แม้ว่าก่อนหน้านี้ถิงหนูพูดมาตลอดว่าจิ้งจอกม่วงไม่ทำร้ายคน หากยังเลี้ยงคนพวกนี้ไว้ที่สวนอี๋ซินอย่างดี แต่ความจริงพอได้เห็นสภาพด้านในแล้ว ทุกคนยังคงต้องตกตะลึง
“เอ๋ ที่นี่…” จงหมิ่นเหยียนเห็นแปลงผักเป็นระเบียบทิวแถวในสวน เหมือนยังไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง สำนักเส้าหยางเองก็มีแปลงผัก มีศิษย์รับหน้าที่เพาะปลูกเก็บผลผลิตเฉพาะ แต่ความคิดคนทั่วไป ปีศาจไม่ต้องปลูกผัก รังปีศาจควรมีแต่กลิ่นอายปีศาจ กองกระดูกกองเลือด…อะไรพวกนั้นนี่
แปลงผักเรียบร้อยเป็นระเบียบเบื้องหน้า บ้านเรือนเรียงเป็นระเบียบ กำแพงสะอาดสอ้าน ภาพที่เห็นละมุนละไม ทำให้คนรู้สึกได้ถึงชีวิตชาวนาที่สงบเงียบ เรียบง่ายและมีความสุข
ทุกคนเดินวนรอบบ้านเรือน ต่างพากันอึ้งไป หรูอี้มองไปยังแสงตะเกียงที่ยังสว่างอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ยกมือเคาะเบาๆ ไปสองที ไม่นานก็มีชายหนุ่มหน้าตาสะอาดหมดจดออกมาคนหนึ่ง เงยหน้ามองดูนอกประตูมีคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง แยกไม่ออกว่าชายหรือหญิง ทุกคนอยู่ในชุดแต่งงานสีแดง กำลังจ้องมองเขาเขม็ง ถึงกับอดตะลึงงันไม่ได้
หรูอี้กระแอมไอในลำคอ กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “พี่ชายท่านนี้ พวกข้า…”
“เหอะๆ ผู้ปรนนิบัติรับใช้มาใหม่กระมัง” คนผู้นั้นหัวเราะเล็กน้อย ท่าทางสลัดทิ้งทางโลก มีลักษณะเช่นผู้บำเพ็ญเซียน มองพวกจงหมิ่นเหยียน เห็นสภาพทุลักทุเลของพวกเขา สีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย คิดว่าคนใหม่ไม่ชิน ดังนั้นจึงกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว เซียนหญิงนุ่มนวลอ่อนโยน ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือนั่นมีบ้านใหม่อยู่บ้าง พวกเจ้าไปอยู่ได้ พรุ่งนี้เช้าเซียนหญิงก็คงมา”
ทุกคนได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ พากันอึ้งไป ดูท่าแล้ว เรื่องนี้เหมือนดังที่ถิงหนูว่าไว้จริง…
อวี่ซือเฟิ่งประสานมือกล่าวว่า “พี่ชาย พวกข้าเพิ่งขึ้นเขามา ไม่รู้ธรรมเนียมอันใด โปรดชี้แนะด้วย”
คนผู้นั้นพยักหน้ากล่าวว่า “คนอยู่ที่นี่ ก็ล้วนมีวาสนาเซียนที่เซียนหญิงได้คัดเลือกแล้ว วันหน้าทุกวันก็ต้องฟังเซียนหญิงสอนวิธีฝึกลมปราณการหายใจ ไม่มีธรรมเนียมอื่นใด เพียงแค่หว่านดำในฤดูใบไม้ผลิ เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ไม่ได้มีคนดูแลเหมือนอยู่บ้าน เรียบง่ายสักหน่อย แต่ก็เป็นแนวทางวิถีแห่งเซียน”
จงหมิ่นเหยียนอดไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “จิ้งจอกนั่น…เซียนหญิงไม่ได้ทำอันใดพวกเจ้า? นางไม่ได้ดูดพลังหยางเสริมพลังหยินอะไรพวกนั้น…จะกลายเป็นเซียนได้อย่างไร!”
คนผู้นั้นได้ยินก็โมโห กล่าวว่า “เซียนหญิงเป็นผู้สำเร็จเซียน ไยกล่าววาจาดูหมิ่นเหลวไหล! พวกเจ้าหากไร้ความจริงใจ ก็รีบลงเขาไปแต่เนิ่นๆ เลย!”
หรูอี้รีบยิ้มกล่าวว่า “พี่ชายอย่าได้โมโห น้องชายข้าผู้นี้พูดจาไม่เป็น ข้าขอโทษแทนเขาด้วย”
คนผู้นั้นจึงได้คลายสีหน้าลง กล่าวว่า “ตอนนี้มืดค่ำแล้ว ทุกท่านไปพักผ่อนกันก่อนเถิด มีข้อสงสัยอันใด พรุ่งนี้เช้ารอให้ทุกคนพร้อมหน้าค่อยถาม”
ทุกคนเห็นเช่นนี้ ในใจก็รู้ว่าเป็นดังที่ถิงหนูว่ามา พากันมองไปยังจิ้งจอกม่วงในอ้อมกอดเขา คิดไม่ถึงว่านางเป็นปีศาจดี เป็นมารปีศาจจิ้งจอกที่ขี้ขลาดและชอบโอ้อวดความสามารถทับถมผู้อื่น
อวี่ซือเฟิ่งมองไปรอบๆ ที่นี่มีบ้านเรือนสิบกว่าหลัง คิดว่ามีคนถูกนางพาขึ้นเขามาไม่น้อยจริงๆ เขาจึงกล่าวว่า “พี่ชาย หากคิดถึงบ้าน เซียนหญิงปล่อยกลับไปไหม”
คนผู้นั้นเหมือนไม่อยากจะเชื่อ ถลึงตาใส่ “ไม่คิดบำเพ็ญเซียน พวกเจ้ามาที่นี่ทำไมกัน! ในเมื่อบำเพ็ญเซียนก็ต้องสลัดความคิดทางโลกให้หมดสิ้น จริงๆ เลย ปีนี้ทำไมมีคนขี้เกียจกลุ่มนี้มาได้! เอาเถอะๆ พวกเจ้าไปได้แล้ว!”
กล่าวจบเขาก็คิดปิดประตู อวี่ซือเฟิ่งดึงไว้ กล่าวเบาๆ ว่า “ตอบข้าก่อน กลับได้ไหม”
คนผู้นั้นยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “หากเจ้าต้องการกลับ เซียนหญิงจะขอร้องให้เจ้าอยู่หรือ! อย่างไรข้าก็ไม่เคยพบคนที่ล้มเหลวกลางทางมาก่อน หากพวกเจ้าคิดกลับบ้านก็กลับได้ ไม่มีคนรั้งไว้!”
เขาปิดประตูดังปัง ได้ยินเสียงสบถด่าแว่วมา ทำเอาทุกคนนอกประตูมองหน้ากันไปมา หรูอี้นิ่งเงียบเป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “คนพวกนี้ตั้งใจมุ่งมั่นบำเพ็ญเซียน ล้วนไม่คิดกลับ แต่ปัญหาคือยังมีมารปีศาจอื่นขึ้นเขามาก่อเรื่อง ทิ้งไว้บนเขานี้ย่อมอันตรายยิ่ง”
หากบังคับพวกเขาลงเขา เกรงว่าเปลืองแรงไม่น้อย ชาวเมืองจงหลียังอาจโกรธแค้นพวกเขา ไม่แน่ว่าแม้แต่สำนักตนเองก็พลอยโดนโกรธแค้นไปด้วย ต้องเกลี้ยกล่อมให้ดี คนพวกนี้ดื้อดึงเช่นนี้ เป็นไปได้มากว่าอาจจะเกลี้ยกล่อมไม่เป็นผล
กำลังลำบากใจอยู่นั่นเอง ถิงหนูกลับกล่าวว่า “เช่นนี้ ก็มีแต่ล่อให้พวกเขาลงเขาเองแล้ว”
ทุกคนกำลังคิดถามเขาว่าล่อพวกเขาลงเขาอย่างไร ก็เห็นถิงหนูเข็นรถเข็นไปเคาะประตูอีก คนผู้นั้นโมโหจัดเดินออกมากระชากประตูออก กล่าวดุดันว่า “มีอะไรอีก?!”
กล่าวไม่ทันจบ ก็ถูกถิงหนูพ่นลมใส่หน้าเบาๆ คนผู้นั้นอึ้งไปทันที ตามมาด้วยท่าทางที่เริ่มเหมือนเหม่อลอย ยืนไม่ขยับ
จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าทำอันใดเขา”
ถิงหนูส่ายหน้า กล่าวเบาๆ ว่า “อย่าเอะอะ ไม่ได้ทำร้ายเขา”
เขาตบมือใส่หน้าคนผู้นั้นทีหนึ่ง สั่งว่า “ที่นี่มีคนเท่าไร พามาที่นี่ให้หมด”
คนผู้นั้นรับคำท่าทางแข็งทื่อ หันหลังเดินออกไป
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ทำทุกคนตื่นมา ใช่ว่าเป็นเรื่องวุ่นวายยิ่งขึ้นหรือ”
ถิงหนูเพียงส่ายหน้ายิ้ม ไม่นาน คนผู้นั้นก็พาคนทั้งหมดในบ้านหลังคากระเบื้องสีครามออกมากันหมด ล้วนอยู่ในชุดตัวกลางพร้อมเข้านอน ดวงตาปิดราวกับยังไม่ตื่น เดินโงนเงนไปมา ไม่ส่งเสียง มาหยุดหน้าถิงหนู
ถิงหนูสั่งเสวียนจีที่มองตาค้างอยู่ว่า “รบกวนเจ้า เข้าไปในห้องเอาเสื้อตัวนอกของคนพวกนี้มาสวมให้พวกเขา กลางคืนน้ำค้างหนา อาจเป็นหวัดได้”
เสวียนจีรีบรับคำทันที ผ่านไปครู่หนี่งก็หอบเอาเสื้อผ้าออกมาหอบใหญ่ พวกอวี่ซือเฟิ่งช่วยคลุมเสื้อให้พวกเขาทีละคน ในที่สุดก็เรียบร้อย ถิงหนูยกมือดึงผมออกมาเส้นหนึ่ง สะบัดเบาๆ กระทบสายลมกลายเป็นแส้เล็กเส้นดำ สะบัดใส่พื้นเบาๆ ถึงกับไม่มีเสียงใด
ทุกคนเห็นคนเหล่านี้เดินไปข้างหน้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อดพากันแปลกใจไม่ได้ แส้ถิงหนูสะบัดฟาดพื้นไปซ้ายทีขวาที คนเหล่านั้นเดินไปตามจังหวะแส้สะบัด ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ช้าก็มาถึงเนินเขา เดินเข้าสู่ป่า
เสวียนจีรู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างราวกับความฝัน พึมพำกล่าวว่า “ถิงหนู…เจ้าทำให้พวกเขาเดินไปได้อย่างไร…”
ถิงหนูเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ไม่กล่าวอันใด อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ นิ่งเงียบก่อนกล่าวว่า “ข้าเคยได้ยินเรื่องแส้ไล่วิญญาณ ไล่ต้อนภูตผีและซากศพได้ แต่ไม่เคยเห็นว่าไล่ต้อนผู้คนได้”
ในที่สุดถิงหนูจึงค่อยๆ กล่าวว่า “ใต้หล้ากว้างใหญ่ หกภพภูมิวัฏฏะสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยเห็นไม่รู้มีมากมายเท่าไร นี่ไม่ใช่แส้ไล่วิญญาณ แต่มาจากคนคิดสร้างคนเดียวกัน เรียกว่าแส้ไล่ความฝัน ไล่ต้อนคนที่นอนหลับได้”
กล่าวจบ เขาก็แอบมองอวี่ซือเฟิ่งอย่างชื่นชม ยิ้มกล่าวว่า “แต่เจ้าอายุยังน้อย กลับมีความรู้กว้าง ผู้บำเพ็ญเซียนหลายคนบำเพ็ญมาหลายสิบปี ยังไม่รู้เรื่องแส้ไล่วิญญาณพวกนี้เลย”
ผู้อื่นได้ฟังว่ามีคนชมอวี่ซือเฟิ่งยังดี มีเพียงจงหมิ่นเหยียนกับเสวียนจีที่ดีใจราวกับเขาชมตนเอง พากันพยักหน้าหงึกหงัก กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ใช่สิ! ซือเฟิ่งรู้อะไรตั้งมากมาย!”
หรูอี้เห็นเงาร่างคนเหล่านั้นค่อยๆ เคลื่อนลับไปในป่า อดถามไม่ได้ว่า “เช่นนี้จะไล่ต้อนพวกเขาไปที่ใดกันหรือ”
“ลงจากหลังเขาไปเป็นทะเลสาบหงเจ๋อ ข้ามแม่น้ำไปน่าจะกลับถึงเมืองจงหลีได้ พวกเราก็ตามไปข้างหลัง อย่าให้พวกเขารู้ตัว ไม่เช่นนั้นตื่นมา ก็จะวุ่นวายกันอีก”
ทุกคนได้เห็นปาฏิหาริย์เช่นนี้ ไหนเลยจะถามมากความ ยามนั้นจึงเดินตามไปข้างหลัง ลงเขาไปด้วยกัน
เดินไปในป่าได้ครู่หนึ่ง เสวียนจีก็ยิ่งรู้สึกว่ามืดลงเรื่อยๆ เงยหน้ามองไปเห็นแสงจันทร์ถูกเมฆดำบดบัง ในป่าลมพัดหอบเอากลิ่นดินอับชื้นมาด้วย
“ฝนจะตกแล้ว” ถิงหนูหยุดสะบัดแส้ “ข้านำคนพวกนี้ไปหาที่หลบฝนก่อน พวกเจ้าลงเขาไปก่อนเถิด”
“แล้วเจ้าล่ะ?” เสวียนจีรู้สึกตัดใจไม่ลง ถิงหนูทั้งอ่อนโยนทั้งจิตใจดี นางยังไม่คิดแยกจากกัน
ถิงหนูยิ้มเล็กน้อย “ฝนหยุดแล้วข้าก็ลงไปเอง วางใจ ข้าไม่หลงทางหรอก รอพวกข้าที่ท่าข้ามฟากก็พอ”
กล่าวจบก็มีเม็ดฝนเท่าเมล็ดถั่วตกลงมา ไม่นานก็เริ่มเสียงดังโครมคราม ฝนบนภูเขาในหน้าหนาว เย็นเยียบเสียดแทงถึงกระดูก ยังมีลูกเห็บปะปนมาด้วย พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน นับประสาอันใดกับคนธรรมดาพวกนี้
ยามนั้นทุกคนได้แต่รีบสั่งความกันสองสามคำก่อนจะเหินกระบี่ลงเขาไป
ถิงหนูอุ้มจิ้งจอกม่วงไว้ หันหลังไปไล่ต้อนคนเหล่านี้ไปหลบในถ้ำกลางเขา ตนเองไปนั่งเงียบๆ อยู่ปากถ้ำ มองไปยังหยดน้ำที่กระทบหินผา
“เจ้าตื่นนานแล้ว ทำไมไม่ยอมพูด” เป็นนานกว่าที่เขาจะเอ่ยขึ้น
จิ้งจอกในอ้อมกอดขยับตัวลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ถิงหนูยิ้มกล่าวว่า “พวกเขาไปกันแล้ว ไม่ต้องกลัว”
จิ้งจอกม่วงหายเกร็งทันที ดวงตามีน้ำตาคลอพลางเลียอุ้งเท้าที่มีรอยเผาไหม้เกรียม ร่ำไห้กล่าวว่า “เด็กหญิงนั่นเป็นใครมาจากไหนกัน ทำไมเจ้าไม่บอกข้าก่อน”
ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่อาจบอก เป็นสิ่งต้องห้าม นับประสาอันใดกับเจ้าเองก็ควรได้รับทุกข์ทรมานนี้บ้าง ยกระดับพลังวัตรไยต้องดูดพลังหยางเสริมพลังหยิน ตอนไม่มีร่างมนุษย์ยังยอมมุ่งมั่นพยายาม เหตุใดพอบรรลุตบะกลับมาขี้เกียจได้”
จิ้งจอกม่วงกล่าวน้ำตาคลอเบ้า “แต่กว่าจะมีข่าวคราวเขาก็ไม่ได้ง่ายเลย ข้า…ข้าร้อนใจ”
ถิงหนูเงียบงันเป็นนาน ถอนหายใจยาวกระซิบว่า “มีเพียงแต่ต้องรอ…อายุมารปีศาจยาวเท่าไร เจ้าก็รอไปยาวนานเท่านั้นก็แล้วกัน…คงมีสักวันที่จะช่วยเขาออกมาได้”
จิ้งจอกม่วงซบหัวลงกับฝ่ามือเขา น้ำตาไหลนองไม่หยุด
“เขา…เขาก็เคยพูดกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน”
“พวกเจ้าคนแก่คร่ำครึ ไม่รู้จักอ่อนโยนเอาใจ เย็นชาจะตาย…” นางพึมพำกล่าว แต่น้ำเสียงไม่ได้มีมีความไม่พอใจอันใดแม้แต่น้อย
“หากเจ้าต้องการช่วยสหายเจ้า ก็ต้องไปหาร่างจริงจิ้งจอกม่วงก่อน ไม่เช่นนั้นวิชาเซียนทั้งหลายล้วนไม่มีผลกับนาง”
ถิงหนูเข็นเก้าอี้ ถึงกับเร็วไม่ช้า เร่งขึ้นมาเคียงข้างเสวียนจีได้
เสวียนจีคิดถึงตอนอยู่ในโถงที่ตำหนักเมื่อครู่ เหตุใดกระบี่นางจึงแทงไม่โดนนางจิ้งจอกม่วง นางราวกับหมอกควัน ลอยล่องไปมา
“เช่นนั้น ร่างจริงอยู่ที่ใด”
ถิงหนูคิดไปมา “จิ้งจอกม่วงแต่ไรมาก็เจ้าเล่ห์ ร่างจริงต้องเก็บซ่อนอย่างดี นางต้องไม่ปล่อยไว้ในที่ธรรมดา พวกเราไปหาที่หอไท่จี๋ แปดเก้าส่วนต้องอยู่ที่นั่นแน่”
หอไท่จี๋คือที่ใดอีกล่ะ เสวียนจีมองเขาอย่างไร้หนทาง รังปีศาจวกวนวุ่นวายจริงๆ
“หอไท่จี๋ตั้งอยู่ที่จุดปักโซ่หมุดทะเล” เขาชี้ไปบนศีรษะ “อยู่ด้านบนสุด”
เสวียนจีอยากจะถามว่าโซ่หมุดทะเลนี่มันอะไรอีก นางราวกับไม่รู้อันใด ไม่เคยแม้แต่ได้ยิน แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลามาคุยเล่นกันจริงๆ ได้แต่หุบปากแน่น มุ่งมั่นเดินต่อไป
ถ้ำนี้ไม่ใหญ่ เดินไปถึงต้นทางอย่างรวดเร็ว กลับมาถึงเส้นทางลับอีกทางหนึ่ง ราวกับถิงหนูมองเห็นในความมืดชัดแม้ไม่ต้องจุดไฟ ชี้ไปที่ด้านซ้ายบนของเชิงเทียน กล่าวว่า “จุดอันนี้ มีทางลัดไปหอไท่จี๋”
เสวียนจีใช้หินไฟจุดไฟขึ้น ดังคาด ด้านขวาเปิดช่องออกทางหนึ่ง ลมเย็นพัดหวีดหวิว ด้านในเหมือนเป็นที่กว้างขนาดใหญ่
นางเข็นถิงหนูเข้าไป เห็นด้านในมีแสงเทียนสองข้างทางสว่างวูบไหว ตลอดทางยาวไปสุดทาง ใต้ฝ่าเท้ามีเพียงเส้นทางขนาดกว้างสามฉื่อ ยังเป็นขั้นบันไดไม่ราบเรียบ ด้านล่างบันไดเป็นพื้นที่มืดที่กางนิ้วทั้งห้าออกก็มองไม่เห็น คิดว่าน่าจะเป็นส่วนด้านในของภูเขาที่ถูกขุด ก็ไม่รู้ว่าลึกเท่าไร แต่หากตกลงไปคงต้องตายแน่
รถเข็นถิงหนูไม่มีทางขึ้นไปได้ เสวียนจีได้แต่แบกเขาขึ้นหลัง อีกมือยกรถเข็น ปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว รอบๆ มีลมพัดหอบมาสายหนึ่ง เย็นราวน้ำแข็ง ราวกับยังมีกลิ่นเน่าลอยมาด้วย ทำเอาขนลุกชัน
เงือกบนหลังค่อยแนบตัวเขาเข้าลำคอด้านหลังนาง ผมยังคงเปียกชื้น มีไอเย็นกำจายสายหนึ่ง
เป็นนาน เขาพลันกล่าวว่า “หมวกเกราะเมฆาม่วง เกราะทองคำ เงือกตัวหนึ่งในสระสวรรค์นั้น…เจ้ายังจำได้ไหม”
เสวียนจีกำลังวิ่งขึ้น เหงื่อผุดเต็มหน้า ส่ายหน้าหอบหายใจว่า “ไม่เคยได้ยิน หมวกเกราะอะไร สระสวรรค์ ไม่ใช่อยู่บนสวรรค์หรือ”
ถิงหนูอดเงียบลงไม่ได้ โอย นางถึงกับลืมหมดสิ้น ลืมไปหมดเลย ไม่ว่าเรื่องเสียใจ หรือเรื่องโกรธแค้น ไม่ว่าเจ็บปวดใจหรือว่าขุ่นเคือง อัดอั้นหรือว่าอบอุ่นล้วนลืมไปหมดสิ้น ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่างไม่มีเหลือ
“ไม่มีอันใด จริงๆ แล้ว…ลืมไปก็ดี” เขากล่าวเบาๆ
เสวียนจีเงียบอยู่เป็นนาน พลันกล่าวว่า “แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร แต่…ข้าราวกับรู้สึกว่านานมาแล้วเคยรู้จักเจ้า เจ้าทำให้ข้ารู้สึกคุ้นเคยมาก สนิทใจมาก”
ถิงหนูไม่กล่าวอันใด
*******
อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกเหมือนมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายไปเสียเลย ตอนนี้ไม่อาจส่งเสียงพูด ไม่อาจขยับร่างกาย แค้นใจจนแทบจะถลกหนังถอดเนื้อออกให้หมด
เขากัดฟันอดทน ถูกมือจิ้งจอกม่วงที่นุ่มราวไร้กระดูก ค่อยๆ ปลดเข็มขัดออก
เอาเถอะ คงต้องถูกนางทำลายแล้ว เขารู้สึกชาวาบไปทั้งตัว กำลังคิดละทิ้งความคิดต่อต้าน พลันได้ยินเสียงจงหมิ่นเหยียนที่นอนอยู่ด้านนอกกล่าวว่า “จิ้งจอกควรตาย! ไม่รู้จักอาย! ฝึกวิชาชั้นต่ำเช่นนี้! แม้ว่าสำเร็จก็ขอให้ร่างกายเจ้าแหลกเหลวเป็นน้ำ ไม่อาจเป็นเซียนได้ตลอดไป!”
ในใจอวี่ซือเฟิ่งอัดแน่น ในเวลากระชั้นชิดความคิดยังคงกระจ่างชัดหลายส่วน รีบฝืนทนอย่างยากลำบากต่อ ไม่ให้มนต์มายานางทำให้ใจเคลิบเคลิ้ม
จิ้งจอกม่วงหัวเราะคิกคักกล่าวว่า “ชายชาตรีตะโกนด่าสตรีตัวน้อยเช่นข้า ไพเราะมาก ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าต้องการสำเร็จผลเป็นเซียน?”
จงหมิ่นเหยียนเดิมก็คิดจะด่านางเพื่อยืดเวลา เห็นนางถึงกับต่อปากต่อคำ ในใจยินดีแทบคลั่ง ยามนั้นด่าต่อว่า “ที่ข้าด่าก็คือเจ้า นังปีศาจหน้าไม่อาย! ผู้ใดสนใจว่าเจ้าสำเร็จผลเป็นเซียนไหมกัน! ข้ารู้แต่เจ้าฝึกวิชานี้ วันหน้าไม่ได้ตายดีแน่ ตายไปตกนรกดึงลิ้นไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดไป…”
เขากำลังด่าเมามัน ยังด่าไม่ทันจบ คางก็ถูกนางจิ้งจอกม่วงบีบแน่น นางหรี่ตามองด้านบน ไฟดับวูบ แสงในดวงตาเปล่งประกายสีเขียวเข้มราวกับสัตว์ป่า ในใจจงหมิ่นเหยียนสะดุ้งวาบ วาจาด่าทออัดแน่นในอกไม่รู้หายไปไหนหมด
“นรกดึงลิ้น…เจ้าคิดว่าโลกมนุษย์ไม่ใช่นรก?” นางกล่าวอย่างเจ็บแค้น “เจ้าหุบปาก ไม่เช่นนั้นข้าจะละเมิดกฎ สังหารเจ้าทิ้งทันที!”
จงหมิ่นเหยียนโมโหแทบระเบิด ทำอย่างไรได้ ยามนี้เขาเปล่งพลังวัตรไม่ออก รอถูกเชือดเหมือนแกะน้อย ได้แต่เชื่อฟังแต่โดยดี
จิ้งจอกม่วงปล่อยเขา กำลังจะหันกลับเข้าไป พลันรู้สึกหนาวเยือกด้านหลัง ความรู้สึกหวาดกลัวหนึ่งกระแทกใจนาง
มีคนกำลังมองนาง!
นางสะดุ้งหันกลับไป เห็นแสงสีเงินหนึ่งวาบผ่านไป พริบตาก็ไร้เงา
มายา? หรือว่าของจริง?
ในใจจิ้งจอกม่วงพลันเริ่มรู้สึกถึงลางร้าย ร่างจริงนางอยู่กับสิ่งนั้น หากถูกคนรู้เข้า เช่นนั้นทุกอย่างย่อมจบสิ้น แต่คนถูกนางจับตัวมาแล้ว ยังมีผู้ใดอีก พวกเขายังมีกองหนุนอีกหรือ หรือว่า…
แม่นางน้อยนั่น!
ในใจนางกรีดร้องอย่างคับแค้น ตอนแรกไม่ควรปล่อยนางไปเลย!
จงหมิ่นเหยียนเห็นนางลุกขึ้นเดินราวกับมีเรื่องร้อนใจ อ้าปากคิดจะกล่าวยั่วโมโหนางสักหน่อย พลันคิดถึงว่าหากนางอยู่ต่อ ผลร้ายมากยิ่งกว่า จึงได้กัดลิ้นยั้งไว้ รอให้นางออกจากห้องไป จึงได้ฝืนตัวลุกนั่งเลิกม่านออก เห็นหรูอี้กับอวี่ซือเฟิ่งยังนอนอยู่ด้านในเรียบร้อยดี มีเพียงเสื้อตัวนอกอวี่ซือเฟิ่งที่ถูกแหวกออก เผยให้เห็นเสื้อตัวในสีขาว คิดว่าเรื่องนั้นยังไม่ทันได้ทำ
เขาลอบถอนใจโล่งอก กล่าวว่า “ยังดี…จิ้งจอกนั่นอยู่ๆ จากไป พี่น้อง พวกเรารีบหนีกันเถอะ”
********
ที่เรียกว่าหอไท่จี๋ก็แค่หอเล็กๆ สร้างอยู่ชั้นบนสุด ตลอดทางมาเสวียนจีก็แบกถิงหนูวิ่งมา เข้าประตูมาได้ก็แทบหมดแรง ล้มลงนอนแผ่หลากับพื้นทันที ฝืนกล่าวว่า “ถิง…ถิงหนู เจ้าดูซิ…ร่างจริงอยู่ที่นี่…”
ถิงหนูเข็นเก้าอี้ไปมองรอบทิศ หันกลับมายิ้มกล่าวว่า “อยู่ เจ้าลุกขึ้นก็เห็น”
เสวียนจีได้ยินก็ดีใจ ดิ้นรนตะกายขึ้นมา ดังคาด เห็นมุมหนึ่งมีตู้ใสครึ่งใบ สีเขียวมรกตอ่อนๆ ราวกับใช้หยกแกะสลักออกมา ในนั้นมีจิ้งจอกยาวราวครึ่งร่างของมนุษย์นอนขดตัวนิ่งอยู่ตัวหนึ่ง ขนสีม่วงเข้ม เหมือนว่ากำลังหลับ ราวกับว่าหากใช้มือตบเบาๆ มันจะตื่นขึ้นมากระดิกหางให้กับคนส่งเสียงร้องเรียก
นางชักกระบี่ออกมา เดินก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทำลายตู้หยกที่มีค่าควรเมืองนั่นทิ้ง ยกมือคว้าจิ้งจอกจะสังหารทิ้ง
ถิงหนูพลันกล่าวเบาๆ ว่า “อย่าสังหารนาง สรรพสิ่งกลายเป็นมนุษย์ไม่ง่าย เปิดทางรอดให้นางเถอะ”
เสวียนจีส่ายหน้า “ไม่ได้ นางทำความชั่ว ต้องตาย”
ถิงหนูยิ้มเฝื่อน พึมพำกล่าวว่า “เจ้า…เหมือนเมื่อก่อน…”
“อันใด” เสวียนจีฟังไม่ชัด เงือกนี่งึมงำคนเดียว ราวกับมีความลับนับไม่ถ้วนที่ไม่ยอมกล่าว น่าอัดอั้นแท้
“ไม่มีอันใด…เจ้าดูนี่ก่อน”
ถิงหนูชี้ไปด้านหลังนาง เสวียนจีหันกลับไปมองเห็นบนกำแพงมีโซ่เหล็กดำเส้นหนึ่ง สีดำมันปลาบ รอบโซ่เหล็กล้วนเป็นยันต์ประหลาดติดเป็นวงรอบกำแพง โซ่เหล็กนั่นทิ้งตัวลงพื้น ลากเป็นทางยาว มุมกำแพงเปิดรูช่องไว้รูหนึ่ง โซ่เหล็กทิ้งตัวลงไปในนั้น ไม่รู้ลึกเพียงใด
“นี่คืออันใด” เสวียนจีเดินเข้าไปคลำดู เป็นเพียงโซ่เหล็กที่ดูแล้วเรียวบาง จับในมือถึงกับน้ำหนักหนักมาก ราวกับทำจากเหล็กนิลในตำนาน
ถิงหนูกล่าวเบาๆ ว่า “นี่ก็คือโซ่หมุดทะเล ใต้หล้าแปดทิศล้วนมีเช่นนี้หนึ่งเส้น ใช้เพื่อจองจำมารปีศาจที่มีชื่อเสียงไว้ตนหนึ่ง”
หยุดไปครู่หนึ่ง กล่าวต่อว่า “แต่ไรมาไม่มีปีศาจละทิ้งความต้องการที่จะช่วยเขา ข้าเดาว่า ตลอดทางมานี้พวกเจ้าคงต้องเจอกับปีศาจที่คิดช่วยเขากระมัง”
เสวียนจีพลันนึกถึงเรื่องนกฉวีหรูที่เขาไห่หวั่น และปีศาจที่ยังไม่เหมือนคนดีตนนั้น ลังเลพยักหน้า “เจอ…เจอเข้าที่หมู่บ้านวั่งเซียน…”
ถิงหนูกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หมู่บ้านวั่งเซียนตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ โซ่หมุดในทิศทั้งแปดทิศหนึ่งก็อยู่ที่เชิงเขานั้น เขาเกาซื่อซานตั้งอยู่ทางตะวันออก ก็เป็นโซ่หมุดที่สอง ก็คือเส้นนี้
เสวียนจีรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกจนไม่กล้าหายใจเท่าไร อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางราวกับยืนไม่อยู่ รีบยัดกระบี่ตนใส่มือนางให้เป็นไม้เท้าชั่วคราว พลางกล่าวเบาๆ ว่า “อย่าได้สู้กับนาง ข้าดูแล้วเงาร่างนางไม่เหมือนจริง อาวุธไม่อาจทำร้ายนางได้ คิดว่าร่างจริงนางไม่อยู่ที่นี่ นี่เป็นเพียงร่างมายาของนาง”
เป็นเพียงร่างมายาก็ร้ายกาจเพียงนี้ เช่นนั้นหากเป็นร่างจริงไม่ยิ่งตายแน่หรือ เสวียนจีอดรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้
สาวงามชุดม่วงกล่าวน้ำเสียงนุ่มละมุนว่า “จริงๆ แล้วพวกเจ้าไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่เคยฆ่าคน เพียงแต่ต้องการอาศัยเลือดและจิตพวกเจ้าเล็กน้อย ช่วยเพิ่มพลังให้ข้าเท่านั้น”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนาน กล่าวว่า “เจ้าคือปีศาจดูดพลังหยางเสริมพลังหยิน…คิดว่าไม่ใช่งูก็เป็นจิ้งจอก ใช่หรือไม่”
นางยิ้มเล็กน้อย “จอมยุทธ์ท่านนี้รู้ไม่น้อยนี่ ไม่ผิด ข้าคือจิ้งจอกม่วง”
จิ้งจอกม่วง? ทุกคนอดไม่ได้ต้องหันมองนางอีกสักครั้ง รู้สึกว่านางท่วงท่าอรชรจนไม่อาจละสายตาไปได้จริงๆ ในความงามอรชรนั้นก็มีความยั่วยวนอย่างที่สุดอยู่ด้วย ที่แท้นี่ก็คือปีศาจจิ้งจอกที่มีชื่อเสียง
“ในเมื่อเจ้าสามารถบำเพ็ญจนสำเร็จผลแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ที่ผ่านมาย่อมลำบากอย่างยิ่ง เหตุใดพอเป็นมนุษย์ได้แล้วกลับทำความชั่ว”
จิ้งจอกม่วงเพียงยิ้ม ไม่กล่าวอันใด ผ่านไปครู่หนึ่ง ราวกับรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง โยนกระบี่เสวียนจีทิ้งลงพื้น กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไม่ชอบฟังหลักการคุณธรรม โดยเฉพาะจากปากมนุษย์ เรื่องพวกเจ้าเองที่ปากอย่างใจอย่าง แอบแทงข้างหลังอย่าง ใช่ว่าน้อยเสียเมื่อไร”
อวี่ซือเฟิ่งอดนิ่งเงียบไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่ง ถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกข้าเป็นศิษย์ผู้บำเพ็ญเซียน?”
จากศาลาเชิญเทพมาถึงที่นี่ พวกเขามั่นใจว่าไม่ได้เปิดเผยช่องโหว่อันใด และไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่สี่คนที่จิ้งจอกม่วงเลือกไว้ ผู้ใดจะรู้ว่าตอนกราบไหว้ฟ้าดิน ถึงกับถูกนางเปิดโปง แท้จริงเปิดช่องโหว่นั้นออกไปตอนไหน
จิ้งจอกม่วงกล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าถามมากเช่นนี้ คิดยื้อเวลาหรือ”
อวี่ซือเฟิ่งถูกนางมองทะลุใจ ถึงกับอึ้งไปทันที ปีศาจนี่รู้มากดังคาด ต่อหน้านางวิธีการอุบายอันใดล้วนไม่อาจนำมาใช้ได้ วันนี้คงต้องพลีชีพที่นี่จริงๆ แล้ว
“ช่างเถอะ อย่างไรก็ไม่มีคนคุยกับข้ามานานแล้ว” จิ้งจอกม่วงยิ้ม “ในเมื่อข้าเลือกใช้พลังหยางเสริมพลังหยิน ย่อมต้องคัดเลือกพลังหยางแรงกล้า หน้าตารูปโฉมเป็นอันดับรอง สำคัญที่สุดก็คือวันเดือนปีเกิด…”
อวี่ซือเฟิ่งฉลาดระดับใด นางเพียงเปิดทาง เขาก็เดาได้ทันที รีบกล่าวว่า “คนที่ถูกเจ้าเลือกล้วนเป็นคนที่เกิดวันและเวลาหยาง ดวงชะตามีอักษรธาตุไฟ!”
“เจ้าฉลาดจริง” จิ้งจอกม่วงเผยรอยยิ้มบางมองหน้าเขา ราวกับแรกรักผลิบาน “ข้าทำใจลงมือกับเจ้าไม่ลงจริงๆ ไม่สู้เลี้ยงไว้ในสวนดอกไม้ เป็นเพื่อนเล่นข้าแล้วกัน”
กล่าวจบนางนางก็ก้าวลงมายื่นมือจะเข้าประคองเขา อวี่ซือเฟิ่งรีบหลบมือนางถอยหลังไปหลายก้าว
จิ้งจอกม่วงเองก็ไม่บีบบังคับเขา เอียงหน้าหันไปมองจ้องเขาครู่หนึ่ง กล่าวว่า “หน้ากากเจ้า ข้าเคยเห็น ที่แท้พวกเจ้าเป็นศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ เจ้าตำหนักบัดซบพวกเจ้านั่น ถึงกับยังยึดถือธรรมเนียมควรตายนั่นอีกหรือ ข้ายังคิดว่าเขาเลิกมันไปนานแล้ว อ้อ เดี๋ยวนะ…”
นางมองหน้ากากบนใบหน้าอวี่ซือเฟิ่งละเอียดอีกรอบ พลันเผยรอยยิ้มเยาะ กระซิบว่า “ยากแท้ ไม่ได้เห็นหน้ากากเช่นนี้นานแล้ว คิดไม่ถึง…เจ้าสามารถสละ…”
“หุบปาก” เขาตัดบทนางน้ำเสียงเยียบเย็น “ในเมื่อเจ้ารู้จักตำหนักหลีเจ๋อ ก็ควรรู้ว่าไม่ควรล่วงเกินคนตำหนักหลีเจ๋อ เจ้าครองภูผาตั้งตัวเป็นใหญ่ ก่อกรรมทำชั่ว ยังไม่รีบยอมมอบตัวอีก!”
จิ้งจอกม่วงถึงกับเริ่มคิดมาก ร่างกระตุกเบาๆ โดดกลับไปแท่นสูงด้านหลัง พลางยิ้มกล่าวว่า “พลังดีมากนี่ ไม่ว่ามนุษย์หรือปีศาจโดนฝ่ามือดับพลังหยางไป อย่างน้อยสามวันไม่อาจเคลื่อนพลังวัตรได้ เจ้าทำอะไรได้? แต่ข้าจะไว้หน้าเจ้า ปล่อยแม่นางน้อยนั่นไปแล้วกัน พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้า”
กล่าวจบ แขนเสื้อกว้างของนางก็สะบัดทีหนึ่ง เสวียนจีรู้สึกเพียงลมหอบพัดมา กลิ่นอายปีศาจล้อมรอบกายนาง ทำเอานางไม่อาจขยับเขยื้อน ไม่รู้นานเท่าไร กลิ่นอายปีศาจนั่นในที่สุดก็สลายไป เสวียนจีค่อยๆ ลืมตาขึ้น พบกว่าในตำหนักว่างเปล่า ทั้งจิ้งจอกม่วงและพวกซือเฟิ่งล้วนหายไปไร้ร่องรอย เหลือเพียงนางคนเดียว กุมกระบี่อวี่ซือเฟิ่งยืนอยู่ที่เดิมอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
**********
พวกเสวียนจีสี่คนถูกพาตัวขึ้นเขาเกาซื่อซาน เหลือเพียงหลิงหลงตามสังเกตการณ์มาด้านหลังคนเดียว ก่อนหน้านี้นางยังตามอยู่หลังรถม้าไกลๆ มาจนถึงศาลาเชิญเทพ เห็นพวกเขาเปลี่ยนชุดแต่งงาน ถูกเกี้ยวมงคลยกลอยขึ้นไป นางอดร้อนใจไม่ได้
กลางท้องฟ้าไม่มีที่หลบ หากนางเหินกระบี่ตามไป ก็ย่อมมีคนเห็น เช่นนั้นที่ทำมาทั้งหมดก็ไร้ความหมาย แต่หากไม่ตามไป นางก็รู้สึกรับไม่ได้ กำลังร้อนใจอย่างมากอยู่นั่นเอง พลันได้ยินด้านหลังมีคนหัวเราะขึ้นเบาๆ เสียงทุ้มต่ำยิ่ง เป็นชาย
นางตกใจสะดุ้ง รีบหันกลับไปชักกระบี่ต้วนจินตั้งกระบวนท่า ผู้ใดจะรู้ว่าด้านหลังมีเพียงเสียงลมหวีดหวิว ต้นไม้สูงดำทะมึน ไหนเลยมีเงาร่างคน!
หลิงหลงมองไปรอบๆ เป็นนาน ได้แต่คิดว่าหูฝาด ค่อยๆ ถอนหายใจเงียบๆ แต่กลับไม่กล้าเก็บกระบี่ต้วนจินเข้าฝัก ได้แต่เดินไปเดินมารอบๆ ครุ่นคิดว่าขั้นต่อไปทำเช่นไรดี
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว บนศีรษะพลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังแว่วมาอีก ยังคงเป็นเสียงนั้น ในใจหลิงหลงตื่นตระหนก ตวาดดุดันออกไปว่า “ผู้ใดกัน!?” กระบี่ต้วนจินในมือไม่ลังเลที่จะตวัดวาดไป เห็นเพียงแสงทองเปล่งประกายสายหนึ่ง ลำต้นไม้ขนาดเท่าปากชามด้านหน้าก็หักเป็นสองท่อน ล้มครืนลงกับพื้น ใบไม้กิ่งก้านปลิวกระเด็นไปทั่วบริเวณ แต่ยังคงไม่เห็นเงาร่างผู้ใด
แสงจันทร์นวลผ่อง กลางป่ามีเสียงนกฮูกร้องดังมาเป็นระยะ รอบๆ เงียบเชียบอย่างมาก เงียบจนทำให้นางรู้สึกขนลุก
“เป็น…เป็นคน หรือ เป็นผี?! ออกมานะ!” นางตวัดกระบี่ใส่อีก ต้นไม้ด้านหน้าก็โดนล้มไปอีกต้น ถูกนางตวัดกระบี่มั่วไปมา ไม่รู้ว่าล้มไปกี่ต้นแล้ว
หลิงหลงฟันอยู่เป็นนาน หาไม่เจอแม้เส้นขน ตนเองเหนื่อยจนหอบไม่หยุด
“ยังขี้โมโหเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด”
น้ำเสียงนั้นพลันดังขึ้นด้านหลังนาง หลิงหลงไม่ได้หันหน้าไป หากหันไปทั้งตัวทันที ส่งกระบี่ต้วนจิน แทงออกไปสุดแรง เห็นเพียงเงาดำด้านหลังโดดหลบรวดเร็ว กระบี่ต้วนจินเฉียดไหล่เขาไปปักอยู่กลางต้นไม้ใหญ่ หลิงหลงรีบก้าวเข้าไป กำลังจะชักกระบี่ออก พลัน ท่ามกลางความมืดใต้แสงจันทร์คนผู้นั้นก็ลอยตัวออกมาราวกับอีกาตัวหนึ่ง มายืนบนกระบี่อย่าไร้ซุ่มไร้เสียง ก้มลงมองนาง
ท่ามกลางแสงจันทร์คืนเดือนมืดกลางป่า นางก็มองไม่ชัดว่าคนผู้นี้แท้จริงหน้าตาเป็นเช่นไร เพียงรู้สึกว่าประกายแววตานั้นราวดวงดาวคู่หนึ่ง คุ้นเคยอยู่สักหน่อย พลันคิดไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเป็นผู้ใด
คนผู้นั้นหัวเราะเสียงต่ำ กล่าวเบาๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าเขาทำงานได้รวดเร็วเพียงนี้ เจ้าไปกับข้าก็แล้วกัน”
หลิงหลงโมโหหนัก ยกมือคิดกระชากกระบี่ หากกระชากอย่างไรก็ไม่ออก หลิงหลงที่สูญเสียกระบี่ต้วนจินไปก็เท่ากับนกที่ถูกมัดปีกไว้ตัวหนึ่ง จะจัดการฟันทิ้งอย่างไรก็ได้ นางยิ่งร้อนใจพยายามจะกระชากกระบี่ออกอย่างแรง คนผู้นั้นแตะปลายเท้าราวกับไร้น้ำหนัก ลอยตัวขึ้นอีก
หลิงหลงครั้งนี้ใช้แรงมากไป กระบี่ต้วนจินถูกกระชากออก แต่นางกลับรับแรงสะท้อนไม่อยู่ กระเด็นถอยหลังใกล้จะล้มลง
ไหล่นางพลันถูกคนประคองไว้ นางรู้ตัวใช้กระบี่แทงเขา ผู้ใดจะรู้ว่าคนผู้นั้นลงมือเร็วราวสายฟ้า สกัดจุดที่ไหล่ขวานาง กระบี่ต้วนจินร่วงลงพื้นเสียงดังเคร้ง
หลิงหลงตกใจส่งเสียงร้องดังเสียงหนึ่ง กลับถูกคนผู้นั้นอุดปากไว้
เขาเข้าใกล้ใบหูนาง จูบแก้มนางเบาๆ ทีหนึ่ง เป็นจูบแสนเย็นเยียบ
“จับเจ้าได้แล้ว” เขากล่าว
หลิงหลงรู้สึกท้ายทอยถูกตีเบาๆ ทันใดนั้นก็หน้ามืดสลบไปทันที
ขณะที่ในใจกำลังเต้นโครมครามอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงไพเราะของเซียนหญิงผู้นั้นดังขึ้น ราวกับกำลังขับร้องบทเพลง
“ข้ามีบุญอันใดสั่งสมมา ไยจึงได้มีวาสนากราบไหว้ฟ้าดินกับศิษย์บำเพ็ญเซียนสำนักใหญ่ใต้หล้าได้”
เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งล้วนสะดุ้งวาบ จงหมิ่นเหยียนปฏิกิริยาไวที่สุด เห็นว่าถูกเปิดโปงแล้ว จึงยกมือดึงผ้าคลุมหน้าออกอย่างไม่พอใจ เขาอัดอั้นมานานแล้ว ต้องมาทนกับชุดแต่งงานที่เหลวไหลน่าขันสิ้นดีเช่นนี้
เบื้องหน้าพลันมีเงาสีม่วงวูบผ่าน มีเงาคนราวกับภูตผีผ่านมาหยุดตรงหน้าเขา จงหมิ่นเหยียนรู้สึกเหมือนถูกคนใช้มือลูบใบหน้าเบาๆ ฝ่ามืออ่อนนุ่มลื่นละมุน ถูกลูบไปทีหนึ่งเหมือนพาใจตามไปด้วย เขาสะดุ้งโหยง มองไปด้านหน้าเห็นเป็นสาวงามชุดม่วง ทั้งร่างราวกับปกคลุมด้วยลำแสงงดงาม เรียวคิ้วกระจ่างราวภาพวาด งามจนทำให้ไม่กล้าสบตา
ปฏิกิริยาตอบสนองเฉกเช่นผู้ชายทั่วไป เขาพลันไม่ได้ลงมือโจมตี หากอึ้งไปทันที จากนั้นในชั่วขณะหนึ่งก็ไม่เห็นว่านางจะลงมือ แต่เขากลับรู้สึกแน่นหน้าอก พลันพลังวัตรเปลี่ยนทิศตาลปัตร ตกใจถอยหลังไปหลายก้าว สองขาอ่อนแรงล้มลงคุกเข่ากับพื้น เลือดสดไหลออกจากมุมปาก
“หมิ่นเหยียน!” พวกหรูอี้ก็พากันดึงผ้าคลุมหน้าออก ชักอาวุธที่ซ่อนไว้ในเสื้อด้านในออกมาจะเข้าไปช่วย
สาวงามชุดม่วงหัวเราะคิกคัก หันร่างมาราวกับหมอกสีม่วงหอบหนึ่ง ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าเขาทั้งสามคน เสวียนจีได้ยินเสียงเจ็บปวดของหรูอี้และอวี่ซือเฟิ่ง ถึงกับยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ทั้งสี่ก็ถูกนางทำร้ายบาดเจ็บไปถึงสาม นางไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ชักกระบี่ก้าวขึ้นหน้ามา พลันกลุ่มหมอกสีม่วงนั้นก็ลอยมาตรงหน้านาง เสวียนจีเห็นเพียงใบหน้าที่งดงามจนไม่อาจถ้อยคำใดมาบรรยายขยายใหญ่อยู่ตรงหน้า อดตะลึงไม่ได้เช่นกัน
ตามมาด้วยการลูบใบหน้านางทีหนึ่ง ลื่นละมุน ยังมีกลิ่นหอมเย้ายวนจิตวิญญาณอีกวูบหนึ่ง เสวียนจีคิดว่าตนเองต้องบาดเจ็บเช่นกัน ขยับขาคิดหนี ผู้ใดจะรู้ว่าไม่อาจขับเคลื่อน พลังวัตรภายในไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย นางไม่อาจถอยกลับ ได้แต่บุกเข้าไป ตวัดกระบี่ออกไป สาวงามชุดม่วงตรงหน้าพลันสลายไปราวกับกับหมอกควัน เห็นชัดว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด
เสวียนจีเห็นหมอกควันนั้นลอยไปบนแท่นตรงกลางก็ไม่ไล่ตาม รีบยกชุดแต่งงานแสนหนักวิ่งไปทางพวกอวี่ซือเฟิ่ง ชักกระบี่มาขวางบรรดาหญิงแต่งกายแบบนางกำนัลในวังพวกนั้นไว้ คิดว่าพวกนี้ก็คงเป็นมารปีศาจที่สำเร็จตบะแล้ว ทำงานรับใช้เซียนหญิง
“ไม่เป็นไรใช่ไหม” เสวียนจียกกระบี่ปัดป้องการโจมตีจากหลายคน พลางหันกลับไปถาม มงกุฎหงส์บนศีรษะหนักยิ่ง นางกระชากทิ้งลงพื้นทันที
สีหน้าจงหมิ่นเหยียนซีดเผือด ปรับลมหายใจอยู่เป็นนาน ก่อนกระซิบว่า “วิชาร้ายกาจมาก…พลังวัตรข้าถึงกับเปล่งไม่ออก”
แม้ว่าอวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ข้างๆ สวมหน้ากากมองไม่เห็นสีหน้า แต่แค่คิดก็พอคิดออกว่าคงไม่ได้ดีไปกว่าจงหมิ่นเหยียนสักเท่าไร
“เสวียนจี เจ้ารีบหนีไป!” อวี่ซือเฟิ่งใช้กระบี่ยันตัวลุกขึ้นยืน เข้ารับดาบหนึ่งที่โจมตีมาทางด้านหลังนาง เนื่องจากไม่มีพลังวัตร จึงรู้สึกเจ็บแปลบที่จุดง่ามนิ้วหัวแม่มือ ตอนกระแทกจู่โจมเกือบทำกระบี่หลุดจากมือ
“เร็ว! รีบไป!” จงหมิ่นเหยียนกับหรูอี้เองก็ฝืนต่อสู้กับบรรดาปีศาจน้อย จงหมิ่นเหยียนเหงื่อออกเต็มหน้า ดูท่าแล้วเจ็บปวดอย่างมาก หากยังคำรามเฉียบขาด “เจ้ารีบไป! หลิงหลงน่าจะกำลังเร่งมาที่นี่ เจ้า…เจ้าพานางรีบหนีไป!”
เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ยามนี้ยังกล่าววาจาเหลวไหล! ข้าทนดูพวกเจ้าตายไม่ได้!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าดูแล้วนางปีศาจนี่ไม่เหมือนว่าต้องการสังหารพวกข้า เจ้ากับหลิงหลงหนีไปก่อน กลับไปสำนักเส้าหยางหาพวกเจ้าสำนักมารับมือ…นางร้ายกาจเกินไป พวกเราล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้นาง!”
เสวียนจีรู้สึกว่าที่เขาว่ามาก็มีเหตุผล แต่หากให้ตนเองฉวยโอกาสหนีไปก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
จงหมิ่นเหยียนโมโหกล่าวว่า “เจ้าเด็กบ้า ถึงตอนนี้แล้วยังดื้อดึงเช่นนี้อีก! บอกให้เจ้าเชื่อฟังข้า เจ้าทำราวกับไม่ได้ยิน! เจ้ารีบไสหัวไป! ได้ยินไหม?!”
เสวียนจีขยับปากกำลังจะกล่าว กลับได้ยินสตรีชุดม่วงบนแท่นด้านบนหัวเราะดัง กล่าวอ่อนโยนว่า “จริงๆ แล้ว จอมยุทธ์ท่านนี้กล่าวได้ถูกต้อง ข้าไม่สังหารพวกเจ้า ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่ชีวิตน้อยๆ ของพวกเจ้าก็คงไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว”
นางยังมองไปทางเสวียนจีอีกครั้ง ใบหน้านางเหงื่ออกอย่างมาก ทำเอาสีดำที่ทาไว้เริ่มจางลง เผยผิวขาวละเอียด หนวดบนใบหน้าก็หลุดไปข้าง เห็นชัดว่าเป็นหญิงงดงามสะคราญตาคนหนึ่ง
สตรีชุดม่วงยิ้มกล่าวว่า “ที่แท้เป็นสตรี มิน่าพลังฝ่ามือดับพลังหยางจึงไม่มีผลต่อเจ้า”
แม้ว่าไม่รู้ว่าฝ่ามือดับพลังหยางคืออันใด แต่พริบตาก็ทำร้ายบาดเจ็บไปสามคนได้ ก็ย่อมมีอานุภาพไม่น้อย ได้ยินชื่อก็ราวกับไว้รับมือกับผู้ชาย เสวียนจีเป็นหญิง ดังนั้นจึงรอดพ้นมาได้
อวี่ซือเฟิ่งท่องคาถา ตวัดกระบี่บีบให้ปีศาจน้อยด้านหน้าเปิดทาง ก่อนจะอ้อมไปด้านหลังเสวียนจี ใช้แรงผลักนางทีหนึ่ง กล่าวว่า “หนีไปเร็ว! อย่าอยู่ต่อ!”
ตอนนี้พลังวัตรเขาสูญสิ้น ไหนเลยจะผลักนางขยับได้ ตนเองกลับเกือบกระเด้งล้ม เสวียนจีรีบเข้ามาประคองเขาไว้ หูได้ยินเสียงสตรีชุดม่วงยิ้มกล่าวอ่อนโยนว่า “สตรีก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียน ช่วยข้าได้ครึ่งหนึ่ง ไม่อนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้น ต้องอยู่ต่อทั้งหมดเพื่อข้า”
นางกล่าวว่าต้องอยู่ต่อทั้งหมดเพื่อข้า น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับกำลังออดอ้อน ทำให้เหมือนว่าไม่อาจไม่ทำตามคำสั่งนาง ต้องอยู่เพื่อนาง ทุกคนรู้สึกเหมือนหน้ามืด สาวงามชุดม่วงผู้นั้นถึงกับแปลงร่างออกเป็นเงาร่างมากมาย ล้อมพวกเขาทุกคนไว้ราวกับวงแหวนเล็ก ยามนี้เสวียนจีแม้มีสามเศียรหกกรก็หนีไม่พ้นแล้ว
อวี่ซือเฟิ่งเห็นเรื่องเลวร้ายมาถึงขั้นนี้ ได้แต่แอบทอดถอนใจ ไม่รู้ปีศาจสาวตนนี้จะทำอันใดกับพวกเขา
เสวียนจีเก็บกระบี่ กล่าวว่า “ชาวเมืองจงหลีบูชาเจ้าเป็นดังเทพเซียน ให้ความเคารพเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง ไยเจ้าจึงได้ทำเรื่องเกินเลยเช่นนี้ได้”
สาวงามชุดม่วงผู้นั้นหัวเราะคิกคัก ไม่กล่าวอันใด สั่งการว่า “พวกเจ้า นำพวกเขาไปขังไว้ก่อน ผู้หญิงก็ไปคุกใต้ดิน ผู้ชายส่งไปห้องนอนข้า”
จงหมิ่นเหยียนพอได้ยินว่าคำว่าห้องนอนก็ตกใจสีหน้าซีดเผือด คิดถึงว่าปีศาจตนนี้คงจะดึงพลังหยางไปเสริมพลังหยินตน มิน่าปีหนึ่งต้องใช้ชายหนุ่มอายุน้อยถึงสี่คน ครั้งนี้หากถูกนางส่งเข้าห้องนอน เสียทีนางไป เกรงว่าก็คงกลายเป็นคนก็ไม่คน ผีก็ไม่ผีแล้ว แม้คิดสู้ตาย แต่มือเท้าอ่อนแรง ตอนนี้ได้แต่ถลึงตาใส่
ปีศาจน้อยรอบๆ กรูกันเข้ามานำพวกเขาแยกกันไป แบกบ้าง ลากบ้าง หัวเราะกันคิกคัก พลันได้ยินเสียงกระบี่ราวเสียงมังกรคำราม ลำแสงกระบี่พลันส่องประกายวาบ ปีศาจน้อยพวกนั้นไม่รู้ความร้ายกาจ พริบตาก็เลือดตกยางออก ในเวลากระชั้นชิดนี้เองก็ตกใจจนส่งเสียงร้องดังกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางไม่กล้าเข้ามาแบกคนอีก
เสวียนจีท่องคาถากระบี่ ดึงพลังกระบี่กลับคืนมา ถลึงตาใส่สาวงามชุดม่วงผู้นั้น เป็นนานก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้คิดแตะต้องพวกเขา นังปีศาจ”
สาวงามชุดม่วงยิ้มกล่าวว่า “แม่นางผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา กระบี่ก็หล่อไม่เบา ยืมข้าชมสักหน่อย?”
กล่าวจบ เสวียนจีก็เห็นแค่รอบกายมีเงาสีม่วงหลายสายกรูกันเข้ามา นางตวัดกระบี่รับ บรรดาเงาเหล่านั้นพอถูกกระบี่ฟันก็กลายเป็นหมอกควันหายไปทันที สักครู่ก็กลับมารวมตัวกันใหม่ สังหารอย่างไรก็ไม่หมดไม่สิ้น เสวียนจีตวัดซ้ายรับขวา พละกำลังเริ่มถดถอย พลันได้ยินเสียงหรูอี้ดังมาเบาๆ ว่า “ระวังหลัง!”
นางรีบตวัดกระบี่ไปรับด้านหลัง ผู้ใดจะรู้ว่าด้านหน้าพลันมีเงาสีม่วงหนึ่งพุ่งมา ยกฝ่ามือฟาดใส่กลางหน้าอกนาง เสวียนจีพลันหน้ามืด หายใจไม่ออก ลำคอรู้สึกได้ถึงรสหวาน โลหิตสดกระอักขึ้นมาอย่าง ยั้งไม่อยู่ได้แต่ฝืนกลืนกลับไป กระบี่ในมือถูกแย่งชิงหนีกลับไปยังแท่นด้านบนนานแล้ว
สาวงามชุดม่วงยกกระบี่มาดู มองซ้ายมองขวา น้ำเสียงแผ่วกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “แม่นางน้อย ยังอ่อนหัดนัก”