บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1203 ไม่มีใครกล้าขัดขวาง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1203 ไม่มีใครกล้าขัดขวาง

บทที่ 1203 ไม่มีใครกล้าขัดขวาง

ฟู่!

การโจมตีด้วยกระบี่ของเฉินซีครั้งนี้ มีแรงผลักดันที่รุนแรงและรวดเร็ว ในขณะที่มันซ้อนทับเคล็ดกระบี่วารีและเคล็ดกระบี่อัคคี ทำให้อานุภาพของมันเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า พุ่งตรงไปที่กลางหน้าผากของหลิวเจ๋อเฟิงทันที!

หลิวเจ๋อเฟิงรู้สึกตกใจมาก เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถเข้าใจความล้ำลึกของการทับซ้อนของกฎ ทั้งที่อยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับ และแม้แต่กางเขนหยินหยาง ซึ่งเป็นสุดยอดกระบวนท่า ก็ไม่สามารถขัดขวางเฉินซีได้!

“เฉือนอันธการ!” แม้ความคิดจะไม่หยุดนิ่ง แต่การเคลื่อนไหวของหลิวเจ๋อเฟิงก็ไม่ได้ช้าลงเลย เจ้าตัวเรียกกระบี่หยินและกระบี่หยางไขว้กัน ก่อนจะฟันพวกมันลงไป

ชู่ว! ชู่ว!

ฟ้าดินเหมือนถูกเฉือนออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเป็นเหมือนราตรีมืดมิด อีกครึ่งหนึ่งราวกับทิวาสว่างไสวราว และเมื่อการโจมตีตัดกัน กฎของหยินหยางก็ส่งเสียงดังก้อง

ปัง!

ปราณกระบี่ปะทะกัน และแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวกวาดไปทั่วบริเวณโดยรอบ และท่วมท้นไปทั้งลานบำเพ็ญเต๋า มันทำให้ข้อจำกัดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การปะทะกันครั้งนี้ น่าสะพรึงกลัวเพียงใด

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างตกใจเมื่อเห็นฉากเมื่อครู่ เป็นที่เข้าใจได้ว่า หลิวเจ๋อเฟิงเข้าใจวิธีการทับซ้อนกฎ เพราะคนผู้นี้เป็นถึงเซียนทองคำ แต่เฉินซีกลับเข้าใจวิธีนี้เช่นกัน ช่างเป็นเรื่องเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก

โดยปกติแล้ว ผู้คนจะเริ่มเข้าใจวิธีการทับซ้อนกฎก็ต่อเมื่อบรรลุความสมบูรณ์ในกฎแห่งมหาเต๋าอย่างน้อยสองประเภท

ไม่ต้องกล่าวถึงการเข้าใจวิธีการทับซ้อนกฎ ผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่พบว่ามันยากที่จะบรรลุความสมบูรณ์ในกฎแห่งมหาเต๋าด้วยซ้ำ

พวกมันเป็นกฎและมาจากเต๋าแห่งสวรรค์ แม้ทุกคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นอัจฉริยะมีประสบการณ์ผ่านการทดสอบมากมายเพื่อเข้าสู่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่จะมีความสามารถในการบรรลุสิ่งนี้ หลังจากบรรลุสู่ขอบเขตเซียนทองคำ สำหรับคนที่สามารถเข้าใจวิธีการทับซ้อนกฎล้วนหาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนลึกลับเช่นเฉินซี และแม้แต่ในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็อาจไม่มีด้วยซ้ำ

“ไม่แปลกใจเลยที่เด็กนั่นจะไม่เกรงกลัวหลิวเจ๋อเฟิง เพราะเขาเข้าใจความสามารถดังกล่าวแล้วนี่เอง…”

หลายคนอุทานด้วยความชื่นชม ในที่สุด พวกเขาก็เข้าใจว่าเฉินซีนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด ในทางกลับกัน การแสดงฝีมือก็เกินความคาดหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลับทำให้ทุกคนไม่สามารถทราบได้แน่ชัดว่าคนผู้นี้มีไพ่ตายอยู่กี่ใบ!

“บัดซบ! คนผู้นี้จะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ได้อย่างไร!?” ในฝูงชน ใบหน้าของจั่วชิวจวินกลายเป็นหมองคล้ำ ความรู้สึกเลวร้ายอย่างสุดจะพรรณาได้เกิดขึ้นในใจ เพราะสถานการณ์ได้ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว สิ่งนี้เกินการควบคุมของเขาแล้ว ตอนนี้จึงได้แต่ภาวนาให้หลิวเจ๋อเฟิงสามารถควบคุมสถานการณ์ได้…

บนลานบำเพ็ญเต๋า สีหน้าของหลิวเจ๋อเฟิงหนักอึ้ง แม้ตนจะสามารถหยุดการโจมตีของเฉินซีก่อนหน้านี้ได้ แต่พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนรู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา

หลิวเจ๋อเฟิงไม่กล้าปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่าน และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะสงบสติอารมณ์ …ยามนี้เขาไม่อาจประมาทแม้แต่น้อย ด้วยเฉินซีได้กลายเป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจไปแล้ว!

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ในขณะเดียวกัน เฉินซีก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นการถกเถียงของผู้คนที่อยู่รอบข้าง หรือการแสดงออกหลิวเจ๋อเฟิง เฉินซีก็ไม่ได้แยแสต่อเรื่องใดทั้งสิ้น หรือบางทีชายหนุ่มยังคงอยู่ในสภาวะของการ ‘รู้แจ้ง’

การเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างหลิวเจ๋อเฟิง ได้กระตุ้นศักยภาพของเฉินซีอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มได้ละทิ้งความคิดที่ทำให้ไขว้เขวทั้งหมด เหลือเพียงกระบี่เท่านั้นที่ยังมั่นคงอยู่ในใจ!

“หัวใจของข้าก็เหมือนกระบี่! ฟ้าดินต่างตกอยู่ในการควบคุมของข้า!”

ความเข้าใจมากมายของเต๋าแห่งกระบี่ ได้พรั่งพรูไปทั้งกาย ดวงตาสว่างไสวดุจกระบี่ ทุกรูขุมขนบนร่างเต็มไปเจตจำนงของกระบี่ที่บริสุทธิ์และรุนแรง ทำให้ร่างกายดูเหมือนจะกลายเป็นกระบี่!

โอม~

กระบี่ตะขอดาราในมืออาบไล้ไปด้วยประกายแสงของดวงดาว ราวกับมีธารดาราไหลเอื่อย กระบี่เปล่งเสียงคำรามพลุ่งพล่านดุจกระแสน้ำ และดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

พริบตาต่อมา ปรากฏกระแสปราณกระบี่เจิดจรัสจำนวนมากพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า!

เคล็ดกระบี่อัคคีและวารี!

เคล็ดกระบี่พสุธาและพฤกษา!

เคล็ดกระบี่อัคคีและทอง!

เคล็ดกระบี่วารีและพสุธา!

การสืบทอดเคล็ดกระบี่เบญจธาตุจากยันต์เทวะอนันต์ ถูกเฉินซีซ้อนทับได้สำเร็จ พลังแห่งกฎสอดประสาน บังเกิดเป็นเคล็ดวิชาใหม่มากมาย!

ยิ่งกว่านั้น อานุภาพของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นเท่าทวีคูณ

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

หลิวเจ๋อเฟิงหลบหลีกพลางต้านทานการโจมตีด้วยพลังทั้งหมด ทันใดนั้น ม่านตาพลันขยายออก เขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล

ความกดดันเช่นนี้รุนแรงมากขึ้นตามกาลเวลาที่ไหลผ่าน มันแสดงสัญญาณของอำนาจที่เหนือกว่าราง ๆ สิ่งนี้ทำให้สีหน้าหลิวเจ๋อเฟิงหนักอึ้งยิ่งขึ้น ในหัวใจไม่อาจหลีกหนีจากคลื่นพายุที่รุนแรงได้

สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

พลังต่อสู้ของคนผู้นี้จะสามารถเพิ่มพูนในระหว่างการต่อสู้ได้อย่างไรกัน?

หรือว่าผู้เป็นเซียนทองคำอย่างข้า กำลังจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นาน?

ไม่ได้การแล้ว!

ข้าจะแพ้ไม่ได้!

หลิวเจ๋อเฟิงฝืนกัดฟันแน่น หัวใจเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ขณะอยู่ภายใต้แรงกดดันที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด

กระบวนท่ากระบี่ของเฉินซีฉีกทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า กวาดไปทั่วบริเวณทั้งหมด มันคมกริบมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้กระทั่งผู้ชมที่อยู่ไกลออกไปก็สังเกตเห็นว่า อานุภาพปราณกระบี่นั้นเพิ่มขึ้นทีละน้อยอย่างเห็นได้ชัด

ยิ่งไปกว่านั้น ประกายแสงของกระบี่ดูเหมือนจะ ‘คมมากขึ้นเรื่อย ๆ’ จนถึงระดับที่มันค่อย ๆ มีชีวิตของมันเอง

เฉินซีแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

พลังกระบี่ก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน!

“เขากำลังขัดเกลาและทำความเข้าใจในเต๋าแห่งกระบี่ผ่านการต่อสู้ ศักยภาพของเฉินซีผู้นี้ ช่างน่ากลัวจริง ๆ!” หลายคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก “ถ้าเขาไม่หยุด หลิวเจ๋อเฟิงอาจจะพ่ายแพ้”

“เจตนจำนงของกระบี่ อานุภาพของกระบี่ และจิตวิญญาณของกระบี่กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นสัญญาณของการควบคุมโลกด้วยกระบี่อยู่ราง ๆ ในขณะที่หัวใจและกระบี่ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือว่าวันนี้เฉินซีจะบรรลุสู่ระดับเซียนกระบี่?”

ในระยะไกล โจวจื่อหลีจ้องมองเฉินซีโดยไม่กะพริบตา เพราะกลัวว่าจะพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป “ไม่แปลกใจเลยที่หัวเจี้ยนคงมอบกระบี่ตะขอดาราให้เขา”

เต๋าแห่งกระบี่! มหาเต๋าที่มีความอันตรายสูงสุดในบรรดามหาเต๋าทั้งสามพันประเภท มันทั้งรวดเร็วและทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบได้

เซียนกระบี่ผู้มีชื่อเสียงในภพเซียน ต่างก็มีพลังต่อสู้อันน่าตกตะลึง พวกเขาเป็นตัวตนที่ขึ้นชื่อว่ามีพลังทำลายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

แต่ผู้ที่สามารถบรรลุแนวทางใจหลอมรวมกระบี่ และบรรลุระดับปรมาจารย์ในเต๋าแห่งกระบี่ได้นั้น กลับมีเพียงหนึ่งในล้านคน สำหรับผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ชั้นยอด ที่การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำลายเคล็ดวิชาทั้งหมดได้ ก็เป็นตัวตนเช่นขนวิหคอมตะเขากิเลน ส่วนผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับเซียนกระบี่ ซึ่งมีหัวใจดุจกระบี่นั้น ยากที่จะหาได้จากคนนับพันล้านคน

นอกจากจิตตานุภาพและความสามารถในการเข้าใจแล้ว การจะบรรลุระดับเซียนกระบี่ได้นั้น จะต้องขึ้นอยู่กับวาสนาด้วยเช่นกัน

บนลานบำเพ็ญเต๋า การต่อสู้ระหว่างเฉินซีและหลิวเจ๋อเฟิงทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และมันมาถึงจุดสูงสุดแล้ว

แม้ว่าหลิวเจ๋อเฟิงจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาแสดงสัญญาณของการถูกสยบอย่างแท้จริง

“อ๊า!” ประกายแสงดุร้ายสว่างวาบในดวงตาของหลิวเจ๋อเฟิง เขาบ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์

ทันใดนั้น กระบี่หยินและหยางก็แทงตรงไปยังพื้นที่ด้านหน้า พลังงานมหาศาลของดวงดาวสองสายพุ่งลงมาจากจักรวาลอันไร้ขอบเขต พลังงานสายหนึ่งเป็นหยินสุดขีด ส่วนอีกสายหนึ่งเป็นหยางสุดขั้ว พวกมันเดินทางข้ามจักรวาลอันไร้ขอบเขต เพื่อพรั่งพรูเข้าสู่กระบี่เต๋าหยินหยาง!

“หยินหยางวิบัติ! กระบวนท่านี้ชักนำพลังงานของดารามหาหยาง และดารามหาหยิน ซึ่งเป็นไม้ตายของศิษย์พี่หลิวเจ๋อเฟิง นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะใช้มันในตอนนี้!”

ฝูงชนร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างยิ่ง

“ทำลาย!” กระบี่ตะขอดาราก็เคลื่อนไหวเช่นกัน

กระแสปราณกระบี่ที่แฝงด้วยกฎแห่งทอง กฎแห่งวารี และกฎแห่งพสุธาได้รวมตัวกันเป็นรูปร่าง ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าปะทะกับการโจมตีของหลิวเจ๋อเฟิง

อย่างที่กล่าวไว้ ทองถูกใช้เพื่อให้ได้น้ำ น้ำทำให้ดินชุ่มชื้น และดินก็มีทองอยู่ในนั้น เมื่อกฎทั้งสามซ้อนทับกัน อานุภาพของมันก็จะเพิ่มขึ้นทบทวี

ปัง!

เกิดเสียงดังโครมครามจากการปะทะกัน

พลังงานของดวงดาวที่ชักนำโดยกระบี่เต๋าหยินและหยางนั้นถูกฟันออกเป็นสองส่วน ในขณะที่ปราณกระบี่อันแพรวพราวของเฉินซีกวาดไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงหวีดหวิวในอากาศ ก่อนที่มันจะระเบิดใส่หลิวเจ๋อเฟิงที่อยู่ไกลออกไป ทำให้ร่างของหลิวเจ๋อเฟิงกระแทกเข้ากับข้อจำกัดของลานประลองอย่างแรง เลือดไหลออกจากปากไม่หยุดหย่อน ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะลุกยืนขึ้นได้อีกต่อไป

ทุกคนต่างตกตะลึงเป็นอย่างมาก

“เฉินซีเป็นผู้ชนะ!” เสียงของชายชราผมขาวดังก้อง ในเวลาเดียวกัน เขารีบควักจานค่ายกลออกมา และเปิดใช้งานข้อจำกัดเพื่อส่งหลิวเจ๋อเฟิงออกไป ช่วยไม่ได้ เขากลัวว่าเฉินซีจะสังหารหลิวเจ๋อเฟิงจริง ๆ

“ข้าแพ้แล้ว…” หลังจากที่ดิ้นรนอยู่เป็นเวลานาน ดวงตาของหลิวเจ๋อเฟิงก็เผยร่องรอยของความสลดใจ ขณะลุกขึ้นยืน เขามองเฉินซี ก่อนที่จะจากไปพร้อมกับร่างโค้งงอด้วยอาการบาดเจ็บ

ลานบำเพ็ญเต๋าตกอยู่ในความเงียบสงัด จากนั้นเสียงสนทนาต่าง ๆ ก็ดังขึ้น

“เขาแพ้แล้ว”

“แม้แต่ศิษย์พี่หลิวเจ๋อเฟิงซึ่งอยู่ในอันดับแปดของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ก็พ่ายแพ้ เราควรทำอย่างไรดี”

“ปะ… เป็นไปได้อย่างไรกัน? ศิษย์ใหม่คนนั้นจะผิดปกติขนาดนั้นได้อย่างไร”

ชั่วขณะหนึ่ง ฝูงชนต่างระเบิดคลื่นเสียงโกลาหล พวกเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและความตกใจอย่างสุดขีด

“ยอดเยี่ยม!”

“ศิษย์พี่เฉินซี ทำได้ดีมาก!”

“น่าทึ่งมาก! ศิษย์พี่เฉินซียอดเยี่ยมมาก!”

ศิษย์ใหม่ทุกคนต่างยินดีปรีดา พวกเขาตะโกนชื่อของเฉินซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า และอดไม่ได้ที่จะแสดงความชื่นชมอย่างแรงกล้า

“ยอดเยี่ยม!” โจวจื่อหลีปรบมือ ใบหน้าเคร่งขรึมและสำรวมเผยอารมณ์แห่งการชมเชยอย่างไม่ปิดบัง

ในทางกลับกัน ใบหน้าของจั่วชิวฮงกระตุกอย่างรุนแรง เขาอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

“ช่างเป็นไอ้โง่ที่ไร้ประโยชน์จริง ๆ เขาซึ่งเป็นเซียนทองคำอันดับที่แปดของเทียบอันดับทองคำมวลสวรรค์ แต่กลับไม่สามารถเอาชนะศิษย์ใหม่ได้ด้วยซ้ำ เขาทำให้ศิษย์อาวุโสทั้งหมดต้องเสียหน้า!” จั่วชิวจวินคำรามอย่างบ้าคลั่ง และไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกของตนได้อีกต่อไป

วันนี้เขาส่งพวกหลิวอี่หมิงออกไปก่อน และเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น จึงส่งข่าวให้กับหลิวเจ๋อเฟิง เดิมที แผนการเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะจัดการกับศิษย์ใหม่คนใดก็ได้ แต่ไม่คาดคิดว่าจะไม่สามารถทำอะไรเฉินซีได้

ในเวลานี้ เขาฟังเสียงเซ็งแซ่รอบข้างและเฝ้าดูเหล่าศิษย์กำลังโห่ร้องให้กำลังใจเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน แม้จะไม่เต็มใจที่จะยอมรับ แต่จั่วชิวจวินก็ทราบอย่างชัดเจนว่า แผนการสยบเฉินซี กลับช่วยเฉินซีให้ได้รับความสำเร็จแทน ชื่อเสียงของเด็กนั่นเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์

อีกไม่นาน ทั้งสำนักศึกษาจะรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นในวันนี้ รวมถึงการแสดงฝีมือของเฉินซี!

ชายหนุ่มยังคงสงบสำรวม เขายืนอยู่เงียบ ๆ เป็นเวลานาน และควบคุมพลังชีวิตร่างของตน ขณะใช้ต้นอ่อนเงาทมิฬเพื่อเติมเต็มปราณเซียนพิสุทธิ์ในกายที่ถูกเผาผลาญไปอย่างรุนแรง

การต่อสู้กับหลิวเจ๋อเฟิงนั้นยากลำบากยิ่ง มันทำให้เขาเหนื่อยเล็กน้อย แต่…ยังมีพละกำลังที่จะสู้ต่อ

“อย่างที่ข้ากล่าวไปก่อนหน้านี้ ข้าจะอยู่กับพวกเจ้าจนถึงที่สุด ศิษย์พี่ท่านใดต้องการจะประลองกับข้าหรือไม่?” หลังจากช่วงเวลาสั้น ๆ เสียงที่ไม่แยแสของเฉินซีก็ดังก้อง มันเหมือนกับพายุที่ทำให้เสียงจอแจรอบ ๆ หยุดชะงัก

บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสนิท

ศิษย์อาวุโสทุกคนชำเลืองมองกันและกัน ไม่มีผู้ใดตอบรับหลังจากผ่านไปนาน

“ในเมื่อไม่มีใครอยากประลองกับข้า เช่นนั้นศิษย์น้องคงต้องขอตัวลา” สิ้นคำ เฉินซีก็จากไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพาเหลียงเริ่นและกู่เยวหมิงไปกับตนด้วย

ผู้คนเฝ้าดูทั้งสามจากไป ฝูงชนเปิดเส้นทางให้โดยพร้อมเพรียง ไม่มีผู้ใดหาญกล้าขัดขวางคนผู้นี้อีก!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง! รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท