บทที่ 339 สมองมด
บทที่ 339 สมองมด
แน่นอนว่าเมื่อคนธรรมดาเห็นเหตุการณ์ที่โหดร้ายที่เกิดขึ้นด้านนอก พวกเขาทุกคนจึงพร้อมใจวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เขาได้ปล่อยให้พวกคนธรรมดาเหล่านี้หนีไป เพราะคนธรรมดาพวกนี้ไม่ใช่เป้าหมายของเขา หลังจากเข้าไปในห้องโถง เขาก็เลือกที่จะวิ่งด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ขึ้นไปทางบันไดแทนที่จะใช้ลิฟท์
ด้วยความเร็วของเขาที่เร็วมากกว่าการใช้ลิฟท์ แค่เพียงไม่ถึงสามสิบวินาทีเขาก็วิ่งขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้า!
บนดาดฟ้า!
“ฮิฮิ แกนี่ช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ แต่น่าเสียดายที่แกจะต้องตายที่นี่!”
เมื่ออสรพิษเงินเห็นว่าอีกฝ่ายมาถึงในที่สุด เขาก็เยาะเย้ยอย่างไร้กังวล
เขาคาดคะเนว่าอวี้ฮ่าวหรานน่าจะอยู่ในขั้นจุดสูงสุดของขอบเขตพลังภายใน ซึ่งเขาเองก็อยู่ในระดับนี้ด้วยเช่นกัน แต่ด้วยอายุของเขาที่มากกว่า ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจะช่วยให้เขากำชัยได้อย่างไม่ยากเย็น
ต้องรู้ว่าเขาอยู่ในจุดสูงสุดของพลังภายในมามานานกว่าสิบปีแล้ว!
ไม่มีใครในขอบเขตเดียวกับเขาสามารถเอาชนะเขาได้!
“อ้อ ฉันเพิ่งได้รับข้อมูลมาว่าแกมีลูกสาวตัวเล็ก ๆ อยู่คนหนึ่งด้วยใช่ไหม? ฉันล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าใบหน้าที่ไร้เดียงสานั่นจะเป็นแบบไหนเมื่อถูกฉันจับกรอกยาพิษ!”
อสรพิษเงินชอบใช้วิธีการยั่วยุศัตรูของเขาให้ปั่นป่วนใจมากที่สุด ซึ่งหลังจากที่ศัตรูของเขาถูกความโกรธเข้าครอบงำ เขาก็จะยิ่งสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่ายมากขึ้น
ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาก็หัวเราะเสียงดังลั่นและเอ่ยถามกลับ
“ฮ่าฮ่าฮ่า แกรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรู้สึกตลก”
“ฮิฮิ ใครจะไปรู้ มันอาจเป็นเพราะว่าแกหมดหวังจนเสียสติไปแล้วก็ได้จริงไหม?”
อสรพิษเงินไม่ได้กังวลใจอะไรเลย ในทางกลับกัน เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกเช่นกันที่วันนี้อีกฝ่ายมาให้เขาฆ่าถึงที่นี่อย่างว่าง่ายราวกับคนโง่
“ไม่ใช่เลย มันเป็นเพราะว่าฉันตลกที่คนจะตายแล้วอย่างแกยังเปลืองสมองคิดถึงเรื่องในอนาคตอยู่อีกต่างหาก!”
เสียงของอวี้ฮ่าวหรานเปลี่ยนเป็นลึกล้ำจนยากจะหยั่งถึง
ประโยคนี้มาพร้อมกับเจตนาฆ่าซึ่งทำให้ทุกคนที่อยู่รอบบริเวณถึงกับใจสั่น!
อสรพิษเงินขมวดคิ้วแน่น แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เขาไม่คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่คู่ต่อสู้จะเอาชนะเขาได้
“ถุย! เลิกหลงตัวเองได้แล้วโว้ย! แกมันก็แค่คนที่น่าจะอยู่ในขั้นจุดสูงสุดของปรมาจารย์พลังภายในก็แค่นั้น ก่อนหน้านี้องค์กรของฉันไม่ทำอะไรแกเพราะพวกเราไม่อยากเปลืองแรง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว การที่ฉันมาที่นี่มันหมายความว่าไม่ว่ายังไงแกก็ต้องตายในท้ายที่สุด!”
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินประโยคนี้ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของเขาทันที
“โอ้? แกเดาเกือบถูกแน่ะ แต่ฉันอยู่ในขั้นสูงต่างหาก”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า! ถ้าแกอยู่แค่ขั้นสูง งั้นแกเตรียมรอรับความตายได้เลย ฉันเชือดแกได้อย่างไม่ยากเย็นแน่! ”
เมื่อได้ยิน อวี้ฮ่าวหรานก็ยอมรับความแข็งแกร่งของตัวเอง ซึ่งมันต่ำกว่าที่เขาคาดไว้ อสรพิษเงินก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน
อีกฝ่ายตอกตะปูฝาโลงตัวเองแท้ ๆ ที่เผยระดับการบ่มเพาะของตัวเองแบบนี้!
แต่ในขณะเดียวกันนี้ที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน เฉิงชิวอวี้ก็ตื่นขึ้น!
แต่เมื่อเธอรู้สึกได้ว่าทั้งตัวของเธอถูกมัดอย่างแน่นหนาจนไม่สามารถดิ้นหลุดได้ เธอก็ตะโกนไปหาอวี้ฮ่าวหรานที่อยู่ไม่ไกลทันที
“ฮ่าวหราน หนีไปซะ! คนพวกนี้ไม่ใช่คนธรรมดา! แถมทั้งหมดนี้เป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพ่อของฉันกับคนเหล่านี้ มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย คุณอย่าเอาตัวมาเสี่ยง หนีไปซะ!”
ก่อนที่เธอจะถูกทำให้หลับไปตอนที่อยู่ในบริษัท เธอพอจะเดาได้คร่าว ๆ ว่าคนพวกนี้ต้องเป็นศัตรูเก่าของพ่อเธอแน่นอน
ดังนั้น เธอจึงไม่อยากให้คนที่เธอรักต้องมาเดือดร้อนด้วยกับเรื่องส่วนตัวของพ่อเธอแบบนี้
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินคำพูดของเฉิงชิวอวี้ เขาก็หัวเราะเบา ๆ อย่างไร้กังวล
“อย่ากังวล สำหรับผมเรื่องนี้มันเรื่องเล็กน้อย”
คำพูดนี้ทำให้อสรพิษเงินที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย
“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าตลกชิบหายเลย! แกคิดว่าปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงอย่างแกจะสู้ฉันได้งั้นเหรอ?”
จากนั้นทันทีที่พูดจบ มือผอมบางของเขาก็สะบัดอย่างรวดเร็ว ส่งมีดสั้นสามเล่มสีดำทะมึนพุ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานด้วยความรวดเร็ว!
‘ฟิ้ว ฟิ้ว!’
ภายใต้การระเบิดกำลังของกล้ามเนื้อปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด มีดทั้งสามเล่มจึงพุ่งเร็วจนเป็นภาพติดตาและทำให้มองดูคล้ายลำแสงสามเส้นกำลังพุ่งเข้ามาหาอวี้ฮ่าวหราน!
มีดสามเล่มนี้ถูกอาบยาพิษร้ายแรงมาอย่างประณีต แม้แต่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงสุด หากแค่เพียงโดนคมมีดของมันสะกิดกับผิวหนังเพียงนิดเดียวก็อาจจะสิ้นลมหายใจได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที!
แต่ในทางกลับกัน อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้เกรงกลัวของเล่นแบบนี้เลย เขามองไปที่อสรพิษเงินด้วยความเหยียดหยาม
“ไอ้สมองมด! ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าฉันอยู่ในขอบเขตพลังภายใน?”
หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็โบกมือเบา ๆ และส่งคลื่นพลังวิญญาณเข้าสกัดมีดทั้งสามเล่นที่พุ่งเข้าหา ปัดมีดทั้งสามเปลี่ยนทิศทางไปอย่างง่ายดายราวกับว่าพวกมันเป็นแค่ขนนกที่แค่เป่านิดหน่อยก็พริ้วไปตามแรงลมปาก!
‘เคร้ง ๆ ๆ ๆ…’
หลังจากมีดทั้งสามถูกปัดจนปลิวไปตกที่พื้น เจ้าตำหนักอีกสองคนซึ่งมากับอสรพิษเงินก็ลงมือเช่นกัน พวกเขาทั้งสองเป็นปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูง พวกเขามั่นใจว่าถ้าหากพวกเขาร่วมมือกัน พวกเขาควรจะรับมือกับอวี้ฮ่าวหรานได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“เหอะ! ไร้สาระ!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
“เป็นแค่มด กล้าดียังไงมาแยกเขี้ยวใส่ฉัน!”
ทันทีที่พูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังวิญญาณอย่างเต็มที่และชกหมัดออกไปเต็มแรงใส่เจ้าตำหนักองค์กรอสรพิษทั้งสองคนที่พุ่งเข้ามาหาเขา!
“ปัง!!”
หลังจากการปะทะ เจ้าตำหนักทั้งสองก็ลอยละลิ่วกระเด็นกลับไปราวกับว่าวสายป่านขาดโดยไร้ลมหายใจ!
ฆ่าสองด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
อสรพิษเงินที่กำลังจะลงมือโจมตีเช่นกัน เมื่อเห็นฉากนี้เขาพลันชะงักทันทีด้วยความตกตะลึง!
“ก…แกไม่ใช่ปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงนี่นา! น…นี่แกเป็นใครกันแน่! คนที่อยู่ในขอบเขตพลังภายในไม่สามารถทำแบบนี้ได้แน่!”
อสรพิษเงินขนลุกชูชันด้วยความหวาดกลัว แม้แต่เจ้าตำหนักคุมกฎที่แข็งแกร่งกว่าเขาเองก็ไม่แข็งแกร่งถึงขนาดฆ่าปรมาจารย์พลังภายในขั้นสูงได้ภายในการโจมตีครั้งเดียวแบบนี้ และนี่ยังไม่นับเรื่องที่อวี้ฮ่าวหรานโจมตีครั้งเดียว แต่ฆ่าได้สองคนอีกต่างหาก!
มีคนเดียวที่เขาพอจะนึกออกได้ว่าน่าจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ก็มีแค่คนเดียวซึ่งก็คือผู้นำองค์กรที่สุดแสนลึกลับของพวกเขาเท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม แต่คนผู้นั้นมีความแข็งแกร่งที่เหนือมนุษย์ไปแล้ว
เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเห็นอีกฝ่ายกำลังกลัวจนขนหัวลุก เขาก็หัวเราะเบา ๆ
“หึหึ รู้มั้ยว่าทำไมสัตว์เลื้อยคลานถึงไม่กลัวเมื่อเห็นเท้ามนุษย์กำลังจะมาเหยียบมัน”
ดวงตาของเขาแสดงความเยาะเย้ยในขณะที่เขาพูด
“มันเพราะว่าสัตว์เลื้อยคลานนั้นสมองน้อยจนไม่รู้ว่ามนุษย์มีอำนาจขนาดไหน!”
ทันทีที่พูดจบ ร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หายวับไปกับตา!
ระยะห่างเกือบสิบเมตร แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับเคลื่อนที่ได้ภายในเศษเสี้ยววินาที!
‘ปัง!’
อสรพิษเงินที่เพิ่งรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเข้ามาประชิดแล้ว ก็รีบยกแขนขึ้นป้องกันตามสัญชาตญาณทันที!
อย่างไรก็ตาม พลังของอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต่อกรได้!
‘อั่ก!’
ภายใต้อิทธิพลของพลังวิญญาณอันรุนแรง เกราะพลังภายในที่ถูกสร้างขึ้นของอสรพิษเงินได้พังทลายลงราวกับกำแพงทรายโดนคลื่นซัด!
อสรพิษเงินถูกชกอย่างรุนแรงจนลอยละลิ่วบินกลับหัวไปเกือบ 20 เมตร และตกลงที่มุมดาดฟ้า
เขารีบยันตัวลุกขึ้นและปาดเลือดออกจากปาก มองดูชายหนุ่มด้วยความกลัว!
“แกแข็งแกร่งแค่ไหนกันแน่! มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง!”
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่เพียงการโจมตีเดียว เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขนาดนี้!
มันเป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด ถ้าเทียบกันแล้วความแข็งแกร่งของเขาไม่ต่างอะไรกับมดเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นี้!
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันอยู่ในขั้นสูง”
อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้าหาคู่ต่อสู้ช้า ๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการล้อเล่น
“เป็นไปไม่ได้! ขอบเขตพลังภายในขั้นสูงไม่มีวันแข็งแกร่งขนาดนี้!”
อสรพิษเงินไม่อยากจะเชื่อ ตอนนี้เขาไม่หลงเหลือความเย่อหยิ่งอีกต่อไปแล้ว
“เห็นไหม แกมันเป็นแค่สัตว์เลื้อยคลานที่ตาบอดแถมยังสมองน้อย ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าฉันอยู่ในขอบเขตพลังภายใน? ความแข็งแกร่งของฉันอยู่ในขอบเขตก่อรากฐานต่างหาก!”
หลังจากหยอกล้อกับอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็หายตัวไปอีกครั้ง!
‘ผลั่ก!’
เขาโผล่ยืนค้ำหัวอสรพิษเงินและย่ำเท้าลงไปที่ท้องอีกฝ่ายอย่างแรง!
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตอนนี้อสรพิษเงินจะสติหลุดไปเรียบร้อยแล้ว เขาไม่ร้องออกมาสักแอะ เขาจึงเอาแต่พึมพำด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“ก่อรากฐานระดับสูง…ก่อรากฐานระดับสูง…”
เขารู้สึกว่าเขาดูเหมือนจะเคยได้ยินคำนี้ที่ไหนสักแห่ง ดูเหมือนว่ามันเป็นขอบเขตที่หลุดพ้นความเป็นมนุษย์ไปแล้วใช่ไหม?
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
บทที่ 333 ข่าวที่น่าตื่นตระหนก
หมับ!
นักเลงลูกน้องของสวีเปียว ฟันมีดอย่างสุดกำลังที่ตัวเองมีหวังจะฟันคอของอวี้ฮ่าวหรานให้ขาดภายในครั้งเดียว สีหน้าของเขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ตัวเองกำลังจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบจะหยุดหายใจเมื่อพบว่ามีดที่เขาฟันไปมันกลับถูกอีกฝ่ายใช้มือเปล่า ๆ จับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!
นี่…มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ นักเลงก็พยายามดึงมีดออกอย่างสุดแรง
แต่วินาทีต่อมา อวี้ฮ่าวหรานใช้กำลังเล็กน้อยบดขยี้ใบมีดที่ตัวเองจับอยู่จนแหลกละเอียด พร้อมกับปล่อยคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าใส่นักเลงผู้น่าสงสาร!
บรึ้ม!
อ๊ากกกก
นักเลงที่โดนคลื่นพลังวิญญาณอัดเข้าเต็ม ๆ กระอักเลือดเป็นสายและลอยละลิ่วหายเข้าป่าข้างทาง โดยที่ไม่มีใครทราบชะตากรรมว่าเป็นหรือตาย!
อวี้ฮ่าวหรานยิ้มเยาะเย้ยให้กับความโง่เขลาของอีกฝ่าย
“หึหึ เป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่องแต่น่าเสียดายที่ใช้มันผิดที่!”
หลังจากเยาะเย้ยนักเลงที่โชคร้ายคนนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เบนสายตากลับมามองพวกนักเลงที่เหลือ
“พวกแกอยากลองด้วยไหม?”
สวีเปียวตัวสั่นหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เขาตอบกลับทันทีด้วยอาการสั่นกลัว
“พี่อวี้ พี่อวี้! ผ…ผมไม่โทษพี่แน่นอนต่อให้ไอ้นั่นมันตาย! ผ…ผมจะไปเดี๋ยวนี้! ร…เร็วเข้า! พวกแกทั้งหมดรีบกลับไปขึ้นรถเร็ว!”
ขณะที่เขาพูด สีหน้าของสวีเปียวหวาดกลัวสุดขีด เขารีบเอ่ยสั่งลูกน้องทันทีให้เตรียมออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม อวี้ฮ่าวหรานได้โบกมือหยุดเขาเอาไว้!
“เดี๋ยวก่อน! ฉันบอกแกเมื่อไหร่ว่าฉันจะปล่อยแกไป?”
สวีเปียวแข็งค้างเป็นรูปปั้นทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา และเขาก็รีบหันไปอธิบายด้วยสีหน้าวิงวอน
“พี่อวี้ ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินพี่จริง ๆ!”
อวี้ฮ่าวหรานเพิกเฉยต่อการร้องขอความเมตตาของอีกฝ่าย เขาจึงถามกลับด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฉันได้ยินมาว่าแก๊งวาฬยักษ์ของแกสั่งให้สมาชิกทั้งหมดถอยร่นจากแนวหน้าเมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกแกมีแผนชั่วใหม่ ๆ อีกแล้วใช่ไหม?”
เนื่องจากชายหนุ่มเคยเจอกับพวกแก๊งวาฬยักษ์หลายรอบแล้ว ดังนั้นเขาจึงจำได้ว่าคนเหล่านี้สวมชุดของแก๊งวาฬยักษ์
“ฉัน…ไม่…คือเราแค่ขัดคำสั่งของหัวหน้าไม่ได้…”
“ถ้าแกโกหก แกตาย!”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายลังเลไม่กล้าพูดบางประโยคออกมา อวี้ฮ่าวหรานจึงข่มขู่อีกฝ่ายพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายสังหารเพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขาเอาจริง!
สวีเปียวเลิกลังเลและไม่กล้าโกหกในทันที
เขามองอีกฝ่ายด้วยความสยดสยองเล็กน้อย และสัมผัสได้ถึงความตายที่จะมาถึงแน่หากตัวเองโกหกต่อไปอีกแค่ครึ่งคำ!
น่ากลัวโคตร ๆ เลย!
“พวกเรา…แก๊งวาฬยักษ์ของเราได้เข้าร่วมแก๊งฉลามคลั่ง ดังนั้นการกระทำทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เป็นคำสั่งของกงซุนซา!”
ในที่สุดเขาก็จะพูดความจริง…
ลูกน้องส่วนใหญ่ไม่ทราบข่าวนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงสีหน้าประหลาดใจทันที
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาอย่างไร อวี้ฮ่าวหรานก็พยักหน้าเล็กน้อย
“อืม เข้าใจแล้ว แกไสหัวไปได้แล้ว”
จากการเพ่งมองจังหวะการเต้นของหัวใจและภาษากายต่าง ๆ เขาจึงสามารถตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน
หลังจากได้รับอนุญาต สวีเปียวรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบวิ่งกลับไปขึ้นรถด้วยความตื่นตระหนกและจากไปพร้อมกับลูกน้องทั้งหมดของเขา
ย่านรกร้างแห่งนี้จึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ยกเว้นเสียงร้องโอดโอยที่เจ็บปวดของเฉียนเซา เพราะโดนเตะจนกระดูกซี่โครงหักไปหลายซี่
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่กลุ่มของเฉียนเซาอย่างดูถูก แต่เมื่อคิดได้ว่าขณะนี้มีซูหว่านเอ๋อเฝ้ามองอยู่ เขาจึงไม่อยากจะสร้างฉากโหดร้ายขึ้นมาให้อีกฝ่ายฝันร้าย ดังนั้นจึงเดินกลับไปที่รถและเร่งเครื่องจากไป
ภายในรถ
ไม่นานหลังจากที่ขับออกมา ซูหว่านเอ๋อที่ตื่นตระหนกก็เริ่มทำใจได้บ้างเล็กน้อย
การปรากฏตัวของพวกนักเลงเมื่อครู่นี้ทำให้เธอตกใจมาก
โชคดีที่คนที่เธอชอบแข็งแกร่งกว่า!
“ฮ่าวหราน…คุณ…คุณสุดยอดมากเลย…”
ซูหว่านเอ๋อยิ่งรู้สึกเชิดชูเขามากกว่าเดิม และอดไม่ได้ที่จะพูดชมเบา ๆ
เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายผู้นี้จะมีอำนาจมากจนคำพูดของเขาสามารถทำให้ผู้คนคุกเข่าขอความเมตตาได้
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่มีผมอยู่ด้วยไม่มีใครทำร้ายคุณได้หรอก”
เมื่อเห็นใบหน้าซีดของอีกฝ่าย อวี้ฮ่าวหรานก็ให้ความมั่นใจกับเธอ
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้เลยว่าประโยคนี้ได้ทำให้หัวใจของซูหว่านเอ๋อหวั่นไหวมากเพียงใด
…
อีกด้านหนึ่ง
โจวเฟยหู่มาที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับกระเช้าผลไม้
“คราวนี้สถานการณ์ยิ่งแปลกมากขึ้น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกแก๊งวาฬยักษ์ถึงถอยร่นทิ้งพื้นที่แนวหน้าให้เรายึดไปฟรี ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเราและพวกมันต่างก็สูญเสียในจำนวนพอ ๆ กัน?”
ทันทีที่โจวเฟยหู่นั่งลง เขาก็พูดเรื่องนี้กับหวังเหยียน
หวังเหยียนขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“การที่พวกมันทำแบบนี้ มันน่าจะเป็นเพราะมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นภายในแก๊งของพวกมัน”
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันนี้ หวังเหยียนก็ได้รับข้อความบนโทรศัพท์มือถือของเขา
‘แก๊งวาฬยักษ์ถูกยุบและสมาชิกทั้งหมดเข้าร่วมกับแก๊งฉลามคลั่งแล้ว’
ข้อความสั้น ๆ นี้ทำให้เขาตกใจจนขนลุก
“เกิดอะไรขึ้น!”
โจวเฟยหู่รู้สึกไม่ดีอย่างมากเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหวังเหยียน เขาไม่เคยเห็นหวังเหยียนแสดงสีหน้าแบบนี้เลยนอกจากว่ามีเรื่องคอขาดบาดตาย
“แก๊งวาฬยักษ์ตกเป็นของกงซุนซาแล้ว! ทั้งสองแก๊งรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน!”
หวังเหยียนบอกข้อความที่เขาเพิ่งอ่านผ่านโทรศัพท์ เขาเชื่อมั่นในข่าวนี้หมดใจ เพราะอวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งต่อข่าวนี้!
เขาเชื่อว่าคนอย่างอวี้ฮ่าวหรานไม่มีทางส่งข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยันมาหาเขาแน่นอน
“นี่มัน…!”
โจวเฟยหู่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลังจากได้สติ เขาก็ลุกขึ้นพรวดทันที
“นายเพิ่งพูดว่าแก๊งวาฬยักษ์ถูกแก๊งฉลามคลั่งกลืนไปแล้วงั้นเหรอ!? นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง!!”
โจวเฟยหู่ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินจนอุทานเสียงดัง
เขารู้ดีว่าหลิ่วอวี้จิงเป็นคนยังไง คนประเภทนี้เต็มใจที่จะยอมก้มหัวให้กับคนอื่นแถมยอมยุบแก๊งตัวเองง่าย ๆ แบบนี้ได้ไง?
“นี่…ข่าวนี้จริงเหรอ?”
“ผมมั่นใจที่สุด เพราะข่าวนี้อวี้ฮ่าวหรานเป็นคนส่งมาให้ผม มันไม่มีทางที่จะเป็นข่าวลวงแน่นอน และนี่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเร็ว ๆ นี้แก๊งวาฬยักษ์ถึงเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ”
น้ำเสียงของหวังเหยียนหนักแน่นมากในขณะนี้ และข่าวนี้ทำให้ตัวเองรู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น…ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องสั่งให้คนของเราถอยร่นมาเช่นกันเพื่อที่เราจะได้รวมกลุ่มกันรับมือกับการถูกโจมตีได้เร็วมากกว่าเดิม!”
หลังจากที่โจวเฟยหู่ได้รับคำตอบยืนยัน เขาเริ่มคิดหาแผนรับมือในหัวมากมาย
…
ในเวลาเดียวกัน
หลังจากอวี้ฮ่าวหรานและซูหว่านเอ๋อกินข้าวกันเสร็จแล้ว เขาจึงไปส่งอีกฝ่ายกลับบ้าน ส่วนตัวของชายหนุ่มนั้นก็ขับรถกลับไปที่บริษัทต่อเพื่อดูเอกสารต่าง ๆ ที่ตัวเองจำเป็นต้องเซ็นอนุมัติให้เสร็จสิ้น
หลังบ่ายสามโมง เขาก็ขับรถออกจากบริษัทเพื่อไปรับถวนถวน
ทว่า ในระหว่างที่เขาขับผ่านสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาก็เห็นสวีรุ่ยและพ่อของเธอกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งริมถนน
แต่เมื่อชายหนุ่มเพ่งมองดี ๆ เขาก็เห็นว่าสีหน้าของพ่อลูกคู่นี้ในเวลานี้ดูเป็นกังวลอย่างมาก
เมื่อเห็นเช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและเมื่อดูนาฬิกาและเห็นว่ามันเพิ่งจะสามโมงกว่า ชายหนุ่มจึงหยุดรถสปอร์ตที่ข้างถนนอย่างช้า ๆ
“…จะทำยังไงดีนะเฮ้อ…หางานไม่ได้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว…”
บทที่ 351 สามชายลึกลับ
บทที่ 351 สามชายลึกลับ
หลังจากที่กลุ่มของโจวเฟยหู่ออกจากร้านอาหารไปแล้ว อวี้ฮ่าวหรานก็ทักให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเขาให้กินอาหารกันต่ออย่างใจเย็น
“ฮ่าวหราน…คุณนี่ใจเย็นดีจริง ๆ”
เฉิงชิวอวี้มองไปยังกลุ่มคนที่น่ากลัวของโจวเฟยหู่ทยอยกันจากไป
“นี่แค่เรื่องเล็กน้อย อย่ากลัวไปเลย”
อวี้ฮ่าวหรานปลอบโยนอย่างสบาย ๆ
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของคนอื่น ๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าตกใจ!
ผู้ที่มากินอาหารในร้านวันนี้ต่างก็รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะทำให้ตัวเองเอาไปเล่าโอ้อวดไปชั่วชีวิต
ผู้จัดการเหงื่อออก
ในที่สุดวันนี้เขาก็ได้เห็นว่าคนที่มีอำนาจจริง ๆ มันเป็นเช่นไร!
เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน!
จินเส่าที่หยิ่งผยองเสมอมา ได้ถูกลากออกไปราวกับหมาที่ตายแล้ว!
ไม่นานทั้งสองก็กินข้าวเสร็จ
“ที่นี่อร่อยจริง ๆ ผมชอบมาก!”
อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยปากชม เฉิงชิวอวี้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
นี่น่ะเหรอคือผู้ชายที่สามารถทำให้คนอื่นกลัวจนแทบจะเป็นลมได้?
“ข…แขกผู้มีเกียรติทั้งสอง…ค่อย ๆ เดินช้า ๆ นะครับ ผมขอประทานอภัยจริง ๆ สำหรับเรื่องยุ่งยากที่เกิดขึ้นในวันนี้ เอาไว้คราวหน้าที่พวกท่านมา ผมจะปรับปรุงการบริการให้ดีมากกว่าเดิม!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะจากไป ผู้จัดการก็เอ่ยอำลาอย่างนอบน้อมทันที
“คราวหน้าถ้าฉันมา ที่นี่คงไม่มีคนอย่างนายน้อยจินอะไรนั่นอีกแล้วจริงไหม?”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองไปที่อีกฝ่ายและพูดอย่างเฉยเมย
“ไม่! ไม่มีแล้วแน่นอน!”
ผู้จัดการรีบสัญญา ล้อเล่นเถอะ หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไปใครจะกล้าทำตัวรนหาที่ตายแบบนั้นที่นี่อีก?
หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานก็ไปส่งเฉิงชิวอวี้กลับบ้าน
“ฮ่าวหราน วันนี้คุณน่าทึ่งอีกแล้ว!”
เมื่อลงจากรถ เฉิงชิวอวี้ก็พูดขึ้นทันที
“หืม? ผมน่าทึ่งตรงไหนกัน?”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกขบขันกับสิ่งที่ได้ยิน ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเขา มันไม่มีผลต่ออารมณ์โดยรวมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“คุณ…”
จู่ ๆ เฉิงชิวอวี้ก็แก้มแดงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ปกติแล้วหากผู้หญิงยกย่องผู้ชาย เธอมักจะมีความหมายอื่นซ่อนอยู่เสมอ
“งั้น…งั้นฉันเข้าบ้านก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจเธอ เฉิงชิ้วอวี้จึงอยากกลับบ้านโดยเร็วเพื่อทำให้หัวใจที่เต้นแรงของเธอสงบลง
หลังจากที่ทั้งสองกล่าวคำอำลา เขาก็ขับรถออกไป
แต่แทนที่จะกลับไปที่บริษัท อวี้ฮ่าวหรานกลับขับรถกลับคอนโดทันที
ชายหนุ่มวางแผนว่าหลังจากกลับไปถึงห้อง เขาจะใช้โบราณวัตถุที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณซึ่งตัวเองเพิ่งได้มาจากตำหนักคุมกฎขององค์กรสรพิษเมื่อวานนี้ทันที
วันนี้เขาต้องดูดซับพลังจากพวกมันให้หมด
เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่เขากลับมาที่โลกนี้ ทำให้ชายหนุ่มกระหายที่จะแข็งแกร่งให้เร็วมากขึ้น
และที่สำคัญ…หากต้องการพบกับภรรยาตัวเองอย่างเร็วที่สุด เขาก็จำเป็นต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้
อวี้ฮ่าวหรานกลับไปถึงคอนโดประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ
ชายหนุ่มกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและล็อกประตู จากนั้นจึงนำโบราณวัตถุขึ้นมาดูดซับพลังวิญญาณทันที
กระแสพลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง มัน ค่อย ๆ ขยายทะเลวิญญาณในตันเถียนของตัวเองให้กว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ในเวลานี้เขาใกล้จะทะลวงระดับแล้ว
—
ในเวลาเดียวกัน ชายลึกลับสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ตระกูลอู๋ ซึ่งพวกเขาต่างก็ตกตะลึงเมื่อเห็นว่าตอนนี้ตระกูลอู๋นั้นกำลังตกต่ำมากจากการแก่งแย่งทรัพย์สมบัติภายในตระกูล!
“อู๋ลั่น? เรา…เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย…”
ในห้องโถงตระกูลอู๋ สมาชิกทุกคนในตระกูลอู๋ยืนอยู่ที่นั่น พวกเขาต่างมองไปที่ชายลึกลับทั้งสามคนอย่างหวาดกลัว
ทั้งสามแต่งตัวในชุดเสื้อคลุมโบราณ ราวกับหลุดออกจากละครย้อนยุคกำลังภายใน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะการแต่งกายของชายวัยกลางคนทั้งสามคนนี้
ที่พื้นบ้าน บอดี้การ์ดสิบกว่าคนทั้งหมดนอนสลบไสลอยู่ในอาการปางตาย ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้
“แกล้อเล่นใช่ไหมที่บอกว่าไม่รู้! อู๋ลั่นออกเดินทางมาที่นี่หลังจากได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากพวกแก! แต่ตอนนี้พวกแกกลับบอกว่าไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ?”
ในบรรดาชายวัยกลางคนทั้งสามที่สวมชุดโบราณ คนที่ยืนอยู่หน้าสุดซึ่งสวมชุดคลุมสีดำถามอย่างเย็นชาในเวลานี้
“นั่น… นั่นเป็นเพราะผู้นำตระกูลอู๋หมิ่นที่เพิ่งตายไป เป็นคนร้องขอความช่วยเหลือไปโดยไม่บอกคนอื่นเลย และตอนนี้ทั้งครอบครัวของเขาถูกฆ่าหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้รายละเอียดอื่น ๆ อีกเลย”
ในห้องโถง ชายชราคนหนึ่งลุกขึ้นและอธิบายอย่างร้อนรน
ชายวัยกลางคนทั้งสามนี้เข้ามาที่ตระกูลอย่างหยิ่งผยองและแข็งกร้าว ซึ่งทำให้เขานึกถึงสำนักเมฆาเขียวที่เคยมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับตระกูลอู๋
อีกฝ่ายน่าจะมาจากสำนักนั้น
“ผู้นำตระกูลของพวกแกถูกฆ่า? เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
“เรื่องนี้…เรายังไม่ได้ตรวจสอบทุกอย่างอย่างชัดเจน แต่ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกคือชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน ซึ่งมีเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูลมากที่สุด”
“อวี้ฮ่าวหราน? ชายหนุ่มผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด?”
“นี่…นี่ ผู้น้อยก็ไม่รู้”
ชายชราที่ยืนขึ้นตอบกลับอย่างกระอักกระอ่วน เขาไม่เคยเจอกับอวี้ฮ่าวหรานโดยตรง ดังนั้นเขาจะรู้ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
“อืม การที่อู๋ลั่นหายตัวไปน่าจะเป็นเพราะชายหนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหราน หากชายหนุ่มผู้นั้นสามารถจัดการกับอู๋ลั่นได้ มันก็ไม่แปลกที่พวกเจ้าตระกูลอู๋จะรับมือไม่ไหว”
ชายวัยกลางคนเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าเมื่อได้ยินเรื่องนี้ และสีหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย แล้วปลอบอีกฝ่ายอย่างสบาย ๆ
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวพวกข้าขนาดนั้น พวกข้าสามคนรวมไปถึงอู๋ลั่นมาจากสำนักเดียวกัน พวกเราทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับตระกูลอู๋อย่างแยกไม่ออก ดังนั้นพวกข้าจะไม่ทำอันตรายต่อพวกเจ้าตระกูลอู๋”
ผู้อาวุโสของตระกูลอู๋ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย “ผู้น้อย…ผู้น้อยเคยได้ยินเรื่องของสำนักเมฆาเขียวมาเช่นกันว่าพวกท่านมีความสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับตระกูลอู๋ของเรา คราวนี้การหายตัวไปของอู๋ลั่น นับได้ว่าเป็นความผิดของตระกูลอู๋ด้วยจริง ๆ พวกผู้น้อยละอายใจจริง ๆ ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย!”
“เอาละ ช่างมันเถอะ เรื่องนี้โทษพวกเจ้าที่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ ตอนนี้พวกเจ้าจงไปเตรียมที่พักอาศัยให้เราก่อน ส่วนเรื่องอวี้ฮ่าวหราน เราจะตรวจสอบเอง”
บรรยากาศในห้องโถงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง และหลังจากที่ทั้งสามรู้ว่าผู้นำตระกูลอู๋คนที่เรียกอู่ลั่นมาถูกฆ่าตายไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีอคติกับคนอื่น ๆ ของตระกูลอู๋อีกต่อไป