อึดอัดไม่พอใจก็ส่วนอึดอัดไม่พอใจ กล่าวตามตรงเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับศิษย์เกาะฝูอวี้ กินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสี่ก็รู้ว่าไม่ควรเอาแต่อยู่รวมกัน จึงพากันแยกย้าย
เสวียนจีเดิมคิดจะไปชมทิวทัศน์ที่เขาตอนเหนือ แต่ด้านหลังก็หางตามก้นติดๆ อยู่สี่ สลัดทิ้งก็ไม่ได้ ได้แต่หน้าบึ้งเดินกลับไป ข้ามสะพานไป ตรงหน้าเป็นป่าต้นซิ่ง นางจำได้ครั้งก่อนนางกับซือเฟิ่งพบฮูหยินตงฟางร้องเพลงอยู่ที่นี่ เสียดายแค่สองสามวันคนก็หายมลายสิ้น
นางมองอย่างตกในภวังค์ ไม่ทันสังเกตว่าตรงหน้ามีคนเดินมาหลายคน เป็นอวี่ซือเฟิ่ง พอเสวียนจีเห็นเขา ดวงตาก็ส่องประกาย รีบกวักมือเรียก พอเห็นเขาชัดก็เห็นว่าด้านหลังเขายังมีศิษย์เกาะฝูอวี้ที่ทำหน้าที่เฝ้าตามอยู่ สีหน้านั้นบึ้งตึง
“เด็กโง่” อวี่ซือเฟิ่งเผยรอยยิ้มบางเดินเข้ามา เคาะศีรษะนางทีหนึ่ง “อย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้ไปชมดอกซิ่งกัน”
เสวียนจีใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พยักหน้าเงยหน้ามองด้านหลังเขาที่มีบรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ตามเฝ้าติดๆ ยิ่งรู้สึกหมดอารมณ์
อวี่ซือเฟิ่งหันกลับไปกล่าวว่า “ข้ากับคุณหนูฉู่จะไปป่าต้นซิ่งชมดอกซิ่ง ไม่รบกวนทุกท่านไปส่งแล้ว”
ทันใดก็มีคนโต้ว่า “คือ…ไม่ดีกระมัง ป่าต้นซิ่งทางแยกมาก เกิดหลงทางไป…”
หลายคนรู้ถึงความสัมพันธ์สนิทสนมของอวี่ซือเฟิ่งกับเสวียนจีก่อนหน้าแล้ว ในใจก็คิดว่าหนุ่มสาวทั้งสองน่าจะหาที่เงียบๆ กล่าววาจาฝากรักกัน ตนเองตามไปก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แต่กลับจะลำบากใจและสร้างความไม่พอใจเปล่าๆ ดังนั้นอีกคนจึงยิ้มกล่าวว่า “ทั้งสองเชิญ พวกข้าไปรอข้างนอกก็แล้วกัน”
พอเสวียนจีได้ยินว่าพวกเขาไม่ตามแล้วก็รีบแย้มยิ้มกว้าง คว้ามืออวี่ซือเฟิ่งหันหลังเดินเข้าไปในป่าต้นซิ่งที่ดอกซิ่งบานแย้มเต็มต้น เดินไปพลางหันกลับมองพวกเขาว่าไม่ได้ตามมาจริงๆ ก็หัวเราะดัง “ซือเฟิ่ง เจ้าร้ายกาจมาก ทำไมพูดแค่วาจาเดียว พวกเขาก็ไม่ตามแล้วล่ะ”
อวี่ซือเฟิ่งเพียงยิ้มไม่กล่าว ยกมือบีบจมูกนางเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่ทุกคนจะรับรู้ช้าเหมือนเจ้า”
นางรับรู้ช้าจริงหรือ เสวียนจีใช้แววตาถามเขา อวี่ซือเฟิ่งยกมุมปาก ส่ายหน้าเหมือนใช่เหมือนไม่ใช่ พลันเห็นดอกซ่อนกลิ่นหลังใบหูนางเริ่มโรยรา เขามองไปรอบๆ หันกลับไปหานางยิ้มกล่าวว่า “เจ้ารอเดี๋ยว”
เขาคว้ากิ่งไม้หนึ่งไว้ ค่อยๆ โดดตัวเบาขึ้นไปยอดไม้ เด็ดดอกซิ่งสีชมพูที่สดสวยที่สุดออกมาพวงหนึ่ง
เสวียนจีอึ้งมองเขาเดินเข้ามา ยกมือดึงดอกซ่อนกลิ่นหลังใบหูตนออก ก่อนจะปักกิ่งดอกซิ่งบางนั้นที่มวยผมนาง กล่าวอ่อนโยนว่า “อย่างไรก็ยังคงเป็นสีนี้ที่เหมาะกับเจ้า”
ไม่รู้ทำไมใบหน้านางจึงแดง นางกะพริบตาปริบ ก้มหน้ากล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าโยนดอกไม้นั่นทิ้ง…ข้า ข้าเก็บไว้ทำที่คั่นหนังสือ”
อวี่ซือเฟิ่งกุมมือนางไว้ ทั้งสองค่อยๆ เดินไปท่ามกลางต้นซิ่ง ภาพเบื้องหน้าล้วนเต็มไปด้วยดอกซิ่งสีชมพูสดแย้มบาน พาดกิ่งไปมาสลับ อวดสีสันฉูดฉาดสดใสราวกับแสงสาดส่องเมฆาหลากสีสัน ราวกับทอดยาวไปถึงขอบฟ้า เป็นดังเมฆที่ไร้ขอบเขตบนท้องฟ้า พวกเขาเดินอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ใจและกายล้วนลอยละล่องเบาพลิ้ว จริงๆ แล้วก็ไม่มีอันใดต้องพูด แต่วาจาที่ออกมากลับไม่หยุด หาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาพูดคุยกันได้อยู่เป็นนาน
ใช่หรือไม่ว่าชายหนุ่มอายุน้อยทุกคนล้วนเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความโง่เขลาเช่นนี้ บางครั้งพวกเขาเองก็คงรู้สึกโง่เขลา ดังนั้นจึงไม่พูดอันใดอีก ได้แต่มองอีกฝ่ายพลางยิ้มเล็กน้อย ราวกับการใช้สายตามองก็เป็นความสุขดื่มด่ำอย่างหนึ่ง
สุดท้ายเดินจนเหนื่อยก็หาต้นไม้พิงพักผ่อน เสวียนจีมองรอบๆ ไร้ผู้คน จึงกล่าวว่า “พวกเราไม่สู้อาศัยจังหวะนี้แอบหนีกัน ย่อมไม่มีผู้ใดรู้”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “เช่นนั้น พวกหมิ่นเหยียนทำอย่างไร นับประสาอันใดกับป่าต้นซิ่งนี่ทางแยกยังมาก เกิดเดินหลงทางไป ใช่ว่าที่ทำมาล้วนสูญเปล่าหรือ”
เสวียนจีได้แต่ละทิ้งความคิดนี้ไป เงยหน้ามองเขา รู้สึกเพียงร่างกายเขาสูงขึ้นอีกไม่น้อย ซือเฟิ่งเดิมก็รูปร่างสูงสง่างาม คิ้วตากระจ่างงาม ปกติสีหน้าเย็นชา กอปรกับผิวของเขาซีดขาว ทำให้คนรู้สึกเข้าใกล้ยาก แต่นางรู้ เขายิ้มขึ้นมาทีจะอบอุ่นมาก ไม่ว่านางเหลวไหลอย่างไร เขาก็ไม่เคยตำหนิ ยิ่งไม่เคยระเบิดอารมณ์ใส่นาง
นางมองจนรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง ในใจไม่รู้ว่าทำไม รู้สึกใจเริ่มไม่สงบ ความเงียบงันยามนั้นทำให้นางรู้สึกหายใจติดขัด ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า “นั่น…อากาศดีจริง…”
เขาเห็นขนตาเสวียนจีไหวเล็กน้อย ใบหน้าแดง รู้ว่านางไม่มีอะไรจะพูดแต่ก็พยายามพูด ในใจอดวูบไหวไม่ได้ อดยกมือลูบใบหน้านางไม่ได้ พลันได้ยินด้านหลังมีเสียงคุยดังมา
“ตอนนี้เขาอยู่บนเกาะ ทำไมไม่ไปคุยกับเขาล่ะ”
เสียงนี้กระจ่างและอ่อนโยน คุ้นเคยมาก พลันคิดไม่ออกว่าแท้จริงคือผู้ใด
เสวียนจีสบตากับอวี่ซือเฟิ่ง พากันยองตัวลงนั่งยื่นศีรษะไปมอง เห็นว่าไม่ไกลนักมีคนยืนอยู่สองคน ความหนาของต้นซิ่งทำให้ร่างเขาทั้งสองคนถูกบดบังไปครึ่งหนึ่ง หนึ่งแดง หนึ่งขาว แดงราวเปลวเพลิง ขาวราวหิมะตกใหม่ แค่มองก็รู้ว่าเป็นเพียนเพียนกับอวี้หนิง
หรือว่าพวกเขาก็แอบมาคุยภาษารักกันที่นี่ ทั้งสองสบตากัน ในสายตาอีกฝ่ายต่างมีคำว่า ‘คุยภาษารัก’ ในใจทั้งสองต่างก็เริ่มวุ่นวายใจ ไม่เข้าใจว่าตนเองเหตุใดต้องใช้คำว่า ‘ก็’
อวี้หนิงนิ่งอึ้งเป็นนาน พลันกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าเอาแต่พูดถึงเขาต่อหน้าข้าทำไม หากเจ้ารักแรกพบกับเขา ทำไมไม่ไปพูดเอง!”
วาจานี้เหมือนกำลังคิดเอาชนะโต้คืน เพียนเพียนตรงข้ามหัวเราะขึ้นทันที นางร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าหัวเราะอะไร! มีอะไรให้หัวเราะกัน”
เพียนเพียนกล่าวอย่างสบายอารมณ์เบาๆ “ข้าหัวเราะคนโง่เขลาคนหนึ่ง เพื่อเขาคนนั้นแล้วถึงกับอาลัยอาวรณ์มาหลายปี แต่อย่างไรกลับไม่กล้าบอกเขาแม้สักคำ”
อวี้หนิงหน้าแดงก่ำ ร้อนใจกล่าวว่า “เกี่ยวอะไร…กับเจ้าด้วย!”
เพียนเพียนพลันทำสีหน้าจริงจัง ท่าทางเป็นการเป็นงานกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า แต่ข้าย่อมเป็นห่วง ปีนั้นเจ้าพลั้งมือทำร้ายตวนเจิ้ง ในใจรู้สึกผิดอย่างมาก คิดว่าข้าไม่รู้หรือ เจ้าไม่กล้าไปพบเขา ได้แต่แอบทิ้งยาสมานแผลไว้ที่ประตูหน้าห้องเขา ตอนเจอหน้าเขาก็แสร้งทำเป็นเย่อหยิ่ง ทำเอาทุกคนว่าเจ้าเย่อหยิ่ง ทำเขาเกลียดเจ้าเข้ากระดูกดำ ไยต้องลำบากเช่นนี้ด้วย”
อวี้หนิงถูกเขาว่าจนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ ยกมือผลักเขา กลับถูกเขาคว้าข้อมือไว้แน่นจนขยับไม่ได้
“ครั้งที่สองที่ได้ประลองกับเขา เจ้าแกล้งแพ้ให้เขา เพื่อให้เขาได้มีชื่อสมใจ ทำให้เขาดีใจเบิกบาน ทำไมเจ้าต้องลำบากเช่นนี้อีก”
อวี้หนิงดิ้นรนเป็นนาน รู้ว่าไร้ประโยชน์ ได้แต่ละทิ้งไปเสียอย่างนั้น เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “ข้าจะทำอย่างไร…เป็นเรื่องของข้า เกี่ยวอันใดกับเจ้า! เจ้า…เจ้าควรสนใจแต่เรื่องของเจ้าเองให้ดี! อย่ามากวนข้าให้มาก!”
เพียนเพียนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ผิด! เจ้าและข้าเติบโตมาด้วยกัน ร่วมฝึกกระบี่หยกประสาน เจ้ากลับเอาแต่ตัดสินใจอะไรด้วยตนเองคนเดียว เอาข้าไปทิ้งไว้ไหน หรือว่าเจ้าคิดว่าเรื่องอันใดข้าก็ควรคล้อยตามเจ้าใช่ไหม”
อวี้หนิงไร้วาจาจะกล่าว ในใจพลันรู้สึกอัดอั้นเหมือนโดนรังแกอย่างที่สุด อดก้มหน้าลงกล่าวไม่ได้ว่า “ไม่ได้คิดถึงความคิดเจ้า…เป็นความผิดข้า วันหน้า…ข้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า หากเจ้ารู้สึกไม่ยินยอม จะตีจะด่า ก็ตามใจเจ้าเลย!”
จะตีจะด่า…เขาหรี่ตามอง เด็กหญิงชุดขาวเบื้องหน้าที่ปกติมักจะเย่อหยิ่งไม่ยอมแพ้ แม้แต่ตอนร้องไห้ยังเงยหน้า ตายก็ไม่ยอมแพ้ นางเป็นเช่นนี้มักทำให้เขารู้สึกถึงความวู่วามอย่างหนึ่งที่คิดอยากจะดูว่าแท้จริงต้องทรมานนางถึงขั้นใด นางจึงจะยอมแพ้ จะยอมมีสติขึ้นมาได้บ้าง
“ในเมื่อให้ข้าตีข้าด่า ก็ควรจะจริงใจสักหน่อย” เขายิ้ม “หลับตาลง ข้าจะระบายอารมณ์ให้เต็มที่สักหน่อย”
อวี้หนิงถลึงตาจ้องเขา พลันหลับตาลง รอให้เขาตบหน้านางก็แล้วกัน ต่อยใส่นางสักสองสามหมัด หมดเรื่องหมดราว
เพียนเพียนจ้องมองขนนางสั่นไหวของนางเงียบๆ พลันยกมือขึ้นกอดนางไว้แน่น ไม่ยอมให้มีปฏิกิริยาต่อต้าน ก้มจูบริมฝีปากแดงของนาง
“เจ้าช่างบัดซบจริงๆ” เขาพึมพำแนบชิดริมฝีปากนาง “เหตุใดมักจะลืมว่าข้าอยู่ตรงนี้”
เขาพลันปล่อยร่างนางลง หันกายจากไป
อวี้หนิงอึ้งจ้องมองแผ่นหลังราวกับเปลวเพลิงของเขาลับหายไปท่ามกลางป่าต้นซิ่งรกครึ้ม เข่าพลันอ่อนยวบ คุกเข่าลงนั่งกับพื้น ไม่ส่งเสียงสักคำเป็นนาน
เสวียนจีรู้สึกว่าข้อมือนางสั่นไหวเล็กน้อย ทนดูไม่ได้อีกต่อไป หันกายคิดจากไป กลับถูกอวี่ซือเฟิ่งดึงแขนเสื้อไว้ ส่งสัญญาณบอกนางว่าอย่าส่งเสียง
อวี้หนิงนิ่งอึ้งอยู่นาน ในที่สุดก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปยังป่าต้นซิ่ง
ทั้งสองไม่รู้ว่าเหตุใดจึงช่างบังเอิญเช่นนี้ ถึงกับได้มาเห็นละครฉากหนึ่ง ในใจเต้นโครมครามรุนแรง สบตากัน จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เป็นนานอวี่ซือเฟิ่งจึงได้กระแอมไอในลำคอ แสร้งฉีกยิ้มเป็นธรรมชาติกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์…ซับซ้อนมาก”
เสวียนจีลูบใบหน้า รู้สึกว่าฝ่ามือร้อนผ่าว นิ่งอึ้งเป็นนานก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ที่แท้ที่หลิงหลงกล่าวตอนนั้นเป็นจริง อวี้หนิงชอบศิษย์พี่ตวนเจิ้งจริง…แต่เพียนเพียน…”
นางคิดถึงภาพที่เขาก้มหน้าลงจูบอวี้หนิง ได้แต่พูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ทั้งสองนั่งอยู่กับพื้นเป็นนาน ล้วนรู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่ลุกขึ้นเดินกลับไป อวี่ซือเฟิ่งเห็นเสวียนจีเหมือนคิดอันใดอยู่ คิ้วขมวดแน่น ราวกับกำลังคิดปัญหาหนักหนา จึงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่”
เสวียนจีพลันเงยหน้าจ้องมองเขานิ่ง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ซือเฟิ่ง เจ้า…เจ้าใช่ว่า…”
ใช่อะไร นางพูดไม่ออก เขาถามไม่ออก ส่งสัญญาณไปมากมายเช่นนั้น การสัมผัสอย่างไม่ตั้งใจและการจ้องมองอย่างตกในภวังค์มากมายเช่นนั้น นางถึงกับไม่อาจรับรู้ การมีใจให้กันอย่างคลุมเครือเช่นนี้ช่างทำให้คนรู้สึกทั้งพึงใจแลปวดร้าว
อวี่ซือเฟิ่งมองใบหน้าขาวสะอาดราวหิมะตกใหม่ของนาง ราวกับกำลังเผชิญกับปัญหาหนักหนา กัดริมฝีปากครุ่นคิดเคร่งเครียด ในใจพลันรู้สึกเฝื่อนขม ในใจมีบางสิ่งค่อยๆ ร่วงลงไป จนลึกๆ รู้สึกเจ็บปวดนิดๆ
เขายกมือดึงกลีบดอกไม้บนผมนางไปกลีบหนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว เสวียนจี ข้าชอบเจ้า ชอบมากกว่าทุกคนและทุกสิ่ง”
ชายหนุ่มดวงตาดำราวหยกนิลส่องประกายวาววับ พริบตานั้นเอง นางพลันรู้สึกว่าลมหายใจขาดห้วง เสียงบนโลกทั้งใบหยุดนิ่ง นางไม่ได้ยินอันใดทั้งนั้น
หลิงหลงในใจเสวียนจี แต่ไรมาเป็นพี่สาวแสนดี แม้ว่ามักเสียงดังใส่นาง มักจะแย่งเอาชนะ แต่จริงๆ แล้วนางเป็นเช่นนี้ไม่น่ารังเกียจสักนิด นางชอบท่าทางมีชีวิตชีวาของหลิงหลงมากที่สุด
แต่ไรมานางไม่เคยคิดว่า จะมีวันที่หลิงหลงกลายเป็นตุ๊กตาไม้เช่นนี้ ถูกคนจูงเดินอย่างว่านอนสอนง่าย นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่กับที่อย่างเชื่อฟังเช่นนี้ ไม่ว่าพูดอันใดกับนาง สายตานางล้วนไม่เปลี่ยนแปลง เจ้าหุบเขาหรงกล่าวว่า สองจิตหกญาณที่ถูกดึงออกไป จริงๆ แล้วไม่ต่างอันใดกับคนตาย
เสวียนจีไม่อยากจะเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง นางเองไม่รู้ว่าจะเชื่อได้อย่างไร หลิงหลงยังมีชีวิต หายใจได้ นอนเงียบๆ อยู่บนเตียง ตายังกะพริบอยู่ ราวกับจะโดดขึ้นมาตะโกนเรียกชื่อนางได้ตลอดเวลา จากนั้นก็จะกอดนางไว้แน่นเป็นก้อนม้วนกลมๆ ถามนางว่าหลายวันนี้ไปไหนมา เหตุใดไม่ไปหานาง
“ข้า…ข้าหาแล้ว…” นางพึมพำ คิดลูบแก้มแดงของหลิงหลง แต่คนเบื้องหน้าสลายไปราวกับหมอกควัน นั่นเป็นภาพมายา หลิงหลงตัวจริงยังคงนอนอยู่ที่เดิม เปลือกตาไม่ขยับแม้แต่น้อย
ดวงตาเสวียนจีร้อนผ่าว น้ำตาอดหลั่งรินออกมาไม่ได้ หยดลงบนใบหน้าซีดขาวของหลิงหลง นางใช้นิ้วมือค่อยๆ ปาดออก กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “หลิงหลง…เจ้าอย่าตายนะ…ข้าจะต้องช่วยชีวิตเจ้า…”
นอกหน้าต่างเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน คืนอันแสนเจ็บปวดใจผ่านไป ในที่สุดนางก็ค่อยๆ เดินเข้าไป เสวียนจีจ้องมองใบหน้าราวหยกขาวของหลิงหลงท่ามกลางแสงยามเช้า ในที่สุดก็ยกมือเช็ดน้ำตาที่นองหน้าจนแห้งสนิท สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นผลักประตู ไม่ว่าพวกท่านพ่อกล่าวอย่างไร นางก็จะต้องไปเขาปู้โจวซานนำจิตญาณของหลิงหลงกลับมา
ศิษย์เกาะฝูอวี้สี่คนเต็มหน้าประตู เห็นนางผลักประตูออกมา ก็มีสีหน้าลำบากใจ ประสานมือคำนับ คนหนึ่งในนั้นกล่าวว่า “คุณหนูฉู่จะไปไหน พวกเรานำทางให้ท่านได้”
เสวียนจีถลึงตากลมที่ร้องไห้จนแดงใส่ราวกับกระต่ายน้อย รู้สึกงุนงง “ข้า…ข้าจำทางได้ เหตุใดต้องนำทาง”
ศิษย์เหล่านั้นท่าทางลำบากใจอยู่บ้าง ได้แต่เพียงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าสำนักมีคำสั่งว่า สองสามวันนี้ไม่ว่าคุณหนูฉู่จะไปที่ใด พวกเราต้องไปเป็นเพื่อน ยามนี้ก็ใกล้ยามเหม่า[1]แล้ว คุณหนูฉู่จะไปรับอาหารเช้าใช่ไหม”
เสวียนจีไม่ใช่คนโง่ ยามนี้หากยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองก็คงเป็นคนโง่แล้ว นางหน้าแดงจัดกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “นี่มันอะไรกัน มาคุมข้าหรือ ข้าเป็นนักโทษ?”
ศิษย์เหล่านั้นเห็นนางท่าทางเหมือนโมโห รีบยิ้มกล่าวว่า “คุณหนูฉู่กล่าวหนักไปแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อวานบนเกาะมีไส้ศึกปะปนเข้ามา ทำร้ายศิษย์ที่เฝ้าคุกใต้ดินบาดเจ็บ ยังสังหารนักโทษ ตอนนี้ยังกำลังตรวจสอบว่าแท้จริงเป็นการกระทำของผู้ใด คุณหนูฉู่เป็นแขกมาจากแดนไกล ดังนั้นเจ้าสำนักจึงสั่งให้พวกเรามาดูแล…”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้ออ้างทั้งนั้น ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบ ต้องการดูแลอันใด ข้าไปที่ไหนมีคนติดตามด้านหลังสี่คน สนุกหรือ เช่นนั้นข้าไปห้องน้ำ พวกเจ้าก็ตามไปด้วย?”
ในศิษย์สี่คนนั้นมีศิษย์ชาย ได้ยินนางโต้เช่นนี้เก็พลันหน้าแดง แต่คำสั่งเจ้าสำนัก พวกเขาไม่อาจฝ่าฝืน เห็นเสวียนจีก้าวออกจากห้องไป แม้ว่าไปห้องน้ำ พวกเขาก็ไม่อาจไม่ตาม
เสวียนจีเห็นพวกเขาตามติดหนึบราวกับขนมน้ำตาลเหนียว ในใจทั้งโมโหทั้งอึดอัด คิดถึงสิ่งที่พวกเขากล่าวว่าเมื่อวานมีไส้ศึกปลอมตัวปะปนเข้าไปสังหารนักโทษ นางก็คิดโยงไปทันที พวกจงหมิ่นเหยียนที่ว่า ‘บาดแผลฉีก’ มิน่าเมื่อคืนวานซือเฟิ่งจึงได้พูดจาไม่กระจ่าง ที่แท้เป็นพวกเขาลงมือ ถึงกับสังหารพี่โอวหยาง…เช่นนี้ อันใดพวกเขาก็ล้วนรู้หมดแล้ว มีแต่ตนเองที่ถูกปิดตาอยู่ รสชาติถูกผู้อื่นกันให้อยู่นอกวงนี้ หลายปีก่อนนางก็เคยลิ้มรสแล้ว ยากทนรับไหวอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงตอนนี้ยังต้องมาลิ้มรสอีกครั้ง
นางพลันหยุดฝีเท้า ศิษย์เกาะฝูอวี้ด้านหลังก็หยุดตาม เสวียนจีหันกลับไปถลึงตาใส่พวกเขา รู้สึกโมโหอย่างมาก อยากจะชักกระบี่ไล่พวกเขาไป
กำลังคิดจนไอสังหารพลุ่งพล่าน ด้านหลังพลันมีคนเรียกนางไว้ “เสวียนจี เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
ที่แท้เป็นพวกจงหมิ่นเหยียน เสวียนจีกำลังจะเข้าไปฟ้องอวี่ซือเฟิ่ง ก็เห็นพวกเขาแต่ละคนมีศิษย์เกาะฝูอวี้ตามอยู่ทุกคน ทุกคนจ้องมองกันไปมาด้วยท่าทางอึดอัด ไม่รู้ควรกล่าวอันใด
“ที่แท้…เจ้าเองก็…” จงหมิ่นเหยียนนวดขมับอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงเหมือนขึ้นจมูกหนักมาก ฟังแล้วอ่อนล้าอย่างที่สุด เขาเองก็คงไม่ได้นอนทั้งคืน ในดวงตามีเส้นเลือดแดงอยู่เต็ม ไม่รู้ว่าได้แอบร้องไห้หรือไม่
อวี่ซือเฟิ่งถอนหายใจ “น่าจะกลัวว่าพวกเราจะหุนหันไปเขาปู้โจวซาน ถึงกับส่งคนมาคุม…คิดไม่ถึงจริงๆ”
รั่วอวี้เห็นกลุ่มคนกองกันอยู่ตรงนั้นก็คิดว่าไม่ได้การ จึงกล่าวว่า “พวกเราเข้าไปดูหลิงหลง ได้ไหม”
เสวียนจีผลักประตูเงียบๆ จงหมิ่นเหยียนอึ้งอยู่หน้าประตูเป็นนาน ในที่สุดก็ค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไป เขาทั้งสามล้วนคิดเหมือนกัน ดึงประตูปิดลง ทั้งสามยืนอยู่ที่นอกประตูถลึงตาจ้องมองไปยังศิษย์ด้านนอกที่จ้องมองมา
สองวันนี้จงหมิ่นเหยียนประสบเรื่องราวมามากมาย เทียบกับที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้วมากกว่ามาก เขาเหมือนไม่อาจทนรับไหว สองบ่าราวกับถูกคนเพิ่มน้ำหนักลงไปชั้นแล้วชั้นเล่า กดทับจนเขาหายใจแทบไม่ออก
ความเชื่อมั่นแต่ไรมาที่เขาภาคภูมิอยู่ลึกๆ ถูกตีแตกกระจายเป็นชิ้นในคืนนั้น แต่ไรมาคนเขาแอบรักอยู่ลึกๆ ดังของมีค่าที่ไม่อาจตัดใจทำร้ายให้เสียใจ อยู่ๆ ต้องมาสูญเสียไปอย่างไม่ตั้งใจ
ตอนนี้เขาราวกับสูญเสียไปทุกสิ่ง ไม่เหลือสักอย่าง การมีอยู่ของตนเองราวกับกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย
ในห้องมีเพียงความหนาวเหน็บ บนเตียงมีดรุณีน้อยชุดแดงนอนอยู่ ผ้าห่มแพรคลุมบนตัวนางไว้ครึ่งตัว ผมดำขลับแผ่อยู่บนเตียง สะท้อนแสงอาทิตย์วิบวับ
จงหมิ่นเหยียนค่อยๆ เดินเข้าไป จ้องมองนางจนตะลึงไป ในใจราวกับถูกคนใช้มีดปาดไปมาอย่างโหดร้าย เจ็บปวดจนเขาต้องค่อยๆ คุกเข่าลง กุมมือนางไว้แน่น ราวกับทำเช่นนี้จะทำให้ได้รับความกล้าหาญอยู่บ้าง
เป็นนาน น้ำเสียงแหบพร่าของเขาก็ดังขึ้นท่ามกลางห้องที่เงียบสงัด “หลิงหลง…ล้วนเป็นความผิดข้าเอง…”
เขาไม่ควรทิ้งนางไว้ที่เขาเกาซื่อซานคนเดียว สุดท้ายยิ่งไม่ควรละทิ้งการค้นหาแล้วมายังเกาะฝูอวี้
ดรุณีน้อยราวบุปผาในความทรงจำ ดวงตาดำขลับมองเข้าอย่างเบิกบานยินดี ใบหน้าแดงพลันปรากฎขึ้น ส่งเสียงรอดไรฟันออกมาว่า “จงหมิ่นเหยียน เจ้าต้องให้มีคำตอบให้ข้า!”
ใช่แล้ว เขายังไม่ได้บอกนาง ตนเองชอบนางเพียงใด เมื่อก่อนนานมาแล้วเขาก็มีภาพในฝัน วันหน้าทั้งชีวิตจะอยู่ร่วมกับนาง เขาควรจะบอกนางนานแล้ว ควรกุมมือนางไว้ ไม่ว่านางดิ้นรนเพียงใด ก็จะใช้น้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่นบอกให้นางฟังว่าเขาชอบนาง ชีวิตนี้จะไม่จากนางไปไหน วันหน้าแต่งงานกัน พวกเขาก็จะมีลูกมากมาย เขาชอบเด็กผู้หญิง ต้องเติบโตเหมือนนาง
นิ้วมือเรียววาดผ่านโครงหน้าดรุณีน้อยที่ราวท่อนไม้ มีน้ำหลายหยดหยดลงบนเสื้อผ้านางเบาๆ ไม่นานก็ค่อยๆ แผ่วงกว้างอย่างรวดเร็ว
“หลิงหลง เจ้ารอข้า พวกเราจะได้พบกันอีกโดยเร็ว”
จงหมิ่นเหยียนสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นดึงประตูออก พวกเสวียนจีทั้งสามยังรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งใจว่าจะไม่ไปไหน
“เข้าไปคุยกัน” เขากล่าวเบาๆ เงยหน้ามองไปยังศิษย์เกาะฝูอวี้พวกนั้น
ทั้งสี่เข้าไปในห้อง ปิดประตูลง อวี่ซือเฟิ่งเห็นใบหน้าเขายังมีคราบน้ำตา ก็ตบบ่าเขาหากไม่กล่าวอันใด ไม่รู้ควรกล่าวอันใดดี
จงหมิ่นเหยียนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เช่นนี้ไม่ได้ ทั้งวันมีคนมาตามแบบนี้จนกว่าจะไปจากเกาะฝูอวี้ คิดว่าอาจารย์ก็คงไม่ยอมให้พวกเราไปฝึกฝนตนต่อแล้ว ต้องคุมตัวกลับเส้าหยางด้วยกันแน่ พวกเราต้องหาทางสลัดคนพวกนี้ให้หลุด”
เสวียนจีสะกดไฟโมโหในใจไว้นานแล้ว รีบกล่าวว่า “บุกฝ่าออกไปละกัน!”
อวี่ซือเฟิ่งกดตัวนางไว้ “ใจเย็นหน่อย ยามนี้ไม่อาจใจร้อน ไม่ว่าอย่างไร เหล่านี้ก็ล้วนเป็นความปรารถนาดีของเหล่าเจ้าสำนัก กลัวพวกเราไปตายเปล่า แตกหักกันไปกลับไม่ดี ข้าคิดว่า คนพวกนี้ไม่อาจตามพวกเราได้ทั้งวัน อย่างไรก็ต้องมีเปลี่ยนกะพลั้งเผลอบ้าง พวกเรารอถึงยามดึกคืนนี้คนน้อยลง พวกเขาก็คงเหนื่อยแล้ว ค่อยลอบออกจากเกาะกัน”
“เช่นนั้นหากพวกเขาไม่พลั้งเผลอล่ะ พวกเราก็ต้องคอยไปเรื่อยๆ?” ระยะนี้เสวียนจีถูกเรื่องพวกนี้ทำเอาอารมณ์เสียมาก กลับกลายเป็นคนวู่วามไม่สนใจอันใดแบบหลิงหลงนั่นขึ้นมาได้
“เสวียนจี” อวี่ซือเฟิ่งเรียกนาง ไม่กล่าวอันใด เพียงมองนางนิ่งเงียบ
นางก้มหน้าลง เป็นนานจึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้า…ข้ารู้แล้วน่า ข้าอดทนก็แล้วกัน”
อวี่ซือเฟิ่งอดลูบศีรษะนางไม่ได้ “เด็กดี หลายเรื่องใจร้อนไปกลับไม่ดี พวกเราอยู่ในห้องนานไปแล้ว พวกเขาย่อมเตรียมเสริมการป้องกัน ไม่สู้ออกไปเดินเล่นกัน”
รั่วอวี้พยักหน้ากล่าวว่า “จริง จะได้ไม่ทำให้พวกเขารู้ตัวว่าพวกเรากำลังหารือหลบหนี ใช่แล้ว พูดไปแล้ว…ผู้ใดจะรู้ว่าทางไปเขาปู้โจวซานอยู่ที่ใด ข้าแค่เคยได้ยิน แต่ไรมาไม่เคยไป”
ทุกคนล้วนส่ายหน้า ดูเหมือนว่าผู้ใดล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงเขาปู้โจวซาน หากแต่ไรมาผู้ใดคิดจะไปที่นั่นกัน
“ข้ามีแผนที่” เสวียนจีรับควักแผนที่ออกมากางบนพื้น ผู้ใดจะรู้ว่าทั้งสี่คนมองดูเป็นนาน มองจนแทบจะกลายเป็นไก่จิกก็หาคำว่าเขาปู้โจวซานบนแผนที่ไม่เจอ
รั่วอวี้ขยี้ขมับถอนใจกล่าวว่า “ตำนานเทพบรรพกาล เทพวารีก้งกงสู้เทพอัคคีจู้หรงไม่ได้ หนีไปชนเขาปู้โจวซานล้ม ดังนั้นโลกมนุษย์จึงเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม ในเมื่อเขาปู้โจวซานเป็นเสาค้ำฟ้าได้ คิดว่าต้องเป็นเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่อลังการ ทำไมบนแผนที่ถึงกับไม่มี”
“เจ้า…พูดถึงตำนานเทพ เป็นไปได้ไหม…จริงๆ แล้วไม่มีเขาปู้โจวซาน หรือ…ตอนนี้มันไม่เรียกว่าเขาปู้โจวซานแล้ว” เสวียนจียังคงค้นหาทุกตารางนิ้วบนแผนที่
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบกล่าวว่า “ได้ยินว่าที่นั่นเชื่อมกับแดนปรภพ ยังมีเทพเซินซูกับอวี้ลวี่สององค์เฝ้าอารักษ์ประตู แดนปรภพในตำนานแม้ว่าไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่ก็ย่อมไม่ใช่ไร้ที่มา เมื่อก่อนข้าได้ยินอาจารย์ว่า เขาปู้โจวซานอยู่ในละแวกดินแดนรกร้างทางตะวันตก พวกเราไม่สู้ไปทางตะวันตกกัน ถึงตอนนั้นค่อยสอบถามดูแล้วกัน”
ทุกคนหารือกันเสร็จ ก็เปิดประตูออกไป ศิษย์เกาะฝูอวี้พวกนั้นรอจนแทบทนไม่ไหวนานแล้ว เห็นพวกเขาออกมา ก็รีบตามติดเข้าไปยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ทุกท่านจะรับอาหารเช้าไหม”
จงหมิ่นเหยียนแค่นขึ้นเสียงหนึ่งด้วยท่าทางเย่อหยิ่งอวดเบ่ง สำทับไปอีกประโยคว่า “โจ๊กข้าวสีม่วงที่กินครั้งก่อนไม่เลว รบกวนพวกศิษย์พี่ไปบอกสักหน่อย อ้อ อีกเรื่อง ผักดองเกาะฝูอวี้อะไรพวกนั้นก็ไม่เลวนะ”
คนเหล่านั้นมองหน้าสบตากัน ในใจคิด หรือว่าพวกเราเป็นคนใช้กันนะ แต่คำสั่งอาจารย์ไม่อาจฝ่าฝืน ได้แต่รับคำไปปฏิบัติ
เสวียนจีเห็นพวกเขาหน้าตาอึดอัด อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ จงหมิ่นเหยียนระบายอารมณ์ออกไป รู้สึกสบายจนบิดขี้เกียจ อวี่ซือเฟิ่งกับรั่วอวี้ทั้งสองข้างๆ ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มเฝื่อน
[1] ตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า
จงหมิ่นเหยียนปีนี้อายุสิบแปด เป็นศิษย์ชายอายุน้อยสุดรุ่นอักษรหมิ่นสำนักเส้าหยาง
โดยปกติจงหมิ่นเหยียนเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย เป็นศิษย์น้องเล็กจนชิน และก็มีนิสัยยิ้มแย้มรับคำสั่งบรรดาศิษย์พี่ ไม่ค่อยมีคนรู้ว่านิสัยเดิมแท้จริงของเขาดื้อดึงเพียงใด หลายครั้งเขาตัดสินใจคนๆ หนึ่งลงไปด้วยความคิดเขาเองแล้ว ก็จะไม่หันหลังกลับอีก
ในใจเขาคิดว่าขอเพียงมาหาอาจารย์ เรื่องทุกอย่างก็เท่ากับไร้ปัญหา อาจารย์เป็นคนที่กระจ่างชัดในเรื่องบุญคุณความแค้นบนโลกนี้อย่างที่สุด เป็นคนยุติธรรมอย่างยิ่งยวด
แต่ความจริงก็มักจะทำให้คนต้องผิดหวัง
ตอนเขาไปหาอาจารย์และคุยเรื่องพี่โอวหยาง ฉู่เหล่ยได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาไม่ได้ผละออกจากหนังสือในมือแม้แต่น้อย “เจ้าหุบเขาหรงรู้อันใดควรไม่ควร เจ้าไม่ต้องร้อนใจเรื่องนี้ หากเขาเป็นคน ถามกระจ่างแล้วว่าไม่มีข้อสงสัย ย่อมส่งเขากลับบ้านอย่างปลอดภัย”
เอ๋…ไม่ถูกต้องนะ จงหมิ่นเหยียนอึ้งไป อาจารย์ไม่ใช่ว่าควรพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นรีบไปขอร้องเจ้าหุบเขาหรงหรือ
เขาลองโน้มน้าว “อาจารย์ พี่โอวหยางเป็นคนดี ข้ากับรั่วอวี้บาดเจ็บสาหัส ดีที่มีเขาดูแลต้มยาให้ทุกวัน หากไม่มีเขา ตอนนี้ศิษย์ยังไม่รู้ว่าจะบาดเจ็บหนักไปตายอยู่ที่ไหนแล้ว เขาเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตศิษย์ ศิษย์ไม่อาจ…”
“หมิ่นเหยียน” ในที่สุดฉู่เหล่ยก็ละสายตาจากหนังสือ มองเขาด้วยสายตาตำหนิ “เจ้าเผชิญโลกมาน้อย จะตัดสินว่าคนผู้นี้ดีหรือชั่วง่ายๆ ได้อย่างไร ลองถอยออกมามองอีกที หากเขาวางแผนไว้ล่วงหน้า จงใจไปวางแหดักเจ้าที่เขาเกาซื่อซาน สุดท้ายก็ปะปนเข้าเกาะฝูอวี้…ก็ใช่ว่าไม่อาจเป็นไปไม่ได้”
เขาไม่ใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย! คนหนึ่งดีหรือชั่ว มีความคิดชั่วแอบแฝงหรือไม่ หรือว่าเขาจะมองไม่ออกกัน
แต่ความเคยชินอันเป็นนิสัยมาหลายปี ทำให้เขายอมเชื่อฟังไม่กล่าวอันใด เลือกที่จะเงียบ
ฉู่เหล่ยเห็นท่าทางเขาไม่ยอมแพ้ กล่าวต่อว่า “อีกสองวันพวกเราก็จะไปจากเกาะฝูอวี้ เจ้าทำตัวดีๆ หน่อย อย่าได้เหลวไหล!”
จงหมิ่นเหยียนจากไปอย่างไม่เต็มใจ เขารู้สึกว่าพอออกมาเผชิญโลกภายนอก เรื่องมากมายล้วนเปลี่ยนไปหมด เดิมเขาคิดว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่ผลมักเหนือความคาดหมาย ตอนเป็นเด็กวันๆ เขาเอาแต่หวังว่าจะเติบใหญ่เร็วอีกหน่อย ได้ออกไปดูโลกภายนอกเร็วหน่อย ได้เป็นชายชาตรีที่ยืนตรงสง่าผ่าเผย ตอนนี้จึงได้เข้าใจ เหตุใดผู้ใหญ่หลายคนมักจะอิจฉาเด็กๆ ที่ไร้ความกังวล
จริงๆ แล้ว โลกก็ยังคงเป็นโลก เพียงแต่มุมมองต่างออกไป คนเรามีจิตใจกลอกกลิ้งคิดแย่งชิงและขี้ระแวง ทำให้โลกนี้ซับซ้อนอย่างหาที่สุดไม่ได้ ที่เรียกว่าเติบโต ก็คือค่อยๆ เรียนรู้ที่จะใช้จิตใจเช่นนี้ปกป้องตนเอง นานวันเข้าก็ลืมว่าแท้จริงแล้วตนเองเติบโตเป็นคนเช่นไรกันแน่
พอกลับถึงถึงห้องพักตน เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ พักหนึ่งก็คิดถึงพี่โอวหยางที่ดูแลเขามาตลอดทาง พักหนึ่งก็คิดถึงเล่ห์อุบายที่อาจารย์กล่าวถึง รู้สึกเพียงในใจสับสนวุ่นวาย
ตอนเขายังเล็กมาก ท่านพ่อท่านแม่ตายด้วยโรคระบาด มีเพียงพี่ใหญ่ที่หิวตายระหว่างทางรอนแรมจากบ้านเกิดเพราะต้องดูแลเขาที่อายุยังน้อย ต่อมาได้มาได้พบกับอาจารย์ พากลับเส้าหยาง จากนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหารและที่พักอีก ข้างกายยังมีศิษย์พี่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันมากมาย ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายอีก จากนั้นในทุกค่ำคืนเงียบสงบไร้ผู้คน เขาเองก็มักคิดถึงว่าตนเองอยู่บนโลกนี้ตัวคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีคนปกป้องดูแลเขาจากใจแท้ใจจริง อาจารย์และอาจารย์หญิงแม้ว่าเมตตาอารี แต่ก็มีความเคารพยำเกรงกางกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง ศิษย์พี่ศิษย์น้องแม้ว่าใกล้ชิดสนิทกัน แต่อย่างไรก็มีใจคิดเปรียบเทียบแก่งแย่ง เขามาคนเดียว สุดท้ายก็ยังคงไปคนเดียว คิดถึงตรงนี้ เขามักรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวลึกๆ ในใจ
แม้ว่าต่อมามีสหายอย่างซือเฟิ่งและรั่วอวี้ แต่สหายกับพี่น้องให้ความรู้สึกไม่เหมือนกัน เขาได้รับบาดเจ็บที่เขาเกาซื่อซาน ล้วนไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายได้ พี่โอวหยางปรากฏตัวขึ้น เขาดูแลตนกับรั่วอวี้อย่างรอบคอบ ทุกวันยังคอยปลอบใจและให้กำลังใจพวกเขา ความรู้สึกเช่นนั้น ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า มีอยู่วันหนึ่ง ในที่สุดเขาก็คิดได้ว่าที่เรียกว่าพี่น้องก็คงเป็นเช่นนี้ พี่โอวหยางแม้ว่าไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเขา แต่ในความทรงจำของเขานั้น พี่ใหญ่ก็เป็นเช่นนี้
ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ๆ ก็พังทลายลง มีคนบอกว่าพี่ใหญ่เป็นคนเลว จับเขาไปขังสอบสวน ร่างกายอ่อนแอขี้โรคอย่างเขา เกรงว่าไม่ทันได้ลงมือเท่าไรก็ตายแล้ว
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร! เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร! จงหมิ่นเหยียนคิดแล้วก็กลุ้มใจ กำหมัดทุบเตียงเต็มแรง ส่งเสียงดังโครมคราม
พอดีรั่วอวี้ผลักประตูเข้ามา เห็นกลางวันแสกๆ ก็อึดอัดใจลงมือกับผ้าห่มบนเตียง เขาฉลาดเพียงใด ย่อมรู้ว่าเกิดเรื่องอันใด ตอนนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจ เข้าไปกล่าวว่า “หมิ่นเหยียน เรื่องนี้พวกเราเป็นผู้น้อย ไม่อาจยื่นมือเข้าข้องเกี่ยว เจ้าเองอย่าได้กลุ้มใจไปเลย หากพี่โอวหยางไม่ใช่ไส้ศึก เชื่อว่าเจ้าหุบเขาหรงจะต้องปล่อยเขาไปแน่นอน”
“ฮึ อยากจะใส่ความย่อมหาความได้!” จงหมิ่นเหยียนพลันโดดผึงลงจากเตียง “ตอนนี้ทุกคนล้วนเกลียดพี่โอวหยางเข้ากระดูกดำเพราะเรื่องพ่อบ้านโอวหยางผู้นั้น จะปล่อยไปอย่างไร! ข้าว่าต้องคิดระบายอารมณ์ใส่เขา ให้เขาเป็นเหมือนผีตายแทน!”
เริ่มแรกเขาเพียงแต่พูดระบาย แต่คิดไม่คิดมา อาจเพราะมีความเป็นไปได้จริง พ่อบ้านโอวหยางเป็นปีศาจ ถึงกับซ่อนตัวอยู่เกาะฝูอวี้มาสิบปีไม่มีคนรู้ พี่โอวหยางเป็นพี่ชายเขา พี่ชายปีศาจย่อมต้องเป็นปีศาจ เจ้าหุบเขาหรงอาจยั้งมือกับมนุษย์ แต่กับปีศาจ ย่อมลงมือโหดเ**้ยมแน่!
“รั่วอวี้!” เขาพลันส่งเสียงเรียกดัง
รั่วอวี้มองเขากล่าวว่า “เจ้าต้องการทำอย่างไร ไปช่วย?”
จงหมิ่นเหยียนกัดริมฝีปากแน่น เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร แต่ให้เขานั่งรอพี่โอวหยางถูกสอบสวนจนตาย ก็ไม่อาจทำได้เด็ดขาด
รั่วอวี้กะพริบตาปริบ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นศิษย์เกาะฝูอวี้ส่งข้าวไปที่คุกใต้ดิน คืนนี้น่าจะไปส่งอีกรอบ…”
วาจาเขายังกล่าวไม่จบ แต่จงหมิ่นเหยียนก็เข้าใจความหมายเขาแล้ว นิ่งเงียบเป็นนาน ในที่สุดก็ลุกขึ้นกล่าวว่า “ตกลง! คืนนี้พวกเราไปกัน! แม้อาจารย์ตำหนิ ข้าก็ไม่สนแล้ว!”
รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์เจ้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร ถือคุณธรรมช่วยเหลือคนอื่น เดิมเป็นคุณธรรมดีงาม เขาย่อมต้องเข้าใจ”
จงหมิ่นเหยียนตัดสินใจว่าคืนนี้จะไปช่วยคน ความอัดอั้นใจในใจพลันมลายหายไป มีแต่ความร้อนใจเกาหัวเกาหน้านั่งไม่ติด อยากจะให้พระอาทิตย์ลับเขาไปเลย รีบไปช่วยเขาออกมา
“ข้าไปหาซือเฟิ่ง! พวกเราสามคนไปด้วยกัน…” เขาหันหลังจะออกไป กลับถูกรั่วอวี้ดึงไว้ “เดี๋ยวก่อน คนมากกลับไม่ดี นับประสาอันใดกับซือเฟิ่งกำลังถูกรองเจ้าตำหนักคิดระแวงเพราะเรื่องหน้ากาก ยามนี้เขาไม่เหมาะจะเกิดเหตุผิดพลาดใด เจ้ากับข้าสองคนก็พอแล้ว”
“เรื่องหน้ากากอันใด” จงหมิ่นเหยียนตะลึงไปครู่หนึ่ง พลันนึกได้ว่าว่าพบกันอีกทีครั้งนี้ หน้ากากอวี่ซือเฟิ่งไม่อยู่แล้วจริงๆ รองเจ้าตำหนักต้องหาเรื่องเขาเพราะเรื่องนี้แน่ จึงได้ยิ้มกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเรื่องอะไร! ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน ผู้ใดจะสนใจหน้ากาก! ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอันใดนี่ ครั้งก่อนเจ้าตำหนักก็ไม่ได้ลงโทษเขา”
รั่วอวี้ยิ้มๆ “นั่นเพราะเขาแลกมาด้วยการลงโทษที่ไม่อาจกลับคืนสู่สำนักได้อีก…”
“อะไรนะ?” จงหมิ่นเหยียนฟังไม่ชัด เขาส่ายหน้า “ไม่มีอันใด พวกเราไปดูสภาพพื้นที่รอบคุกใต้ดินกันก่อนดีกว่า ดูว่าคืนนี้จะลงมืออย่างไร”
ตอนกินอาหารเย็น จงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้อ้างว่าเพราะ ‘เจ็บแผล’ จึงได้ไม่มาร่วมทานอาหาร
“หรือว่าแผลฉีก” เสวียนจีคีบอาหารไปก็เป็นห่วงไป
อวี่ซือเฟิ่งเหมือนคิดอันใด ยิ้มกล่าวว่า “คิดว่าคงแผลฉีกสาหัสมาก อีกสักครู่ข้าจะส่งอาหารไปให้พวกเขาเอง จะได้ดูอาการบาดเจ็บไปด้วย”
“ข้าก็…”
“เสวียนจีอย่าตามไป” เขายิ้ม กล่าวเหมือนจงใจเย้าแหย่ “ล้วนต้องถอดเสื้อผ้าออกเพื่อดูบาดแผล เด็กผู้หญิงไปไม่สะดวก”
เป็นเช่นนี้หรือ แต่เขายิ้มเหมือนมีเลศนัย เสวียนจีจ้องมองเขาราวกับรู้ ราวกับไม่รู้
อวี่ซือเฟิ่งรู้ว่านางเฉลียวฉลาดทุกเรื่อง เพียงแค่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกบนโลกที่ไม่ค่อยกระจ่าง มองไม่ออกถึงความไว้ใจพึ่งพาที่จงหมิ่นเหยียนมีต่อพี่โอวหยาง ดังนั้นครั้งนี้นางจึงได้แต่เกาศีรษะคิดอย่างไรก็ไม่ได้คำตอบ เห็นท่าทางลำบากใจของนาง ขนตากระเพื่อมไหวสั่นเทาราวกับปีกผีเสื้อสองตัว รอยยิ้มเขาอดยิ่งกดลึกลงไม่ได้
“ข้ามียาสมานแผล เดี๋ยวซือเฟิ่งเอาไปหน่อยละกัน” ฉู่เหล่ยที่เอาแต่เงียบในที่สุดก็เอ่ยปาก ทำเอาอวี่ซือเฟิ่งตะลึงงัน เขามองเจ้าสำนักเส้าหยางที่ปกติตรงไปตรงมาแสนคร่ำครึ ในใจพลันเข้าใจทันที พวกเขาทำอะไรล้วนไม่อาจรอดสายตาเขาไปได้ ยามนี้ฉู่เหล่ยกล่าวเช่นนี้ก็แสดงว่าเขาเองแอบยอมรับความเหลวไหลนี้ของจงหมิ่นเหยียน ในใจก็เบาลง ยามนี้พลันรู้สึกเลื่อมใสยิ่งขึ้น
หลังอาหาร ฉู่เหล่ยส่งยาและผ้าพันแผลให้อวี่ซือเฟิ่งนำไปให้ พลางกล่าวว่า “หมิ่นเหยียนเป็นคนนิสัยว่างไม่ได้ ชอบก่อเรื่อง ครั้งนี้ลงเขาฝึกฝนตน ซือเฟิ่งต้องดูแลเขามากหน่อย”
เป็นครั้งแรกที่ฉู่เหล่ยปฏิบัติต่ออวี่ซือเฟิ่งถูกด้วยท่าทางยิ้มแย้ม ซือเฟิ่งตกใจที่อยู่ๆ เป็นที่รักใคร่เอ็นดู ในใจยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงได้ให้ความสำคัญกับศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของตำหนักหลีเจ๋อเช่นนี้ พอเงยหน้าสังเกตอารมณ์ความรู้สึกเขา ก็เห็นแต่แววตาอ่อนโยนแฝงความชื่นชมอยู่ลึกๆ
“เสวียนจี…ก็รบกวนเจ้าดูแลให้มากๆ”
อวี่ซือเฟิ่งใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันที ในเวลานั้นพลันกระจ่าง กำลังจะหาคำมาอธิบาย ก็รู้สึกว่าดูจะไม่ได้ความ จะกล่าววาจาตามมารยาทก็ดูปลอม คิดถึงว่าความลับตนเองถูกเขามองทะลุโดยง่าย ในใจอดแตกตื่นไม่ได้ และการได้รับการยอมรับจากอาวุโสก็ยิ่งทำให้เขายินดียิ่ง พลันได้แต่นิ่งเบื้อเป็นไก่ไม้ วาจาแม้ครึ่งคำก็ไม่อาจกล่าวออกมาได้
อวี่ซือเฟิ่งที่แต่ไรมาสติปัญญาเป็นเยี่ยมความสุขุมรอบคอบ ในที่สุดก็มีช่วงเวลาเก้กังกับเขาด้วย ฉู่เหล่ยตบบ่าเขา เขาชื่นชมชายหนุ่มอายุน้อยผู้นี้มาก เดิมคิดจะคุยกับเขาให้ยาวนานสักหน่อย ผู้ใดจะรู้ว่านอกประตูพลันมีเสียงเคลื่อนไหว เสวียนจีเคาะประตูเสียงดังปังๆ ตะโกนว่า “ท่านพ่อ! ซือเฟิ่ง! มีคนมาเกาะฝูอวี้อีกแล้ว!”
ทั้งสองล้วนตกใจยิ่ง