ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption – ตอนที่ 17

ตอนที่ 17

คำสั่งหลิ่วอี้ฮวนทำเอาจงหมิ่นเหยียนหน้าตาดำคล้ำบึ้งตึงยิ่งกว่าก้นหม้อดำทั้งคืน

สีหน้าเช่นนี้ของจงหมิ่นเหยียนเหมือนกำลังเตือนว่า รำคาญจะทนไม่ไหวแล้ว ยุ่งกับข้าน้อยๆ หน่อย! ดังนั้นทุกคนที่คุ้นเคยกับนิสัยเขาดีต่างก็ไม่มองเขา จะได้ไม่โดนเขาระบายอารมณ์ใส่

หลิ่วอี้ฮวนกลับไม่สนใจเขาว่าจะอย่างไร เดินไปเบื้องหน้าหัวเราะเริงร่า เอาเลือดสุนัขและของที่เตรียมไว้แล้วทั้งหมดโยนให้จงหมิ่นเหยียนถือคนเดียว ตนเองเร่งฝีเท้าไปอยู่ด้านหน้า “เร็วหน่อยๆ! หอยทากคลานยังเร็วกว่าพวกเจ้าอีก ไม่ได้กินข้าวหรือ”

เสวียนจีเห็นหน้าผากจงหมิ่นเหยียนเกร็งปูดแทบระเบิดแล้ว กำลังพยายามระงับอารมณ์สุดขีด อดเป็นห่วงไม่ได้ เดินเข้าไปกล่าวเบาๆ ว่า “ศิ…ศิษย์พี่หก ข้าช่วยถือไหหนึ่ง…”

“ไม่…ต้อง!” จงหมิ่นเหยียนกัดฟันกล่าวลอดไรฟันออกมาสองคำ เห็นเสวียนจียังวนเวียนไปมาอยู่ข้างๆ อดโมโหไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้ายังวนหาอะไรอีก?! เดินไปสิ!”

เสวียนจีเดิมคิดเรียกพวกอวี่ซือเฟิ่งมาช่วยแต่ถูกเขาตวาดใส่ ได้แต่ตกใจอึ้งไปทันที จับเปียผมตนเองแกว่งไปมาพลางมองเขาอย่างลำบากใจ

เขานึกเสียใจอยู่สักหน่อยที่วู่วามไป สีหน้าจึงค่อยๆ ผ่อนลง ยกไหกระปุกกระเบื้องร้อนสี่ใบขึ้นอุ้มไว้ที่ในอ้อมแขน ยกมือจับผมกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้า ไม่ต้องสนใจข้า รีบไปช่วยถิงหนูออกมาก็จะได้ไปเขาปู้โจวซานยิ่งเร็วขึ้น จากนั้นก็จะช่วยหลิงหลงได้เร็วขึ้น…”

เขาไม่ได้กล่าวต่อ เสวียนจีเห็นหว่างคิ้วเขาฉายแววเศร้าลึก ต่างจากปกติที่สายตาเขามักทอประกายลุกโชนยามเห็นมารปีศาจ ระยะนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย เขาเองเปลี่ยนไปไม่น้อย แสงจันทร์ทอแสงหม่น ใบหน้าเขาถูกแสงเงาบดบังเหลือเพียงดวงตาส่องประกายลุกโชนคู่หนึ่ง แววตาเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกราวนึกย้อนกลับไปยังเมื่อสี่ปีก่อนที่ยอดเขาเสี่ยวหยาง เขาลงไปจับปลาในทะเลสาบ วินาทีที่ผุดขึ้นจากน้ำนั้น หยดน้ำไหลลู่ลงตามโครงหน้างามของเขา สองตาส่องประกายราวดวงดาววิบวับมองมาที่ตน

ในใจนางพลันสะดุ้ง ราวกับมีมือน้อยตะปบจุดที่อ่อนแอที่สุดเข้า ผินหน้ากลับไปอย่างลนลาน

“จะต้องเรียบร้อย…หลิงหลงกับศิษย์พี่รอง ต้องช่วยกลับมาได้”

นางพึมพำกล่าว

จงหมิ่นเหยียนหัวเราะ มีแววเยาะเย้ยปนนิดหน่อย “พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยอีกแล้ว เจ้าไปช่วย? ความสามารถเจ้าพอไหม”

“ข้า ข้าต้องช่วยพวกเขากลับมา! ไม่ใช่วาจาไม่อยู่กับร่องกับรอย! ข้าจริงจังนะ! แม้ว่า…ต้องแลกด้วยชีวิต…”

มือเขาพลันตบไปบนหน้าผากนางเบาๆ ฝ่ามือร้อนผ่าว วาจาติดขัดขาดห้วง

“เจ้าอย่าแลกชีวิต หลิงหลงนาง…ข้าไม่อาจปล่อย…น้องสาวนางเกิดเรื่องอีก ไม่ได้เด็ดขาด”

กล่าวจบอยู่ๆ เขาก็ยิ้ม ผลักหน้าผากนางออกเบาๆ เสวียนจีอึ้งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เห็นเขาแย้มยกมุมปากเผยรอยยิ้มเปิดเผย “เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงนะ สนใจแค่ตามหลังพวกเราก็พอ! ครั้งนี้ควรจะเชื่อฟังสักหน่อยนะ เรียกเจ้าหนีก็หนี อย่าเอาแต่ยึกยักมากเรื่อง เข้าใจไหม อย่างน้อย…เจ้าหนีออกไปได้ ก็ยังมีหวังกลับมาเอาคืนได้ หากถูกกลืนกินทั้งกองทัพ…ฮาๆ นั่นก็ช่างขายหน้าสำนักเส้าหยางเรามากไปแล้ว”

หลิ่วอี้ฮวนด้านหน้าเริ่มส่งเสียงตะโกนดังบนถนนที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน “พวกเจ้ากินข้าวกันไม่อิ่มหรือ รีบเดินหน่อยไม่ได้หรือ หากยังเดินกันไปเช่นนี้ ฟ้าสางก็ยังเดินไม่ถึง ถึงตอนนั้นก็ไร้หนทางช่วยเหลือแล้ว อย่าได้โทษข้า!”

จงหมิ่นเหยียนแค่นเสียงฮึ อุ้มไหกระปุกกระเบื้องทั้งสี่เร่งฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้า

เสวียนจีจ้องมองแผ่นหลังเขานิ่งอึ้ง รู้สึกเพียงว่าเหมือนไกลแต่ก็เหมือนใกล้ ไม่อาจคาดเดา นานมาแล้ว เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้ เขาเป็นคนยากเข้าใกล้เช่นนี้ ราวกับหงส์หล่วนงดงามที่บินได้ไกลมากตัวหนึ่ง แต่ไรมาไม่เคยหันหลังกลับมา

พลันถูกคนตบไหล่เบาๆ อวี่ซือเฟิ่งก้มหน้าลงพลางยิ้มบางๆ ให้นาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ตามมา อย่าเหม่อ”

นางสบดวงตาดำลุ่มลึกของเขา ในใจรู้สึกเพียงว่ามีสิ่งใดร่วงหล่นลงไป ไม่รู้เหตุใดจึงนึกถึง ณ ป่าต้นซิ่งงดงามแดงเข้มชมพูอ่อนราวกับสายฝนพรำผืนนั้น ชายหนุ่มผู้นี้บอกว่าชอบนาง

นางลนลานผินใบหน้าไปอีกทางอีกครั้ง วุ่นวายใจยากระงับ ในลำคอเหมือนมีสิ่งใดโลดเต้นอยู่ หน้าอกเหมือนมีสิ่งใดมากมายอัดแน่น แผ่นหลังบัดเดี๋ยวหนาว บัดเดี๋ยวร้อน

“ในจวนตระกูลโจวนั่นมีสิ่งมีค่าที่เทพบรรพกาลทำหล่นไว้ในโลกมนุษย์ อยากดูไหม”

อวี่ซือเฟิ่งถามนางพร้อมรอยยิ้มบาง

เสวียนจีตะลึงไปครู่หนึ่ง ลังเลพยักหน้า “เป็น เป็นสิ่งมีค่าอันใด”

อวี่ซือเฟิ่งแอบดึงมือนางเข้ามาใกล้กล่าวเบาๆ ว่า “ชู่…อย่าให้พวกเขาได้ยิน ไม่อย่างนั้นต้องแอบออกมาแน่ ของนั่นบอกกระจ่างไม่ได้ เห็นแล้วจะรู้เอง เหนือขึ้นไปสวรรค์เก้าชั้น ล่างลงไปนรกใต้ดิน ไม่มีอันใดไม่รู้”

เขาแสร้งเหมือนว่ามีเลศนัย ดังคาด ทำเอาความอยากรู้ของเสวียนจีเกิดขึ้นทันที สองตาจับจ้องราวกับแมวน้อย สองตาปริบๆ รอเขาเผยออกมามากอีกหน่อย

ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเพียงยิ้ม ลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวอ่อนโยนว่า “ถึงที่นั่นข้าค่อยชี้ให้เจ้าดู ตอนนี้ตั้งสติหน่อย รีบไปเร็ว”

เสวียนจีออกวิ่งตามเขา ผ่านไปเป็นนานจึงได้สติว่าเขาคิดเย้าแหย่ให้นางเบิกบานใจ เมื่อครู่สีหน้านางคงดูย่ำแย่มากแน่ๆ เขาจึงได้เบนความสนใจนาง

ซือเฟิ่งดีมากจริงๆ นางรู้

ยามคิดเช่นนี้ขึ้นมา ก็ถึงกับทำให้รู้สึกปวดใจ ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใด นางค่อยๆ ยื่นมืออกไปคิดคว้าแขนเสื้อเขาไว้ เขากลับวิ่งเร็วกว่านางก้าวหนึ่งเสมอ เขาไม่หันหลังมามอง แต่เอื้อมมือมาด้านหลังคว้ามือนางไว้แน่น หันกลับมายิ้มกล่าวว่า “กลัว?”

ในใจนางเต้นรุนแรง ใบหน้าค่อยๆ ร้อนผ่าว ส่ายหน้าทันที

โชคดีที่คืนแสงมืดเช่นนี้ จึงได้บดบังทุกสิ่งที่ดูอึดอัดไว้ได้ โชคดีที่จิ้งจอกม่วงที่หมอบอยู่บนบ่านางแกล้งทำเป็นหลับ ไม่พูดแม้แต่คำเดียว ทำให้นางไม่ถึงกับดูย่ำแย่จนเกินไปนัก

ค่ำคืนดึกดื่นในเมืองชิ่งหยาง นอกจากร้านค้าริมทางเล็กๆ ในตรอกเตรียมเก็บร้าน ก็ไม่มีคนแม้สักคน เสียงลมพัดออกมาจากในตรอกเล็กอื้ออึง ม้วนหอบเอาหิมะมาเล็กน้อย ปลิวว่อนไปบนพื้น ออกจากเกาะฝูอวี้ที่สี่ฤดูราวใบไม้ผลิมา โลกภายนอกยังคงเป็นปลายหนาวต้นใบไม้ผลิ อากาศยังคงเยียบเย็นเสียดกระดูก

จิ้งจอกม่วงที่หมอบอยู่บนไหล่เสวียนจีมาตลอดอยู่ๆ ก็ขยับ หนวดยาวๆ บนปากแหลมๆ ขนสีม่วงกระเพื่อมตามแรงลม

“กลิ่นชิงเกิง!” อยู่ๆ นางก็ส่งเสียงร้องดังขึ้น กระโดดผลุบตัวขึ้นจากบ่าเสวียนจี ว่องไวราวสายฟ้าฟาด พริบตาก็มาถึงด้านหน้า

ทุกคนจึงรีบเปลี่ยนทิศ ตามจิ้งจอกม่วงวิ่งไปทางซ้าย พอเลี้ยวโค้ง กำแพงสูงสีน้ำตาลแดงเข้าแทนที่กำแพงเตี้ยสีขาวเมื่อครู่ ทุกคนล้วนรู้ หมายความว่าพวกเขามาถึงรอบนอกจวนตระกูลโจวแล้ว กำแพงสีน้ำตาลแดง มีเพียงขุนนางเท่านั้นที่ใช้ได้

จิ้งจอกม่วงขึ้นไปอยู่บนมุมหนึ่งของกำแพงสูง ดมสิ่งใดสักสิ่งหนึ่ง ส่งเสียงร้องอย่างเร่งร้อนใจอะไรสักอย่าง เสวียนจีรู้สึกเพียงมีกลิ่นคาวหนึ่งลอยมา แยกไม่ออกจริงๆ ว่าแท้จริงเป็นกลิ่นอายปีศาจหรือว่ากลิ่นเหม็น ถึงกับกลบกลิ่นอายปีศาจจิ้งจอกม่วงไปได้

นางขมวดคิ้วอุดจมูก กลิ่นลอยออกมาจากจวนตระกูลโจว ดูท่าหลิ่วอี้ฮวนพูดไม่ผิด ในจวนตระกูลโจวมีปีศาจ! และกลิ่นยังแรงมาก เหม็นอย่างมาก

“เจ้านอกจากเสียงส่งเสียงหงิงๆ แล้วยังทำอย่างอื่นเป็นไหม?! พูดอะไรที่มีประโยชน์บ้างสิ! ถิงหนูอยู่ที่ไหน?!”

จิ้งจอกม่วงร้อนใจแทบตะกายกำแพง กระโดดไปมาไม่หยุด

ทุกคนวิ่งเข้าไป เห็นเพียงนกน้อยขนสีเขียวหางขาวถูกนางกันไปมุมหนึ่ง ขนาดเท่าราวนกสาลิกา น่าจะเพราะถูกจิ้งจอกม่วงตวาดใส่ มันจึงรีบร้อนจะหนี ส่งเสียงจิ๊บๆ ราวกับกำลังอธิบาย

“ข้าดูหน่อย” หลิ่วอี้ฮวนเดินเข้าไป คว้าชิงเกิงตัวนั้นไว้ในมือ เห็นที่เท้าหนีบแถบผ้าสีแดงสดผืนหนึ่ง ดูแล้วเหมือนว่าเป็นผ้าชุดแต่งงาน

“นั่นเสื้อผ้าถิงหนู! ก่อนหน้าข้าได้กลิ่นน่าจะอันนี้แหละ ถิงหนูถูกปีศาจที่นี่ขังไว้ ตังคังปกป้องเขาไว้ ชิงเกิงบินออกมาตามคนไปช่วย”

จิ้งจอกม่วงโดดขึ้นบ่าเสวียนจี กดจมูกลงหลังคอนาง ร้องดังว่า “ที่นี่ไม่รู้มีปีศาจอะไรอาศัยอยู่ กลิ่นแรงเช่นนี้! ข้าใกล้จะเป็นลมแล้วเนี่ย! กลิ่นอะไรก็ไม่ได้กลิ่นอีกแล้ว”

หลิ่วอี้ฮวนลูบชิงเกิงปล่อยมันบินขึ้นไป หันกลับไปยิ้มกล่าวว่า “เมื่อครู่มันว่าที่นี่มีปีศาจงูร้ายกาจมากอาศัยอยู่ ใกล้กลายเป็นมังกรแล้ว กำลังลอกคราบอยู่ ดังนั้นกลิ่นจึงประหลาดมาก มันกับตังคังรับมือไม่ไหว ถิงหนูใกล้จะได้รับอันตรายแล้ว”

“ปีศาจงูกลายเป็นมังกร?!” จิ้งจอกม่วงตกใจสะดุ้ง “ข้ามีอายุมานานหลายพันปีเช่นนี้ แต่ไรมาไม่เคยเห็นงูกลายเป็นมังกร!”

นั่นร้ายกาจเพียงใดกัน! เด็กหนุ่มสาวรุ่นเยาว์ที่มาด้วยกัน รวมนางกับหลิ่วอี้ฮวนที่มีดวงตาสวรรค์ เกรงแต่ว่ายังไม่พอให้คนเขาเอาไปแคะขี้ฟัน!

“เจ้ากลัวอะไร!” หลิ่วอี้ฮวนยิ้มมองไปทางเสวียนจี กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ตายหรอก เกรงแต่ว่าถึงตอนนั้นที่ตายก็คงเป็นปีศาจงูนั่น”

จิ้งจอกม่วงเข้าใจความหมายเขาในทันที แน่นอนเด็กหญิงนั่นมีวิถีมารบางอย่าง หากปล่อยอัคคีสมาธิจิตได้ แม้มันกลายเป็นมังกร หากยังบินไม่ได้ ก็มีวิธีจัดการมัน

“ห้องคุณหนูรองอยู่มุมทางตะวันออกเฉียงใต้ พวกเราต้องแยกกันปฏิบัติการ จะได้ไม่ทำให้นางโมโห จับพวกเรากลืนในคำเดียว”

หลิ่วอี้ฮวนชี้มือไปทีละคน “เจ้า เจ้า เจ้าด้วย พวกเจ้าสามคนไปจากทางนี้ ข้ากับสาวงามยังมีเจ้าหนุ่มถือกระปุกไปทางนั้น ถึงตอนนั้นรอสัญญาณจากข้า”

ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน พริบตาเงาร่างก็โดดลงจากบนกำแพงไป

ตอนกลับถึงโรงเตี๊ยมท้องฟ้าก็มืดแล้ว หลิ่วอี้ฮวนก็ออกจาก ‘คอกหมู’ นั่นของเขาตามมาคำเชื้อเชิญแสน ‘จริงใจ’ ของอวี่ซือเฟิ่งอย่างไม่เกรงใจ

เพิ่งเดินเข้าห้องมาก็ได้ยินที่เตียงมีเสียงด่าดังเต็มสองหู “เจ้าโจรหน้าเหม็น! เจ้าโจรควรตาย! กล้าขังมารดาเจ้าไว้รึ ข้าจะตะกุยเจ้าให้ตาย! กัดเจ้าให้ตาย!”

หลิ่วอี้ฮวนลูบคางเดินวนรอบหนึ่ง กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เอ๋? พวกเจ้าถึงกับขังมารจิ้งจอกพันปีไว้ที่นี่ด้วย? หายากแท้!”

อวี่ซือเฟิ่งดึงร่างจิ้งจอกม่วงที่ถูกมัดเป็นก้อนขึ้นมาจากเตียง นางแผดเสียงร้องไห้ดังลั่นทันที พร้อมกันฟันกรอดกล่าวลอดไรฟัน “เจ้าโจรใจดำ! ข้า…ข้าเคยถูกรังแกอย่างนี้ตอนไหนกัน! รอให้หาถิงหนูพบก่อน…ล้วนเพื่อเขา! ข้าจะไปคิดบัญชีเขา!”

ยังกล่าวไม่ทันจบก็เห็นศีรษะสกปรกรุงรังชะโงกหน้าเข้ามา ผมเผ้าพันกันเป็นก้อน เห็นดวงตากะพริบส่องประกายดูเหมือนคิดอะไรชั่วร้ายอยู่เสียมาก เสียงร้องไห้เหมือนโดนรังแกของนางก็ขาดห้วงไปทันที หันไปจ้องมองเขาอย่างงุนงง

หลิ่วอี้ฮวนยกมือขึ้นชี้ใบหูนาง แตะๆ ครู่หนึ่งก็ร้องตกใจว่า “เป็นๆ! สวรรค์! ถึงกับเป็นมารจิ้งจอกพันปีตัวจริง! พวกเจ้าจับได้อย่างไร”

อวี่ซือเฟิ่งคลายเชือกมัดปีศาจบนร่างจิ้งจอกม่วงออก เห็นนางขยับคิดเอาคืนก็ยกมือลูบหัวนางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “อย่าเหลวไหล ไม่ใช่ต้องการหาถิงหนูหรือ ข้าหาคนมาช่วยแล้ว”

วาจาอ่อนโยนทำเอาไฟโทสะจิ้งจอกม่วงมลายหายไปในทันที แม้ว่านางยังไม่ยอม แต่ราวกับการมีอวี่ซือเฟิ่งอยู่ข้างๆ ไฟโทสะนางก็ไม่อาจปะทุออกมา ได้แต่พยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย ซุกหน้าเช็ดน้ำมูกน้ำตาเข้าที่แขนเสื้อเขา

“คนผู้นี้คือใคร หน้าตาราวโจรราคะ…จะช่วยอะไรได้?” จิ้งจอกม่วงมองท่าทางราวโจรชั่วของหลิ่วอี้ฮวนแล้วก็ไม่ได้รู้สึกดีอันใดกับเขานัก

หลิ่วอี้ฮวนยืดอกขึ้น แลดูองอาจผึ่งผาย น่าเสียดายที่สกปรกไปหน่อย “เซียนจิ้งจอกคนงามอย่าดูแคลนผู้อื่น จมูกเจ้าดมไม่ได้กลิ่น แต่ตาข้ามองเห็น”

เขาชี้ไปที่หน้าผากตนเองที่มองสีเดิมไม่ออก ท่าทางได้ใจยิ่ง

จิ้งจอกม่วงเหลือบมองอย่างไม่ใคร่อยากจะสนใจนัก พลันอึ้งไป จากนั้นหางกระตุกราวกับเห็นสิ่งมีค่า ตะปบคอเขาไว้ทันที ปากแหลมๆ ดมหน้าผากเขาไปมา ใช้น้ำเสียงที่เรียกว่าชื่นชมสุดขีดว่า “ดวงตาสวรรค์! ดวงตาสวรรค์!! เจ้าโจรราคะถึงกับมีของดีเช่นนี้!”

ทุกคนก่อนหน้าได้ยินเพียงว่าเปิดดวงตาสวรรค์ แต่เหมือนว่าไม่เคยเห็นเขาลงมืออันใด ยามนี้ได้เห็นจิ้งจอกม่วงตื่นเต้นยินดีเช่นนี้ ก็อดมองไปยังหน้าผากเขาไม่ได้ เห็นเพียงหน้าผากที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกมีแผลเป็นเล็กๆ นูนออกมารอยหนึ่ง ใช้เส้นไหมสีแดงเข้มเย็บปิดไว้ หนึ่งเพราะใบหน้าเขาสกปรก สองเพราะผมเขายาวมาก ก่อนหน้านี้ทุกคนถึงกับไม่ทันเห็น

หลิ่วอี้ฮวนลูบหน้าผากพลางยิ้มเสแสร้งเหมือนเดิม “ของเล่นนี้ไม่อาจแตะต้องกันตามอำเภอใจ หากเปิดหมดจริง ก็คงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ภูตผีปีศาจร่ำไห้”

จิ้งจอกม่วงมองเขาตาปริบๆ พลันอ้าปากงับเสื้อเขาไว้ เอ่ยน้ำเสียงน่าสงสารออดอ้อนออเซาะว่า “นายท่าน ข้าน้อยมีตาไร้แวว เมื่อครู่ล่วงเกินนายท่านแล้ว ขออย่าได้ถือสา! ท่าน…ท่านช่วยข้าดูคนผู้หนึ่งได้ไหม”

หลิ่วอี้ฮวนแค่นเสียงฮึขึ้นจมูก กอดอกท่าทางโอ้อวด ออกท่าทางเย่อหยิ่งกล่าวว่า “โจรราคะอย่างข้าจะไปเห็นอันใดได้ เซียนจิ้งจอกโฉมงามเกรงใจไปแล้ว!”

จิ้งจอกม่วงน้ำตารื้น ท่าทางเหมือนถูกรังแกอย่างยิ่ง แม้กล่าวว่าวิสัยจิ้งจอกเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่น้ำตาจะหลั่งก็หลั่งออกมาได้เช่นนี้นั้นนับว่าหาได้น้อยมาก นางเห็นหลิ่วอี้ฮวนไม่ขยับเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย จึงกัดฟันกระโดดลงพื้น ทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้ามีแสงสว่างวาบ สาวงามชุดม่วงแห่งเขาเกาซื่อซานก่อนหน้านี้นางนั้นค่อยๆ ยืนอยู่กลางห้อง ในอ้อมอกนางมีร่างเดิมจิ้งจอกอยู่

“นายท่าน ขอร้องท่านหน่อยน้า~~~” นางเริ่มยั่วยวน คว้าเสื้อแสนสกปรกเขาไว้พลางเขย่าไปมา

สายตาหลิ่วอี้ฮวนมองจ้องพลางพึมพำกล่าวว่า “ก่อนหน้าก็แค่กล่าวไปอย่างนั้น คิดไม่ถึงว่าเป็นสาวงามจริงด้วย…”

ทุกคนเห็นสีหน้าลุ่มหลงของเขา อดไร้วาจาจะกล่าวไม่ได้

หลิ่วอี้ฮวนกระแอมไอในลำคอ วางท่าทางเป็นการเป็นงาน มองจิ้งจอกม่วงบนลงล่าง ก็ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวเปิดดวงตาสวรรค์อะไรสักที สุดท้ายลูบคางพลางยิ้มมีเลศนัย “มองไม่ออก เจ้าก็งมงายในรัก”

จิ้งจอกม่วงหน้าแดงก่ำร้อนใจกล่าวว่า “นั่น…แล้วอย่างไร? เขาอยู่ที่ใด? มีหวังช่วยออกมาได้ไหม?”

หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้า “พูดยาก นั่นก็แค่ละเมิดกฎสวรรค์ ส่วนว่าออกมาได้หรือไม่ เจ้าอย่าได้ถามข้า ย่อมมีคนที่คู่ควรจะถาม”

“ข้า…ข้าควรถามใคร”

เขายักไหล่ทีหนึ่ง “ควรถามผู้ใดก็ถามผู้นั้นสิ! อย่างไรอย่าถามข้า เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวและ…”

สายตาเขาเหมือนมีแววสงสารอยู่สายหนึ่ง กล่าวอ่อนโยนว่า “เจ้าไยต้องเป็นเช่นนี้ ในใจเขาเห็นชัดว่า…”

“อย่าได้กล่าว” จิ้งจอกม่วงขัดเขาขึ้นเบาๆ ยิ้มเล็กน้อย “ข้ายินยอมพร้อมใจเอง”

หลิ่วอี้ฮวนหุบปาก ทำมือทำไม้ออกท่าทางแบบเสียไม่ได้ หันไปนั่งเก้าอี้อีกตัว ส่งเสียงดัง “ยกอาหารมาๆ! จะให้ข้าทำงานให้อย่างเดียว ไม่มีผลประโยชน์อันใดให้สักนิด จะทำให้ข้าหิวตายให้ได้หรือ”

****

เรื่องหลิ่วอี้ฮวนเปิดดวงตาสวรรค์ ทำให้ทุกคนคิดหนัก วาจาที่เขาว่ามาเหมือนจริงเหมือนเท็จ ทำให้ทั้งหวาดกลัวและสงสัย แม้แต่เสวียนจีเองก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตอนกินข้าวยังขมวดคิ้วคิดหนัก

แต่เจ้าตัวเองกลับดูสบายๆ ไม่สนใจอันใด ตั้งหน้าตั้งตากินเอาๆ กินจนอิ่มแปล้แทบตาย

หลังอาหาร เขาอาบน้ำแล้วก็นอนงีบหนึ่ง จนกระทั่งยามจื่อจึงได้ตื่นขึ้นมา ทุกคนมารออยู่นอกห้องกันนานแล้ว พอเห็นเขาผลักประตูออกมาก็อึ้งตะลึงงัน ที่แท้หลิ่วอี้ฮวนเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านหวีผมให้เรียบร้อยแล้วก็ไม่เลว ดังคำกล่าวว่าคนเราล้วนต้องอาศัยเครื่องทรงทองคำ ตอนนี้เขาดูแล้วมีสติเบิกบานเต็มที่ เปล่งประกายกลิ่นอายแห่งบุรุษผู้กล้าขึ้นบ้างแล้ว

เขาเห็นทุกคนไม่กล่าวอันใด จ้องมองตนเองตาปริบๆ ก็แสยะยิ้มกล่าวว่า “อย่างไรเล่า ข้าเองก็หนุ่มรูปงามกระมัง?”

จงหมิ่นเหยียนค้อนขวับอย่างแรง จิ้งจอกม่วงนอนพาดอยู่บนบ่าท่าทางเหมือนคนป่วยส่งเสียงงึมงำ “อวดอ้างอะไรเนี่ย…อย่างเจ้าเช่นนี้สวมชุดมังกรก็ยังคงเป็นโจรราคะ…”

“อะไรนะ?”

“ไม่มีอะไร…ข้าบอกว่า พวกเราจะไปกันเมื่อไร” ดวงตาจิ้งจอกม่วงส่องประกายวับวาวเต็มไปด้วยรอยยิ้มกินปูนร้องท้อง

หลิ่วอี้ฮวนกล่าวทันที “ตอนนี้ ทันที บัดเดี๋ยวนี้…พวกเราออกเดินทาง ไปชมจวนตระกูลโจวที่ร่ำรวยในเมืองชิ่งหยางกันสักครา”

อวี่ซือเฟิ่งคุ้นเคยกับเมืองชิ่งหยางมาก พอได้ยินว่าจวนตระกูลโจว คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย กล่าวเบาๆ ว่า “นั่นเป็นจวนขุนนาง ไม่ควรแตะต้องนัก นับประสาอันใดกับตระกูลขุนนางที่ย่อมมีสิ่งปกป้องคุ้มครอง ปีศาจยากอาละวาด”

หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “พวกเราไม่ขโมยของมีค่าตระกูลเขา และไม่ทำให้คนในนั้นตกใจ ก็แค่อาศัยยามค่ำคืนเข้าไปขโมยชมโฉมคุณหนูรองตระกูลเขาเท่านั้น ได้ยินว่าคุณหนูรองตระกูลโจวงดงามระบือไกล ไม่ไปชมโฉมใช่ว่าน่าเสียดายหรือ”

“นี่! เจ้าพูดเหลวไหลน้อยหน่อยได้ไหม!” ในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็ทนปากไร้หูรูดของเขาไม่ไหว ออกอาการยากระงับ กล่าวว่า “หากเจ้าต้องการทำเรื่องชั่วช้าก็ไปเองเลย! ข้าขี้เกียจไปด้วย!”

หลิ่วอี้ฮวนไม่โมโหสักนิด ยังคงยิ้มร่า “คุณหนูรองนั่น อีกสองสามวันก็จะแต่งงานแล้ว ได้ยินว่าเขยแต่งเข้าด้วยนะ! สาวงามแห่งใต้หล้าพอแต่งแล้วก็ไม่อาจชมโฉมได้แล้ว ไม่อาศัยจังหวะก่อนแต่แอบลอบชม วันหน้าอย่ามานึกเสียใจภายหลัง”

“เจ้าจะหยุดไหมเนี่ย…” จงหมิ่นเหยียนโมโหแล้ว แทบจะลงไม้ลงมือแล้ว

อวี่ซือเฟิ่งกลับรู้สึกวาจาเขามีนัยนะ จึงดึงตัวจงหมิ่นเหยียนไว้ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “พี่หลิ่ว ความหมายพี่ก็คือ คุณหนูรองนั่นเป็นมารปีศาจ?”

หลิ่วอี้ฮวนโบกมือ “อย่างไรเฟิ่งหวงน้อยก็ฉลาดที่สุด มิน่าเจ้าหนุ่มหน้าโง่ปากมากนั่นจึงได้ถูกหลอก สมน้ำหน้าจริง ข้าบอกพวกเจ้าเลยนะ คุณหนูรองไม่ธรรมดา คืนนี้ไปหา เราจะได้กลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ยังไม่รู้ได้ ส่วนเงือกที่พวกเจ้าหา หากไปช้าอีกสองสามวัน ก็น่าจะแต่งงานเป็นเขยตระกูลนั่นไปแล้ว!”

ทุกคนตกใจมาก จิ้งจอกม่วงตกใจลนลานเกือบร่วงจากบ่าเสวียนจี ตะกายคว้าไว้อยู่นาน ตกใจส่งเสียงดังว่า “ถิงหนู เขาถูกผู้ใดบังคับแต่ง?! เขา…เป็นเงือก…แต่งงานได้อย่างไร…”

ใบหน้าหลิ่วอี้ฮวนยิ้มมีเลศนัยยิ่งขึ้น “แต่งงานก็แค่เปลือกนอก ข้าว่าเงือกนั่นไม่ธรรมดา น่าจะเป็นปีศาจบรรพกาล ปกติแค่มารปีศาจบำเพ็ญเพียรหลายพันปีก็เป็นของมีค่าที่หาราคาไม่ได้แล้ว อืม …สองปีศาจข้างกายเขาตอนนี้ร้อนใจยิ่งแล้ว ถูกปีศาจร้ายกาจพวกนั้นสะกดไว้…แต่ทว่าหากพวกเราจะไปจวนตระกูลโจว ยังต้องเตรียมของไปสักหน่อย”

กล่าวจบหันกลับไปเห็นจงหมิ่นเหยียนโมโหฮึดฮัดถลึงตาใส่ตน เขาหัวเราะดังลั่นกล่าวว่า “เจ้านั่นแหละ ไม่ต้องมอง รีบไปเตรียมเลือดสุนัขดำร้อนมาสองไห แล้วก็น้ำมันร้อนมาสองกระปุก เตรียมเสร็จเมื่อไร พวกเราก็ออกเดินทางเมื่อนั้น”

“หา! ดวงตาสวรรค์?!” หลิ่วอี้ฮวนทำไม้ทำมือตกใจเกินจริง กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเปิดดวงตาสวรรค์ก็เหมือนกินองุ่นง่ายๆ เช่นนี้หรือ”

เขาเห็นอวี่ซือเฟิ่งนิ่งไม่ขยับ ทั้งยังจ้องมองตนเองไม่วางตา ได้แต่ยักไหล่ถอนหายใจกล่าวว่า “เช่นนั้น…เงือกใดคู่ควรให้ข้าเปิดดวงตาสวรรค์? ที่ข้ารู้มา ก่อนหน้านี้พวกเจ้า…”

“เป็นสหาย” อวี่ซือเฟิ่งขัดวาจาเขาขึ้น “สหายคนสำคัญมาก”

หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดัง ลุกขึ้นยืนโงนเงนไปมา เดินไปทางประตู ทุกคนรีบตามไป พอเข้าไปใกล้รู้สึกได้ว่าตัวเขาเหม็นกลิ่นสุรารุนแรงแสบจมูก อดพากันอุดจมูกและหลีกทางให้ไม่ได้

“เฟิ่งหวงน้อย[1]” เขายิ้ม คว้าไหล่อวี่ซือเฟิ่งไว้เพื่อพยุงร่างที่โงนเงนไปมา ศีรษะชนเข้ากับหน้าอกเขา “เจ้าต้องการให้ข้าเปิดดวงตาสวรรค์ ไม่เพียงเพื่อดูเงือกง่ายๆ เช่นนั้นกระมัง”

เขาถามเสียงเบายิ่ง ราวกับรู้ว่ามีคนหูไวได้ยิน ยังใช้มือป้องไว้

อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ใบหน้าซีดขาวถึงกับมีเลือดฝาดเล็กน้อย หน้าตาหล่อเหลาอ่อนประสบการณ์เช่นนั้นทำเอาหลิ่วอี้ฮวนทนไม่ไหว ยีใบหน้าเขาอย่างแรง ยีจนกลายเป็นหน้าตาประหลาดหลายแบบ

“ตกลงๆ ข้ารู้แล้ว…เฟิ่งหวงน้อยยังต้องการดูเรื่องตนเอง” หลิ่วอี้ฮวนหลบหมัดเขาที่ซัดมา หัวเราะร่าดังหลบลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

พวกจงหมิ่นเหยียนเขยิบเข้ามาใกล้ท่าทางเก้กัง ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…สหายเจ้านั่น…เขา เอิ่ม…”

เขาดูราวกับสำมะเลเทเมายิ่งกว่าพวกนักเลงสำมะเลเทเมา เป็นผีสุรายิ่งกว่าผีสุรา เป็นพวกหัวไม้เละเทะยิ่งกว่าหัวไม้เสียอีก…มองอวี่ซือเฟิ่งอีกที ชุดสีครามสะอาดสะอ้านตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียบร้อยและสบายตา เป็นมาตรฐานเด็กดีที่หน้าตาหล่อเหลายอดเยี่ยมอย่างที่สุด ถึงกับมีสหายเช่นนี้ นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆ

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ตอนเด็กๆ ข้าก็รู้จักกับเขาแล้ว อย่าเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนดีที่มีน้ำใจมาก และความสามารถก็สูงมาก ต้องการหาถิงหนูและเรื่องไปเขาปู้โจวซานต่อจากนี้ต้องมาหาเขาก่อนไม่ผิดแน่”

“อ้อ…” ในเมื่อเขากล่าวเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ได้แต่เชื่อไปชั่วคราวก่อนแล้วกัน

ผู้ใดจะรู้ว่าพอลงจากชั้นบนก็เห็นหลิ่วอี้ฮวนถูกชายดูแลหอคณิกากลุ่มหนึ่งล้อมไว้ ส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่ตรงนั้น ก็ไม่รู้ทะเลาะอะไรกัน หลิ่วอี้ฮวนดวงตาปรือเมามาย เผยรอยยิ้มบาง ฟังคนเหล่านั้นส่งเสียงตะโกนโหวกเหวกดัง ฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ถามกลับว่า “ไยต้องโมโหกันขนาดนี้ด้วย คุยกันดีๆ ก่อเกิดเงินทอง หลักการพวกนี้ไม่เข้าใจหรือ”

กล่าวจบก็เอื้อมมือออกไปคว้านางคณิกาสีหน้าตกใจซีดเผือดนางหนึ่งเข้ามากอด ก้มหน้าจุมพิตที่ใบหน้านางอย่างแรงทีหนึ่ง

แม่เล้าขนเอาร้อยมารยามาใช้หมด อ้าปากก็พ่นออกมายกใหญ่จนน้ำลายแตกฟอง ดีดลูกคิดในมือคิดบัญชีเขาอยู่ วาจากดดัน “ข้าว่านะนายท่านหลิ่ว วันนี้เรียกท่านว่า ‘นายท่าน’ ท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือ! ท่านก็เป็นแขกประจำของพวกเราที่นี่ คำว่า คุยกันดีๆ ก่อเกิดเงินทอง นี่ใช้กับท่านก็ราวกับวาจาเหลวไหล ปกติท่านเอาแต่ลงบัญชีติดค้างไว้ก็แล้วไป แต่วันนี้ยังนำพาพวกมาก่อเรื่องรุนแรงมาพังร้านข้าเสียได้ หากข้ายังจะ ‘คุยกันดีๆ ก่อเกิดเงินทอง’ อีก จะถูกท่านทำพังหมดเช่นนี้อีกกี่ครั้ง! พวกเราคนตรงไม่กล่าววาจาวกวน คิดบัญชีทีเดียวให้จบเลย เงินที่ค้างไว้ก็จ่ายมา ไม่เช่นนั้นวันนี้ท่านก็อย่าคิดก้าวออกจากประตูนี้!”

หลิ่วอี้ฮวนได้แต่ยิ้ม ท่าทางไม่สนใจไยดี หนุ่มสาวด้านหลังเห็นแม่เล้าเอาเรื่องเช่นนี้ อดเดินออกมาพร้อมกันไม่ได้ อวี่ซือเฟิ่งขมวดคิ้วถามว่า “เขาค้างเงินเท่าไร”

แม่เล้าเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาก็อดอึ้งไปไม่ได้ ชายผู้ดูแลหอคณิกาข้างๆ รีบเข้ามากระซิบบอกนางว่าคนผู้นี้เป็นคนที่นำคนมาก่อเรื่องในวันนี้ นางสีหน้าแปรเปลี่ยน สุดท้ายฝืนยิ้มกล่าวว่า “เรื่องเงินเรื่องเล็ก พวกข้าทำการค้าเล็กๆ กับคนเช่นเขาที่ค้างเงินหลายเดือนเช่นนี้ ทุนก็แทบจะหมดสิ้น…”

อวี่ซือเฟิ่งขี้เกียจฟังนางพูดจามากความ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “แท้จริงเท่าไร”

ชายผู้ดูแลหอคณิการีบหยิบบัญชีมาเปิดคิดบัญชีเป็นปึกๆ สุดท้ายรายงานเป็นตัวเลข “รวมค่าสุราสามเดือนนี้กับค่าแม่นาง ทั้งหมดห้าสิบเจ็ดตำลึงสี่อีแปะแปดตังค์”

อวี่ซือเฟิ่งคว้าเอาไข่มุกเม็ดหนึ่งจากอกเสื้อวางลงบนโต๊ะ “สิ่งนี้เพียงพอให้เขามาอีกสามเดือน อย่าเอะอะอีก พวกเรามีเรื่องด่วน รีบเปิดทาง!”

ทุกคนเห็นไข่มุกนั้นไร้ที่ติ ก็รู้ว่าเป็นสินค้าชั้นยอด อดแย้มยิ้มเบิกบานไม่ได้ รีบเปิดทางให้ทันที หลิ่วอี้ฮวนหัวเราะดังลั่น เดินส่ายอาดๆ ออกไปอย่างได้ใจยกใหญ่ ราวกับนายท่านที่จ่ายเงินก็คือตนเองอย่างไรอย่างนั้น

เสวียนจีหิวจนท้องร้องจ๊อก ก่อนหน้านี้รั่วอวี้บอกว่าที่นี่มีของกิน นางคิดว่าทุกคนจะมากินกันที่นี่สักมื้อ ผู้ใดจะรู้ว่าจะจากกันไปเร็วเช่นนี้ เช่นนั้นอาหารเช้าทำอย่างไร หันกลับไปเห็นขนมดูประณีตน่ากินในตะกร้าบนโต๊ะ นางจ้องมองเป็นนาน หญิงคณิกาข้างๆ หลายคนก็รู้งานรีบยกมาส่งให้นาง เสวียนจีพอใจมาก หันกลับไปยิ้มให้พวกนางอย่างมีมิตรภาพ พลางโบกมืออำลา

หลิ่วอี้ฮวนออกนอกประตูมาก็คว้าคออวี่ซือเฟิ่งไว้ ยิ้มกระซิบว่า “เจ้าพวกนี้ตาไร้แวว ไข่มุกทะเลลึกเม็ดนั้นเป็นของชั้นยอดกระมัง แม้ตำหนักหลีเจ๋อไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือไข่มุก แต่ของระดับนั้นให้พวกเขาไปน่าเสียดาย เดี๋ยวไว้กลับมา ข้าจะช่วยเจ้าขโมยออกมา”

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ต้อง แต่นิสัยเสียของเจ้าเช่นนี้ควรต้องแก้ไขนะ จะได้ไม่…”

กล่าวไม่ทันจบก็ไม่กล่าวต่อแล้ว หลิ่วอี้ฮวนเผยรอยยิ้มเสแสร้ง ยีใบหน้าเขาเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “เฟิ่งหวงน้อยเป็นห่วงข้า? ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ก้อนแป้งน้อยกลายเป็นก้อนแป้งใหญ่แล้ว แต่จิตใจยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ดีมาก!”

อวี่ซือเฟิ่งผลักมือเขาออก ขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้สาระเช่นเขา คนด้านหลังหลายคนรู้ว่าแต่ไรมาอวี่ซื่อเฟิ่งก็มีนิสัยเย็นชาเย่อหยิ่ง ตอนนี้กลับถูกนักเลงเกกมะเหรกหยอกเอาราวกับสตรีนางหนึ่ง เขาถึงกับไม่โมโห อดพากันอ้าปากค้างไม่ได้

กลับถึงที่พักหลิ่วอี้ฮวน ยังคงเป็นบ้านพุพังอับชื้นแห่งนั้น หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเฝื่อนมองประตูบ้านที่ถูกคนถีบพัง ถอนใจกล่าวว่า “ประตูสองบานนี้อย่างไรก็ยังมีประโยชน์ เจ้ารุนแรงมากไปนะ!”

“อย่าพูดมาก” อวี่ซือเฟิ่งลากเขาเข้าบ้าน หันกลับไปกวักมือให้พวกจงหมิ่นเหยียน “เข้ามา ข้าแนะนำสักหน่อย”

“ท่านนี้คือ…คนรู้จักเก่าแก่ดังสหายและดังอาจารย์ พี่หลิ่ว หลิ่วอี้ฮวน”

ยังกล่าวไม่ทันจบ เขาก็ถูกหลิ่วอี้ฮวนยีใบหน้าเบาๆ ทีหนึ่ง ชายเกกมะเหรกไร้สาระถึงกับเข้าไปใกล้ข้างหูแทบกระซิบแผ่วเบาว่า “อะไรเรียกว่าคนรู้จักเก่าแก่? เฟิ่งหวงน้อยช่างไร้ใจ…อา!”

เขาส่งเสียงร้องเจ็บปวด ที่แท้ถูกอวี่ซือเฟิ่งอัดเข้าที่ดั้งจมูก เจ็บจนต้องกุมจมูกลงนั่งยองกับพื้น

เห็นชัดว่าอวี่ซือเฟิ่งลงมือกับคนเสเพลเช่นนี้เป็นปกติวิสัยแล้ว สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ยังคงแนะนำต่อว่า “ท่านนี้คือศิษย์ร่วมสำนักข้า รั่วอวี้ สองท่านนี้คือศิษย์สำนักเส้าหยาง ฉู่เสวียนจี จงหมิ่นเหยียน”

“อ้อ อ้อ…ศิษย์ห้าสำนักใหญ่ใต้หล้า…เป็นเกียรติๆ…” หลิ่วอี้ฮวนกุมดั้งจมูก กล่าวน้ำเสียงอู้อี้

ทุกคนเห็นสภาพเขาเช่นนี้ จะทักก็ไม่ใช่ จะไม่ทักก็ไม่ใช่ ได้แต่ประสานมือส่งๆ ไป ไม่ทันระวังเขาที่อยู่ๆ ก็เข้ามาใกล้ ไปหยุดตรงหน้าแต่ละคนครู่หนึ่ง มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดรอบหนึ่ง มองไปถึงเสวียนจี ยังคิดยกมือไปลูบ ทำนางตกใจจนอึ้งถอยหลังไปหลายก้าว

“เอ่อ ไม่ต้องกลัว…อา ฮา ฮา” เขาหัวเราะสองเสียง ลูบคางกล่าวอีกว่า “ท่านนี้คือ…รั่วอวี้? อ้อ เป็นศิษย์ร่วมสำนัก?”

รั่วอวี้สายตาแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ตามมาด้วยยิ้มกล่าวว่า “รั่วอวี้คารวะพี่หลิ่ว”

หลิ่วอี้ฮวนได้แต่หัวเราะเบาๆ ตบบ่าเขาไป “ข้าเห็นก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนฉลาด แต่คนฉลาดมักไม่ทำเรื่องดี อย่าฉลาดเกินไปนักนะ!”

รั่วอวี้ยิ้มถามท่าทางสบายๆ ผ่อนคลาย “วาจาพี่หลิ่วลึกล้ำยิ่งนัก รั่วอวี้ไม่เข้าใจ”

“ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ อา…ฮา…ฮา…ต้องมีวันที่เข้าใจสักวัน!”

หลิ่วอี้ฮวนโบกมือ เดินไปหน้าจงหมิ่นเหยียน ถลึงตาจ้องมองเขาอยู่เป็นนาน จงหมิ่นเหยียนถูกเขามองจนขนลุกไปทั้งตัว เพราะตัวเขายังคงเหม็นกลิ่นสุรา เขากลั้นหายใจจนหน้าเขียวไปหมด ได้แต่ทำหน้าบึ้งกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้า เจ้ามองอะไร”

หลิ่วอี้ฮวนอึ้งมองอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ข้ามองคนโง่คนหนึ่ง ดำรงรักษ์คุณธรรมจริงใจ สุดท้ายถูกเขาหลอก”

ในใจจงหมิ่นเหยียนสะดุ้ง ถลึงตาใส่เขาอย่างรู้สึกสับสน ผู้ใดจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะยกมือขึ้นตบหน้าผากเขา เจ็บมาก ข้างหูได้ยินเสียงเขากล่าวทุ้มเบาว่า “จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ แยกออกยังดี แยกไม่ออกก็ย่อมเป็นชะตาเจ้า”

“อะไรกัน!” จงหมิ่นเหยียนกุมหน้าผาก ปวดหัวแทบระเบิดออกมา

หลิ่วอี้ฮวนไม่สนเขาอีก อ้อมไปหน้าเสวียนจี มองบนลงล่างและซ้ายไปขวาเป็นนาน มองจนน้ำลายหยดออกมา เสวียนจีขนลุกชันไม่ว่า แม้แต่อวี่ซือเฟิ่งก็ยังอดเรียกเขาเบาๆ ไม่ได้ “พี่หลิ่ว!”

หลิ่วอี้ฮวนโบกมือให้เขา มองอยู่อีกครู่หนึ่ง จึงได้กล่าวว่า “ไม่ได้การแล้ว…เด็กหญิงผู้นี้…”

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “อะไรคือไม่ได้การ”

นางเห็นคนผู้นี้ท่าทางลึกลับ กล่าวกับทุกคนคนละสองสามวาจา ราวกับรู้เหตุล่วงหน้า อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ว่าเขาจะกล่าวสิ่งใดกับตนเอง

หลิ่วอี้ฮวนลูบคาง น้ำลายไหล ราวกับดรุณีน้อยเบื้องหน้าไม่ใช่คน หากเป็นสินค้าเพชรพลอยทองคำมีค่าหาราคามิได้ ในดวงตาเขาเต็มไปด้วยแววตาที่ราวกับเห็นเงินแล้วตาโต แวววาวจนน่าตกใจยิ่ง

“โอย ไม่ได้การแล้ว…ก็คือไม่ได้การแล้ว” เขาพึมพำ “เจ้าคนนี้อันตรายมาก วันหน้าจะเกิดเรื่องใหญ่”

หมายความว่าอย่างไร เสวียนจีงงไปหมด หลิ่วอี้ฮวนยิ้มกล่าวว่า “ความลับสวรรค์ไม่อาจเปิดเผย มา มา เฟิ่งหวงน้อย ให้ข้าดูเจ้าหน่อย”

เขาลากอวี่ซือเฟิ่งมาตรงหน้า นิ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายกลับยิ้มเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าคนโง่ ไยต้องดีใจเสียเปล่าด้วย”

อวี่ซือเฟิ่งสีหน้าสลด “วันหน้าข้า…ไม่ดีหรือ”

หลิ่วอี้ฮวนส่ายหน้า “ดีหรือไม่ดี คนอื่นกล่าวได้อย่างไร เจ้าเองรู้ดีที่สุด”

กล่าวจบเขาใช้มือตบอย่างแรงและใช้เท้าเตะขยะรอบๆ ออกเต็มแรง เพื่อทำให้มีที่ว่างหย่อนก้นลงนั่งได้ ยิ้มกล่าวว่า “บุปผาในกระจก เดือนกลางน้ำ ว่างเปล่ามายา เคราะห์กรรมเท่านั้น มา มา ไม่ต้องทำหน้าตาอมทุกข์ไป ทุกคนนั่งลง ข้าดูพวกเจ้าก็รู้ว่าเป็นคนที่เกิดมาเพื่อการใหญ่!”

ทุกคนเห็นพื้นสกปรก ไม่มีที่นั่งได้แม้แต่น้อย แต่เมื่อครู่เขากล่าวออกมาแล้ว เหมือนกระจ่างก็ไม่กระจ่าง ยามนี้เห็นเขาก็รู้สึกว่าคนผู้นี้ลึกลับยากหยั่ง จึงไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่ยองลงนั่ง

หลิ่วอี้ฮวนกล่าวอีกว่า “เงือกนั่นน่ะ อยู่ในเมือง แต่จะช่วยเขาออกมา ต้องลงแรงหน่อย ดังนั้นไม่อาจใจร้อน”

[1] นกหงส์จีน บ้างก็ว่าเป็นฟีนิกซ์ นกอัคคี

ทุกเมืองที่เจริญรุ่งเรืองล้วนมีมุมมืดอยู่บ้าง ขอทาน นักเลงหัวไม้ นักพนัน นักโทษติดคดีมารวมตัวกันในที่ที่ไม่ให้คนพบเห็นโดยง่าย…ชีวิตเด็กดีล้วนไร้วาสนากับพวกเขา

อวี่ซือเฟิ่งต้องการพบคนผู้หนึ่ง ได้ยินน้ำเสียงเคารพของเขา ทุกคนคิดว่าต้องเป็นคนสูงส่งเหนือสามัญเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนสวมชุดขาวตัวยาว ในมือถือถ้วยชาทำจากไม้ไผ่ สีน้ำชาในถ้วยราวกับหยกเขียว ผู้ใดจะรู้ว่าผู้พวกเขาจะไปพบในเมืองนั้น หลังเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา สุดท้ายมาถึงที่บ้านเช่นนี้ได้

จงหมิ่นเหยียนเห็นหลังคาบ้านชายคาเตี้ยทิ้งตัวต่ำ ตรอกแคบจนบีบให้เดินเอียงเข้าไปได้ทีละคน แอ่งน้ำสกปรกขยะเละเทะไปหมด เหม็นจนทนดมไม่ได้ ยามนั้นจึงขมวดคิ้วแน่น

“ซือเฟิ่ง สหายเจ้าผู้นี้…หรือว่าอยู่ที่นี่” เขายังไม่อยากจะเชื่อ

เสวียนจีเห็นในตรอกมีทางแยกมากมาย หลายคนก็ไม่สนใจว่าสกปรกหรือไม่ หากลงนั่งยองๆ ท่าทางร่าเริงอยู่กันตรงนั้น บ้างก็คุยเล่น บ้างก็สูบบ้องยา เห็นพวกเขาแต่งกายชุดสะอาดสะอ้าน ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หญิงสาวหน้าตาดี แต่ละคนก็จ้องมองตรงมา มีหลายคนสายตาเจ้าชู้เสเพล บ้างก็ส่งเสียงผิวปากดังมา กล่าววาจาเหลวไหลกันคำสองคำ

“อะไรคือนายกระต่าย[1]?” เสวียนจีหูไว ได้ยินวาจาหยาบโลนของพวกเขาเหล่านั้นนานแล้ว หันไปถามอวี่ซือเฟิ่ง

ชายหนุ่มทั้งสามพากันอึ้งไป ท่าทางเก้กังและโมโหในที จงหมิ่นเหยียนแค่นเสียงฮึ อวี่ซือเฟิ่งแสร้งทำไม่ได้ยิน รั่วอวี้ได้แต่ยิ้มเฝื่อนๆ กล่าวว่า “อันนี้หรือ…ภาษาหยาบคายชาวบ้าน รู้ไปก็ไร้ความหมาย”

เสวียนจีเห็นคนเหล่านั้นอัดสูบบ้องควันอึดใจใหญ่ พ่นควันโขมงลอยออกมาตามลม กลิ่นหอมคล้ายแท่นบดยา หอมอยู่ไม่น้อย กลิ่นนั่นเหมือนห้องยาที่ยอดเขาชงหยางของสำนักเส้าหยาง ตอนปรุงยาลูกกลอนมักจะมีกลิ่นหอมควันโขมงลอยออกมา

“ผงห้าศิลา[2]!” จงหมิ่นเหยียนสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รีบอุดจมูกแน่น เห็นเสวียนจียังเงยหน้าไปดม ก็รีบตีหลังคอนางทีหนึ่ง “เด็กโง่! นั่นมีพิษ! หลังติดแล้วก็กลายเป็นคนไม่คน ผีไม่ผี เจ้ายังจะดมอะไร!”

เสวียนจีถูกเขาตีจนส่งเสียงดัง “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง เจ็บหลังคอไปหมด อดกุมบริเวณที่เจ็บไว้ไม่ได้ ได้แต่มองเขาอย่างอัดอั้นใจ เขาจงใจแน่ ยังคงฝังใจที่คืนนั้นแพ้นางไปหนึ่งตำลึงเงิน นี่คือการแก้แค้นตามปกติ! ศิษย์พี่หกแต่ไรก็คิดเล็กคิดน้อย!

จงหมิ่นเหยียนกระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่งปิดบังอาการกินปูนร้อนท้อง มองหน้าบ้านผุพังที่อวี่ซือเฟิ่งพามาถึง ยกมือเคาะประตูสองที ประตูนั้นไม่แข็งแรงสักนิด ถูกเขาเคาะก็ล้มครืนทิ้งตัวอยู่กับพื้นเสียงดังโครม พริบตาน้ำขังสกปรกก็กระเซ็นขึ้นมา ทำเอาทุกคนตกใจกระโดดหลบกันยกใหญ่

“นี่! ข้าว่าสหายเจ้าคนนี้ไม่อยู่ที่นี่กระมัง?!” จงหมิ่นเหยียนทนไม่ไหวแล้ว ที่เช่นนี้ดูอย่างไรก็ใช้ไม่ได้ สหายซือเฟิ่งคงไม่ใช่คนโฉดชั่วตัวฉกาจกระมัง

อวี่ซือเฟิ่งหน้าตาเรียบเฉย แม้แต่คิ้วก็นิ่ง ก้าวข้ามธรณีประตูผุพังเข้าไป ด้านในเป็นลานหน้าบ้านที่เละเทะไปหมดเหมือนกัน มีต้นสนใกล้ตายสองต้น รอบๆ กองเต็มไปด้วยเครื่องเรือนและของจิปาถะมากมาย ดูจากสภาพแล้วก็แยกไม่ออกว่าคืออะไร

“หมิ่นเหยียน คนเราไม่อาจดูแค่ภายนอก คนสูงส่ง ก็มัก…ทำอะไรก็มักไม่เป็นไปตามแบบแผน…”

รั่วอวี้ลงแรงเสริมช่วยให้เขาคลายความข้องใจ เสียงใต้ฝ่าเท้าดังขึ้นเสียงหนึ่ง บานประตูถูกตนเหยียบทะลุ ครึ่งเท้าเขาข้างหนึ่งจุ่มลงไปในน้ำครำ ได้แต่ตกใจสีหน้าดำคล้ำแล้ว

อวี่ซือเฟิ่งเคาะหน้าประตูห้องสองครั้ง ปรากฏด้านในไม่มีเสียงใดแม้แต่น้อย เขารู้สึกยังไม่ยอมแพ้ ใช้แรงเคาะอีก ยังคงไร้ปฏิกิริยา เขาร้อนใจแล้ว ยกเท้าถีบประตูกระเด็น กล่าวดุดันว่า “หลิ่วอี้ฮวน เจ้าไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

ประตูน่าสงสารอีกบานถูกเขาถีบพัง ในห้องยังคงเงียบกริบ ทุกคนอดแปลกใจไม่ได้ ชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านใน รู้สึกเพียงกลิ่นเหม็นลอยแตะจมูก ด้านในไม่อาจเรียกว่าห้องคนอยู่ น่าจะเรียกว่า ‘คอกหมู’ หรือคอกหมูยังกลิ่นสะอาดกว่านี้อยู่สักหน่อยด้วยซ้ำไป

ยามนี้แม้แต่เสวียนจีเองก็ทนไม่ไหว อุดจมูกถอยหลังไปหลายก้าว เกือบถูกกลิ่นรมจนเห็นดาว อวี่ซือเฟิ่งมองไปรอบๆ ห้องอย่างละเอียด มั่นใจว่าไร้ผู้คน ได้แต่ถอยออกมา ประคองประตูที่หลุดออกบานนั้นขึ้นมา พยายามใส่กลับลงกรอบประตูให้มันทำหน้าที่ ‘ประตู’ ต่อไป

น่าจะเพราะเสียงพวกเขาดังทำคนข้างบ้านตกใจ ชายชราผู้หนึ่งถือไม้เท้าเดินเข้ามากล่าวว่า “จะหาอี้ฮวนหรือ ตอนนี้เดาว่ากำลังนอนอยู่ในเรือสำราญริมน้ำนั่นแน่ะ! พวกเจ้าไม่สู้ไปหาเขาที่นั่น”

เรือสำราญ? ทุกคนล้วนแปลกใจเล็กน้อย ของเล่นพวกนี้น่าจะเป็นของที่พวกคนมีเงินเท่านั้นถึงจะขึ้นไปได้นี่ เห็นสภาพบ้านที่จนแทบเหมือนโดนน้ำชะล้างไปหมดเช่นนี้แล้ว แม้แต่หนูก็น่าจะไม่อยากมาเยือน เขาถึงกับมีเงินไปนอนเรือสำราญ?

สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งแปรเปลี่ยนทันที ร้อนใจกล่าวว่า “ที่เรียกว่าเรือสำราญ…หรือว่าเป็นหอเจียวหง?”

ชายสูงอายุผู้นั้นเผยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนยิ่ง ท่าทางราวกับจะบอกว่า “ข้าว่าละ หนุ่มสาวพวกนี้ไม่เรียนรู้สิ่งดีๆ กัน” หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “เรือสำราญเมืองชิ่งหยาง นอกจากที่นั่น ยังมีที่ไหนมีชื่อยิ่งกว่าอีกหรือ”

สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวขาว สุดท้ายส่งเสียงฮึเสียงหนึ่ง ได้แต่หันกายออกไป

เสวียนจีแอบถามรั่วอวี้ “หอเจียวหงคืออะไร มีอะไรกินไหม”

รั่วอวี้ท่าทางลำบากใจเป็นนาน ก่อนจะยิ้มเฝื่อนๆ อธิบายว่า “อันนี้คือว่า…น่าจะ บางที ควรจะ…มีบ้างมั้ง…แต่…ที่นั่นไม่ใช่สถานที่ที่ดี”

ที่นั่นย่อมไม่ใช่สถานที่ที่ดีอันใด เพราะหอเจียวหงคือคณิกาที่มีชื่อที่สุดในเมืองชิ่งหยาง ที่มีชื่อไม่ได้อยู่ที่ความงามนางคณิกาในนั้น หรือเพราะบริการครบครัน แต่เพราะในนั้นคนประเภทไหนก็เข้าไปได้ แม้เจ้าจะเป็นนักโทษที่สังหารผู้อื่นมาเมื่อวันก่อนหน้า สตรีหน้าตาและอายุเช่นไรก็มาเป็นนางโลมที่นี่ได้ แม้เจ้าเป็นสาวแก่เกินเจ็ดสิบก็ตาม ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือราคาที่นี่ถูกมากจนผู้ใดก็คาดไม่ถึง

ตอนพวกอวี่ซือเฟิ่งหาที่นี่เจอนั้น นอกจากเสวียนจีที่ยังไม่เข้าใจกระจ่าง สีหน้าทุกคนล้วนใช้คำว่าหลากสีสันมาบรรยายได้

จงหมิ่นเหยียนกว่าจะหลบบรรดาฝ่ามือตะปบของสาวๆ ทั้งกลุ่มนั้นมาได้ก็ไม่ง่าย ใบหน้าก็ยังไม่รู้ไปถูกหอมแก้มมาตอนไหน ทิ้งรอยชาดแดงไว้รอยหนึ่ง ดูท่าแล้วเขาคงแทบอยากจะลอกหนังออกชั้นหนึ่งไปเสียเลย ร้อนใจจนเหงื่อผุดออกมา กล่าวแทบไม่หายใจว่า “หาไม่เจอกก็ช่างเถอะ! กลับกันเถอะ!”

เมื่อครู่เสวียนจีถูกพี่สาวคนสวยกลุ่มหนึ่งกระตือรือร้นพากันสวมกอดไปมา ยังหอมแก้มนางอีก บอกว่านางน่ารัก นางบอกว่าหิว ก็รีบมีคนยกขนมจานหนึ่งมาให้นาง นางหน้าหนามาก รับมากินทันที กินเอร็ดอร่อยอีกด้วย ดังนั้นนางรู้สึกว่าหอเจียวหงนี่น่าสนใจมาก เป็นสถานที่ที่ดี

ทุกคนขึ้นไปชั้นสองของเรือสำราญ ด้านหน้ามีชายรับใช้รีบกระลิ้มกระเหลี่ยยิ้มร่าเดินเข้าทักทายทันที “โอ้ นายท่านทั้งหลายแปลกหน้า! ไม่ใช่คนที่นี่กระมัง ชอบแม่นางแบบไหน อย่าได้เกรงใจ คิดเสียว่าเป็นบ้านตนเอง!”

กล่าวจบก็เห็นในมือเสวียนจีมีจานขนม กินไปมองไปรอบๆ นางรูปโฉมสะคราญ ผิวขาวผุดผ่อง เป็นสินค้าที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ ชายบริการรับใช้ในหอคณิกาผู้นั้นดวงตาเป็นประกาย รีบเข้าไปกระซิบถามเบาๆ อีกว่า “แม่นาง แต่ไรมาหอเจียวหงไม่เอาเปรียบบรรดาแม่นางที่นี่ แขกตกรางวัลและส่วนแบ่งค่าสุราล้วนเป็นของพวกนาง หากวันหน้าแม่นางสนใจ ก็พิจารณามาที่นี่ได้ตลอด…”

อวี่ซือเฟิ่งไม่รอให้เขาพูดจาเหลวไหลจบ กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “พวกเรามาหาคน”

ชายรับใช้ผู้นั้นเพิ่งเห็นว่าพวกเขาพกกระบี่ที่เอว สีหน้ากรุ่นไอสังหาร คิดว่าน่าจะเป็นชาวยุทธ์ จึงไม่กล้าพูดจาเหลวไหลต่อ หากแย้มยิ้มกล่าวว่า “พูดกันดีๆ! จอมยุทธ์ท่านนี้ต้องการหาผู้ใด”

“หลิ่วอี้ฮวน” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวชื่อสามคำออกมาราวกับลอดออกมาจากร่องฟัน ฟังแล้วไอสังหารรุนแรงเต็มที่ ทำเอาชายรับใช้นั่นเข่าอ่อนยวบ รีบกล่าวว่า “ข้าน้อยไม่รู้…นายท่านทุกท่านตามสบาย…อย่างนั้น…ไม่ต้องเกรงใจ…”

กล่าวจบก็รีบวิ่งแทบจะกลิ้งออกไป

ไม่มีคนนำทาง ทุกคนได้แต่ค้นหาไปทีละห้อง ในการนี้ทำลายการค้าไปเท่าไรไม่ต้องพูดถึง แค่บรรดานางคณิกาเปล่าเปลือยส่งเสียงหวีดร้องก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาหูดับไปสามวันได้เลยทีเดียว

เดินค้นหามาจนห้องหรูสุดท้ายในชั้นสอง สีหน้าอวี่ซือเฟิ่งก็เขียวคล้ำราวกับผักเขียวนานแล้ว เขาขี้เกียจจะเคาะประตูแล้ว ยกเท้าถีบบานประตูกระดาษพังทันที ตามคาด ในนั้นมีเสียงหญิงคณิกาส่งเสียงร้องตกใจดังมา

จากนั้นเสียงหวีดร้องตกใจยังไม่ทันเงียบ ก็พลันได้ยินเสียงทุ้มอย่างเกียจคร้านดังขึ้น “เอะอะอะไรกัน ผู้หญิงไม่มีอะไรก็เอาแต่ร้องโวยวาย มีปากนอกจากกินข้าวก็เอาแต่ร้องโวยวาย”

พออวี่ซือเฟิ่งได้ยินเสียง ยามนั้นก็ถอนหายใจยาวทันที ปั้นหน้าบึ้งตึงก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปกล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้ามาที่เช่นนี้อีกแล้ว! ทำเอาข้าหายากมาก!”

ทุกคนพอได้ยินเช่นนี้ ก็รู้ว่าหาคนที่ต้องการพบแล้ว แต่ละคนอดใจไม่ไหวรีบวิ่งเข้าไปดูคนที่พวกเขาใช้เวลาหามาตั้งนาน แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน

เสวียนจีเคลื่อนไหวรวดเร็ว ลอดตัวเข้าไปได้ก่อน เห็นกลางห้องมีพรมขนแกะผืนหนึ่งปูลาดอยู่ ด้านบนมีโต๊ะเตี้ยวางอยู่ตัวหนึ่ง หลังโต๊ะมีชายผมยาวนอนเอนตัวเอกเขนก ผมยังคงทิ้งตัวกระจัดกระจายอยู่บนบ่า บดบังร่างกายเขาไปกว่าครึ่ง เขาสวมชุดสีเทาเก่าคร่ำคร่าตัวหนึ่ง หน้าอกเผยออกเกินครึ่ง ถึงกับอกกว้างหนั่นแน่น

เห็นเสวียนจีจ้องมองตรงมายังตน คนผู้นั้นพลันเงยหน้าสบตานาง ท่าทางเขาเกียจคร้านเช่นนี้ แต่สายตาถึงกับคมกริบราวมีด พอกวาดตามองมา ถึงกับทำให้เสวียนจีรู้สึกชาวาบไปทั้งหน้า แทบอยากจะถอยหลังหนึ่งก้าว

อวี่ซือเฟิ่งเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าเขา ชายท่าทางเสเพลเช่นนี้ข้างกายยังมีนางคณิกาสองนางท่าทางหวาดกลัวนอนก่ายอยู่ด้วย ราวกับคิดจะหนีแต่ถูกเขาใช้มือหนึ่งกอดเอาไว้ หนีก็หนีไม่ได้ ได้แต่ตัวสั่นน่าสงสารยิ่ง

“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ ปอกองุ่นเม็ดหนึ่งส่งเข้าปาก

ชายผู้นั้น น่าจะเป็นหลิ่วอี้ฮวน ยันตัวขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้าน กวักมือเรียกทั้งสามที่สีหน้าตะลึงอยู่ด้านหลัง “มานั่งด้วยกันสิ อย่าได้เกรงใจ มา…กินผลไม้!”

ท่าทางเช่นนี้ของเขาราวกับเห็นหอคณิกานี้เป็นดังบ้านตนเอง นางคณิกาทั้งสองข้างกายอาศัยจังหวะที่เขายกมือขึ้นโบกรีบหนีออกไปทันที พวกเสวียนจีทั้งสามได้แต่นั่งลงจ้องมอง ไม่รู้ควรกล่าวอันใด

คนผู้นั้นยันศีรษะจ้องมองอวี่ซือเฟิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงจิ๊ๆ แสยะยิ้มกล่าวว่า “ไม่เลว ปลดหน้ากากออกแล้ว ข้าต้องแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย!”

กล่าวจบก็มองไปทางเสวียนจี พอนางเห็นว่ามีอะไรกินก็จิตใจนิ่งสงบ ฟังคำเชื้อเชิญ คว้าองุ่นพวงหนึ่งส่งเข้าปากทีละเม็ด

ย่อมเป็นนางแล้ว หลิ่วอี้ฮวนยิ้มเล็กน้อย เคาะโต๊ะเบาๆ เสียงดังกล่าวว่า “เอาละ! เจ้าลงทุนลงแรงมาหาข้าเช่นนี้เพื่อเรื่องใดกัน?”

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “รบกวนเจ้าเปิดดวงตาสวรรค์ พวกข้าต้องการหาเงือกตนหนึ่ง”

[1] ชาวกรุงเก่าปักกิ่งเรียกหญิงงามเมืองว่า ไก่ เรียกชายงามเมืองว่า กระต่าย

[2] ยาเสพติดสมัยโบราณ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยฟลูออไรต์ ควอตซ์ ผงดินแดง หินย้อยและกำมะถัน มีมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น ต่อมาพบว่าใช้มากเกินไปทำให้สติคลุ้มคลั่ง หลังยุคราชวงศ์ถังมาจึงประกาศให้เป็นยาผิดกฎหมาย

บรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ที่ถูกยาจรุงรมจนสลบพวกนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นก็ค่อยๆ ฟื้นงัวเงียตื่นมา พบว่าในห้องว่างเปล่า รีบไปรายงานเจ้าสำนักทุกท่าน พวกเสวียนจีว่ายออกทะเลใหญ่ไปนานแล้ว อยู่ระหว่างเหินกระบี่บินไปช่วยถิงหนู

ยามนี้เสวียนจีจมูกแดงไปหมด ยกมือขยี้ตา ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ทั้งคืนยังออกแรงว่ายน้ำข้ามทะเลมาถึงหนึ่งชั่วยามกว่า พอขึ้นฝั่งได้ก็ยังเหินกระบี่ต่อไม่ได้หยุด แม้ว่าเป็นคนทำจากเหล็กก็ย่อมทนไม่ไหวอยู่บ้าง

“พวกเรา…จะไปตามหาถิงหนูที่ไหน” นางถามจบ อยู่ๆ ก็คันจมูกจามติดกันหลายทีจนเกือบร่วงจากกระบี่

“ฮัดเช้ย…ต้องเป็นท่านพ่อกำลังด่าพวกเราแน่เลย…” นางสูดจมูก จมูกและตาแดงไปหมด มองแล้วยิ่งเหมือนกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง

จิ้งจอกม่วงหมอบอยู่ในอ้อมแขนนาง ขนอ่อนนุ่มปลิวยามกระทบแรงลม สวยงามน่าประหลาด ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้จึงกล่าวว่า “ข้าว่าไม่แน่ว่าเป็นท่านพ่อเจ้ากำลังด่าเจ้าอยู่ เจ้าต้องระวังหน่อย อย่าได้ล้มป่วย”

คิดไปมา รู้สึกวาจานี้ดูเหมือนสนิทสนมมาก จึงแค่นเสียงฮึ กล่าวว่า “หากล้มป่วย ก็เสียเวลาไปช่วยถิงหนู เป็นความผิดเจ้า!”

เสวียนจีไม่สนใจ ยกมือลูบขนบนหัวนางเบาๆ ราวกับลูบสุนัขตัวน้อยที่กำลังเอาเรื่อง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “วางใจน่า ข้าต้องหาเขาพบแน่”

จิ้งจอกม่วงเบนศีรษะหลบราวกับรังเกียจ ท่าทางโมโหมาก “เจ้าเด็กนี่ไม่รู้จักอาวุโส! เซียนจิ้งจอกอาวุโส เจ้าก็ลูบได้หรือ”

เสวียนจีไม่สนใจเสียงขู่ฟ่อๆ ของนาง ยังคงลูบใบหูอ่อนนุ่มนิ่มของนางต่อ ยิ้มกล่าวว่า “เหตุใดลูบไม่ได้ เจ้าเดิมก็เป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง จิ้งจอกก็ต้องให้คนลูบสิ”

หลักการในความคิดนางแต่ไรมาก็ประหลาดจนคนล้วนเดาไม่ถูก หมาๆ แมวๆ มีไว้ลูบคลำ จิ้งจอกก็ย่อมให้คนลูบคลำเช่นกันไม่ใช่หรือ?

หางแหลมๆ ของจิ้งจอกม่วงขยับ เดิมคิดจะโต้เถียงกับนางสักสองสามคำ พลันจมูกได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ร้อนใจกล่าวว่า “เร็ว! ลงไปๆ! ข้าเหมือนได้กลิ่นแล้ว!”

ทุกคนรีบลดระดับลงจากเมฆ มองใต้ฝ่าเท้าเห็นหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง มองไกลๆ เห็นหอศาลางดงามยิ่ง เทียบกับเมืองจงหลีก่อนหน้าแล้วดูสง่างามกว่ามาก

แววตาอวี่ซือเฟิ่งส่องประกาย ยิ้มกล่าวว่า “ที่นี่คือชิ่งหยาง เมื่อก่อนข้าเคยมา ยังมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ด้วย”

จิ้งจอกม่วงเกาหูอย่างแรง ส่งเสียงหงิงๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าเคยมาก็ยิ่งดีใหญ่เลย! ที่นี่มีกลิ่นถิงหนู ดีมากเลย ชิงเกิงกับตังคังก็อยู่! ถิงหนูต้องไม่เป็นไร! รีบลงไปหาเขากัน!”

ทุกคนทำตามที่บอก เหินลงตรงที่รกร้างออกไปนอกเมืองครึ่งลี้ เดินเท้าเข้าเมืองชิ่งหยาง เพราะไม่ว่าอย่างไรการเหินกระบี่ลงตรงหน้าสถานที่ที่มีคนหมู่มากก็จะทำให้วุ่นวายกันไปหมดได้ ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนส่วนใหญ่ล้วนต้องเลือกที่ห่างไกลไร้ผู้คนเหินกระบี่

เสวียนจีเขยิบเข้าใกล้ถามจิ้งจอกม่วงว่า “ชิงเกิงกับตังคังคืออะไร”

จิ้งจอกม่วงค้อนขวับใส่นาง สะบัดพู่หาง โดดลงจากบ่านาง เดินนวยนาดงดงามไปข้างหน้า หันมากล่าวว่า “ยังคิดว่าเจ้าร้ายกาจสักแค่ไหน แค่เรื่องนี้ก็ไม่รู้…เชอะ! ถิงหนูเป็นเงือกอาวุโสและร้ายกาจมาก แน่นอนย่อมเลี้ยงดูปีศาจไว้ข้างกายคอยอารักขารับใช้ ชิงเกิงกับตังคังก็คือสัตว์เลี้ยงของเขาอย่างไรเล่า!”

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เขาอาวุโสสูงและร้ายกาจมากหรือ เช่นนี้จะถูกเจ้าจับไปขังได้อย่างไร”

จิ้งจอกม่วงอึ้งไร้วาจาโต้ งึมงำเป็นนาน พลันอยู่ๆ ก็โมโหขึ้นแทน ฮึดฮัดกล่าวว่า “ข้ามาขอให้เขาช่วย! ผู้ใดบอกว่าข้าจับเขาไว้! จะว่าไป…เขาอยู่กับข้ากลับดีกว่า! จะได้ไม่ต้องถูกพวกเซียนปีศาจที่ไม่เกี่ยวข้องมารบกวนให้วุ่นวาย!”

“เหตุใดเซียนปีศาจต้องมารบกวนเขา” เสวียนจีไม่รู้จักดูสีหน้าคนจริงๆ ยังถามต่อ

จิ้งจอกม่วงโมโหฮึดฮัดถลึงตาใส่นาง เอาแต่เหตุใด เหตุใด นางจะยอมจบไหมเนี่ย?!

“เขา…เขา เมื่อก่อนเขาถูกคนใส่ร้ายประกาศจับช่วงหนึ่ง แม้ว่าต่อมายกเลิกประกาศจับไป แต่ยังคงมีพวกไม่รู้ความมากมายมาหาเรื่องเขา เจ้าอย่าถามมาก เรื่องคนอื่น เจ้าถามไปทำไม”

เสวียนจีรู้สึกงุนงงที่โดนว่า “เห็นๆ…ว่าเจ้าเองเป็นคนคุยกับข้า…”

คนกล่าวว่าจิ้งจอกปรวนแปรง่าย กล่าวได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย เดิมเป็นจิ้งจอกม่วงที่พูดจาเบิกบานเอง นางเองจึงได้นึกสนุกรับฟัง ยามนี้กลับกลายเป็นความผิดนางไปเสียอย่างนั้น

“เจ้าน่ารังเกียจจริง!” จิ้งจอกม่วงทั้งโมโหทั้งอับอาย แม้เป็นจุดอ่อนที่ป้องกันแน่นหนา แต่ถูกนางแทงมั่วไปมาเช่นนี้ แทงเอาแทงเอาอย่างไรก็ย่อมต้องพัง นางเองก็รู้ว่าแม่นางน้อยหน้าตางดงามใต้หล้าล้วนไม่ใช่คนดีอันใด เจ้าเล่ห์ล่อลวงยิ่งนัก

นางสะบัดหาง หันกายกระโดดไปบนบ่าอวี่ซือเฟิ่งแทน สองอุ้งเท้ากอดคอเขาไว้กันลื่นตก พลางทำท่าทางเจ้าเล่ห์ส่งเสียงฉอเลาะว่า “แม่นางน้อยแสนน่ารังเกียจ ใครชอบก็เพราะไร้ตา!”

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มนิ่งเรียบ ไม่กล่าวอันใด

“เจ้ายิ้มอันใด” จิ้งจอกม่วงยิ้มแย้มคุยกับชายหนุ่มทันที หรี่ตางามมอง แลบลิ้นเลียใบหน้าเขาทีหนึ่งเบาๆ แม้ว่านางไม่กล้าดูดพลังหยางเสริมพลังหยินอะไรพวกนั้น แต่ชายหนุ่มสง่าสูงส่งเช่นนี้วางอยู่ตรงหน้า ไม่เอาเปรียบสักหน่อย เหมือนไม่ใช่นิสัยดั้งเดิมตนเองเอาเสียเลย ครั้งก่อนเรื่องดีๆ ถูกขัดจังหวะ ตอนนี้นางยังโมโหอยู่เลย

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า ยกมือคว้าพู่หางนางไว้ ค่อยๆ ยกขึ้นเบาๆ

จิ้งจอกม่วงส่งเสียงขู่ฟ่อร้องดัง “เจ้าจะทำอะไรน่ะ?! เจ้าโจรหน้าเหม็น! หางมารดาเจ้า เจ้ากล้าจับหรือ?! ปล่อยนะ ปล่อยนะ!”

ยังร้องไม่ทันจบ ก็ถูกอวี่ซือเฟิ่งยัดเข้าแขนเสื้อกว้างไป

“ในนี้มืดไปหมด หายใจไม่ออก!” นางใช้อุ้งเท้าตะกายแขนเสื้อจนขาดเป็นรู ปากแหลมๆ ยื่นออกมา พลันหางถูกของเย็นเยียบอะไรสักอย่างพันรัดไว้ ดึงนางกลับเข้าไปอย่างแรง

จิ้งจอกม่วงรีบหันกลับไปมอง เห็นเพียงในแขนเสื้อมืดมิดไปหมด ด้านในมีดวงตาสองดวงราวไฟภูตจ้องมองนางอยู่ นางพลันหุบปากแน่น เห็นเพียงว่ามีหางงูส่องประกายสีเงินวาวพันรัดตั้งแต่หางถึงขา จากนั้นลิ้นเย็นเยียบราวน้ำแข็งยังมาจรดอยู่ตรงจมูกนาง

“ในที่สุดนางก็หยุดโวยวายแล้ว” จงหมิ่นเหยียนปาดเหงื่อ ตลอดทางมาได้ฟังแต่จิ้งจอกม่วงส่งเสียงพูดไม่หยุด แม้ว่าเสียงนางไพเราะ แต่ก็เอาแต่เอะอะ จิ้งจอกจึงยังคงน่ารำคาญมาก

“อา อา อา อา อา อา! งู! เป็นงู!!!”

เสียงร้องแหลมดังแว่วออกมาจากในแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่ง จิ้งจอกม่วงตะกายอยู่ในนั้นอย่างไม่คิดชีวิต ร้องไห้เรียกหาบิดามารดา

“งู งู งู!”

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย ตบแขนเสื้อกล่าวเบาๆ ว่า “เสี่ยวอิ๋นฮวา นุ่มนวลหน่อย อยู่กันอย่างสามัคคีหน่อย”

จงหมิ่นเหยียนกุมหู เหงื่อเย็นหลั่งท่วมแผ่นหลัง มองรอยยิ้มบางที่ริมฝีปากอวี่ซือเฟิ่ง พลันรู้สึกว่ามีเรื่องกับผู้ใดก็ได้ แต่ห้ามมีเรื่องกับคนผู้นี้

น่ากลัวมาก!

เสียงทะเลาะดังมาตลอดทางเช่นนี้ เมืองชิ่งหยางอยู่ตรงหน้าแล้ว

เมืองชิ่งหยางอาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมใหญ่ที่สุดทางฝั่งตะวันตก หากเทียบกับเมืองจงหลีก่อนหน้านี้ ร่ำรวยอู้ฟู่รุ่งเรืองกว่าไม่รู้เท่าไร

ตลอดทางลงเขาฝึกฝนตนผ่านเมืองต่างๆ มา แต่ละเมืองสวยขึ้นเรื่อยๆ เรื่องที่พานพบก็แปลกขึ้นเรื่อยๆ แม้เสวียนจีไม่รู้นี่ใช่ที่เรียกกันว่า ‘เปิดโลกทัศน์’ หรือไม่ แต่ไม่ทันรู้ตัว พวกเขาก็เหมือนว่าได้เรียนรู้อะไรไปไม่น้อยจริงๆ

ดังนั้นมาเมืองชิ่งหยางครั้งนี้ แม้ว่าเป็นเมืองใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่ไร้เดียงสาเหมือนตอนแรกที่ไปถึงเมืองจงหลีนั้นแล้ว ไม่ไปเหม่อมองสิ่งก่อสร้างอาคารต่างๆ ราวกับมาจากบ้านนอกห่างไกลเช่นนั้นแล้ว

อวี่ซือเฟิ่งคุ้นเคยเส้นทางที่นี่มาก หาโรงเตี๊ยมเจออย่างรวดเร็ว ทุกคนเข้าพักเรียบร้อยก็กลับห้องไปสั่งน้ำร้อนมาอาบกันก่อน เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เกลือแห้งกรังออก พวกเขาเดินทางรอนแรมออกจากเกาะฝูอวี้มาทั้งคืน ว่ายน้ำทะเลอยู่ครึ่งวัน พอขึ้นฝั่งก็กลัวถูกไล่ตามทัน ไม่ทันได้พักหายใจสักนิดก็ต้องรีบเหินกระบี่กันไป มาถึงตอนนี้จึงได้พักผ่อนกันสักหน่อย

เสวียนจีง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้นนานแล้ว อาบน้ำเสร็จก็ไม่ทันรอให้ผมแห้ง ล้มหัวถึงหมอนหลับไปทันที พวกอวี่ซือเฟิ่งยังทนไหว มานั่งอยู่ชั้นล่างดื่มสุราคุยสัพเพเหระกัน

จงหมิ่นเหยียนเห็นในแขนเสื้อเขาเงียบไป ไม่มีเสียงอันใดแม้แต่น้อย อดกังวลไม่ได้ กล่าวว่า “เสี่ยวอิ๋นฮวาเจ้ามีพิษกระมัง อย่ากัดจิ้งจอกตายล่ะ พวกเราจะไม่ได้ไปเขาปู้โจวซานกัน!”

อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด รั่วอวี้ข้างๆ ยิ้มกล่าวว่า “หมิ่นเหยียน นั่นจิ้งจอกผ่านการบำเพ็ญเพียรนับพันปี เสี่ยวอิ๋นฮวาเป็นแค่สัตว์ภูตที่ยังไม่บรรลุเป็นมารปีศาจ พิษไม่ทำให้ตาย แค่ขู่นางได้เท่านั้น”

จงหมิ่นเหยียนหาวหวอด เขาก็แทบไม่ได้นอนมาสองวันสองคืนแล้ว สีหน้าเหนื่อยล้ามาก แต่ในใจมีเรื่องวางไม่ลง แม้นอนก็หลับไม่สนิท

“จิ้งจอกนั่นไม่ได้บอกหรือว่าที่นี่มีกลิ่นถิงหนู รีบเรียกนางออกมาถามสิ แท้จริงอยู่ที่ใด พวกเราจะได้ไปหาเขา”

เขาหยิบตะเกียบออกมาเคาะชามเสียงดังติ๊งๆ น่ารำคาญมาก

อวี่ซือเฟิ่งสะบัดแขนเสื้อ จิ้งจอกม่วงขดตัวกลมดิ๊กหล่นลงบนเก้าอี้ดังตุ้บ นางหลับตาปี๋ ร่างยังคงมีงูสีเงินลำตัวขนาดเท่าข้อมือพันอยู่ สัตว์สองตัวไม่ไหวติง ไม่รู้เป็นหรือตาย

“ตายแล้ว?!” ตะเกียบในมือจงหมิ่นเหยียนร่วงลงกับพื้นด้วยความตกใจ

อวี่ซือเฟิ่งยังไม่ทันได้กล่าวอันใดก็เอื้อมมือไปคว้าเสี่ยวอิ๋นฮวานุ่มนิ่มขึ้นมา มันเงยหน้ามองเจ้าของอย่างเกียจคร้าน พันวนไปรอบข้อมือเขาอย่างไม่อยากตัดใจ ก่อนจะหลบกลับเข้าแขนเสื้อนอนต่อ

“หากเจ้าแกล้งตายอยู่อีก พวกเราจะไม่ช่วยถิงหนูแล้ว”

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ วาจาเพิ่งกล่าวจบ จิ้งจอกนั่นก็กระโดดขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวา ลื่นไถลตัวเข้าสู่อ้อมกอดเขา สองอุ้งเท้าตะกุยหน้าอกเขา ร้องไห้ไปด่าไปว่า “เจ้าโจรไร้คุณธรรม! เจ้าโจร! โจรหน้าเหม็น! ถึงกับทรมานข้าเช่นนี้!”

อวี่ซือเฟิ่งดึงหนังหลังคอนาง ยกนางขึ้น สัตว์ขนนุ่มนิ่มนั่นรู้สึกไม่สบายตัว สี่ขาตะกายสุดแรงกระเสือกกระสน ท่าทางเต็มไปอาการประหนึ่งว่า “ข้าจะตะกุยเจ้าให้ตาย”

“เจ้าไม่ใช่บอกว่าได้กลิ่นถิงหนูหรือ เขาอยู่ในเมืองนี้ใช่หรือไม่”

จิ้งจอกม่วงแสร้งทำทีร้องไห้จะแขวนคอตายตามแบบฉบับ ดิ้นรนแสดงอยู่เป็นนาน พบว่าอีกฝ่ายไม่สนใจตนเองสักนิด ได้แต่หยุดพักรบ ปาดน้ำตาท่าทางอัดอั้นกล่าวว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร…เมื่อครู่อยู่ข้างบนนั่นได้กลิ่นเขากลับชิงเกิง แต่มาถึงในเมืองกลิ่นก็หายไปแล้ว”

“นี่ นี่ นี่! เจ้าอย่ามาแกล้งเลอะเลือนเช่นนี้! หลอกคนก็ต้องหาข้ออ้างดีๆ หน่อยไหม” จงหมิ่นเหยียนโมโหเริ่มเคาะถ้วยชาอีกแล้ว

จิ้งจอกม่วงไม่ได้เกรงใจเขาอันใด ม้วนหางขึ้นส่งเสียงฮึดฮัดทะนงตนว่า “ข้าต้องหลอกพวกหน้าเหม็นเช่นเจ้าด้วยหรือ ไม่ได้กลิ่นก็คือไม่ได้กลิ่น และไม่เพียงไม่ได้กลิ่นถิงหนู กลิ่นอื่นๆ ก็ไม่ได้กลิ่น ที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอายปีศาจเข้มข้นมาก กลบกลิ่นคนอื่นเขาไปหมดแล้ว”

“ปีศาจอีกแล้ว! ทำไมทุกที่ล้วนมีปีศาจ!” ตอนนี้จงหมิ่นเหยียนพอได้ยินคำว่ามารปีศาจ หัวก็พองโตใหญ่ทันที

“เจ้าว่านั่นคือปีศาจอะไร ทำร้ายคนไหม” อวี่ซือเฟิ่งถามเบาๆ

จิ้งจอกม่วงกระดิกหู ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่รู้ จริงๆ แล้วปีศาจมากมายบำเพ็ญจนมีร่างมนุษย์ได้แล้ว ก็ชอบอยู่ร่วมกับมนุษย์เหมือนคนปกติ หรือว่าเป็นปีศาจก็ต้องทำร้ายมนุษย์กัน”

จงหมิ่นเหยียนขี้เกียจต่อปากกับนางให้มากความ ร้อนใจกล่าวว่า “พอแล้วๆ! พวกเราน่าจะทำการค้าขาดทุนแล้ว ซือเฟิ่ง พวกเราขจัดกลิ่นปีศาจเข้มข้นพวกนี้ไปก่อน ค่อยหาถิงหนูกันเถอะ!”

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนานพลันกล่าวว่า “ข้ามีความคิดว่าจะไปเยี่ยมคารวะคนผู้หนึ่งที่อยู่เมืองชิ่งหยาง เรื่องกำจัดปีศาจ ข้าคิดว่ารอให้เข้าคารวะเขาก่อนค่อยว่ากัน”

ตอนกินข้าว จงหมิ่นเหยียนมองเสวียนจีคีบเอาขิงที่เกลียดที่สุดเข้าปากเคี้ยวหยับๆ ทิ้งเนื้อที่ทำราวกับเป็นขิงไว้บนโต๊ะ สุดท้ายประคองชามข้าวค่อยๆ กิน ราวกับนั่นเป็นข้าวขาวที่อร่อยที่สุดอย่างไรอย่างนั้น

เขาแอบดึงแขนเสื้ออวี่ซือเฟิ่งกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “นางถูกอะไรกระทบกระเทือนใจเข้า ทะเลาะกับอาจารย์อีกหรือ”

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้าไม่กล่าวอันใด ยื่นตะเกียบออกไปนิ่งๆ คีบเอาพริกที่ปกติเขาเกลียดที่สุดบรรจงส่งเข้าปากท่าทางสงบนิ่ง

เจ้าสองคนบ้าไปแล้ว จงหมิ่นเหยียนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ

ตวนผิงตรงข้ามพลันยิ้มกล่าวว่า “พูดไปแล้ว มาเกาะฝูอวี้ได้สองวันแล้ว ทำไมไม่เห็นกระบี่หยกประสานที่มีชื่อเสียงคู่นั้น ชื่ออะไรนะ…เพียนเพียนกับอวี้หนิง ใช่ไหม”

พอเสวียนจีได้ยินสองชื่อนี้ เม็ดข้าวก็พลันติดคอไอไม่หยุด หน้าตาแดงก่ำ

ตวนเจิ้งหน้าตาใสซื่อส่งน้ำให้เสวียนจี กล่าวว่า “คนเขามีเรื่องของตนเองที่ต้องทำ ไม่ใช่มาค่อยยืนอวดให้เจ้าชมนี่”

เขาไม่รู้! เขาต้องไม่รู้ความในใจอวี้หนิงแน่! เสวียนจีก้มหน้าดื่มน้ำไปพลางแอบสงสารอวี้หนิง

“เฮ้อ ไม่อาจกล่าวเช่นนี้ ตวนเจิ้ง เจ้ากับสองคนนั้นพูดไปแล้วก็มีวาสนาลึกล้ำต่อกันอยู่บ้างนะ อย่างไรก็ควรไปทักทายสักคำนะ!” ตวนผิงขยิบตาเหมือนต้องการบอกว่า ‘ดูแม่นางน้อยนั่นก็ไม่เลวนะ ทำไมเจ้าไม่ลงมือ’

ตวนเจิ้งกล่าวท่าทางเป็นการเป็นงานว่า “ประลองยุทธ์กัน บาดเจ็บเป็นเรื่องปกติธรรมดา อะไรเรียกว่าวาสนาล้ำลึกต่อกัน แต่ต้นจนจบพวกเราไม่ได้พูดจากันสักคำ ไหนเลยจะมีวาสนาล้ำลึกต่อกัน ตามเจ้าว่ามาเช่นนี้ ประลองกับใครสักครั้งก็เรียกว่าวาสนาล้ำลึก ไหนเลยจะจดจำได้หมด”

เสแสร้งแท้ เสแสร้งแท้! เขาถูกอวี้หนิงทำร้ายบาดเจ็บแล้วเห็นชัดๆ ว่าโกรธแค้นแทบตาย! ยามนี้กลับทำเป็นใจกว้าง ตวนผิงค้อนใส่เขาไม่กล่าวอันใด

เสวียนจียังคงกำลังครุ่นคิด พวกเขาจะไม่ได้กล่าววาจากันสักคำได้อย่างไร ตอนนั้นข้อมืออวี้หนิงถูกเขาทำร้ายบาดเจ็บ เขายังส่งยาให้เลย ก็นับว่า…กล่าวกันสักคำกระมัง เฮ้อ…’ขอบคุณ’ คำนี้ก็นับว่าพูดจานะ

อาหารเย็นมื้อวุ่นวายมื้อหนึ่งจบลง ทุกคนล้วนหอบความในใจกลับไปห้องพัก จงหมิ่นเหยียนกำลังจะเดินไป แขนเสื้อพลันถูกดึงไว้ อวี่ซือเฟิ่งขยิบตาให้เขา เขาเข้าใจทันที ยิ้มกล่าวว่า “โอย จะว่าไปพวกเราไม่ได้เล่นไพ่กันนานแล้วนะ วันนั้นข้าเข้าไปในเมืองมา เห็นไพ่ทำเลียนแบบหยกเขียวสำรับหนึ่งไม่เลว ก็เลยซื้อกลับมา อย่างไรดี จะไปเล่นกันสักตาไหม”

เล่นไพ่? เสวียนจีพลันตั้งตัวไม่ติด พวกเขาเคยเล่นไพ่กันตอนไหน ทำไมนางจำไม่ได้

รั่วอวี้รับคำอย่างรวดเร็ว ทั้งสามหันกลับไปยิ้มให้นาง เสวียนจีได้สติทันที รีบยิ้มกล่าวว่า “ดี ดีจัง! ครั้งก่อนแพ้พวกเจ้าไปสามเหรียญเงิน ครั้งนี้ต้องชนะเอาคืนมาให้ได้!”

จงหมิ่นเหยียนแค่นเสียงฮึขึ้นจมูก “เชอะ เด็กผู้หญิงหวังลมๆ แล้งๆ! จะเอาชนะระดับข้า รอไปอีกร้อยปีเหอะ!”

ทั้งสี่พูดจาหัวเราะวิ่งไปเล่นไพ่กันที่ห้องจงหมิ่นเหยียน ศิษย์เกาะฝูอวี้พวกนั้นตามพวกเขามาทั้งวัน เห็นพวกเขาไม่ได้คิดไปจากเกาะฝูอวี้อันใด อดแอบกล่าวหาว่าอาจารย์ใจร้ายไม่ได้ ส่งพวกเขามาทำงานไร้สาระพวกนี้ ดังนั้นจึงเริ่มไม่คิดใส่ใจขึ้นมา ค่อยๆ เดินตามหลังพวกเขาลงไปนั่งยองกันอยู่หน้าประตูเริ่มคุยสัพเพเหระกัน

พูดไปแล้วก็บังเอิญ จงหมิ่นเหยียนมีไพ่นกระจอกมาสำรับหนึ่งจริง สี่คนล้อมวงรอบโต๊ะ ส่งเสียงล้างไพ่ดัง เสวียนจีกระซิบกระซาบว่า “ข้า…ข้าเล่นไพ่ไม่เป็นนะ”

จงหมิ่นเหยียนกัดฟันกล่าวลอดไรฟันว่า “เซ่อ…ทำท่าก็พอ ออกไพ่อะไรมาก็พอ”

กล่าวจบเขาดึงห่อเงินออกมา เทเงินก้อนเงินขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากันลงบนโต๊ะ หัวเราะร่ากล่าวว่า “มา จะพนันกันก็ลงมาเลย! วางเงินๆ!”

เขาจงใจ! เสวียนจีมองเขาอย่างไม่รู้ควรทำเช่นไร รู้ๆ อยู่ว่านางเล่นไพ่ไม่เป็น ยังจะมาลงเงินมากมายเช่นนี้อีก เห็นชัดว่าจะหาเงินก้อนโต! นางได้แต่ควักเงินออกมาวางบนโต๊ะ จัดเรียงไพ่มือไม้วุ่นวาย

จงหมิ่นเหยียนควักลูกเต๋าออกมา กำลังจะทอย เสวียนจีพลันโบกมือยิ้มกล่าวว่า “อันนี้ข้ารู้! สีเขียวเดียวหนึ่งมังกร! ข้ากินรวบแล้ว!”

กล่าวจบก็ผลักไพ่ทั้งแถวตรงหน้าลง ล้วนเป็นสีเดียวทั้งแถว จงหมิ่นเหยียนตกใจตาค้าง ลูกเต๋าในมือร่วงลงพื้น ดังคาด คนมักกล่าวว่าไม่อาจรังแกมือใหม่ ครั้งแรกที่นางเล่น ก็เล่นเอาเทียนหู[1]! เงินสองตำลึงห้าอีแปะยังไม่ทันทิ้งให้เย็นเลยนะ ก็ตกเป็นของผู้อื่นไปแล้ว

ศิษย์เกาะฝูอวี้พวกนั้นอยู่นอกประตูนั่งเซ็งหนาวเหน็บ หูได้ยินแต่อะไร สองถ่งสามเถียว เจ็ดว่านหงจง[2]พวกเขายังดีได้เล่นไพ่อยู่ในห้องอบอุ่น ไม่รู้จะเล่นไปถึงเมื่อไร ตนเองต้องมานั่งเฝ้าอยู่หน้าประตูทั้งคืน แม้แต่นอนก็ยังไม่ได้

ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว ควักเอาลูกเต๋าออกมาจากแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “ฟังพวกเขาเล่นแล้วคันมือ พวกเราก็มาพนันสูงต่ำกันสักหน่อยเป็นอย่างไร”

ข้อเสนอนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากทุกคนอย่างดี จึงไปรวมตัวกันข้างหน้าต่าง สูงต่ำส่งเสียงเชียร์ดัง

กำลังเล่นกันอย่างเมามันนั่นเอง พลันได้ยินเสียงหน้าต่างดังเล็กน้อย ราวกับมีคนแง้มหน้าต่างออกมามอง ทุกคนรีบเงยหน้า รู้สึกเพียงกลิ่นหอมอ่อนละมุนลอยมา พริบตาสองตาก็พร่ามัว ร่างอ่อนยวบ แม้แต่เสียงสักแอะก็ไม่ทันได้ร้อง ล้มลงกับพื้นทันที

จงหมิ่นเหยียนยัดขวดยาจรุงขวดเล็กใส่กลับแขนเสื้อ หันกลับไปกวักมือ “ร่วงหมดแล้ว รีบไปกันเร็ว!”

ทุกคนแอบหนีออกไปทางหน้าต่างอย่างไร้สุ้มเสียง เร่งมุ่งไปยังเนินเขาทางเหนืออย่างเงียบที่สุด ประตูใหญ่เกาะฝูอวี้ไม่รู้มีศิษย์เท่าไร ย่อมไม่หวังว่าจะไปทางนั้นได้ ได้แต่ลองเสี่ยงดวงเอา ลงทะเลไปว่ายสักพัก ออกจากอาณาเขตแหกระบี่ได้ค่อยเหินกระบี่ไป

เนินเขาตอนเหนือเพิ่มกำลังศิษย์เฝ้ามากขึ้น น่าจะเป็นเพราะพ่อบ้านโอวหยาง ดีที่ที่นั่นมีป่าทึบอำพรางตัวได้ ทางหนึ่งไม่ได้ก็ไปอีกทางหนึ่ง กว่าที่ทั้งสี่จะลดเลี้ยวอ้อมไปมามาถึงปากทะเลได้ก็นานอยู่ รอบๆ มืดดำสนิท ไม่มีแม้เงาคน มีแต่เสียงคลื่นทะเลดังซัดสาด

ทุกคนพาดกระบี่ไว้บนหลัง พับแขนเสื้อและกางเกง กำลังจะโดดลงไป พลันได้ยินเสียงตีน้ำดังมาจากทางทะเล ราวกับมีบางสิ่งกำลังว่ายมาอย่างรวดเร็ว

จงหมิ่นเหยียนชักกระบี่ออกทันที ถอยไปสองก้าว เห็นสิ่งนั้นขึ้นฝั่งมาหายใจ เขายกกระบี่แทงไป เงาดำนั้นรับรู้ได้ทันที กระโดดหลบกระบี่ที่แทงมา ทำละอองน้ำฝาดเค็มกระจาย กระโดดได้สูงมาก

“อา! พวกเจ้าเอง! ข้าหาพวกเจ้าเจอแล้ว!” เงาดำส่งเสียงร้องดีใจ น้ำเสียงมีความออดอ้อนอยู่ไม่น้อย ฟังแล้วเหมือนว่าเป็นสตรี

จงหมิ่นเหยียนเดิมยังคิดจะแทงอีก ได้ยินนางกล่าวมา กระบี่นั่นค่อยๆ ผ่อนลง ทุกคนจ้องมองไปพลันเห็นเงาดำก้อนนั้นมีขนปุกปุยเปียกน้ำ สองหูใหญ่สลัดไปมา สองตากลมโตส่องประกาย ถึงกับเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง!

เสวียนจีกล่าวอย่างแปลกใจว่า “เอ๋…เจ้าเอง…ทำไมเจ้า…”

เป็นจิ้งจอกม่วงเขาเกาซื่อซาน ทำไมแล่นมาเกาะฝูอวี้?

จิ้งจอกม่วงสลัดน้ำออกจากร่างกายอย่างแรง ร้อนใจกล่าวว่า “อย่าถามเหตุใด กว่าข้าจะว่ายมาได้! ล้วนเพราะแหกระบี่ควรตายพวกนั้น…ข้าบอกเจ้านะ ถิงหนูหายไปแล้ว! ข้าหาอย่างไรก็หาเขาไม่เจอ! เขาเป็นเงือก เดินไม่ได้ เกิดพวกคนโง่เง่าเห็นเข้าจับเขาไปได้ เขาใจอ่อนมีเมตตาเช่นนั้น ย่อมไม่อาจตัดใจทำร้ายคน…ไม่รู้จะถูกทรมานจนเป็นเช่นไร!”

ทุกคนล้วนตกใจใหญ่ จงหมิ่นเหยียนรีบกล่าวว่า “ทำไมพวกเจ้าพลัดหลงกันได้ วันนั้นพวกเจ้าไม่ใช่ว่าไปหลบในถ้ำหรือ”

จิ้งจอกม่วงถอนหายใจ ถลึงตาจ้องใส่เสวียนจีอย่างแรง กล่าวว่า “ไม่ใช่เพื่อเด็กผู้หญิงคนเดียวหรือ! ถิงหนูเห็นพวกเจ้าปล่อยพลุสัญญาณที่เชิงเขาก็บอกว่าจะไปช่วยพวกเจ้า ผลปรากฎพอถึงเชิงเขาก็พบกับพวกกลุ่มปีศาจชั่ว ไม่ทันได้พูดอะไรก็ปล่อยนกปี้ฟางขาเดียวมาเผาเรา พวกเราได้แต่โดดลงทะเลสาบหงเจ๋อหลบภัย เขาเป็นเงือกนะ เป็นปีศาจชำนาญทางน้ำ แต่ข้าไม่ใช่! ลงน้ำไปก็ถูกกระแสน้ำซัดไปไหนก็ไม่รู้แล้ว! กว่าจะขึ้นฝั่งได้ ข้าก็หาถิงหนูไม่เจอแล้ว…ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกเจ้าว่าจะมาเกาะฝูอวี้ ดังนั้นข้าคิดว่าคนเดียวหา ไม่สู้หากันหลายคนหน่อย…ข้า ข้าเสียแรงไปมากมายมหาศาลกว่าจะหามาถึงนี่ได้! ถิงหนูเขา…ช่วยพวกเจ้ามากมายเช่นนี้ พวกเจ้าไม่อาจไม่สนใจเขานะ!”

ทุกคนได้ยินก็นิ่งเงียบไป

จิ้งจอกม่วงเห็นพวกเขาไม่กล่าวอันใด รีบแกว่งหางอย่างแรง ร้องดังว่า “พวกเจ้าไม่สนใจเขาจริงหรือ?! ช่างไร้คุณธรรม! ข้ายังคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนดี! หากถิงหนูตายไป ข้า…ข้าต้องมาคิดบัญชีพวกเจ้าแน่!”

กล่าวจบนางก็อดร้องไห้ออกมาไม่ได้ จิ้งจอกตัวหนึ่งร้องไห้ดังเช่นนี้ แม้ว่าดูเศร้าสลด แต่กลับไม่รู้ทำไมจึงแลดูน่าขันมากอยู่สักหน่อย

เสวียนจีถอนหายใจกล่าวเบาๆ ว่า “แน่นอนพวกเราไม่อาจไม่สนใจเขา แต่…พวกเราตอนนี้เร่งไปหาเขาปู้โจวซาน”

นางเล่าเรื่องหลิงหลงกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยคร่าวๆ รอบหนึ่ง จิ้งจอกม่วงฟังจบก็เกาหู ได้ใจยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าไปก็เสียเปล่า! แค่พวกเจ้าไม่กี่คน แม้แต่ข้ายังสู้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปีศาจพวกนั้น! และพวกเขาต้องการทำลายโซ่หมุดทะเลเพื่อปลดปล่อยคนผู้นั้น ข้าดีใจจะตายแล้ว!”

เห็นทุกคนล้วนมองนางไร้วาจา นางพลันรู้สึกวาจาตนเองราวกับกล่าวอันใดผิดกาลเทศะไป รีบกระแอมไอสองทีกล่าวว่า “คาถาเรียกจิตญาณ ข้าเคยได้ยิน ขอเพียงหาสองจิตหกญาณของนางก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วจริงๆ เช่นนี้ละกัน ข้าพาพวกเจ้าไปเขาปู้โจวซาน แต่มีสิ่งตอบแทน พวกเจ้าต้องหาถิงหนูให้เจอก่อน!”

จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าจะไปเขาปู้โจวซานได้อย่างไร?!”

จิ้งจอกม่วงยิ้มกล่าวว่า “นั่นแน่นอน ตอนเด็กข้ามักไปเที่ยวบ่อยๆ! แต่ยอดเขามีเสินซูและอวี้ลวี่เฝ้าประตูใหญ่ แดนปรภพผู้ใดก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ ขอเพียงไม่ไปที่นั่น ที่อื่นข้าล้วนนำทางพาไปได้หมด”

ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ จงหมิ่นเหยียนอดซาบซึ้งไม่ได้ “เซินซูและอวี้ลวี่?! มีเทพสวรรค์เฝ้าอยู่ที่นั่นจริง? ข้าคิดว่า…ข้าแต่ไรคิดว่า…นั่นเป็นแค่ตำนาน”

จิ้งจอกม่วงใช้สายตาน่าสงสารมองเขา ‘เจ้านี่รู้น้อยจริง’ ออดอ้อนออเซาะกล่าวว่า “มนุษย์ธรรมดานี่นะ มีกายหยาบเลือดเนื้อ นอกจากตนเองผู้ใดก็มองไม่เห็น อย่าว่าแต่เซินซูและอวี้ลวี่เลย ทุกเขาล้วนมีเทพประจำเขาเฝ้าอารักษ์ทั้งนั้น เขาคุนหลุนยังเป็นถึงอุทยานของราชันสวรรค์ทางด้านใต้ บนเขามีเทพเซียนเต็มไปหมด หากพวกเจ้าอยากดู วันหน้าตอนไหนก็ได้ดู ตอนนี้พวกเราไปหาถิงหนูกันก่อน พอหาเจอ ข้าก็จะพาพวกเจ้าไปเขาปู้โจวซาน ไม่ไกล อ้อ เหินกระบี่ไปก็ไม่ไกล”

เป็นครั้งแรกที่เสวียนจีพับขากางเกงลงทะเล ถูกความเย็นน้ำทะเลกระทบจนหนาวสั่นถึงใจ หันกลับไปกวักมือเรียกพวกเขา “เร็ว! ไปกันเถอะ! พวกเราไปหาถิงหนูกัน!”

[1] รูปแบบการชนะน็อคแบบหนึ่งของไพ่นกกระจอก

[2] ไพ่นกกระจอกมีไพ่อยู่ 3 แบบ คือ ไพ่จำนวน ไพ่อักษร และไพ่รูปดอกไม้กับฤดูกาล ไพ่จำนวนมีสามชุดได้แก่ ชุดถ่ง ชุดสั่ว และชุดว่าน ซึ่งแต่ละชุดจะมีจำนวนตั้งแต่ 1-9 ไพ่อักษรมีเจ็ดชุด ได้แก่ หงจง ฟาไฉ ไป๋ปั่น และอีกทิศเหนือใต้ออกตกอีกสี่ชุด ส่วนไพ่รูปดอกไม้และฤดูกาลก็จะเป็นรูปภาพ วิธีการเล่นก็แตกต่างกันไปในแต่ละถิ่น

หลิงหลงกลับมาแล้ว ที่มากับนางยังมีตู้หมิ่นหังที่หายใจรวยริน กับตวนผิงและตวนเจิ้ง ศิษย์สำนักเส้าหยางสองคน

ทุกคนล้วนมารวมตัวกันที่โถงกลาง สีหน้าทุกคนล้วนหนักใจมาก ตวนเจิ้งยืนอยู่กลางโถง กำลังบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดทางมานี้

“อาจารย์หญิงเห็นอาจารย์ไปเกาะฝูอวี้นานไม่กลับมาสักที ได้ยินว่าเกาะฝูอวี้เกิดเรื่อง ดังนั้นจึงส่งศิษย์ทั้งสองคนออกมาช่วย ที่เขาเกาซื่อซานได้พบศิษย์น้องหมิ่นหังกับหลิงหลง หมิ่นหังไม่รู้ถูกผู้ใดทำร้ายบาดเจ็บ สาหัส ศิษย์น้องหลิงหลงเอง…ก็ดูไม่ปกติ ข้าทั้งสองคนค้นหารอบเขาเกาซื่อซาน ไม่พบว่ามีคน ไม่กล้าเสียเวลาเดินทาง ดังนั้นจึงได้รีบเร่งมายังที่นี่”

ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วแน่น ย่อตัวลงข้างๆ ดรุณีน้อยชุดแดงเบื้องหน้า สีหน้านางไร้ความรู้สึก ไม่ขยับกายแม้แต่น้อย ราวกับหุ่นไม้ เป็นหลิงหลงที่หายตัวไปนาน! เสวียนจีคว้ามือนางไว้ เอาแต่เรียกนางไม่หยุด นางกลับไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง นอกจากกะพริบตาปริบๆ เป็นบางครั้ง นางแทบเหมือนกับก้อนหิน

“ท่านพ่อ…หลิงหลงนาง?” เสวียนจีเห็นฉู่เหล่ยตรวจชีพจรนางเสร็จ อดถามอย่างร้อนใจไม่ได้

ฉู่เหล่ยเงียบงัน ยกมือขึ้นโบกเบื้องหน้าหลิงหลง กล่าวเบๆ ว่า “หลิงหลง ได้ยินเสียงพ่อไหม”

นางยังคงนิ่ง หน้าตานิ่งตึง

เสวียนจีแทบอยากจะร้องไห้ คว้ามือนางไว้แน่น ไม่รู้ทำเช่นไรดี ฉู่เหล่ยถอนหายใจส่ายหน้า เจ้าหุบเขาหรงข้างๆ เข้ามาดูอาการหลิงหลง ลูบศีรษะนางสองที ตกใจเล็กน้อย “วิธีการร้ายกาจมาก!”

ฉู่เหล่ยร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าหุบเขาหรงรู้ว่าเกิดอันใด?”

เจ้าหุบเขาหรงพยักหน้า กำลังจะอธิบาย พลันนอกประตูมีคนเร่งร้อนวิ่งเข้ามาสามคน เป็นพวกอวี่ซือเฟิ่ง จงหมิ่นเหยียนกับรั่วอวี้เพิ่งเปลี่ยนชุดศิษย์เกาะฝูอวี้ออก ล้างคราบเลือดบนใบหน้าออกลวกๆ ไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกอันใดก็รีบมา

จงหมิ่นเหยียนพอได้เห็นหลิงหลงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในชุดแดง ในใจอดสะดุ้งไหวไม่ได้ รีบวิ่งเข้าไปทันที “หลิงหลง! หลายวันนี้เจ้าไปไหนมา” เขาถามติดๆ กันหลายคำ นางกลับไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ แม้แต่ขนตาก็ไม่ขยับ

เขาตกใจอย่างยิ่ง มองไปยังเสวียนจี นางอดกลั้นอยู่นาน ในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องร้องไห้ออกมา พึมพำกล่าวว่า “หลิงหลงนาง…นางไม่รู้เป็นอะไร…ไม่ขยับ ไม่พูด…”

จงหมิ่นเหยียนตกใจยิ่ง ได้แต่ยกมือโบกไหวๆ เบื้องหน้าหลิงหลงไม่หยุด ร้องเรียกอย่างร้อนใจว่า “หลิงหลง! เจ้าอย่าทำคนตกใจ! เป็นอะไรไป?!”

ฉู่เหล่ยกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หมิ่นเหยียนอย่าเสียงดัง! ฟังเจ้าหุบเขาหรงพูด!”

เขาหุบปากทันที มองไปยังชายชรามากประสบการณ์อย่างหมดแรง พลันนึกถึงสภาพน่าอนาถของพี่โอวหยางในคุก ในใจเขาอดหวาดกลัวและแอบหลบเลี่ยงไม่ได้

เจ้าหุบเขาหรงย่อมไม่ใส่ใจท่าทางประหลาดของศิษย์รุ่นเล็ก กล่าวต่อว่า “นี่เรียกว่าคาถาเรียกจิตญาณ เป็นคาถาระดับสูงอย่างมากคาถาหนึ่ง ปกติมักจะเป็นพวกขมังเวทร่ายคาถาลอบสังหาร พวกเจ้าก็รู้ว่าคนเรามีสามจิตและเจ็ดญาณ ดังนั้นจึงทำให้พูดได้ โลดเต้นได้ มีความรู้สึกทั้งเจ็ดและความรับรู้ปรารถนาทั้งหก แต่หากสองจิตหกญาณในนั้นถูกดึงออกไป เหลือเพียงหนึ่งจิตหนึ่งญาณ คนย่อมไม่ตาย แต่ไม่อาจพูดได้ ไร้ความรู้สึก ไม่ต่างอันใดกับคนตายไปแล้ว”

ทุกคนได้ยินพากันตกใจ จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “เช่นนั้น…มีทางแก้ไขไหม?!”

เจ้าหุบเขาหรงนิ่งเงียบกล่าวว่า “วิธีแก้ไขก็พอมี แต่หาคนที่มีวิชามนตร์ดำสูงส่งเช่นนี้ไม่ได้ ขอเพียงนำสองจิตหกญาณเด็กคนนี้กลับมาได้ ใช้วิชาเดียวกันนำกลับคืนร่าง ก็ย่อมฟื้นคืนได้…แม้ว่าไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดทำเช่นนี้ และต้องการทำเพื่ออะไร แต่คนมีวิชามนตร์ดำเช่นนี้น้อยยิ่งกว่าน้อย คนปล่อยวิชานี้ย่อมไม่คิดช่วยนาง ดังนั้น…”

ยามนี้แม้แต่ฉู่เหล่ยเองก็ทนต่อไปไม่ไหว ร่างเริ่มโงนเงน อวี่ซือเฟิ่งที่อยู่ข้างๆ รีบเข้ามาประคองเขาไว้ จงหมิ่นเหยียนอึ้งมองหลิงหลง นางไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ดวงตาดำขลับ ริมฝีปากแดง แต่ไม่มีไอชีวิตแม้แต่น้อย ดวงตานั่นไม่อาจถลึงตาจ้องใส่เขาอย่างโมโห ปากงามนั่นก็ไม่อาจเปล่งวาจาทำให้ใจเขาโลดเต้น

เขาไม่อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นติดต่อกันเช่นนี้ได้ เริ่มจากพี่โอวหยาง ตามมาด้วยหลิงหลง ตอนนี้เขาอยากจะตะโกนออกมาดังๆ เท่านั้น อยากจะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งไปให้ไกล จากนั้นก็ฝังตนเองลงใต้พื้นดินลึกที่สุด ไม่ต้องออกมาอีกเลย เช่นนี้ก็จะไม่เจ็บปวดทรมานตลอดไป

“ข้าไปหา!” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูเขา ทุกคนพลันหันกลับไป เห็นเสวียนจียืนนิ่งอยู่ที่นั่น กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไปหาสองจิตหกญาณของหลิงหลงกลับมาเอง! ข้าไปหาคนมาช่วย! ข้าต้องช่วยนางให้กลับคืนมาให้ได้!”

ทุกคนคิดไม่ถึงเว่าปกติดรุณีน้อยที่แสนเกียจคร้านและดูแล้วเหม่อลอยอยู่สักหน่อยถึงกับกล้าหาญเช่นนี้ ฉู่เหล่ยรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายกลับส่ายหน้า “เสวียนจี นี่ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น ใต้หล้ากว้างใหญ่ เจ้าไปหาจากไหน?”

เสวียนจีกัดริมฝีปาก กล่าวจริงจังว่า “ขอเพียงค่อยๆ หาไป ต้องหาเจอแน่! ไม่ว่าจะยากลำบากอย่างไร ข้าต้องพาหลิงหลงกลับมา!”

อวี่ซือเฟิ่งพยักหน้า “ข้าไปด้วย”

เสวียนจีมองเขาอย่างซาบซึ้งใจ เขายิ้มตอบกลับนางเล็กน้อย เพียงรอยยิ้มเล็กน้อยเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกว่าไม่ว่ายากลำบากเพียงใด มีซือเฟิ่งอยู่ข้างกาย ก็ย่อมต้องผ่านไปได้แน่ เขาเป็นเทพที่พึ่งพิงของนางโดยแท้

จงหมิ่นเหยียนขยับปาก ลุกขึ้นกล่าวว่า “ข้าไปด้วย ไม่ว่ายากลำบากเพียงใด แม้ต้องตาย ก็ต้องหาให้พบ”

ฉู่เหล่ยกำลังจะกล่าว กลับถูกเสียงครางข้างๆ ดังแว่วมาหยุดไว้ คนหนึ่งพึมพำกล่าวว่า “ศิษย์พี่…ที่นี่คือ…?”

กล่าวถึงตู้หมิ่นหังที่แต่ต้นมาเอาแต่สลบไสลนั้น ตอนนี้เขาฟื้นขึ้นมาแล้ว ฉู่เหล่ยรีบเข้าไปประคองตัวเข้าไว้ กล่าวน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หมิ่นหัง ข้าเอง อย่าขยับ บาดแผลเจ้าเพิ่งจะพันแผลเสร็จ”

ตอนตู้หมิ่นหังถูกตวนผิงและตวนเจิ้งพากลับมา ก็เหมือนว่าร่างจะท่วมไปด้วยเลือด ทั้งตัวมีรอยบาดแผลนับไม่ถ้วน ล้วนเป็นบาดแผลเล็กและบาง ราวกับเป็นอาวุธที่คบกริบอันใดสักอย่างทำร้าย

เขากะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็ได้สติคืนมาบ้าง พลันคว้ามือฉู่เหล่ยไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “อาจารย์! เขาเกาซื่อซาน…มารปีศาจพวกนั้น…จับหมิ่นเจวี๋ยไป…ศิษย์น้องหลิงหลงนางสูญเสียจิตญาณไปแล้ว!”

ฉู่เหล่ยตกใจ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด!”

ตู้หมิ่นหังหอบหายใจหนักหน่วง ตามมาด้วยอาการไอไม่หยุด เสวียนจีรีบส่งน้ำชาไปที่ริมฝีปากเขา เขาดื่มไปสองอึก ก็รู้สึกว่าแววตาเขาจ้องมองตนเองเขม็ง ในแววตานั้นมีความรู้สึกอันใดบางอย่างที่วนเวียนผูกพัน แม้ว่านางไม่เข้าใจกระจ่างสักเท่าไร แต่ก็อดมือกระตุกไม่ได้ น้ำชาหกรดหน้าอกเขาเกือบครึ่ง

กว่าอาการจะสงบลงได้ก็นานไม่น้อย เขากล่าวเบาๆ ว่า “อาจารย์ส่งข้ากับหมิ่นเจวี๋ยกลับสำนักเส้าหยาง ตอนพวกเราผ่านเขาเกาซื่อซาน เดิมคิดจะลองค้นหาศิษย์น้องหลิงหลงว่าอยู่ไหม ผู้ใดจะรู้ว่า…ไปปะทะเข้ากับมารปีศาจกลุ่มนั้น ร้ายกาจมาก ศิษย์ต่อสู้กับพวกเขาไม่ไหว อันตรายเกือบเอาตัวไม่รอด จากนั้นศิษย์น้องหลิงหลง…ไม่รู้วิ่งออกมาจากที่ไหน นางราวกับรู้จักกับหัวหน้าปีศาจนั่น ตะโกนด่าทอเขาเสียงดังให้เขาปล่อยข้ากับหมิ่นเจวี๋ย ผู้ใดจะรู้ว่า…คนผู้นั้นเพียงแค่ยิ้มเยียบเย็น กล่าวประโยคเดียวว่า ถึงเวลาแล้ว จากนั้นไม่รู้ทำอันใดกับศิษย์น้องหลิงหลง ศิษย์น้อง นางเปลี่ยนไปทันที…ราวกับกลายเป็นหุ่นไม้ คนผู้นั้นจับตัวหมิ่นเจวี๋ยไป ยังทำร้ายศิษย์บาดเจ็บ ให้ศิษย์นำวาจามาถึงอาจารย์ บอกว่า…บุญคุณความแค้นวันวานถือว่าสิ้นสุดกัน ไม่ช้าไม่เร็วเขาจะทำลายสำนักเส้าหยางให้ราบ…ทำลายโซ่หมุดทะเล…”

ทุกคนได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็รู้สึกแปลกใจ คนผู้นั้นกล่าวว่าบุญคุณความแค้นวันวาน หรือว่าเป็นศัตรูคู่แค้นฉู่เหล่ย? แต่ฉู่เหล่ยเป็นเจ้าสำนักเส้าหยาง นิสัยเข้มงวด แต่ไรมาทำอะไรก็ยุติธรรมเปิดเผย ไม่ค่อยได้มีความแค้นกับผู้ใดนัก แท้จริงผู้ใดกันที่กล่าววาจาโหดเ**้ยมคิดจัดการสำนักเส้าหยาง ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกับมารปีศาจที่คิดวางแผนทำลายโซ่หมุดทะเล รู้แล้วว่าศัตรูคือผู้ใด ต้องการช่วยหลิงหลงกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยก็ง่ายขึ้นมากแล้ว

เสวียนจีพลันมองไปยังเจ้าหุบเขาหรง กล่าวเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าหุบเขาหรง ครั้งก่อนท่านบอกกับปีศาจตนนั้นว่า รังเดิมพวกเขาอยู่เขาปู้โจวซาน ใช่หรือไม่?”

เจ้าหุบเขาหรงพลันสะดุ้ง วาจาเขาที่กล่าววันนั้นเป็นวาจาแนบชิดใบหู นอกจากปีศาจนั่นไม่ควรมีผู้ใดได้ยิน รองเจ้าตำหนักผู้นั้นบางทีอาจมีวิธีไม่เหมือนใครแอบฟังได้ก็แล้วไปเถอะ ตอนนี้เด็กหญิงเบื้องหน้าถึงกับได้ยินได้ด้วย ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตกใจเท่าไร

นางกล่าวออกไปเช่นนี้ ฉู่เหล่ยเองก็อดมองเขาไม่ได้ เห็นชัดว่าเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่ารังปีศาจนี่อยู่ที่เขาปู้โจวซาน

“เจ้า…” เขาถึงกับไร้วาจาจะกล่าว

เสวียนจีถามว่า “จริงหรือไม่”

เจ้าหุบเขาหรงจ้องมองนางเป็นนาน ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้า “ไม่ผิด…ข้าเองก็ได้ยินมา แต่ความจริงเป็นเช่นไร ไปแล้วจึงรู้”

เสวียนจีกล่าวว่า “ข้าจะไปเขาปู้โจวซาน พาศิษย์พี่รองกับจิตญาณหลิงหลงกลับมา!”

พวกจงหมิ่นเหยียนพากันรับคำ แต่ละคนกำหมัดแน่น แทบอยากจะรีบเหินไปยังเขาปู้โจวซานทลายรังมารปีศาจพวกนั้นให้ราบคาบเป็นหน้ากลอง

ฉู่เหล่ยขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหลวไหล! อาศัยความสามารถพวกเจ้า จะต่อสู้กับมารปีศาจพวกนั้นได้อย่างไร อย่าลืมเจ้าเกาะตงฟางยังบาดเจ็บสาหัสภายใต้กระบี่มารปีศาจ! เด็กน้อยเช่นพวกเจ้าไปก็มีแต่ไปตายเปล่า!”

เขากล่าวได้มีเหตุผลมาก พอคิดถึงเจ้าเกาะตงฟางที่ยังบาดเจ็บสาหัสลุกจากเตียงไม่ได้ ก่อนหน้าที่ฮึกเหิมก็ไม่รู้หายไปไหนหมด ไปก็มีแต่ไปตายเปล่า แต่ไม่ไป หลิงหลงกับเฉินหมิ่นเจวี๋ยจะทำเช่นไร

ฉู่เหล่ยกล่าวอีกว่า “เรื่องนี้ต้องวางแผนให้ดีก่อน ไม่อาจวู่วาม! ยามนี้รักษาสำนักเส้าหยางไว้ อย่าให้มารปีศาจบุกทำลายจึงเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง เขาปู้โจวซานนั่น ผู้ใดก็ห้ามไปทั้งนั้น!”

เสวียนจีจ้องมองเขานิ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “ในใจท่านพ่อ ชีวิตบุตรสาวกับศิษย์ถึงกับเทียบหน้าตาสำนักเส้าหยางไม่ได้หรือ”

ฉู่เหล่ยในเวลานั้นโมโหสุดขีด ยกมือคิดจะตบหน้านาง แต่พอเห็นแววตานางไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ยังคงลุกโชน ฝ่ามือนั้นไม่ว่าอย่าไรก็ฟาดไม่ลง เขาค่อยๆ วางมือลง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ใช่หน้าตา! แต่เป็นเรื่องความเป็นความตาย! เจ้าคิดอยากให้สำนักเส้าหยางเป็นเหมือนสำนักเซวียนหยวนที่ถูกกวาดล้างสำนักหรือ ชีวิตคนหลายร้อยคนเทียบกับสองคนแล้ว อะไรหนักอะไรเบา? เจ้าคิดไม่เข้าใจหรือ”

เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่เข้าใจ เรื่องโซ่หมุดทะเล พวกท่านรู้ดี หากแต่ไรมากลับไม่ยอมเอ่ยถึง ยังปิดบังมาระบายใส่ผู้อื่น…ข้าไม่รู้ว่ามารปีศาจอันใดที่ถูกขังอยู่ ร้ายกาจเพียงใด ยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเราต้องรักษาโซ่หมุดทะเลไว้ให้ได้ แต่ข้ารู้ว่าเป้าหมายพวกเขาก็เพียงแค่ทำลายโซ่หมุด ไม่ใช่ทำลายล้างสำนัก”

ฉู่เหล่ยอดไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว หน้าตาบึ้งตึงดำคล้ำ ฝ่ามือหนึ่งฟาดเชิงเทียนไม้แดงข้างๆ เชิงเทียนนั่นแหลกเป็นชิ้นร่วงกระจายเต็มพื้นทันที

“เรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจยังมีอีกมาก!” เขาน้ำเสียงเฉียบขาด “เจ้าไม่เข้าใจว่าหากมารปีศาจนั่นถูกปลดปล่อยออกมา สรรพชีวิตจะต้องตายอีกมากมายเท่าไร! ยิ่งไม่เข้าใจว่าห้าสำนักใหญ่รวมเป็นหนึ่งรากฐานเดียวกัน และที่ปกป้องนั้นคืออันใด! เจ้าไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง กลับมาโต้เถียงกับข้าอยู่ตรงนี้ เสวียนจี! เจ้าทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”

กล่าวจบทั่วบริเวณพลันเงียบกริบ ทุกคนล้วนมองเสวียนจี หวังว่านางจะยอมแพ้ กล่าววาจาอ่อนลงสักสองสามคำ ผ่อนคลายบรรยากาศอึดอัดนี้ ผู้ใดจะรู้ว่านางเพียงแค่ยิ้มบาง กล่าวเบาๆ ว่า “หากมารปีศาจสังหารคนแล้ว ค่อยสังหารมันต่อก็ได้ มันไม่ได้ทำผิดอะไร เหตุใดต้องสังหาร ข้าไม่ยอมเอาชีวิตหลิงหลงกับศิษย์พี่รองไปแลกกับสิ่งที่ไม่แน่นนอนเหล่านั้น สรุปข้าจะต้องช่วยพวกเขาให้ได้”

“เจ้า…” ฉู่เหล่ยแทบจะเตะนางออกไป อย่าได้เจอหน้าอีกเลยตลอดไป

เจ้าหุบเขาหรงรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ “พอแล้ว น้องฉู่อย่าได้โมโห เด็กน้อย เจ้าก็พูดน้อยหน่อย! เรื่องนี้ใหญ่หลวง ไม่ใช่เวลาที่เด็กน้อยเช่นพวกเจ้าจะมาเหลวไหล เจ้าเองก็เคยลิ้มรสฝีมือมารปีศาจพวกนั้นแล้ว ก็อย่าได้คิดเอาชนะละทิ้งสำนักเส้าหยาง นับประสาอันใดกับภารกิจศิษย์รุ่นเยาว์เช่นพวกเจ้าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนี้ หากเป็นงานชุมนุมปักบุปผา ก่อนหน้างานนี้ ผู้ใดก็อย่าได้คิดก่อกวน ดึกมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อน ให้ศิษย์พี่ใหญ่พวกเจ้าได้พักรักษาตัว”

เสวียนจีเองก็รู้ว่าตนกล่าวเกินไปแล้ว เดินไปถึงหน้าประตู พลันหันกลับไปกล่าวเบาๆ ว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่ใช่คิดละทิ้งสำนักเส้าหยาง ข้าแค่คิด…ทุกคนล้วนกลับไปเหมือนเมื่อก่อนได้ อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ ดังนั้น…เรื่องหลิงหลงข้าไม่ละทิ้งแน่ สำนักเส้าหยางข้าเองก็ไม่ละทิ้งแน่นอน”

ฉู่เหล่ยสีหน้าบึ้งตึง พลันรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่สุด โบกมือไม่กล่าวอันใดทั้งสิ้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง

เรื่องแอบลอบโจมตีผู้อื่นเช่นนี้ เมื่อก่อนจงหมิ่นเหยียนไม่เคยทำ วันหน้าก็ไม่แน่ว่าจะทำ แต่วันนี้เขาทำลงไปครั้งหนึ่ง

เขากับรั่วอวี้สองคนวนเวียนอยู่รอบบริเวณคุกใต้ดินอยู่นาน ในที่สุดก็รอถึงฟ้ามืด ศิษย์เกาะฝูอวี้สองคนยกกล่องข้าวมาส่ง รั่วอวี้ส่งสายตาให้เขา ทั้งสองลอบเข้าทางด้านหลัง ถือดาบไว้ในมือ ศิษย์เกาะฝูอวี้สองคนนั้นไม่ทันได้ส่งเสียงสักแอะก็หมดสติไปทันที

จงหมิ่นเหยียนถอดเสื้อผ้าพวกเขาออกพลางเร่งร้อนควักยาจรุงออกจากอกเสื้อ พ่นใส่หน้าพวกเขา รั่วอวี้เปลี่ยนชุดศิษย์ส่งอาหารอย่างรวดเร็ว พลางเร่งเขาว่า “เร็วหน่อย! ทางนั้นเหมือนมีคนมา!”

จงหมิ่นเหยียนทำเรื่องไม่ดีครั้งแรก ในความหวาดกลัวยังมีความตื่นเต้นเจือปน กว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จถือกล่องข้าวไว้ได้ก็นานไม่น้อย เดินไปยังคุกใต้ดินพร้อมกับรั่วอวี้ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ถูกศิษย์เฝ้าประตูรั้งไว้

“ป้ายคำสั่ง”

ป้ายคำสั่งคืออะไร จงหมิ่นเหยียนอึ้งไป รั่วอวี้ข้างๆ กลับนิ่งสุขุมกว่า ควักเอาป้ายเล็กๆ สีแดงชาดออกมาจากอกเสื้อส่งไป จงหมิ่นเหยียนก็ทำตาม ควักป้ายคำสั่งส่งไป ได้ยินเสียงสองคนนั้นถาม “ตอนกลางวันให้พวกเจ้าไปรายงานอาจารย์ ต้องการยาและผ้าพันแผล นำมาด้วยไหม”

รั่วอวี้พยักหน้ากล่าวว่า “นำมา ยังเป็นที่ดีที่สุดด้วยนะ”

คนผู้นั้นถอนใจกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ยิ่งดี…น่าสงสารจริง ถูกสอบสวนจนเป็นเช่นนั้น…ตามความเห็นข้านะ เห็นชัดๆ ว่าเป็นคน แต่เจ้าหุบเขาหรงเขา…”

อีกคนรีบรั้งแขนเสื้อเขา “อย่าพูดมาก ให้พวกเขาเข้าไปส่งอาหารเถอะ”

จงหมิ่นเหยียนเดินเข้าไปในคุกใต้ดินพร้อมกับรั่วอวี้ด้วยใจเต้นแรง เงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางสงบนิ่งแต่มือสั่นเทาเล็กน้อย ในใจอดเลื่อมใสไม่ได้

คุกใต้ดินเกาะฝูอวี้ชื้นและมืด น่าจะเพราะติดทะเล ยิ่งเดินลึกเข้าไป พื้นก็ยิ่งมีแต่น้ำเจิ่งนอง มาถึงสุดท้ายมีประตูเหล็กบานหนึ่ง น้ำขังดำเหม็นเน่าท่วมเท้าเขาสองคน เห็นศิษย์เฝ้าประตูเปิดประตูเหล็กออก ปล่อยพวกเขาเข้าไปส่งอาหาร จงหมิ่นเหยียนรู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเน่าลอยมากระทบจมูก ขมคอแทบจะอาเจียนออกมา

พอจ้องมองดู ด้านในมีทางเดินแคบๆ น้ำขังดำมองแล้วต้องท่วมเท้าแน่ ข้างๆ มีห้องขังที่ราวกับกรงนกพิราบ ส่วนใหญ่ว่างเปล่า

จงหมิ่นเหยียนรู้สึกว่าใจเต้นแรงมาก น้ำเจิ่งนองใต้ฝ้าเท้าเย็นเยียบและเหม็นเน่า ใจเขาราวกับจะหลุดออกจากลำคอออกมาด้านนอก ไม่รู้เป็นเพราะตกใจหรือโมโห คุกหนึ่งข้างๆ พลันมีเสียงโซ่เหล็กดังกระทบกันเบาๆ ในคุกที่เงียบนั้นพลันมีเสียงดังขึ้น จงหมิ่นเหยียนราวกับถูกเข็มแทง สะดุ้งหันกลับไป มองเห็นภาพที่ทำให้ลำคอเขาต้องครางเสียงประหลาดออกมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็ไม่อาจทรงตัวได้อีก ค่อยๆ ทรุดคุกเข่าลงตรงที่น้ำเจิ่งนอง

“พี่…พี่ใหญ่?” เขาพึมพำเรียกคนที่ถูกโซ่ตรวนหนักจำไว้ที่ข้างกำแพงผู้นั้น บางทียามนี้เขาก็ไม่อาจนับว่าเป็นคนแล้ว ทั้งร่างไม่มีก้อนเนื้อที่ยังเป็นก้อนสักชิ้น กระดูกเข่าทั้งสองขาวโพลนโผล่ออกมา เลือดสดๆ ที่อาบใบหน้ายังคงไหลหยดจับตัวแข็งเป็นก้อนใหม่อย่างรวดเร็ว

เขาขยับเล็กน้อย เงยหน้ามองมา บางทีไม่อาจเรียกว่ามอง เพราะเปลือกตาทั้งสองของเขาปิดสนิท กล่องอาหารในมือจงหมิ่นเหยียนร่วงหล่นตกลงไปในน้ำนองนั่น เขาคว้าซี่กรงเหล็กไว้แน่น สองตามีประกายไฟลุกโชน ในอกราวกับมีอะไรแผดเผาอยู่ ผิวหนังทุกตารางนิ้วรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าว

“ข้า…ข้าจะรีบช่วยท่าน!” เขาคว้าเอากุญแจออกมาจากแขนเสื้อด้วยมือสั่นเทา ลองทีจะดอก แต่มือสั่นรุนแรง กุญแจนั่นอย่างไรก็คว้าไม่อยู่ ร่วงตกลงไปในน้ำ จงหมิ่นเหยียนสบถด่าขึ้นเสียงหนึ่ง หน้าผากเกร็งจนเส้นปูดนูนออกมา ใช้มือคลำหาเปะปะ แต่อย่างไรก็หาไม่เจอ

รั่วอวี้ถอนหายใจ ก้มลงไปควานหากุญแจพวกนั้นขึ้นมา กล่าวเบาๆ ว่า “อย่าทำอย่างนี้ ใจเขาเองก็ทุกข์ทรมาน”

จงหมิ่นเหยียนหันหลังให้ ปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างแรง รั่วอวี้เปิดประตูคุกออก เขารีบพุ่งเข้าไป ชักกระบี่ออกมาฟันโซ่เต็มแรง ยามฟันลงไป มีเพียงประกายไฟแปลบปลาบ โซ่นั่นมีเพียงรอยบากสีขาวเปะปะไปมา ไม่สะเทือนสักนิด

“นี่มันโซ่ผีอะไรกัน!” เขาด่าไปฟันไป สุดท้ายเหมือนหมดแรง ตัดออกไม่ได้สักเส้น

“พี่โอวหยาง! ข้าเอง ข้ามาแล้ว! ท่าน…ท่านได้ยินไหม ข้าคือหมิ่นเหยียน! ท่านทนอีกนิด พรุ่งนี้ข้าจะยืมกระบี่เปิงอวี้มาช่วยท่าน!”

จงหมิ่นเหยียนน้ำตานองหน้า คว้าไหล่เขาไว้ หวังเพียงเขาจะตอบสนองสักนิด ที่ที่มือแตะโดนล้วนเปื้อนไปด้วยเลือด จริงๆ แล้วจงหมิ่นเหยียนเองก็รู้ เขาทนไม่ไหวแล้ว จะตายในอีกไม่ช้าแล้ว เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ยังป่วยหนัก เหตุใดอยู่ดีๆ ต้องมาถูกทรมานที่คุกใต้ดินนี่ด้วย?

พี่โอวหยางขยับลำคอ เลือดสดไหลรดจากริมฝีปากพึมพำอะไรสักอย่าง จงหมิ่นเหยียนรีบแนบหูเข้าไปใกล้ สะอื้นกล่าวว่า “ท่านว่าอะไรนะ พี่โอวหยาง…ข้าหมิ่นเหยียน…ท่านเสียงดังหน่อย…”

เขากลับเพียงแค่เปล่งเสียงเหมือนทอดถอนใจออกมา เลือดบนเปลือกตาหยดใส่หน้าจงหมิ่นเหยียน อุ่นร้อนจนทำเขาขนลุกชันไปทั้งตัว เขาอดไม่ได้อีกต่อไป ส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น

“เจ้าหุบเขาหรงทำไมทำกับท่านเช่นนี้! ข้า…ข้าจะไปขอร้องเขาเดี๋ยวนี้! ขอให้เขาปล่อยท่านไป!”

จงหมิ่นเหยียนหันหลังจะออกไป รั่วอวี้ดึงเข้าไปสุดแรง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าบ้าไปแล้ว! พวกเราแอบเข้ามานะ! หากมีคนรู้เข้า พี่โอวหยางก็ตายแน่!”

จงหมิ่นเหยียนสองตาแดงก่ำ เสียงแหบพร่า “ข้า…ข้าไม่เข้าใจ…เห็นชัดๆ ว่าเขาเป็นคน…ไม่ใช่ปีศาจ…เห็นชัดๆ ว่าเป็นคน…ผู้ใดก็มองออก…เหตุใด จึงเป็นเช่นนี้ได้…พวกเราผู้บำเพ็ญเซียนไม่ใช่ต้องดูแลชาวบ้านหรือ ไม่ให้พวกเขาต้องทนทุกข์หรือ…”

รั่วอวี้ตบบ่าเขา ทอดถอนใจเบาๆ “เรื่องนี้ซับซ้อนไป พูดยาก…นักโทษถูกชิงตัวออกไป ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ไม่ว่ากับคนในหรือคนนอก เจ้าหุบเขาหรงกับเจ้าเกาะตงฟาง…ก็มีความยากลำบากใจของพวกเขากระมัง…”

จงหมิ่นเหยียนจ้องเขาเขม็ง พึมพำกล่าวว่า “เจ้า ความหมายเจ้าก็คือ…พวกเขาคิดจะให้พี่โอวหยางเป็นแพะรับบาป ระบายความแค้นกับเขาหรือ”

รั่วอวี้หัวเราะขื่นสองเสียง ไม่กล่าวอันใด

สีหน้าจงหมิ่นเหยียนค่อยๆ ซีดเผือด เขาพลันรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งยิ่งขึ้น หนักมาก หนักจนเขาไม่อาจทรงตัวต่อไปได้ ได้แต่ค่อยๆ ย่อตัวลง ทึ้งผมตนเองแน่น สมองอึ้งอลสับสนไปหมด

รั่วอวี้มองนอกประตูเหล็กแวบหนึ่ง เร่งว่า “พวกเราอยู่นี่นานไปแล้ว ต้องรีบออกไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสเข้ามาอีกละกัน!”

“ไม่ได้…” จงหมิ่นเหยียนกล่าวเบาๆ “ข้า…ข้าไม่อาจทิ้งเขา…”

รั่วอวี้ร้อนใจยิ่ง กำลังจะเกลี้ยกล่อม ก็พลันได้ยินคนผู้นั้นกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “หมิ่นเหยียน…”

จงหมิ่นเหยียนผุดลุกขึ้นทันที คว้าไหล่พี่โอวหยางไว้แน่น เสียงสั่นพร่ากล่าวว่า “ข้าเอง…พี่โอวหยาง พี่ต้องทนอีกหน่อย…ข้า ข้าไร้สามารถจริง วันนี้ไม่มีหนทางช่วยท่านออกไป!”

พี่โอวหยางขยับปาก กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ต้องแล้ว…โอวหยาง…น้องข้า เขาไปแล้วหรือ”

จงหมิ่นเหยียนกัดฟันแน่น “เขา เขาหนีไปคนเดียว! ทิ้งท่านไว้ไม่สนใจ! ราวสุนัขสุกรโดยแท้!”

พี่โอวหยางพึมพำกล่าวว่า “เขาไปแล้ว…ก็ดี ตอนท่านแม่ยังมีชีวิตคิดถึงที่สุดก็คือเขา ไม่รู้เป็นตายร้ายดี…แม้ว่า ข้า…แต่ไรมารู้สึกเขาเปลี่ยนไปไม่น้อย ไม่เหมือน…น้องชายที่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อน แต่…เขาอย่างไรก็เป็นน้องชายแท้ๆ ข้า…”

จงหมิ่นเหยียนอดไม่ได้กล่าวว่า “พี่ใหญ่! เขาเป็นปีศาจ! เขายอมรับเอง! เขาจะเป็น…น้องชายท่านได้อย่างไร”

พี่โอวหยางอึ้งไปนาน ก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “เขา…จะเป็นปีศาจได้อย่างไร…อา สิบสองปีก่อน ครั้งนั้น…หรือว่า ครั้งนั้นเขาตายไปแล้ว ถูกปีศาจสิงร่างหรือ ดังนั้น…เขาจึงได้เปลี่ยนไปมากมายเช่นนั้น…จึงได้ออกจากบ้านมา…”

จงหมิ่นเหยียนเห็นร่างกายเขาอ่อนแอแทบไม่ไหวแล้ว ไม่ควรพูดต่อ จึงกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “พี่ใหญ่ พี่อย่าได้คิดมากเช่นนั้น พี่ทนอีกหน่อย คืนพรุ่งนี้ข้าต้องมาช่วยพี่ออกไป ตอนนี้ข้าต้องไปก่อน…พี่…พี่ดูแลตัวเองให้ดี!”

กล่าวจบเขาน้ำตาทะลักออกมาราวกับบ่อน้ำพุ กอดเขาไม่ยอมปล่อยมือ รู้สึกเพียงว่าหากตนเองจากไป สิ่งที่ผูกพันหนึ่งเดียวในโลกนี้ก็จะขาดสะบั้นตามไปด้วย กว่าเขาจะหาความรู้สึกดังญาติเจอนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พริบตาก็กำลังจะสูญเสียไป

พี่โอวหยางพึมพำขึ้นว่า “อย่าช่วยข้า หากหวังดีกับข้าจริง ก็ฆ่าข้า…ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีก…”

“พี่โอวหยาง!” จงหมิ่นเหยียนร้อนใจจนแทบลุกเป็นไฟ “อย่ากล่าวคำว่าตายง่ายๆ เช่นนี้! ข้าต้องช่วยท่านออกไปแน่!”

เขาเพียงส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้…วิธีการของอาวุโสนั่น…หมิ่นเหยียน ช่วยปลดปล่อยข้าให้พ้นความทรมาน ฆ่าข้าเถอะ…พี่…ขอร้องเจ้าสักครั้ง…”

จงหมิ่นเหยียนยังคงเกลี้ยกล่อมต่อ พลันได้ยินประตูเหล็กถูกคนเปิดออกอย่างแรง ศิษย์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกกรูกันเข้ามา พอเห็นเขาสองคนคุยกับนักโทษ ก็รีบชักกระบี่กล่าวดุดันว่า “ที่แท้ก็มีไส้ศึก! รีบไปรายงานเจ้าสำนัก!”

ด้านหลังมีคนรับคำสั่งหันหลังจะออกกไปทันที รั่วอวี้รู้ว่าเกิดเรื่องนี้แล้ว ที่ไหนก็ไม่ได้การแล้ว ยามนั้นดึงไม้หนังสติ๊กออกมาเล็งไปยังเข่าของบรรดาศิษย์เหล่านั้น ลูกเหล็กยิงออกไปเป็นสายดัง ปึก ปึก ปึก เสียงร้องดังเจ็บปวดในเวลานั้นดังระงมไปทั่ว นับว่าทำให้พวกเขาอ่อนกำลังลงแล้ว

“รีบไปเร็ว! อย่ามากความ!” รั่วอวี้รีบเข้ามาคว้าจงหมิ่นเหยียน ไม่ทันระวังศิษย์พวกนั้นที่จู่โจมเข้ามา เขาได้แต่ฝืนรับมือ พลางก็ต้องระวังว่าจะมีคนออกไปแจ้งเหตุ ต่อสู้กันจากประตูคุกไปจนถึงประตูหน้า เฝ้าประตูไว้แน่นหนาไม่ให้เล็ดออกออกไปได้แม้แต่คนเดียว

จงหมิ่นเหยียนเหงื่อท่วมใบหน้า ร้อนใจกล่าวว่า “พี่โอวหยาง! ข้า…ท่าน…”

เขาไม่อาจกล่าวปลอบใจอันใดได้อีก ครั้งนี้มาช่วยเขากลับถูกคนพบเห็น เวรยามต้องเข้มงวดกว่าเดิมสิบเท่า เจ้าหุบเขาหรงเองก็ย่อมมั่นใจว่าเขามีพรรคพวก สอบสวนก็คงยิ่งต้องโหดเ**้ยมมากขึ้น

เขากุมมือพี่โอวหยางไว้อย่างตัดไม่อาจตัดใจ รู้สึกเพียงโลกทั้งใบแตกออกเป็นสองส่วนในพริบตา รั่วอวี้ข้างๆ ก็รับมือศิษย์เฝ้าคุกอยู่ หันมาเร่งให้เขารีบไป พี่โอวหยางได้แต่มองเขาเงียบๆ กล่าวเบาๆ ว่า “สังหารข้าเสีย หมิ่นเหยียน…อย่าให้พี่ต้องทรมานทั้งเป็นเช่นนี้ต่อไป…”

เขาคำรามร้องเสียงดังเจ็บปวด ยกกระบี่ในมือ อย่างไรก็แทงไม่ลง ราวกับทุกสิ่งอย่างล้วนกลับตาลปัตรพลิกผันไปหมด เขาไม่อาจปรับตัวทนรับได้

“หมิ่นเหยียน…” คนผู้นั้นน้ำเสียงอ่อนโยน “วันหน้าเจ้าก็ต้องตัวคนเดียวอีกแล้ว พี่…เป็นห่วงมาก”

จงหมิ่นเหยียนหลับตาลง แทงกระบี่ใส่หน้าอกเขาเต็มแรง เลือดสดพุ่งใส่เขาเปื้อนไปทั้งตัว พริบตานั้นเอง รูขุมขนทั่วร่างก็หดตัว รู้สึกได้ว่าขนลุกชันไปทั้งตัว เขารู้สึกเพียงว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้าย บางทีตื่นมาก็อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาไม่ได้พาพี่โอวหยางมาเกาะฝูอวี้ และไม่เคยส่งเขาเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย

เป็นนานกว่าเขาจะลืมตาขึ้นด้วยอาการงุนงงสับสน คนที่ตัวท่วมไปด้วยเลือดและเนื้อตรงหน้า สิ้นลมไปนานแล้ว ริมฝีปากยังคงมียิ้มสงบนิ่ง เขามอบความตายอย่างไม่ทรมานให้เขา ไม่มีความเจ็บปวดทรมาน พริบตาก็ไปถึงสะพานแห่งความตายนั่น

เขาราวกับตายตามไปด้วย ร่างกายแข็งทื่อ กระบี่ในมือกุมไม่อยู่ เสียงดัง จ๋อม ตกลงไปในน้ำ

หนาว หนาวมาก เขาคิดจะห่อตัว คิดจะอุ้มร่างพี่ใหญ่แผดเสียงร้องไห้ให้ดัง เขาพูดไม่ผิด จากนี้มีเขาตัวคนเดียวแล้ว

รั่วอวี้เริ่มรับมือศิษย์พวกนั้นไม่ไหวแล้ว ได้แต่หันกลับไปร้อนใจเรียก “เจ้า…เจ้าอย่าเอาแต่เหม่อ! รีบไปเร็วเข้า!”

แต่เขากลับเหมือนหุ่นไม้ ไม่ขยับแม้แต่น้อย รั่วอวี้ไม่รู้ทำเช่นไร กำลังจะหันไปลากเขาหนีไปด้วยกัน ไม่ทันระวังนอกประตูมีคนหนึ่งเข้ามา แวบราวสายฟ้า ศิษย์เฝ้าประตูพวกนั้นยังไม่รู้ว่าพวกเขายังมีกองหนุน ไม่ทันระวัง ถูกเขาจี้สกัดล้มไปหนึ่ง พริบตาก็รับมือไปเกินครึ่ง

รั่วอวี้รีบตั้งสติมองไป เห็นอวี่ซือเฟิ่งยืนหอบอยู่ด้านหน้า กล่าวเสียงเบาว่า “ไยช้าเช่นนี้! รีบออกไปเร็ว!”

“เจ้า…” รั่วอวี้อยากกล่าวอันใด กลับกลืนกลับไป หันกลับไปมองจงหมิ่นเหยียน เขายังคงคุกเข่าไม่ขยับอยู่ข้างศพพี่โอวหยาง

“คนผู้นั้น…ทนความทรมานไม่ไหว ขอหมิ่นเหยียนปลดปล่อยเขาให้สบายโดยเร็ว” รั่วอวี้ถอนหายใจ “เขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไยต้อง…”

อวี่ซือเฟิ่งเดินเข้าไป มือหนึ่งคว้าจงหมิ่นเหยียนขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้ามัวเหม่อลอยจะมีประโยชน์อันใด รีบไปกันเร็ว! อย่าให้คนอื่นมาพบพวกเจ้าที่นี่!”

เขาเห็นจงหมิ่นเหยียนยังคงนิ่งอึ้งน้ำตานอง จึงถอนใจกล่าวว่า “ในใจเจ้าเป็นทุกข์ ก็กลับไปค่อยๆ ร้องไห้ได้! ตอนนี้รีบไป! หลิงหลงกลับมาแล้ว!”

หลิงหลงกลับมาแล้ว! ห้าพยางค์นี้ช่างรากวับฟ้าผ่ากลางวัน ทำเอาจงหมิ่นเหยียนได้สติกลับมาทันที เขายกมือปาดน้ำตา ร้อนใจกล่าวว่า “กลับมาแล้วจริงหรือ?!”

อวี่ซือเฟิ่งล้วงหากระบี่เขาขึ้นจากน้ำ ส่งให้เขาพลางกล่าวอีกว่า “เพียงแต่มีบางอย่างผิดปกติ เจ้ารีบไปดูเถอะ!”

จงหมิ่นเหยียนฝืนทนความเจ็บปวดใจ หันกลับไปมองร่างโอวหยาง ขอบตาอดน้ำตานองไม่ได้ ตัวสั่นคำนับเขาสามที พึมพำกล่าวว่า “พี่ใหญ่…เดินสู่เส้นทางปรภพโดยสวัสดิภาพ! น้องชายไม่อาจส่งท่านแล้ว!”

กล่าวจบก็กัดฟัน เก็บกระบี่คืนฝัก หันกายจากไป ไม่หันกลับมาอีก

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

Status: Ongoing

ฉู่เสวียนจี คือบุตรีคนรองของเจ้าสำนักเส้าหยาง นางเคราะห์ร้ายเกิดมาบกพร่องสัมผัสทั้งหก อีกทั้งยังมีนิสัยเกียจคร้านไม่สนใจฝึกวิชา แม้แต่ตั้งท่าต่อสู้อย่างศิษย์คนอื่นยังทำไม่ได้ 

กระนั้นสวรรค์ก็มิได้ปรานี เมื่องานชุมนุมปักบุปผาอันเป็นงานประลองยุทธ์ระหว่างห้าสำนักใกล้เข้ามา เสวียนจีโชคไม่ดีต้องรับหน้าที่เป็นหนึ่งในตัวแทนเข้าร่วมภารกิจ ‘เด็ดบุปผา’ และลงเขาไปจับมารปีศาจกลับมายังสำนัก 

ด้วยเหตุนี้นางจึงได้พบกับ อวี่ซือเฟิ่ง ศิษย์เอกมากฝีมือแห่งตำหนักหลีเจ๋อกงผู้สวมหน้ากากตลอดเวลา เขาคอยช่วยเหลือนางจากปีศาจจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และในยามคับขันนั้นเอง เสวียนจีก็เปล่งพลังสีเงินออกมาสังหารศัตรูโดยไม่รู้ตัว ช่วยให้พวกเขารอดพ้นภัยได้ในที่สุด  

ในเวลานั้นเด็กน้อยทั้งสองเพียงแต่ดีใจที่เอาชีวิตรอดจากปีศาจได้ ไม่รับรู้เลยว่าแท้จริงแล้วพลังประหลาดนี้ซุกซ่อนปริศนาที่พันผูกดวงชะตาของคนทั้งคู่มาตั้งแต่อดีตกาลยาวนานนับสิบชาติภพเอาไว้… 

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท