นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 892 ของขวัญ ขอให้ฮูหยินอายุยืนพันปี
หลังกลับมาจากตระกุลหวัง เสด็จอาเก้าไม่ได้ส่งเฟิ่งชิงเฉินกลับไปที่จวนเฟิ่ง แต่พานางไปที่จวนอ๋องเก้า
เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่บนรถม้า นางสนทนากับเสด็จอาเก้าอย่างเบื่อหน่าย เล่นผมของเสด็จอาเก้าไปเรื่อย โดยไม่รู้ว่าทิศทางนั้นไม่ถูกต้อง เมื่อนางลงจากรถม้าก็สายเกินไปแล้ว เพราะคนขับขับรถม้าตรงเข้าไปที่ในจวนโดยไม่หยุดลง
“ข้าจะกลับที่จวนเฟิ่ง” เฟิ่งชิงเฉินหันมาเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้า ที่เพิ่งลงจากรถม้า
เสด็จอาเก้าติดนิสัยเอาแต่ใจ เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินยังไม่ได้โมโหมาก เขาจึงกล่าวว่า “อยู่ข้ามปีกับข้าที่นี่ก่อน แล้วข้าจะส่งเจ้ากลับในตอนเช้า จะไม่กินเวลาบูชาบรรพบุรุษของเจ้าแน่”
“กลับไปกลับมาเช่นนี้ เจ้าต้องการทรมานข้าจนตายหรือไร” หากไม่ใช่วันตรุษจีน เฟิ่งชิงเฉินก็อยากจะเตะเสด็จอาเก้าอย่างแรงสักที
ชายคนนี้คิดว่าทุกคนแข็งแกร่งเหมือนเขาหรือ แม้ว่านางมักจะนอนดึก แต่นี่คือวันตรุษจีน ในฐานะหัวหน้าตระกูล นางจึงยุ่งมาก
“ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเหนื่อย ไม่ต้องกังวลไป” เสด็จอาเก้าเกลี้ยกล่อมเฟิ่งชิงเฉินจนไปถึงห้อง
ความจริงเป็นดั่งที่เสด็จอาเก้ากล่าว เสด็จอาเก้าไม่ได้ทำอะไรเฟิ่งชิงเฉิน เขาแค่หวังว่าทั้งสองจะได้ฉลองปีใหม่ด้วยกัน นี่เป็นปีใหม่แรกที่พวกเขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน
วันรุ่งขึ้น เมื่อเฟิ่งชิงเฉินตื่นขึ้นมา นางพบว่านางกลับมาที่จวนเฟิ่งแล้ว หากไม่ใช่เพราะอั่งเปาก้อนโตที่วางอยู่ข้างหมอน เฟิ่งชิงเฉินคงสงสัยว่าเมื่อคืนนี้นางเดินทางไปที่จวนอ๋องเก้ามาหรือไม่
เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นและเปิดอั่งเปาดู ข้างในมีกระดาษซึ่งมีตัวอักษรที่นางคุ้นเคย
ข้าขออวยพรสามประการ ข้อแรก ข้าขอให้ภรรยาของข้ามีอายุยืนพันปี ข้อที่สอง ข้าขอให้ข้าสุขภาพแข็งแรง ข้อที่สาม ขอให้เราสองเคียงคู่กันไปตลอดกาล
“คู่กันไปตลอดกาล” เฟิ่งชิงเฉินย้ำคำนี้ในใจ นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ยิ่งหัวเราะนางก็ยิ่งมีความสุข สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะกลิ้งไปบนเตียง
นางรู้สึกว่าท่าทีของเสด็จอาเก้าจะน่ารักแค่ไหนตอนที่เขาเขียนคำเหล่านี้ บทกวีเช่นนี้เขียนในแนวของผู้หญิง แต่เสด็จอาเก้าเปลี่ยนแปลงไปสองสามคำให้เป็นแบบนี้ เขาตั้งใจมากจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหวานชื่น นางเก็บจดหมายนั้นลงอย่างระมัดระวังแล้วหยิบของอื่นในห่อสีแดงออกมา มีโฉนดที่ดินซึ่งเป็นจวนอีกแห่งของเสด็จอาเก้าอยู่นอกเมือง กำไลข้อเท้าดอกเหมย และปิ่นดอกเหมย
กำไลข้อเท้าดอกเหมยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดอกเหมยเล็กๆ สลักลงไปบนหยก ด้านนอกฝังด้วยทองคำเป็นชั้นๆ ทำอย่างประณีตดูเหมือนของจริงเมื่อมองจากระยะไกล
เสด็จอาเก้าน่าจะรู้ว่านางไม่ชอบสวมเครื่องประดับมากนัก โดยเฉพาะที่มือของนาง แม้ออกไปไหนนางก็จะไม่สวมเครื่องประดับที่มือ เพื่อให้สะดวกยามทำงาน เขาจึงเลือกที่จะให้กำไลข้อเท้าแก่นาง
เฟิ่งชิงเฉินลองสวมดู ขนาดกำลังพอดี ไม่ส่งผลต่อเกะกะข้อเท้าของนาง เฟิ่งชิงเฉินยังไม่อยากถอด แต่หากเฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าการที่เสด็จอาเก้ามอบกำไลข้อเท้าให้นาง เพราะเขาต้องการมองร่างทั้งร่างของเฟิ่งชิงเฉินสวมเพียงข้อเท้าของเขาเท่านั้น นางอาจเตะเสด็จอาเก้ากระเด็นได้
สำหรับปิ่นดอกเหมย เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่ามันสวยงาม วัสดุที่ใช้มีคุณภาพสูง มองออกว่ามันถูกแกะสลักโดยมือใหม่ ดูดีจากระยะไกล ทว่าดูใกล้ๆ จะพบรอยขีดข่วนเล็กๆ อยู่มากมาย
เมื่อนึกถึงเสด็จอาเก้าที่มักจะเก็บดอกไม้ให้นางตอนอยู่ซีหลิง เฟิ่งชิงเฉินก็เดาได้ว่าปิ่นดอกเหมยน่าจะเป็นฝีมือของเสด็จอาเก้าสลักเอง
“ของขวัญปีใหม่หรือ หึๆ” เฟิ่งชิงเฉินมองดูของในมือแล้วยิ้มออกมา คิ้วของนางเลิกขึ้นไม่อาจควบคุมได้
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในวันแรกของปีนี้เฟิ่งชิงเฉินเป็นไปตามที่เสด็จอาเก้าคิด นางมีความสุขมากจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินมองดูของขวัญอยู่เป็นเวลานาน โดยเฉพาะปิ่นดอกเหมย เฟิ่งชิงเฉินลูบไล้มันจนกระทั่งชุนฮุ่ยและชิวฮว่าเตือนนางว่าหากนางยังไม่ลุกขึ้น อาจจะเดินทางไปสายได้ เฟิ่งชิงเฉินจึงอนุญาตให้พวกนางเข้ามารับใช้
ชุดสำหรับใส่วันปีใหม่ต้องไม่เรียบง่ายเกินไป ปิ่นดอกเหมยอาจใช้ไม่ได้ แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกเสียดาย แต่นางก็เก็บปิ่นเอาไว้ใช้ในภายหลัง
วันตรุษจีนถือเป็นงานใหญ่สำหรับชาวจีน รายละเอียดต่างๆ จะพลาดไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรเตรียมก็ได้เตรียมไว้นานแล้ว สิ่งที่ควรกำชับนางก็กำชับไว้ก่อนนหน้า เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่ต้องปฏิบัติตามกฎ
แม้จะยุ่งมาก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็มีความสุข ในความคิดของนาง นี่จึงจะเป็นบรรยากาศของวันตรุษจีน ในจวนเฟิ่งเต็มไปด้วยเสียงอวยพรปีใหม่จากบ่าวรับใช้ทั่วทุกแห่งหน
แม้ว่านางจะอยู่คนเดียว แต่ในจวนเฟิ่งที่มีชีวิตชีวารื่นเริงเพียงนี้ ชิงเฉินไม่ได้รู้สึกเหงาเลย นอกจากนี้ยังมีซีหลิงเทียนอวี่อยู่กับนางด้วย
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็มีเวลาว่าง นางเป็นสตรีอายุน้อย บิดามารดาของนางเพิ่งถูกฝังไปได้ไม่นาน ดังนั้นนางจึงไม่ต้องออกไปกล่าวอวยพรปีใหม่ ดังนั้นจึงได้แต่อยู่ในจวน
เฟิ่งชิงเฉินก็มีความสุขในแบบของนาง หลังจากที่เดินทางไปดูหวังจิ่นหานแล้ว นางก็ได้ให้ผู้คุ้มกัน
ในฐานะเจ้าของบ้าน นางคิดว่าควรไปเอ่ยถามซีหลิงเทียนอวี่ที่เป็นแขกว่ามีสิ่งใดต้องการอีกหรือไม่ เมื่อนางเพิ่งจะนั่งลง ก็มีคนเข้ามารายงานว่าหนานหลิงจิ่นสิงเดินทางมา
“เวลานี้หรือ? เขาไม่ควรอยู่ในวังหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามซีหลิงเทียนอวี่ ซีหลิงเทียนอวี่รู้เรื่องนี้ดีกว่านาง
“งานเลี้ยงในวังไม่ใช่ทุกคนจะชื่นชอบ คาดว่าเพราะเหยาหวาไม่ได้เข้าไปในวัง ดังนั้นหนานหลิงจิ่นสิงจึงไม่ได้ไปที่นั่นด้วย” มุมปากของซีหลิงเทียนอวี่เผยอขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะต้องนั่งรถเข็นในวันตรุษจีนก็ตาม แต่ก็ไม่อาจซ่อนอารมณ์ดีของเขาได้
ซีหลิงเหยาหวาและซีหลิงเทียนหเล่ยอทจไม่มีความสุข แต่เขามีความสุขมาก
“ก็ดี มื้อเย็นมีองค์ชายของทั้งสองแคว้นร่วมกินด้วย ข้าก็นับว่าปีนี้ไม่ธรรมดาเลย” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นอย่างมีความสุขแล้วนึกถึงเรื่องของเหยาหวาขึ้นอีกครั้ง
เฟิ่งชิงเฉินให้คนรับใช้ไปเชิญหนานหลิงจิ่นสิงเข้ามาข้างใน กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคนที่นางไม่คาดคิด
“พี่สาว สวัสดีปีใหม่ ข้ามาอวยพรเนื่องในปีใหม่” ก่อนหน้านี้หนานหลิงจิ่นสิงไม่ค่อยยินดีเรียกเฟิ่งชิงเฉินว่าพี่เท่าไรนัก เพราะต้องใช้ความกล้าไม่น้อยที่จะเรียกคนอายุน้อยกว่าตัวเองว่าพี่ แต่ตอนนี้เขาเรียกว่าพี่สาวได้อย่างคล่องแคล่วสามารถดึงความสัมพันธ์ทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เฟิ่งชิงเฉิน ไม่สนใจหนานหลิงจิ่นสิง นางมองไปทางสตรีที่อยู่ด้านหลังเขา “แม่นางซูโหรว?”
นางรู้ว่าซูโหรวร่วมมือกับหนานหลิงจิ่นสิง และหนานหลิงจิ่นสิงช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าวังของนาง แต่นางไม่คาดคิดว่าหนานหลิงจิ่นสิงจะพาหล่อนมาที่จวนเฟิ่งในวันปีใหม่เช่นนี้
จุดประสงค์ชัดเจนในตัว
“คุณหนูเฟิ่ง ซูโหรวเดินทางมาที่นี่โดยกะทันหัน คุณหนูเฟิ่งโปรดอย่าถือสาข้า” ซูโหรวสังเกตเห็นท่าทีแสดงออกของอีกฝ่าย เมื่อนางเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินดูไม่พอใจนัก นางก็โค้งคำนับและทำความเคารพทันที หาได้มีความเย่อหยิ่งของคุณหนูตระกูลซู ความอ่อนโยนของนางทำให้ไม่อาจตำหนิได้
“ผู้เดินทางมาเยือนล้วนเป็นแขก คุณหนูซูโหรวเกรงใจมากไปแล้ว” แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยิ้ม แต่ก็เห็นได้ชัดว่ารอยยิ้มดูห่างเหิน หนานหลิงจิ่นสิงรีบก้าวไปข้างหน้า “พี่สาว อย่าโกรธไปเลย ข้าพาซูโหรวมาที่นี่เพราะคิดว่าหากมีคนมาก คงจะครึกครื้น”
“ใช่สิ มีคนมากจะครึกครื้น องค์ชายจากซีหลิงก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่คุณหนูซูโหรวไม่เหมาะที่จะพบปะกับชายภายนอกนัก ดังนั้นชิงเฉินจะไม่พาคุณหนูซูโหรวไปแนะนำ” เฟิ่งชิงเฉินชำเลืองมองที่หนานหลิงจิน
จุดประสงค์ของการพาซูโหรวมา ก็เพื่อถือโอกาสให้ซูโหรวขอโทษนาง เพราะทุกคนในเมืองหลวงรู้ว่าสนมเอกเซี่ยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางเป็นการส่วนตัว หากนางยินดีจะพาไปแนะนำ ซูโหรวคงจะปักรากลึกลงในวังหลังได้ ส่วนอีกจุดประสงค์ที่เดินทางมานั้น คาดว่าคงเป็นเพราะซีหลิงเทียนอวี่……
นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 887 ทบทวนเรื่องเก่า
ทั้งสองสนทนากันตลอดทาง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ถามเสด็จอาเก้าอีก ว่าเขาจะพานางไปดูละครที่ไหน จนกระทั่งรถม้าหยุดลง เฟิ่งชิงเฉินจึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“นี่เจ้าจะพาข้าไปไหน?”
“เจ้ามาถามเอาบัดนี้ ไม่คิดว่ามันสายไปหรือ?” เสด็จอาเก้ายังคงกล่าวประโยคเดิม เขาลูบศีรษะเฟิ่งชิงเฉินและส่งสัญญาณให้นางลงจากรถ
เฟิ่งชิงเฉินงอแง นางนอนบนตักของเสด็จอาเก้าไม่ยอมขยับ “หากเจ่ไม่บอกข้า ข้าจะไม่ลุก”
“หากเจ้าต้องการ เจ้าจะนอนเช่นนี้ก็ได้ หากเราอยู่ในรถม้าก็จะปลอดภัย มีทหารยามอยู่ข้างนอกคอยเฝ้า” เสด็จอาเก้ายืดขาของเขาและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่รอยยิ้มในดวงตาดูทรยศต่อเขา
กลางดึกกลางดื่นเช่นนี้ ชายหนุ่มหญิงสาวนั่งอยู่ในรถม้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่ส่งเสียงดังใดๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนคิดถึงฉากที่อยู่ด้านใน เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเสด็จอาเก้าจะกล่าวสิ่งใด แต่ในวันนี้นางเพิ่งรู้ว่าเสด็จอาเก้าแย่แค่ไหน
ผู้ชายคนนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินยอมรับว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเสด็จอาเก้า นางลุกขึ้นด้วยความโกรธ “หากเจ้าไม่พูดก็อย่าพูด อย่างไรเสียก็ถึงแล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาหยิกน่องของเสด็จอาเก้าอย่างแรง แล้วกระโดดลงจากรถม้าด้วยความรวดเร็ว สบตากับทหารยาม หูของทหารยามเปลี่ยนไปเป็นสีแดง เขาหดศีรษะลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองเฟิ่งชิงเฉิน
มีอะไรผิดปกติไป?
เฟิ่งชิงเฉินงุนงง จากนั้นจึงก้มลงดูเครื่องแต่งกายของนาง พบว่าเสื้อผ้าที่หน้าอกของนางยับยู่ยี่……
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไปทันที นางหันกลับมาอย่างรวดเร็วและหันหลังเพื่อจัดเสื้อผ้า
น่าอายเหลือเกิน!
ใบหน้าของสตรีผู้สูงศักดิ์ ถูกเสด็จอาเก้าย่ำยีหายไปอย่างสิ้นเชิง
“ข้าแค่อยากจะเตือนเจ้า แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าเคลื่อนไหวเร็วเช่นนี้” เสด็จอาเก้าก้าวออกจากรถม้า จัดแจงเสื้อผ้าของเขาเรียบแล้ว มีรอยยิ้มจางๆ ในดวงตาของเขาปรากฏขึ้น
การได้อยู่กับเฟิ่งชิงเฉิน แม้ว่าจะเป็นการทะเลาะกันแต่เขาก็มีความสุข ในที่สุดวันข้ามปีก็ดูน่าสนใจเล็กน้อย
“ชั่วร้าย” เฟิ่งชิงเฉินกลอกตามองเขา
หากไม่ใช่เพราะเสด็จอาเก้าครอบครองที่นั่งส่วนใหญ่ นางจึงนอนทับร่างของเสด็จอาเก้าทำให้เสื้อผ้าของนางยับมิใช่หรือ?
“เจ้าอารมณ์ร้อนยิ่งนัก ควรปรับเปลี่ยน” เสด็จอาเก้าลงจากรถม้า ดึงเฟิ่งชิงเฉินมาข้างหน้า ยื่นมือออกไปเพื่อจัดเสื้อผ้าและทรงผมของเฟิ่งชิงเฉินให้เรียบร้อย ในขณะเดียวกันก็กวาดตาไปบริเวณโดยรอบอย่างเย็นชา สายตาของเขาทำให้ทุกคนตกใจจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เขาจึงรู้สึกพอใจ
คนขับรถม้าอยู่ใกล้เสด็จอาเก้ามากที่สุด เขาได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ทำได้เพียงพยายามย่อตัวลงเพื่อหลบหลีก ทว่ากำลังร้องไห้อยู่ในใจ โอ้สวรรค์ ข้าเห็นอะไรกัน นี่คือเสด็จอาเก้าของพวกเขาจริงหรือ? เสด็จอาเก้าผู้โดดเดี่ยวกลายเป็นชายหนุ่มผู้เอาใจใส่คนอื่นได้อย่างไร
เสด็จอาเก้าจัดการเสื้อผ้าของเฟิ่งชิงเฉินและจับมือของนาง ส่งสัญญาณให้ทหารยามไม่ต้องติดตามไป
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่พูดอะไรอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงไม่เอ่ยถาม นางเดินตามไปข้างหลังอย่างเชื่อฟัง อย่างไรก็ตาม เสด็จอาเก้าจะไม่นำนางไปขายแน่
“ถึงแล้ว”
เสด็จอาเก้าหยุดอยู่ในตรอกมืด เฟิ่งชิงเฉินไม่เห็นความวุ่นวายใดปรากฏ ขณะที่กำลังจะกล่าวบางอย่าง นางก็รู้สึกมีใครจับเอวไว้แล้วพาทะยายขึ้นฟ้า
โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างระมัดระวัง รู้ว่าตนไม่ควรส่งเสียงออกไปในเวลานี้ เพื่อไม่ให้ใครถูกพบเข้า นางรีบยื่นมือปิดปากของตน ท่าทางน่ารักนี้ทำให้หัวใจของเสด็จอาเก้าเต้นแรง โน้มตัวไปจูบแก้มนางเบาๆ
“อย่ากลัวไปเลย หากมีข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าประสบอุบัติเหตุใดๆ”
“เช่นนั้นคงแปลก มีเจ้าอยู่สิจึงน่ากลัว แน่นอนว่าเจ้าจะไม่ปล่อยให้ข้าประสบอุบัติเหตุใด แต่หากเกิดอุบัติเหตุกับเจ้า เจ้าจะไม่ปล่อยข้าไปหรอก” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้จริงจังร้ายแรง จึงได้กระซิบกับเขาว่า
“เช่นนั้นเจ้าควรเรียนรู้ที่จะฉลาด หากเกิดเรื่องขึ้นกับข้า เจ้าจงรีบหนีไป ข้าจะตามเจ้าไม่ปล่อยแน่”
“ไม่ต้องห่วง หากเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า ข้าจะหนีเป็นคนแรก”
……
เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินกระโดดขึ้นลงที่ชายคาบ้าน เสียงฝีเท้าของเขาเบามาก เรียกได้ว่าไม่มีเสียงแม้แต่น้อย เสียงของพวกเขาหายไปกับสายลม
หลังจากขึ้นลงอยู่ไม่กี่ครั้ง ทั้งสองก็หยุดอยู่บนหลังคากระเบื้อง เสด็จอาเก้าสั่งให้เฟิ่งชิงเฉินเงียบเสียง และหมอบลงไปพร้อมกับเขา
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเหมือนทหารในสนามรบ ใช้มือข้างหนึ่งยันไว้บนหลังคา เพื่อให้ตนสามารถเคลื่อนไหวได้ทันทีหากเกิดเรื่องใดขึ้น
เสด็จอาเก้าพบว่าท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินรอตั้งรับ นางนอนหมอบอยู่ตรงนั้นเหมือนเสือดาวที่พร้อมจะวิ่งด้วยการเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาใช้ท่าทางเดียวกันกับเฟิ่งชิงเฉิน
พวกเขาสองคนทำท่าทางเช่นนี้อย่างเงียบๆ จะทำอย่างไรได้ บัดนี้พวกเขานอนอยู่บนหลังคาของจวนหวัง แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะช่วยพวกเขาไว้ล่วงหน้า แต่หากตระกูลหวังพบพวกเขาก็คงจะลำบาก
ในลานบ้านตระกูลหวัง คนในตระกูลหวังกำลังรวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่อจัดงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า ในปีก่อนๆ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าจัดโดยหัวหน้าตระกูลและผู้สืบสายตรงของผู้มีอำนาจรวมตัวกัน แม้แต่การรับประทานอาหารก็ยังเป็นการสรุปเรื่องราวของปีนั้นๆ แม้ว่าบางครั้งจะดุเดือด แต่โดยทั่วไปก็ยังมีชีวิตชีวามาก แต่ปีนี้ต่างออกไป……
จนถึงขณะนี้ งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าของตระกูลหวังยังไม่ได้เริ่ม บนโต๊ะเต็มไปด้วยจานชาม แต่ไม่มีตะเกียบ ทายาทสายตรงของตระกูลหวังรวมตัวกันในห้องโถง บรรยากาศตึงเครียด พร้อมที่จะระเบิดทุกเวลา
ทุกคนนั่งเงียบ คนในตระกูลหวังมองไปทางชายชราที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน รอให้เขากล่าววาจา
ผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลหวัง ถูกหวังจิ่นหลิงปราบปรามอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ และถูกริบสิทธิ์ทั้งหมด หากผู้อาวุโสของตระกูลไม่ร้องขอความเมตตา ผู้อาวุโสทั้งสามคนนี้คงถูกไล่ออกจากตระกูลหวังไปนานแล้ว แต่ในเวลานี้ พวกเขายังคงครองตำแหน่งหลัก
ไม่มีทางเลือก หากไม่มีเสือบนภูเขา ลิงก็กลายเป็นราชา หวังจิ่นหลิงหายตัวไป ผู้เฒ่าทั้งสามนี้จึงถูกเชิญออกมาอีกครั้งโดยผู้หวังดี
สมาชิกอาวุโสของตระกูลหวังต่างก็เป็นญาติกันและไม่มีใครกล้าทำให้เรื่องราวน่าเกลียดเกินไป นอกจากนี้ หน้าตาตำแหน่งของผู้อาวุโสทั้งสามในตระกูลหวังในปีนี้ก็ไม่เลวร้ายไปกว่าหวังจิ่นหลิงที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ตราบเท่าที่พวกเขาและลูกหลานของพวกเขาอยู่รอด แน่นอน มันเป็นเรื่องปกติที่จะยืนหยัดขึ้นอีกครั้งในฐานะผู้นำตระกูล
ผู้อาวุโสทั้งสามที่มาปรากฏตัว ณ ที่นี่ ก็เพื่อต้องการเสนอปลดหัวหน้าตระกูลคนเก่า
“ในฐานะหัวหน้าตระกูล คุณชายใหญ่ไร้ความรับผิดชอบ มิให้เกียรติตระกูลเลย ประการแรก เขาปฏิเสธที่จะแต่งงานเพราะความปรารถนาส่วนตัวของเขาเอง ซึ่งทำให้ตระกูลของเราเสียหน้า ตอนนี้เพื่อเรื่องส่วนตัว เขาก็ออกจากตระกูลไปอีกครั้ง ทิ้งพวกเราให้อยู่ที่นี่ เขาไม่เคารพผู้อาวุโสของตระกูล ปล่อยให้ทั้งตระกูลต้องรอเขา คุณชายใหญ่ใจกล้านัก แสดงให้เห็นว่าเขาไม่สนใจตระกูลหวังเลย”
“ผู้อาวุโสซ่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว คนที่ลืมได้แม้กระทั่งตระกูลของตน ไม่สามารถเป็นหัวหน้าตระกูลได้” ทันทีที่ผู้อาวุโสจื้อกล่าวจบ ผู้อาวุโสเหรินก็ตอบกลับว่า “ก่อนหน้านี้ คุณชายใหญ่มีความแค้นส่วนตัวกับเผ่าเซวียนเซียว ผลก็คือสูญเสีย ผู้ที่ไม่เห็นตระกูลเป็นที่ตั้ง ไม่ควรเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเราอีกต่อไป”
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าทั้งตระกูลหวังต้องการยกเลิก ไม่ให้หวังจิ่นหลิงอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไปเสียทุกคน ยังมีบางคนที่จงรักภักดีต่อหวังจิ่นหลิง คิดว่ามีเพียงหวังจิ่นหลิงเท่านั้นที่จะเหมาะกับหัวหน้าตระกูลหวัง เช่นบิดาของหวังจิ่นหลิง
“จิ่นหลิงไม่ใช่เด็กที่โง่เขลา พรสวรรค์ของจิ่นหลิงนั้นทุกคนรู้ดี ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ตระกูลหวังมีความมั่นคงมากขึ้นภายใต้การดูแลของจิ่นหลิง ข้าเชื่อว่าจิ่นหลิงเดินทางออกไปก่อนวันส่งท้ายปีเก่า ก็เพื่อตระกูลหวัง จิ่นหลิงเป็นเด็กที่เคารพผู้อาวุโสและมีความรับผิดชอบ เขาจะมาถึงก่อนปีใหม่อย่างแน่นอน” บิกาของหวังจิ่นหลิงกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง
“ถูกต้อง พรสวรรค์ของคุณชายใหญ่เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน ตระกูลหวังถูกจักรพรรดิและตระกูลขุนนางอื่นๆ ปราบปรามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งคุณชายใหญ่เข้ามารับตำแหน่ง สถานการณ์ของตระกูลหวังจึงดีขึ้น” ผู้ที่สนับสนุนหวังจิ่นหลิงล้วนเป็นผู้ปกครองรุ่นใหม่ และแม้แต่รุ่นลุงของหวังจิ่นหลิง หรือกระทั่งรุ่นทวด ปู่ทวดก็ยังสนับสนุนเขา
“หวังซ่าน หวังเริ่น หวังจื้อ พวกท่านไม่ใช่ผู้อาวุโสของตระกูลหวังอีกต่อไป ท่านมีคุณสมบัติอะไรที่จะวิจารณ์หัวหน้าตระกูล? ท่านใส่ร้ายว่าหัวหน้าตระกูลไม่ดี แล้วเจ้าเล่า? สิ่งที่ทำลงไปหาได้สอดคล้องกับคำสั่งสอนบรรพบุรุษ หัวหน้าตระกูลมิได้ขับไล่ท่านทั้งสามออกจากตระกูล ก็นับว่าบุญโขแล้ว แต่กลับมากล่าววาจาทำร้ายผู้อื่นอีก” ปู่ทวดของหวังจิ่นหลิงเอ่ยปาก
“ใส่ร้าย? หากไม่ใช่เพราะคุณชายใหญ่ทำตัวไม่ดี เราจะเอ่ยสิ่งเหล่านี้ต่อเขาได้อย่างไร ทุกคนได้เห็นสิ่งที่คุณชายใหญ่ทำในช่วงเวลานี้ เรารู้ชัดเจนว่าจักรพรรดิกำลังปราบปรามตระกูลของเรา คุณชายใหญ่และเสด็จอาเก้าสนิทกันมาก คุณชายใหญ่กำลังจะทำลายตระกูลหวังของเราต่างหาก ข้าจะไม่ยอมให้ผุ้ที่ไม่ชัดเจนอย่างคุณชายใหญ่เป็นหัวหน้าตระกูลต่อไป ” ผู้อาวุโสซ่านเกลียดหวังจิ่นหลิงแทบตาย ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
“อะไรที่ท่านว่าไม่ชัดเจน? ท่านมีสมองหรือไม่? ฝ่าบาทประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาจะทำลายตระกูลหวังของเรา หากเราก้าวขึ้นมาในเวลานี้ เราจะกลายเป็นเช่นตระกูลเซี่ย ต้องให้จักรพรรดิบดขยี้ เมื่อถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าทุกสิ่งที่บรรพบุรุษเราสั่งสมมาอาจไม่สามารถรักษาไว้ คุณชายใหญ่ทำเช่นนี้เหมาะสมแล้ว”
“เหมาะสมอะไรกัน? ช่างเป็นพฤติกรรมที่ไร้ความคิดโดยสิ้นเชิง การกระทำของคุณชายใหญ่จะฉุดตระกูลหวังทั้งหมดลง ข้าจะมิเห็นด้วยอย่างยิ่ง”
หลังจากการนองเลือดในครานั้น หวังจิ่นหลิงมีผู้สนับสนุนมากมายในตระกูลหวัง หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสามถูกไล่ออกไม่มีใครกล้าที่จะฝ่าฝืนหวังจิ่นหลิง แต่ด้วยการหายตัวไปของหวังจิ่นหลิง ผู้สนับสนุนที่ไม่มั่นคงเหล่านั้นก็ลังเลใจ ผู้ที่ต้องการขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเช่นลุงของหวังจิ่นหลิง เป็นผู้ที่มีตำแหน่งขุนนางสูงสุดในตระกูล
คนส่วนใหญ่จึงหันไปหาลุงของหวังจิ่นหลิงสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ คนของหวังจิ่นหลิงเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
ภายใต้การโจมตีที่รุนแรงของลุงของหวังจิ่นหลิง ผู้สนับสนุนที่ภักดีซึ่งนำโดยบิดาของหวังจิ่นหลิงแทบจะทนไม่ได้อีกต่อไป เมื่อลุงของหวังจิ่นหลิงบอกว่าพวกเขาจะถูกไล่ออกจากตระกูลหวัง กลุ่มคนทั้งหมดก็เปลี่ยนหน้า แต่สถานการณ์ดูสู้เขาไม่ได้
ลุงเล็กของหวังจิ่นหลิงดูเย่อหยิ่ง “พี่ใหญ่ จิ่นหลิงยังเด็กเกินไป เขาไม่สามารถแบกรับภาระในการเป็นหัวหน้าตระกูลหวังได้หรอก ข้านั้นไร้ความสามารถ แต่เพื่อตระกูลหวังของเรา ข้ายินดีเสียสละ พวกเจ้ายังยืนนิ่งอยู่ทำไม? ยังไม่รับโยนคนเหล่านี้ออกไปอีก”
ลุงของหวังจิ่นหลิงได้เตรียมการมาแล้ว เขาต้องการใช้กำลังจัดการโยนบิดาหวังจิ่นหลิงและคนอื่นๆ ออกไปจากตระกูลหวัง……