ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption – ตอนที่ 37

ตอนที่ 37

ตอนทุกคนมาถึงเชิงเขา ฝนก็ตกหนักแล้ว ลูกเห็บขนาดเท่าไข่ไก่ตกใส่ตัว แม้พวกเขาไม่บาดเจ็บเพราะเป็นผู้บำเพ็ญเซียน แต่ก็รู้สึกเจ็บจนต้องกัดฟันทน นับประสาอันใดกับริมทะเลสาบกว้างใหญ่ หาที่หลบไม่ได้ ได้แต่ขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้ ยืดคอชะเง้อมองว่ามีคนข้ามฟากบ้างไหม

“เป็นอย่างไร มีคนมาไหม” จงหมิ่นเหยียนถูกลูกเห็บตกใส่สิบกว่าลูกได้ หน้าผากเริ่มโนหลายลูก ร้อนใจจนนั่งไม่เป็นสุข

หรูอี้มองอยู่ครู่หนึ่ง ทอดถอนใจส่ายหน้า “ไม่มี คิดว่าดึกแล้ว ยังฝนตกลมแรง คนข้ามฟากก็ย่อมไม่ออกมาแน่”

จงหมิ่นเหยียนสบถด่าเบาๆ สองคำ ยิ่งนั่งไม่ติดแล้ว

อวี่ซือเฟิ่งมองฟ้า กล่าวว่า “ฝนตกครานี้ เกรงว่าวันสองวันนี้คงไม่หยุด พวกเรามัวแต่รออยู่ที่นี่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่สู้แยกกันหา สองคนอยู่ที่นี่รอถิงหนู อีกสองไปหาว่ามีคนเรืออื่นไหม แวะถามหาหลิงหลงด้วย”

ในใจจงหมิ่นเหยียนร้อนใจเรื่องหลิงหลงอย่างมาก แต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ตนเองก็กระโดดออกมา “ข้าไป! ข้าไปหาหลิงหลงกับคนเรือ!”

กล่าวจบเกรงว่าอวี่ซือเฟิ่งจะหาเหตุผลใดมาปฏิเสธเขา หันหลังวิ่งไปทันที หรูอี้ตามเขามาด้านหลัง เดินไปได้สองก้าว พลันหันกลับไปยิ้มกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง พวกเจ้าดูแลตัวเองให้ดี”

อยู่ๆ เขากล่าวไร้ที่มาที่ไปเช่นนี้ออกมา ทำเอาอวี่ซือเฟิ่งอึ้งไป ได้แต่พยักหน้า

“ไม่รู้หลิงหลงกำลังตากฝนอยู่หรือไม่…” เสวียนจีย่อตัวลงนั่งยองราวกับสุนัขตัวน้อยที่ไร้สิ้นหนทาง มองฝ่าไปยังม่านฝนที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้านิ่งเงียบ “นางเกลียดฝนตกที่สุด ยังกลัวฟ้าผ่า ครั้งนี้นางตัวคนเดียว ย่อมต้องกลัวจนไม่รู้ไปแอบหลบอยู่ที่ใด”

อวี่ซือเฟิ่งพิงต้นไม้ ก้มลงมองท่อนล่างเสวียนจีโดนฝนสาดเปียก จึงได้ถอดชุดแต่งงานออกคลุมไหล่ให้นาง

“วันนี้นับว่าเจ้าได้เป็นเจ้าสาวสองครั้งแล้ว” เขายิ้ม

เสวียนจีพลันหน้าแดงก่ำ กล่าวติดอ่างว่า “ไม่ ไม่นับ…นั่นมันปลอมๆ…ไม่ใช่ เจ้า เจ้าสาว…”

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบาง ย่อตัวคุกเข่าลงตรงหน้านาง พลันยกมือไปปัดเส้นผมที่ระข้างแก้มนางออก นิ้วมือแตะโดนผิวแก้มเนียนลื่นของนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “สวมชุดแต่งงานก็เป็นเจ้าสาวแล้ว”

เสวียนจีอึกอักเป็นนานกว่าจะหาคำโต้ตอบได้ว่า “นั่น…พวกเจ้าเองก็สวมชุดแต่งงาน ก็เป็นเจ้าสาว!”

อวี่ซือเฟิ่งกระแอมไอสองที ทำเป็นไม่ได้ยิน ผู้ชายย่อมไม่เหมือนกัน เขาแอบกล่าวในใจ

นางสวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิงเช่นนี้ นั่งยองๆ อยู่ท่ามกลางสายฝน ผิวหน้าขาวกระจ่าง ดวงตาดำขลับ มองแล้วเหมือนสัตว์ตัวน้อยๆ ที่ถูกทอดทิ้ง แสนน่าสงสาร และความน่าสงสารนั้นก็ยังเพราะชุดแต่งงานสีสด ทำให้รู้สึกถึงแรงดึงดูดใจอยู่กระแสหนึ่ง

เขาพลันถูกแรงดึงดูดใจนี่เสียดแทงใจ

การแต่งงานในสมัยนี้ หญิงต้องสวมชุดแต่งงานสีแดง บนศีรษะปักปิ่นทองระย้าแปดเล่ม พื้นรองเท้าก็ต้องอัดแน่นด้วยกลีบบัว เช่นนี้จึงเป็นพิธีอย่างเป็นทางการ บนศีรษะเสวียนจีมัดผมแบบชาย แม้แต่แป้งชาดก็ไม่ได้ทา สวมชุดแต่งงานที่ดูไม่ได้เรื่องยิ่ง

ไม่เข้ากัน แต่ในสายตาเขากลับรู้สึกงดงามยิ่งกว่าทุกสิ่ง

บางทีในชีวิตเขาไม่เคยรู้สึกถึงความสุขโชคดีเช่นนี้ การได้เห็นภาพนางแต่งชุดแต่งงาน เช่นนี้ก็นับว่าดี อย่างน้อยตอนอยู่บนเบาะรองนั่ง มือพวกเขาก็เกาะกุมอยู่ด้วยกัน อย่างน้อย…ในช่วงเวลาพริบตาหนึ่ง เขาก็เคยมีนางอย่างแท้จริง ได้สวมชุดแต่งงาน ได้กราบไหว้ฟ้าดิน

ป่าด้านหลังพลันมีเสียงประหลาดดังแว่วมาเบาๆ ราวกับมีคนกำลังร้องไห้ ราวกับนกฮูกกำลังส่งเสียงร้อง

ทั้งสองที่กำลังครุ่นคิดเรื่องราวในใจตนอยู่ก็พลันสะดุ้ง รีบหันกลับไปในป่ามืดมิด อันใดก็ไม่มี

“เมื่อครู่เสียงอันใด” เสวียนจีถามอย่างสงสัย

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า ชักกระบี่สั้นออกมากุมไว้ในมือ ตะโกนดังว่า “ผู้ใด? ออกมา!”

เสวียนจีรู้ว่าเขาโดนฝ่ามือดับพลังหยาง จริงๆ แล้วยังไม่มีพลังวัตรแม้ครึ่งส่วน จึงรีบลุกขึ้นตามมายืนบังอยู่หน้าเขา ชักกระบี่ที่อวี่ซือเฟิ่งส่งให้นางก่อนหน้าออกมา

รออยู่เป็นนาน ด้านในก็ไร้เสียง บางทีอาจเป็นเสียงนกฮูกร้องสองเสียง เสียงราวกับเศร้าโศกมาก อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจโล่งอก เก็บกระบี่สั้นกลับคืน ยิ้มกล่าวว่า “พวกเราเคร่งเครียดเกินไปแล้ว น่าจะเป็นนกฮูก”

เสวียนจีกำลังจะพยักหน้า พลันเห็นแสงสีเขียวจากเนินเขาด้านหน้าสว่างวาบ พริบตาก็ถูกปกคลุมไปด้วยม่านสีเขียวชั้นหนา นางรู้สึกงุนงงยกมือชี้ไปพึมพำกล่าวว่า “เจ้าดู…นั่นคืออะไร”

อวี่ซือเฟิ่งรีบหันกลับไป เห็นแสงสีเขียวสว่างวาบราวกับผืนม่านบางสีเขียว ราวกับข้างล่างนั่นมีฝูงสัตว์ประหลาดที่ร้ายกาจอันใด ค่อยๆ คืบคลานเข้าครอบคลุมทั่วภูเขาครึ่งฟากนั้น แสงวูบวาบงดงามและแปลกประหลาด

“เหมือนไฟไหม้” เสวียนจีถาม การเคลื่อนไหวไปมาไร้รูปแบบ กระโดดโลดเต้นเหมือนกับแสงไฟ แต่ไฟที่ไหนมีสีเขียวกัน

อวี่ซือเฟิ่งตกใจกล่าวว่า “ข้าเหมือนเคยเห็นไฟเช่นนี้! อาจารย์เคยบอกว่า อันนี้เรียกว่า…”

“มารปีศาจที่ชื่อปี้ฟาง พ่นไฟประหลาดได้ ศิษย์พี่ที่มีประสบการณ์เคยเห็น!”

ในป่ามีเสียงดังแว่วมาเสียงหนึ่ง ขัดวาจาเขาขึ้น ทั้งสองตกใจหันกลับไปมอง เห็นในป่ามีคนค่อยๆ เดินออกมาห้าหกคน ล้วนสวมชุดดำ ที่เอวยังมีห่วงเหล็กสีขาว ทุกคนล้วนใช้ผ้าดำปิดหน้า เผยเพียงแค่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มไม่ก็เขียวเข้มคู่หนึ่ง

เสวียนจีปิดจมูก กระซิบว่า “กลิ่นอายปีศาจ…พวกเขาเป็นปีศาจ”

อวี่ซือเฟิ่งกำกระบี่สั้นแน่น ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ ตอนนี้เขาไร้พลังวัตร เสวียนจีคนเดียวย่อมไม่อาจรับมือปีศาจมากมายเช่นนี้ได้ เห็นท่าทางการเดินของพวกเขาเบาหวิวว่องไว ก็รู้ว่าย่อมเป็นมารปีศาจสำเร็จตบะขั้นสูง จิ้งจอกม่วงก่อนหน้าก็ทำเอาพวกเขาหลายคนย่ำแย่ยากบรรยาย ตอนนี้มากันห้าหกคน ช่างมีแต่ตายสถานเดียวเสียจริง

ในใจเขามีความคิดมากมายวิ่งวนไปมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกัดฟันเก็บกระบี่สั้น ประสานมือกล่าวว่า “พวกข้าเสียมารยาทแล้ว ทุกท่านคงมาทำลายโซ่หมุดทะเลแปดทิศกระมัง โซ่หมุดอยู่ที่หอไท่จี๋บนยอดเขา ไม่ได้อยู่เชิงเขา”

บรรดาปีศาจหัวเราะคิกคัก หัวหน้าปีศาจจับนกประหลาดตัวหนึ่งอยู่ในมือ ราวกับนกกระเรียนเซียนแต่ขนสีเขียว ร่างกายด้านล่างมีขาเดียว ใช้ขาเพียงข้างเดียวนั้นยืน สองตาจ้องมองมายังทั้งสองคน มองจ้องขนลุกไปทั้งตัว

อวี่ซือเฟิ่งรู้ว่ามันต้องเป็นปีศาจนกปี้ฟางที่มีชื่อเสียงแน่นอน เมื่อก่อนเขาเคยเห็นแต่ในรูปภาพ ไม่เคยได้เห็นปี้ฟางตัวจริง ตำนานเล่าว่าคนที่เห็นปี้ฟาง เหมือนว่าไม่เคยมีชีวิตรอด ไฟประหลาดที่มันพ่นออกมา เพียงพอจะทำให้ทุกอย่างมอดไหม้เป็นจุณ เป็นนกหายนะที่น่ากลัวอย่างที่สุด ยามนี้มาพบเข้า หนีได้หรือไม่ก็แล้วแต่ลิขิตฟ้าแล้ว

ปีศาจสองสามตัวนั้นหัวเราะครู่หนึ่ง หนึ่งในปีศาจนั้นกล่าวว่า “ข้าเห็นเจ้าทั้งสองคนพกกระบี่ เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว คิดว่าคงเป็นผู้บำเพ็ญเซียนกระมัง เคยผ่านไปเขาไห่หวั่นหรือไม่”

ทั้งสองคนสะดุ้งในใจ ที่แท้พวกเขาเป็นพวกเดียวกับปีศาจตัวนั้นดังคาด น่าจะมาตามหาคนที่สังหารสหายปีศาจพวกมันได้เพื่อแก้แค้นแน่แล้ว!

อวี่ซือเฟิ่งรีบส่ายหน้า “เปล่า พวกข้ามาจากเมืองชิ่งหยางตะวันตก”

หัวหน้าปีศาจตัวนั้นยิ้มกล่าวว่า “พ่อหนุ่มน้อย ริอาจโกหก! โกหกก็ต้องถูกตัดหัว! พวกเจ้าไม่ได้ผ่านไปทางเขาไห่หวั่น เหตุใดบนตัวจึงมีกลิ่นหญ้าจู้อวี๋”

ทั้งสองตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน ที่แท้การรับกลิ่นของมนุษย์สู้การรับกลิ่นของปีศาจไม่ได้ พวกเขาเคยไปอยู่หมู่บ้านวั่งเซียนมาพักหนึ่ง เคยกินหญ้าจู้อวี๋ กลิ่นหอมนั่นผ่านไปหลายวัน คนปกติไม่ได้กลิ่น แต่ไม่อาจหลบจมูกปีศาจไปได้

อวี่ซือเฟิ่งเห็นพวกเขาพากันล้อมวงเข้ามา เห็นเสวียนจีหันหลังวิ่งหนี ปีศาจด้านหลังหัวเราะดังว่า “หาตัวคนสังหารเจ้าเจ็ดได้แล้ว! พี่ใหญ่ จับเป็นหรือสังหารทิ้งไปเลย?”

หัวหน้าปีศาจกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “สังหารทิ้ง! ล้างแค้นให้เจ้าเจ็ด!”

เสวียนจีวิ่งไปได้สองก้าว ได้ยินเสียงลมด้านหลัง นางได้สติตวัดกระบี่ไป เสียงตึงดังตัดเข้ากลางลำตัวเจ้าปีศาจตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามา ร่างเขาไม่ได้สวมเกราะอันใด กระบี่กลับฟันไม่เข้า เสวียนจีได้แต่ร้อนรนไม่อาจระงับ ถอยหลังหันหน้าวิ่งหนีทันที

ได้ยินเสียงตวาดดังด้านหลัง “อย่าได้หนี!”

ตามมาด้วยนกปี้ฟางขาเดียวส่งเสียงคำรามราวกับเสียงเศร้าโศกรันทด แสงสีเขียวสว่างวาบ เสวียนจีรู้สึกเพียงข้อศอกเจ็บปวดรวดร้าวอย่างที่สุด ก้มลงดู เห็นว่าถูกเจ้าไฟประหลาดนั่นเผาไหม้อยู่

นางตกใจส่งเสียงร้องดัง คิดจะใช้มืดพัดไฟ ไม่ทันระวังปีศาจด้านหลังที่พุ่งมา ขาหนึ่งถีบเข้ากลางหลังนาง ด้านหลังพลันเจ็บปวดราวกับถูกฉีกขาด หน้าอกมีเลือดทะลักขึ้นมา อ้าปากพ่นออกมาเป็นเลือด ไม่อาจทานรับไหวอีกต่อไป สองขาอ่อนแรงคุกเข่าลงกับพื้น

ด้านหลังหลายคนส่งเสียงตะโกนดัง นางกลับได้ยินไม่ชัด รู้สึกเพียงแค่ไม่ไกลนัก ลูกไฟสีเขียวงดงามนั่นลุกไหม้เลื้อยลามเข้ามา

ไฟนั่นถึงกับกำลังลุกไหม้ แม้แต่ดินโคลนก็ถูกเผาไหม้

นางรู้สึกสติดับวูบ สองตาดำมืด ทนไม่ไหวกำลังจะหมดสติไป พลันมีคนมาโอบเอวนางไว้แน่น ตามด้วยเสียงจ๋อม ร่างทั้งร่างเย็นเยียบ ในใจรู้สึกว่าตกลงในทะเลสาบ ความคิดนี้แวบมาก่อนจะสลบไป ไม่รู้อันใดอีกแล้ว

ทั้งสามกำลังแย่งกันไม่หยุด พลันได้ยินทางแยกด้านขวามีเสียงดังแว่วมา เป็นเสียงผู้หญิง พากันอดสะดุ้งในใจไม่ได้

จิ้งจอกม่วง?! นางไล่ตามมาแล้ว?

“…มารปีศาจที่ถูกจองจำไว้คือตนใดกันแน่ ไยทุกคนล้วนคิดไปช่วยเขา?”

เสียงสตรีผู้นั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ น่าจะใกล้เลี้ยวมาแล้ว

“เหมือนกับมนุษย์ ชื่อเสียงข้างนอกยากที่จะมีเรื่องจริงเท็จมากมาย ก่อนหน้านี้ต้องการเพื่อช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจเพียงอย่างเดียว ต่อมาค่อยๆ กลายเป็นอยากช่วยเพื่อสร้างชื่อเสียง หลายพันปีมานี้ ไม่เคยมีผู้ใดช่วยเขาได้สำเร็จ ดังนั้นผู้ใดช่วยออกมาได้ ไม่ใช่ว่ามีชื่อเสียงโด่งดังหรือ”

น้ำเสียงผู้ชายแหบพร่า ท่วงทำนองวาจาฟังประหลาด

“หึๆ อันนี้ข้ารู้ หลายคนคิดสร้างชื่อเสียง แต่ถิงหนู เจ้ายังไม่ได้บอกข้า แท้จริงแล้วคือปีศาจใดกันแน่…”

น้ำเสียงพลันสะดุดลงทันที ดรุณีน้อยชุดขาวผู้นั้นเลี้ยวออกมา ยามนั้นเองชายหนุ่มสามคนตรงหน้าก็เบิกตาโตจ้องมองเขม็ง

“ซือเฟิ่ง! ศิษย์พี่หก! หรูอี้!” ในที่สุดเสวียนจีก็พบพวกเขา อดระงับความตื่นเต้นไว้ไม่ได้ ปรี่เข้ามา ถามติดๆ กัน “เป็นอย่างไรบ้าง จิ้งจอกนั่นทำร้ายพวกเจ้าไหม”

ทั้งสามยังไม่ทันตั้งสติได้ เอาแต่มองจ้องนางนิ่งงัน มองไปด้านหลังอีกที เห็นชายในชุดแดงบนเก้าอี้เข็น สุดท้ายเห็นจิ้งจอกม่วงที่กำลังสลบอยู่ในอ้อมกอดชายผู้นั้น

อวี่ซือเฟิ่งพึมพำกล่าวว่า “เสวียนจี…เจ้าเจอเรื่องประหลาดอันใดอีกหรือ…ผู้นี้คือใคร จิ้งจอกนั่น…”

เสวียนจีตื่นเต้นมาก พรั่งพรูเรื่องราวว่าตนเองได้พบกับเงือกได้อย่างไร ไปหอไท่จี๋หาร่างจริงจิ้งจอกม่วงพบได้อย่างไร และทำจิ้งจอกม่วงบาดเจ็บอย่างไร สุดท้ายจบเรื่องราวที่ออกมาหาพวกเขาพร้อมกับเงือก ทั้งสามฟังจนอ้าปากค้าง

หรูอี้ชี้ไปที่จิ้งจอกตัวนั้น ตกใจกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าทำนางสลบ?!” ความตื่นตกใจไม่น้อยไปกว่าเห็นสุกรบินได้

จริงๆ แล้วเสวียนจีเองก็งงไม่น้อย แต่เด็กน้อยมักจะมีภาคภูมิในชัยชนะ อะไรที่ดีก็จะลากเข้าหาตนเอง ยามนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า “ใช่สิ! ข้าใช้ไฟเผานาง ปรากฏว่านางสลบไปเลย”

หรูอี้แอบส่ายหน้า ยังคงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ จงหมิ่นเหยียนราวกับคิดถึงเรื่องราวความหลังอันใดขึ้นมาได้ เม้มปากไม่กล่าวอันใด ดังนั้นอวี่ซือเฟิ่งจึงก้าวเข้าไปปัดฝุ่นบนหัวไหล่นาง กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ครั้งหน้าอย่าได้วู่วามเช่นนี้ เข้าใจไหม”

เสวียนจีพยักหน้าอย่างว่าง่าย พลันเห็นเข็มขัดและสาบเสื้อตรงหน้าอกเขาหลุดลุ่ย เผยเสื้อตัวในสีขาว แอบมองเห็นรอยแดงบนหน้าอก อดตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ได้ ชี้ไปตรงนั้น ร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือ?! จิ้งจอกนั่นไหนบอกว่าไม่ได้ทำร้ายคน! ข้า…ข้าจะสังหารนางทิ้งตอนนี้เลย!”

อวี่ซือเฟิ่งดึงแขนเสื้อนางไว้ ใบหูแดงก่ำราวกับโมราแดงแกะสลักงดงาม เป็นนานกว่าจะกระซิบว่า “ไม่ใช่บาดเจ็บ! ข้าไม่เป็นไร…นางไม่ได้ทำร้ายพวกข้าจริง อย่าได้สังหารส่งเดช”

เสวียนจียังคิดกล่าวต่อ เขากลับเดินไปหน้าถิงหนู ก้มหน้าลงมองอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้า…ยังจำพวกเราได้ไหม”

ถิงหนูมองเขานิ่งเงียบ เป็นนานกว่าจะพยักหน้า “จำได้…แต่ตอนนั้น เจ้าไม่ได้สวมหน้ากากนี้นี่ เกิดอันใดขึ้น”

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบ

ถิงหนูจ้องมองเขาพักหนึ่ง สายตาค่อยๆ เผยสีหน้าสงสารเห็นใจ

“อา เจ้าเป็นเงือกครั้งนั้น! เจ้าพูดได้?” ในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็ค่อยๆ พบว่าชายชุดแดงที่นั่งอยู่บนรถเข็นนี้ก็คือตัวละครหลักที่ทุกคนช่วยในปฏิบัติการไข่มุกเมื่อสี่ปีก่อน อดระงับความตื่นเต้นไม่ได้ ปรี่เข้าไปมองเขาตั้งแต่บนลงล่าง

ถิงหนูยิ้มเล็กน้อย แววตาเห็นใจสงสารพลันมลายหายไป กลางเป็นความอ่อนโยนราวสายลมวสันต์ กล่าวเบาๆ ว่า “ข้ายังไม่ได้ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยชีวิต ถิงหนูได้รับบุญคุณใหญ่นี้ ไม่กล้าลืมเลือนชั่วชีวิต”

“บุญคุณอันใด อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย!” จงหมิ่นเหยียนโบกมือ พลันคิดถึงอันใดได้ กล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว ต่อมามีคนตำหนักหลีเจ๋อมารับเจ้าไหม ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่”

ถิงหนูลังเลครู่หนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ตอนคนตำหนักหลีเจ๋อไปถึง เจ้าไม่อยู่ในทะเลสาบนั้นแล้ว มีคนอื่นมาพาเจ้าไปใช่ไหม”

เขาส่ายหน้า “ข้าถูกจิ้งจอกม่วงพาตัวมาที่นี่ นางอยากรู้เรื่องบางอย่าง บีบให้ข้าบอกนาง แต่จริงๆ แล้วข้าเองก็ไม่รู้ นางไม่เชื่อ จึงขังข้าไว้ที่บ่อน้ำพุใต้ดิน”

“มารปีศาจจิ้งจอกควรตายนี่น่ารังเกียจจริง!” จงหมิ่นเหยียนคิดถึงเมื่อครู่ที่ถูกข่มให้หวาดกลัวแล้วก็อดกล่าวเคียดแค้นขึ้นไม่ได้ แทบอยากจะกระชากจิ้งจอกจากอ้อมกอดเขามาตบสักสองสามฉาด

เสวียนจีกว่าจะหาจังหวะแทรกขึ้นก็ไม่ง่าย ได้ทีก็รีบกล่าวว่า “ถิงหนูบอกว่าจิ้งจอกม่วงแม้ว่าจับคนได้ แต่เพราะขี้ขลาด แต่ไรมาไม่เคยทำร้ายคน คนที่ถูกนางจับตัวมาก่อนหน้าล้วนนำไปเลี้ยงดูอยู่ที่สวนอี๋ซิน สอนพวกเขาฝึกลมปราณหายใจ ข้ากำลังคิดว่าจะไปดูหลังเขา ทุกคนไปด้วยกันนะ”

นางไม่ทำร้ายคนสิแปลก! จงหมิ่นเหยียนดื้อดึงไม่อยากจะเชื่อ แต่เพราะอวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ล้วนพยักหน้ารับคำ เขาได้แต่ต้องไปด้วยกัน ไปหลังเขาดูความจริงกัน

ยามนั้นทุกคนออกจากค่ายกลเก้าตำหนัก ด้านนอกเป็นป่ารกครึ้มผืนติดๆ กัน ก็ไม่รู้ว่าเขาเกาซื่อซานอยู่ที่ใด

ถิงหนูชี้ไปทางตะวันออก กล่าวว่า “สวนอี๋ซินน่าจะไปทางนี้”

จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “หากถึงที่นั่น พบว่าความจริงไม่เป็นดังที่เจ้าว่าไว้ จะว่าอย่างไร”

ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ย่อมไม่ จิ้งจอกม่วงไม่เคยทำร้ายคน ข้ารู้”

ไยเจ้าจึงมั่นใจเช่นนี้ จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วแน่น “ข้าไม่สนใจ หากพบว่านางใช้วิชาดูดพลังหยางเสริมพลังหยินทำร้ายชายเหล่านั้น ข้าต้องไม่ปล่อยนางแน่!”

ถิงหนูลูบขนจิ้งจอกม่วง กล่าวเบาๆ ว่า “ได้ แต่หากไม่ได้ทำร้ายคน ก็ขอให้จอมยุทธ์ทุกท่านปล่อยจิ้งจอกม่วงไป ปีศาจบำเพ็ญจนมีร่างมนุษย์ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าได้ตัดสิ้นหนทางพวกเขา”

น่าแปลก ไม่ใช่ว่าจิ้งจอกม่วงนั่นก็จับตัวเขามาหรือ เงือกนี่เหตุใดไม่รู้แยกแยะถูกผิด กลับช่วยนางพูดอีก จงหมิ่นเหยียนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

อวี่ซือเฟิ่งเข็นถิงหนูเดินรั้งท้าย ครู่หนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “…เมื่อครู่บอกว่านางต้องการถามเจ้าเรื่องหนึ่ง คือเรื่องใด”

ถิงหนูยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ว่ากันว่ามีมารปีศาจร้ายกาจตนหนึ่งถูกโซ่หมุดทะเลแปดทิศจองจำไว้ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาถูกจองจำอยู่ที่ใด ก่อนหน้านี้จิ้งจอกม่วงเคยไปมาหาสู่กับมารปีศาจนั่นอยู่บ้าง ดังนั้นหลายปีมานี้จึงพยายามบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก หวังจะช่วยเขาออกมา นางจับข้ามา เพราะข้าเป็นพวกเผ่าน้ำ นางคิดว่ามารปีศาจนั่นถูกจองจำอยู่ใต้ทะเล ดังนั้นจึงบีบให้ข้าบอกว่าอยู่ที่ใด”

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนาน พลันกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้จริง?”

ถิงหนูสะดุ้งในใจ แต่สีหน้ากลับยังคงอ่อนโยน ยิ้มกล่าวว่า “ไม่รู้จริง ไยต้องลำบากโกหก”

อวี่ซือเฟิ่งมองเขาครู่หนึ่ง ค่อยๆ กล่าวเนิบนาบว่า “จริงๆ แล้วพวกเราได้เจอมารปีศาจอาละวาดที่เขาไห่หวั่น ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไหม”

เสวียนจีหูดี ได้ยินเขาสองคนคุยจุ๊กจิ๊กเรื่องมารปีศาจนั่นอยู่ด้านหลัง จึงปรี่เข้ามาใกล้ กล่าวว่า “ถิงหนูว่าพวกที่เขาไห่หวั่นก็เป็นเพราะคิดช่วยมารปีศาจนั่น โซ่หมุดทะเลเรียงตามลำดับช่องของแผนภูมิสวรรค์ปฐพี เขาไห่หวั่นอยู่ตะวันออกเฉียงใต้ เขาเกาซื่อซานอยู่ตะวันออก เมื่อครู่ข้าอยู่หอไท่จี๋มองเห็นโซ่หมุดทะเลแล้ว ยาวมากๆ…เป็นไปได้ว่าเขาไห่หวั่นก็ฝังอยู่เส้นหนึ่ง”

อวี่ซือเฟิ่งเห็นหน้าตาไร้เดียงสาของนางเข้ามาคุยจ้อถึงสิ่งที่รู้มาก็อดยิ้มไม่ได้ ก่อนจะลูบศีรษะนางเบาๆ

ถิงหนูกล่าวอีกว่า “ยามนี้ไม่ใช่เวลามาไล่เรียงความผิดจิ้งจอกม่วง อีกเรื่องที่ว่ายังมีปีศาจอีกกลุ่มกำลังร่วมกันช่วยมารปีศาจนั่น คิดว่าพวกที่เขาไห่หวั่นเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา ไม่แน่ตอนนี้พวกเขาอยู่กันที่เขาเกาซื่อซานแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าโดนฝ่ามือดับพลังหยางของจิ้งจอกม่วง อย่างน้อยต้องสามวันจึงจะฟื้นคืนพลังวัตร หากเจอพวกเขาเข้าคงมีแต่ตายสถานเดียว ตามความเห็นข้า ไปสวนอี๋ซินแล้วก็จะมีเส้นทางลัดหลังเขาหนีออกไปได้ หากรู้สึกยอมไม่ได้ ก็รอให้พลังวัตรฟื้นคืนก่อนค่อยกลับมาค้นหาดูก็ไม่สาย”

อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกว่าเขากล่าวได้มีเหตุผล อดพยักหน้าเล็กน้อยไม่ได้ จงหมิ่นเหยียนเองก็เข้ามาร่วมวง ยิ้มกล่าวว่า “อย่างไรจิ้งจอกม่วงก็ไม่ไหวแล้ว พวกเราไม่สู้ช่วยคนในสวนอี๋ซินออกไปด้วย! พาพวกเขากลับบ้าน ไปอยู่พร้อมหน้าครอบครัว”

หรูอี้เองก็เขยิบเข้ามาใกล้ “ไม่เลว ความคิดดี ตกลงตามนี้”

ในตำหนักว่างเปล่า เสวียนจีหาคนอยู่เป็นนานก็หาทางออกไม่เจอ ที่นี่มีทางแยกมากมาย ระเบียงทางเดินเป็นทิวแถว เหมือนว่าทุกห้อง ทุกระเบียงทางเดิน นางล้วนหาหมดแล้ว ด้านในไม่มีแม้เงาคน ไม่รู้ว่าจิ้งจอกม่วงนั่นเอาคนไปไหนกันแน่

ตอนนั้นพวกนางล้วนถูกคลุมหน้านำทางเข้ามา มองไม่เห็นอันใด รู้สึกเพียงแค่ที่นี่กว้างใหญ่มาก แต่เสวียนจีค้นพบอย่างรวดเร็วว่า แม้ไม่ได้คลุมศีรษะนางไว้ นางก็คงแยกทางไม่ออก เพราะว่าห้องที่นี่หน้าตาเหมือนกันหมด ทางเดินแต่ละส่วน ความสั้นยาวกว้างแคบเหมือนกันไปหมด ยากยิ่งกว่าเขาวงกตเสียอีก

นางคนเดียว ฝืนความเจ็บปลาบที่หน้าอก เดินหาไปถึงครึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดก็รู้สึกทนไม่ไหว คว้าเชิงเทียนทองสัมฤทธิ์อันหนึ่งค่อยๆ ไถลตัวลงนั่งกับพื้น หน้าอกพลันปวดแปลบรุนแรง ราวกับกำลังจะระเบิดออก ข้างในเหมือนเต้นรุนแรง หากนางไม่พยายามฝืนกลืนเลือดก้อนนั้นลงไป เกรงว่าคงได้พ่นออกมาสิ้นใจตายไปแล้ว

นางหลับตาลง ค่อยๆ เคลื่อนพลังวัตรขจัดก้อนเลือดที่อุดตันตรงหน้าอกให้สลายไป

ไม่รู้ทำไมพอคิดถึงตอนอยู่ยอดเขาเสี่ยวหยาง ทุกวันตอนเช้าในหน้าหนาวนางแทบอยากห่อตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ออกไปไหน บางครั้งสวมเสื้อมากไป ตนเองรู้สึกยุ่งยาก ดังนั้นอาจารย์จึงสอนวิธีขี้เกียจให้นาง ทำให้หน้าหนาวอุ่นหน้าร้อนเย็นสบายได้

ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว นั่นไม่ใช่วิธีการขี้เกียจ แต่เป็นวิชาหยางเชวี่ยกง วิชาสูงสุดของสำนักเส้าหยาง นางใช้เวลาราวปีกว่า ในที่สุดก็เริ่มเห็นผล หน้าหนาวปีที่สองมาถึง นางสวมชุดฤดูใบไม้ผลิได้อย่างสบาย เหินกระบี่ท่ามกลางหิมะ สีหน้าก็ไม่แปรเปลี่ยน

พอรู้ว่านางฝึกวิชาหยางเชวี่ยกงเป็น วันนั้นอาจารย์ดีใจมาก ลากนางไปดื่มสุรามากมาย สุดท้ายเหมือนว่าดื่มมากไป พึมพำกล่าวว่า “เสวียนจีเอ๊ย เห็นเจ้าแล้ว อาหงก็นึกถึงตัวเองตอนเด็ก หลายคนต่างคิดว่าข้าโง่เขลา มีเพียงอาจารย์อยากสอนสั่งข้าให้ดี สุดท้ายในที่สุดก็เรียนสำเร็จ ดีที่ไม่ได้ทำให้ท่านอาจารย์เสียหน้า แต่ทว่าอาหงตอนนั้นไม่เหมือนเจ้า เจ้ามีสหายมากมาย ยังมีพี่สาวที่แสนดี ตอนนั้นข้าไปไหนมาไหนคนเดียว ผู้คนเรียกว่าจอมยุทธ์โดดเดี่ยว!”

ตอนนั้นนางฟังไม่เข้าใจ ได้แต่เบิกตาจ้องมองนาง ดังนั้นอาจารย์จึงยิ้ม “ชมเจ้า! เด็กโง่ คนคนหนึ่งตัวคนเดียวบนโลก จริงๆ แล้วน่าสงสารมาก ดังนั้นมีเพื่อนก็ต้องรักษาไว้ให้ดี ดีต่อพวกเขามากๆ อย่าได้ทำผิดต่อพวกเขา อาหงโตมาจึงได้เข้าใจหลักการเหล่านี้ แต่ก็สายไปแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่าได้เป็นแบบข้า โลกนี้จะหาสหายที่ยอมทุ่มเทเพื่อเจ้านั้น เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง”

ต่อมาก็ผ่านมานานเช่นนี้ นางลืมวาจาสนทนาวันนั้นไปนานแล้ว ตอนนี้ไยจึงนึกขึ้นมาได้

อวี่ซือเฟิ่ง จงหมิ่นเหยียน หรูอี้ หลิงหลง พวกศิษย์พี่ใหญ่…แม้กระทั่งลู่เยียนหราน ทุกคนนับว่าเป็นสหายนางใช่หรือไม่ ทุกคนเผชิญภัยมาด้วยกัน หัวเราะมาด้วยกัน ยามเกิดภัย พวกเขาขวางอยู่หน้านาง ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ตนเองพึ่งพาพวกเขาดูแลนาง พวกเขาดูแลอย่างไม่ต้องการผลตอบแทน

นางพลันเข้าใจวาจาอาจารย์ นางเรียนรู้มานานเพียงนี้ ในที่สุดก็เรียนรู้จนมีความสามารถ นั่นไม่ใช่จะนำมาใช้เพื่ออวดเบ่ง

ดังความตั้งใจแรกสุดที่นางไปบำเพ็ญเพียรบนยอดเขาเสี่ยวหยาง ก็เพราะหวังว่าทุกคนจะมีชีวิตที่เรียบง่ายและอบอุ่นเช่นนี้ตลอดไปได้ นางมีกำลังปกป้องพวกเขาได้ จะได้ไม่เพิ่มภาระให้กับผู้ใด

ตอนนี้ควรถึงเวลาที่นางจะได้ตอบแทนมิตรสหายแล้ว

เสวียนจีลืมตาขึ้น ความปวดปลาบในทรวงอกเหมือนค่อยๆ ทุเลาลง นางกัดฟันฝืนลุกขึ้นยืน มองไปรอบๆ ทุกภาพเหมือนกัน เชิงเทียนที่ถูกนางคว้าไว้อยู่ตอนนี้ นางจำได้ว่าเดินผ่านมาเป็นครั้งที่สี่แล้ว

จะหาพวกซือเฟิ่งพบได้อย่างไรกัน

เสวียนจีถือกระบี่เดินไปมาอยู่ในตำหนัก ตอนผ่านแท่นสูง พลันได้กลิ่นไม่เหมือนปกติ

กลิ่นอายปีศาจ! ในใจนางพลันวูบไหว เดินตามกลิ่นไป พลันเห็นกำบังด้านหลัง มีทางแยกเล็กทางหนึ่ง กลิ่นอายปีศาจลอยออกมาจากตรงนี้

มิน่านางหาอยู่เป็นนาน ล้วนวนอยู่ในเขาวงกต ที่แท้ตำหนักใหญ่นี้ใช้เพื่อหลอกผู้คน ด้านหลังมีทางลับตรงไปยังรัง คิดว่าจิ้งจอกม่วงนำคนเข้าไปทางนี้ นางพลันรวมพลังตวัดกระบี่ตัดกำบังผลึกแก้วขนาดใหญ่ขาดเป็นสองท่อน ดังคาด ด้านหลังมีทางลับ น่าจะไปอย่างรีบร้อน จึงปิดไปแค่ครึ่งเดียว นางถือกระบี่กระโดดตามกลิ่นอายปีศาจเข้าไป

*******************

พวกจงหมิ่นเหยียนถูกจิ้งจอกม่วงจับตัวไป รู้สึกตลอดทางดูพร่ามัว บัดเดี๋ยวสว่าง บัดเดี๋ยวมืด มองทางไม่เห็นกระจ่างนัก สุดท้ายราวกับเดินไปถึงห้องมืดห้องหนึ่ง เท้าเหยียบเข้ากับพื้นนิ่ม เป็นเตียงใหญ่ ขณะกำลังตื่นตกใจ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงสวบสาบ เบื้องหน้าพลันสว่างวาบ เป็นจิ้งจอกม่วงนั่นจุดเทียนขึ้น

ทุกคนเห็นนางท่าทางนวยนาดอรชร ใต้แสงเทียนยิ่งทำให้น่าตื่นตายิ่งขึ้น พากันอดหลับตาลงไม่ได้ เกรงว่ามองมากไปก็จะทำให้จิตใจวุ่นวาย

ได้ยินจิ้งจอกม่วงหัวเราะเบาๆ นั่งลงข้างเตียง ยกมือไปลูบแก้มจงหมิ่นเหยียน พลางกล่าวอ่อนโยนว่า “อย่าได้หวาดกลัว ช่วงเวลาดีบรรยากาศงามเช่นนี้ ไยไม่ปล่อยใจให้สบาย เจ้าและข้าร่วมอภิรมย์เช่นสามีภรรยาคู่หนึ่งกันเถิด”

ไหนเลยเป็นคู่! จงหมิ่นเหยียนไม่กล้ากล่าว ไม่กล้าขยับ นอนตัวตรงแหน็วแกล้งตายอยู่ตรงนั้น ในหัวคิดถึงนิทานที่ศิษย์พี่รองเฉินหมิ่นเจวี๋ยเคยเล่าว่าเมื่อก่อนที่ละแวกเขาชิงชิวมีปีศาจจิ้งจอกออกอาละวาด มักจะแปลงร่างเป็นยอดสาวงามหลอกล่อพวกชายชีกอให้ร่วมอภิรมย์กับนาง ดูดเอาวิญญาณอีกฝ่ายไปเป็นพลังวัตรตนเอง และชายที่ถูกดูดพลังหยางไปพวกนั้น แม้ว่าไม่ตาย แต่ก็กลายเป็นคนพิการ ผอมหนังติดกระดูกราวกับผีตายซาก อยู่ต่อไม่นานนักก็ตาย

ตอนนั้นเขาอายุยังน้อย พอได้ยินก็ขนลุกไปทั้งตัว แอบนึกถึงชายที่ร่างกลายเป็นซากศพแห้งกรังพวกนั้นก็นอนไม่หลับ ต่อมามีครั้งหนึ่งอาจารย์ได้ยินเข้า ด่าศิษย์พี่รองไปยกใหญ่ เขาเองหวาดกลัวจนวิ่งไปถามอาจารย์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อาจารย์ไม่ปฏิเสธ กล่าวเพียงว่าวันหน้าท่องยุทธภพก็ย่อมต้องระวังสตรีที่งดงามเหมือนนางจิ้งจอกยั่วยวนให้ดี

คิดไม่ถึงวันนี้เขาถึงกับมาเจอเรื่องเช่นนี้เอง กลัวอะไรเจออย่างนั้นจริงๆ ครั้งนี้มือนางปีศาจลูบหน้าอกเขา เห็นว่ากำลังจะสอดเข้าไปแล้ว เขาได้แต่ตกใจตัวแข็งทื่อ ในใจส่งเสียงตะโกนเรียกคนช่วยชีวิตไม่หยุด

หรูอี้ข้างๆ พลันกล่าวว่า “ในเมื่อจะเป็นสามีภรรยา ก็ควรต้องมีความจริงใจ เจ้าพาข้าสองคนมาอยู่ที่นี่ด้วยทำไมกัน หรือว่าต้องการให้พวกข้าถลึงตาฟาดฟันกันเองหรือ”

จงหมิ่นเหยียนรู้สึกว่ามือปีศาจหดกลับไป ในเวลากระชั้นชิด ในใจก็พลันโล่ง พี่หรูอี้ บุญคุณยิ่งใหญ่!

จิ้งจอกม่วงยิ้มอ่อนโยนกล่าวว่า “จอมยุทธ์ทุกท่านช่างมีใจ ยังไม่ทันเป็นสามีภรรยาก็รู้จักดื่มน้ำส้มแล้ว เพียงแต่ข้ามีสายสัมพันธ์กับตำหนักหลีเจ๋อ จึงไม่คิดลงมือกับพวกเจ้าตอนนี้ ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ เช่นนั้นข้ายังต้องเกรงอันใดอีก”

กล่าวจบนางก็เลิกม่านไปรัดไว้ด้านข้าง นำจงหมิ่นเหยียนไปวางไว้นอกเตียง ตนเองมุดเข้าไป ก็ไม่รู้ว่าด้านในเล่นอันใดกัน

ได้ยินเสียงอวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “ช้าก่อน เมื่อครู่ตอนอยู่ในโถงกลางเจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า รู้ได้อย่างไรว่าพวกข้าเป็นศิษย์บำเพ็ญเซียน”

จิ้งจอกม่วงในมุ้งฉอเลาะกล่าวว่า “ยามนี้ไยต้องพูดทำลายบรรยากาศ เอาเถอะ ตามใจเจ้า ล้วนตามใจเจ้า วันตกฟากพวกเจ้า ข้าเห็นทะลุปรุโปร่งแล้ว ไม่ใช่ตกฟากเวลาหยางแต่พลังวัตรภายในหนักแน่น ครั้งก่อนไปศาลบรรพชนถูกข้าพบเข้า…อืม เจ้าว่า ไม่ใช่วาสนาหรือ”

ที่แท้นางรู้แผนการพวกเขาก่อนแล้ว ถึงกับไม่เปิดโปง รอพวกเขามาติดกับเอง! นางปีศาจเฒ่าสำเร็จผลมาหลายพันปีไม่ธรรมดาจริงๆ ด่านสาวงามวันนี้เกรงว่าหลบไม่พ้นแล้ว

อวี่ซือเฟิ่งยังคิดหาเรื่องยื้อเวลากับนางต่อ พลันในลำคอเหมือนมีคนกดไว้ สกัดจุดใบ้พูดไม่ออก เขาร้อนใจ ได้ยินน้ำเสียงจิ้งจอกม่วงไพเราะเสนาะอยู่ข้างหู ออดอ้อนจนทำให้รู้สึกอ่อนยวบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า

“คนเจ้าเล่ห์…สามีที่รักของข้า กล่าวน้อยหน่อยแล้วกัน”

เขาได้แต่รู้สึกถึงร่างกายนุ่มนิ่มแนบเข้ามา ปลายจมูกได้กลิ่นหอมลอยมา ในใจพลันเริ่มเย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งสองใช้วิชาตัวเบากลับถึงเรือนข้าง น้ำชาบนโต๊ะเพิ่งเปลี่ยนไป พวกหลิงหลงกำลังรอแทบทนไม่ไหว เห็นทั้งสองเดินเข้าประตูมา ก็รีบเข้าไปรุมล้อมถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวอันใดมา”

อวี่ซือเฟิ่งโบกมือบอกพวกเขาให้เบาหน่อย เดินไปด้านในจึงยิ้มกล่าวว่า “เรื่องใหญ่ไม่เบา ที่แท้เซียนหญิงนั่นร้ายกาจยิ่งกว่าผู้ชาย ทุกปีแต่งสามีถึงสี่คน!”

เขาเล่าเรื่องที่แอบฟังจากโถงกลางเมื่อครู่ หลิงหลงฟังจนอ้าปากค้าง กล่าวติดๆ กันว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! เซียนหญิงนั่นเป็นปีศาจดังที่คาดไว้หรือ”

เสวียนจีกล่าวว่า “ว่าไปแล้ว เช้าวันนี้ตอนอยู่ที่ศาลบรรพชนนั่น ตอนเซียนหญิงมา ข้าราวกับได้กลิ่นอายปีศาจ”

จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้ว “กลิ่นอายปีศาจได้กลิ่นได้ด้วย? เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาหน่อยว่าแท้จริงกลิ่นอันใด” เขาแต่ไรไม่เคยรู้ว่ากลิ่นอายปีศาจรับรู้จากกลิ่นได้

เสวียนจีตะลึงไปครู่หนึ่ง “เอ๋ กลิ่น…” นางกล่าวไม่ถูกว่ากลิ่นอันใด แต่ได้กลิ่นก็น่าจะรู้เองกระมัง

“แต่ไรมาพวกเจ้าไม่เคยได้กลิ่นกลิ่นอายปีศาจหรือ”

จงหมิ่นเหยียนหัวเราะดัง “ข้าไม่เคยดม และไม่เชื่อว่าผู้ใดดมได้” เขาดีดหน้าผากเสวียนจีเบาๆ ทีหนึ่ง พลางหัวเราะว่า “เหตุใดเจ้ามักมีเรื่องประหลาดมากมายเช่นนี้เรื่อย เป็นเด็กประหลาดจริง”

เสวียนจีคลำหน้าผากงุนงง

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “กลิ่นอายปีศาจย่อมได้กลิ่นได้ บำเพ็ญเพียรขั้นสูงก็ย่อมรู้สึกได้ เอาว่าไม่รู้ว่าเซียนหญิงนั่นใช่ปีศาจหรือไม่ แต่หากเป็นเซียนจริง ทำเรื่องเช่นนี้ พวกเราก็ไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ ได้”

จงหมิ่นเหยียนพยักหน้า “ผู้บำเพ็ญเซียนก็ควรกำจัดปีศาจกำราบมาร ขจัดโพยภัยให้ปวงประชา!”

เขายิ้ม สบตากับอวี่ซือเฟิ่ง ล้วนนึกถึงเรื่องราวปฏิบัติการไข่มุกเมื่อสี่ปีก่อน ยังมีประโยคหนึ่งที่ปรีดายิ่งว่า พวกเราเป็นวีรบุรุษ!

ใช่ พวกเราเป็นวีรบุรุษ ตอนนี้ก็ต้องเป็นวีรบุรุษกันต่อไป

ในเมื่อมั่นใจว่าจะต้องช่วยชาวเมืองจงหลี ทั้งห้าก็ร่วมกันมารวมหัวกันหารือแผนรับมือ ต้องหาวิธีการที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ถูกเซียนหญิงนั่นพบเข้า

ขณะกำลังหารือกันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากระเบียงทางเดินด้านนอก ทุกคนรีบกลับไปนั่งที่เดิม ยกชาขึ้นจิบวางท่าทางสบายอารมรณ์ นาทีต่อมาก็มีคนผลักประตูอย่างแรง คนทั้งกลุ่มกรูกันเข้ามา คุกเข่าลงกับพื้น พลางสะอื้นไห้ว่า “ขอจอมยุทธ์ทุกท่านช่วยชีวิตด้วย! ช่วยชีวิตด้วย!”

อย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นหนุ่มสาวอายุน้อย ไหนเลยเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ รีบเข้าไปประคองทุกคนให้ลุกขึ้น รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “ทุกท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ มีความทุกข์อันใดก็ขอให้กล่าวมา พวกเรายินดีช่วยอย่างเต็มที่”

นายท่านฟางเล่าด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นขึ้น ดังคาด เขาเล่าเรื่องราวเซียนหญิงมารอบหนึ่ง สุดท้ายยังโขกศีรษะกับพื้น ขอร้องว่า “เซียนหญิงผู้นั้นเป็นผู้รู้ทุกสิ่งจริงๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่กล้ามีเรื่องขัดแย้งด้วย ขอจอมยุทธ์เมตตา ช่วยพวกข้าน้อยด้วย!”

อวี่ซือเฟิ่งก้าวเข้าไปรั้งตัวเขาเบาๆ ประคองเขาให้ลุกขึ้นยืน พลางกล่าวว่า “ท่านอาลุกขึ้นก่อน ทุกท่านวางใจ พวกเราต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างอย่างแน่นอน คืนความสงบสุขสู่เมืองจงหลี!”

กล่าวจบเขาก็เดินไปหน้าชายหนุ่มทั้งสี่ สำรวจมองขวาทีซ้ายที มองบนมองล่างอยู่เป็นนาน พลันดึงฟางอี้เจินออกมาด้านหน้า หันกลับไปถามจงหมิ่นเหยียน “ข้ากับเขา รูปร่างใกล้เคียงไหม”

จงหมิ่นเหยียนเข้าใจความคิดเขานานแล้ว ยิ้มกว้างเดินเข้าไปพร้อมกับรั่วอวี้ แต่ละคนลากมาอีกคนหนึ่ง ถามว่า “รูปร่างใกล้เคียงพวกเขาไหม”

คนที่เหลือเข้าใจความหมายทันที มองพวกเขาอย่างงุนงง หลิงหลงตบมือร้อนใจกล่าวว่า “โอ๊ย จริงๆ เลย! คืนพรุ่งนี้เซียนหญิงก็จะมารับคนแล้ว ก็ให้นางรับพวกเราไปอย่างไร! พวกเจ้าแต่ละคนก็เอาลูกชายตัวเองไปซ่อนให้ดี อย่าให้นางพบ!”

ทุกคนจึงพลันระลึกได้ รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุด บ้างก็โขกศีรษะ บ้างก็ร่ำไห้กล่าวไม่หยุดก็มี พลันวุ่นวายไปหมดทั้งห้อง เสียงดังโหวกเหวกไปหมด

พวกอวี่ซือเฟิ่งกว่าจะคุยให้บรรดาผู้อาวุโสที่ตื่นตระหนกพวกนี้ออกไปได้ก็เป็นนาน นายท่านฟางย่อมต้องอยู่ก่อน สั่งการให้บ่าวรับใช้จัดงานเลี้ยง ทำความสะอาดห้องรับรองที่ดีที่สุด อยากจะยกห้องตนเองให้พวกเขาไปเสียเลย

มีแต่นายท่านจวงที่ยังเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ที่แท้พวกเขาห้าคนมีเพียงสามคนที่เป็นชาย ที่เหลืออีกคนจึงไม่มีคนแทน หลิงหลงเห็นจวงจิ่งตระกูลเขาร้องไห้จนน่าสงสาร จึงได้ออกตัวอย่างกล้าหาญ ตบหน้าอกกล่าวว่า “ข้าไปแทนเขาเอง! เห็นข้าอย่างนี้ ข้าก็มีความสามารถมากนะ!”

รั่วอวี้ส่ายหน้า “ไม่ได้ หน้าตาหลิงหลงแต่งชาย เกรงว่าไม่เหมือน และเจ้าก็ซุกซนยุกยิกเกินไป…”

หลิงหลงร้อนใจกระทืบเท้ากล่าวว่า “ไม่เหมือนตรงไหน! ซุกซนยุกยิกตรงไหน!”

“ตรงไหนก็ใช่…” อวี่ซือเฟิ่งพึมพำเบาๆ สี่ปีแล้ว นางมารยังคงเหมือนเดิม ราวกับกระบอกประทัด จุดทีก็ระเบิดตูม

“เจ้าว่าอะไรนะ!” ดังคาด หลิงหลงถลึงตาใส่ทันที อวี่ซือเฟิ่งรีบก้มหน้าแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้ต่อ ไม่กล่าวอันใดอีก

“ข้าว่า เสวียนจีเหมาะกว่าหน่อย” รั่วอวี้ดันจวงจิ่งไปหน้าเสวียนจี เทียบไปมา “แม้ว่ารูปร่างต่างกันอยู่ แต่เสริมรองเท้าให้สูงอีกหน่อย ยามค่ำคืนมืดมิดก็คงมองไม่ออก”

เสวียนจีกำลังดีใจที่ตนไม่ต้องทำอันใด พอได้ยินเขาเสนอตนขึ้นมา ก็รีบโบกมือ “ข้า…ข้าไม่เอา! ให้หลิงหลงไปสิ นางชอบเรื่องพวกนี้…”

รั่วอวี้กล่าวจริงจังว่า “นี่เป็นคุณธรรมแห่งการผดุงความเป็นธรรม เสวียนจี คิดปฏิเสธหรือ”

ราวหมวกใบใหญ่มากครอบลงหัวนาง อา…เสวียนจีหน้าบึ้ง ราวกับว่าหากไม่รับก็เป็นพวกไม่ผดุงความเป็นธรรม

“ตกลงเช่นนี้ละกัน! เสวียนจี เจ้าแต่งเป็นจวงจิ่ง หลิงหลงเจ้าเป็นกองหลัง ถึงตอนนั้นลอบขึ้นเขา จำไว้ว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น จะได้ไม่ทำให้เซียนหญิงนั่นต้องลงมือก่อน อย่างไรก็เป็นพื้นที่นาง พวกเราต้องระวังรอบคอบ”

จงหมิ่นเหยียนโบกมืออย่างไม่สนใจอันใดอีก กำหนดแผนเรียบร้อย เสวียนจีขยับปาก แต่สุดท้ายก็มิได้ปฏิเสธ ได้แต่ยอมรับข้อเสนอไปเงียบๆ

ยามนี้บรรดาแขกและเจ้าบ้านต่างยินดีปรีดาแท้จริง งานเลี้ยงเริ่มดำเนินการถึงยามพระจันทร์ขึ้นสูงกลางท้องฟ้า แม้แต่เสวียนจีก็ดื่มไปมาก กุมใบหน้าร้อนผ่าว หน้าตางุนงงไม่เข้าใจ วิ่งไปมองพระจันทร์กลางลาน

คืนนี้จันทร์เพิ่งเริ่มรอบใหม่ เป็นจันทร์เสี้ยวแขวนบนท้องฟ้า โค้งๆ ราวกับขนมเปี๊ยะย่างที่ถูกคนกัดไปคำใหญ่ เสวียนจีแอบคิดเงียบๆ ร่างกายโงนเงน ไม่สนใจว่าพื้นเย็น พิงตัวเข้ากับเสาระเบียง ท่าทางสะลึมสะลืออยากจะนอน

พลันได้ยินเสียงคนกระซิบกระซาบเบาๆ อยู่ด้านหน้า เหมือนว่าเป็นเสียงหลิงหลง นางกำลังยิ้ม ยิ้มหวานมาก

“…น่ารังเกียจ…ขี้เกียจสนใจเจ้าละ!”

เสวียนจีลืมตามอง เห็นเงาสองคนไปมาอยู่ตรงหน้าระเบียง ท่ามกลางมวลดอกไม้ใต้แสงจันทร์นี้ ย่อมเป็นบรรยากาศหอมละมุน นางรู้ว่าไม่ควรอยู่ต่อ กำลังจะลุกขึ้นหลบออกไป ก็เห็นหลิงหลงยืนขึ้นบิดขี้เกียจ กล่าวว่า “ข้าง่วงแล้ว เจ้าก็เข้านอนเร็วหน่อย พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำ”

กล่าวจบนางก็กลับห้องตนเองไป เสวียนจีเห็นจงหมิ่นเหยียนอยู่ต่อคนเดียว ยิ่งรู้สึกไม่อาจอยู่ต่ออีก รีบลุกขึ้นจะเดินกลับ เพิ่งก้าวได้ก้าวเดียว ก็ได้ยินจงหมิ่นเหยียนทักว่า “เอ๋ เสวียนจี?”

นางตัวแข็งค้าง ได้แต่หันกลับมาแต่โดยดี ทักขึ้นเสียงหนึ่ง “ศิษย์พี่หก” นางค่อยๆ เดินมาช้าๆ เห็นจงหมิ่นเหยียนนอนหงายอยู่ที่พื้น มือรองไว้ที่ท้ายทอย น่าจะดื่มมากไปแล้ว แววตาดูคมปลาบกว่าปกติ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าเยียบเย็น

“เจ้ารู้ว่าเป็นข้าได้อย่างไร” นางถาม เมื่อครู่นางมั่นใจว่าไม่ได้ส่งเสียงออกไปสักแอะ

จงหมิ่นเหยียนยิ้มเล็กน้อย “ตัวเจ้าพกถุงหอมดอกหลันฮวา กลิ่นนั้นพอดมก็รู้ว่าเป็นเจ้า”

เช่นนี้หรือ? นางคว้าถุงหอมมาดม ก็ไม่ได้กลิ่นอันใดเป็นพิเศษ

เหมือนเขารู้สึกว่าวาจาเมื่อครู่ดูสนิทสนมเกินไป กระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะวางท่าทางเป็นการเป็นงานกล่าวว่า “ดึกแล้วทำไมไม่ไปนอน ปกติเจ้าไม่ใช่ว่าขึ้นเตียงนอนแต่หัววันหรือ”

เสวียนจี “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่ง เกาศีรษะ “ดื่มมากไป อยากออกมาตากลมหน่อย”

จงหมิ่นเหยียนไม่กล่าวอันใด เสวียนจีเองก็ไม่รู้กล่าวอันใด ทั้งสองหนึ่งเอนนอนหนึ่งยืน เงียบเป็นนาน ในที่สุดยังคงเป็นเสวียนจีอดไม่ได้กล่าวว่า “ข้าไปนอนดีกว่า”

“เอ๋ รอก่อน…” จงหมิ่นเหยียนพลันเรียกนางไว้

เสวียนจีหันกลับมา ใบหน้าเขาในความมืดดูเลือนราง สีเพียงสองตาส่องกระจ่าง มองแล้วน่าตกใจอยู่สักหน่อย

“เจ้า…คือว่า…” จงหมิ่นเหยียนคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หาประเด็นเจอ “คืนพรุ่งนี้พวกเราไปเขาเกาซื่อซาน เจ้าตามอยู่หลังข้า อย่าวิ่งไปมา อย่าส่งเสียง รู้ไหม”

เสวียนจีพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“หากเจออันตรายใด ต้องเรียกพวกเรา รู้ไหม”

พยักหน้าอีก

“เรียกให้เจ้าหนี เจ้าก็หนีก่อน เรียกให้เจ้าหลบ เจ้าก็หลบ อย่าได้ฝืน เข้าใจไหม”

ยังคงพยักหน้า

จงหมิ่นเหยียนพลันหันไปถลึงตาใส่นาง “เจ้าเอาแต่พยักหน้า จริงๆ แล้วไม่ได้ฟังเข้าหูเลยล่ะสิ”

“เปล่านะ” นางตอบเสียงนิ่ง “ข้าฟังอยู่”

จงหมิ่นเหยียนมองนางอย่างสงสัยเป็นนาน พลันยิ้มเล็กน้อย กางมือออกลงนอนแผ่บนพื้น พลางกล่าวเบาๆ ว่า “คนเช่นเจ้านี่นะ เฮ้อ คนเช่นเจ้านี่นะ…โลกนี้ไยจึงมีคนเช่นเจ้ากัน”

เขาส่ายหน้ายิ้มทอดถอนใจ

เสวียนจีอึ้งไป พลันกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้ารังเกียจข้าหรือ”

“ไม่ ไม่ได้รังเกียจ” เขาส่ายหน้า หรี่ตามองราวกับคิดหนัก ครู่หนึ่งจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ร่วมกับคนเช่นเจ้าได้อย่างไร ผู้ใดกล่าวว่า…ข้ารังเกียจเจ้าเล่า”

เสวียนจีเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงหันกายจะจากไป กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าง่วงแล้ว ไปนอนละ ศิษย์พี่หกนอนให้เร็วหน่อยล่ะ”

เหมือนเขาดื่มมากไปหน่อย คืนนี้จึงกล่าววาจากับนางมากมายเช่นนี้ คิดดูดีๆ แต่เล็กจนโต เขาแทบไม่ได้คุยกับตนดีๆ เช่นนี้สักครั้ง พวกเขาสองคนมักจะกล่าวไม่กี่คำก็ไร้วาจาจะกล่าว ไม่ใช่เขาโมโหก็เป็นนางอึดอัด

“ฉู่เสวียนจี” เขาเรียกขึ้นอีกครั้ง ท่าทางสับสนเล็กน้อย “ความลับนั่นของเจ้า…วางใจ ข้า…ผู้ใดก็ไม่รู้…เจ้า ที่แท้เจ้าเป็น…”

“อันใด” เสวียนจีแปลกใจมาก หันไปมอง เขาหลับไปแล้ว

ดังคาด ดื่มมากไปแล้ว เสวียนจีได้แต่ไปตามพวกรั่วอวี้มาลากเขากลับห้อง ก่อนตนเองจะกลับเข้าไปพักผ่อน

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

Status: Ongoing

ฉู่เสวียนจี คือบุตรีคนรองของเจ้าสำนักเส้าหยาง นางเคราะห์ร้ายเกิดมาบกพร่องสัมผัสทั้งหก อีกทั้งยังมีนิสัยเกียจคร้านไม่สนใจฝึกวิชา แม้แต่ตั้งท่าต่อสู้อย่างศิษย์คนอื่นยังทำไม่ได้ 

กระนั้นสวรรค์ก็มิได้ปรานี เมื่องานชุมนุมปักบุปผาอันเป็นงานประลองยุทธ์ระหว่างห้าสำนักใกล้เข้ามา เสวียนจีโชคไม่ดีต้องรับหน้าที่เป็นหนึ่งในตัวแทนเข้าร่วมภารกิจ ‘เด็ดบุปผา’ และลงเขาไปจับมารปีศาจกลับมายังสำนัก 

ด้วยเหตุนี้นางจึงได้พบกับ อวี่ซือเฟิ่ง ศิษย์เอกมากฝีมือแห่งตำหนักหลีเจ๋อกงผู้สวมหน้ากากตลอดเวลา เขาคอยช่วยเหลือนางจากปีศาจจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และในยามคับขันนั้นเอง เสวียนจีก็เปล่งพลังสีเงินออกมาสังหารศัตรูโดยไม่รู้ตัว ช่วยให้พวกเขารอดพ้นภัยได้ในที่สุด  

ในเวลานั้นเด็กน้อยทั้งสองเพียงแต่ดีใจที่เอาชีวิตรอดจากปีศาจได้ ไม่รับรู้เลยว่าแท้จริงแล้วพลังประหลาดนี้ซุกซ่อนปริศนาที่พันผูกดวงชะตาของคนทั้งคู่มาตั้งแต่อดีตกาลยาวนานนับสิบชาติภพเอาไว้… 

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท