บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1143 อันดับที่หนึ่ง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1143 อันดับที่หนึ่ง

บทที่ 1143 อันดับที่หนึ่ง

สิ้นเสียงที่ดังก้องไปทั่วแดนโลหิต พื้นผิวของกำแพงแสงก็ถูกปกคลุมไปด้วยระลอกคลื่นสีทองสว่างไสว

หลังจากระลอกคลื่นหายไป รายชื่อที่อยู่บนกำแพงแสงก็เหลือเพียงเจ็ดร้อยชื่อ!

อย่างไรก็ตาม ทุกคนไม่แปลกใจนัก เพราะผ่านมาสามวันแล้ว นับตั้งแต่การทดสอบรอบที่สองได้เริ่มขึ้น ตามอดีตที่ผ่านมา มันก็ถึงเวลาที่การคัดออกจะสิ้นสุดลง

ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจและตกตะลึง คืออันดับแรกบนกำแพงลอยแห่งแสง ไม่ได้เป็นของเจิ่นลู่แห่งภพพุทธองค์อีกต่อไป แต่กลับเป็นของ…เฉินซี!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เฉินซีแต่เดิมอยู่ในอันดับที่สาม แต้มดาราของเขาได้ก้าวกระโดดแซงหน้าจี้เซวียนปิงและเจิ่นลู่ที่อยู่เหนือกว่า และขึ้นเป็นอันดับหนึ่งทันที!

ยิ่งกว่านั้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนที่เสียงประกาศจะดังก้อง!

ทุกคนต่างคาดไม่ถึง เพราะเฉินซีที่อยู่ในอันดับที่สาม มีแต้มดารารวมกว่าห้าพันดวง แต่ในชั่วพริบตา แต้มดาราของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงจะแต้มดาราจะเพิ่มขึ้นสามร้อยถึงห้าร้อยดวง และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ เกิดขึ้นทั้งหมดสิบครั้ง! ในท้ายที่สุด แต้มดาราหยุดลงที่แปดพันสามร้อยสิบเก้าแต้ม

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต้มดาราของเฉินซีก็เพิ่มขึ้นกว่าสามพันสองร้อยแต้ม!

การเปลี่ยนแปลงแบบนี้เรียกได้ว่าสะท้านใต้หล้า!

แม้แต่เจิ่นลู่ที่ถูกผลักลงไปที่อันดับสอง ก็ครอบครองแต้มดาราเพียงหกพันเจ็ดร้อยกว่าแต้มเท่านั้น และน้อยกว่าเฉินซีถึงหนึ่งพันหกร้อยแต้ม!

หากไม่ได้เห็นมันด้วยสองตาของตนเอง ทุกคนก็คงไม่กล้าเชื่อ และความตกใจเช่นนี้ ส่งผลต่อหัวใจของพวกเขาได้อย่างชัดเจน

ถึงขนาดที่ทั้งจัตุรัสเงียบสงัดในทันที จนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหล่น เมื่อชื่อของเฉินซีขึ้นสู่อันดับที่หนึ่ง ในขณะนั้นแม้แต่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นอย่างหวังต้าวหลูที่เป็นประธานในการทดสอบ ก็ยังมึนงงอยู่พักใหญ่ และรู้สึกหายใจไม่ออกด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้เอง ทุกคนจึงไม่แปลกใจเมื่อชื่อบนกำแพงแสงได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เมื่อการคัดออกสิ้นสุดลง

อย่างไรก็ตาม ความคิดของทุกคนก็มุ่งไปที่ชื่อที่อยู่ในอันดับที่หนึ่ง!

เฉินซี!

ไม่มีใครกล้าประเมินชื่อนี้ต่ำไปอีกแล้ว

คนส่วนใหญ่ต่างรับรู้ได้ราง ๆ ว่าสาเหตุที่แต้มดาราของเฉินซีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้น จะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลจั่วชิวอย่างแน่นอน

เนื่องจากในเวลาเดียวกัน บางรายชื่อในร้อยอันดับแรกบนกำแพงแสงก็จางลง และหายไปในที่สุด

แต้มดาราเปลี่ยนไปถึงสิบครั้ง ในขณะที่สิบรายชื่อได้หายไปจากร้อยอันดับแรก เป็นข้อเท็จจริงที่กระตุ้นความคิดมากที่สุดก็คือ ชื่อเหล่านี้ล้วนเป็นคนแซ่จั่วชิว!

ทั้งหมดนี้ทำให้ทุกคนตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า เฉินซีได้ฆ่าศิษย์สิบคนของตระกูลจั่วชิว ทำให้แต้มดาราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือตระกูลจั่วชิวเดิมทีตั้งใจจะตามล่าเฉินซี แต่กลับถูกฆ่าแทน…

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวข้องกับตระกูลจั่วชิว และนี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้

“เฮ้อ ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับเกียรติอันยอดเยี่ยม แต่อาจจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายในภายหน้า เพราะไปล่วงเกินตระกูลจั่วชิวเข้า” บางคนอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเฉินซี หลังจากที่รู้เรื่องทั้งหมดนี้

“ฮึ่ม! นี่คือการทดสอบ หรือมีเพียงศิษย์ของมหาอำนาจเท่านั้นที่สามารถฆ่าคนอื่นได้? แล้วการทดสอบนี้จะมีความหมายอะไร? ข้าคิดว่าเฉินซีนั้นทำได้ดีแล้ว” มีคนออกหน้าเพื่อเฉินซี

“ตระกูลจั่วชิวจะแก้แค้นเฉินซี? ช่างเป็นเรื่องน่าขัน! อัจฉริยะเช่นนี้จะเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แน่นอน ด้วยการคุ้มครองของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ไม่ว่าตระกูลจั่วชิวจะน่าเกรงขามเพียงใด พวกมันก็ทำได้เพียงกลืนความคับข้องใจนี้ลงท้องตัวเอง!” มีคนไม่แยแสต่อเรื่องนี้เช่นกัน

“เจ้ากล่าวถูกแล้ว แต่อย่าลืมว่าตระกูลจั่วชิวมีอิทธิพลระดับหนึ่งในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถจัดการกับเฉินซีในที่แจ้งได้ แต่ใครจะรู้พวกเขาอาจใช้เล่ห์กลบางอย่างในที่ลับ” อีกคนกล่าวด้วยความกังวล

สรุปแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างน้อยทั้งหมดนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เฉินซีได้กลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจในขณะนี้ เพียงแค่เกียรตินี้ก็เพียงพอที่จะเขย่าภพเซียน และเป็นที่รู้จักของทุกคน!

“ไปสืบหาให้แน่ชัด ว่าแท้จริงแล้วเฉินซีคนนี้คือใคร! ข้าจะยอมรับคำขอทั้งหมดของเขา หากเราสามารถพาเขามาที่ตระกูลโม่ชีของเราได้!”

“ช่างเป็นชายหนุ่มที่น่าสนใจ เขามาจากทวีปทักษิณาหรือ? ที่นั่นไม่มีกองกำลังน่าเกรงขามมากมายนัก แต่ชายหนุ่มเช่นนี้เป็นสิ่งที่ตระกูลเจี้ยงของเราต้องการตัวมากที่สุด!”

“ไปตรวจสอบภูมิหลังของเฉินซี อย่าให้เขาถูกกองกำลังอื่นดึงตัวไปได้!”

ปฏิกิริยาของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่จากมหาอำนาจที่มีต่อเฉินซีนั้น กลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาด พวกเขาต่างสั่งคนในตระกูล ว่าจะต้องดึงตัวคนผู้นั้นมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!

ถึงเฉินซีจะอยู่เพียงขอบเขตเซียนลึกลับขั้นต้น และมาจากทวีปทักษิณา และอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีรากฐานใด ๆ ดังนั้นหากพวกเขาสามารถผูกมัดกับอัจฉริยะเช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะราคาเท่าใดที่ต้องจ่ายในตอนนี้ มันจะคุ้มค่าในระยะยาวแน่นอน!

“คุณหนู คุณชายเฉินซีผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ” ชายชรายิ้ม

“แน่นอน ข้ารู้มานานแล้วว่า เขาจะต้องน่าเกรงขามมากกว่าผู้ใด!” มุมปากของมู่หลิงหลงเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันภาคภูมิ ดูเหมือนนางจะภูมิใจในความสำเร็จของชายหนุ่มเป็นอย่างมาก

“แต่… ข้าได้ยินมาว่า คุณชายจวินหลินไม่ได้เป็นมิตรกับเฉินซี?” ชายชราเปลี่ยนหัวข้อและกล่าวทันที

“ญาติผู้พี่ของข้าคนเก่งในทุก ๆ ด้าน แต่ข้อบกพร่องเดียวของเขาคือหยิ่งผยองและยโสเกินไป เขาดูถูกเฉินซีในวันนั้น บอกว่าเหมือนขอทาน ช่างน่าขันนัก! ช่างมันเถอะ อย่าไปกล่าวถึงเลย มันทำให้ข้าเสียอารมณ์” มู่หลิงหลงโบกมือ และรู้สึกหงุดหงิดเมื่อพูดถึงมู่จวินหลิน

“สหายเก่า ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” เถี่ยชิวอวี้กล่าวผ่านกระแสปราณไปยังหวังต้าวหลู ในขณะที่ยิ้มกว้างจากจนถึงใบหู

“ฮึ่ม!”

หวังต้าวหลูคำรามอย่างเย็นชา ในขณะที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับลอบถอนหายใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแทน

ไม่ว่าจะไม่อยากยอมรับมันต่อหน้าเถี่ยชิวอวี้เพียงใด แต่ความประหลาดและไม่ธรรมดาของเฉินซีก็เป็นของจริง เมื่อหวนคิดว่าครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสได้รับคนผู้นี้เป็นศิษย์เอก ชายวัยกลางคนก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย

แต่หวังต้าวหลูไม่สามารถเปิดเผยอะไรได้ และกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เขาเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง หากเขาสามารถกลายเป็นสุริยันอันเจิดจ้าอีกดวงหนึ่งของภพเซียนได้ บางทีข้าอาจเอ่ยขออภัยเจ้า แต่ตอนนี้… เราจะได้เห็นกันหลังจากการทดสอบรอบที่สามสิ้นสุดลง”

“เจ้าช่างดื้อดึงยิ่งนัก!” เถี่ยชิวอวี้ถ่มน้ำลาย แต่ใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความพึงพอใจ พอใจมากที่เฉินซีสามารถทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ

ในบรรดาผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ มีเพียงจั่วชิวเคอและเหล่าคนของตระกูลจั่วชิวเท่านั้นที่มีสีหน้าไม่น่าดู พวกเขารับรู้ได้อย่างชัดแจ้งว่า เมื่อชื่อของเฉินซีขึ้นสู่อันดับที่หนึ่ง สายตาแปลก ๆ จำนวนมากก็พุ่งตรงมาที่พวกตน

สายตาเหล่านี้มีทั้งการเย้ยหยัน การถากถาง และสมเพช… มันทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัด และสีหน้าไม่น่าดูยิ่งขึ้น

“ไอ้สารเลวนั่น!” จั่วชิวเคอกัดฟันแน่น และเกือบจะควบคุมความรู้สึกของตนไม่ได้ ที่หว่างคิ้วของนางก็เต็มไปด้วยความเย็นชาและความอำมหิต

“เราคงต้องขอร้องให้ผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลจั่วชิวในสำนักศึกษาจัดการเขา…” ชายชราในชุดสีเทาที่อยู่ข้าง ๆ ถอนหายใจและกล่าวว่า “แต่ด้วยเหตุนี้ เราจำเป็นต้องดำเนินการอย่างลับ ๆ ท้ายที่สุดนี่คือสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า และตระกูลจั่วชิวของเราไม่สามารถแตะต้องโยงกับข้อห้ามบางอย่างได้”

“เรายังมีเวลาอีกมากสำหรับเรื่องนั้น” จั่วชิวเคอหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับสู่ความสงบ เสียงของนางเฉยเมยมากขึ้นเรื่อย ๆ “ถ้ามันคิดว่าเมื่อเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าแล้วจะปลอดภัย ไปแสดงให้มันเห็นว่ามันคิดผิด!”

“โอ้! แต้มดาราของศิษย์ทุกคนบนกำแพงแสงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!”

“มันเริ่มแล้ว! ในที่สุด มันก็เริ่มขึ้นแล้ว!”

ในขณะนี้ สัตว์อสูรจักรวาลและผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพในแดนโลหิตได้ถูกสังหารจนหมดสิ้น และวิธีเดียวที่จะได้รับแต้มดารา ก็คือการฆ่ากันเอง!”

“แน่นอน ด้วยวิธีนี้ จำนวนแต้มดาราที่พวกเขาได้รับจะมากจนน่าตกใจ ตราบใดที่สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ในการทดสอบได้ อย่างน้อยที่สุดก็จะได้รับแต้มดาราสามร้อยดวง!”

“ไม่แปลกใจเลยที่หลาย ๆ ชื่อในบรรดาเจ็ดร้อยคนนั้นจางหายไป แม้จะไม่หายไปจากกำแพงแสง แต่พวกเขาอาจถูกกำจัดออกจากแดนโลหิตแล้ว”

“นี่คือการแข่งขันที่แท้จริง ข้าตั้งตารอการต่อสู้ระหว่างผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงของภพพุทธองค์ ภพเซียน ภพวิหคอมตะ และภพมังกร นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่แต้มดาราเปลี่ยนแปลงมากที่สุด!”

“พวกเจ้าทุกคนคิดว่าเฉินซีที่ได้อันดับที่หนึ่ง จะสามารถยืนหยัดได้จนจบหรือไม่?”

“มันคงเป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะขั้นสุดท้ายของการทดสอบ จะวนเวียนอยู่กับการต่อสู้แบบกลุ่ม ในขณะที่เขาตัวคนเดียว เขาจึงอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะแต้มดาราแปดพันดวงนั่น เขาคงกลายเป็นเนื้อย่างอันโอชะในสายตาของคนอื่นไปแล้ว…”

“เจ้ากล่าวถูกแล้ว เฉินซีเป็นเหมือนขุมสมบัติอันล้ำค่า ผู้คนปรารถนาที่จะครอบครองมัน ดังนั้นเขาจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีศัตรูอยู่ทุกหนทุกแห่งอย่างแน่นอน!”

แต้มดาราที่อยู่ด้านหลังชื่อของศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมการทดสอบ ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกัน หลาย ๆ ชื่อก็ค่อย ๆ จางลง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกสังหารแล้ว

ในสายตาของทุกคน เฉินซีผู้มีแต้มดารากว่าแปดพันดวง ย่อมกลายเป็นเนื้อย่างอันโอชะที่ศิษย์คนอื่น ๆ ต่างต้องแย่งชิงในช่วงสุดท้ายของรอบนี้

มันเหมือนกับกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ไล่ล่ากวาง และเฉินซีก็คือกวางตัวนั้น!

เฉินซีไม่ทราบถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก ชายหนุ่มกำลังไล่ตามศิษย์ของตระกูลจั่วชิวด้วยสีหน้าสงบ การเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ได้สะท้อนให้เห็นภายในเนตรเทวะแห่งความจริงที่อยู่ระหว่างคิ้ว

แม้จะไม่สามารถกำจัดศิษย์ของตระกูลจั่วชิวจากการทดสอบได้อย่างสมบูรณ์ แต่ตราบใดที่ฆ่าพวกมันได้ เขาก็ยังได้รับแต้มดาราจำนวนมาก ดังนั้นเฉินซีย่อมไม่หยุดอยู่แค่นั้น

แน่นอนว่า ชายหนุ่มไม่ทราบว่าจำนวนแต้มดาราที่ตนครอบครองอยู่ได้กลายเป็นอันดับหนึ่งบนกำแพงลอยแห่งแสงไปแล้ว รู้เพียงว่ายิ่งได้รับแต้มดารามากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

หนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินซีหยุดอยู่ที่ช่องเขาแห่งหนึ่ง เงาเย็นยะเยือกและลึกล้ำได้หลั่งไหลออกมาจากดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้ว มันแสดงทุกสิ่งสะท้อนในจิตใจอย่างสมบูรณ์ รวมถึงสิ่งที่เล็กที่สุดในระยะสองงร้อยห้าสิบลี้ที่อยู่รอบตัว

หลังจากนั้น รอยยิ้มแปลก ๆ ปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่ม ภาพที่เห็นคือศิษย์ของตระกูลจั่วชิวเหล่านั้นถูกหยุดโดยบางอย่าง พร้อมกับจิตสังหารอันแรงกล้า!

บทที่ 1142 เพียงแสวงหาโอกาสเอาตัวรอด

บทที่ 1142 เพียงแสวงหาโอกาสเอาตัวรอด

กระบี่อมตะที่ถูกยิงเป็นลูกธนูนั้นมีความคม แม่นยำ และรวดเร็วดุจสายฟ้า พวกมันฉีกอากาศออกจากกันและเจาะพื้นจนเป็นหลุมไร้ก้นบึ้ง ทั้งอหังการ ไร้ความปรานี และโหดเหี้ยม!

ศิษย์อีกสามคนของตระกูลจั่วชิวถูกสังหารทันที คนหนึ่งถูกแทงทะลุหน้าอก อีกคนถูกยิงทะลุหน้าผาก และคนสุดท้ายที่น่าสลดใจที่สุด มันแทงเข้าที่ตาขวาทะลุออกมาจากทางด้านหลังศีรษะ

ในช่วงเวลาสั้น ๆ จากทั้งหมดเก้าคนที่จั่วชิวเจิ้งเป็นผู้นำ เหลือเพียงสามคนเท่านั้นที่ยังคงรอดชีวิต!

เลือดสาดกระเซ็นอย่างน่าสยดสยอง แต่กลับขับเน้นให้ป่าโลหิตทวีความงดงามยิ่งขึ้น

ลำแสงสีม่วงหกดวงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นตัวแทนของศิษย์ตระกูลจั่วชิวหกคนที่ถูกกำจัด

ตั้งแต่ต้นจนจบ จั่วชิวเจิ้งและคนอื่น ๆ ไม่ได้สังเกตเห็นร่างของเฉินซีเลย!

ไม่สิ พวกเขาสังเกตเห็นอย่างแน่นอน แต่เห็นเพียงด้านหลังเท่านั้น และร่างนั้นก็ไม่ใช่เฉินซี แต่มันคือร่างแปลงของดอกไม้ปีศาจมายา!

เพื่อตบตาศิษย์ตระกูลจั่วชิว และดึงดูดความสนใจของพวกมัน!

เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเหล่านี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าเฉินซีประสบความสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่ง

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเฉินซีถึงไว้ชีวิตเหวยน่า นางเป็นดอกไม้ปีศาจมายาที่มีความชำนาญในศิลปะแห่งการแปลงร่างและภาพลวงตา นางสามารถแปลงร่างได้ดั่งใจนึก จนไม่สามารถแยกออกจากร่างดั้งเดิมได้ ดังนั้น จึงสามารถใช้นางเพื่อทำให้ศัตรูเข้าใจผิด และดึงดูดความสนใจของศัตรูได้

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

กระบี่อมตะที่ทำหน้าที่ดั่งลูกธนูพุ่งทะลุท้องฟ้าอีกครั้ง เป้าหมายของมันคือกำจัดศิษย์สี่คนสุดท้ายของตระกูลจั่วชิวที่อยู่ที่นี่!

อย่างไรก็ตาม จั่วชิวเจิ้งและอีกสามคนหันหลังชนกัน แต่ละคนก็หันหน้าไปคนละทิศ ทำให้การป้องกันแน่นหนาจนแม้แต่หยดน้ำก็เล็ดลอดไม่ได้ แม้ว่ากระบี่อมตะจะทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บร้ายแรง

ในไม่ช้า กระบี่อมตะที่พุ่งผ่านท้องฟ้าก็หยุดลง

เพราะในขณะนี้ ร่างกลุ่มหนึ่งได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าจากภูเขาเหยี่ยวโทมนัส ซึ่งอยู่ห่างจากป่าโลหิตห้าร้อยลี้ และบินมาที่นี่อย่างรวดเร็ว!

เห็นได้ชัดว่าจั่วชิวอินสังเกตเห็นสัญญาณ และนำกลุ่มของตระกูลจั่วชิวมาช่วยเหลือจั่วชิวเจิ้ง

ผู้เยี่ยมยุทธ์สามารถเดินทางได้ถึงห้าร้อยลี้ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ

แต่จั่วชิวเจิ้งและอีกสามคนไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย พวกเขามีสีหน้าเศร้าหมองและซีดเผือด ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม อีกทั้งยังลุกโชนด้วยเปลวไฟแห่งความเกลียดชังและความโกรธแค้น

ฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เป็นเหมือนการหยั่งเท้าเข้าสู่ประตูนรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นสหายของตนตายอย่างต่อเนื่อง ความโกรธแค้นและความเกลียดชังในใจยิ่งเพิ่มพูนเป็นทบทวี!

“ไอ้บัดซบเฉินซี! เจ้าหนีไม่ได้แล้ว!” จั่วชิวเจิ้งเปล่งเสียงคำรามทุ้มต่ำเหมือนสัตว์ร้ายจากส่วนลึกของลำคอ

ชายร่างอ้วนคิดว่าเมื่อเฉินซีสังเกตเห็นการมาถึงของจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ แล้วจะหนีไปแล้ว ทำให้สีหน้าของเขาดูไม่พอใจอย่างมาก

“ใครบอกว่าข้ากำลังหนี” เสียงที่แผ่วเบาและไม่แยแสดังก้อง จากนั้นร่างสูงของเฉินซีก็ปรากฏตัวขึ้น

ชายหนุ่มมองจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ในระยะไกล จากนั้นมองกลุ่มสี่คนของจั่วชิวเจิ้งที่อยู่ข้างหน้า และกล่าวว่า “ผู้ถูกกำจัดทั้งสามร้อยคนใกล้จะหมดลง ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปง่าย ๆ ได้อย่างไร”

เสียงของเฉินซีดังขึ้น เมื่อปราณกระบี่ฟันออกมาจากนิ้วมือ มันมีพลังเหมือนทะเลคลั่ง คลื่นปราณกระบี่มากมายโหมกระหน่ำเข้าใส่ศัตรู!

“เคล็ดกระบี่วารี มหาสมุทรไร้พรมแดน!” การโจมตีที่สร้างมหาสมุทรไร้พรมแดนครอบคลุมท้องฟ้าและบดบังพระอาทิตย์!

เสียงของเฉินซียังคงลอยอยู่ในอากาศ เมื่อจั่วชิวเจิ้งและคนอื่น ๆ ปล่อยคลื่นเสียงคำรามอันน่ากลัวและโกรธเกรี้ยว จากนั้นจมลงภายใต้มหาสมุทรที่ก่อตัวขึ้นจากปราณกระบี่มากมาย

พวกมันเหมือนก้อนกรวดเล็ก ๆ ที่ถูกโยนลงไปในทะเลสาบ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อเสียงของเฉินซีเลือนหายไปในอากาศ ต้นไม้และหินที่เหี่ยวเฉาภายในระยะสองร้อยห้าสิบลี้ ในป่าสีเลือดก็กลายเป็นฝุ่นผง รอยแยกอันน่าสยดสยองปรากฏขึ้นบนพื้นมากมาย ในขณะที่ร่างของจั่วชิวเจิ้งและอีกสามคนก็หายสาบสูญไปไม่เหลือแม้แต่ซาก

ในขณะนี้ จั่วชิวอินและคนอื่น ๆ ก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน!

พวกเขาเห็นฉากที่น่าอัศจรรย์นี้ เห็นการฟันกระบี่อันงดงามและไร้ขอบเขต จนไม่มีเวลาแม้แต่จะเปล่งเสียงอุทานด้วยซ้ำ เมื่อมาถึงก็ไม่พบร่างของจั่วชิวเจิ้งและอีกสามคนแล้ว!

เห็นเพียงลำแสงสีม่วงสี่ดวงพุ่งออกมาจากมหาสมุทรแห่งปราณกระบี่ กล่าวอีกนัยหนึ่ง จั่วชิวเจิ้งและศิษย์ตระกูลจั่วชิวเก้าคนได้ถูกกำจัดหมดแล้ว!

ส่วนเฉินซีก็หายตัวไปพร้อมกับพวกเขา แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้ถูกกำจัด แต่รู้ดีว่าเป็นการยากที่จะฆ่าศิษย์อีกคนของตระกูลจั่วชิว จึงจากไปอย่างรวดเร็ว

“ตามมัน! ฆ่าไอ้สารเลวที่น่ารังเกียจนั่นซะ!” ศิษย์จำนวนมากของตระกูลจั่วชิวคำรามด้วยความโกรธแค้น ตั้งใจจะไล่ล่าเฉินซีไปจนตาย

“หยุด!” สีหน้าของจั่วชิวอินนั้นซีดเผือด ชายหนุ่มแค่นเสียงเย็น “พวกเจ้าทุกคนก็อยากถูกกำจัดหรือ?”

“แต่เราจะปล่อยมันไปอย่างนี้หรือ?” หลายคนไม่เต็มใจที่จะปล่อยเป้าหมายไป

“สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องเอาตัวรอด! รักษาชีวิต! เข้าใจหรือไม่?” จั่วชิวอินหายใจเข้าลึก ๆ เขาจะไม่เดือดดาลได้อย่างไร? ในใจจวนเจียนระเบิดด้วยความโกรธจากเหตุการณ์นี้

แต่ชายหนุ่มก็ทราบอย่างชัดเจนเหมือนกันว่า หากยังไล่ตามและเสียศิษย์ของตระกูลจั่วชิวอีกสองสามคน เขาก็ไม่อาจทนรับผลที่ตามมาได้เช่นกัน!

ท้ายที่สุด จั่วชิวเจิ้งและศิษย์อีกเก้าคนที่ถูกกำจัดไปก่อนหน้านี้ ล้วนเป็นหนึ่งในร้อยอันดับแรกในระหว่างการทดสอบรอบแรก การที่พวกเขาถูกกำจัดทุกคน ได้สร้างความเสียหายร้ายแรงครั้งใหญ่ให้กับตระกูลจั่วชิว!

จั่วชิวอินทราบอย่างชัดเจนว่า หากกลับไปที่ตระกูลตอนนี้ เขาอาจถึงขั้นได้รับโทษที่รุนแรงมาก

ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จั่วชิวอินจึงไม่สามารถรับความเสี่ยงได้อีก ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะไล่ล่าเฉินซีโดยสิ้นเชิง และทุ่มเทความคิดทั้งหมดเพื่อแสวงหาโอกาสเอาตัวรอดแทน

จนถึงจุดนี้ในการทดสอบ ศิษย์เจ็ดสิบหกคนของตระกูลจั่วชิวที่เข้าร่วมในการทดสอบรอบที่สอง ได้ถูกกำจัดไปแล้วถึงสิบห้าคน สี่คนหายตัวไปอย่างไร้เหตุผล ในขณะที่อีกสิบเอ็ดคนถูกเฉินซีสังหารสิ้น

ปัจจุบัน มีศิษย์เพียงหกสิบเอ็ดคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะรวมจั่วชิวอินไว้ด้วย แต่ศิษย์ที่อยู่ในร้อยอันดับแรกในรอบแรกก็มีจำนวนเพียงหกคนเท่านั้น!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้พวกเขาจะมีถึงหกสิบเอ็ดคน แต่นอกจากหกคนนี้แล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลจั่วชิวก็มีอันดับที่ต่ำกว่าร้อยอันดับแรกในระหว่างการทดสอบรอบแรก

สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่า แม้ทั้งหกสิบเอ็ดคนจะผ่านการทดสอบรอบที่สามไปอย่างราบรื่น แต่อันดับโดยรวมจะต้องด้อยกว่ามากอย่างแน่นอน และจะถึงขั้นที่พวกเขาอาจไม่สามารถเทียบได้กับศิษย์ของตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่อื่น ๆ

ทั้งหมดนี้เกิดจากฝีมือของคนคนเดียว!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ความรู้สึกซับซ้อนอย่างสุดจะพรรณนา ที่ผสมผสานระหว่างความเกลียดชัง ความโกรธแค้น ความไม่พอใจ ความคับข้องใจ พรั่งพรูเข้ามาในหัวใจของจั่วชิวอิน

โอม!

ทันใดนั้น คลื่นความผันผวนแปลก ๆ ก็แพร่กระจายไปทั่วแดนโลหิต ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงไร้อารมณ์ดังก้องไปทั่วแดนโลหิต “ข้อกำหนดการกำจัดของการทดสอบรอบที่สองได้สิ้นสุดลงแล้ว ตอนนี้จำนวนแต้มดาราจะเป็นตัวกำหนดอันดับสุดท้ายของพวกเจ้าในการทดสอบรอบนี้!”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป เหล่าศิษย์ที่โชคดีพอที่จะยังมีชีวิตรอดอยู่ในแดนโลหิต ล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขารู้ดีว่าแม้จะถูกฆ่าตายในตอนนี้ ตนก็ยังสามารถเข้าร่วมการทดสอบรอบที่สามได้

ในทางกลับกัน สีหน้าของจั่วชิวอินและคนอื่น ๆ กลับเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงโดยไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดนี้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถหยุดเฉินซีไม่ให้เข้าสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้!

“ข้าไม่เคยคิดเลย ข้าไม่อาจทำตามแผนของคุณหนูได้สำเร็จ…” จั่วชิวอินหัวเราะอย่างขมขื่นเสียงของชายหนุ่มเผยให้เห็นถึงความหนักใจอย่างสุดจะพรรณนา

คนอื่น ๆ ก็มีสีหน้ามืดมนเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม พวกเขาหลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเฉินซีลอบสังหาร และสูญเสียคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบรอบที่สามอีกต่อไป

“เรื่องนี้ยังไม่จบ” ท่ามกลางความเงียบนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงที่สงบและไม่แยแสดังขึ้น ซึ่งจั่วชิวอินกับคนอื่น ๆ ก็ได้ยินอย่างชัดเจน

“เฉินซี!”

ในช่วงเวลาต่อมา สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดก็จมดิ่งลงอีกครั้ง ทุกคนกัดฟันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะนี่เป็นคำเตือนและเป็นการยั่วยุอย่างร้ายกาจ!

“ไอ้สารเลว! ถ้าเจ้าแน่จริงก็โผล่หัวออกมาซะ!” ศิษย์คนหนึ่งไม่สามารถระงับความโกรธในใจได้อีกต่อไป ชายคนนั้นคำรามด้วยเสียงอันน่ากลัว ทว่ารอบข้างกลับเงียบสงัด และเสียงของเฉินซีก็ไม่ปรากฏขึ้นอีก

กร๊อบ! กร๊อบ!

กำปั้นของจั่วชิวอินกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ข้อนิ้วมือแตก ชายหนุ่มกัดฟันแน่น แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป เพียงพาศิษย์ของตระกูลจั่วชิวหันหลังกลับและจากไปเท่านั้น

ชู่ว!

ไม่นานหลังจากที่จั่วชิวอินและคนอื่น ๆ จากไป ร่างของเฉินซีก็ปรากฏขึ้นภายในป่าโลหิต ร่างสูงใหญ่พึมพำขณะมองไปยังทิศทางที่พวกมันจากไป “น่าเสียดาย ที่ข้อกำหนดการกำจัดนั้นเต็มแล้ว…”

ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก ๆ และหยิบคันธนูขนาดใหญ่ออกมา ก่อนจะวางไว้บนฝ่ามือแล้วลูบมันเบา ๆ

ธนูขนาดใหญ่นี้มีสีดำสนิท มันปกคลุมไปด้วยความเย็นเยียบและกลิ่นอายแห่งการฆ่า มันเป็นสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬขั้นกลาง เฉินซีได้รับมันมาจากหนึ่งในจ้าวสัตว์อสูรจักรวาล ที่อยู่ภายใต้คำสั่งของราชาหางพิสุทธิ์

น่าเสียดายที่มันไม่มีลูกธนูอมตะที่ทรงพลัง

ธนูอมตะไม่สามารถใช้ได้ หากไร้สายธนู คันธนู และลูกธนู ยิ่งกว่านั้น พวกมันมีความสำคัญต่อการแสดงพลังของธนูออกมามาก

โดยรวมแล้ว ธนูนี้เป็นสมบัติอมตะระดับวิญญาณทมิฬที่ดี แต่เนื่องจากขาดลูกธนู จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะแสดงพลังของมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์

ชายหนุ่มจึงต้องใช้กระบี่อมตะทั่วไปเป็นลูกธนู เพื่อตามล่าและสังหารเหล่าศิษย์ของตระกูลจั่วชิว

โชคดีที่เขาสังหารบริวารของราชาหางพิสุทธิ์ได้เป็นจำนวนมาก และรวบรวมกระบี่อมตะได้กว่าร้อยเล่ม ดังนั้นมันจึงเพียงพอที่จะใช้ได้ระยะหนึ่ง

นอกจากนี้ เฉินซียังได้รับความสำเร็จบางอย่างในเต๋าแห่งคันศร เมื่อรวมกับความช่วยเหลือของเนตรเทวะแห่งความจริง มันทำให้เขาสามารถประสบความสำเร็จเสมอ ในขณะที่ตามล่าและสังหารศิษย์ของตระกูลจั่วชิว

แน่นอนว่าสิ่งนี้จะไม่มีทางสำเร็จ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเหวยน่า

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ และปล่อยเหวยน่าที่อยู่ในรูปลักษณ์กระต่ายออกมา จากนั้นหยิบสมบัติอมตะสองสามชิ้นที่อยู่ในสภาพดีส่งให้นาง “เจ้าทำได้ดีมากก่อนหน้านี้ นี่คือรางวัลของเจ้า ไปได้แล้ว”

เหวยน่าตกตะลึงและประหลาดใจเล็กน้อย การกระทำของเฉินซีนั้นกะทันหันเกินไป ทำให้นางรู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย

นางจึงกล่าวตะกุกตะกักหลังจากผ่านไปนาน “จะ… เจ้า… จะปล่อยข้าไปจริง ๆ หรือ?”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้ว ตราบใดที่เจ้าช่วยข้าทำบางอย่างให้สำเร็จ ข้าจะปล่อยเจ้าไป? ข้าย่อมรักษาคำพูด”

เหวยน่าตกตะลึง และนางอดไม่ได้ที่จะถามเสียงเบา “ข้าคือสัตว์อสูรจักรวาล เจ้าจะ… จะปล่อยข้าไปแบบนี้หรือ?” เฉินซีขมวดคิ้ว “ในสายตาของข้ามีแต่ศัตรูและมิตร ถ้าเจ้าไม่จากไปตอนนี้ เจ้าจะไม่มีโอกาสอีก”

เหวยน่าไม่ได้หวาดกลัว แต่กลับดีใจแทนเมื่อได้ยินสิ่งนี้ หูกระต่ายยาวตั้งตรง ขณะพยักหน้าอย่างแรง “ข้าไปแน่ แต่หลังจากเจ้าออกจากแดนโลหิตนะ!”

——————————–

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง! รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท