นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 890 เอาไป อย่าให้เปื้อนมือข้า

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 890 เอาไป อย่าให้เปื้อนมือข้า

หวังจิ่นหลิงดูสงบมาก ไม่มีใครอยากบอกว่าผู้ใดให้หวังซ่านและอีกสองคนเข้ามา หวังจิ่นหลิงก็ไม่ได้บังคับพวกเขา เขาถือถ้วยน้ำชาไว้ ไม่ได้มองทั้งสามคน ได้แต่พยักหน้าแล้วทักทายทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น นับว่าเป็นการตักเตือน

หัวหน้าตระกูลหวังกลับมาอีกครั้ง และผู้ที่สนับสนุนลุงหวังก็คือผู้ทรยศของตระกูลหวัง ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อผู้ทรยศอย่างสุภาพ

เมื่อเห็นบิดาและกลุ่มผู้สนับสนุนของเขาโชกไปด้วยเลือด หวังจิ่นหลิงไม่ได้โกรธหรือกังวลว่าเหตุใดพวกเขาจึงได้รับบาดเจ็บ แต่เพียงสั่งให้ผู้คุ้มกันพาพวกเขาไปที่โรงหมอตระกูลหวังเพื่อทำแผล แสดงความยุติธรรมและโอบอ้อมของหัวหน้าตระกูล

บิดาของหวังจิ่นหลิงและปู่แปดไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ยังไม่มีอะไรไม่เข้าใจอีก เว้นแต่อาการบาดเจ็บของหวังจิ่นหาน เกรงว่าทุกอย่างจะอยู่ในการคำนวณของจิ่นหลิง

คนสองใจในตระกูลหวังได้ปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ ในฐานะหัวหน้าตระกูล เขาไม่สามารถฆ่าสมาชิกของตระกูลหวังได้ แต่หวังจิ่นหลิงมีวิธีนับพันที่จะทำให้ชีวิตคนพวกนี้ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น

คนที่หวังจิ่นหลิงพามา ก็หลั่งไหลเข้าไปในตระกูลหวัง แล้วพาคนเจ็บออกไป

แน่นอน แม้ว่าลุงหวังจะอยู่ภายใต้การเฝ้าระวัง แต่คนของเขาก็ไม่ยอมถูกจับง่ายๆ ทว่าในตระกูลหวังนั้นหวังจิ่นหลิงเป็นราชาหากต้องการต่อต้านหวังจิ่นหลิง คงต้องรอจนกว่าหวังจิ่นหลิงไม่ได้เป็นหัวหน้าตระกูลหรือเสียชีวิตไป

การสมรู้ร่วมคิดและการวางแผลเหล่านี้สิ้นสุดลง ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต่อสู้เพื่อความแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าหวังจิ่นหลิงนำผู้คนมาจำนวนมาก ความแข็งแกร่งนั้นแข็งแกร่งกว่าลุงหวัง

หวังจิ่นหลิงไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา เขาเข้าไปในตระกูลหวังและควบคุมคนในตระกูลหวังอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ลุงหวังยังมิทันตั้งตัว เขาได้จัดการกับคนของจักรพรรดิที่ส่งมาจนสิ้น

“หวังจิ่นหลิงเอาคนมาจากไหน? หน่วยลับของตระกูลหวัง?” หวังจิ่นหลิงมีความอดทนที่จะจัดการกับหวังซ่านและคนอื่นๆ แต่ เฟิ่งชิงเฉินไม่มี

การนอนบนหลังคาช่างลำบาก นางไม่มีความแข็งแกร่งหรือความสามารถมากขนาดนั้น นางแทบจะแข็งตายอยู่ที่นั่น หากนางรู้ว่าลำบากขนาดไหนในการดูละคร นางคงไม่มาหรอก

เสด็จอาเก้ายื่นมือออกมาจับเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมแขน “ไม่ใช่ หวังจิ่นหลิงฝึกฝนกลุ่มคนเหล่านี้เป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือคนของข้า”

“เจ้าสองคนกำลังร่วมมือกันจริงๆ” ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจ แต่การกระทำของพวกเขาดึงดูดความสนใจของผู้ที่เฝ้ามอง หลายคนกำลังมองดูอยู่อย่างเงียบ ๆ

ผู้คุ้มกันของหวังจิ่นหลิงเอนตัวไปและกระซิบบางอย่างที่หูของเขา สีหน้าหวังจิ่นหลิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาไอออกมาเบา ๆ เสียงนี้ดึงความสนใจของทุกคนกลับมาที่หวังจิ่นหลิงอีกครั้ง

“ฟู่……ข้ากลัวแทบตาย” เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าหายใจเพราะกลัวจะถูกพบ บรรยากาศของตระกูลหวังนั้นเคร่งเครียดมากพอแล้ว นางไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมจริงๆ

เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กอดนางแน่นขึ้นแล้วจดจ่ออยู่กับการดูละคร นอกจากผู้อาวุโสสองสามคนนั้นแล้ว ไม่มีใครสักคนที่ไม่หวาดกลัวเพราะแรงกดดัน

อย่าคิดว่าหวังจิ่นหลิงไร้ความโมโห หรือไม่ฆ่าคน เพราะเมื่อเขานั่งอยู่ที่นั่น ท่าทางสงบและผ่อนคลายของเขาก็สามารถทำให้ทุกคนตกใจมากจนไม่กล้าพูด

“หัวหน้าตระกูล บัดนี้ถึงเวลาประกาศงานเลี้ยงแล้วหรือไม่?” หวังจิ่นหลิงกระแอมออกมา จึงมีคนกล้าออกมาเอ่ยเช่นนี้กับเขา ด้วยหวังว่าหวังจิ่นหลิงจะสับสนและปล่อยเรื่องนี้ไป ท้ายที่สุดแล้วทุกคนล้วนมาจากตระกูลหวัง สายเลือดเดียวกัน……

“งานเลี้ยง? ใกล้ถึงเวลาแล้ว ได้เวลาเริ่มงานเลี้ยงแล้วล่ะ น้องเจ็ดเล่าอยู่ที่ใด? ไปเชิญคุณชายเจ็ดมาสิ” หวังจิ่นหลิงกล่าวออกมาอย่างจริงใจ แต่การเอ่ยในนี้ทำให้ทั้งตระกูลยิ่งลำบากใจ

หวังจิ่นหลิงร้ายกาจจริงๆ เขารู้ทุกอย่าง แต่ยืนกรานที่จะไม่พูดอะไรฟังไปดูดี แต่กลับทำลายความหวังสุดท้ายของบางคนลง

“เอ่อ……” เหอซีหนีทำตัวไม่ถูก

“เกิดอะไรขึ้นหรือ? บิดาของข้าได้รับบาดเจ็บในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า ส่วนน้องชายของข้าก็หายตัวไปในงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าด้วย? หรือเพราะเขาเป็นพี่น้องสายตรงของข้า ดังนั้นเขาจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะมาที่นี่?” หวังจิ่นหลิงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วตบลง ทุกคนพากันหวาดกลัว

“ท่านหัวหน้าตระกูล……” มีใครบางคนตะโกนออกมาด้วยใบหน้าเศร้าโศก หวังซ่านและคนอื่นๆ ยิ่งทำตัวไม่ถูก พวกเขาดูเหมือนเด็กที่ทำผิดพลาด ยืนก้มหัวให้รุ่นลูกหลาน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว

หวังจิ่นหลิงยังไม่ตาย สิ่งที่พวกเขาทำในคืนนี้คือการก่อกบฏ ซึ่งถือเป็นการทรยศในตระกูลหวัง ตอนนี้พวกเขาหวังเพียงว่าหวังจิ่นหลิงจะปล่อยพวกเขาไป ยังให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหวัง

“หัวหน้าตระกูล? สายเกินไปแล้วหรือเปล่าหากจะเรียกเอาตอนนี้? เหตุใดเจ้าถึงจำไม่ได้ว่าข้าเป็นหัวหน้าตระกูลเมื่อเจ้าทำร้ายบิดาของข้า เหตุใดจึงจำไม่ได้ว่าข้าเป็นหัวหน้าตระกูลหวังยามที่เจ้าลงโทษน้องชายข้า?” หวังจิ่นหลิงเงยหน้าขึ้นมองทุกคน

บางคนในห้องโถงของยังคงเป็นกลาง แต่ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายเดียวกับลุงหวัง วางแผนที่จะวางยาพิษให้เขาตาย

ทำไมคนในครอบครัวเดียวกันจึงไม่เคยคิดว่าเขาก็แซ่หวังตอนที่พวกเขาฆ่าเขา เมื่อนึกถึงสิ่งที่เสด็จอาเก้าพูดเกี่ยวกับจิ่นหาน จู่ๆ หวังจิ่นหลิงก็หมดความอดทนและโบกมือขึ้น “ลากตัวออกไป อย่าทำให้ที่ดินของข้าสกปรก ”

“หัวหน้าตระกูล ท่านหัวหน้าตระกูล เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้าฆ่าเราไม่ได้ หัวหน้าตระกูล หัวหน้าตระกูล เจ้าจะฆ่าเราไม่ได้ ท่านปู่ ช่วยด้วย ช่วยด้วย” ทันทีที่หวังจิ่นหลิงพูดจบ ลูกหลานของทั้งสามก็คุกเข่าลงบนพื้น ร้องขอความเมตตาต่อชายชราคนหนึ่ง

ตุบๆ……มีคนจำนวนมากคุกเข่าอยู่ในห้องโถง ลุงหวังก็คุกเข่าลงร้องไห้และยอมรับความผิดพลาดของเขาเช่นกัน

ชายชราผมขาวไม่แสดงสีหน้าใด ในขณะที่หวังจิ่นหลิงเพียงยิ้มแต่ไม่ได้พูด ดวงตาของเขายิ้มขึ้นทว่าไร้ร่องรอยของความอบอุ่น ทุกคนเข้าใจการตัดสินใจของหวังจิ่นหลิงดี และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้

จากคำพูดของหวังจิ่นหลิง หวังซ่านกับและคนอื่น ๆ รู้ว่าหวังจิ่นหลิงรู้ทุกสิ่งที่พวกเขาวางแผนไว้เป็นความลับ แต่ถึงอย่างนั้นหวังจิ่นหลิงก็ยังสามารถพูดคุยและหัวเราะได้โดยไม่เสแสร้ง ต้องขอบอกว่าสภาพจิตใจของชายคนนี้แตกต่างจากคนทั่วไปและเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

หวังซบและคนอื่น ๆ พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อควบคุมร่างกายที่สั่นเทาของพวกเขา พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่หวังจิ่นหลิงกำลังจะทำในเวลานี้พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้ แต่เมื่อพวกเขากำลังรอความตาย พวกเขาก็พบว่า……

“เอ๋อ พวกเขามิได้จับเรา”

คนที่หวังจิ่นหลิงนำมา เข้าไปดึงพวกคนที่ลุงหวังพามาออกไปทีละคนแล้วลากพวกเขาโยนทิ้ง ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ไม่ต่อต้าน แต่พวกเขาถูกอีกฝ่ายควบคุมเมื่อพวกเขาต่อต้าน

ในไม่ช้า คนของลุงหวางก็ถูกกวาดล้างสิ้น ใบหน้าของลุงหวางซีดเซียว เขาเอาแต่ร้องขอความเมตตา เฟิ่งชิงเฉินหันหน้าหนีด้วยความดูถูกเหยียดหยาม ความสามารถเพียงเล็กน้อยของเขาเช่นนี้ ยังกล้าที่จะต่อสู้กับหวังจิ่นหลิง ไร้สมองสิ้นดี

ผู้ที่เข้าข้างลุงหวังต่างพากันยินดี ตอนที่พวกเขาคิดว่าหวังจิ่นหลิงจะไว้ชีวิตพวกเขาเพื่อหน้าตาของตระกูล หวังจิ่นหลิงก็ออกคำสั่งว่า “จดรายชื่อไว้แล้วขับไล่คนเหล่านี้พร้อมลูกหลานของพวกเขาออกจากตระกูลหวัง เมื่อถึงวันบูชาบรรพบุรุษ จงบอกไปยังตระกูลหวังทุกคนที่จิ่วโจว คนเหล่านี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขับไล่ออกจากตระกูล ต่อจากนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราอีก”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปทำให้ทุกคนตกตะลึง หลังจากที่หวังจิ่นหลิงจากไป หวังซ่านและคนอื่นจึงรู้สึกตัวและน้ำตาไหลออกมา

“หัวหน้าตระกูล หัวหน้าตระกูล เราต้องการพบหัวหน้าตระกูล”

“จิ่นหลิง จิ่นหลิง ลุงผิดไปแล้ว ลุงผิดไปแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตลุงด้วย”

“หัวหน้าตระกูล โปรดยกโทษให้ข้าด้วย โปรดยกโทษให้ข้าด้วย……”

การถูกไล่ออกจากตระกูลหวังเป็นเรื่องที่น่าสังเวช หวังจิ่นหลิงต้องการประกาศออกไป โดยบอกว่าพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับใครอีก เป็นการเตือนทุกคนว่าใครก็ตามที่กล้าช่วยพวกเขา จะเป็นศัตรูของตระกูลหวัง

ไม่มีบ้าน ไม่มีที่ดิน ไม่มีที่ห้อง ไม่มีเงิน พวกเขาจะอยู่ได้อย่างไร หวังจิ่นหลิงต้องการให้พวกเขาตาย แต่ก็ไม่อยากถูกประนาม

ผู้อาวุโสหลายคนมองหน้ากัน ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาไม่คิดว่าจะมีความมั่นใจที่จะโน้มน้าวหวังจิ่นหลิงผู้แข็งแกร่งได้ ท่าทีของหวังจิ่นหลิงในวันนี้เพื่อต้องการบอกว่า เขาจึงจะกุมอำนาจไว้ในมืออย่างแท้จริง

“จบแล้ว น่าเบื่อจริง” เฟิ่งชิงเฉินไม่พอใจเท่าไรนัก คู่ต่อสู้อ่อนแอเกินไป ไม่สนุกเอาเสียเลย

“นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ไปกันเถอะ ไปหาหวังจิ่นหลิงเพื่อดื่มฉลองกัน” เสด็จอาเก้าอุ้มเฟิ่งชิงเฉินขึ้น แล้วไปยังทิศทางที่หวังจิ่นหลิงหายตัวไป……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 885 ดูละคร นองเลือดวันข้ามปี

ไม่ต้องพูดถึงหากเป็นคนอื่น แม้แต่เสด็จอาเก้า ตี๋ตงหมิงก็โกรธมากที่เขาต้องไปทำงานในวันส่งท้ายปีเก่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอย่างแน่นอน

ตี๋ตงหมิงใบหน้ามืดมนเหมือนมัฉจุราช หลังจากที่เขานำกองทหารเข้ามา เขาก็ไม่แม้แต่จะมองไปทางเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน เขาชี้ไปยังหน่วยกล้าตายและทหารยามที่กำลังต่อสู้ ก่อนจะออกคำสั่งอย่างเลือดเย็น “ผู้ใดตั้งใจจะสังหารเสด็จอาเก้า จงจัดการพวกมันทั้งหมด ส่วนพวกที่คัดค้าน จะถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี!”

“รับทราบ!” ทหารที่นำโดยตี๋ตงหมิงนั้นไม่ใช่ทหารหน้าใหม่ที่ใช้ในการลาดตระเวนเมืองในระหว่างวัน แต่เป็นทหารผ่านศึกที่เคยอยู่ในสนามรบจริง ๆ ทหารผ่านศึกเหล่านี้รู้วิธีการเผชิญหน้ากับหน่วยกล้าตายของตระกูลหวัง ข้อได้เปรียบคือคนจำนวนมาก พวกเขารวมตัวกันเป็นวงกลม จับมือกับผู้คุ้มกันจวนเฟิ่งและเสด็จอาเก้า โจมตีจากรอบด้าน ค่อยๆ ทรมานอีกฝ่าย

ทหารผ่านศึกเหล่านี้ไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ แต่ทุกครั้งที่ใช้ดาบฟาดฟันช่างเป็นกระบวนท่าสังหารอย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถปราบหน่วยกล้าตายได้ในเวลาอันสั้น แต่ก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้เสียเปรียบมิน้อย วงล้อมการต่อสู้เล็กลงเรื่อย ๆ หน่วยกล้าตายถูกล้อมรอบอยู่ตรงกลาง เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าความพ่ายแพ้ของหน่วยกล้าตายเป็นเรื่องของเวลาไม่ช้าก็เร็ว

เฟิ่งชิงเฉินปล่อยมือที่ถือปืนไว้ ตอนนี้นางมีเวลาว่างไปหาตี๋ตงหมิง นงต้องการทักทาย แต่……

บัดนี้ตี๋ตงหมิงใบหน้ามืดมนยืนอยู่นอกวงล้อม เขาออกคำสั่งต่อทหารทั้งหลายอย่างกล้าหาญเคร่งขรึม หากผู้อื่นเห็นพวกเขา จะต้องยกย่องเขาสำหรับความกล้าหาญ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับอยากหัวเราะ

นึกภาพออกหรือไม่ หากตี๋ตงหมิงที่ชอบกระโดดโลดเต้นกลายมาเป็นเช่นเสด็จอาเก้า ให้ความรู้สึกเหมือนเด็กสวมชุดผู้ใหญ่ซึ่งดูมีความสุขมาก

เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปยังพื้นดินขรุขระซึ่งตี๋ตงหมิงยืนอยู่ นางฝืนยิ้มขึ้นว่า “ท่านซื่อจื่อ ท่านเป็นศัตรูกับพื้นดินในจวนของข้าหรือ?”

“เฟิ่งชิงเฉิน ข้ากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ เจ้าอย่ามาขัดขวางข้า” ตี๋ตงหมิงกล่าวอย่างเคร่งขรึมด้วยน้ำเสียงห้วนๆ เต็มไปด้วยอำนาจอย่างเป็นทางการ

เฟิ่งชิงเฉินไว้หน้าเขา นางซ่อนรอยยิ้มของตนลงแล้วพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”

“เหอะๆ……” ตี๋ตงหมิงหันศีรษะไปทางอื่นด้วยความโกรธ แน่นอนว่าเขาจะไม่ลืมมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน

เข้าใจอะไรกัน ไม่เห็นหรือว่าเขาไม่พอใจ จะพูดเอาใจเขาหน่อยไม่ได้หรือ

ให้ตายเถอะ วันส่งท้ายปีเก่ายังไม่สามารถพักผ่อนได้ ในตอนแรกเขามีความสุขที่ไม่ต้องเข้าวังเพื่อไปงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่านี้ แต่เขาไม่อยากได้รับ คำสั่งด่วนจากเสด็จอาเก้า ให้เขานำกองทหารไปลาดตระเวนรอบ ๆ จวนเฟิ่งเพื่อเข้าควบคุมหากมีเรื่องฉุกเฉิน

เรื่องฉุกเฉินอะไรกัน เสด็จอาเก้า เจ้าเพียงต้องการให้ทุกอย่างราบรื่นไร้ข้อสะดุด เหตุใดข้าต้องมาที่นี่ในวันส่งท้ายปีเก่าด้วย! ทั้งพาผู้คนไปตรวจตราตามท้องถนน ในขณะที่เจ้ามีอยู่กับหญิงงาม แต่ข้าทำได้เพียงเผชิญหน้าถูกลมหนาวพัดโชย โลกนี้ยังมีความยุติธรรมหรือไม่?

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ตี๋ตงหมิงก็หันกลับมาอีกครั้ง มองเสด็จอาเก้าอย่างแข็งขัน เสด็จอาเก้าเจ้าเก่งเหลือเกิน ทำให้เขาไม่ได้หยุดงานแม้ในวันข้ามปี

ฮ่าๆ……ท่าทางงุ่มง่ามของตี๋ตงหมิงนั้นดูตลกยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ตี๋ตงหมิงแทบกระโดดเข้ามาด้วยความโมโห “เจ้าหัวเราะอะไรกัน! หากเจ้ายังหัวเราะอีก ข้าจะจับเจ้า ข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่”

“ไม่ขำ ข้าไม่ขำก็ได้ ซื่อจื่อ ยกโทษให้ข้าด้วย ซื่อจื่อเป็นผู้สูงส่งจิตใจดี เรื่องเพียงแค่นี้อย่าสนใจข้าเลย” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะ ต้องการที่จะก้าวไปเกลี้ยกล่อมตี๋ตงหมิงว่าอย่าโกรธ แต่เสด็จอาเก้าเข้ามาห้ามขา “อย่ายุ่งกับงานของตี๋ซื่อจื่อ ที่นี่นองเลือดเกินไป ไม่เหมาะกับสตรีอย่างเจ้า แค่มีตี๋ซื่อจื่อก็พอแล้ว”

เมื่อกล่าวจบ เขาไม่รอให้ตี๋ตงหมิงตอบสนอง กลับจับมือเฟิ่งชิงเฉินแล้วเดินออกไปทันที เมื่อตี๋ตงหมิงได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง เขาเห็นเพียงด้านหลังของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเดินจากไป ตี๋ตงหมิงโกรธจนกระทืบเท้าปึง…..

“เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว ทำไมเล่า ทำไมกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องของตระกูลเฟิ่งแท้ๆ แต่พวกเจ้ากลับเดินทางจากไป ปล่อยให้ข้าจัดการตามลำพัง”

ฮือๆ ……ตี๋ตงหมิงต้องทนทุกข์ทรมาน เขาร้องไห้อย่างไร้น้ำตา ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างมองตี๋ตงหมิงด้วยความเห็นอกเห็นใจแล้วก้มศีรษะลงอย่างเงียบ ๆ

ซื่อจื่อ ไม่มีประโยชน์ที่จะหงุดหงิดเช่นนี้อีกต่อไป เมื่อพบเข้ากับเสด็จอาเก้า เจ้าควรจะยอมรับชะตากรรมของตนอย่างว่าง่าย

ทุกคนจากไปแล้ว ตี๋ตงหมิงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับชะตากรรมของจน แต่เขาโกรธมาก โกรธจริงๆ ใครจะรู้ว่าจะต้องมารับงานหน้าที่ลำบากใจนี้ตอนตรุษจีน แต่ผู้บังคับบัญชาที่ออกคำสั่งกลับจากไปหน้าตาเฉย ตี๋ตงหมิงโกรธมากจนไม่รู้จะระบายความโกรธอย่างไรดี เมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้เขาก็ยิ่งโกรธ เขาชี้ไปที่หน่วยกล้าตายแล้วสั่งอย่างโมโหว่า “ฆ่าพวกมัน อย่าปล่อยไป ฆ่าพวกมันให้หมดอย่าเหลือใครรอด”

“รับทราบ” การเชื่อฟังคำสั่งเป็นหน้าที่ของทหาร แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจในคำสั่งของตี๋ตงหมิง แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธ

อย่างที่เสด็จอาเก้ากล่าวไว้ ฉากต่อไปนี้นองเลือดมาก ไม่ว่าจะเป็นหน่วยกล้าตายหรือองครักษ์และทหาร ล้วนไม่ต้องมีความเมตตา การต่อสู้ครั้งนี้ ต้องตายกันไปข้าง

เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินไปที่รถม้า คนขับรถม้ายกแส้ขึ้นบังคับโดยไม่ต้องรอคำสั่ง รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในยามค่ำคืน เสด็จอาเก้านั่งในรถเหยียดขาออก กินพื้นที่สองในสามของรถม้า จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้เฟิ่งชิงเฉินนอนลงบนตักของเขา

มีที่นั่งไม่มากนักในรถม้า เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากนั่งลำบาก นางจึงนอนลงบนตักของเสด็จอาเก้าอย่างอ่อนโยน เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่นางที่ขาชา

“เจ้าจะพาข้าไปไหน?” เฟิ่งชิงเฉินถามอย่างเกียจคร้าน วันนี้นางเหนื่อยเล็กน้อยหลังจากยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน ในไม่ช้านางก็ดูง่วง เพื่อแสดงให้เห็นว่านางยังไม่หลับ เฟิ่งชิงเฉินจึงเบี่ยงเบนความสนใจของเขา

เสด็จอาเก้าเหมือนกำลังเกลี้ยกล่อมเด็กๆ เขาลูบหลังเฟิ่งชิงเฉินเบาๆ “เจ้าถามเอาป่านนี้ ไม่สายเกินไปหรือ?”

“แม้นสายเกินไปข้าก็ต้องถาม เจ้าจะพาข้าไปไหน”

“พาเจ้าไปดูละคร” เสด็จอาเก้าตัดสินใจขึ้นชั่วคราว เพื่อช่วยเฟิ่งชิงเฉินให้ออกจากการอยู่ในจวนเฟิ่งนองเลือด

เป็นเป็นเวลาปกติธรรมดายังไม่เท่าไร แต่การเห็นเลือดในช่วงตรุษจีนเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ในเวลานี้ลุงเสด็จอาเก้าคิดแต่เรื่องเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่สนใจคนอื่นเลย

“ไปดูละครอยู่หรือ ละครของใคร องค์หญิงเหยาหวา?” จิ่นสิงบอกว่าวันนี้เขาจะทำให้องค์หญิงเหยาฮวาต้องขายหน้า น่าเสียดายที่ข้าไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าวัง ไม่อย่างนั้นคงสนุกน่าดู” เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกเสียดาย

ชีวิตคนเรา ช่างโดดเดี่ยวเหมือนหิมะเสียจริง แต่ท้ายที่สุดก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้นางมีความสุขได้ แต่นางกลับมองไม่เห็นด้วยตาตัวเอง น่าเสียดายเหลือเกิน

“เจ้าอยากเห็นความอับอายของเหยาหวา?” เสด็จอาเก้าไม่ค่อยเชื่อนัก เพราะเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องคนอื่น หากนางต้องการเข้าวัง เพียงกล่าวออกมาก็พอ

“ข้าเบื่อ และไม่รังเกียจที่จะดู ข้ามีความสุขเมื่อเห็นเหยาหวาอับอาย” เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยซ่อนความร้ายในใจของนาง นางคือคนที่ต้องเอาคืนทุกความคับข้องใจ ดังนั้นใครทำนางแบบใด นางก็จะแก้แค้นด้วยวิธีการแบบนั้น จะให้นางนิ่งเฉยคงไม่ได้แน่นอน

นางรู้แค่ว่า หากทำให้นางไม่มีความสุข นางก็ทำให้ผู้นั้นมีความสุขไม่ได้เช่นกัน

“เหยาหวาเสียหน้าจริง ๆ แต่ก็ไม่มีอะไรให้ดูนัก การต่อสู้ระหว่างสตรีก็แค่ความขายหน้า ไม่มีอะไรนอกจากนี้”

“เกิดอะไรขึ้นบ้าง? เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ” เฟิ่งชิงเฉินหันศีรษะไปด้านข้าง มองไปทางลุงเสด็จอาเก้ารอให้เขาเล่า

เสด็จอาเก้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดออกมาว่า “ซูโหรวกล่าวในงานเลี้ยงว่า เหยาหวาสูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน ต่อมาเพื่อมิตรภาพระหว่างทั้งสองแคว้น ซูโหรวได้แสดงการร่ายรำต่อหน้าจักรพรรดิและขุนนาง ก่อนจะเอ่ยปากขอให้เหยาหวาออกมาถวายแด่จักรพรรดิตงหลิงด้วย ซึ่งฝ่าบาทก็ตกลง”

“การให้เหยาฮวาองค์หญิงผู้สง่างามร่ายรำต่อหน้าทุกคน นี่ไม่ใช่การตบหน้าราชวงศ์ซีหลิงหรือ? จักรพรรดิก็กระทำการมากเกินไป นี่เป็นการกลั่นแกล้งเหยาฮวา เพราะเสด็จพี่ของนางไม่อยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไร้คนสนับสนุนนางเบื้องหลัง”

ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยตาของตนเองก็เข้าใจได้ว่า เหยาหวาน่าอายเพียงใดในเวลานั้น องค์หญิงผู้สง่างามได้รับการปฏิบัติราวกับราวรำ นางยิ้มอย่างชั่วร้าย “แล้วท้ายที่สุด นางได้ออกมาร่ายรำหรือไม่?”

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท