บทที่ 325 เหยียบหน้า
บทที่ 325 เหยียบหน้า
สีหน้าของซูหว่านเอ๋อหม่นหมองทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของชายร่างอ้วน เธออยากจะอธิบายอย่างกระวนกระวาย
“ไม่…มันไม่ใช่แบบนั้น…ฮ่าวหรานไม่ใช่…ฮ่าวหรานไม่ใช่…”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นดวงตาดำขลับของซูหว่านเอ๋อเปลี่ยนไปอย่างไม่สบายใจ เขาก้าวไปบังเธอและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“ไม่ว่าฉันกับซูหว่านเอ๋อจะเป็นอะไรกัน คนอย่างแกก็ไม่มีสิทธิจะมายุ่มย่ามหรอก”
ชายหนุ่มโต้กลับอีกฝ่ายอย่างดูถูก
“ไอ้บ้านี่แกกล้าทำตัวจองหองต่อหน้าฉันงั้นเหรอ! แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?!”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายร่างอ้วนโมโหในทันที
อวี้ฮ่าวหรานไม่ต้องการพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้ให้มากมายนัก เขากระซิบและแสดงท่าทางจะพาซูหว่านเอ๋อออกไป
“หลีกไปให้พ้นทาง!”
“แม่งเอ๊ย! นี่แกกล้าดีมากเกินไปแล้ว! แกรู้ไหมว่าครอบครัวของฉัน เฉียนเซา ยิ่งใหญ่แค่ไหน แค่ฉันดีดนิ้วครั้งเดียว แกก็หายไปจากโลกนี้ได้แล้ว!”
ชายร่างอ้วนไม่พอใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทีโอหังของอวี้ฮ่าวหรานเขาก้าวเข้ามาขวางทางด้วยสีหน้าเย็นชา
ซูหว่านเอ๋อรีบคว้าแขนของอวี้ฮ่าวหราน ใบหน้าของเธอกังวลจนถึงขีดสุด
“ฮ่าว…ฮ่าวหราน เรา…เราอย่ามีเรื่องกับพวกเขาเลย พวกคนที่อยู่ที่นี่มาจากตระกูลใหญ่ ๆ กันทั้งนั้น ต…ตระกูลซูของฉันไม่อาจล่วงเกินพวกเขาได้…”
ในเวลานี้ ด้วยความกลัวปัญหาที่จะตามมา ซูหว่านเอ๋อจึงอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อมด้วยความเป็นห่วง
“ฮ่า ๆ หว่านเอ๋อ เธอนี่ฉลาดจริง ๆ เธอนี่ฉลาดกว่าไอ้หมาที่อยู่ข้าง ๆ เธอเยอะเลย มาเร็ว รีบมาหาฉันดีกว่า ยิ่งเธอยืนอยู่ข้าง ๆ ไอ้คนจนนี่มากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งหม่นหมองมากขึ้นเท่านั้น!”
ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นอย่างเยาะเย้ย
พวกเขาคือพวกนายน้อยรุ่นสองที่ร่ำรวยมาแต่กำเนิดไม่ได้หาเงินใช้เอง ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะดูถูกทุกคนที่ต่ำต้อยกว่า และไม่เห็นตระกูลซูที่ด้อยกว่าอยู่ในสายตา
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือพวกเขามีนิสัยคล้ายกับหลี่จิงเทียนจอมโอหังและโง่เขลา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ ชายหนุ่มต้องเจ็บปวดเพราะปากของตัวเองในทันที!
อวี้ฮ่าวหรานถีบอีกฝ่ายลงไปที่พื้นอย่างรวดเร็ว!
“เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น!”
“มีคนตีกัน!”
“…”
ฉากนี้ทำให้ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ก้าวถอยกลับพร้อมกับอุทาน
พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นชนชั้นสูงในเมืองฮ่วยอัน ซึ่งโดยทั่วไปการใช้ความรุนแรงกันแบบนี้จึงเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ๆ
“ชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร? ทำไมเขาถึงหยาบคายแบบนี้?”
“ใช่ แล้วดูการแต่งตัวนั่นสิ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูกแบบนี้ นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเขาเข้ามาได้ยังไง?”
“…”
ฝูงชนวิจารณ์กันสนั่นหลังจากเห็นการแต่งกายของอวี้ฮ่าวหราน พวกเขาต่างให้คะแนนติดลบกับชายหนุ่มที่ดูเหมือนมาจากครอบครัวชนชั้นกลางทันที
“ไอ้สารเลว! แกกล้าดียังไงมาตีฉัน!”
ในขณะเดียวกันนี้ ชายหนุ่มที่ถูกถีบลงไปกองกับพื้นตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล
แต่เนื่องจากอวี้ฮ่าวหรานตัดสินใจที่จะใช้ความรุนแรง เขาจึงไม่คิดที่จะไว้หน้าใครอีกต่อไป!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังปากมากอยู่อีก อวี้ฮ่าวหรานก็ก้าวไปเหยียบหน้าคน ๆ นั้นอีกครั้งทันที!
“ฮึ! ยังปากดีได้อยู่ใช่ไหม? ได้! งั้นเรามาดูกันว่าปากของแกจะดีมากจนทนเท้าของฉันได้นานขนาดไหน!”
เฉียนเซาตกตะลึงกับฉากตรงหน้าเขาขณะนี้ เขาอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก
เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ชายหนุ่มอีกคนก็ก้าวมาข้างหน้า!
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มที่รูปร่างล่ำสันที่เพิ่งก้าวออกมาโดนอวี้ฮ่าวหรานตบด้วยหลังมือและลงไปนั่งกองที่พื้นอีกคนอย่างรวดเร็ว!
เมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองสองคนถูกจัดการอย่างน่าอนาถ เฉียนเซาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แก! แกกล้าดียังไงมาทำร้ายเพื่อนของฉันแบบนี้ รู้ไหมว่าพ่อของฉันเป็นใคร!”
“แม้แต่ชื่อพ่อตัวเองยังจำไม่ได้จนต้องมาถามคนอื่น แกนี่มันลูกอกตัญญูจริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานพูดติดตลกเล็กน้อย
ซูหว่านเอ๋อที่ในตอนแรกประหม่าเป็นอย่างมาก เมื่อเธอได้ยินประโยคล้อเลียนนี้เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“แก! แกตายแน่!!”
เฉียนเซาถูกกระตุ้นมากจนไขมันทั่วทั้งใบหน้าของเขาสั่นเป็นคลื่น
ไม่นานหลังจากเกิดความโกลาหลนี้เกิดขึ้น บอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนก็โผล่พรวดออกมาจากฝูงชนและรีบเดินดิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเอาเรื่อง!
“คุณมาสร้างปัญหาที่นี่ทำไม??”
เมื่อเห็นอวี้ฮ่าวหรานกำลังเหยียบหน้าคนอื่นอยู่ หัวหน้าบอดี้การ์ดขมวดคิ้วแน่นทันที ร่างกายของเขาพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่คนสร้างปัญหาได้ตลอดเวลา
เฉียนเซาเมื่อเห็นว่ามีคนมาช่วยเขาแล้ว ก็ไม่รอช้า รีบตะโกนปรักปรำอวี้ฮ่าวหรานอย่างรวดเร็ว
“ไอ้นี่แหละ! ไอ้นี่มันหาเรื่องพวกผมก่อน! อยู่ดี ๆ มันก็ทำร้ายพวกผม แล้วดูการแต่งตัวของมันสิ คนแต่งตัวแบบนี้ไม่มีทางได้รับเชิญเข้ามางานประมูลแห่งนี้แน่นอน มันต้องแอบเข้ามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย! พวกคุณรีบลากมันออกไปเร็ว และถ้าจะให้ดีอัดสั่งสอนมันสักหน่อยด้วยเพื่อให้หลาบจำว่าอย่าเสนอมาที่นี่อีก!”
คราวนี้สีหน้าของเฉียนเซากลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง และพูดขึ้นก่อน
“หืม? เรื่องเป็นแบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเฉียนเซา หัวหน้าบอดี้การ์ดหันไปมองฝูงชนรอบ ๆ และถาม
“ใช่ ฉันเห็นชายหนุ่มคนนี้เริ่มลงมือก่อนจริง ๆ”
“ใช่! กลุ่มของเฉียนเซาถูกรังแกก่อนเช่นกัน”
“ฉันก็เห็นเหมือนกัน ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าคนนี้พยายามเข้าใกล้กลุ่มของเฉียนเซา แต่เขากลับโกรธหลังจากถูกไล่ตะเพิด”
“…”
ทุกคนต่างพูดเอนเอียงไปทางเฉียนเซา ไม่มีใครเข้าข้างอวี้ฮ่าวหรานที่ดูแต่งตัวธรรมดาเลยสักคน
เฉียนเซาคนนี้ชอบเข้าร่วมงานเลี้ยงและงานสังคมต่างๆ เสมอ หลายคนจึงรู้จักเขาและอยากที่จะผูกมิตรกับเขา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูหว่านเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโห
แต่ด้วยบุคลิกไม่สู้คนของเธอ เธอจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกระตุกชายเสื้อของอวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าวิตก
“ฮ่าวหราน… ฉัน…เราจะทำยังไงกันดี… พวกเขา…พวกเขาพยายามจะไล่พวกเราออกไป…”
เหตุการณ์ในขณะนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นตระหนก และเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
แต่สีหน้าของอวี้ฮ่าวหรานยังคงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย!
“เฮอะ ฉันบอกเอาไว้เลยว่าวันนี้ใครกล้าจับต้องตัวฉัน มันได้เจ็บตัวแน่!”
เหตุผลที่เขาอัดอีกฝ่ายเป็นเพราะคนพวกนี้ไม่ยอมหลีกทางให้แถมยังตวาดด่าเขาอีกต่างหาก ชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อมาประมูลของและได้รับเชิญมา เขาไม่ได้มาเป็นตัวตลกให้ใครเหยียบย่ำ!
“โอ้? ไอ้หนุ่ม แกใจกล้าดีนี่หว่า!”
หัวหน้าบอดี้การ์ดประหลาดใจเช่นกันเมื่อได้ยินคำพูดจาที่ดูหยิ่งยโสของอวี้ฮ่าวหราน เขาไม่คิดมาก่อนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะกล้ามากขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ถูกล้อมอยู่
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นเครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายและพบว่ามันเป็นชุดที่ราคาถูกจริง ๆ ริ้วรอยแห่งการดูถูกก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
ยากจนไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันโง่มากถ้ามายั่วโมโหพวกคนรวยแบบนี้!
ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าต้องทำอะไรต่อไป
“สุภาพบุรุษท่านนี้ คุณมากับพวกเราจะดีกว่า! ผมรู้ว่าคุณอยากจะสู้ แต่ลองมองดูรอบ ๆ ก่อน คุณไม่มีทางสู้พวกเราได้ ดังนั้นอย่ามาสร้างปัญหาให้กับการประมูลครั้งนี้ไม่เช่นนั้นคุณไม่มีทางแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาไหว!”
เพื่อทำให้สถานการ์ณในงานประมูลสงบลงโดยเร็วที่สุดเขาจำเป็นต้องเชิญอวี้ฮ่าวหรานออกไปก่อน ส่วนหลังจากนั้นเขาไม่คิดจะปล่อยอวี้ฮ่าวหรานที่กล้ามาสร้างความวุ่นวายไปง่าย ๆ อยู่แล้ว!
แต่ในขณะเดียวกันนี้!
หลินป๋อก็ปรากฏตัว!
เขามาพร้อมกับชายชราคนหนึ่งซึ่งมีอายุเกือบหกสิบปี
“เดี๋ยวก่อน!”
เขาตะโกนขึ้นและโบกมือหยุดพวกบอดี้การ์ดทันที
บรรดาบอดี้การ์ดทั้งหลายหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเจ้าของโรงแรมของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย!
ถูกต้อง! ชายชราข้าง ๆ หลินป๋อ คือเจ้าของโรงแรมสุดหรูแห่งนี้!
“ท่านประธาน! ชายหนุ่มคนนี้เข้ามาก่อกวนที่นี่ ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นฝ่ายทำร้ายคนอื่นก่อน พวกผมก็เลยกำลังจะไล่เขาออกไป”
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวหน้าบอดี้การ์ดรายงานอย่างร้อนรน
บทที่ 323 รวมแก๊ง
บทที่ 323 รวมแก๊ง
“มาเริ่มการประชุมกันเถอะ!”
หลัวจากเดินเข้ามาในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ประกาศขึ้นทันที
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เมื่อบรรดาหัวหน้าสาขามองเห็นสภาพที่น่าสังเวชของหัวหน้าตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในทันที
“หัวหน้า…เกิดบ้าอะไรขึ้น ทำไมหัวหน้าถึงเจ็บแบบนี้?”
“ตราบใดที่หัวหน้าบอกมาว่าใครเป็นคนทำให้หัวหน้าอยู่ในสภาพแบบนี้ พวกเราจะรีบไปเด็ดหัวคนผู้นั้นในทันที!”
“…”
เมื่อทุกคนเห็นสภาพเช่นนี้ของหลิ่วอวี้จิง ทุกคนก็ลืมเรื่องที่เพิ่งบ่นไป และรีบเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
หลิ่วอวี้จิงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แววตาของเขาดูหวั่นไหว
“ทุกคน…ฉันซาบซึ้งใจจริง ๆ ที่พวกนายเป็นห่วงฉันแบบนี้ แต่ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ฉันได้รับบาดเจ็บโดยอวี้ฮ่าวหราน ซึ่งตอนนี้มันร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างเต็มตัวแล้ว พวกนายไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้หรอก”
เขาแสร้งทำเป็นสิ้นหวัง
ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดนี้ ห้องประชุมทั้งห้องก็เงียบลง พวกเขาต่างรู้สึกหนักใจกับการล้างแค้น
ในขณะนี้ แก๊งฉลามคลั่งไม่ยอมส่งคนมาช่วยเหลือพวกเขา ภายใต้การรุกหนักของแก๊งพยัคฆ์เวหา แก๊งวาฬยักษ์จึงแทบจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ นับประสาอะไรกับการแก้แค้น?
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หัวหน้าสาขาคนหนึ่งก็อดไม่ได้!
“แต่! เราจะยอมง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้! แก๊งวาฬยักษ์ของเราประสบความสูญเสียอย่างหนักไปแล้ว! อย่างน้อย ๆ เราต้องแก้แค้นให้ได้!”
น้ำเสียงของคนพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและหงุดหงิดอย่างยิ่ง
คนอื่น ๆ ต่างก็ครุ่นคิดถึงปัญหาซึ่งไม่นานนักพวกเขาก็จำได้ถึงคำถามที่คาใจพวกเขาอยู่ทุกวันนี้
“หัวหน้า! ผมอยากจะถามว่า ทำไมแก๊งฉลามคลั่งที่บอกว่าเป็นพันธมิตรกับเราถึงไม่ส่งคนมาช่วยพวกเราเลย?”
“ไอ้เฒ่ากงซุนซากำลังทำอะไรอยู่? มันบอกว่าเป็นพันธมิตรกับเรา แต่ทำไมการกระทำของมันเหมือนกับพยายามจะทำให้เราอ่อนแอลงเพื่อที่มันจะได้กลืนกินพวกเราซะเองแบบนี้?”
ทุกคนวิจารณ์กันอย่างดุเดือด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลิ่วอวี้จิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างลับ ๆ เขากำลังจะทำลายกองกำลังของเขาด้วยมือของเขาเอง
“พวกนายเดาผิดแล้ว เมื่อครู่นี้ฉันเพิ่งรู้ข่าวของกงซุนซา เขาเพิ่งไปหาอวี้ฮ่าวหรานคนเดียว แต่กลับได้รับบาดเจ็บกลับมาเช่นกัน ตอนนี้เขาจึงไม่ไว้ใจพันธมิตรที่เปราะบางอย่างเรา และไม่เต็มใจที่จะขัดแย้งกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอีกต่อไป”
บรรดาหัวหน้าสาขาทั้งหลายต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ หากเป็นกรณีนี้ แสดงว่าแก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแก๊งฉลามคลั่งแน่นอน!
หากเผชิญหน้ากับแก๊งพยัคฆ์เวหาเพียงลำพังพวกเขาจะไม่สามารถอยู่รอดได้นานแน่ พวกเขาเสร็จแน่!
แม้ว่าโจวเฟยหู่จะไม่แข็งแกร่งนัก แต่ในแก๊งพยัคฆ์เวหามีพวกที่มีฝีมือเข้าขั้นปรมาจารย์มากมาย ซึ่งมันทำให้เวลาเปิดศึกใหญ่ใส่กัน แก๊งวาฬยักษ์ของพวกเขาจึงพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง
“แล้ว…หัวหน้า เราควรทำยังไงดี?
หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากแก๊งฉลามคลั่ง พวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก๊งพยัคฆ์เวหาเลย!”
“ใช่หัวหน้า! เราต้องคิดหาวิธี ไม่งั้นพวกเราจบเห่แน่!”
“…”
ผู้คนในห้องต่างตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหาอย่างรวดเร็ว
ถ้าแก๊งฉลามคลั่งไม่ช่วย แก๊งวาฬยักษ์ก็จะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง!
อันที่จริง แก๊งวาฬยักษ์ไม่ควรจะเสียเปรียบถึงขนาดนี้ แต่พวกเขาตัดสินใจพลาดในตอนแรกที่เพิกเฉยต่อพวกแก๊งเล็ก ๆ ทั้งหลาย จนในเวลานี้ พวกแก๊งเล็ก ๆ เหล่านั้นร่วมมือกับแก๊งพยัคฆ์เวหาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งมันทำให้สถานการณ์ของแก๊งวาฬยักษ์ย่ำแย่ลงไปอีก
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังหวั่นวิตก หลิ่วอวี้จิงก็เอ่ยขึ้นเสียงดังด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ฉัน หลิ่วอวี้จิงไม่ได้วางแผนรับมือให้ดี ฉันขอโทษทุกคนจากใจจริง!”
เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยซึ่งมันยิ่งกินใจผู้คนในห้องประชุม
“แก๊งพยัคฆ์เวหาได้สังหารพี่น้องของเราไปมากมาย และอวี้ฮ่าวหรานก็จัดการพี่น้องของเราไปเป็นร้อยคนแล้ว เดิมทีฉันคิดว่าแก๊งฉลามคลั่งจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือเราเมื่อเห็นว่าเราลำบาก แต่ฉันไม่คิดเลย…ฉันไม่คิดเลยว่า…สิ่งต่าง ๆ จะกลายเป็นแบบนี้”
ในประโยคเดียวนี้เขาโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปยังอวี้ฮ่าวหรานและแก๊งพยัคฆ์เวหาเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดจากสิ่งที่ตัวเองทำไว้ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่ามันจะยิ่งทำให้นับจากนี้เขาจะหว่านล้อมคนของเขาได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย
“หัวหน้า! อย่าโทษตัวเองแบบนี้! ที่หัวหน้าทำลงไปทั้งหมดก็เพราะคิดถึงอนาคตของแก๊งเรา และอีกฝ่ายก็หยิ่งผยองขนาดนั้น แม้ว่าเราจะไม่เริ่มก่อน ไม่ช้าก็เร็วพวกมันคงเล่นงานเราเช่นกัน”
“ใช่ เราทุกคนสนับสนุนหัวหน้า!”
“…”
นี่คือสถานการณ์ที่หวังเอาไว้
หากหลิ่วอวี้จิงต้องการรวมแก๊งของตัวเองเข้ากับแก๊งฉลามคลั่งอย่างราบรื่น จะต้องทำให้บรรดาหัวหน้าสาขาของแก๊งรู้สึกสิ้นหวัง ไม่เช่นนั้นพวกเดนตายเหล่านี้ไม่มีทางละทิ้งศักดิ์ศรีไปอยู่ใต้ร่มเงาของแก๊งอื่นแน่นอน
“อันที่จริงฉันมีแผนบางอย่างที่ไม่เพียงแต่เราจะแก้แค้นได้เท่านั้น แต่มันยังจะทำให้เรามีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย!”
หลังจากที่บรรยากาศคุกกรุ่นดีพอแล้ว ในที่สุดหลิ่วอวี้จิงก็พูดเข้าประเด็น
“แผนอะไรงั้นเหรอหัวหน้า?”
“หัวหน้า…พูดมาเลย!”
เมื่อหัวหน้าสาขาเหล่านี้ได้ยินว่าอาจมีแผนที่ทำให้พวกเขาได้เปรียบ พวกเขาก็แทบรอไม่ไหวในทันที ตราบใดที่สามารถแก้แค้นได้ พวกเขาก็ยินดียอมทำตามแผนทุกอย่าง
เมื่อเห็นแววตาที่คาดหวังและคล้อยตามของผู้คนในห้อง หลิ่วอวี้จิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะพูด
“เหตุผลที่แก๊งฉลามคลั่งไม่เต็มใจที่จะดำเนินการร่วมมือกับเราต่อ เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการที่จะปะทะกับศัตรูที่ทรงพลังโดยไม่มีเหตุผล”
“แต่เมื่อวานฉันได้คุยกับกงซุนซาแล้ว และเขาบอกว่าถ้าเรายินยอมเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่ง เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยทำลายแก๊งพยัคฆ์เวหา และอวี้ฮ่าวหราน!”
ผู้คนในห้องตกอยู่ในความเงียบงันทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้!
หากเป็นก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่มีสงคราม หากหลิ่วอวี้จิงพูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนในห้องคงโต้แย้งอย่างรุนแรงจนยอมตายดีกว่าจะยอมไปเข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง
แต่สถานการณ์ตอนนี้มันต่างออกไป แก๊งวาฬยักษ์ได้มาถึงจุดที่เรียกได้ว่าสิ้นหวังสุด ๆ และการเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งมันอาจถือได้ว่าเป็นโอกาสเดียวในการอยู่รอด
“ผมไม่เห็นด้วย! ผมเข้าร่วมแก๊งวาฬยักษ์เพื่อสนับสนุนหัวหน้าให้เป็นชายที่ปกครองโลกใต้ดินทั้งหมด ดังนั้นหากผมจะต้องเปลี่ยนมาเป็นก้มหัวให้กับตาแก่นั่น ผมไม่อาจยอมรับได้!”
“ฉันด้วย! ฉันยอมสู้จนตัวตายดีกว่าปล่อยให้แก๊งวาฬยักษ์ของเราถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนกิน!”
ในขณะที่คนอื่น ๆ เงียบ หัวหน้าสาขาสองคนยืนขึ้นแย้งในทันใด
แต่ในขณะเดียวกัน!
จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากนอกประตู!
“ฮ่า ๆ! ดี! ช่างขัดแย้งอะไรกันเช่นนี้!”
ทันทีที่ประตูถูกผลักเปิดออก ทุกคนก็เห็นว่าเจ้าของเสียงหัวเราะคือ กงซุนซา หัวหน้าแก๊งฉลามคลั่ง!
ทันทีที่เดินเข้ามาด้านในห้อง กงซุนซาก็โบกมือซัดพลังวิญญาณใส่หนึ่งในหัวหน้าสาขาสองคนที่ยืนขึ้นโต้แย้งในทันที!
บึ้ม!
เสียงร่างของหัวหน้าสาขาที่โดนซัดพลังเข้าใส่จนกระเด็นลอยไปกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรง ทำให้ทุกคนสะดุ้ง!
แค่โบกมือครั้งเดียวก็ส่งร่างปรมาจารย์พลังภายในกระเด็นไปเจ็ดแปดเมตร!
ความแข็งแกร่งของชายชราคนนี้มากมายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยดสยองในใจ
หลังจากจัดการไปคนหนึ่งแล้ว กงซุนซาจึงเบนสายตามองไปที่อีกคนที่ยังยืนอยู่และเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“ว่าไง? ตอนนี้นายยังไม่เห็นด้วยอยู่อีกไหม?”
เขาถามพลางลูบเคราของตัวเอง
“ผ…ผมเห็นด้วยแล้ว ๆ!”
หัวหน้าสาขามองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครยืนขึ้นกับเขาเลย เขาจึงทำได้เพียงนั่งลงอย่างสิ้นหวัง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ กงซุนซาก็หัวเราะเสียงดัง
“ฮ่า ๆ ดี! เมื่อไม่มีใครแย้งอะไรแล้วงั้นฉันขอประกาศว่าแก๊งวาฬยักษ์จะเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งของฉันนับจากวันนี้เป็นต้นไป!”
ในที่สุดแผนการที่ตัวเองวางไว้ก็สำเร็จ ซึ่งมันทำให้กงซุนซาอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าหยิ่งผยอง
“พวกนายทุกคนในห้องไม่ต้องกังวล แม้ว่าชื่อของแก๊งวาฬยักษ์จะหายไป แต่ฉันจะไม่ปฏิบัติต่อพวกนายอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน หัวหน้าหลิ่ว นับจากนี้ฉันขอแต่งตั้งให้นายเป็นรองหัวหน้าแก๊งฉลามคลั่งของฉัน!”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะดูเป็นการออกคำสั่งซึ่งมันฟังไม่รื่นหูเท่าไหร่ แต่ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าขัดขืนแม้แต่น้อย
บทที่ 328 พระพุทธรูปหยก
บทที่ 328 พระพุทธรูปหยก
ราคาสามสิบล้านมันเกินมูลค่าของกระถางธูปหยกนี้มากเกินไปจนผู้คนไม่กล้าประมูลต่ออีก
ในไม่ช้า รายการประมูลนี้ก็สรุปผล
“หว่านเอ๋อร์ เดี๋ยวหลานเอาของชิ้นนี้กลับไปเก็บในห้องเก็บสมบัติของหลานได้เลย คิดซะว่าลุงมอบให้เป็นของขวัญในฐานะที่หลานทำตัวเป็นเด็กดีมาโดยตลอด”
หลังจากรับกระถางธูปมาแล้ว หลินป๋อก็หันศีรษะไปพูดกับซูหว่านเอ๋อ อย่างอ่อนโยน
“แต่…แต่…”
ซูหว่านเอ๋อลังเลมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอต้องการปฏิเสธ แต่เธอก็อยากได้กระถางธูปนี้มากจริง ๆ
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องเกรงใจหรอก ลุงหลินบอกให้หลานรับไว้ก็รับเอาไว้เถอะ ก่อนหน้านี้ที่พ่อของหลานบังคับให้หลานแต่งงาน ลุงก็มัวแต่ติดธุระที่ต่างประเทศไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรจนไม่ได้ช่วยหลาน ไม่งั้นพ่อของหลานคงไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นแน่ เอาเป็นว่านี่ถือว่าเป็นการขอไถ่โทษจากลุงก็แล้วกัน”
หลินป๋อหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นเธอแสดงสีหน้าชวนน่าเอ็นดู
เขาเอ็นดูซูหว่านเอ๋อมาตลอด ตอนนี้อายุเขาก็ปาเข้าไปถึงเลขสี่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีบุตรหลาน ดังนั้นเขาจึงมองซูหว่านเอ๋อเป็นเหมือนกับบุตรหลานแท้ ๆ ของเขาเอง
ก่อนหน้านี้เมื่อเขากลับมาจากการเดินทางไปทำธุรกิจที่ต่างประเทศและได้รู้ว่าตระกูลซูทำอะไรลงไป เขาก็รีบตรงดิ่งไปที่บ้านตระกูลซูเพื่อตำหนิ ซูกว่างไห่อย่างรุนแรงภายในคืนที่กลับมาทันที
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ซูกว่างไห่ตกตะลึงมากที่ลูกสาวของเขารู้จักคนที่มีอำนาจขนาดนี้
และเมื่อรวมกับการกระทำก่อนหน้านี้ของอวี้ฮ่าวหราน ตระกูลซูก็ยิ่งไม่กล้าโต้แย้งอะไรเลย
หลังจากการประมูลของชิ้นแรกจบไป ของชิ้นที่สองก็ถูกนำขึ้นมาประมูลอย่างรวดเร็ว มันเป็นแจกันลายคราม แต่ไม่ใช่แบบที่ซูหว่านเอ๋อชอบ
อวี้ฮ่าวหราน ใช้เนตรเทวะตรวจสอบตามปกติ ซึ่งมันก็เช่นเดิมกับชิ้นที่แล้ว เขาไม่เห็นพลังวิญญาณใด ๆ แฝงอยู่ในแจกันที่นำขึ้นมาประมูลเป็นชิ้นที่สอง
เขารู้สึกผิดหวังในใจนิดหน่อย
ตอนนี้เขาจำเป็นต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาอย่างเร่งด่วน ชายวัยกลางคนที่เขาฆ่าตายไปเมื่อล่าสุดเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตก่อรากฐานแถมยังแต่งตัวแปลก ๆ และมีสำเนียงพูดที่แปลก ๆ ราวกับหลุดมาจากยุคเมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งจากองค์ประกอบทั้งหมดมันมีความเป็นไปได้สูงมากที่อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักบ่มเพาะที่แอบซ่อนอยู่ในโลกนี้ และนั่นหมายความว่าหลังจากนี้เขาจะต้องรับมือกับพวกผู้บ่มเพาะของจริง ไม่ใช่พวกนักเลงธรรมดา ๆ กระจอก ๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา
ในไม่ช้าการประมูลโบราณวัตถุชิ้นที่สองก็จบลงและถูกยกออกไป โบราณวัตถุชิ้นที่สองถูกเฉียนเซาซื้อไปด้วยราคากว่าสิบสามล้าน
แน่นอนว่าหลังจากได้ของมา เฉียนเซาก็ไม่ลืมที่จะส่งสายตาดูถูก อวี้ฮ่าวหรานราวกับว่าเขาเป็นเศรษฐีที่อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้
อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใส่ใจกับสายตาของอีกฝ่ายเท่าไหร่ เพราะเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนว่ามาที่นี่เพื่ออะไร
หลังจากนั้นไม่นาน ของประมูลชิ้นที่สามก็ถูกนำมาวาง ซึ่งก็คือภาพวาดโบราณ
สำหรับของชิ้นนี้ อวี้ฮ่าวหรานไม่มีความจำเป็นต้องใช้เนตรเทวะมองดูมันด้วยซ้ำ ภาพวาดบนผืนกระดาษแบบนี้ตามปกติแล้วมันไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานมากนัก ดังนั้นภาพที่ยังดูสมบูรณ์ขนาดนี้อย่างมากที่สุดก็มีอายุแค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้น
ของที่มีอายุแค่หลักร้อยปีตามปกติแล้วมันย่อมไม่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่แน่นอน
และรายการประมูลนี้ก็ยังไปอยู่ในมือของเฉียนเซาเช่นเดิม
เขาภูมิใจมากกับการซื้อของอวดชาวบ้านแบบนี้
“หึหึ ต่อให้มันรู้จักกับประธานเจ่าแล้วยังไง? ท้ายที่สุดคนที่รวยกว่าอย่างฉันก็ได้เปรียบ!”
เสียงของเขาดูถูกเหยียดหยามอย่างมาก
“ใช่ คนจน ๆ แบบนั้นจะมีคุณสมบัติที่จะเทียบกับคุณได้อย่างไร”
“ฮึ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะบอดี้การ์ดที่นี่เข้มงวดมาก ผมคงสั่งให้คนของผมเข้ามาลากไอ้เวรนั่นออกไปกระทืบให้คุณเฉียนไปแล้ว!”
ที่ด้านข้างทั้งสองฝั่งของเฉียนเซามีนายน้อยรุ่นที่สองจากตระกูลร่ำรวยหลายคนนั่งขนาบด้วยสีหน้าประจบแจง
เมื่อไหร่ที่พวกเขารวมตัวกัน พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดเสมอ
“ฮึ่ม! ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ปล่อยมันไปแน่ หลังจากที่มันออกจากโรงแรมนี้ไป!”
ใบหน้าของเฉียนเซาเต็มไปด้วยความอาฆาต เขามองไปที่อวี้ฮ่าวหราน เป็นระยะ ๆ พลางกัดฟันกรอด
“…”
หลังจากนั้นไม่นานนักของชิ้นที่สี่ก็ถูกนำมาตั้งบนเวที มันคือโต๊ะเครื่องแป้งไม้จันทน์สมัยราชวงศ์หมิงที่มีกระจกทองเหลืองบานใหญ่ถูกติดตั้งอยู่ด้านบน สภาพของมันสมบูรณ์เป็นอย่างมากจนทำให้ความวิจิตรงดงามของมันไม่เสื่อมถอยไปตามกาลเวลาเลย
ราคาเริ่มต้นของรายการประมูลนี้คือห้าล้าน!
เมื่อเห็นรายการนี้ ดวงตาของซูหว่านเอ๋อก็เปล่งประกายอีกครั้ง และเธอก็เสนอราคาทันที
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 8 ล้าน!”
เธอขึ้นราคาสามล้านเต็มในครั้งเดียว ดูเหมือนว่าเธอตั้งใจแน่วแน่มากที่จะได้มันมา
อวี้ฮ่าวหรานมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าสีหน้าและท่าทางของซูหว่านเอ๋อในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก เธอดูจริงจังแน่วแน่ไม่ยอมใคร ไม่เหมือนกับตามปกติที่แทบไม่กล้าเอ่ยปากปฏิเสธคนทั้งโลก
ผู้หญิงคนนี้ชอบพวกของโบราณมากจริง ๆ
ในไม่ช้าราคาก็พุ่งขึ้นไปถึงสิบสามล้าน แต่ซูหว่านเอ๋อก็ยังไม่ลดละง่าย ๆ
“สุภาพสตรีหมายเลข 32 เสนอราคา 16 ล้าน!”
การเพิ่มราคาขึ้นอีกสามล้านครั้งนี้ ทำให้ทุกคนในห้องประมูลตกตะลึงเล็กน้อย และทุกคนก็มองมายังหญิงสาวที่กำลังแสดงแน่วแน่มากในขณะนี้
สุดท้ายก็ไม่มีใครสู้ราคาต่ออีก เพราะในความคิดของทุกคน มูลค่าของโบราณวัตถุชิ้นนี้คงไม่เกินสิบหกล้านแน่นอน
ดังนั้นซูหว่านเอ๋อจึงได้โบราณวัตถุชิ้นนี้ไปตามที่เธอปรารถนา ดวงตาสีดำของเธอโค้งเป็นเสี้ยว เธอดูมีความสุขมากจริง ๆ
จากนั้นภาพวาดโบราณอีกชิ้นถูกซื้ออีกครั้งโดยเฉียนเซาด้วยราคายี่สิบสามล้าน
ในเวลานี้ อวี้ฮ่าวหรานยังไม่เคลื่อนไหว
“ดูสิ คุณเฉียนเซา ไอ้คนจนคนนั้นมันไม่กล้าซื้ออะไรสักอย่างเลย น่าสมเพชจริง ๆ คนจนอย่างมันมาทำที่นี่เพื่อมาทำให้ตัวเองขายขี้หน้ารึไง?”
“ใช่แล้ว ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวตัวเองบ้างเลย สถานที่แบบนี้คนจน ๆ อย่างมันเหมาะที่จะมาเหยียบที่ไหนกัน?”
“…”
ในเวลานี้ เฉียนเซาเหลือบมองอวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาดูถูกสุดขีด
“ไอ้คนจน ๆ แบบนี้จะมาเทียบบิดาผู้นี้ได้ยังไง!”
ในสายตาของเขา แม้ว่าอวี้ฮ่าวหรานจะรู้จักกับคนใหญ่คนโต เขาก็ยังอยู่สูงกว่าเพราะเขาคือคนที่มีเงินมากกว่า!
ของชิ้นถัดมาถูกนำขึ้นมาวางอย่างรวดเร็วเช่นเดิม แต่คราวนี้แววตาของ อวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
มันคือพระพุทธรูปหยกโบราณที่ดูเก่าแก่มาก พระพุทธรูปหยกนี้มีความสูงประมาณยี่สิบเซนติเมตร และรูปร่างขององค์พระพุทธรูปก็บอบบางมาก!
แค่เพียงหลือบมองแวบเดียวเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ต่างออกไปจากโบราณวัตถุก่อนหน้านี้ที่ถูกนำขึ้นมาประมูล!
ด้วยทักษะเนตรเทวะ อวี้ฮ่าวหรานก็เห็นได้อย่างชัดเจน!
พระพุทธรูปองค์นี้มีพลังวิญญาณแฝงอยู่อย่างหนาแน่น!
ความหนาแน่นของพลังวิญญาณนั้นมีมากกว่าสองเท่าของจี้หยกที่เขาได้รับมาก่อนด้วยซ้ำ!
มันเป็นของโบราณที่มีพลังวิญญาณมากที่สุดที่เขาเคยเห็นมา!
“พระพุทธรูปหยกองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง และการแกะสลักพื้นผิวของตัวองค์พระพุทธรูปก็ละเอียดละออมาก แม้แต่เทคโนโลยีการแกะสลักในปัจจุบันนี้ก็ยังบรรลุถึงระดับนี้ได้ยาก และที่น่ายกย่องที่สุดคือคุณภาพของหยกที่ใช้ในการแกะสลัก หยกนี้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง! พระพุทธรูปหยกองค์นี้จึงนับได้ว่าเป็นสมบัติที่…”
หลังจากการแนะนำอย่างยิ่งใหญ่จากพิธีกร หลายคนในห้องประมูลก็มองไปที่พระพุทธรูปด้วยดวงตาเป็นประกาย
อย่างไรก็ตาม ราคาเริ่มต้นของพระพุทธรูปหยกองค์นี้ก็ทำให้คนส่วนใหญ่ถึงกับผงะ
“พระพุทธรูปหยกสมัยราชวงศ์ถังองค์นี้ ราคาเปิดประมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 55 ล้าน!”
บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน
บทที่ 352 สร้างห้องเปียโน
หกโมงเย็น
เมื่อหลี่หรงพาถวนถวนกลับมาถึงคอนโด ห้องของอวี้ฮ่าวหรานก็ยังคงล็อกแน่น
ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวงระดับการบ่มเพาะ ทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ
อันที่จริง ต่อให้ประตูจะไม่ได้ล็อก แต่ด้วยความหนาแน่นของพลังวิญญาณด้านใน หากคนธรรมดาจะเปิดประตูเข้าไปก็คงไม่สามารถเปิดได้อยู่ดี
หลังจากดูดซับโบราณวัตถุทีละชิ้นจนหมด พลังวิญญาณในร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หนาแน่นจนเข้าสู่จุดปะทุ!
ทันใดนั้น!
การไหลเข้าของพลังวิญญาณจำนวนมาก ได้ส่งผลให้ทะเลวิญญาณในตันเถียนของอวี้ฮ่าวหรานระเบิดออกครั้งใหญ่คล้ายกับเหตุการณ์บิ๊กแบง จากนั้นมวลพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลที่ฟุ้งกระจายในจุดตันเถียนก็ค่อย ๆ ควบแน่นกันก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายดวงดาว
“เฮ้อ…ในที่สุดก็ทะลวงสำเร็จ”
อวี้ฮ่าวหรานลืมตาขึ้นและถอนหายใจยาว
ในเวลานี้ ระดับการบ่มเพาะของชายหนุ่มได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน และเมื่อความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง อวี้ฮ่าวหรานก็ยิ่งคิดถึงหลี่เม่ยมากยิ่งขึ้นไปอีก
เป็นเวลานานแล้วตั้งแต่กลับมายังโลกมนุษย์ และเขาพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเอง
แต่จนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับภรรยาของตัวเองเลย และในแง่ของความแข็งแกร่งของตัวเองในปัจจุบัน มันยังเร็วเกินไปที่จะสามารถท่องโลกนี้ไปทั่วได้อย่างปลอดภัย
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ชายหนุ่มก็เปิดประตูออกจากห้องของตัวเอง
ในห้องนั่งเล่นมีกลิ่นอาหารหอม ๆ ตลบอบอวลไปทั่ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่า หลี่หรงได้เตรียมอาหารมื้ออร่อยไว้บนโต๊ะแล้ว
“พี่เขยในที่สุดพี่ก็ออกมาสักที มาเร็ว มากินข้าวได้แล้ว”
เมื่อพี่เขยของเธอออกมาจากห้องเธอก็เอ่ยทักเขาทันที
“โทษทีที่วันนี้ต้องให้เธอลำบากไปรับถวนถวน ทั้ง ๆ ที่เธอต้องกลับมาทำอาหารต่ออีกแบบนี้”
อวี้ฮ่าวหรานกล่าวขอโทษ แต่การทะลวงระดับเช่นนี้จำเป็นต้องใช้เวลาและสมาธิเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถละทิ้งกลางคันและออกไปรับถวนถวนได้อย่างปกติเหมือนเช่นทุกวัน
อย่างไรก็ตาม หลี่หรงก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างอยู่บ้าง เธอจึงไม่รบกวนเขาเลยในระหว่างที่ชายหนุ่มขังตัวเองอยู่ในห้อง
“ไม่เป็นไรพี่เขย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ยุ่งเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ที่พี่มาช่วยจัดการปัญหาในบริษัทให้ฉัน บริษัทของฉันก็เลยสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่นมากกว่าเดิมจนฉันไม่ต้องปวดหัวอีกเลย”
หลี่หรงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร กลับกันเธอรู้สึกสบายใจมากขึ้นด้วยซ้ำที่ได้แบ่งเบาภาระให้อวี้ฮ่าวหราน
“พ่อจ๋า!”
ในขณะเดียวกันนี้ ถวนถวนก็วิ่งออกจากห้องของตัวเองมาพร้อมกับมือที่ถือขนม และตามมาด้วยสุนัขสองตัวที่คล้ายคลึงกัน
“พ่อจ๋า ถวนถวนอยากบอกข่าวดีกับพ่อ!”
เด็กน้อยในเวลานี้แสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด
“หืม? เรื่องอะไรเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานบังเกิดความสนใจ หลี่หรงก็ยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้
“พี่เขย นั่งลงกินข้าวก่อนเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเดี๋ยวฉันอธิบายเอง” เธอส่งชามข้าวให้ชายหนุ่มก่อน แล้วพูดต่อว่า “ครูสอนเปียโนเห็นว่าถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโนมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ดังนั้น เธอจึงอยากให้ถวนถวนเข้าร่วมการแข่งขันเปียโนระดับเยาวชนที่กำลังจะจัดขึ้นในเมือง”
“การแข่งขันเปียโน?”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็หันไปมองลูกสาวของตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“เอาสิ! ในเมื่อถวนถวนมีความสามารถจนครูเห็นแววขนาดนี้ ถ้างั้นก็ไปแข่งกันเลย!”
ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องเรียนเปียโนของถวนถวน ชายหนุ่มแค่ให้ถวนถวนไปเรียนเพราะไม่อยากขัดใจหลี่หรงก็แค่นั้น ใครจะไปนึกว่าลูกสาวของเขาจะเก่งจนสามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้แบบนี้?
“คุณครูหลิวบอกว่าถวนถวนน่าทึ่งมาก หลังจากที่เรียนได้แค่เพียงหนึ่งเดือน ถวนถวนก็เก่งกว่าเด็กคนอื่นที่เรียนมาเป็นปีซะอีก”
ถวนถวนเข้ามาใกล้ในขณะนี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ที่วิจิตรงดงามราวกับตุ๊กตา ก็แสดงสีหน้าอย่างมีชัย
“ฮ่า ๆ! เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ลูกสาวของอวี้ฮ่าวหรานย่อมเหนือกว่าคนอื่น ๆ”
อวี้ฮ่าวหรานปรบมือ
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้นี้ หลี่หรงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
หลังอาหารเย็น อวี้ฮ่าวหรานและหลี่หรงก็พูดคุยเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโนต่ออีกสักพัก และหลังจากนั้นอวี้ฮ่าวหรานก็กลับเข้าห้องเพื่อบ่มเพาะอีกรอบ
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งทะลวงระดับมาอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตก่อรากฐาน เขาจึงจำเป็นต้องปรับรากฐานการบ่มเพาะของตัวเองให้มั่นคง
—
เช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ฮ่าวหรานส่งถวนถวนไปเรียนเปียโนเช่นเคย แต่เมื่อเขาเห็นหลิวว่านฉิง เขาก็ถามเกี่ยวกับการแข่งขันเปียโน
ในห้องพักครู
“ใช่ ถวนถวน มีพรสวรรค์จริง ๆ มือของเธอคล่องแคล่วมาก ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่มีความสามารถขนาดนี้มาก่อน”
หลิวว่านฉิงไม่ลังเลที่จะเอ่ยชมความสามารถของถวนถวนในเวลานี้
“เธอเป็นเด็กหัวไวที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมาเลยทีเดียว”
“เอาละ ขอบคุณที่ครูหลิวส่งเสริมลูกของผมเสมอมา ว่าแต่การแข่งจะเริ่มเมื่อไหร่”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้า ลูกสาวของเทพฮ่าวหรานนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนธรรมดา
“การแข่งขันจะเริ่มวันมะรืนนี้ และเมื่อการแข่งขันนี้จบลงมันก็จะเป็นช่วงเดียวกับที่คลาสเปียโนภาคฤดูร้อนของเราสิ้นสุดลง”
หลิวว่านชิงตอบกลับ
“ยิ่งไปกว่านั้นมันจะดีที่สุด หากผู้ปกครองจริงจังกับเรื่องนี้มากสักหน่อย พรุ่งนี้ชั้นเรียนเปียโนจะหยุดหนึ่งวัน ดังนั้นในวันพรุ่งนี้คุณควรพาถวนถวนไปฝึกซ้อมต่อด้วย เพื่อช่วยให้ถวนถวนทำผลงานได้ดียิ่งขึ้นในวันแข่งขัน”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย อวี้ฮ่าวหรานก็เอ่ยคำอำลาและจากไป
หลังจากส่งลูกสาวของตัวเองเรียบร้อย เขาก็ขับรถตรงไปที่บริษัทของตัวเอง
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการในวันนี้
ในออฟฟิศ อวี้ฮ่าวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเรื่องของถวนถวนและเปียโน
การฝึกซ้อมที่คอนโดอาจมีเสียงดังจนทำให้เพื่อนบ้านร้องเรียนได้ แถมสถานที่มันก็เล็กไปสักหน่อยกับการนำเปียโนตัวใหญ่ไปวาง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว อวี้ฮ่าวหรานจึงเรียกผู้จัดการหวังให้เข้ามาหา
“ผมต้องการให้บริษัทของเรามีห้องเปียโน ผมต้องการให้ทุกอย่างเรียบร้อยในวันนี้”
“หา?”
ผู้จัดการหวังตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำสั่งนี้
พวกเขาเป็นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกล การมีห้องเปียโนในบริษัทมันจึงดูแปลกสุดกู่!
“ท…ท่านประธาน นี่คุณพูดจริงงั้นเหรอ?”
เขาไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ผมจริงจัง! ยิ่งไปกว่านั้นผมต้องการให้ห้องเปียโนสมบูรณ์แบบที่สุด เอาแบบที่มืออาชีพใช้งาน!”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง สีหน้าของเขาแน่วแน่มาก
“ลูกสาวของผม ถวนถวนมีพรสวรรค์ในด้านเปียโน ดังนั้นในอนาคตผมอาจจะให้ลูกสาวมาซ้อมที่นี่”
เนื่องจากการซื้อเปียโนไปไว้ที่คอนโดไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงแก้ปัญหาโดยการสร้างห้องเปียโนในบริษัทมันซะเลย
ผู้จัดการหวังพูดไม่ออกเกี่ยวกับเรื่องนี้
ประธานของเขาตามใจลูกมากเกินไปหน่อยไหม? พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองชอบไปเล่นที่สวนสนุก ประธานของเขาก็สร้างสวนสนุกในบริษัทขึ้นมา และมาตอนนี้พอเห็นว่าลูกสาวของตัวเองไปเรียนเปียโนมาแล้วดันเก่ง ประธานของเขาก็สั่งให้สร้างห้องเปียโน…
“รับทราบครับท่านประธาน! ไม่มีปัญหา บริษัทมีห้องเก็บเสียงที่สร้างเสร็จเอาไว้อยู่แล้ว เราแค่ต้องปรับเปลี่ยนมันนิดหน่อย วันนี้วันเดียวก็น่าจะเสร็จ”
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการหวังก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ตอนนี้กิจการบริษัทกำลังไปได้สวยมาก ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กน้อย
ในตอนเย็น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานไปรับถวนถวน เขาก็บอกข่าวดีกับลูกสาวของตัวเอง
“จริงเหรอ พ่อจ๋า! หนูจะมีเปียโนเป็นของตัวเองงั้นเหรอ!”
เด็กน้อยรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากเรียนเปียโนมาได้เป็นเดือน เธอก็ตกหลุมรักเปียโนเข้าเต็มเปา
“แน่นอน!”
อวี้ฮ่าวหรานยืนยัน