อวี่ซือเฟิ่งราวกับไร้เรี่ยวแรง แม้แต่กระบี่ก็กุมไม่มั่น เห็นชัดว่าไม่อาจไล่ตามไปได้อีก ดังนั้นทุกคนจึงหารือกันว่าให้เหลือคนหนึ่งไว้ดูแลเขาที่นี่ ที่เหลือไปด้านหน้าเขาไห่หวั่นค้นหาคนบงการนกฉวีหรู
อวี่ซือเฟิ่งเหนื่อยจนพูดไม่ออก จงหมิ่นเหยียนจึงกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มต่อ เขาวางท่าทางเป็นการเป็นงานสั่งการว่า “เสวียนจี เจ้าอยู่ดูแลซือเฟิ่ง หากเขามีแรงขยับตัวได้ก็ค่อยเหินไปช่วยพวกเรา หรูอี้ พวกเราวางแผนกันก่อน ค่อยปฏิบัติการตามแผน”
หรูอี้พยักหน้า หลิงหลงตรงด้านข้างไม่แสดงอาการอ่อนแอ พูดแทรกขึ้นว่า “ข้าต้องเป็นคนแรก! ไปดูสักหน่อยว่าผู้ใดทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ได้!”
จงหมิ่นเหยียนมองนางแวบหนึ่ง ในใจลอบถอนหายใจ สีหน้าแย้มยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงไม่อาจอยู่คนแรก หากเกิดเหตุขึ้นมา ข้าจะ…ข้าจะบอกอาจารย์อย่างไร”
เด็กหญิงแล้วอย่างไร! หลิงหลงแค้นใจที่สุดหากถูกคนดูแคลน ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดก็ใช้ความแตกต่างระหว่างชายหญิงมาจัดให้นางเป็นพวกอ่อนแอ กำลังคิดจะโต้แย้งเขา พลันเห็นสายตาอ่อนโยนยอมลงให้ของเขา ไฟโกรธไหนเลยจะยังปะทุออกมาได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเบิกบานทันที อึกอักพักหนึ่ง สุดท้ายก็ยอมรับเงียบๆ
ลู่เยียนหรานข้างๆ แสร้งทำเป็นใบ้ พลันส่งเสียงร้องทอดถอนใจทำเสียงอ่อนกล่าวว่า “ข้าอยู่ดูแลซือเฟิ่งแล้วกัน…เมื่อครู่เหมือนว่าเสียพลังไป รู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่สักหน่อย…”
หลิงหลงค้อนใส่นาง ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “นี่ก็เสียพลังแล้วรึ พลังวัตรเกาะฝูอวี้แค่นี้หรือ”
ลู่เยียนหรานเดิมคิดกล่าวอ้างเพื่อจะได้อยู่กับอวี่ซือเฟิ่งสองต่อสอง ผู้ใดจะรู้ว่าถูกหลิงหลงเยาะเย้ยทันที จุดด้อยอื่นนางไม่ถือสา มีเพียงไม่อาจทนผู้อื่นกล่าวไม่ดีกับเกาะฝูอวี้ จึงหน้าบึ้งขึ้นทันที “ข้าไม่เป็นไร! ไปก็ไป! ครั้งนี้จะให้เจ้าได้เห็นกับตาว่าอะไรเรียกว่าพลังกระบี่แท้จริง!” แฝงความหมายว่าเมื่อครู่ตอนต่อสู้กับนาง ยังไม่ได้ใช้พลังแท้จริง
เจ้าขี้โม้ไปเถอะ! หลิงหลงขี้เกียจโต้เถียงกับนาง ค้อนขวับใส่อีกที
บางครั้งการโต้เถียงระหว่างผู้หญิง ยิ่งเถียงก็ยิ่งเ**้ยมโหดไร้น้ำใจ จงหมิ่นเหยียนกับหรูอี้สบตากัน ในใจพากันรู้สึกว่าควรเป็นเช่นนี้
“พวกเราไปก่อนนะ เสวียนจี เจ้าดูแลซือเฟิ่งดีๆ หากไม่มีเหตุเหนือความคาดหมายอันใด พวกเราก็จะเร่งกลับมาราวยามจื่อ แต่หากเกิดเหตุผิดคาด พวกเราก็จะส่งสัญญาณ เห็นสัญญาณ…เจ้าก็พาซือเฟิ่งรีบกลับไปบ้านตระกูลจ้าว อย่าได้ฝืนตามไปรู้ไหม”
จงหมิ่นเหยียนสั่งเสียความยาว ไม่ว่าเสวียนจีจะส่ายหน้าหรือพยักหน้าอย่างไรเขาคิดว่าตนคิดไม่ผิดแน่นอน นางฟังแล้วก็ลืมแน่
ทั้งสี่จึงได้เหินกระบี่ไปยังด้านหน้าเขา
ปล่อยอวี่ซือเฟิ่งนอนสะลึมสะลือบนพื้น ยังมีเสวียนจีนั่งกุมบาดแผลเหม่อลอย
ยามนี้ดึกมากแล้ว แสงจันทร์กระจ่างสาดส่องลอดผ่านกิ่งต้นไม้สูงลงมาทอแสงสีเงินทั่วบริเวณ บนพื้นมีนกฉวีหรูที่ถูกฉีกเป็นชิ้นกระจัดกระจาย ยังมีเลือดจับตัวแข็งอยู่ทั่วบริเวณผืนกว้าง จับตัวเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ อย่างรวดเร็ว
ภาพนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกสบายใจนัก เสวียนจีรู้สึกเหน็บหนาว เมื่อครู่พลังที่แล่นปรี่ขึ้นมารวมกันอยู่ที่หน้าอก ยามนี้เหมือนว่าหายวับไปไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว นางรู้สึกงุนงงสับสน เอื้อมมือออกไปกระทบแสงจันทร์ นิ้วมือขาวซีด ไม่มีแสงประกายสีเงินแบบเมื่อครู่อีกแล้ว
นางจำได้ว่าตอนเรียนวิชาเซียนในตอนที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด กำลังดีที่สุด ก็เรียกมังกรเพลิงออกมาได้แค่สามสี่สายเท่านั้น นั่นก็เรียกว่าเต็มที่แล้ว และมักต้องพักผ่อนสองถึงสามวันจึงจะฟื้นคืนกำลัง เมื่อครู่…นางเรียกมังกรเพลิงตัวใหญ่มหึมาออกมาได้สิบกว่าสายจริงหรือ นั่นไม่ใช่ความฝันกระมัง
หากอาจารย์รู้ว่าวันนี้นางแสดงพลังได้แก่กล้าเช่นนี้ ก็คงดีใจกระโดดตัวลอย เรียกได้ว่านางได้แสดงความสามารถแล้ว แม้ยังไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วนางแสดงความสามารถเช่นนี้ไปได้อย่างไร
คิดถึงตรงนี้ นางอดยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยไม่ได้
“เจ้ากำลังยิ้ม?” อวี่ซือเฟิ่งที่นอนอยู่บนพื้นพลันเอ่ยขึ้น
เสวียนจีตะลึงงัน รีบเขยิบเข้าไปใกล้ถามว่า “เจ้าฟื้นแล้ว? ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ขยับตัวได้ไหม”
เขาส่ายหน้า พลันจามออกมา ถอนใจกล่าวว่า “ข้ารู้สึกแค่ว่าหนาวมาก…”
เสวียนจีถึงได้รู้สึกว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อตัวนอก ตนเองถึงกับลืมดูแล ปล่อยให้เขานอนกับพื้นเช่นนี้ได้ นางรู้สึกละอายใจยิ่ง รีบเข้าไปคลุมเสื้อตัวนอกที่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนให้เขา พลางกุมมือที่เย็นเยียบราวน้ำแข็งของเขาเอาไว้ ถ่ายทอดพลังวัตรตนที่มีไม่มากนักให้เขาสักหน่อย
“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วยัง” นางถาม
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบาง หยอกขึ้นว่า “เจ้ายังคงเหมือนเมื่อก่อนเลย…หากไม่มีคนบอกเจ้า เจ้าก็จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด”
หมายความว่าอย่างไร นางงุนงง เบิกตากลมโตจ้องมองเขา
เขานอนอยู่กับพื้นเช่นนี้ เงยหน้ามองกรอบใบหน้างดงามของนาง ผิวดรุณีน้อยมีน้ำมีนวลใต้แสงจันทร์ราวกับหยกมันแพะ ขาวละเอียด นางไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งสองเหมือนเมื่อสี่ปีก่อนไม่มีผิด แต่ไรมาก็แยกไม่ออก แท้จริงแล้วนางจ้องมองเจ้าอยู่หรือเพียงแค่กำลังเหม่อลอย
“เจ้า…” เขาพลันเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว ถึงกับมีกระแสดึงดูดกระแสหนึ่ง “เจ้าไม่อยากดูหน้าตาข้าตอนไม่สวมหน้ากากหรือ”
นางตะลึงงัน ตามมาด้วยพยักหน้าหงึกๆ “ข้าอยากดู ได้ไหม”
น้ำเสียงเขาอยู่ๆ เหมือนกลั้นหัวเราะ “ตอนนี้…ไม่ได้”
คืนนี้ซือเฟิ่งแปลกมาก…เสวียนจีกัดเล็บท่าทางงุนงง มองเขานิ่งอึ้ง พลันไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใด
“จริงๆ แล้ว เจ้าอาศัยตอนที่ข้าขยับไม่ได้ถอดออก ข้าเองก็ย่อมไม่รู้ เหตุใดเมื่อครู่ไม่ถอดเล่า”
นั่นเป็นเพราะ…
“ข้า…ข้ากลัวเจ้าโมโห” แท้จริงแล้วนางไม่คิดจะถอดหน้ากากเขาแม้แต่น้อย
เขายิ้มเฝื่อนในใจ “ข้าเคยโมโหใส่เจ้าหรือ”
เสวียนจีรีบทำตามทันที “คือว่า…ข้าถอดแล้ว!” กล่าวจบก็ยกมือจะถอดหน้ากาก
“อย่าถอด” เขากล่าว
ให้ถอดหรือไม่ให้ถอดกันแน่? เสวียนจีถูกเขาทำจนงงไปหมดแล้ว วันนี้ท่าทางเขาประหลาดมาก! หรือว่าถูกนกฉวีหรูกระแทกสมองเสื่อมไปแล้ว เดี๋ยวอย่างนี้ เดี๋ยวอย่างนั้น
อวี่ซือเฟิ่งหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก เป็นนานกว่าจะกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้านี่เป็นเด็กโง่จริง”
ใช่ นางบางครั้งก็เป็นเด็กโง่…เสวียนจีมองเขาไร้วาจา ทั้งสองพลันไร้วาจา
“เสวียนจี” อยู่ๆ เขาก็ขยับตัว ศีรษะชนเข้ากับเข่านาง ถูไถไปมาเบาๆ ราวกับแมวน้อยตัวใหญ่ที่บาดเจ็บ “เหตุใดเจ้า…ลืมข้าได้?”
นางลำคอตีบตัน คืนวันนี้เรื่องที่ทำให้นางไร้วาจาจะกล่าวนั้นมากเกินไปแล้ว นางเองไม่รู้จะรับมือความซับซ้อนที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร หนุ่มน้อยที่นอนอยู่ตรงหน้า เห็นอยู่ว่าคุ้นเคยมาก แต่เหตุใดจึงรู้สึกว่าเขาแปลกหน้าเช่นนี้ ถึงกับมีความรู้สึกเศร้า
“ข้า วันหน้าย่อมไม่ลืมเจ้าอีก” นางได้แต่ให้คำมั่น
“ยังมีวันหน้าหรือ” เขาไม่รู้ว่าถามนางหรือถามตนเอง “ฉู่เสวียนจี เจ้าไม่มีใครในใจจริงหรือ”
นางยังจะกล่าวอันใดได้อีกเล่า
เขาพลันกุมมือนางแน่น แน่นอยู่อย่างนั้น ถึงกับทำให้นางรู้สึกเจ็บ เสวียนจีมองเขาอย่างตกใจ เขาเงียบไปเป็นนาน ก่อนจะกระซิบว่า “อย่าได้ลืมข้าอีก หากเจ้า…ข้า…”
นางพลันรู้สึกตนเองทำผิดไปเรื่องหนึ่ง ผิดใหญ่หลวง แม้ว่าไม่เข้าใจว่าเหตุใด แต่นางราวกับเกือบสูญเสียเขาไป นางคิดถึงบ่ายวันนั้นเมื่อสี่ปีก่อน เขาใช้สายตาเช่นนั้นมองนาง จับจ้องนาง ในใจมีเพียงนางคนเดียว นางกลับลืมดวงตาคู่นั่นลงได้อย่างง่ายดาย
ในใจนางอดสั่นไหวไม่ได้ วาจามากมายไม่รู้กล่าวอันใด คลื่นอารมณ์บอกไม่ถูก นางถึงกับทำผิดกับชายหนุ่มที่มองนางอยู่ผู้นี้
“เจ้า…ข้า…” นางพึมพำ ไม่รู้กล่าวอันใด
“เจ้าต้องการกล่าวอันใด” ดวงตาเขาใต้หน้ากากเปล่งประกายประหลาด ราวกับดวงดาวสองดวง
นางเม้มปาก กล่าวเบาๆ ว่า “ข้า ข้าไม่รู้…”
เขาเงียบไปเป็นนาน พลันกระซิบว่า “ไม่กล่าวเรื่องพวกนี้แล้ว เจ้าประคองข้าขึ้นนั่งหน่อยได้ไหม”
เสวียนจีรีบประคองหลังเขาเบาๆ ประคองเขาขึ้นพิงต้นไม้ เห็นร่างเขาอ่อนแรงถึงกับแม้แต่แรงจะนั่งก็ไม่มี อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “เจ้า…เมื่อครู่เต้นรำอันใด” ราวกับยังคิดถึงเคล็ดวิชาประหลาดเมื่อครู่ ซือเฟิ่งมักจะรู้อะไรมากมาย แต่ไรมานางไม่เคยได้ยินว่ามีอันใดไม่รู้
เขาหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่บอกเจ้า”
คนไม่ดี นางมองเขาอย่างอัดอั้น
อวี่ซือเฟิ่งราวกับอารมณ์ดีขึ้นมาก เงยหน้าพิงต้นไม้ ค่อยๆ ผิวปากขึ้นหลายเสียง ฟังแล้วราวกับเพลงพื้นบ้านทางฝั่งพวกเขา ท่วงทำนองช้าเร็วประสาน ผิวปากได้ไม่นาน เสี่ยวอิ๋นฮวาในแขนเสื้อเขาก็ทนไม่ไหว มุดออกมาลงไปเริงระบำวนเวียนส่องแสงประกายสีเงิน เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์
เสวียนจีเห็นมันกระโดดโลดเต้นงดงามก็ลืมความประหลาดเมื่อครู่ไปหมดสิ้น อดปรบมือยินดีไม่ได้
อวี่ซือเฟิ่งมองรอยยิ้มนางเงียบๆ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ
“เด็กโง่ เจ้าเป็นเด็กโง่จริง…”
เขากล่าวพึมพำ กุมมือนางแน่น
อวี่ซือเฟิ่งด้านหน้าทนฝืนยืนทรงตัวอย่างยากลำบาก พลันรู้สึกด้านหลังมีกระแสลมอุ่นพัดมา เข้าปะทะกับกลิ่นคาวที่พัดมาด้านหน้า พัดผมยาวของเขาม้วนสูงขึ้น
เขารีบหันกลับไป เห็นเสวียนจีหลับตาผนึกกำลังว่าคาถา ด้านหลังนางมีมังกรเพลิงหลายสิบสายค่อยๆ ปรากฏขึ้น แต่ละสายล้วนกางเล็บ หน้าตาดุร้าย เขาอดตะลึงไม่ได้ สี่ปีมานี้นางเรียนรู้มาไม่น้อย กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “จัดการทางตะวันออกก่อน”
มือขวานางหมุนเล็กน้อย มังกรเพลิงด้านหลังคำรามดังกึกก้องก่อนจะพุ่งออกมา ราวกับเพียงแค่พริบตา นกฉวีหรูที่รวมกันอยู่ทางตะวันออกถูกเผาเป็นเถ้า
“ทางเหนือ” เขากล่าว
มังกรเพลิงตัวใหญ่คำรามดังหันหัวไป อ้าปากกว้างกลืนกินนกฉวีหรูที่กำลังบินหนีแตกตื่นไปในคำเดียว ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
“ทางตะวันตกก็เป็นของเจ้า” เขายิ้มโยนกระบี่ในมือทิ้ง ควักยันต์สองสามแผ่นออกมาจากแขนเสื้อ
เหล่ามังกรเพลิงกลืนกินนกฉวีหรูทางตะวันออก ตะวันตก และทางเหนือ ราวกับยังไม่รู้สึกพอ มันคำรามดังกึกก้องวนรอบสี่ทิศ ไล่ล่านกฉวีหรูที่พลัดฝูง พลันกลางท้องฟ้าก็มีธนูน้ำแข็งตกลงมานับไม่ถ้วน ทุกก้านธนูหนาราวขนวัว ขนาดยาวราวนิ้วชี้ หนาแน่นไปทั่ว ยิงบรรดานกฉวีหรูที่บินวนอยู่ทางใต้พวกนั้นร่วงลงพื้นเกือบหมด
ทางใต้ย่อมเป็นหน้าที่เขา
นกฉวีหรูที่เหลือเล็ดรอดไม่กล้าบินขึ้นอีกแล้ว เสียงกระพือปีกดังเงียบลง บินหนีไปรวมตัวกันทางเหนือคิดหลบหนี อวี่ซือเฟิ่งเก็บพลังคืนมา ร้อนใจกล่าวว่า “รีบตามไป! มีคนควบคุมพวกมันจริงด้วย!”
เสวียนจียังคงคิดตามไม่ทันอยู่บ้าง มองไปรอบทิศ ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่ามังกรเพลิงตนเองมีอานุภาพร้ายแรงเช่นนั้น พริบตาถึงกับเผานกประหลาดน่ารังเกียจพวกนั้นไหม้เป็นจุณ
อวี่ซือเฟิ่งตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง ไม่มีคนตอบรับ พอหันกลับไปมอง เห็นพวกหลิงหลงยังต่อสู้กันเองอยู่อีกทาง จงหมิ่นเหยียนกับหรูอี้ช่วยกันเข้าไปรั้งไว้พัลวัน เห็นชัดว่าชุลมุนวุ่นวายมาก
เขาอุทานในใจ ตามมาด้วยยิงลูกเหล็กจากแขนเสื้อออกไป ใช้แรงยิงใส่กระบี่สองเด็กสาวที่กำลังฟาดฟันกันอยู่ให้หลุดจากกัน หลิงหลงรู้สึกเพียงว่ามีแรงกระแทกกระบี่ เจ็บแปลบที่ง่ามนิ้วมือ อดโมโหไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมาอวี่ซือเฟิ่ง ร้องตะโกน “เจ้าทำอะไร?! ถึงกับช่วยหญิงชั่วร้ายนี่?!”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน รอเรื่องนี้แก้ไขแล้ว ค่อยปล่อยพวกเจ้ามีเรื่องกันตามสบาย”
ลู่เยียนหรานนึกเสียใจภายหลังที่หาเรื่องหลิงหลง เมื่อครู่สู้กับนางเหงื่อออกท่วมตัว ได้ยินอวี่ซือเฟิ่งกล่าวเช่นนี้ก็รีบพยักหน้ารับ อัดอั้นกล่าวว่า “ใช่ ข้าเองก็บอกเสมอว่าต้องเห็นส่วนรวมเป็นสำคัญ แต่แม่นางหลิงหลง…”
“เจ้ายังพูดอีก!” หลิงหลงจะลงมืออีก ถูกจงหมิ่นเหยียนลากไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ให้นางขยับ
“อย่าก่อเรื่อง! หลิงหลง! ยังจำได้ไหม ตอนลงเขาเจ้ารับปากอาจารย์และอาจารย์หญิงว่าอะไร?!”
หลิงหลงถูกเขาตวาด ก็คิดถึงว่าก่อนลงเขา ท่านพ่อกับท่านแม่มาคุยกับนางด้วยตนเอง ว่านางอารมณ์ร้อนง่าย หลังลงเขาไปต้องระงับอารมณ์ ตอนนั้นนางก็รับปากจริงจัง ปรากฏพอเกิดเรื่องก็ลืมสิ้น
นางเก็บกระบี่ เริ่มนึกเสียใจภายหลังแล้ว แต่ตนเองก็ยังไม่ยอมแพ้ กล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “เอาเถอะ ไม่เอาเรื่องเจ้าแล้ว! เกาะฝูอวี้ที่แท้มีคนเช่นนี้ด้วย วันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาแล้ว!”
ลู่เยียนหรานเลิกคิ้วขึ้นจะออกอาการอีกรอบ หันมาคิดถึงวิชากระบี่สำนักเส้าหยางของนางร้ายกาจดังคาด สู้กับนางมาตั้งนานก็ไม่ได้เปรียบอันใด จึงได้แต่เงียบไม่กล่าวอันใดอีก เหินกระบี่ไปข้างกายอวี่ซือเฟิ่ง เห็นเสวียนจียืนบนกระบี่เดียวกับเขา จึงหัวเราะเยาะกล่าวว่า “อย่างไร แม่นางเสวียนจีแม้แต่กระบี่ก็ทำหายหรือ”
เสวียนจีกำลังจะกล่าว อวี่ซือเฟิ่งกลับกล่าวว่า “ไยต้องกล่าววาจาไร้สาระ ตอนนี้นกฉวีหรูหนีไปทางนั้น คิดว่ามีคนควบคุมมัน หากพวกเจ้ามีเรื่องกันเสร็จแล้วก็รีบไล่ตามไปเถอะ”
ลู่เยียนหรานยู่ปากท่าทางอัดอั้น ถูกเขาตำหนิอย่างเย็นชาทำเอาเจ็บปวดใจ จึงสะบัดหน้าหันไปหาหรูอี้ที่อ่อนโยนกว่าแทน
เสวียนจีประคองไหล่อวี่ซือเฟิ่งบินตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พลันคิดอันใดได้ รีบถามกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง เสี่ยวอิ๋นฮวาล่ะ?”
เขาเงียบ เพียงโบกมือขวาขึ้นเบาๆ เสวียนจีพบว่าแขนตนเองมีลำแสงสีเงินพันเลื้อยอยู่ มองดูให้ดี เป็นเสี่ยวอิ๋นฮวา เมื่อครู่มันน่าจะเคลื่อนไหวมากไป เห็นชัดว่าหมดแรง ลำตัวสีเงินอ่อนนุ่มขดเป็นวงกลม หัวสามเหลี่ยมผงกขึ้น มองเสวียนจีอย่างเกียจคร้าน แลบลิ้นออกมาเหมือนว่าทักทาย
สี่ปีมานี้มันตัวยาวขึ้นหน่อย ก่อนหน้าตัวหนาเพียงแค่นิ้วก้อย ตอนนี้หนาราวกับครึ่งท่อนแขนผู้ใหญ่ เกล็ดสีเงินเรียงตัวหนาแน่น งดงามยิ่ง พันเป็นวงรอบลำแขนก็หนักอยู่ไม่น้อย
เสวียนจียกมือขึ้นลูบมัน มันหลบอย่างว่องไว พลางผงกหัวขึ้น แลบลิ้นมองนางอย่างสงสัย
“มันจำข้าไม่ได้แล้ว” เสวียนจีกล่าวขึ้นเบาๆ
“จำได้ เพียงแต่…ยิ่งใกล้ชิดยิ่งหวาดกลัว” อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย
นางฟังไม่ออกว่าวาจานี้มีหมายความว่าอย่างไร ได้แต่มองเสี่ยวอิ๋นฮวาอึ้งไป มันพันอยู่บนแขนนางครู่หนึ่ง น่าจะรู้สึกสบาย เลื้อยพันไปมาก่อนปักหัวลงในฝ่ามือนาง รู้สึกเย็นเยียบ
“เจ้าดู เจ้าดู!” นางดีใจยกมือไปที่เบื้องหน้าเขา “เจ้ากล่าวถูกต้อง มันยังจำข้าได้!”
คนเช่นเจ้า ผู้ใดจะลืมลง อวี่ซือเฟิ่งแอบคิด เก็บเสี่ยวอิ๋นฮวากลับเข้าแขนเสื้อ รับรู้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนจากสองมือนางที่ประคองอยู่ที่ไหล่ ในใจทั้งยินดีทั้งเฝื่อนขม พลันกล่าวอันใดไม่ออก
ทุกคนไล่ล่านกฉวีหรูที่เหลือ ไล่ล่าต่อไปราวครึ่งชั่วยามกว่า ปล่อยให้พวกมันบินวนไปมา บินไปทั่วเขาไห่หวั่น ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด สุดท้ายยังคงเป็นจงหมิ่นเหยียนพบว่าพวกมันบินอยู่นาน กลับมาบินวนอยู่ที่เดิม
“ผู้ใดบงการอยู่ด้านหลัง?! เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายจริง!” เขาส่งเสียงด่าดุดันเสียงหนึ่ง
อวี่ซือเฟิ่งลดกระบี่ลง พอลงถึงพื้น คนที่เหลือรีบตามเข้ามา หรูอี้กล่าวว่า “ทำไม? ไม่ตามแล้ว?”
เขาส่ายหน้า “ตามไปเช่นนี้ถึงฟ้าสางก็ไม่ทัน หรูอี้ เจ้าเอาพู่กันเหล็กมาไหม”
หรูอี้ตะลึงงันอยู่เป็นนาน ในเวลาไม่นานก็พลันเข้าใจ ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคิดใช้วิธีนั้น?”
เขาไม่กล่าวอันใด ได้แต่ปลดสายรัดเสื้อออก ถอดเสื้อตัวนอกที่มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนออก หรูอี้ปลดน้ำเต้าที่เอวส่งให้ให้เขา เขาแกะฝาปิดออกราดลงบนแผลที่แขนตน น้ำในนั้นที่ไหลออกมามีกลิ่นสุราฉุนแสบ เมื่อราดลงบนบาดแผล เขาแสบจนสะดุ้ง
หลิงหลงเห็นพวกเขาปฏิบัติการประหลาด คนหนึ่งใช้สุราล้างคราบโลหิตบนร่างกาย อีกคนใช้พู่กันเดินวาดเป็นวงบนพื้น วางออกมาเป็นรูปแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปดอดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “ซือเฟิ่ง…คิดทำอะไร”
หรูอี้ยกนิ้วมือวางบนริมฝีปากเบาๆ แสดงสัญญาณว่าให้เงียบ “อย่าพูด ดูก็พอ”
อวี่ซือเฟิ่งเทสุราในน้ำเต้าจนหมด พลิกข้อมือโยนน้ำเต้าคืนให้หรูอี้ มือขวาถือกระบี่ หันหน้าไปทางใต้ กระบวนท่ากระบี่ไม่เหมือนปกติ เขาก้าวเข้าสู่ค่ายกล
ทุกคนรู้สึกว่าร่างเขาเคลื่อนไหวประหลาดราวกับเต้นระบำ แต่ก็ราวกับไม่ได้เต้นระบำ รุกถอยบนแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปด ฉับพลันพลิกกาย ฉับพลันตวัดกระบี่ ล้วนไร้หลักเกณฑ์ เคลื่อนไหวอิสระไร้พันธนาการ ทุกคนล้วนมองกันตาค้าง
เฉียน ตะวันตกเฉียงเหนือฟ้า เปิดประตูสวรรค์
ตุ้ย ตะวันตก แอ่งน้ำ รวมกำลังทัพ
ซวิ่น ตะวันออกเฉียงใต้ ลม พัดสามกระแส
เจิ้น ตะวันออก สายฟ้า ฟาดห้ากระแส
เกิ่น ตะวันออกเฉียงเหนือ ภูเขา ขวางทางผี
คุน ตะวันตกเฉียงใต้ ปฐพี เปิดทางประตูมนุษย์
ขั่น เหนือ น้ำ คลื่นน้ำซัด
หลี ใต้ ไฟ กงล้อเพลิง
อวี่ซือเฟิ่งก้าวซ้ายหมุนขวาอยู่กลางแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปดด้านหลัง ก้าวทีสะบัดที ชายเสื้อปลิวไสวกลางท้องฟ้าราวกับมังกร พลันได้ยินเสียงว่าคาถาขึ้น “ขอศิษย์เข้าสู่กลางตำหนัก!” ตามมาด้วยเงาร่างหนึ่ง เริงราวห่านป่า โดดจากตำแหน่งคุนถึงเกิ่น เพ่งมองไปอีกที เขายืนมั่นอยู่กลางแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปด
เหยียบปฐพี ย่ำปฐพี
เหยียบย่ำฮวงโหไหลย้อน!
เขาพลันหยุดนิ่ง เหงื่อไหลโซมกาย ชุดขาวบนแผ่นหลังเปียกชื้นไปหมด พลันหมดกำลังคุกเข่าลงกับพื้น
เสวียนจีกับจงหมิ่นเหยียนปรี่จะเข้าไปประคอง เขากลับโบกมือ เป็นนานจึงกล่าวว่า “ข้าเห็นคนควบคุมหลบอยู่ด้านหลัง”
ทุกคนพากันตกใจ หันไปทางทิศใต้ที่เขาชี้ไป “ทางนั้น ด้านหน้าเขาไห่หวั่น ถ้ำกลางเขา”
กล่าวจบ เขาก็ไร้เรี่ยวแรงล้มลงกับพื้นทันที หอบหายใจหนักหน่วง
ดื่มชาหลังอาหารเสร็จ เสวียนจีก็หาเจ้าของร้านพบ ถามว่า “ขอถามท่านอา ทราบไหมว่าหมู่บ้านนี้มีตระกูลใหญ่แซ่จ้าวไหม ตระกูลแซ่จ้าวที่มีพี่ชายน้องชายรวมสามคนพี่น้อง”
เจ้าของร้านคิดไปมาพลันกล่าวว่า “อ้อ หรือว่าเป็นบ้านตระกูลจ้าวตอนเหนือหมู่บ้านนั่น เอ๋ สถานการณ์ที่นั่นแย่ยิ่งกว่าพวกเราที่นี่อีกนะ ไม่มีที่นาทำกิน แม้แต่อาหารการกินยังเป็นปัญหาเลย”
จงหมิ่นเหยียนดื่มชาไปหมดแก้ว กล่าวว่า “เช่นนั้นรบกวนท่านอาบอกทางพวกเราด้วย พวกเราต้องการไปบ้านตระกูลจ้าวสักหน่อย”
เจ้าของร้านรีบตอบรับทันที สั่งการให้คนงานในร้านเตรียมรถม้าหลังร้าน พลางยิ้มกล่าวว่า “นายท่านทั้งสามไปปราบผี ต้องการเตรียมน้ำมนต์เลือดสุนัขไหม ข้าจะให้พวกเขาไปเตรียม…”
หลิงหลงหัวเราะดังลั่น เท้าเอวท่าทางได้ใจเต็มที่ กล่าวว่า “อันใดคือน้ำมนต์เลือดสุนัข นั่นมันของที่พวกนักพรตไร้คุณธรรมเอามาหลอกผู้คน! พวกเจ้านี่ ยังคิดว่าของพวกนั้นใช้ได้จริง? ผู้บำเพ็ญเซียนกำจัดปีศาจขจัดภูตผี อาศัยเพียงแค่กระบี่เล่มหนึ่งก็เพียงพอแล้ว วันหน้าหากพวกเจ้าพบเรื่องบัดซบเช่นใช้น้ำมนต์เลือดสุนัขมาหลอกกินหลอกดื่มอีก ก็ควรใช้ไม้กระบองขับไล่ไปถึงจะถูกต้อง!”
เจ้าของร้านผู้นั้นเห็นนางหน้าตางดงามกระจ่างหมดจด ท่าทางมั่นใจ ทำเอาจิตใจคล้อยตามไปนานแล้ว จึงพยักหน้ารับคำติดๆ กัน
จงหมิ่นเหยียนแอบดึงนางมากระซิบว่า “หลิงหลง แต่ละสำนักก็มีเคล็ดลับของแต่ละสำนัก น้ำมนต์เลือดสุนัขก็ใช่ว่าต้องเป็นสิ่งลวงหลอกผู้คน ใต้หล้ากว้างใหญ่ พวกเราเห็นมาเท่าไรกัน อย่างไรก็อย่ากล่าวฟันธงเช่นนั้นดีกว่า”
หลิงหลงแค่นเสียงฮึขึ้นจมูก กำลังจะโต้เถียงกับเขา เสวียนจีที่ด้านข้างๆ กลับยิ้มกล่าวว่า “กล่าวได้ถูกต้อง อาจารย์ก็เคยบอกกับข้าเช่นนี้ น้ำมนต์เลือดสุนัขเป็นวิธีการในหมู่ชาวบ้านที่ใช้ขจัดสิ่งชั่วร้าย พวกนักพรตพเนจรล้วนใช้วิธีการนี้ ไม่แน่ว่าเป็นเรื่องลวงหลอกผู้คน”
หลิงหลงเห็นว่าตั้งแต่ออกเดินทางมาพวกเขาสองคนเอาแต่ขัดคอตนเองทุกเรื่อง ทำเอาตนเองราวกับชอบก่อเรื่อง อดไม่พอใจไม่ได้ กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ใช่สิ อย่างไรข้ามักจะผิดอยู่แล้ว เจ้าสองคนมักจะถูกเสมอ ทำไมยังมากับข้าล่ะ พวกเจ้าสองคนไปกันเองเลย!”
กล่าวจบนางก็วิ่งออกไปทันที ไม่สนใจเขาสองคน
จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้ว ถอนใจกล่าวว่า “กี่ปีมาแล้ว นิสัยยังคงดื้อรั้นเหมือนเดิม คนรอบกายกล่าวอันใดก็ไร้ประโยชน์!”
เสวียนจีเดิมคิดกล่าวบางอย่าง แต่หวนคิดว่ายามนี้ตนเองไม่ควรกล่าวเสริม ได้แต่นิ่งเงียบไปเฉยๆ จนเดินออกไปนอกประตู นางพลันหันกลับไปยิ้มให้ทั้งสองที่ยังคงงอนกันอยู่ ยิ้มกล่าวว่า “ข้ารุดหน้าไปก่อน ไปดูสถานการณ์บนเขา พวกเราเจอกันที่บ้านตระกูลจ้าวคืนนี้”
หลิงหลงยังไม่ทันได้ปฏิเสธ นางก็กลายเป็นลำแสงสีขาว หายลับไปจากสายตาแล้ว
“ล้วนเป็นเพราะเจ้าไม่ดี!” หลิงหลงโมโหใส่จงหมิ่นเหยียน “ทำเสวียนจีโมโหหนีไปคนเดียวแล้ว! หากนางเกิดเหตุอันใด ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเลย!”
กล่าวจบ นางก็เหินกระบี่ไป ทิ้งจงหมิ่นเหยียนไว้ที่เดิมด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกอยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก
อยู่กับหลิงหลงบางครั้งก็รู้สึกมีความสุขหาใดเทียม แต่บางครั้งเขาเองก็เหนื่อย
หลิงหลงราวกับเพลิงไฟที่โลดเต้นงดงามลูกหนึ่ง อยู่กับนางก็จะไม่เบื่อหน่าย แต่ใกล้กับไฟมากไป ก็ล้วนมีจุดจบที่ต้องถูกไฟแผดเผาบาดเจ็บ
หลายปีมาแล้ว อยู่กับนาง โตมากับนาง เพื่อจะไม่ถูกไฟแผดเผาบาดเจ็บ เขามักจะยอมอ่อนให้แล้วอ่อนให้อีก จนกระทั่งร่างจนถูกฝังจมดินแล้ว ถึงกับลืมไปแล้วว่าตนเองคือใคร ราวกับการมีอยู่ของเขานั้นเพื่อหลิงหลงคนเดียว
จริงนะ รู้สึกเหนื่อยบ้างแล้ว
เขาถอนหายใจยาวขึ้นในใจ เป็นครั้งแรกที่ไม่คิดตามไป กลับค่อยๆ เริ่มเดินทางมุ่งไปทางเหนือ มุ่งตรงไปยังบ้านตระกูลจ้าวลำพังอย่างไม่รีบร้อน
ภูเขาตอนเหนือของหมู่บ้านวั่งเซียนมีชื่อที่น่าสนใจมาก ชื่อว่า ‘เขาไห่หวั่น’ แปลว่าชามใบใหญ่ เพียงเพราะรูปร่างภูเขาเหมือนกับชามใหญ่คว่ำ ดังนั้นจึงตั้งชื่อเช่นนี้
เสวียนจีเหินกระบี่ ไม่นานก็มาถึงเขาไห่หวั่น ทิ้งตัวลงตามระยะความสูงกลางหลังเขา
สถานการณ์ที่นี่จริงๆ แล้วยังรุนแรงกว่าที่จ้าวเหล่าต้าว่าไว้เสียอีก เสวียนจีอ้อมชายป่าเดินไประยะหนึ่ง พบว่าเนินเขาทางชายป่าตอนบนครึ่งหนึ่งมีกองหญ้าแห้งอยู่เต็มไปหมด ใบเรียวยาวราวกับใบกูไช่ น่าจะเป็นหญ้าจู้อวี๋
หญ้าแห้งพวกนั้น บ้างถูกถอนออกมาพร้อมราก บ้างถูกตัดเป็นสี่ห้าท่อน กองกระจัดกระจายไปทั่วพื้น กองกันหนาชั้นหนึ่ง มองแล้วเหมือนว่ามีคนร่างยักษ์หลายคนมาเล่นสนุกกันที่นี่ แกล้งทำลายแปลงหญ้าจู้อวี๋ผืนใหญ่ทั่วบริเวณนี้
นางก้มลงไปเก็บหญ้าจู้อวี๋ที่ถูกดึงขาดขึ้นมาท่อนหนึ่ง ใช้มือลองขยี้เบาๆ ก้อนดินด้านบนร่วงกราว มองแล้วหญ้าพวกนี้ไม่เหมือนถูกตัดด้วยอาวุธคม รอยขาดเบี้ยวไปมาไม่ตรง น่าจะถูกฉีกขาด
นางเพิ่มแรงนิ้วมือลองกระชากให้ขาด ผลปรากฏว่าใช้แรงเจ็ดส่วนจึงจะฉีกหญ้าแห้งขาด
ในใจนางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ดูแล้วสิ่งที่ก่อความวุ่นวายที่นี่รับมือไม่ง่าย
เสวียนจีโยนหญ้าแห้งทิ้ง กำลังจะไปหาร่องรอยที่อื่นต่อ พลันเงยหน้าปะทะกับลมหอบหนึ่ง หญ้าแห้งบนพื้นถูกพัดลอยขึ้น ปลิวว่อนทั่วท้องฟ้า บดบังทัศนวิสัยสิ้น
นางรีบใช้แขนเสื้อบังหน้า กลับได้ยินเสียงหวีดแหลมของลมดังปะทะกาย ราวกับมีสิ่งของใหญ่มากบินผ่านไป ตอนนั้นนางไม่อาจสนใจสิ่งใด ลมพัดจนต้องหรี่ตา พอเงยหน้ามองก็เห็นเพียงแสงสีเงินราวกับแสงกระบี่ทั่วพื้น พริบตาก็หายไปไร้ร่องรอย
เป็นปีศาจ! นางได้กลิ่นคาวลอยมากับกระแสลม รีบเหินกระบี่ไล่ตามกลิ่นไป
ไล่ไปได้ระยะหนึ่ง ดังคาด เห็นกลางป่าเบื้องหน้ามีแสงสีเงินสว่างวาบ ราวกับของบางอย่างวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เห็นมันเลื้อยไป เคลื่อนไหวราวกับงู เสวียนจีพลันตะลึงงัน ในความทรงจำเหมือนเคยเห็นภาพนี้ เป็นงูสีเงินตัวหนึ่ง…
ขณะกำลังตกในภวังค์ พลันได้ยินเสียงลมด้านหลัง นางรีบชักกระบี่กันไว้ เสียง ตึง ดังขึ้นเสียงหนึ่ง สิ่งของหนึ่งกระแทกกับกระบี่นางรุนแรงมากยิ่ง กระบี่ในมือเกือบจับไม่อยู่ ปวดแปลบง่ามมือมากจนเกือบทำกระบี่หลุด
“ผู้ใด?!” นางส่งเสียงตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง รีบหยุดมองไปรอบกาย เห็นเพียงท้องฟ้ากระจ่างใส ต้นไม้ป่าเขาเขียวขจีเบื้องล่าง ไหนเลยจะเห็นร่องรอย!
ตอนหันไปมองอีกที ปีศาจลำแสงสีเงินนั่นก็หายไปแล้ว
เสวียนจีค้นหาอีกครู่หนึ่งก็ยังคงไร้ร่องรอย ได้แต่เหินกระบี่บินกลับไปบ้านตระกูลจ้าว
พอลงถึงพื้นก็เห็นจงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลง ทั้งสองหันหลังใส่กัน ยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดกันสักคำ
ในใจนางยิ้มเฝื่อน เดินเข้าไปหาถามว่า “หาบ้านท่านจ้าวพบไหม”
หลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนกล่าวพร้อมกันว่า “พบแล้ว อยู่ตรงนั้น…”
กล่าวไม่ทันจบ ทั้งสองพลันตะลึงงัน เห็นอีกฝ่ายชี้ไปทิศทางเดียวกับตนเองก็ใจเต้นแรง อดหดมือกลับไม่ได้
จงหมิ่นเหยียนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เมื่อครู่ได้พบกับหลานของท่านจ้าวแล้ว ให้ดูภาพนั้นแล้ว เด็กนั่นครู่หนึ่งบอกเหมือน ครู่หนึ่งก็บอกไม่เหมือน คิดว่าวาจาเด็กน้อยมักจะไม่แน่นอน อย่างไรพวกเรารอขึ้นเขาไปดูเองคืนนี้แล้วกัน”
เสวียนจีพยักหน้า เล่าเรื่องที่ตนประสบที่หลังเขาไห่หวั่นให้ฟังรอบหนึ่ง ทั้งสองคนได้ยินว่าปีศาจร้ายกาจเช่นนี้ก็พากันเงียบ
“ทำอย่างดี หรือเป็นปีศาจอายุมากที่พวกเราไม่อาจรับมือ” หลิงหลงถามอย่างหวาดกลัว
จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วไม่กล่าวอันใด
เสวียนจีลูบผมกล่าวว่า “คืนนี้ไปดูค่อยว่ากันเถอะ…ในเมื่อมันไม่ได้ทำร้ายคน คิดว่าคงไม่ใช่ปีศาจชั่วอันใด ไล่มันไปก็พอ…”
กล่าวไม่ทันจบ พลันมีของสิ่งหนึ่งกลิ้งออกมาจากแขนเสื้อนางตกลงพื้น
หลิงหลงก้มลงไปเก็บ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “นี่คืออะไร…ข้าวพอง?”
นางหยิบของกินเล่นสีเหลืองทองนั่นยกขึ้นดู ทั้งสามตาโตจ้องมองข้าวพองเม็ดนั้นที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ในใจพลันสงสัยสับสน
เสวียนจีพลันนึกถึงอาวุธลับที่ซัดมาด้านหลังศีรษะขึ้นมาได้ทันที หรือว่าถึงกับเป็นข้าวพอง?
นางหยิบข้าวพองมาวางไว้ในฝ่ามือ มองไปมองมา พลันรู้สึกสับสน