จิ้งจอกม่วงบอกว่าเขาปู้โจวซานอยู่ทางตะวันตกสุด ที่แห่งนั้นเคยเป็นสนามรบใหญ่ของเทพบรรพกาลต่อมาเพราะก้งกงสู้จู้หรงไม่ได้ ขณะโมโหอยู่นั้นจึงได้ชนเขาปู้โจวซานล้ม ดังนั้นน้ำจากแม่น้ำสวรรค์จึงไหลบ่าก่อเกิดหายนะทำร้ายชาวบ้านธรรมดา ในฐานะที่เคยเป็นเสาค้ำแดนสวรรค์ ทิวทัศน์ที่นั่นย่อมเป็นเทือกเขาใหญ่อลังการงดงามอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้ นอกจากนี้ที่นั่นยังมีประตูเชื่อมต่อไปยังแดนปรภพ มีเทพสององค์เฝ้าประตูทางเข้าทั้งวันคืนดังแพรบางที่ปกคลุมเขาปู้โจวซานไว้ชั้นหนึ่ง ลึกลับยากคาดเดา
“แต่ว่า…ตอนเป็นเด็กข้าก็ไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ ก็ไม่ได้เห็นสิ่งใดแปลกประหลาดนี่นา”
จิ้งจอกม่วงพูดจนเหนื่อยแล้ว จึงหมอบลงเลียน้ำชาในแก้วบนโต๊ะ
พวกเขาร่วมเดินทางมาทางตะวันตก ล้วนคิดกันว่าเหินกระบี่ตรงขึ้นเขาปู้โจวซานได้ ผู้ใดจะรู้ว่าเหินอยู่เป็นนาน จากนั้นจิ้งจอกม่วงก็ให้ลดระดับลงจากก้อนเมฆ บอกว่าจากวันนี้เป็นต้นไปต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น อย่าว่าแต่เหินกระบี่เลย แม้แต่ขี่กระเรียนเซียนหรือมังกรทองก็ไม่ได้
พวกเขาไม่รู้จักทาง แม้ว่าไม่อยากทำตาม แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น ได้แต่ฟังคำนางยอมเดินเท้าเข้าไปแต่โดยดี ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็มาถึงหมู่บ้านหนึ่งที่ชื่อว่า เก๋อเอ่อร์มู่
ที่นี่อยู่ทางตะวันตก ผู้คนและวัฒนธรรมย่อมต่างจากแผ่นดินจงหยวน ไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนสวมหมวกทรงกลมใบเล็กบนศีรษะ หมวกปักลายนกและดอกไม้ต่างๆ ด้านล่างหมวกยังมีแพรบางทิ้งตัวยาวสองฉื่อผืนหนึ่ง ไว้สำหรับบังลมที่พัดมาพร้อมทรายทั่วไปในอากาศ
เสวียนจีเห็นเสี่ยวเอ้อร์และเถ้าแก่ในร้านอาหารล้วนเป็นหญิง ศีรษะไม่เกล้ามวยผม หากถักเปียสามสี่เส้นทิ้งตัวยาวจนถึงหน้าขา พวกนางยังมีตาลึกจมูกโด่งบนใบหน้า ขับให้วงหน้างดงามอ่อนหวานต่างกับสตรีจงหยวนอย่างมาก อดพากันมองจนตาค้างไม่ได้ พวกนางสวมเสื้อกั๊กหลากสีสัน ท่อนล่างเป็นกระโปรงตัวยาวๆ ที่เอวร้อยรัดด้วยกระดิ่งเงิน ยามเดินก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งราวนกจาบฝนส่งเสียงร้อง จุ๊บๆ จิ๊บๆ กลิ่นลมหอมพัดโชย ทำให้รู้สึกถึงความงามอ่อนหวานที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนี่ง
หญิงรับใช้ในร้านก็กริยาท่าทางเปิดเผย ต้อนรับแขกจากจงหยวนเช่นพวกเขาอย่างกระตือรือร้น สักพักก็ยกชานมมา สักพักก็ยกองุ่นมา ทำเอาพวกจงหมิ่นเหยียนไม่กล้าเงยหน้ามอง ท่าทางเก้กังอย่างยิ่ง
“ที่นี่…ต่างกับพวกเราที่นั่นมากจริงๆ…” จงหมิ่นเหยียนดื่มชานมไปคำหนึ่ง กลิ่นประหลาดทำเอาติดคอแทบพ่นออกมา
จิ้งจอกม่วงเห็นท่าทางเขาก็หัวเราะขึ้นกล่าวว่า “ใต้หล้ากว้างใหญ่ยิ่ง! ดูเจ้าสิ ท่าทางเหมือนบ้านนอกเลย! คนเขาเห็นเจ้าเป็นแขกที่ไม่ค่อยได้พานพบแท้ๆ เจ้ากลับมองคนอื่นราวตัวประหลาด! ก็แค่ใส่เสื้อผ้าต่างกัน หน้าตาต่างกัน ถอดเสื้อแล้วทุกคนล้วนเหมือนกัน!”
จงหมิ่นเหยียนกว่าจะหยุดติดคอได้ก็นานไม่น้อย มาถูกนางเย้าแหย่เช่นนี้อีก อดไออย่างรุนแรงต่อไม่ได้ หน้าตาแดงก่ำไปหมด ฝืนกล่าวว่า “เจ้า…เจ้าพูด พูดบ้าอะไร!”
“โอ ข้าพูดอันใดไป ถอดเสื้อผ้าเท่านั้นเอง หรือว่าแต่ไรมาเจ้าไม่ถอดเสื้อผ้า”
จิ้งจอกม่วงยังคงเย้าแหย่เขา จงหมิ่นเหยียนหน้าแดงก่ำจนแทบระเบิด ฮึดฮัดเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “อย่าเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ พูดเรื่องเป็นการเป็นงานกัน!”
รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “ได้ ได้เวลาพูดเรื่องเป็นการเป็นงานแล้ว จิ้งจอกม่วง เหตุใดไม่อาจเหินกระบี่ตรงเข้าเขาปู้โจวซาน ข้ามองดูพื้นที่นี้เป็นแอ่ง เหมือนว่าเป็นแอ่งกระทะ ห่างจากเขาปู้โจวซานอีกตั้งไกลไม่ใช่หรือ”
หนวดขาวบนปากจิ้งจอกม่วงกระดิก ปากแหลมๆ อ้ารอเสวียนจีป้อนองุ่นให้นาง ตาปรือกล่าวว่า “บอกว่าพวกเจ้าเห็นโลกมาน้อยก็ไม่เกินไปเลยจริงๆ พวกเจ้าเคยเห็นเขาปู้โจวซานบนแผนที่มนุษย์ธรรมดาหรือ ที่นั่นเป็นสถานที่ต้องห้าม เข้าใจไหม ยังคิดเหินกระบี่เข้าไป! ยังไม่ทันบินข้ามก็ถูกเทพเฝ้าภูเขาฟาดร่วงแล้ว! ต้องการไปเขาปู้โจวซานก็ต้องเดินเท้าเข้าไปแต่โดยดี นอกจากที่เซินซูและอวี้ลวี่อยู่ที่ไม่อาจเข้าใกล้แล้ว ที่อื่นๆ ก็…ไม่ต่างอันใดกับภูเขาสูงทั่วไป”
รั่วอวี้ราวกับสนใจเซินซูและอวี้ลวี่มาก รีบถามว่า “เจ้ารู้จักเทพสององค์ที่เฝ้าประตูแดนปรภพหรือ มักได้ยินคนว่าแดนปรภพมีทางเข้าที่เขาปู้โจวซาน หากแต่ไรมาไม่รู้ว่าเป็นเช่นไรกันแน่”
จิ้งจอกม่วงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง น้ำเสียงฉอเลาะกล่าวว่า “ที่แห่งนั้นผู้ใดล้วนไม่อาจเข้าใกล้ เจ้าถามข้า ข้าถามผู้ใดเล่า! คนที่รู้จักเซินซูและอวี้ลวี่ก็ไม่บอกเจ้าหรอกว่าพวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร”
“ทำไม” ทุกคนพากันแปลกใจ
จิ้งจอกม่วง “เชอะ” ขึ้นเสียงหนึ่ง “พวกโง่เง่าเต่าตุ่น! เพราะพวกเขาล้วนตายอย่างไรเล่า! ได้เห็นเซินซูและอวี้ลวี่ ผู้ใดยังมีชีวิตต่อได้?! เป็นตายล้วนชะตะฟ้าลิขิต วิถีฟ้ามีวัฏฏะ อยู่ๆ จะแล่นไปประตูแดนปรภพทำไม ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกไม่กลัวตาย ไม่ก็คิดจะไปแดนปรภพหาคน ไม่ก็ท้าเทพสงคราม นี่ล้วนเป็นการละเมิดกฎวัฏฏะฟ้าดิน มีแต่ตายสถานเดียว!”
พูดไปพูดมา สีหน้านางเองก็สลดลง พึมพำกล่าวเบาๆ ว่า “แต่…แม้เป็นเช่นนี้ ข้าเอง…ข้าไม่กลัว หากพวกเขาสังหารข้า ข้าก็จะได้ไปแดนปรภพพบเขาแล้ว สังหารไม่ตาย ข้าก็จะช่วยเขาออกมา…”
เสวียนจีกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าหมายความว่า…มารปีศาจที่ถูกโซ่หมุดทะเลแปดทิศจองจำไว้หรือ เขาถูกขังในแดนปรภพ? เจ้า เจ้าจะไปแดนปรภพเพื่อช่วยเขา?”
มิน่านางรับปากง่ายดาย ที่แท้นางเองก็มีเป้าหมายจะมาเขาปู้โจวซานเหมือนกัน
จิ้งจอกม่วงแยกเขี้ยวถามนางดุดัน “ทำไม! ข้าไปไม่ได้หรือ?! พวกเราต่างคนต่างปฏิบัติการ ก็แค่ร่วมเดินทางเท่านั้น ถึงเขาปู้โจวซาน พวกเจ้าช่วยคนของพวกเจ้า ข้าช่วยคนของข้า ไม่เกี่ยวข้องกัน!”
“เอ่อ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้…” เสวียนจีลูบหัวนางพลางกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าไปคนเดียว อันตรายมากนะ ไม่สู้ข้าช่วยเจ้า?”
วาจากล่าวออกไป ทุกคนล้วนตกใจ จงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าพูดมั่วอะไรกัน! มารปีศาจนะ! ปล่อยออกมาก็ย่อมเป็นภัยต่อโลกมนุษย์! หากอาจารย์ได้ยินเข้า ชั่วชีวิตเจ้าคงได้อยู่แต่ในถ้ำแสงฉานอย่าได้คิดออกมาเลย!”
แต่ไรมาถ้ำแสงฉานถือเป็นจุดอ่อนของเสวียนจี พอได้ยินชื่อก็ทำเอาตัวสั่น รีบส่ายหน้าทันที “อย่างนั้น…อย่างนั้นข้าไม่เอาแล้วดีกว่า…” ต้องอยู่ถ้ำแสงฉานไปชั่วชีวิต ไม่สู้เอาดาบสังหารนางให้ตายด้วยดาบเดียวดีกว่า
จิ้งจอกม่วงยิ้มกล่าวว่า “ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าช่วย นี่เป็นเรื่องของข้าเอง ข้ามีวาจามากมายจะกล่าวกับเขา…ไม่อยากเป็นแบบพวกเจ้าสองคน วาจาในใจไปกล่าวให้ผู้อื่นฟัง ข้าต้องให้เขารู้ว่าใต้หล้านี้มีเพียงข้าที่ดีกับเขาที่สุด เป็นข้าที่ช่วยเขาออกมา ดังนั้นเขาต้องรับน้ำใจข้าตลอดไป…ไม่อาจจากข้าไปอีก”
แม้ว่าปกตินางจะมีท่าทางชอบเย้าแหย่ไร้สาระ แต่วาจาเหล่านี้พูดออกมาฟังแล้วรู้สึกอ่อนหวานพันผูกยากตัดใจ แสดงถึงความผูกพันลึกซึ้ง ทุกคนพลันนิ่งอึ้งไป จงหมิ่นเหยียนเดิมคิดจะสาดวาจาใส่นางสักสองสามวาจา อย่างไรพฤติกรรมนางในสายตาเขาก็ล้วนเป็นคนที่อยู่คนละขั้ว แต่เขากลับพูดไม่ออก ได้แต่ลูบศีรษะไปมา พลันคิดถึงหลิงหลง รู้สึกเพียงว่าหากนางเป็นมารปีศาจที่ใต้หล้าล้วนรังเกียจ ถูกขังในแดนปรภพ ตนเองก็จะทุ่มเทชีวิตบุกเข้าไปช่วยนางออกมาอย่างไม่สนใจอันใดแม้แต่น้อย คิดถึงตรงนี้ก็พลันรู้สึกเข้าใจจิ้งจอกม่วงขึ้นมา ความคุกรุ่นในใจก็ค่อยๆ มลายหายไป
พักอยู่ที่ร้านสุราเล็กๆ ครู่หนึ่ง ทุกคนก็เร่งเดินทางต่อ ในเมื่อต้องเดินเท้าเข้าไป ไม่เร่งย่อมไม่ได้
ผู้ใดจะรู้ว่าจิ้งจอกม่วงกลับพิงอ้อมกอดเสวียนจีท่าทางเกียจคร้าน กล่าวเบาๆ ว่า “รอถึงคืนนี้ ข้าดูฟ้าก่อน ค่อยหาเวลาที่เหมาะสมเดินทางต่อ ที่นั่นไม่ใช่ว่าจะไปก็ไปได้”
ทุกคนได้แต่หาโรงเตี๊ยมพักก่อน ดีที่ว่าที่นี่เป็นที่ชายขอบห่างไกล บรรยากาศและผู้คนล้วนแตกต่างจากแดนจงหยวน หนุ่มสาวได้เดินชมรอบหมู่บ้าน รู้สึกถึงความแปลกใหม่ รสชาติอาหารก็มีกลิ่นประหลาด แต่ได้เปรียบที่เป็นของใหม่น่าสนใจ มีร้านหนึ่งใช้กะละมังทองแดงใบใหญ่ใส่อาหารออกมาขาย ไม่รู้ใส่เครื่องปรุงอะไร กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล
ทั้งสี่เที่ยวไปกินไป จงหมิ่นเหยียนเห็นร้านข้างทางมีขายเครื่องประดับสตรีสีทองส่องประกาย แต่ละแบบล้วนไม่เหมือนกัน คิดถึงหลิงหลงที่แต่ไรมาก็ชอบของพวกนี้จึงอดเข้าไปเลือกดูไม่ได้ เสวียนจีสนใจแต่ของกิน ลากอวี่ซือเฟิ่งวิ่งหายตัวไปนานแล้ว รั่วอวี้มองไปสองทาง ได้แต่ตามจงหมิ่นเหยียนเลือกเครื่องประดับทั้งที่เขาไม่รู้เรื่องเครื่องประดับสตรีแม้แต่น้อย
“รั่วอวี้ก็มีสตรีในดวงใจหรือ?” จงหมิ่นเหยียนเลือกมาสองชิ้น เห็นในมือเขาคว้ากำไลหยกมองดูอย่างละเอียด อดยิ้มถามไม่ได้
รั่วอวี้มือกระตุก รีบวางกำไลลงยิ้มกล่าวว่า “ไม่มี…แต่คิดถึงน้องสาวที่บ้านเกิด ตั้งแต่มาอยู่ตำหนักหลีเจ๋อก็ไม่ได้พบนางอีก หลายปีมานี้นางน่าจะเป็นสาวแล้ว ซื้อของให้นางสักหน่อยก็ดี”
จงหมิ่นเหยียนรับห่อเครื่องประดับที่ห่อเสร็จมา ถามอีกว่า “บ้านเกิดรั่วอวี้อยู่ที่ใด ข้าได้ยินว่าเข้าตำหนักหลีเจ๋อก็เท่ากับชีวิตนี้ไม่อาจแต่งภรรยา และไม่อนุญาตให้แตะต้องสตรี…ใช่ว่าวันหน้าไม่อาจกลับบ้านเกิดหรือ”
รั่วอวี้กล่าวว่า “กฎระเบียบสำนักเช่นนี้ย่อมต้องรักษา บ้านเกิดข้า…เป็นป่าเขารกกร้างห่างไกลมาก พูดไปแล้วหมิ่นเหยียนต้องไม่เคยได้ยิน แต่ก็มีคนที่บ้านมาเยี่ยมที่ตำหนักหลีเจ๋อได้บ้าง ก็ไม่นับว่าโดดเดี่ยวเดียวดายตัวคนเดียว”
จงหมิ่นเหยียนเห็นเขาหยิบกำไลขึ้นมาดูอีก ท่าทางเหมือนตัดใจไม่ลง จึงควักเงินยัดใส่มือเถ้าแก่ ยิ้มกล่าวว่า “กำไลนั่น ข้าซื้อแล้ว!”
รั่วอวี้รีบดึงเงินคืนเขา จงหมิ่นเหยียนยิ้มดึงไว้ กล่าวว่า “เจ้าไยต้องเกรงใจกับข้า น้องสาวเจ้าก็เหมือนน้องสาวข้า ซื้อของให้นาง ไยต้องเกรงใจเหมือนเห็นข้าเป็นคนนอก”
รั่วอวี้ไม่ปฏิเสธอีก กุมกำไลไว้ในฝ่ามือ สายตาส่องประกายเหมือนกำลังครุ่นคิด แต่ไม่รู้คิดอันใด เป็นนานก่อนจะยิ้มบางกล่าวเบาๆ ว่า “หมิ่นเหยียนเป็นคนดีมีน้ำใจเสมอ กำไลนี้ข้าก็ขอขอบคุณแทนน้องสาวแล้ว”
“เกรงใจอันใด!” จงหมิ่นเหยียนโบกมือหันหน้าเดินจากไป
รั่วอวี้มองแผ่นหลังเขาเป็นนานก่อนจะค่อยๆ หย่อนกำไลลงถุง
ความอดทนจงหมิ่นเหยียนถึงที่สุดในวันที่สาม จิ้งจอกม่วงฟื้นแล้ว วาจาแรกก็คือ “มารดาย่ายายมันสิ ถึงกับกล้ากัดมารดามัน!”
พอลืมตาขึ้นมองก็พบกว่ารอบๆ มีคนมุงดู พากันจ้องมองนาง ทำเอานางตกใจแทบกระโดดขึ้น ถิงหนูรีบกดนางตัวไว้ ยิ้มกล่าวว่า “ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
จิ้งจอกม่วงเบะปาก หน้าตาเศร้าสลด กล่าวน้ำเสียงอัดอั้นว่า “นางกัดไหนไม่กัด…จะต้องมากัดตรงนี้ด้วย…โอย…ปวดมาก!”
กล่าวจบก็ก้มมอง ดังคาด ใต้หางนางมีผ้าพันแผลไว้ นางถูกปีศาจงูกัดที่บั้นท้าย ทุกคนพากันอดหัวเราะไม่ได้ เล่าเรื่องที่ช่วยถิงหนูออกมาให้ฟังรอบหนึ่ง จิ้งจอกม่วงพึงพอใจแกว่งหางไปมา ยิ้มกล่าวว่า “ช่วยออกมาแล้วก็ดี! ข้าก็วางใจแล้ว!”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “ช่วยคนออกมาแล้ว เจ้าก็ควรทำตามสัญญา พาพวกเราไปเขาปู้โจวซาน!”
จิ้งจอกม่วงถอนหายใจ “ข้าย่อมไม่ลืมเรื่องนี้ แต่พิษปีศาจงูร้ายกาจจริง มือเท้าข้าอ่อนแรงไปหมด ไม่อาจเดินทางไกลได้ ก่อนขจัดพิษที่ยังค้างอยู่ ก็จะเดินทางไม่ได้”
เขาได้ฟังก็ร้อนใจ กำลังจะโต้เถียงกับนางก็ถูกอวี่ซือเฟิ่งรั้งไว้ พลางกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “จริงๆ แล้วขอเพียงเจ้านำทางพวกเรา เรื่องอื่นไม่ต้องลำบากเจ้า ส่วนเรื่องช่วยหลิงหลง ก็ยิ่งไม่ต้องให้เจ้าออกแรง”
จิ้งจอกม่วงงึมงัมกล่าวว่า “วาจาแม้กล่าวเช่นนี้…หรือว่าข้าจะเอาแต่ยืนมองอยู่เฉยได้กัน?”
ทุกคนอยู่ร่วมกับนางมาระยะหนึ่ง กำแพงที่เคยกางกั้นก็เริ่มหายไป รู้ดีว่านางเป็นพวกปากร้ายใจดี แม้ว่านางเป็นปีศาจ นางแปลงกายเป็นจิ้งจอกร่วมเดินทางมากับพวกเขา แต่ในใจพวกเขา นางเริ่มค่อยๆ กลายเป็นดังสหายแล้ว ฟังนางกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็ล้วนรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง
จงหมิ่นเหยียนขยี้จมูก กล่าวว่า “อย่างนั้น…เจ้าก็ดูเฉยๆ ละกัน! เรื่องนี้เร่งด่วนจริง ไม่อาจรอช้า ได้แต่ลำบากเจ้าแล้ว”
จิ้งจอกม่วงกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็พยักหน้า “ตกลง เช่นนั้นพวกเจ้าไปเก็บของ พวกเราออกเดินทางได้ทันที”
ทุกคนฮือกันออกไปอย่างดีใจ ถิงหนูลูบขนจิ้งจอกม่วงกล่าวอ่อนโยนว่า “ไม่เป็นไรจริงหรือ ถึงเขาปู้โจวซานก็อย่าฝืน”
จิ้งจอกม่วงพลันหน้าตาจริงจังกล่าวว่า “จริงๆ แล้วข้าก็ร้อนใจอยากไป แม้ว่าเจ้าไม่ยอมบอกข้าสักที แต่ตอนนี้ข้าเดาออกแล้ว”
ถิงหนูอดอึ้งไปไม่ได้ จิ้งจอกม่วงเสียงดังกล่าวว่า “เขาถูกขังอยู่ที่แดนปรภพใช่ไหม?! เจ้ารู้อยู่ แต่กลับไม่บอกข้า! ไปครั้งนี้ข้าจะช่วยเขาออกมา!”
ถิงหนูเงียบอยู่นานก่อนจะกล่าวว่า “อย่าเหลวไหล เจ้าไปทำอะไรได้? ปีศาจใหญ่ร้ายกาจกว่าเจ้าตั้งเท่าไรก็ล้วนช่วยเขาออกมาไม่ได้ เจ้าช่วยอย่างไร? อย่าว่าแต่ไปแดนปรภพ เกรงแต่ว่าแม้แต่ประตูใหญ่ก็เข้าใกล้ไม่ได้ ถูกเซินซูและอวี้ลวี่สังหารทิ้งแล้ว”
จิ้งจอกม่วงร้อนใจกล่าวว่า “ข้าจะไปช่วย! ปีศาจพวกนั้นช่วยออกมาไม่ได้เพราะพวกเขาไม่จริงใจ! ใต้หล้ายังมีคนที่จริงใจกับเขามากกว่าข้าอีกหรือ? แม้ต้องตายแหลกสลายเป็นผุยผง ข้าก็ต้องช่วยเขาออกมาให้ได้!”
ถิงหนูอดเงียบลงไม่ได้ เป็นนานก่อนจะเข็นเก้าอี้ออกจากห้องไป พลางกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าไม่ใช่ปีศาจน้อยไร้เดียงสาเช่นเมื่อก่อนแล้ว ตนเองก็ความคิดเป็นของตนเอง ข้าไม่อาจรั้งไว้ แต่ผลที่เกิดขึ้นทุกสิ่ง เจ้าต้องรับเอง”
กล่าวจบก็ปิดประตูลง
เนื่องจากจิ้งจอกม่วงยังมีพิษหลงเหลือในร่าง มือเท้าเคลื่อนไหวไม่สะดวก เสวียนจีจึงยัดนางไว้ในอกเสื้อ ให้โผล่ศีรษะออกมานำทางให้พวกนาง
ถิงหนูเข็นรถเข็นออกมาส่งพวกเขาจนถึงพื้นที่ป่านอกเมือง มองไปไกลๆ เห็นคนนั่งอยู่ในดงต้นไม้ พอเข้าไปใกล้จึงได้กลิ่นเหล้าหึ่งโชยมา อวี่ซือเฟิ่งทั้งตกใจและดีใจรีบวิ่งเข้าไป ดังคาด ได้ยินเสียงคนผู้นั้นหัวเราะดังลั่น กระโดดผึงขึ้นมา ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ เป็นหลิ่วอี้ฮวน
“พี่หลิ่ว! ท่าน…” เปลี่ยนใจจะเดินทางไปเขาปู้โจวซานกับพวกเขา? อวี่ซือเฟิ่งมองเขาเต็มไปด้วยความหวัง
หลิ่วอี้ฮวนโซซัดโซเซเข้ามาใกล้ ยันไหล่เขาไว้ พยายามยกมือโบกไปมา หัวเราะเบาๆ กล่าวว่า “ข้ามาส่งเฟิ่งหวงน้อย…ไปครั้งนี้…อันตรายมาก ระวังให้มาก…ข้ายังรอเจ้ากลับเมืองชิ่งหยางเป็นเพื่อนดื่มสุรากับข้านะ!”
อวี่ซือเฟิ่งอยากร้องไห้ก็ไม่ออก อยากหัวเราะก็ไม่ได้ ได้แต่พยักหน้า เขาคว้าคอตนเองไว้กระซิบข้างหูแผ่วเบาว่า “มีอันใดไม่ถูกต้องก็รีบกลับมา อย่าเอาแต่คิดต่อสู้เด็ดขาด เข้าใจไหม”
อวี่ซือเฟิ่งจ้องมองเขา ในใจพลันวูบไหว เขากลับหัวเราะดัง ตบบ่าเขาก่อนจะหันหลังจากไป
“จิ้งจอกน้อย~~~จิ้งจอกน้อยล่ะ” หลิ่วอี้ฮวนตะโกนราวกับเรียกวิญญาณ หันกลับมามอง ในที่สุดก็เห็นจิ้งจอกม่วงขดตัวอยู่ในอ้อมกอดเสวียนจี ยามนั้นเขายิ้มฟันขาว ส่งยิ้มประหลาดเดินเข้ามา
“เจ้าทำอะไร” จิ้งจอกม่วงถลึงตาใส่เขาอย่างระวังตัว รู้สึกเพียงว่าเขายื่นมือมาจะดึงนางออกมา กลิ่นเหล้าโชยมาแตะจมูก ทำเอานางส่งเสียงร้องดังลั่น
“ให้ข้าดูเจ้าหน่อย…วันหน้ายากจะได้เห็นแล้ว!” หลิ่วอี้ฮวนกล่าวพลันจูบไปบนใบหน้านางที่มีขนปุกปุยทีหนึ่ง ทำนางตกใจตัวแข็งค้าง
“อืม เด็กผู้หญิงก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี” เขาปล่อยมือ ปล่อยจิ้งจอกม่วงตัวแข็งค้างคืนให้เสวียนจี ยิ้มให้นาง “อย่างไรก็ต้องช่วยคนกลับมาได้ อย่าใจร้อนไป”
เสวียนจีพยักหน้างุนงง เห็นเขาเดินไปทางจงหมิ่นเหยียน จงหมิ่นเหยียนแต่ไรมาชักสีหน้าใส่เขาตลอด เห็นเขาเดินส่ายอาดๆ มา ก็พลันนึกรังเกียจคิดจะจากไป ผู้ใดจะรู้ว่าเขาแค่เงยหน้ามองหัวเราะเยียบเย็นไม่กล่าวอันใด จากนั้นก็ไปเวียนวนอยู่ทางรั่วอวี้
“อืม อย่างไรก็เป็นเจ้าที่ฉลาด” หลิ่วอี้ฮวนตบบ่ารั่วอวี้ ยิ้มน่าประหลาดอยู่บ้าง “คนฉลาดไม่อาจทำเรื่องชั่วร้ายนะ…”
รั่วอวี้ยิ้มบาง ประสานมือกล่าวว่า “พี่หลิ่วกล่าวหนักไปแล้ว”
“เจ้าพอได้หรือยังนี่…”จงหมิ่นเหยียนส่งเสียงรำคาญ หลิ่วอี้ฮวนถลึงตาใส่ เสียงดังกล่าวว่า “ขี้เกียจจะพูดกับไอ้คนโง่เง่าอย่างเจ้าแล้ว! ไอ้คนโง่เง่าที่น่าสงสารไม่ใช่เพราะเขาโง่เง่า แต่เพราะตนเองโง่เง่าเห็นๆ อยู่ แต่กลับยังคิดว่าตนเองฉลาด! เจ้ามันไอ้งั่ง!”
ในยามนั้นจงหมิ่นเหยียนโมโหสุดขีดจนหน้าแดงคิดจะโต้เถียงกับเขา หลิ่วอี้ฮวนกลับโบกมือ หันกายเข็นถิงหนูจากไป ก่อนหันมากล่าวว่า “รักษาตนเองให้ดี! มีเวลากลับมาเมืองชิ่งหยาง ข้าจะเลี้ยงสุราบุปผาพวกเจ้า”
“คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจจริง!” จงหมิ่นเหยียนโมโหจนเหินกระบี่ไปก่อน รั่วอวี้ยิ้มกล่าวว่า “พี่หลิ่วเองก็หวังดี หมิ่นเหยียนอย่าเคืองไป” กล่าวจบก็เหินตามไป
ที่พื้นเหลือเพียงเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งจ้องหน้ากัน จิ้งจอกม่วงแสร้งทำหลับอย่างรู้งาน ไม่ส่งเสียงสักคำ เป็นนานอวี่ซือเฟิ่งจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “ไปกันเถอะ” เสวียนจีรีบเข้าไปดึงเสื้อเขาไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “เดี๋ยว! ซือเฟิ่ง…เจ้า…เจ้า ครั้งก่อนที่เจ้าพูดกับข้า ข้ายังไม่เข้าใจ!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่กล่าวอันใด นางกล่าวอีกว่า “ข้า…ข้าไม่คิดแยกจากเจ้า! แต่เหตุใดเจ้าจึงพูดถึง ‘เด็ดขาด’ อะไรพวกนั้นด้วย…ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าหมายความอย่างไร! ซือเฟิ่ง เจ้าตัดสินใจกลับตำหนักหลีเจ๋อหรือ? วันหน้าพวกเราจะไม่ได้พบกันอีกหรือ”
คิดถึงวันหน้าเขาต้องกลับตำหนักหลีเจ๋อ บางทีอาจจะไม่ได้พบหน้ากันแปดปีสิบปี ในใจนางพลันรู้สึกปวดแปลบอย่างหาที่สุดมิได้ หากเป็นผู้อื่นบีบคั้นนาง นางย่อมไม่ลังเลที่จะก้าวออกมา แย่งชิงเขากลับมา ไม่ว่าต้องเผชิญอันตรายอันใด นางก็ไม่สน แต่หากเป็นเขาต้องการไปเองเล่า? จะทำอย่างไรจึงจะรั้งเขาไว้ได้? อย่างไร…จึงจะทำให้เขารู้ว่าตนเองหวังให้เขาอยู่ต่อเพียงใด?
ขนตาอวี่ซือเฟิ่งไหวเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “คนที่ไม่เข้าใจแท้จริง ควรเป็นข้า”
เสวียนจีมองเขาหันกายจะจากไป อดเข้าไปกอดเขาเบื้องหน้าไว้ไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “อย่าไป! เจ้า…เจ้าฟังข้ากล่าวให้จบก่อน!”
จิ้งจอกม่วงถูกเขาสองคนบีบจนแทบเป็นลม รีบส่งเสียงร้องดังลั่นว่า “ปล่อยข้าลงไปก่อนได้ไหม พวกเจ้าสองคนจะคุยเรื่องรักเรื่องใคร่อันใด หรือว่าต้องหาคนที่สามมาฟังด้วย?!”
ทั้งสองพากันตะลึงงัน เห็นจิ้งจอกม่วงตะกายออกจากอ้อมแขนนางอย่างยากลำบาก เดินเขยกสองสามก้าวไปหมอบลงอยู่ข้างพุ่มไม้หนึ่ง หันกลับมากล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “จะไปกันตอนไหน…ค่อยมาเรียกข้า ตอนนี้…พวกเจ้าตามสบาย คิดว่าข้าไม่อยู่ก็แล้วกัน”
ถูกนางขัดเช่นนี้ ทั้งสองยังมีสิ่งใดกล่าวได้อีก อึ้งไปครู่หนึ่ง เสวียนจีพลันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างที่สุด ขอบตาร้อนผ่าว วาจาที่อัดแน่นภายในไม่รู้ควรกล่าวอย่างไร ได้แต่ก้มลงคว้าจิ้งจอกม่วงเดินจากไป
อวี่ซือเฟิ่งพลันส่งเสียงดังขึ้นด้านหลังแผ่วเบาว่า “ได้ ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่ต่อ”
นางรีบหันหน้ากลับมาทันที เห็นสีหน้าจริงจังของเขา กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขอเพียงข้าอยู่ต่อ วันหน้าก็จะไม่ไปอีกแล้ว เจ้าอย่าได้นึกเสียใจภายหลัง”
เสวียนจีจ้องมองนิ่งอึ้ง เขาเดินเข้ามา ยกมือเชยคางนางขึ้น สองตาจ้องมองนาง กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แม้เจ้าจะนึกเสียใจภายหลัง ข้าก็ไม่ไปไหนแล้ว”
เสวียนจีค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา สองตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ใบหน้าแย้มยิ้มราวบุปผาบาน คนเรามักจะบรรยายสตรีมีคราบน้ำตานองหน้าว่าราวกับดอกลูกแพรหลังฝน ตอนนี้เขาจึงเข้าใจว่าเป็นความงามระดับใด พลันนิ่งอึ้งไป
“ผู้ใด ผู้ใดว่าข้าจะนึกเสียใจภายหลัง! ข้าดีใจแทบไม่ทันต่างหาก!” นางปาดน้ำตา คว้ามือเขาไว้อย่างเอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อย ร้อนใจกล่าวว่า “ไม่ไปแล้วจริงๆ หรือ ไม่หลอกใช่ไหม!”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบาง เคาะหน้าผากนางเบาๆ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่หลอก ไม่ไปเด็ดขาด”
ยามนี้เสวียนจีจึงได้รู้สึกพอใจ แทบอยากจะบินไปเขาปู้โจวซานช่วยหลิงหลงกลับมาทันที จากนี้ก็จะได้โลดแล่นอิสระเสรี ไม่มีเรื่องกังวลใจอันใดอีก