นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 889 หวังจิ่นหลิงผู้สง่างาม
“ตูม ตูม”
ประตูจวนของศาบบรรพบุรุษของตระกูลหวังนั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่มันก็ไม่อาจต้านทานแรงโน้มถ่วงได้ ทั้งบิดา ลุงและญาติคนอื่นของหวังจิ่นหลิงทำได้เพียงเฝ้าดูอย่างหมดหนทาง เมื่อประตูบ้านของตระกูลหวังถูกทุบทำลาย
ด้วยเสียงดังโครมคราม จากนั้นประตูอันทรงเกียรติของตระกูลหวังซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะสูงส่งนี้ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้แรงกระแทกซ้ำๆ……
สาระเลว!
อาวุธที่ใช้ทำลายประตูเมืองนั้นนำมาฟาดไปที่ประตูจวนของตระกูลหวัง ไอ้สารเลวนี่คิดว่าตระกูลหวังเป็นตระกูลเล็ก ๆ ที่ใครก็กล้าทำลายได้งั้นหรือ?
ลุงของหวังจิ่นหลิงเป็นคนแรกที่ได้สติ เขากล่าวหาอย่างโกรธเคืองว่า “ไอ้สารเลวคนไหนที่กล้าใช้อาวุธทหารเป็นการส่วนตัวโจมตีประตูตระกูลหวังของข้า”
“เจ้ากล้าหาญนัก กล้าที่จะพุ่งชนตระกูลหวังของข้า เจ้าอยากตายงั้นหรือ” หวังเหริน หวังจื้อและหวังซ่านได้สติกลับคืนมาเช่นกัน ใบหน้าเหี่ยวย่นของพวกเขาแดงก่ำจนเป็นสีม่วง
นี่มันช่างทำร้ายจิตใจตระกูลหวังกันเหลือเกิน
บิดาและปู่แปดของหวังจิ่นหลิง ตลอดจนผู้อาวุโสที่เป็นกลางบางคนไม่ได้กล่าวสิ่งใด ได้แต่มองออกไปนอกประตูเพื่อรอให้คนผู้นั้นปรากฏตัว
ผุ้กล้าที่จะทำลายประตูจวนของตระกูลหวัง พวกเขาพยายามกลั่นกรองอยู่ในใจ มีเพียงคนเดียวที่กล้าชนประตูตระกูลหวัง เช่นนี้ในตงหลิง นั่นคือจักรพรรดิ
แต่จักรพรรดิได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการช่วยลุงเล็กเพื่อขึ้นครองตระกูลหวัง ดังนั้นลุงหวังจะกลัวคนที่มาพังประตูจวนของตระกูลหวังได้อย่างไร?
สมาชิกในตระกูลหวังต่างพากันมองหน้าไปมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ภายใต้คำสั่งของลุงหวัง บ่าวรับใช้ที่เขายืมมาจึงไม่ได้ทำร้ายคนในตระกูลหวังอีก
เมื่อทุกคนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูแปลกหน้า สมาชิกตระกูลหวังก็ได้เห็นรถม้าปรากฏขึ้นจากมุมมืดแห่งหนึ่ง
ใช่แล้ว รถม้า……
ผู้ที่เข้าทุบประตูค่อยๆ ถอยออกไปทีละคนเพื่อหลีกทางให้แก่รถม้า มันยังไม่หยุดจนกระทั่งมาถึงประตูด้านในของจวนหวัง
ใครกันหยิ่งยโสมาก ไม่เพียงบุกชนประตูตระกูลหวังเท่านั้น แต่ยังจอดรถม้าไว้ที่หน้าประตูด้านในของตระกูลหวังด้วย ต้องรู้ก่อนว่าว่านี่คือสิทธิพิเศษของหัวหน้าตระกูลหวัง
คนฉลาดย่อมเดาได้ แต่พวกเขาไม่กล้าเชื่อนัก เพราะหากเป็นเขา เหตุใดจึงสั่งให้คนทุบประตูจวนเข้ามาเช่นนี้ มิได้เป็นการตบหน้าตนเองหรือ?
รถม้าหยุดลง คนในตระกูลหวังไม่กล้ากะพริบตา พวกเขาจ้องมองไปที่รถม้าเพื่อรอให้คนที่อยู่บนรถม้าลงจากรถ
ม่านของรถม้าถูกเปิดขึ้น คนในรถม้าก็ไม่ได้ปล่อยให้ทั้งหลายรอนาน เขาผู้นั้นสวมรองเท้าบู้ทสีดำขอบทอง และสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้ม เขาดูสง่างามและกลายเป็นจุดสนใจของฝูงชนทันทีที่พวกเขาลงจากรถม้า ซึ่งทำให้ทั้งตระกูลหวังตกตะลึงอ้าปากค้าง
“หัวหน้าตระกูล?”
“หัวหน้าตระกูล!”
ครั้งแรกเป็นเสียงเรียกอันน่าสงสัย มาจากกลุ่มของลุงหวังและหวังซ่าน ส่วนการเรียกอันน่าประหลาดใจอย่างหลัง มากจากบิดาของหวังจิ่นหลิงและพรรคพวกของเขา
ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า หวังจิ่นหลิงไม่สนใจคนเหล่านี้ เขาก้าวเข้าสู่ตระกูลหวังอย่างสง่างาม “ท่านปู่และท่านลุง จิ่นหลิงมาสาย โปรดยกโทษให้ข้าด้วย”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่หวังจิ่นหลิงไม่ได้คำนับขอโทษ หลังจากพยักหน้าให้บิดาและปู่แปดแล้ว เขาก็ตรงไปที่ห้องโถงด้านในและพยักหน้าให้กลุ่มชายชราผมขาวที่อยู่ตรงกลาง ส่วนคนอื่นๆ เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็น
บรรยากาศในจวนของตระกูลหวังนั้นแปลกมาก ดูเหมือนทุกคนจะไม่กล้าแม้แต่หายใจ ในเวลานี้ ไม่มีใครกล้ากล่าวว่าหวังจิ่นหลิงหยาบคาย
ทันทีที่หวังจิ่นหลิงปรากฏตัว บรรยากาศของตระกูลหวังก็เปลี่ยนไป ลุงหวังยืนอยู่คนเดียว จ้องมองที่หวังจิ่นหลิงด้วยความงุนงง ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยพูด ดวงตาของเขาเฝ้าติดตามร่างของหวังจิ่นหลิงไป
จนกระทั่งบ่าวรับใช้ที่อยู่รอบข้างหวังจิ่นหลิงผลักลุงหวังและพวกหวังซ่านออกไป เขานั่งลงบนที่นั่งหลัก บัดนี้ทุกคนเพิ่งได้สติกลับคืนมา คนที่อยู่ฝ่ายลุงหวังก้มหน้าไม่กล้าสบตาหวังจิ่นหลิง พวกเขาถอยหลังออกไปตัวแข็งทื่อ ต้องการแบ่งเขตแดนกับลุงหวัง
“ท่าน ท่านหัวหน้าตระกูล เหตุใดจึงมาเอาในเวลานี้” คำพูดของลุงหวังดูเหมือนกล่าวหา แต่เนื่องจากเขาขาดความมั่นใจจึงทำให้เหมือนรู้สึกผิดเล็กน้อย
หวังจิ่นหลิงไม่สนใจต่อบรรยากาศแปลกๆ นี้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “จิ่นหลิงมาสาย ทำให้ท่านลุงเป็นห่วง พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ ไม่เห็นหรือว่าลุงของข้ายังยืนอยู่ เหตุใดไม่เชิญเขาลงนั่ง”
“ขอรับ”
บ่าวรับใช้ยืนตัวแข็งทื่อรีบวิ่งไปข้างหน้า เชิญลุงหวังไปที่ห้องโถงด้านนอก ตามสถานะของเขาในฐานะลุงหวัง เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในห้องโถงด้านใน
การเดินทางมาถึงอย่างกะทันหันของหวังจิ่นหลิงทำให้ลุงหวังตกใจมากจนวิญญาณแทบออกจากร่าง เขาถูกลากออกไปโดยคนรับใช้ด้วยความงุนงง หวังซ่านและคนอื่นๆ ตั้งใจจะแอบออกไปเมื่อพวกเขาเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พวกเขายืนอยู่ตำแหน่งค่อนข้างโดดเด่น อย่าว่าแต่หลบหนีเลย แม้แต่ขยับก็เป็นจุดสนใจของทุกคนแล้ว
ก่อนที่หวังจิ่นหลิงจะกล่าวสิ่งใดออกมา ผู้คุ้มกันก็ก้าวไปข้างหน้าและหยุดทั้งสามคนไว้
“จิ่นหลิง เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” หวังซ่านในฐานะกระดูกสันหลังของทั้งสามเป็นคนแรกที่ถามขึ้น
หวังจิ่นหลิงไม่ตอบ เขาจิบชาร้อนที่คนรับใช้ของเขาเพิ่งเอามาให้ ก่อนวางถ้วยชาลงแล้วมองไปยังหวังซ่าน ดวงตาที่สงบของเขายังคงชัดเจนดังเดิม “ท่านปู่ซ่าน ท่านปู่เหริน ท่านปู่จื้อ ท่านทั้งสามจะไปไหนกันเล่า?”
น้ำเสียงสงบ ไม่มีความโกรธเคืองแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้หวังซ่านและคนอื่นๆ วางใจลง “จิ่นหลิง พวกเราแก่แล้วจึงเลอะเลือน เจ้าอย่าได้ถือสาพวกเราเลย”
หวังเหรินก้มหน้าลงกล่าวขอโทษหวังจิ่นหลิง ความเย่อหยิ่งและความกล้าหาญของพวกเขาล้วนเป็นแพราะคิดว่าหวังจิ่นหลิงเสียชีวิตแล้ว
“ท่านปู่เหรินไม่ได้เลอะเลือน หากเลอะเลือนไปเขาจะยังสามารถเดินทางมาที่ศาลบรรพบุรุษได้หรือ จิ่นหลิงจำได้ว่าเคยกล่าวไว้ ท่านปู่ทั้งสามและลูกหลานของพวกท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในศาลบรรพบุรุษของตระกูลหวัง ท่านปู่และบุตรหลานของท่านยังเข้ามา ท่านไม่รู้ผลของการฝ่าฝืนคำสั่งของหัวหน้าตระกูลหรือ?”
คำพูดของหวังจิ่นหลิงไม่มีร่องรอยของความโกรธใด แต่ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องเหงื่อตก หากพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกตระกูลหวังอย่างภาคภูมิ คนกลุ่มนี้คงจะคุกเข่าลงและร้องขอความเมตตาไปแล้ว
ละเมิดคำสั่งของหัวหน้ารตระกูล ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหวัง คนรุ่นหลังจะไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นคนของตระกูลหวังและไม่สามารถก้าวเข้าสู่ตระกูลหวังได้อีก
หัวหน้าตระกูลหวังมีอำนาจมาก ก่อนหน้านี้ยังมีผู้อาวุโสสองสามคนที่กล้าคัดค้าน นับแต่หวังจิ่นหลิงเข้ามารับหน้าที่ ผุ้อาวุโสทั้งหลายก็ดูเกรงกลัว ไม่กล้าต่อสู้กับหวังจิ่นหลิง ด้วยกลัวว่าจะถูกหวังจิ่นหลิงจัดการแล้วต้องอับอายไปทั้งตระกูล
ในเวลานี้เมื่อหวังจิ่นหลิงต้องการจัดการกับพวกเขา ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาช่วย เพราะหากพวกเขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลหวัง หากไม่มีตระกูลหวังก็ไม่อาจมีที่พึ่งใดๆ คนธรรมดานั้นยังมีที่นาให้ทำกิน แต่พวกเขาไม่มีสิ่งใดเลย
ทำอย่างไร ทำอย่างไรดี?
หวังซ่าน หวังเหรินและหวังจื้อมองกันด้วยสายตาอย่างลนลาน ให้อีกฝ่ายหาทางออก แต่ในขณะนี้พวกเขาสามารถคิดวิธีแก้ปัญหาใดได้เล่า? พวกเขาไม่เคยคิดว่าหวังจิ่นหลิงจะมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง
หวังจิ่นหลิงไม่รีบร้อนเช่นกัน เขาจิบชาสบายๆ เหลือบมองทั้งสามคนเป็นครั้งคราว เมื่อทั้งสามคนตอบ ผุ้อาวุโสที่นั่งบนที่นั่งหลักก็ส่งยิ้มเห็นด้วย
คุณชายใหญ่ของตระกูลหวังเก่งกาจมากจริง หลังจากครึ่งปีของการทำงานหนัก ความอ่อนเยาว์ในร่างกายของเขาก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่มั่นคง ด้วยท่าทางและทักษะในปัจจุบันของจิ่นหลิง ตระกูลหวังจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ตระกูลหวังไม่ต้องการผู้นำที่อ่อนแอ พวกเขาต้องการผู้นำที่แข็งแกร่ง ซึ่งจิ่นหลิงทำได้ดี……
เมื่อเห็นว่าหวังจิ่นหลิงปราบปรามทุกคนในตระกูลหวังได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม ตัวตนของหวังจิ่นหลิงมีความสำคัญอย่างแน่นอน แต่รังสีที่เขาแผ่ออกมาตอนเข้าประตูนั้นก็สำคัญ
หวังจิ่นหลิงคงเป็นคนแรกที่พังประตูของจวนหวัง เขามีความกล้าหาญจริงๆ!
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 884 หากข้าตาย จะไม่ให้เจ้าอยู่เช่นกัน
เหตุผลที่หน่วยกล้าตายตระกูลหวังเหล่านี้ไม่กล้าแตะต้องเสด็จอาเก้าก็เพราะเสด็จอาเก้ามาจากราชวงศ์ตงหลิง หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา จักรพรรดิอาจจะมีความสุข แต่เพื่อเห็นแก่หน้าของราชวงศ์และผลประโยชน์ของราชวงศ์ จักรพรรดิจะไม่มีวันปล่อยตระกูลหวังไปแน่นอน จะใช้โอกาสนี้โจมตีตระกูลหวังอย่างรุนแรง แม้ว่าตระกูลจะไม่ได้รับความเสียหายจากการทำลายล้างถึงขนาดสิ้นตระกูล แต่ตระกูลหวังคงจะนองเลือดเป็นแน่
การมีคนคุ้มกันเบื้องหลังนี่ดีจริง เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่เสด็จอาเก้าอย่างอิจฉา คิดกับตัวเองว่า เส้าฉีกล่าวว่าวังเซวียนเซียวเป็นผู้สนับสนุนของนางมิใช่หรือ? เหตุใดนางมีผู้สนับสนุนเบื้องหลังเก่งอาจขนาดนี้ คนเหล่านี้ยังกล้าจัดการนาง อยากโจมตีก็โจมตี หรือเพราะเซวียนเส้าฉีเป็นคนในยุทธจักร พวกเขาจึงไม่กลัว?
ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ทางราชวงศ์ยังเกรงใจเผ่าเซวียนเซียวมาก เหตุใดถึงไร้ประโยชน์สำหรับนาง เป็นเพราะนิสัยของนางหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่เสด็จอาเก้าด้วยความไม่พอใจ เมื่อนึกถึงเรื่องร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับนาง ก็รู้สึกย่ำแย่……
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือทั้งสองคนมีใจตรงกัน เมื่อเฟิ่งชิงเฉินมองไปทางเสด็จอาเก้า และเสด็จอาเก้าบังเอิญมองกลับมาที่นาง เห็นดวงตาแห่งความอิจฉาริษยาของของเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นนึกถึงสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินพึมพำเมื่อครู่ เสด็จอาเก้าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวเฟิ่งชิงเฉิน
“เด็กดี ข้าไม่ยอมให้เจ้าเป็นโล่แก่ข้าแน่ ข้าจะเป็นโล่ของเจ้าเอง”
เมื่อกล่าวหน่วยกล้าตายก็รีบออกจากวงล้อมพุ่งมาหาเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้ารีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปกป้องเฟิ่งชิงเฉินซึ่งอยู่ข้างหลังเขา ยกเท้าขึ้น เตะคนผู้นั้นกลับเข้าไปในวงต่อสู้
“ข้าจะฝืนใจเชื่อเจ้าสักครั้ง” ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็แสดงรอยยิ้มออกมา เมื่อเห็นหน่วยกล้าตายของตระกูลหวังต่อสู้อย่างดุดันมากขึ้นเรื่อย ๆ เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว ถอยหลังหนึ่งก้าว ซ่อนตัวในตำแหน่งที่ปลอดภัย
“เจ้าต้องเชื่อใจข้า ไม่ต้องกังวลหากยังมีข้าอยู่ หากข้าตาย เจ้าก็อย่าหวังได้อยู่คนเดียว ข้าจะไม่อนุญาตแน่” เสด็จอาเก้ายังเดินไปทางเฟิ่งชิงเฉิน ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวแก่นาง เขาส่งสัญญาณให้ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ข้างหลังเขา และองครักษ์ลับหญิงของเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาช่วยเหลือ
หน่วยกล้าตายตระกูลหวังนั้นแข็งแกร่งมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตที่ไม่จำเป็น เสด็จอาเก้าก็มิรังเกียจที่จะใช้กำลังคนของตน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ถือว่าโชคร้ายสำหรับหน่วยกล้าตาย หากเสด็จอาเก้าไม่มาที่จวนเฟิ่ง พวกเขาอาจยังมีโอกาสชนะกว่าครึ่ง แต่ตอนนี้ … โอกาสชนะ สักหนึ่งในสิบก็ไม่เลวแล้ว
“ไม่ปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวงั้นหรือ? ก่อนข้าตาย ข้าต้องฆ่าเจ้าก่อนหรือไม่?” ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นประกาย นางไม่ได้ถือเอาคำพูดของเสด็จอาเก้าเป็นเรื่องตลก นางจริงจังมาก
“เจ้าต้องมีความสามารถนั้นเสียก่อน เช่นนั้นอาจได้” ไม่เป็นไรหากเขาจะตายด้วยน้ำมือของเฟิ่งชิงเฉิน แต่ถ้าต้องการให้เขาฆ่าตัวตายเพื่อนาง……โปรดยกโทษด้วย เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
“ตกลง ข้าจะจำคำพูดของเจ้า ถ้าข้าต้องตาย ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าอยู่คนเดียวเช่นกัน” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าที่จริงจัง
“ข้าจะไม่ออมมือ และไม่มีวันรอเจ้ามาจับฆ่าอย่างแน่นอน” นี่คือการบอกเฟิ่งชิงเฉินว่า หากนางต้องการฆ่าเขา ต้องพึ่งพาความสามารถของนางเอง และเขาจะไม่ออมมือ
เฟิ่งชิงเฉินกำหมัดแน่น “ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำได้อย่างแน่นอน สักวันหนึ่ง ข้าจะสามารถฆ่าเจ้าได้”
“เอ่อ…… ข้าคงไม่ตั้งตารอวันนั้น” เสด็จอาเก้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ บทสนทนาของพวกเขาเริ่มแปลกขึ้นเรื่อยๆ
“ก็ดี ข้าเองก็ไม่คาดหวัง ข้าจะไม่มีวันแสวงหาความตายเอง หากข้าสามารถเลือกมีชีวิตอยู่ได้” การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด แต่ในขณะนี้เฟิ่งชิงเฉิน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ศัตรูอยู่ตรงหน้าพวกเขา แต่พวกเขากำลังถกเถียงกันเรื่องการฆ่ากัน ซึ่งมันไม่ธรรมดาจริงๆ
ทะเลาะด้วยหัวข้อ “หากใครคนหนึ่งตาย จะไม่มีวันปล่อยอีกคนให้อยู่คนเดียว” ซึ่งเริ่มต้นและจบลงอย่างอธิบายไม่ได้ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกับเสด็จอาเก้าจะจริงจัง แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ถือสาเรื่องนี้ ทั้งสองคนสงบลงอีกครั้ง ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของหน่วยกล้าตายตระกูลหวัง
เมื่อมองไปยังใบหน้าอันสงบนิ่งไม่แยแสของเฟิ่งชิงเฉิน ก็พิสูจน์ได้ว่านางไม่เป็นเหมือนที่นางพูด นางกังวลว่าตนจะตกอยู่ในอันตรายและสร้างปัญหาให้กับผู้คุ้มกัน
นางแค่ไม่อยากเสี่ยง นางไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยง ช่วงเวลานั้นที่นางถูกตามล่าโดยมือสังหารก็เพียงพอแล้ว
“หน่วยกล้าตายตระกูลหวังนั้นไม่ธรรมดา” ภายใต้การโจมตีร่วมกันของผุ้คุ้มกันจวนเฟิ่งและองครักษ์เสด็จอาเก้า หน่วยกล้าตายตระกูลหวังยังคงมีความเหนือกว่า ซึ่งทำให้เฟิ่งชิงเฉินอารมณ์เสียมาก นางลังเลว่าจะหยิบปืนออกมาดีหรือไม่ แต่ในการรบที่โกลาหล การเล็งอาจไม่ดีนัก ถึงอย่างไรก็ช่วยได้บ้าง
“ในตระกูลโบราณ มีอาวุธลับออกมาใช้ องครักษ์ก็อาจสู้ไม่ได้ นี่ไม่ใช่กองกำลังลับแท้จริงของตระกูลหวัง มีเพียงหัวหน้าตระกูลหวังเท่านั้นที่สามารถเรียกใช้ของจริงได้ แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ ตระกูลหวังจะไม่ใช้พลังมืดง่ายๆ เมื่อพลังมืดถูกเปิดเผย ความสำคัญก็จะลดลงอย่างมาก” นี่คือเหตุผลที่เขาให้ความสำคัญกับตระกูลหวังและตระกูลชุย
หลังจากสั่งสมมาหลายร้อยปี ไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองตระกูลมีอำนาจและความมั่งคั่งมากมายเพียงใด
“เรื่องของตระกูลเป็นเรื่องที่ลำบากใจจริงๆ เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการร่วมมือกับตระกูลหวัง ไม่ใช่กำจัดตระกูลนี้?” เฟิ่งชิงเฉินได้ยินน้ำเสียงจากเสด็จอาเก้า ฟังออกถึงความไม่พอใจ
แม้ว่านางจะไม่เคยคิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างเขากับหวังจิ่นหลิง แต่ก็มีบางสิ่งที่ไม่ใช่ว่านางไม่อยาก ก็สามารถละเลยได้
“การดำรงอยู่ของตระกูลชั้นสูงไม่ยุติธรรมสำหรับหลาย ๆ คน แต่มันจำเป็นสำหรับที่ต้องดำรงอยู่ในขณะนี้” เสด็จอาเก้าไม่ปฏิเสธว่าเขาไม่ชอบตระกูลชั้นสูง สำหรับตระกูลที่มีอำนาจเช่นนั้นมีอิทธิพลต่อการเมืองการปกครอง ไม่มีใครที่สามารถทนกับการมีอยู่ของมันได้
แต่หากไม่มีตระกูลชั้นสูง ก็มีอำนาจอื่น ๆ ดังนั้นคงต้องปล่อยตระกูลชั้นสูงนี้ไว้ ตราบใดที่ตระกูลขุนนางอ่อนแอถูกกดขี่ ทำให้พวกเขามีเพียงชื่อเสียง ตระกูลเหล่านั้นก็ไม่มีอันตรายใด
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “หากใช้ประโยชน์ตระกูลชั้นสูงเหล่านี้ให้เป็นก็ช่วยได้เช่นกัน แต่ทุกคนล้วนมีความทะเยอทะยาน เมื่อพลังของตระกูลเหล่านั้นพุ่งถึงจุดสูงสุด พวกเขาจะไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่นี้แน่”
ตัวอย่างเช่นตระกูลชุย เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจแนวทางของตระกูลชุยดี กรณีในสหรัฐอเมริกาก็เหมือนกันนี่ ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นเพียงโฆษกของกลุ่มสมาคม สิ่งที่ตระกูลชุยกำลังวางแผนอยู่ก็เช่นเดียวกับสมาคมในสหรัฐอเมริกา ต้องการใช้อำนาจของผู้นำให้มีประโยชน์
สำหรับตระกูลหวังจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ แต่เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเมื่อพลังอำนาจสะสมมาถึงระดับหนึ่ง หากไม่ก้าวไปข้างหน้าก็จะต้องล่าถอย
หากตระกูลหวังเข้ามาแทนที่ตระกูลชุย และกลายเป็นหัวหน้าตระกูลชนชั้นสูง ไม่ว่าจะเพื่อรักษาตำแหน่ง หรือเพราะไม่อยากถูกแรงกดดันจากองค์จักรพรรดิ ตระกูลหวังก็จะพยายามคิดหาหนทางให้ก้าวหน้า จะกลายเป็นเป้าหมายกดดันแรกของจักรพรรดิ
ในเวลานั้น แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะไม่มีความทะเยอทะยานนี้ แต่เขาก็จะต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตระกูล เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงความเป็นไปได้เช่นนี้ นางจึงรู้สึกหงุดหงิดมาก หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ร่วมมือกับตระกูลชั้นสูง เจ้าระวังตัวด้วย”
มันไม่ง่ายเลยที่จะเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“อย่ากังวลใจไป แม้ว่าจะต้องสู้กับเสือ ท้ายที่สุดผู้ชนะก็ยังคงเป็นข้า” เสด็จอาเก้ากล่าวอย่างมั่นใจ แต่เขาก็มีความสุขนักที่เฟิ่งชิงเฉินเต็มใจพูดสิ่งเหล่านี้ออกมา
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากทำความเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้ นี่ถือได้ว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ
ราวกับจะพิสูจน์คำพูดของเสด็จอาเก้า เมื่อหน่วยกล้าตายของตระกูลหวังได้เปรียบ ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอจากข้างนอกดังมา ผู้คนหลายร้อยคนเดินเข้ามาพร้อมเพรียงกัน มีเพียงทหารที่ได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพเท่านั้นที่ทำได้เช่นนั้น นั่นหมายความว่าตี๋ตงหมิงกำลังเดินทางมา
“เร็วเช่นนี้เชียว?” เฟิ่งชิงเฉินมองไปทางเสด็จอาเก้า สายตาราวเห็นเทพเจ้า เจ้าเตรียมการไว้ล่วงหน้าหรือ?
“เตรียมไว้ใช่ว่า เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องรักษาเสถียรภาพของเมืองหลวง” เสด็จอาเก้ายอมรับอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาไม่ใช่คนที่ต้องลำบากสักหน่อย
เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาไปทางเสด็จอาเก้า วันส่งท้ายปีเก่ายังสั่งให้คนอื่นทำงานเช่นนี้ คงมีแต่เขาเท่านั้นหละ หากเป็นคนอื่นสั่ง คาดว่าตี๋ตงหมิงคงกระทืบเท้าโมโห……