบบนี้ได้?
“สมองของนายมีปัญหาหรือเปล่าวันนี้?”
อวี้ฮ่าวหรานหันศีรษะไปถามด้วยความสนใจ เขาเดาว่าหลี่จิงเทียนมีจุดประสงค์บางอย่างถึงปฏิบัติตัวเปลี่ยนไปขนาดนี้
“เปล่า…ไม่มีอะไร ผม…ผมแค่คิดว่าพี่เขยดู…ยอดเยี่ยมมากเลยก็เท่านั้นเอง!”
เมื่อถูกถามแบบจับผิด หลี่จิงเทียนก็ตอบกลับแบบติดอ่างเล็กน้อย
หลังจากผ่านเหตุการณ์มามากมาย สิ่งที่เขากลัวที่สุดในตอนนี้ก็คือพี่เขยของตัวเอง
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีอะไร! อย่ามาทำตัวให้พวกเราตายใจจะดีกว่า!”
หลี่หรงหรี่ตามองพี่ชายของเธออย่างสงสัย
“แค่ก ๆ…หรงหรง น้องนั่งลงก่อนสิ ดูสิ บนโต๊ะมีอาหารที่น้องชอบเยอะแยะเลย”
หลี่จิงเทียนรู้ตัวดีว่าการกระทำของเขาตอนนี้มันดูแปลกไปมาก ดังนั้นเมื่อโดนจับผิด สีหน้าของเขาจึงดูอับอายอย่างมากในทันที
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม พร้อมกับยกมือขึ้นปรามอีกฝ่ายทันที
“ก่อนที่นายจะทำอะไรต่อไป ฉันขอบอกเอาไว้ก่อนว่าตระกูลอู๋เพิ่งถูกฉันจัดการไป และอู๋เส้าฮัวก็ตายไปแล้วเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่านายกำลังจะมีแผนอะไรต่อ นายอย่าทำให้ฉันโกรธจะดีกว่า!”
อวี้ฮ่าวหรานพยายามใช้บารมีสามส่วน และการคุกคามอีกสามส่วนเพื่อเตือนอีกฝ่าย
แม้ว่าน้องภรรยาของเขาคนนี้จะโง่เง่า และไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ชายหนุ่มมากนัก แต่ก็ควรขู่อีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
แน่นอนว่าเมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินประโยคนี้ เขาก็ตกใจในทันที
“อู๋…อู๋เส้าฮัวตายแล้วเหรอ?”
เขาจ้องมองอวี้ฮ่าวหรานอย่างไม่เชื่อ ไม่นึกเลยว่าตระกูลที่เก่าแก่อย่างตระกูลอู๋จะถูกทำลายลงไปด้วยน้ำมือของพี่เขยของเขาแบบนี้!
ใบหน้าของหลี่จิงเทียนขาวซีดอย่างฉับพลัน
“นายควรจะรู้ว่าถ้านายไม่ใช่คนของตระกูลหลี่ ป่านนี้นายคงจะตายไปแล้วเช่นกัน”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากพูดจบ ชายหนุ่มอยากให้อีกฝ่ายรู้เรื่องนี้เอาไว้ เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ระงับความคิดชั่วได้มากกว่าเดิม
เมื่อเห็นฉากนี้ หลี่ชงซานจึงอดไม่ได้ที่จะพูดแทรก
“เอาน่า ๆ พวกเราครอบครัวเดียวกันทังนั้น อย่าทะเลาะกันเลย แม้ว่าฉันจะเกลียดลูกชายอกตัญญูคนนี้ แต่ท้ายที่สุด เขาก็เป็นลูกชายของฉัน และอันที่จริงการที่เขาเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะฉันด้วยที่ดูแลเขาได้ไม่ดี”
หลี่ชงซานพยายามแสดงสีหน้ายิ้มกระอักกระอ่วนกลบเกลื่อนฉาก
“พ่อ! ทำไมพ่อถึงปกป้องเขาตลอดเลย! พ่อจำไม่ได้หรือไงว่าเขาเคยทำอะไรกับพ่อบ้าง!”
“พิษนั่น ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เขย…”
หลี่หรงรู้สึกไม่มีความสุขเลยเมื่อเห็นพ่อของเธอยังคงปกป้องพี่ชายของเธอเองอย่างหน้ามืดตามัว โดยเฉพาะเมื่อเธอนึกถึงวีรกรรมที่ผ่านมาของอีกฝ่ายจนเธออดไม่ได้ที่จะพูดอย่างหุนหันพลันแล่น
อวี้ฮ่าวหรานโบกมือหยุดหญิงสาวทันทีไม่ให้พูดต่อ
“มานั่งทานอาหารเย็นกันเถอะ หลี่จิงเทียน นายก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้วมาเริ่มกินอาหารกันดีกว่า”
หลี่หรงพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และนั่งลงโดยไม่พูดอะไรอีก
หลี่จิงเทียนเต็มไปด้วยความกลัวและกลับไปนั่งที่ที่นั่งของเขา
หลี่ชงซานที่เห็นฉากนี้ก็ค่อนข้างเบาใจลง
ถึงแม้ว่าลูก ๆ ของเขาจะไม่ลงรอยกันสักเท่าไหร่ แต่ยังโชคดีที่ลูกเขยของเขามีอิทธิพลมากจนสามารถระงับความขัดแย้งได้อย่างง่ายดาย ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน
“ใช่ ๆ ทุกคนกินข้าวกันก่อนเถอะ วันนี้ฉันให้พ่อครัวเตรียมอาหารดี ๆ เอาไว้เยอะมากเลย”
หลี่ชงซานเอ่ยขึ้นเปลี่ยนเรื่องด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“หลานสาวของปู่ก็หิวแล้วเหมือนกันใช่ไหม? ดูสิ ปู่ให้พ่อครัวทำเสี่ยวหลงเปาเอาไว้ให้หลานโดยเฉพาะเลย”
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว หลี่ชงซานก็เริ่มคีบอาหารใส่จานตรงหน้าถวนถวน
ด้วยเหตุผลบางอย่างเด็กน้อยดูเหมือนจะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษเมื่อมาที่บ้านหลักตระกูลหลี่
“ขอบคุณ…ขอบคุณค่ะ…คุณ…”
ถวนถวนลังเลอยู่นานและไม่รู้ว่าจะเรียกหลี่ชงซานว่าอะไร
เมื่อก่อนตอนที่พ่อของเธอไม่อยู่ เธอแทบไม่มีโอกาสได้มาบ้านหลักตระกูลหลี่เลย ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงการทานอาหารที่โต๊ะแบบนี้
เมื่อเห็นลูกสาวของตัวเองแสดงสีหน้าลังเล อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“ถวนถวน ลูกเรียกคุณตาสิลูก ไม่ต้องกลัว”
“ค…คุณตา”
เด็กน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน จากนั้นเธอก็พูดสองคำนี้ออกมาด้วยสีหน้าแปลก ๆ
“ฮ่า ๆ ดีมาก! หลานรักของตา น่ารักจริง ๆ”
หลี่ชงซานหลังจากได้ยินคำพูดของหลานตัวเอง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
อันที่จริงเขาชอบหลานสาวของตัวเองมาตั้งนานแล้ว แต่ทั้งตระกูลหลี่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของอวี้ฮ่าวหรานและหลี่เม่ย ดังนั้นในฐานะหัวหน้าตระกูล เขาจึงไม่สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้อย่างโจ่งแจ้ง
โชคดีที่ลูกเขยของเขามีความสามารถ จนตอนนี้เขาไม่ต้องกังวลกับอะไรอีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลี่ชงซานก็ยิ่งชอบใจลูกเขยของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ลูกสาวของฉันนี่ช่างตาแหลมจริง ๆ!
นอกจากนี้เขายังได้รู้ข่าวการล่มสลายของตระกูลอู๋มาบ้างแล้ว สมาชิกในตระกูลอู๋ที่เหลือกำลังต่อสู้เพื่อแก่งแย่งทรัพย์สินของตระกูลอย่างรุนแรง ซึ่งทำให้อิทธิพลของตระกูลอู๋บั่นทอนลงไปอย่างมาก หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไป ตระกูลอู๋จะไม่มีทางเทียบได้กับตระกูลหลี่ได้อีก
เรื่องนี้ทำให้ชายชราถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ต้องรู้ว่าที่ผ่านมาความแข็งแกร่งของตระกูลอู๋นั้นเหนือกว่าตระกูลหลี่มาโดยตลอด และอู๋หมิ่นก็ต้องการฮุบกิจการของตระกูลหลี่เรื่อยมา ซึ่งไม่มีใครเลยที่สามารถหยุดอีกฝ่ายได้
แต่ในตอนนี้สถานการณ์ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ดี ๆ!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ชงซานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเสียงดัง
หลี่หรงรู้สึกสับสนเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ พ่อของเธอถึงมีความสุขนัก
ไม่นานหลังจากทานอาหารเย็นไปครึ่งทาง หลี่ชงซานก็ค่อย ๆ เอ่ยถึงประเด็นที่เขาต้องการจะพูดคุยในวันนี้
“ฮ่าวหราน ที่พ่อเรียกลูกมาเจอพ่อในวันนี้ เพราะพ่อมีเรื่องบางอย่างที่ยังวางใจไม่ได้อยากจะคุยกับลูก”
“อืม…บอกมา”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรตั้งแต่แรก เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะพูด
เขารู้ไส้รู้พุงของชายชราคนนี้ชัดเจนอย่างมาก
“อะแฮ่ม จริง ๆ แล้วมันเกี่ยวกับหลี่จิงเทียน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันแย่ลงเรื่อย ๆ และลูกชายไม่เอาถ่านคนนี้ของฉันก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรับตำแหน่งผู้นำตระกูลหลี่แน่นอน ดังนั้น…”
หลี่ชงซานกระแอมเบา ๆ แต่เมื่อพูดไปได้ครึ่งทางเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจจนพูดต่อไม่ได้
เขารู้สึกหนักใจกับวีรกรรมที่ผ่านมาของหลี่จิงเทียนที่ทำเอาไว้กับอวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมันทำให้คำขอของตัวเองดูมากเกินไป
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
บทที่ 326 กลับขาวเป็นดำ
“ชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมออกไปแต่โดยดี ดังนั้นพวกเราจึงต้องใช้กำลังเพื่อบังคับให้เขาออกไป”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับประธานของเขาเอง หัวหน้าบอดี้การ์ดจึงไม่กล้าที่จะพูดจาแต่งเติมเรื่องแม้แต่น้อย เขาพูดเฉพาะในสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นและได้ยินมา
ในเวลานี้เฉียนเซา เมื่อเห็นว่าเจ้าของโรงแรมออกมาแล้ว เขาก็มีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมในทันที
“ใช่ ๆ! ไอ้ยาจกตัวนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน อยู่ ๆ มันก็ทำร้ายเพื่อนของผมโดยที่พวกผมยังไม่ได้ทันทำอะไรมันก่อนเลย และโดยเฉพาะคำพูดคำจาของมันเย่อหยิ่งมากราวกับไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ท่านประธานควรจะไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้และประกาศห้ามให้เขามาเหยียบที่นี่อีกตลอดชีวิต!”
สีหน้าของเขาตื่นเต้นมากในขณะที่เขาพูด
คิดจะสู้กับเขางั้นเหรอ?
ในแวดวงชนชั้นสูงมีแต่คนรู้จักเขาเยอะแยะไปหมด คนจน ๆ คนหนึ่งจะมาสู้กับเขาได้ยังไง!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้หลินป๋อเพิกเฉยต่อคำพูดของคนอื่น ๆ และหันไปหาเจ้าของโรงแรม
“ประธานเจ่า ชายหนุ่มคนนี้ไงที่วันนี้ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จัก นี่คือคนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่ผมเคยเล่าให้คุณฟัง เขามีความสามารถอย่างมาก แถมยังสามารถบริหารจัดการบริษัทใหญ่ยักษ์ด้วยตัวของเขาเองแค่คนเดียว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าอย่างชื่นชม โดยไม่ได้ใส่ใจกับพวกบอดี้การ์ดของเขาหรือเฉียนเซาเลยแม้แต่น้อย
“อืม ช่างคนเป็นคนหนุ่มอายุน้อยที่น่าประทับใจจริง ๆ ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาบ้างก่อนหน้านี้ แต่ไม่นึกเลยว่าตัวจริงจะดูดุดันมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีก คนแก่อย่างฉันเทียบไม่ได้เลยจริง ๆ ฮ่า ๆ”
หลังจากพูดจบ ชายชราโบกมือให้บอดี้การ์ดของเขา
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว อย่ารบกวนแขกผู้มีเกียรติของฉัน”
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดอึ้งไปในทันที ส่วนบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็ทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
“ท…ท่านประธาน แต่ชายหนุ่มคนนี้คือคนที่เริ่มสร้างปัญหาก่อน ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านสั่งกับพวกเราหรอกเหรอว่าเราต้องจัดการพวกที่สร้างปัญหาให้กับเราอย่างเด็ดขาด?”
“นายแน่ใจเหรอว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นคนสร้างปัญหาก่อน? นายเห็นกับตาตัวเองหรือเปล่า? สำหรับฉันแล้ว ฉันคิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้ดูสุภาพที่สุดแล้ว!”
ชายชราผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ประธานเจ่า’ เมื่อได้ยินคำถามของลูกน้องตัวเอง เขาตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้ทำให้ทุกคนรอบตัวเขาตกตะลึง
ที่พวกเขาตกตะลึงกันมากเป็นเพราะหนุ่มน้อยที่ประธานเจ่าบอกว่าเป็นคนสุภาพกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ในตอนนี้!
คนสุภาพแบบไหนที่เหยียบหน้าคนอื่นแบบนี้กัน???
ในเวลานี้ หลินป๋อที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอารมณ์ดี
“ฮ่า ๆ น้องอวี้ นายรีบยกเท้าออกก่อนเถอะ นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าเมื่อครู่นี้ นายก้าวพลาดจนตอนนี้กำลังเหยียบอยู่บนหน้าคนอื่นอยู่?”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูด เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มที่มุมปาก
“โอ้ จริงด้วย โทษทีเมื่อกี้ไม่ทันมอง!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ส่งยิ้มเยาะเย้ยไปให้คนที่เขากำลังเหยียบหน้าอยู่แล้วค่อยถอนเท้ากลับ
ทุกคนตกตะลึงมากกว่าเดิมกับบทสนทนานี้!
ก้าวพลาดจนเหยียบหน้าคนอื่น? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน!?
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเมื่อกี้ไอ้หนุ่มนี่มันถีบคนอื่นก่อน แล้วจากนั้นก็เหยียบหน้าอีกฝ่ายอย่างอุกอาจ!
ข้ออ้างแบบนี้มันรังแกกันชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่สนใจการแสดงออกของทุกคนรอบ ๆ แม้แต่น้อย เขายังคงแสดงทัศนคติที่เป็นมิตรต่ออวี้ฮ่าวหรานต่อไป
“ฮ่า ๆ นายเห็นแล้วหรือยัง? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่น้องชายของฉันคนนี้หรอกที่สร้างปัญหา แต่เนื่องผู้คนที่นี่แออัดมาก ดังนั้นมันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการพลาดเหยียบกันขึ้น!”
เขายืนยันและจ้องไปที่หัวหน้าบอดี้การ์ดด้วยแววตาบอกเป็นนัยให้คล้อยตาม
หัวหน้าบอดี้การ์ดเห็นสิ่งนี้และเข้าใจในทันที
“อ…เอ่อ…ครับท่านประธาน! เมื่อครู่มันอาจจะเป็นผมเองที่ได้ยินผิดไป น้องชายคนนี้น่าจะไม่ได้สร้างปัญหาจริง ๆ มันน่าจะมีแค่ไอ้สองคนนี้ที่พยายามจะทำให้เรื่องมันใหญ่โตเพื่อก่อกวนโรงแรมของเรา เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะโยนตัวปัญหาสองคนนี้ออกไปจากโรมแรมของเราทันทีครับท่าน!”
เขาเปลี่ยนทัศนคติทันที
ขณะพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ อย่างตกตะลึง
เขาพยายามเดาว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?
ต้องรู้ว่าประธานของเขาเป็นคนที่เข้มงวดกับกฏระเบียบมากเสมอ ไม่มีสักครั้งเลยที่ประธานของเขาจะพูดละเว้นใครแบบนี้!
ทางด้านของฝูงชนเมื่อได้ยินคำพูดของประธานเจ่า พวกเขาก็ยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม!
แออัดจนพลาดเหยียบหน้ากันเนี่ยนะ!? นี่มันข้ออ้างบ้าอะไรกัน??
อ้างแบบนี้ก็ได้เหรอ?!
คนปัญญาอ่อนยังรับรู้ได้ว่านี่มันคือการแก้ตัวให้กันอย่างน่าไม่อายชัด ๆ!
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อคำพูดนี้มันถูกเอ่ยออกมาจากปากของเจ้าของโรงแรม พวกเขาจะสามารถโต้แย้งอะไรได้?
หลังจากเห็นสถานการณ์ที่าพลิกผันขนาดนี้ ทุกคนต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบพลางมองคู่หนุ่มสาวอย่างสงสัย
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมประธานเจ่าถึงพูดช่วยเขาขนาดนี้?”
“นี่มันเป็นการช่วยแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยสักนิด!”
“พระเจ้า ชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ พวกเรารีบไปยืนกันตรงอื่นดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนหางเลขเอาได้ เมื่อกี้ฉันเพิ่งพูดช่วยเฉียนเซาไปด้วย!”
“…”
มีการพูดคุยกันมากมายด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าดูถูกคู่หนุ่มสาวซึ่งก็คืออวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋ออีกแล้ว
ล้อเล่นเถอะ ขนาดเจ้าของโรงแรมยังออกโรงพูดช่วยขนาดนี้ ต้องโง่ขนาดไหนถึงยังจะกล้ายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามคู่หนุ่มสาวคู่นี้อีก?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นความบิดเบี้ยวนี้ เฉียนเซาก็โมโหจนแทบหัวระเบิด
“ไม่…นี่มันไม่ถูกต้อง! เมื่อกี้ไอ้เวรนี่มันตีเพื่อนของผมก่อนชัด ๆ! ทำไมคุณกลับพูดจาเข้าข้างมันแบบนี้ ผมไม่ยอม!”
เฉียนเซายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ และความโมโหทำให้กระบวนการคิดของตัวเองสับสนไปหมดจนกล้าพูดเถียงคนที่เป็นถึงเจ้าของโรงแรมที่เขากำลังยืนอยู่!
แน่นอนว่าชายสองคนที่นอนอยู่ที่พื้นนั้นก็รู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่งกว่า
“พวกเราไม่ได้สร้างปัญหาก่อนสักหน่อย! พวกเราถูกทำร้ายก่อนชัด ๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เห็นเต็มสองตา!”
นี่มันบ้าอะไรกัน!
นี่มันเป็นสิ่งที่เรียกว่ากลับขาวเป็นดำใช่ไหม?
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สายตาของชายชรา หัวหน้าบอดี้การ์ดและลูกน้องกระโจนเข้าหาทั้งสองคนทันที!
“พวกคุณทั้งสองคนยังกล้าสร้างปัญหาในโรงแรมของเราอีกงั้นเหรอ! ได้! ในเมื่อเตือนกันแล้วไม่ฟังแบบนี้ถ้างั้นก็อย่ามาหาว่าพวกเราไม่ให้เกียรติ!”
หลังจากพูดจบ บอดี้การ์ดสี่คนก็รวมตัวกันและลากทั้งสองคนออกไป
“ไม่…ไม่…เราบริสุทธิ์!”
ระหว่างโดนลากชายทั้งสองคนยังคงตะโกนเรียกร้องความบริสุทธิ์ของตัวเองเสียงดังลั่น
นี่พวกเขาพลาดไปยั่วยุตัวตนแบบไหนเข้ากันแน่? นอกจากพวกเขาจะโดนอัดแบบฟรี ๆ แล้วตอนนี้ยังต้องโดนลากออกจากงานประมูลด้วยเนี่ยนะ?
ในเวลานี้ ประธานเจ่าไม่ได้มองทั้งสองคนที่ถูกลากออกไปเลย แต่เขากลับมองไปที่เฉียนเซาด้วยแววตาจริงจัง
“คุณยังอยากจะพูดอะไรต่อไหมกับการตัดสินใจของฉัน? หรือว่าคุณไม่พอใจอะไรตรงไหนหรือเปล่า?”
คำถามที่เย็นชานี้ทำให้หัวใจของเฉียนเซาเต้นผิดจังหวะ
ฉันจะบอกไปว่าไม่พอใจได้ยังไง?!
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย ทรัพย์สินของชายชราผู้นี้รวยกว่าครอบครัวของเขามาก แม้ว่าพ่อของเขาจะอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่สามารถเถียงชายชราคนนี้ได้!
หากตัวเองทำให้ชายชราคนนี้โกรธเคือง เมื่อเขากลับไปก็คงจะโดนพ่อถลกหนังเป็นแน่
“ผ…ผมพอใจแล้ว”
เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
“ฮ่า ๆ เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่า น้องอวี้ของฉันไม่เคยคิดที่จะสร้างปัญหาให้กับใคร นี่เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น!”
หลินป๋อหัวเราะเมื่อเรื่องนี้ได้รับการจัดการตามที่เขาต้องการ
อย่างไรก็ตาม เสียงหัวเราะนี้ทำให้เฉียนเซารู้สึกเศร้าใจ
นี่มันเป็นการกลับขาวให้เป็นดำไม่ใช่หรือไง?
เห็นกันชัด ๆ ว่าเพื่อนของเขาถูกทำร้ายก่อน แต่ในท้ายที่สุดเพื่อนของเขากลับถูกลากออกไปซะงั้น
แถมอีกฝ่ายยังบังคับให้เขายอมรับว่ามันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดอีกต่างหาก…
บัดซบเอ๊ย!
ในขณะนี้ แม้แต่ซูหว่านเอ๋อที่ตอนแรกตื่นตระหนกก็ยังตกตะลึง เธอไม่เคยเห็นฉากบังคับให้เข้าใจผิดแบบนี้มาก่อน
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ในเวลานี้ ดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
“ฮ่า ๆ นี่แหละคือประโยชน์ของการมีอิทธิพล!”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะอย่างสบาย ๆ
ตราบใดที่มีอำนาจมีพลัง เขาก็สามารถบังคับให้ใครก็ได้พูดว่าสีดำเป็นสีขาว และคนพวกนั้นก็จำเป็นต้องเชื่อว่ามันสีขาวอย่างไม่อาจเถียงได้
หลังจากที่เหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว หลินป๋อก็เข้ามาทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไงบ้างน้องอวี้ ไม่ได้เจอกันนานเลย ดูนายสบายดีนะใช่ไหม?”
ในขณะนี้ สีหน้าของหลินป๋อดูปกติอย่างมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการบังคับและอ้างเหตุผลว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ
บทที่ 319 บุกถึงประตู
บทที่ 319 บุกถึงประตู
เมื่อได้ยินคำถามที่เป็นกังวลของหลี่หรง อวี้ฮ่าวหรานก็หัวเราะขบขัน
“อย่าคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก”
อู๋ลั่นถูกเขาจัดการไปแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ต้องการให้หลี่หรงกังวล เขาจึงพูดตัดบทไป
แต่หลังจากที่พาถวนถวนล้างมือเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ตัดสินใจบางเรื่องอย่างเด็ดขาด
“เธอกับถวนถวนกินข้าวกันไปก่อนเลย พี่มีเรื่องต้องจัดการอีกเรื่อง แล้วเดี๋ยวดึก ๆ พี่จะกลับมา”
“หืม? มีเรื่องอะไรอีกงั้นเหรอพี่เขย? ทำไมพี่ไม่กินข้าวก่อนล่ะ?”
หลี่หรงรู้สึกงงงวยกับคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน
ความขุ่นเคืองจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“เรื่องนี้พี่ต้องจัดการในทันที ไม่อย่างนั้นพี่คงรู้สึกไม่สบายใจ”
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ตอบโดยตรงว่ามันคืออะไร แต่สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจริงจังมาก หลี่หรงจึงทำได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น และตัดสินใจที่จะไม่หยุดอีกฝ่ายอีกต่อไป
“อืม…ถ้างั้นพี่ก็รีบไปเถอะ เอาไว้เดี๋ยวฉันจะแบ่งกับข้าวส่วนของพี่เก็บเอาไว้ให้”
“อืม”
หลังจากตกลงกันได้อย่างรวบรัดแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็หันหลังและจากไป
แต่ทันทีที่เขาปิดประตูออกจากห้อง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที!
เรื่องของอู๋ลั่นวันนี้ทำให้เขากังวลมาก
ชายวัยกลางคนนั่นบอกว่าถูกตระกูลอู๋เชิญตัวมา!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่บงการอยู่เบื้องหลังก็คือตระกูลอู๋!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่สามารถระงับความโกรธในใจตัวเองได้อีกต่อไป
ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว! เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจ แต่อีกฝ่ายกลับระรานครอบครัวของชายหนุ่มไม่หยุด คราวนี้เขาจึงต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลังจากลงลิฟท์และขึ้นรถไป เขาก็เหยียบคันเร่งจนมิดทันที!
…
เวลาราว 1 ทุ่ม ท้องฟ้ามืดสนิท อู๋หมิ่นและภรรยาของเขากำลังกินอาหารเย็นอยู่ในบ้านหลักของตระกูล
“ฮึ่ม! การแก้แค้นครั้งนี้ต้องสำเร็จแน่! ไม่ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีทางแข็งแกร่งกว่าอู๋ลั่นได้!”
อู๋หมิ่นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสะใจ
“เฮอะ! ไอ้หมาเน่าตัวนั้นน่าจะตายไปนานแล้ว! มันกล้าดียังไงมาฆ่าลูกชายของฉัน! ฉันขอให้มันตายในสภาพศพไม่สมบูรณ์!”
หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแสดงสีหน้าเคียดแค้นในขณะพูด
“จากนี้มันยังไม่จบหรอก! แค่ฆ่ามันคนเดียวฉันยังไม่สะใจพอ! มันยังมีลูกสาวอีกคน ลูกสาวของมันต้องตายตามพ่อของมันไปด้วย!”
อู๋หมิ่นเอ่ยขึ้นเสริมอย่างอาฆาต
“ใช่! ฆ่านังเด็กนั่น! แต่เราต้องฆ่านังเด็กนั่นอย่างช้า ๆ ให้สาสมกับที่พ่อของมันฆ่าลูกของเรา!
เมื่อหญิงวัยกลางคนได้ยินคำพูดของสามีตัวเอง เธอก็แสดงความร้ายกาจออกมาพลางคิดจินตนาการว่าจะใช้วิธีไหนดีเพื่อทรมานเด็กน้อยตัวเล็ก ๆ ที่เธอรังเกียจ
“จริงสิ ผู้หญิงของมันอีกล่ะ? เราจะปล่อยผู้หญิงของมันไปไม่ได้ น้องเมียของมันคุณต้องจับมาด้วย! ฉันจะกำจัดตัวเมียทุกคนที่เกี่ยวข้องกับมันทั้งหมด! ลูกชายของฉันตายเพราะนังนั่น!”
“แน่นอน! ถึงเธอไม่พูด ฉันก็จะทำแน่! ลูกชายของอู๋หมิ่นจะตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ยังไง!”
การแสดงออกของอู๋หมิ่นเย็นชายิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“ดี! ดีมาก! ครอบครัวของมันทั้งหมดต้องตายตามลูกชายของเราไป พวกมันต้องกลายเป็นวิญญาณรับใช้ลูกของเราในยมโลก!”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่ทั้งโหดเหี้ยมและขมขื่น
แต่ในขณะนั้น ประตูรั้วคฤหาสน์กลับกระเด็นล้มลงทั้งบาน!
โครม!
บอดี้การ์ดสองสามคนที่ยืนอยู่หลังประตูถูกทับจนเละ!
“เร็ว…วิ่ง…”
บรรดาบอดี้การ์ดต่างแตกตื่นโกลาหล พวกเขาต่างร้องตะโกนพลางวิ่งถอยกลับเข้ามาที่ตัวคฤหาสน์
ในเวลานี้ ร่างผอมบางปรากฏขึ้นที่ประตู!
อู๋หมิ่นตกใจ เขาลุกขึ้นและรีบเดินออกไปดูสถานการณ์ทันที แต่ฝุ่นที่ฟุ้งปกคลุมบริเวณประตู ทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครเป็นผู้มาเยือน
“ไม่ทราบว่าท่านผู้แข็งแกร่งเป็นใครงั้นหรือ? ทำไมท่านถึงบุกเข้ามาในบ้านของผู้น้อยเช่นนี้?”
หลังจากที่เจอกับอู๋ลั่นมาไม่นาน มุมมองต่อโลกใบนี้ของอู๋หมิ่นก็เปลี่ยนไป เขาเข้าใจมากขึ้นว่าต่อหน้าผู้ที่แข็งแกร่ง เขาควรจะนอบน้อมให้มากที่สุด เพราะไม่งั้นคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองจะตายตอนไหน
อย่างไรก็ตาม ชายที่เพิ่งถล่มประตูก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาช้า ๆ และเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เมื่อกี้แกไม่ได้เพิ่งพูดเหรอว่าจะส่งดวงวิญญาณของฉันผู้นี้ไปเป็นข้ารับใช้ลูกชายของแกในยมโลก? วันนี้ที่ฉันมามีเพียงจุดประสงค์เดียวคือส่งพวกแกทุกคนลงไปอยู่กับไอ้ขยะอู๋เส้าฮัว!”
หลังจากฝุ่นจางไป หัวใจของอู๋หมิ่นแทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกเป็นใคร!
“แก! ทำไมแกถึงยังมีชีวิตอยู่! แกไม่ควร! แกไม่ควร! ทำไมแกถึงยังไม่ตาย!?”
ดวงตาของอู๋หมิ่นเบิกกว้างจนแทบจะถลนในเวลานี้ เขาก็ไม่อยากจะเชื่อสายตากับสิ่งที่กำลังเห็นอยู่
คนที่บุกเข้ามาคืออวี้ฮ่าวหราน!
ในขณะเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานก็เพิกเฉยต่อคำถามของอีกฝ่าย เขายังคงเดินต่อไปอย่างช้า ๆ และเมื่อเหลือบมองเข้าไปด้านในคฤหาสน์และเห็นโต๊ะอาหารถูกจัดวางอยู่กลางห้องโถง เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก
“ฮิฮิ ดีจังเลยนะ กำลังกินข้าวมื้อสุดท้ายกันอยู่ซะด้วย”
ในเวลานี้ หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ อู๋หมิ่นแสดงท่าทางขาดสติทันทีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือฆาตกรฆ่าลูกชายของเธอ เธอตะโกนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้สารเลว! แกฆ่าลูกชายของฉัน! แกตายแน่! ไม่สิ ครอบครัวของแกทั้งหมดจะต้องตาย! ฉันจะทรมานแก ลูกของแก ผู้หญิงของแกทุกคนด้วยตัวของฉันเอง ฉันจะ…”
“หุบปาก!!”
อู๋หมิ่นไม่รอให้ภรรยาพูดจบและรีบตวาดให้หยุดเสียงดัง
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมภรรยาของเขาถึงโง่เง่าอะไรได้ขนาดนี้ ไม่รู้ตัวหรือไงว่าตอนนี้เรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน!?
อีกฝ่ายหนึ่งบุกเข้ามาโดยไร้รอยขีดข่วน ส่วนอู๋ลั่นก็หายไปโดยไม่ส่งข่าวคราวกลับมาเลย สถานการณ์เช่นนี้มันหมายความได้อย่างเดียวซึ่งก็คือ อู๋ลั่นถูกจัดการไปแล้ว และพวกเขากำลังโดนจะโดนเก็บกวาด!
“อวี้ฮ่าวหราน ตระกูลอู๋ของฉันยินดียอมรับเงื่อนไขทุกอย่างที่นายต้องการ แลกกับการที่นายจะยอมปล่อยให้เราสองคนมีชีวิตรอด”
แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องจำใจต้องยอมรับความจริงที่ว่า อู๋ลั่นอาจจะตายไปแล้ว!
มิฉะนั้น อวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางมาปรากฏกายที่นี่ได้
ตอนนี้แผนการของเขาที่คิดออกคือพยายามเจรจาให้อวี้ฮ่าวหราน กลับไปก่อน และจากนั้นเขาจะแจ้งเรื่องนี้แก่สำนักเมฆาเขียวเพื่อที่สำนักจะได้ส่งคนมาอีกครั้ง
ถึงตอนนั้นไอ้เวรนี่จะต้องตายแน่นอน!
แต่ในขณะนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็จ้องมองอู๋หมิ่นด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ฉันรู้ว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ฉันบอกเอาไว้เลยว่าแกไม่มีทางอยู่รอดเกินคืนนี้แน่”
น้ำเสียงของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชาสุดขั้ว
แน่นอนว่าคำพูดนี้ทำให้อู๋หมิ่นหมดหวัง
เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาของอวี้ฮ่าวหราน อู๋หมิ่นก็ปลงใจแล้วว่าวันนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเขาก็ไม่รอดแน่นอน และเขาไม่สามารถซ่อนความคิดของตัวเองจากอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย
บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด
บทที่ 329 เพิ่มราคาแบบก้าวกระโดด
ทันทีที่ประกาศราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนออกมา คนส่วนใหญ่ก็นิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าราคาดังกล่าวสูงกว่าที่คนส่วนใหญ่สามารถจ่ายได้
ก่อนหน้านี้ โบราณวัตถุที่ขายออกไปแพงที่สุดราคาเพียงสามสิบล้านหยวน ใครจะจินตนาการได้ว่ามันจะมีของที่มีราคาเปิดประมูลสูงถึง 55 ล้านหยวนโผล่ออกมาแบบนี้
สมบัติเช่นนี้เศรษฐีทั่ว ๆ ไปไม่มีสิทธิ์ซื้อได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เฉียนเซาก็ยกป้ายของเขาขึ้นอย่างรวดเร็ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 56 ล้าน!”
ทันทีที่พิธีกรบนเวทีรายงานราคา เฉียนเซาไม่ลืมที่จะหันไปส่งสายตาเยาะเย้ยอวี้ฮ่าวหรานอย่างมีชัย
ในเวลานี้ เขาคาดไว้ว่าอีกฝ่ายไม่ทางที่จะมีเงินพอประมูลของชิ้นนี้ร่วมกับเขาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเอ่ยราคาขึ้นมาเพื่อเยาะเย้ยอีกฝ่ายแบบนี้
แน่นอนว่า เฉียนเซาไม่ได้คิดว่าท้ายที่สุดตัวเองจะมีปัญญาพอซื้อพระพุทธรูปหยกนี้ เพราะราคามันคงโดดไปไกลมากกว่าที่ตัวเองจะเอื้อมไหว เขาแค่อยากเอ่ยราคาขึ้นเพื่อหยามหน้าอวี้ฮ่าวหรานก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานเมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็ยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายของตัวเองขึ้น
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 80 ล้าน!”
พิธีกรรายงานราคา และทุกคนในห้องโถงที่ยังคงลังเลอยู่ต่างกันก็หันศีรษะมองมาไปยังตำแหน่งหมายเลข 31 ด้วยความตกใจ
“พระเจ้า! เขาบ้าไปแล้วงั้นเหรอ? เพิ่มราคามาถึง 80 ล้านดื้อ ๆ แบบนี้เลยเนี่ยนะ?”
“เพิ่มราคามาขนาดนี้ได้ยังไง?? นี่เขาบ้าหรือเขาโง่กันแน่? แล้วแบบนี้ฉันจะสู้ราคาได้ยังไงต่อ!”
“…”
ทุกคนตกตะลึงแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ หลังจากเงียบไปหลายวินาที ก็เกิดเสียงวิจารณ์ดังทั่วห้อง
ทางด้านของเฉียนเซา ตอนนี้เขากำลังตกตะลึงจนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า!
เขาแค่ส่งสายตาเยาะเย้ยอีกฝ่ายนิดหน่อยเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสู้ราคาจริง ๆ!
แถมราคาที่อีกฝ่ายสู้มามันมากกว่าราคาของทั้งหมดที่เขาซื้อ ๆ ไปในวันนี้ทั้งหมด!
สิ่งนี้มันทำให้เฉียนเซาดูเหมือนเป็นตัวตลกไปเลย
“จะบ้าเหรอ! แกมีเงินมากมายขนาดนั้นเลยหรือไง!?”
เขาตะโกนร้องออกมาอย่างไม่เชื่อ
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ย
“ทำไม? แกไม่คิดจะสู้ราคากับฉันแล้วงั้นเหรอ? ฉันแค่ขึ้นราคานิดหน่อย แค่นี้แกก็กลัวแล้วงั้นเหรอ?”
“แก!”
เฉียนเซาไม่รู้จะเถียงยังไงต่อ ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างช่วยไม่ได้
“คุณเฉียนเซา เห็นชัด ๆ ว่าไอ้เวรนั่นมันแค่แกล้งคุณเล่น มันจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้ยังไง? ตราบใดที่คุณไม่เสนอราคาสู้กับมันและปล่อยให้มันชนะการประมูลไป ท้ายที่สุดมันเองนั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายเดือดร้อน!”
ในเวลานี้ ชายหนุ่มลูกหลานตระกูลเศรษฐีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เฉียนเซาให้คำแนะนำราวกับเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้
“หุบปาก! แกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอไง?”
เฉียนเซาหันหน้าไปตวาดใส่ชายหนุ่มข้าง ๆ ทันที ใบหน้าของเขามืดมนเต็มที่
เขารู้สึกหงุดหงิดมากที่โดนคนที่ตัวเองคิดว่าอยู่ต่ำกว่าสร้างความลำบากให้กับเขาได้ขนาดนี้
ในวงสังคม เขาสามารถเสียทุกอย่างได้ แต่จะเสียหน้าไม่ได้!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 16 เสนอราคา 81 ล้านหยวน!”
ไม่นานนักพิธีกรก็รายงานราคาใหม่
ในเวลานี้ เฉียนเซานั่งลงและมองดูอวี้ฮ่าวหรานด้วยแววตาเคียดแค้น จู่ ๆ เขาต้องเสียเงินมากกว่า 80 ล้านในครั้งนี้ เขาจะจดจำความแค้นนี้อย่างแน่นอน!
แต่อวี้ฮ่าวหรานยิ้มอย่างดูถูกและยกป้ายขึ้นอีกครั้ง!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 100 ล้านหยวน!”
“บ้าอะไรวะน่ะ?!!!”
เฉียนเซาที่เพิ่งนั่งลงกระเด้งตัวลุกขึ้นมายืนทันที เขาทั้งตกใจและโกรธ
“นี่แกโง่หรือบ้ากันแน่!! ฉันอุตส่าห์เมตตาแกให้ทางถอยกับแกแล้ว แต่แกกลับเสนอราคาต่อแบบนี้ทำบ้าอะไร!?”
ในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อพระพุทธรูปหยกนี่ด้วยซ้ำเพราะรู้ว่ามันจะต้องแพงมาก แต่ถัดมาเขาก็ถูกบีบให้รักษาหน้าของตัวเองโดยการต้องยอมตัดใจเพิ่มราคาเกทับอวี้ฮ่าวหรานมาเป็น 81 ล้านซึ่งเขาคิดว่าตัวเขาคงจะต้องได้ซื้อมันจริง ๆ แน่ โดยที่ไม่ได้อยากจะเสียเงินมากขนาดนี้เลย แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับขึ้นราคามาอีกเกือบยี่สิบล้านหยวน!
นี่มันมากเกินไปแล้ว!
แม้ว่าจะเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเฉียนก็ตาม แต่ราคาหนึ่งร้อยล้านก็ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยเลย!
เฉียนเซาไม่สามารถเสี่ยงดวงขานราคาเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป เพราะถ้าหากได้ซื้อมันจริง ๆ ในราคามากกว่าร้อยล้านหยวน มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของเขา…
ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานกลับทำเพียงแค่เหลือบมองกลับไปและเอ่ยขึ้นอย่างดูถูก
“นั่นมันเรื่องของแก ฉันแค่ต้องการซื้อของนี่ไปประดับห้องนั่งเล่นของฉันก็แค่นั่น”
เมื่อเฉียนเซาได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ตกตะลึง
คำพูดนี้มันเย่อหยิ่งเกินไป ซื้อสมบัติหายากมูลค่า 100 ล้านหยวน เพื่อเอาไปตกแต่งห้องนั่งเล่นแค่นั้นเนี่ยนะ?
นรกเถอะ!
บ้านของแกมีมูลค่าถึงร้อยล้านแล้วหรือไง!
กล้าเอาของมูลค่าร้อยล้านไปประดับห้องนั่งเล่นเนี่ยนะ!
เฉียนเซามองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างโกรธจัด ก่อนที่จะตวาดขึ้นดังลั่น
“ฉันเข้าใจแกผิดไป! แกไม่ใช่คนยากจน แต่แกมันเป็นไอ้โง่! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะมีปัญญาจ่าย!”
“แล้วถ้าฉันสามารถจ่ายได้ล่ะ?” อวี้ฮ่าวหราน ถามกลับทันควัน
“ฮึ่ม! ถ้าแกสามารถจ่ายได้ ฉันจะยอมเรียกแกว่าพ่อเลย!”
เฉียนเซาปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมีเงินทุนขนาดนั้น ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคนรวยจริง ๆ จะใส่ชุดราคาถูกแบบนั้นทำไม? มันคงไม่มีคนรวยคนไหนที่ไม่ดูแลการแต่งกายของตัวเองหรอกจริงไหม?
“เหอะ ๆ อย่าเลย ฉันไม่อยากมีลูกชายแบบแก ถ้ามี ฉันเกรงว่าฉันคงฆ่าแกทันทีที่แกลืมตาดูโลก”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเยาะ
“แก!”
เฉียนเซาโกรธจนเกือบควันออกหู
“ฉันไม่เชื่อแกหรอก! แกมันก็ดีแต่ปาก!”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน การเสนอราคาในงานประมูลก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 13 เสนอราคา 110 ล้าน!”
“สุภาพบุรุษหมายเลข 19 เสนอราคา 115 ล้าน!”
ราคามาถึงจุดที่คนส่วนใหญ่พูดไม่ออกอย่างรวดเร็ว
คุณค่าของพระพุทธรูปหยกองค์นี้มีค่าคู่ควรกับเงินจำนวนนี้ และคุณภาพของหยกเช่นนี้นั้นหายากมากในโลกปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้อยู่แล้ว
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 150 ล้านหยวน!”
เพิ่มราคา 35 ล้านด้วยการขานครั้งเดียว!
ทุกคนสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง!
พวกเขาพบว่าชายหนุ่มหมายเลข 31 กำลังใช้เงินราวกับว่ามันเป็นแค่เศษกระดาษ!
ต้องรู้ว่าเงิน 150 ล้านนั้นเพียงพอที่จะซื้อบริษัทขนาดเล็กได้หลายบริษัท!
ในเวลานี้ คนส่วนใหญ่หยุดประมูล แต่ก็ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งที่ยังไม่เต็มใจจะยอมแพ้อยู่ และขานราคาสู้อย่างอีกครั้ง
“สุภาพบุรุษหมายเลข 14 เสนอราคา 155 ล้าน!”
ทุกคนไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้มันเป็นการแข่งขันของมหาเศรษฐีตัวจริง!
บางคนที่เพิกเฉยต่ออวี้ฮ่าวหรานก่อนหน้านี้ ตอนนี้รู้สึกเสียดายโอกาสของตัวเองเป็นอย่างมาก ทำไมก่อนหน้านี้ตอนที่ยังมีโอกาสพวกเขาถึงโง่ไม่ยอมผูกมิตรกับมหาเศรษฐีอายุน้อยคนนี้??
คนที่สามารถใช้เงินซื้อของประดับบ้านมูลค่า 150 ล้านได้นั้น พวกเขาเทียบไม่ได้เลย
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นว่ายังมีคนพยายามจะสู้ราคาอยู่ เขาก็ยกยิ้มที่มุมปากก่อนที่จะยกป้ายสู้ราคาอีกรอบ เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะได้พระพุทธรูปหยกองค์นี้!
“สุภาพบุรุษหมายเลข 31 เสนอราคา 200 ล้าน!”
ราคานี้แม้แต่พิธีกรบนเวทียังตกใจ!
พระเจ้า!
เขาไม่เคยเห็นการขานราคาสู้ที่บ้าคลั่งขนาดนี้มาก่อนในชีวิต!
ตามปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะซื้อราคากันทีละล้านสองล้าน แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับเพิ่มราคาขึ้นมาทีเดียวถึง 45 ล้าน!
เศรษฐีผู้ที่เคยคิดจะสู้ราคากับอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินราคานี้เขาถอนหายใจก่อนที่จะโบกมือยอมแพ้ราคาไปในที่สุด
ในขณะนี้ บรรดาผู้คนที่อยู่ในห้องประมูลต่างมองไปที่ชายหนุ่มหมายเลข 31 โดยพยายามเดากันว่าชายหนุ่มคนนี้มีที่มายังไง ทำไมถึงได้กล้าใช้เงินมากขนาดนี้?