นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 891 ข้าต้องการทุกสิ่งอย่าง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 891 ข้าต้องการทุกสิ่งอย่าง

ราวกับว่านัดหมายไว้ หวังจิ่นหลิงเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้แต่เนิ่นๆ โบกมือให้คนรับใช้ออกไป เขาไม่แปลกใจเลยที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินมาเยี่ยมโดยไม่ได้รับเชิญ บัดนี้ในลานบ้านมีเพียงพวกขาสามคน

หลังจากไม่ได้พบกับเขามาสักพัก หวังจิ่นหลิงน้ำหนักลดลงมาก อาจมองเห็นไม่ชัดจากระยะไกล แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ก็ตระหนักว่าเสื้อผ้าของหวังจิ่นหลิงหลวมโคร่ง ดวงตาลึกโบ๋

ช่วงเวลานี้ เขาไม่ได้มีเวลาพักผ่อนนัก

เฟิ่งชิงเฉินยังคงโกรธหวังจิ่นหลิง นางไม่พูดไม่จาตอนเดินเข้ามา นางยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เฝ้าดูหวังจิ่นหลิงและเสด็จอาเก้าสนทนากันเกี่ยวกับสิ่งที่นางไม่เข้าใจ

แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะกำลังคุยกับเสด็จอาเก้า แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ร่างของเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเฟิ่งชิงเฉิน หวังจิ่นหลิงก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี

เขามีความสุขที่เฟิ่งชิงเฉินห่วงใยเขา แต่เขาก็เสียใจที่เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจเขามากนัก หากเสด็จอาเก้าทำเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจะดุเสด็จอาเก้าอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่กับเขา

นี่คือความแตกต่างระหว่างเพื่อนกับคนรัก และยังเป็นช่องว่างระหว่างเขากับเฟิ่งชิงเฉิน ท่าทางของหวังจิ่นหลิงดูมืดมน ไม่เหมือนเมื่อครู่ที่จัดการกับตระกูลหวังอย่างใจเย็น ท่าทางของเขาดูเฉยเมยเรียบง่าย โดยเรียกให้เสด็จอาเก้านั่งลงแล้วรินสุราให้แก่เฟิ่งชิงเฉินด้วยตัวเอง

“ชิงเฉิน ข้าขอโทษเรื่องตระกูลหวัง ข้าทำให้เจ้าลำบาก และเรื่องของจิ่นหาน ข้าขอบคุณเจ้ามาก” หวังจิ่นหลิงยกแก้วขึ้นดื่ม แต่ปากของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น

เฟิ่งชิงเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางอ้าปากขึ้น แต่ก็กลืนคำพูดของตนลงไปในที่สุด นางดื่มสุราหมดแก้วในอึกเดียว “ข้ามิได้ลำบากหรอก ดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นไร สำหรับจิ่นหาน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ตื่นขึ้นมา ข้าพยายามรักษาเขาอย่างเต็มที่แล้ว แต่อาการของเขาไม่สู้ดีนัก หากเจ้าว่าง จะไปเยี่ยมเขาบ้างก็ดี”

แม้ว่าหวังจิ่นหานจะไม่ได้เป็นอัมพาต แต่การเคลื่อนไหวของเขาจะได้รับผลกระทบในอนาคตแน่นอน หากเขาต้องการที่จะเป็นเหมือนเดิม เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากเขาต้องการเดินได้ตามปกติ เขาจะต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพสักระยะหนึ่ง

“ข้าจะไปหาเขาโดยเร็วที่สุด เรื่องของจิ่นหานอาจรบกวนเจ้าด้วยช่วงนี้ เจ้าได้เห็นสถานการณ์ของตระกูลหวังแล้ว วันนี้มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ถูกลงโทษ ยังมีอีกหลายคนรอถูกจัดการ ครั้งนี้ข้าต้องกวาดล้าง ไม่ให้จิ่นหานได้รับบาดเจ็บโดยสูญเปล่า” เขาเกือบตาย ส่วนจิ่นหานก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาสูญเสียมากมายขนาดนี้ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้กลางคันแน่นอน นับประสาอะไรกับความเมตตาปราณี

เมื่อเห็นความเหนื่อยล้าและความขมขื่นในดวงตาของหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินก็หายโกรธ หวังจิ่นหลิงเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุดจากเหตุการณ์นี้ หากไม่มีวิธีอื่นหวังจิ่นหลิงก็จะไม่หมดหวังเช่นนี้แน่

“อย่าได้กล่าวว่าลำบากเลย จิ่นหานและข้าถึงอย่างไรก็เคยพบกันมาก่อน ข้าไม่คุ้นเคยกับการที่เจ้าที่ทำตัวห่างเหินเช่นนี้เลย” คราวนี้เฟิ่งชิงเฉินรินสุราให้แก่หวังจิ่นหลิงเอง

“เรื่องในอดีตจบลงแล้ว ปีใหม่กำลังจะมาถึง ทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อย ๆ” สุราแก้วก่อนหน้านี้คือคำขอโทษของหวังจิ่นหลิง และสุราแก้วนี้คือความเข้าใจของเฟิ่งชิงเฉิน

ตระกูลหวังไม่ใช่ตระกูลเฟิ่ง การแย่งชิงอำนาจของตระกูลหวังนั้นไม่น้อยไปกว่าของราชวงศ์ เป็นเรื่องปกติที่จะมีการนองเลือด ทุกตระกูลมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง วิธีการจัดการสิ่งต่าง ๆ ของหวังจิ่นหลิงก็คือสิ่งที่ตระกูลหวังต้องการ

“ชิงเฉินพูดถูก เราทุกคนจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ” ความเข้าใจของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ใบหน้าของหวังจิ่นหลิงมีรอยยิ้มขึ้น แม้ว่ารอยยิ้มจะยังคงจางๆ อยู่ก็ตาม

สำหรับหวังจิ่นหลิงในปีนี้ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรน่ายินดีเลยจริงๆ

ด้วยความเข้าอกเข้าใจของเฟิ่งชิงเฉิน หวังจิ่นหลิงจึงหันมาให้ความสนใจต่อเสด็จอาเก้า “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของเจ้าในเรื่องนี้ จินหลิงขอดื่มให้เจ้า”

หวังจิ่นหลิงรู้ว่าตระกูลหวางจะวางยาพิษเขาและได้เตรียมยาแก้พิษไว้ล่วงหน้า แต่เขาไม่คาดคิดว่าตระกูลหวางจะทำให้เขาหลับสนิท และยาแก้พิษสำหรับการนอนหลับสนิทนั้นมีเพียงเสด็จอาเก้าเท่านั้นที่มี

ครั้งนี้เสด็จอาเก้าช่วยเขาได้มากจริงๆ ถ้าเสด็จอาเก้าใจร้ายและปล่อยให้เขาตาย ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์

“มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น หากอยากขอบคุณข้าจริง ก็ควรเอาของมีประโยชน์มาตอบแทน” เสด็จอาเก้าดื่มหมดจอก จากนั้นกล่าวถึงเรื่องสำคัญในวันนี้

การไปดูฉากเด็ดเป็นการตัดสินใจเพียงชั่วครู่ แต่การเจรจาด้านการค้านั้นเขาคิดไส้เนิ่นนานแล้ว

หวังจิ่นหลิงพยักหน้า “เจ้าต้องการจำนวนที่นั่งของการสอบคัดเลือกหรือ?”

สิ่งที่ตระกูลหวางมี และสิ่งที่เสด็จอาเก้าต้องการ หวังจิ่นหลิงคิดไปคิดมา คาดว่าคงมีเพียงหนึ่งเดียว

“สิบที่นั่ง” การสอบคัดเลือกนี้เป็นครั้งแรกของตงหลิง จะจัดขึ้นหลังจากต้นฤดูใบไม้ผลิ นอกจากบัณฑิตที่สอบผ่านในมณฑลต่างๆ แล้ว ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับตระกูลชั้นสูง ด้วยสิทธินี้ บุตรหลานของตระกูลชั้นสูงสามารถเข้าร่วมการทดสอบได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกทีละชั้นตอน

จักรพรรดิต้องการนำบัณฑิตที่ยากจนมาใช้งาน แต่เขาไม่สามารถส่งบุตรหลานตระกูลขุนนางไปที่หุบเขาได้ จักรพรรดิจึงได้มอบสิทธินี้ให้แก่ตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลเข้าร่วมโดยตรงในการสอบ และยังให้ผู้มีชื่อเสียงเป็นคนแนะนำ เพื่อเอาใจตระกูลขุนนางและเอาใจพวกคนมีชื่อเสียงเหล่านั้น

“สิบคน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลหวางมีทั้งหมดกี่สิทธิ” ไม่ว่าหวังจิ่นหลิงจะนิ่งสงบเพียงใด ในขณะนี้เขาก็ตกใจกับเสด็จอาเก้าที่เอ่ยออกมาเช่นนั้น

มีคนหลายหมื่นคนในตระกูลหวัง บัณฑิตหนุ่มสาวมากมายหลายพันคน แต่มีสิทธิ์เพียง 30 สิทธิเท่านั้น ใน 30 สิทธิยังมี 10 สิทธ์ที่หวังจิ่นหลิงเอาไว้ให้ที่สำนักศึกษา แต่เสด็จอาเก้ากลับอยากได้จำนวนมากถึง 10 สิทธิ์ ช่างโหดเหี้ยมเหลือกเกิน

“ข้ารู้แค่ว่าตระกูลหวังมีจำนวนสิทธิ์มากที่สุด” เสด็จอาเก้าพูดอย่างชัดเจนว่าเขาต้องการ

เขาไม่อาจไปขอจากตระกูลชุย จักรพรรดิก็ไม่ต้องการใช้ตระกูลชุย ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ให้สักคนเดียว ตระกูลสูงมีตระกลหวังและตระกูลเซี่ยเป็นตัวนำ ตระกูลเซี่ยเชื่อฟังในจักรพรรดิ ต่อให้จักรพรรดิให้เพียง 10 คน ตระกูลเซี่ยก็ไม่กล้าแย่งชิง

สำหรับตระกูลหวัง แผนเดิมของจักรพรรดิคือให้มากกว่าตระกูลเซี่ย 1- 2 คน แต่หวังจิ่นหลิงแข็งแกร่ง ประกอบกับความสามารถและชื่อของหวังจิ่นหลิง ตระกูลหหวังยืนกรานจะเอา 20 คน

หวังจิ่นหลิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าจะใช้สิทธิ 10 คนนี้ซื้อคน”

“หลังจากเหตุการณ์นี้ ความแข็งแกร่งของตระกูลหวังได้รับความเสียหายมาก หากเจ้ามอบสิทธิ์ทั้งสิบนี้ให้กับผู้มาจากครอบครัวที่ยากจน พวกเขาจะขอบคุณตระกูลหวัง และจักรพรรดิจะปล่อยตระกูลวังไปชั่วคราว เจ้าคงรู้ชัดเจนว่าจักรพรรดิไม่ต้องการให้บัณฑิตของตระกูลชั้นสูงได้รับคัดเลือก” ตระกูลหวังสูญเสียทายาทสายตรงมากมายในทันที หากพวกเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคาดว่าคงจะยุ่งวุ่นวาย ตระกูลหวังควรจะพักหายใจ และควรเอาใจจักรพรรดิ

นี่คือกฎ

“เจ้าคิดเอาไว้แล้วก่อนหน้า ข้าจะเอ่ยสิ่งใดได้อีก 10ก็10” เห็นได้ชัดว่าเสด็จอาเก้าฉวยโอกาสแย่งชิง แต่เขาก็ยังทำเหมือนตนชอบธรรม ทำเหมือนว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว ซึ่งมันน่ารำคาญตาจริงๆ

เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ นางปอกเปลือกถั่วลิสงกินอย่างเชื่อฟัง กลับกลายเป็นผู้ชมที่มีคุณสมบัติพร้อม ต้องรู้ว่านี่คือฉากที่เสด็จอาเก้าต้องการให้นางดู และหวังจิ่นหลิงจะต้องเสียเปรีบแน่

หวังจิ่นหลิงเอาสิทธิการสอบนี้ให้เขา ทำให้วางใจลงมากทีเดียว แต่คิดไม่ถึงว่าจะเสด็จอาเก้าจะยังไม่พอใจ เขากล่าวต่อไปว่า “กำลังของหวังซ่าน หวังเหริน และหวังจื้อ และกับลุงหวังของเจ้าให้เข้าคุก”

ตระกูลหวังคนอื่นที่ถูกไล่ออกจากตระกูล ง่ายสำหรับหวังจิ่นหลิงที่จะจัดการกับพวกเขา แต่มีคนหนึ่งที่หวังจิ่นหลิงไม่อาจแตะต้องได้ นั่นคือลุงหวังเพราะได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิ และยังมีคนเหล่านั้นที่ลุงหวังนำมา

คนของจักรพรรดิ ใครบ้างกล้าแตะต้อง

“ร้านค้าในมือของพวกเขาเกือบครึ่งหนึ่งเป็นความมั่งคั่งของตระกูลหวัง”หวังจิ่นหลิงไม่แปลกใจเลย เสด็จอาเก้าชี้ให้เห็นชัดเจนในวันนี้ว่าเขาต้องการมากลืนกินตระกูลหวัง

“ทำลายแหล่งเงินเพื่อกำจัดพวกเขา ข้าต้องการสาบลับที่ซ่อนอยู่ในมือ หากเจ้าชื่นชอบร้าน เจ้าก็เก็บไว้” ในฐานะที่เป็นตระกูลใหญ่ที่มีพ่อค้ามากที่สุดของจิ่วโจว แน่นอนว่าพวกเขาทำการลักลอบค้าของเถื่อน ซึ่งอยู่ในมือของหวังซ่าน เป็นเส้นทางตงหลิงไปถึงซีหลิง

เป่ยหลิงเป็นสถานที่แห้งแล้ง แต่เสด็จอาเก้าให้ความสำคัญกับสถานที่นั้นมาก ผู้คนในเป่ยหลิงกล้าหาญและเก่งในการต่อสู้พวกเขายังสามารถยืนเคียงข้างตงหลิง ซีหลิงและหนานหลิง เห็นได้ชัดว่าเป่ยหลิงยอดเยี่ยมเพียงใด

“ร้านค้าในมือของพวกเขาขาดทุนในทุกๆ ปี” หวังจิ่นหลิงกำลังบอกเสด็จอาเก้าว่าอย่าได้เก็บไว้คนเดียว

“หากอยู่ในมือของเจ้า จะได้กำไรอย่างแน่นอน” เสด็จอาเก้าแสดงความคิดเห็นออกมา สาบลับของตระกูลหวัง เขาต้องเอามาให้ได้

ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดที่จะให้ปู้จิงหยุนหาเส้นทางใหม่ แต่ปู้จิ่งหยุนไปที่เป่ยหลิงแล้ว ชาวเป่ยหลิงไม่เชื่อคนอื่น หากจะเพียงติดต่อกันชั่วคราวก็พอได้ แต่จะติดต่อกับชั้นสูงของเป่ยหลิง คาดว่างคงต้องสิบยี่สิบปี

“ความแตกต่างระหว่างตระกูลหวังที่ตกอยู่ในมือของเจ้ากับมือของจักรพรรดิเป็นอย่างไร” หวังจิ่นหลิงเข้าใจจุดประสงค์ของประโยคนี้ของเสด็จอาเก้าดี นี่คือเส้นทางการหาเงินของตระกูลหวัง หากไร้สิ้นเส้นทางนี้ ทรัพย์สินของตระกูลหวังคงได้รับผลกระทบแน่

“จักรพรรดิจะเหยียบย่ำตระกูลหวังลงไปในโคลน เพื่อไม่ให้ตระกูลหวังยืนหยัดได้อีก หากข้าทำลายตระกูลหวังอาจะทำให้ตระกูลหวังผงาดขึ้นได้อีกครั้ง” เสด็จอาเก้าไม่ได้ปิดบังท่าทีของเขาที่มีต่อตระกูลหวัง

“ข้าต้องขอคิดดูก่อน” หวังจิ่นหลิงเข้าใจว่าสถานการณ์ของตระกูลหวังนั้นเหมือนกับน้ำมันปรุงอาหารในไฟที่กำลังร้อน แท้จริงแล้วกำลังอันตราย ทุกย่างก้าวต้องระมัดระวัง เพราะอาจถูกทำลายได้

“ไม่ต้องรีบร้อนไป วันปีใหม่กำลังจะมาถึงแล้ว ข้าไม่ขอรบกวนคุณชายใหญ่แล้ว ชิงเฉินไปกันเถอะ” เมื่อกล่าวเงื่อนไขออกไปแล้ว เสด็จอาเก้าจึงไม่ต้องการสนทนากับหวังจิ่นหลิงอีก เขาจูงมือชิงเฉินเดินจากไป

“เที่ยงคืนกำลังจะมาถึง พวกเจ้าจะอยู่กับข้าจนกว่าจะสิ้นปีในวันส่งท้ายปีเก่าไม่ได้หรือ” หวังจิ่นหลิงลุกขึ้นเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองอยู่ต่อ แต่สายตาของเขาจับจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน

เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เสด็จอาเก้าก้าวไปข้างหน้าตอบว่า “มีสมาชิกตระกูลหวังมากมายรออยู่ข้างนอก พวกเขายังคงรอให้คุณชายใหญ่ออกไปร่วมงาน ข้าและชิงเฉินไม่รบกวนคุณชายใหญ่อีก”

เสด็จอาเก้าไม่เปิดโอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินพูดเลย เขาอุ้มนางขึ้นแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคา

หวังจิ่นหลิงยืนอยู่ในลานบ้าน จ้องมองไปยังทิศทางที่เฟิ่งชิงเฉินจากไปด้วยความงุนงง

เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ยังมิยินยอม เสด็จอาเก้าเริ่มตระหนี่มากขึ้นเรื่อยแล้ว เขามักมายขึ้น เอ่ยปากขอร้องแต่ละเรื่องช่างใหญ่โตนักหนา

“คุณชาย ผู้อาวุโสหลายคนกำลังรอท่านอยู่ที่ห้องโถงเป็นเวลานานแล้ว ไม่ทราบว่าคุณชายจะไปได้เมื่อไหร่” องครักษ์ส่วนตัวของหวังจิ่นหลิงรออยู่ข้างนอกเป็นเวลาเนิ่นนาน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้ามาอย่างกล้าหาญ

หวังจิ่นหลิงจัดแจงเสื้อผ้าของเขา รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้า “แจ้งกับท่านผู้อาวุโส เปิดห้องโถงบรรพบุรุษ มีสิ่งใดค่อยสนทนากันต่อหน้าศาลบรรพบุรุษ”

ทุกสิ่งที่สนทนาตัดสินกันในศาลบรรพบุรุษ มิอาจแก้ไขใดๆ ได้ ครั้งนี้เขาจะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 886 สนม สตรีของจักรพรรดิวุ่นวายจริง

ทุกคนบนโลกล้วนชอบสตรีที่บริสุทธิ์อ่อนโยน แต่เสด็จอาเก้าชอบความเย็นชาโหดร้ายของเฟิ่งชิงเฉิน ความใจดีและความอ่อนแอล้วนมีความหมายเหมือนกันกับความเสแสร้ง

หากมีคนตบแก้มซ้ายเรา แล้วต้องยื่นแก้มขวาให้ตบอีกหรือ? เหตุใดเราถูกตบหน้าแล้วยังต้องหาเหตุผลให้อีกฝ่าย? ไร้สาระสิ้นดี เฟิ่งชิงเฉินของเขาร้ายกาจแล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรนางก็น่ารัก

เสด็จอาเก้าแสดงรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาก้มศีรษะลงแล้วถามว่า “เจ้าหวังว่านางรำหรือไม่?”

“แน่นอน ข้าหวังว่านางจะออกมาร่ายรำ องค์หญิงร่ายรำหากได้มีบุญเห็น คงจะดียิ่งนัก” เฟิ่งชิงเฉินเสียใจจริงๆ หากนางรู้ว่ามีฉากที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ นางคงขอให้เสด็จอาเก้าพาตนเข้าไปในพระราชวังด้วย

องค์หญิงผู้ดูสูงส่งก่อนหน้า กลับมาสวมชุดเต้นรำ ร่ายรำท่ามกลางฝูงชน ทำท่าทางยั่วยวน

“น่าเสียดายที่เหยาหวาไม่ได้รำ” เสด็จอาเก้าสะกิดแก้มของเฟิ่งชิงเฉิน ช่างนุ่มนวลและรู้สึกดี

“อ้าว เหยาหวาไม่ได้ร่ายรำหรือ นางไม่กลัวจักรพรรดิจะโกรธหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินดูผิดหวัง หากนางร่ายรำจะวิเศษเพียงใด หากเหยาหวาเต้นรำในที่สาธารณะ ราชวงศ์ซีหลิงจะต้องละอายเพราะนางอย่างแน่นอน

“แน่นอนว่านางกลัว แต่นางกลัวจะถูกซีหลิงทอดทิ้งเสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม นางคิดว่าตนฉลาด แต่ท้ายที่สุดแล้วนางไม่เพียงแต่ทำให้ตงหลิงไม่พอใจ แต่ยังทำให้ซีหลิงไม่พอใจนางด้วย” เสด็จอาเก้านึกถึงคำพูดของซีหลิงเหยาหวา ประกายแสงวาบขึ้นในดวงตาของเขาแล้วหัวเราะเยาะ

สตรีที่ฉลาดเกินไปมักจะถูกเข้าใจผิดด้วยความฉลาดของนางเอง

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้น นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “บอกข้ามาเร็วว่าองค์หญิงเหยาหวาเอ่ยสิ่งใด”

ช่างเป็นวายร้ายตัวน้อยจริง ๆ นางกลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายหรือ เมื่อเห็นดวงตาที่สดใสของเฟิ่งชิงเฉินเสด็จอาเก้า เล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า “เหยาหวาไม่ได้ปฏิเสธ นางแค่เอ่ยเชิญองค์หญิงอันผิงให้ออกมาร่ายรำด้วย เพื่อมิตรภาพทั้งสองแคว้น”

“หา องค์หญิงเหยาฮวาช่างโง่เขลายิ่งนัก นางใช้องค์หญิงอันผิงเป็นเกราะกำบัง” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวด้วยความประหลาดใจ

เก้าฮ่องเต้ตบในหน้าของนางเบาๆ “หุบปากของเจ้าให้ดี อ้าปากใหญ่ขนาดนี้ไม่เหนื่อยหรือ องค์หญิงเหยาหวาไม่โง่ นางฉลาดมาก นางรู้ว่าจักรพรรดิจะไม่ให้อันผิงออกมาเต้นรำอย่างแน่นอน จึงกล่าวเช่นนั้น”

“แต่สิ่งนี้ทำให้จักรพรรดิและฮองเฮาไม่พอพระทัย หากพี่ชายนางอยู่ด้วยยังไม่เท่าไร แต่นี่เขาไม่ได้อยูด้วย ช่างน่าอายเหลือเกินที่จะกล่าวเช่นนี้” เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัว

เหยาหวาฉลาดมากและต้องการทำให้ทั้งสองฝ่ายพอใจ แต่นางหารู้ไม่ว่าหากนางต้องการทำเช่นนั้น ผลลัพธ์ที่ได้คือทั้งสองฝ่ายจะเกลียดนาง

“เจ้าพูดถูก นางไม่ควรมีความมั่นใจที่จะพูดแบบนั้นจริงๆ ฮองเฮากล่าวว่าองค์หญิงอันผิงเป็นผู้ที่รอแต่งงาน ไม่เหมาะที่จะแสดงเต้นรำในที่สาธารณะ นี่เป็นข้อแก้ตัวที่สุภาพ แต่เหยาหวาคิดว่าเป็นความคิดที่ดี นางเองก็กล่าวว่านางรอแต่งงานเช่นกัน ดังนั้นไม่สะดวกออกมาร่ายรำ” เสด็จอาเก้ากล่าวถึงตรงนี้ก็หัวเราะขึ้น

เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเหยาหวาทำให้เขาขบขัน

“ฮ่าๆ องค์หญิงเหยาหวานี่ช่าง…… นางได้เผยโฉมหน้าออกมาแล้ว เหตุใดนางจึงยังทำตัวเหมือนสตรีที่กำลังจะแต่งงาน องค์หญิงอันผิงเป็นสตรีที่รอแต่งงานจริง นางประพฤติตัวอย่างดี อยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหน ส่วนนางกลับไปเข้าร่วมงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่ายังกล้าบอกออกมาไม่ละอายใจ” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะ

องค์หญิงเหยาหวามั่นใจในตัวเองมากเกินไป นางคิดเสมอว่าสิ่งที่นางทำนั้นถูกต้อง นางเคยเข้าไปพัวพันกับตงหลิงจื่อลั่ว ถูกเล่าขานกันไป นางจึงคิดว่านางเพียงกำลังตามหารักแท้ ไม่ได้ทำอะไรผิด

การแต่งงานกับตงหลิงจื่อฉุนในตอนนี้เป็นเพียงการเสียสละเพื่อประเทศและความชอบธรรม นางไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าคำชมเหล่านั้นล้วนเป็นเพราะสถานะของนางในฐานะองค์หญิง ถ้านางไม่มีสถานะนี้ นางคงจมอยู่ในเล้าหมูถูกถ่วงน้ำนานแล้ว

“ดังนั้น ทันทีที่เหยาหวากล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็หัวเราะทันที แต่ก็สามารถหลีกเลี่ยงความอับอายในการแสดงระบำไปได้ ส่วนเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง ข้าไม่รู้ เพราะข้าออกจากงานก่อนกำหนด” หากไม่ใช่เพราะรอเรื่องเหยาหวาจบลง เขาคงจากไปนานแล้ว

หนานหลิงจิ่นสิงพยายามอย่างหนักเพื่อวางแผนนี้ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้อะไรเลย

“มันอาจไม่ใช่เรื่องดีนัก การกระทำของเหยาหวา ไม่ได้ปกป้องชื่อเสียงของซีหลิง และไม่ได้ประจบตงหลิง” เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัวถอนหายใจ นางรู้สึกว่าเหยาหวาไม่เข้าใจสถานการณ์เอาเสีนเลย แม้แต่นางที่ไม่รู้เรื่องในราชวังยังเข้าใจได้

ในฐานะองค์หญิงแห่งซีหลิง แม้ว่านางจะแต่งงานกับราชวงศ์ตงหลิง ไม่ว่านางจะยกยอปอปั้นราชวงศ์ตงหลิงมากเพียงใด นางก็จะไม่ได้รับความรักอย่างแท้จริงของจักรพรรดิแน่ ความชื่นชอบของจักรพรรดิที่มีต่อนาง เพราะชัยชนะที่แข็งแกร่งของซีหลิงต่างหาก

ตราบใดที่ซีหลิงได้รับชัยชนะ จักรพรรดิแห่งซีหลิงจะให้ความสำคัญกับนางในฐานะบุตรสาว แม้นางจะซุกซนและเอาแต่ใจเพียงใด จักรพรรดิแห่งตงหลิงก็จะตามใจนางอย่างแน่นอน

อำนาจกำหนดสถานะของตน พฤติกรรมตีสองหน้าของเหยาหวาเช่นนั้นไม่ฉลาดเอาเสียเลย แม้ว่านางต้องการความช่วยเหลือจากตงหลิง แต่นางก็ไม่ควรทำให้ซีหลิงขายหน้า สำหรับสำหรับสตรีเราแล้ว ยิ่งตระกูลฝั่งตนแข็งแกร่งเพียงใด ตระกูลสามีจึงจะเกรงใจเรามากเท่านั้น

เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินส่ายหัว เสด็จอาเก้าก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่และเปิดเผยความคิดของนางออกมาว่า “ราชวงศ์ซีหลิงไม่มีเวลามาสนใจนาง ฉากที่เจ้าอยากเห็นจึงไม่เกิดขึ้น”

แม้ว่าเขาจะส่งคนไปรายงานเรื่องของเหยาหวาต่อซีหลิงแล้ว แต่ซีหลิงกำลังยุ่งวุ่นวาย แม้ว่าพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็จะไม่สนใจอย่างแน่นอน

เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองเสด็จอาเก้าอย่างออดอ้อน “ข้าไม่ได้แย่เช่นนั้น อ้อจริงสิ เจ้าบอกว่าซูโหรวร่ายรำต่อหน้าฝ่าบาท หมายความว่าฝ่าบาทจะทรงรับนางเข้าวังหลังหรือ?”

“ซูโหรวคิดเช่นนั้น จักรพรรดิก็คิดเช่นนั้น คาดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในไม่ช้า” คำพูดของเสด็จอาเก้านับว่าเป็นการยอมรับ แม้ว่าจะไม่ได้รับสั่งออกไปทันที แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เข้าใจ

“แล้วการแข่งขันระหว่างข้ากับตระกูลซูเล่า? เรายังต้องแข่งขันอีกสนาม” การแข่งขันนี้ดำเนินไปเป็นเวลานานผิดปกติ เมื่อนึกถึงเงินพนันจำนวนมาก หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินก็ปวดร้าว

เงินก้อนโตขนาดนี้ ถ้าคิดดอกเบี้ยจะได้มากมายเพียงไรกัน

“แข่งสิ แน่นอนว่าต้องมีการแข่งขันต่อ การปะทะกันในหนานหลิงทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จักรพรรดิไม่จำเป็นต้องกีดกันองค์ชายจากหนานหลิง การแข่งขันควรจะจบลงแล้วในไม่ช้า”

การแข่งขันระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและตระกูลซู เป็นการทดสอบชื่อเสียงของตระกูลซู แต่สำหรับจักรพรรดิและหนานหลิงจิ่นฝาน เป็นเพียงการอำนวยความสะดวกให้หนานหลิงจิ่นฝานอยู่ในตงหลิงอย่างเปิดเผยเท่านั้น

จักรพรรดิต้องการให้หนานหลิงจิ่นฝานอยู่ในตงหลิง ดังนั้นการแข่งขันจึงต้องเลื่อนออกไป หากจักรพรรดิไม่ต้องการให้หนานหลิงจิ่นฝานอยู่ในเมืองหลวง การแข่งขันก็ควรจบลง ทุกอย่างควบคุมโดยจักรพรรดิ

“ยังเป็นข้าแข่งกับกับซูโหรวหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกปวดหัวเมื่อนึกถึงงู

ซูโหรวนั้นเก่งกว่าหว่านมาก นางบรรลุความปรารถนาของนางได้ในช่วงเวลาอันสั้น กลายเป็นสนมของจักรพรรดิตามหวัง แต่ไม่รู้ว่าหากไม่มีตระกูลซูแล้ว ซูโหรวจะยังรังควานนางอีกหรือไม่

แต่ต่อให้ซูโหรวไม่ได้กำหนดเป้าหมายมาที่นาง นางก็ไม่อาจมีวันลืมได้ว่าซูโหรวใช้ทักษะนั้นกับนาง และในที่สุดก็มีโอกาสสะสางบัญชีสักที

“อืม นางจะเข้าไปในพระราชวังหลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง” ซูโหรวต้องการการแข่งขันเพื่อเพิ่มเงินของนาง อยู่ในตงหลิง ตระกูลซูไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ซูโหรวจึงทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น

“เช่นนั้นข้าควรชนะหรือแพ้เล่า? หากข้าแพ้ จักรพรรดิจะเสียหน้าหรือไม่?” ซูโหรวเป็นเพียงบุตรสาวในตระกูลซู การจะได้ครองตำแหน่งเป็นพระสนมของจักรพรรดิเป็นเรื่องยาก

“ชนะสิ เจ้าต้องชนะ หากเจ้าพ่ายแพ้ หนานหลิงจิ่นฝานคงหัวเราะเราะ เขาเดิมพันด้วยเงินจำนวนมาก พนันว่าตระกูลซูจะชนะเจ้าหนึ่งรอบ” หนานหลิงจิ่นฝานคิดว่าเขาควบคุมการแข่งขันได้ แต่เขาไม่เคยรู้ว่าอำนาจนั้นไม่เคยเป็นของเขา

ไม่เพียงแต่จักรพรรดิ แม้แต่เขาก็ไม่อนุญาตให้หนานหลิงจิ่นฝานทำเช่นนั้น ครั้งนี้เขาต้องการให้หนานหลิงจิ่นฝานกระอักเลือดและสูญเสียมากจนเขาไม่มีโอกาสลุกขึ้นยืนได้อีก……

ปล.

ฉิน ชิงเฉินชนะ

หมากรุก ยังไม่ทราบ

คัดลายมือ ชิงเฉินชนะ

ภาพวาด ชิงเฉินชนะ

มารยาท ชิงเฉินแพ้

การรักษา ชิงเฉินแพ้

ศิลปะการต่อสู้ ชิงเฉินแพ้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท