ทั้งสองนั่งพิงต้นไม้ครู่หนึ่ง พลังวัตรค่อยๆ ฟื้นคืน
อวี่ซือเฟิ่งลองขยับแขนสวมเสื้อตัวนอกพลางกล่าวว่า “สี่ปีมานี้ เหมือนเจ้าเรียนรู้มาไม่น้อย พลังเสกไฟเมื่อครู่ยอดเยี่ยมมาก”
เสวียนจีอยู่ๆ ก็ถูกชม อดรู้สึกได้ใจไม่ได้ หัวเราะกล่าวว่า “คือ…คือว่า!”
นางรู้สึกอาย ถามขึ้นว่าอันใดเรียกว่า “พลังเสกไฟ” ด้วยท่าทางเอียงอาย ยังอยากตอบเขาว่าจริงๆ แล้วปกตินางเรียกมังกรเพลิงออกมาได้มากสุดสามสาย แต่ปกติซือเฟิ่งไม่ค่อยได้ชมผู้ใด นางไม่อยากถูกเขาหัวเราะเอา
เขายิ้มอีกแล้ว พลันยกมือขึ้นปัดจมูกนาง “ดูท่าทางได้ใจของเจ้าสิ”
เสวียนจีช่วยเขารัดเข็มขัดให้แน่น ใส่ยาก่อนพันแผล เสร็จกระบวนการทุกอย่างก็ดึกมากแล้ว แสงจันทร์สีเงินยวงก็ลอยเด่นกลางนภาราวกับแผ่นหยกครอบอยู่เหนือศีรษะ
อวี่ซือเฟิ่งพลันกล่าวว่า “ตอนนี้เวลาใดแล้ว”
“อ้อ น่าจะ…ใกล้เลยยามจื่อแล้วกระมัง”
“ทำไมพวกหมิ่นเหยียนยังไม่กลับมา”
เขากล่าวเช่นนี้ เสวียนจีจึงได้คิดถึงพวกจงหมิ่นเหยียนขึ้นมา ก่อนไปกำชับกำชาไว้มากมาย อดร้อนใจไม่ได้ กล่าวว่า “โอ๊ะ! ไม่ได้การแล้ว! พวกเขาบอกว่าหากเลยยามจื่อยังไม่กลับมาก็คงจะพบอันตรายแล้ว! พวกเรา…พวกเราควรทำอย่างไร…”
“ใจเย็นก่อน” อวี่ซือเฟิ่งลองลุกขึ้นยืน รู้สึกว่ามือเท้าอ่อนแรง ไม่มีแรงแม้แต่น้อย กว่าจะยืนตัวตรงก็ยาก ลำบากอยู่มาก ไม่อาจเหินกระบี่ได้ “เขามีบอกอะไรไว้ไหม”
“เหมือน…เหมือนบอกว่า หากพบกับอันตรายก็จะส่งสัญญาณ บอกพวกเราว่าเห็นสัญญาณก็ให้รีบกลับไปบ้านตระกูลจ้าว…” เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงลังเล
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบไปนาน “ยังไม่มีสัญญาณอันใด คิดว่า…”
ยังกล่าวไม่จบ ก็ได้ยินบนท้องฟ้ามีเสียง ตูม ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ระเบิดออกเป็นดอกไม้ไฟสีแดงสด ก่อนจะร่วงกราวลงมา สีแดงราวสีเลือด พวกเขาจำได้ว่านี่เป็นดอกไม้ไฟสัญญาณ ยามประสบเหตุเร่งด่วนให้ปล่อยสัญญาณเตือนนี้
พวกหลิงหลงประสบอันตรายอยู่ที่เขาด้านหน้า!
ทั้งสองสบตากันอย่างตกใจ ไม่อาจสนใจอาการบาดเจ็บที่แขนและขาที่ยังชาอ่อนแรงอยู่ รีบเหินกระบี่ไปยังด้านหน้าเขาอย่างรวดเร็ว
****
ด้านหน้าเขาไห่หวั่นมีต้นไม้ไม่มากเท่าหลังเขา และยังมีก้อนหินประหลาดซ้อนทับกันหลายชั้น ไม่รู้มีถ้ำซ่อนอยู่มากมายเท่าไร พวกหลิงหลงสี่คนเหินวนอยู่ด้านหน้าเขาเป็นเวลานานก็ยังไม่เข้าใจระบำประหลาดที่อวี่ซือเฟิ่งเต้นเมื่อครู่ ที่ได้เห็นมานั้นคือที่ใดกัน สุดท้ายก็เหินจนรู้สึกเหนื่อย ได้แต่ลงหยุดพักชั่วคราวบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
“มากยิ่งกว่าถ้ำบนยอดเขาอรุณอีก หากค้นหาเช่นนี้ต่อไป ปีหนึ่งก็หาไม่พบ” หลิงหลงทุบขาที่ปวดเมื่อยแล้วปลดถุงน้ำที่เอวออกมาแหงนหน้ายกขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง
จงหมิ่นเหยียนสังเกตรอบตัวรอบหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ที่นี่เหมือนผิดปกติ หลังเขามีเรื่องกันดุเดือดเช่นนั้น ที่นี่ถึงกับไม่มีเสียงใดแม้แต่น้อย เงียบจนน่าประหลาดไปหน่อยแล้ว คิดดูแล้วคนบงการเบื้องหลังก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากนี้ เร่งค้นหากันต่อเถอะ”
หลิงหลงได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็ตั้งสติให้ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ดื่มน้ำไปอีกอึกหนึ่ง ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าไปมา กล่าวว่า “ไปกัน! พวกเราต่อ! คืนนี้ต้องหาให้พบให้ได้!”
ลู่เยียนหรานพิงก้อนหินอยู่ ถอนหายใจอ่อนแรง “ที่นี่มีถ้ำมากเช่นนี้ หาอย่างไร…ไม่สู้วันนี้กลับกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”
จงหมิ่นเหยียนยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ก็ได้ยินหลิงหลงหัวเราะเยาะว่า “กำลังไม่พร้อมเช่นนี้ ยังจะบำเพ็ญเซียน!”
ลู่เยียนหรานแค่นเสียงฮึ กล่าวท่าทางไม่ยี่หระว่า “ใช่สิ ข้าเป็นสตรีตัวน้อย ไหนเลยจะสู้หญิงชาวป่าพลังเยอะได้เล่า โดดโลดเต้นไม่รู้เหนื่อย”
“เจ้าว่าใครเป็นหญิงชาวป่า?!” หลิงหลงชี้หน้านาง คิ้วกระดกตั้ง
ลู่เยียนหรานยิ้มสวยกล่าวอีกว่า “ข้าว่าเจ้าหรือ เหตุใดต้องรู้สึกไปเองเช่นนี้”
หลิงหลงโมโหลุกพรวดขึ้นอีกแล้ว
เด็กสาวสองคนทางนี้กำลังโต้คารมเล่นฝีปากกัน จงหมิ่นเหยียนทางนั้นทนฟังไม่ไหว หันไปถามหรูอี้ “เมื่อครู่ซือเฟิ่งหาตัวคนควบคุมเบื้องหลังได้อย่างไร”
หรูอี้ยิ้มกล่าวว่า “นั่นเป็นไสยศาสตร์แบบหนึ่ง ซือเฟิ่งเรียนกับเจ้าตำหนักตั้งสองสามวัน เพียงแต่เรียนได้ไม่ดีนัก ทำเอาพลังไหลออกสิ้น”
“เขาเป็นไสยศาสตร์ด้วย?!” จงหมิ่นเหยียนทั้งแปลกใจทั้งเลื่อมใส น้องชายคนนี้แม้ว่าอายุน้อยกว่าตนปีหนึ่ง แต่รู้มากกว่าเขาไม่น้อยเลย เดิมเขาคิดว่าสี่ปีขยันหมั่นบำเพ็ญเพียร ในที่สุดก็จะเหนืออีกฝ่ายได้ ผู้ใดจะรู้ว่ายังไม่อาจเหนือกว่าซือเฟิ่ง
“หรูอี้ก็เป็นหรือ ไม่สู้ลองหาดูว่าถ้ำใดกันแน่”
หรูอี้รีบส่ายหน้า กล่าวติดๆ กันว่า “ละอายยิ่ง…ข้าไม่เป็น ซือเฟิ่งมีพรสวรรค์ ข้าเป็นศิษย์ทั่วไปของตำหนักหลีเจ๋อ เทียบไม่ติดฝุ่น”
หลิงหลงต่อปากต่อคำกับลู่เยียนหรานเหนื่อยแล้ว ได้ยินเขาถ่อมตนเช่นนั้น อดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “หรูอี้ ถ่อมตนไปแล้ว พูดไปแล้ว หนังสติ๊กเหล็กของเจ้าก็ร้ายกาจมาก ใช่แล้ว ซือเฟิ่งเมื่อก่อนก็ใช้หนังสติ๊กยิง เขาเรียนจากเจ้ากระมัง”
นางคิดถึงเรื่องเหลวไหลตอนเด็กๆ ตอนนั้นเพราะซือเฟิ่งทำหนังสติ๊กยิงให้นาง นางจึงได้หวั่นไหว ผู้ใดจะรู้ว่าเขาถึงกับเป็นคนนิสัยไม่ดี ทำเอานางโมโหแทบตาย ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นฉับพลันนั้นก็พลันมลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องวัยเด็กสับสนวุ่นวายจริง เลอะเลือนเหลวไหลยิ่งนัก
หรูอี้พยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ผิด แต่ไรมาซือเฟิ่งก็เป็นคนมีความสามารถ วันนั้นเขาเห็นข้าทำหนังสติ๊กสวยดี ก็เลยขอไปเล่น ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเล่นได้ไม่กี่วันก็ทำเองเป็น คิดว่าที่เจ้าตำหนักกับรองเจ้าตำหนักชื่นชมซือเฟิ่งก็ใช่ว่าไร้เหตุผล”
ทุกคนได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็อดรู้สึกคล้อยตามไม่ได้ ลู่เยียนหรานสีหน้าเบิกบาน นางเดิมก็รู้สึกดีกับอวี่ซือเฟิ่งที่ท่าทางประหลาดผู้นั้นอยู่มาก ยามนี้มาได้ยินอีกว่าเขาร้ายกาจเช่นนี้ ได้แต่เบิกบานหวานล้ำในใจ แทบอยากจะรีบกลับไปพบเขา จะได้พูดคุยกับเขาหลายคำสักหน่อย
หลิงหลงทนเห็นนางท่าทางเบิกบานเช่นนี้ไม่ไหว ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ไม่รู้ซือเฟิ่งกับเสวียนจีตอนนี้ทำอันใดอยู่…อ้อ พวกเขาไม่ได้เจอกันสี่ปี ต้องมีเรื่องส่วนตัวคุยกันมากมาย คนบางคนก็อย่าได้คิดเพ้อฝัน”
“เกี่ยวอันใดกับเจ้า!” ลู่เยียนหรานอายจนโมโห
“ชิ เจ้าโมโหอันใด ไม่ได้ว่าเจ้าสักหน่อย!”
“เจ้า…”
จงหมิ่นเหยียนฟังจนปวดหัว กำลังจะเรียกพวกนางว่าอย่าทะเลาะกันอีก พลันได้ยินเสียงกระพือปีกดังจากทางตะวันออกเฉียงใต้ราวกับว่ามีนกฝูงใหญ่กำลังกระพือปีกบิน ทุกคนเงียบกริบทันที ไม่กล้าทะเลาะกันต่อ พากันเข้าไปหลบหลังก้อนหิน ลอบมองไปเห็นเพียงนกฉวีหรูหลายสิบตัวที่พากันหลบหนีไปในตอนแรก ตอนนี้มารวมตัวกันอีกแล้ว บินฉวัดเฉวียนวนไปมาบริเวณก้อนหินประหลาดซับซ้อนผืนกว้างนั้น ราวกับคิดจะเข้าไป แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่บินวนไปมา บินกันวุ่นวายไปทั่ว
“ข้าจำได้ว่าตรงนั้นมีถ้ำ!” หลิงหลงพลันนึกขึ้นมาได้ว่าก้อนหินแหลมกองนั้นมีถ้ำเล็กๆ ซ่อนอยู่ แต่ค่อนข้างแคบและเล็ก คนปกติต้องก้มตัวลงจึงจะพอฝืนตัวเข้าไปได้ พวกเขาจึงไม่ได้คิดค้นหาบริเวณนี้ต่อ “คนชั่วนั่นต้องซ่อนตัวอยู่ในถ้ำนั้นแน่!”
จงหมิ่นเหยียนมองดูด้านบนและด้านล่าง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หลิงหลง เจ้ากับข้าไปยั่วยุหน้าถ้ำ หรูอี้ เจ้าพาแม่นางลู่อ้อมไปด้านหลัง ดูว่ามีทางเชื่อมไปปากถ้ำอื่นหรือไม่ อย่าให้หลบหนีไปได้!”
ทุกคนรับคำพร้อมกัน แยกย้ายปฏิบัติการทันที
หลิงหลงทนไม่ไหวนานแล้ว แย่งไปอยู่หน้าจงหมิ่นเหยียนรวดเร็วราวสายฟ้า เหินตรงไปทันที นกฉวีหรูที่บินอยู่หน้าปากถ้ำพวกนั้นคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ จะมีคนมุ่งมาสังหาร พากันแตกตื่นตกใจ ถูกกระบี่ต้วนจินในมือนางตวัดฟันใส่ไปสองสามที ในเวลาพริบตาก็บาดเจ็บล้มตายไปเกินครึ่ง
จงหมิ่นเหยียนตามนางไปติดๆ ฟันนกฉวีหรูที่เหลืออีกสิบกว่าตัวที่กำลังหนีเข้าถ้ำด้วยคมกระบี่ ทั้งสองอยู่กลางท้องฟ้าราวกับใจถึงใจ สลับตำแหน่งกัน จงหมิ่นเหยียนหยุดหน้าปากถ้ำ ควักเอาประทัดจากในอกเสื้อออกมา จุดแล้วก็ปาเข้าไปในถ้ำ
ได้ยินเพียงเสียงดังกึกก้อง ควันลอยคละคลุ้ง เงาดำหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากปากถ้ำในทันที การเคลื่อนไหวฉับไวราวสายฟ้า พริบตาก็จะมุดเข้าไปในอีกถ้ำที่อยู่ข้างๆ
เสวียนจีนอนรวดเดียวถึงตอนบ่ายก็ไม่ตื่น ส่วนพวกเขาห้าคนตื่นกันแต่เช้า ในที่สุดก่อนฟ้ามืดก็อดมาเคาะประตูเรียกไม่ได้
กว่าหลิงหลงจะลากเสวียนจีหน้าตางัวเงียออกมาจากห้องได้ก็เป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว จงหมิ่นเหยียนร้อนใจจะไปตรวจดูเขาไห่หวั่นให้กระจ่าง ขมวดคิ้วกล่าวอย่างทนไม่ไหวว่า “ออกมานอกสำนักยังเกียจคร้านเช่นนี้อีก! ผู้บำเพ็ญเพียรนอนนานเช่นนี้ได้อย่างไร!”
เสวียนจียังคงสะลึมสะลือ เหมือนได้ยินเสียงคนพูด ราวกับพูดกับตนเองด้วย ก็ขยี้ตาเงยหน้ายิ้มเหม่อลอย จงหมิ่นเหยียนเห็นนางยิ้มก็โมโหอีก ได้แต่ไปนั่งเงียบอีกมุมหนึ่ง ไม่พูดอันใดอีก
หลิงหลงยู่ปากกล่าวว่า “เมื่อวานเสวียนจีบาดเจ็บ นอนมากอีกหน่อยเป็นไรไป แม้นอนถึงพรุ่งนี้เช้าก็ไม่เป็นไร! เจ้าเสียงดังทำไม!”
กล่าวจบเสวียนจีก็ยิ้มเหม่อลอยให้นาง
หลิงหลงถอนใจกล่าวว่า “ดูเจ้างัวเงียสิ! เอาเถอะ ข้าพาเจ้าไปล้างหน้าด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วกัน”
ทางนี้หลิงหลงพาเสวียนจีไปล้างหน้าหวีผม อีกทางพวกจ้าวเหล่าต้าจากบ้านตระกูลจ้าวก็กลับมาถึง กำลังเร่งให้เตรียมอาหาร มาตามพวกเขาไปร่วมรับประทานอาหาร จะได้ฟังเรื่องราวจับผีของพวกเขาเมื่อวานด้วย
ในที่สุดจงหมิ่นเหยียนก็ได้โอกาสใช้ความสามารถฝีปากกล้าของตนแล้ว ทั้งโต๊ะฟังเขาบรรยายภาพอยู่คนเดียว บรรยายนกฉวีหรูพวกนั้นร้ายกาจกว่าอินทรีกู่เตียวอีก พวกเขาหลายคนเป็นวีรบุรุษต่อสู้สละเลือดท่ามกลางสถานการณ์ชุลมุน ฝ่าความยากลำบากมาอย่างไร อันตรายอย่างไร พวกคนบ้านตระกูลจ้าวฟังจนตะลึงงัน ปาดเหงื่อแทนพวกเขาไปหลายที
“เช่นนั้น…นกประหลาดพวกนั้นจู่ๆ มุ่งโจมตีด้วยเหตุใดกันแน่ จอมยุทธ์ทุกท่านได้ตรวจสอบแน่ชัดแล้วหรือยัง” ในที่สุดจ้าวเหล่าต้าก็ได้จังหวะกล่าวแทรกถามขึ้นด้วยท่าทีระมัดระวัง
“เอิ่ม เรื่องนั้นคือ…” จงหมิ่นเหยียนอยู่ๆ ก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี ได้แต่อึ้งอยู่ตรงนั้น
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบขึ้นแทนว่า “พวกเราสงสัยว่ามีคนคอยคุมมารปีศาจอาละอาด เพียงแต่ยังตรวจสอบไม่พบว่าเป็นผู้ใด ขอท่านวางใจ หากยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ พวกเราก็ไม่ไปจากหมู่บ้านวั่งเซียน”
จงหมิ่นเหยียนรีบพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่เลว ไม่เลว! คืนนี้พวกข้าจะไปตรวจสอบอีกสักหน่อย ท่านอาจ้าววางใจได้ มีพวกข้าศิษย์เส้าหยางอยู่ ย่อมไม่ยอมให้มารปีศาจอาละวาดใส่ชาวบ้าน”
จ้าวเหล่าต้าได้ฟังการรับรองเช่นนี้จึงได้วางใจลง สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คารวะสุราคีบอาหารให้พวกเขา
ลู่เยียนหรานที่อยู่ข้างๆ ได้ยินจงหมิ่นเหยียนพูดจาใหญ่โตก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ หากหลิงหลงอยู่ตรงนี้ บางทีอาจทะเลาะกันแล้ว จงหมิ่นเหยียนแม้ว่ารู้สึกไม่ดีกับนาง แต่หนึ่งนางเป็นสตรี สองเขาสุขุมกว่าหลิงหลง ตอนนั้นจึงได้แต่ก้มหน้าลงดื่มสุรา ไม่มองนางเช่นกัน
ผู้ใดจะรู้ว่าเขายิ่งเงียบ ลู่เยียนหรานก็ยิ่งได้ใจ จึงส่งเสียงกระเซ้ากล่าวว่า “สำนักเส้าหยางชื่อเสียงโด่งดัง ท่านอาวางใจได้ พวกข้าไม่ต้องออกโรง แค่เอ่ยชื่อสำนักเส้าหยางออกไปสามคำ มารปีศาจพวกนั้นได้ยินก็หัวหดแล้ว”
วาจานี้ฟังแล้วเหมือนเสียดสี แม้แต่หรูอี้ก็อดแอบส่ายหน้าไม่ได้ จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังคงไม่กล่าวอันใด
“หากพวกเราเกาะฝูอวี้หรือตำหนักหลีเจ๋อเอ่ยชื่อไป คงไม่เกรียงไกรเช่นนี้หรอก~~”
นางยังกล่าวไม่จบ ก็ถูกเสียงกระแอมไอของหรูอี้ขัดขึ้น เขาส่งยิ้มกล่าวว่า “คือว่า…วันนี้จันทร์กระจ่าง อากาศเย็นสบาย เป็นเวลาอันดีในการออกตรวจสอบมารปีศาจอาละวาด พวกเราก็ควรไปเตรียมตัวออกเดินทางกัน”
“เชอะ นับว่าเจ้ายังรู้จักตัวเองอยู่บ้าง!”
เสียงหลิงหลงดังมาจากด้านหลัง ทุกคนหันกลับไปมอง ดังคาด นางจูงเสวียนจีเดินเข้ามา เมื่อครู่นางเองก็ได้ยินที่ลู่เยียนหรานกล่าวหาเรื่อง จึงได้กล่าวโต้นางกลับ
ลู่เยียนหรานยิ้มงดงามพลางกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เกาะฝูอวี้เป็นเพียงสำนักเล็กๆ ไร้ชื่อเสียง ไหนเลยกล้าแก่งแย่งกับสำนักเส้าหยาง”
หลิงหลงกดตัวเสวียนจีที่ไม่เข้าใจให้นั่งลงบนเก้าอี้ พลางเงยหน้าขึ้น แค่นเสียงฮึ “เกรงใจแล้ว เกรงใจแล้ว ขอบคุณที่ออมมือให้”
ในใจลู่เยียนหรานไม่พอใจยิ่ง รู้สึกว่าเอาชนะหลิงหลงไม่ได้เท่าไร หันกลับไปเห็นหน้าผากเสวียนจีเปียกชื้น คิดว่าเมื่อครู่คงใช้น้ำเย็นล้างหน้ามา ดูมีสติตื่นขึ้นมาอยู่บ้าง แต่ดูแล้วก็ยังคงมีแววเหม่อลอยอยู่
นางยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “แม่นางเสวียนจีตื่นสายเช่นนี้ พวกเรากำลังออกเดินทางแล้ว น่าเสียดายอาหารงานเลี้ยงนี้ หรือว่าให้ท่านอาเก็บไว้ให้ คืนนี้กลับมาค่อยอุ่นให้เจ้ากิน?”
เสวียนจีกำลังคีบหน่อไม้แผ่นเข้าปาก ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ อดตะลึงไม่ได้ คาบหน่อไม้เงยหน้ามองนาง
“แต่ตอนนี้ข้าหิวมาก” นางพูดขึ้นตรงๆ ก่อนยัดข้าวเข้าปากคำหนึ่ง
“สายอีกจะไม่ทันแล้ว…นี่ทำอย่างไรดี ซือเฟิ่ง…? หรือว่าพวกเราไปกันก่อน อย่างไรเมื่อวานแม่นางเสวียนจีก็บาดเจ็บ วันนี้คิดว่าคงใช้กำลังอันใดไม่ได้”
ลู่เยียนหรานกล่าวน้ำเสียงจริงใจยิ่ง
เสวียนจีมองท้องฟ้า กลืนอาหารลงไป กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ยังไม่ถึงยามไฮ่ ไปเช้าไปก็ไม่มีประโยชน์ หากเจ้ารีบก็ไปเองก่อนแล้วกัน”
“…” ลู่เยียนหรานเห็นไม่มีคนตอบรับนาง ได้แต่ปิดปากไม่กล่าวอันใดอีก
นางไม่พอใจมาก เดิมนางกับพวกอวี่ซือเฟิ่งสองคนรวมกลุ่มกัน มีเพียงนางเป็นหญิงเพียงคนเดียว ระหว่างทางชายสองคนย่อมคอยดูแลนางอย่างมาก ผู้ใดจะรู้ว่าอยู่ๆ จะมีศิษย์สำนักเส้าหยางโผล่มา ยังเป็นสหายเก่าแก่กันมาอีก แย่งหน้าแย่งตานางไปหมด หากเพียงแค่จงหมิ่นเหยียนคนเดียวก็แล้วไป เขาเองก็เป็นหนุ่มรูปงาม แต่กลับมีพี่น้องสองสาวมาคอยเกะกะด้วยนี่สิ ซือเฟิ่งมองดูแล้วก็เหมือนว่ายินดีที่ได้พบพวกนาง นางดูแล้ว หลิงหลงน่ารังเกียจ เสวียนจีหน้าโง่ ไม่มีถูกตาสักคน
ในบรรดาศิษย์เกาะฝูอวี้ ลู่เยียนหรานแต่เล็กก็มีหน้าตางดงามโดดเด่นกว่าผู้ใด กอปรกับนางฉลาดทำให้คนรักใคร่เอ็นดู บรรดาศิษย์พี่ล้วนยอมให้นาง นางชินกับการที่ทุกคนคล้อยตามนาง ไม่อาจยอมรับให้ผู้ใดแย่งเกียรตินี้ไปได้
ครั้งนี้ศิษย์ร่วมสำนักที่พลัดหลงกับนางก็เพราะลู่เยียนหรานมีปัญหาขัดแย้งกับพวกนาง พอโมโหก็ทิ้งกลุ่มหนีออกมา ผู้ใดจะรู้ว่าที่เขาไห่หวั่นกลับเจอนกฉวีหรูรุมโจมตี พวกอวี่ซือเฟิ่งช่วยนางเอาไว้ได้ หรูอี้ผู้นั้นเป็นคนนิสัยดี อ่อนโยนเอาใจใส่นาง อวี่ซือเฟิ่งแม้ว่าพูดน้อยนิ่งเงียบเป็นปกติ แต่ก็ไม่เคยไม่ให้เกียรตินาง นางก็รู้สึกเหมือนได้รับการเอาอกเอาใจ ปรากฏกระหยิ่มได้ใจไม่ถึงสองวัน พวกหลิงหลงก็มาถึง
นางเห็นหลิงหลงหน้าตางดงาม วาจาแสบสัน ก็รู้ว่าไม่อาจหาเรื่องได้ง่าย จงหมิ่นเหยียนก็ราวกับคอยปกป้องนาง หากมีปัญหากับชายหนุ่มขึ้นมา ก็เหมือนจะไม่ดีนัก
มองไปเห็นเสวียนจี ดูเหมือนเรียบร้อยอ่อนแอ ดูแล้วเอาแต่เหม่อลอย ปฏิกิริยาตอบสนองช้าอย่างน่าประหลาด ดังนั้นจึงปักหมุดว่าเป็นลูกพลับนิ่มบีบบี้รังแกง่าย ไหนเลยจะรู้ว่าพูดไปไม่กี่คำถูกนางตอบกลับอย่างไม่สนใจอันใด ก่อนออกมาฝึกฝนตน พวกอาจารย์บอกว่าศิษย์สำนักเส้าหยางไม่ควรมีเรื่องด้วย นี่เป็นเรื่องจริง
ลู่เยียนหรานไม่อาจกล่าวอันใดอีก ได้แต่เท้าคางนั่งบนเก้าอี้ต่อไป เคาะนิ้วกับโต๊ะไม่หยุด เคาะจนเริ่มร้อนใจ
หลิงหลงแกล้งกินช้าๆ เพื่อยั่วโมโหนาง พลางหันไปยิ้มแย้มกับพวกอวี่ซือเฟิ่ง คีบอาหารให้พวกเขา ยิ้มกล่าวว่า “ที่แท้ก็คือหญ้าจู้อวี๋ รสชาติไม่เลว หมิ่นเหยียน ซือเฟิ่ง หรูอี้ เสวียนจี กินเยอะหน่อย”
นางเว้นลู่เยียนหรานไว้คนเดียว เห็นชัดว่าจงใจหาเรื่องนาง
หรูอี้เห็นพวกผู้หญิงเอาชนะกัน พวกผู้ชายไม่ควรกล่าวแทรก ได้แต่ก้มหน้ากินข้าว ไม่คิดแก้สถานการณ์อีก
พวกจ้าวเหล่าต้าตรงหน้าฟังหลิงหลงชมรสชาติหญ้าจู้อวี๋ว่าดี ก็พากันกล่าวว่า “แม่นางชอบก็ดี เสียดายแค่หญ้าจู้อวี๋บนเขาไห่หวั่นผืนใหญ่ อีกครึ่งเดือนคนทั้งหมู่บ้านก็คงไม่มีกินแล้ว!”
อวี่ซือเฟิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้า ดื่มสุราในแก้วหมด ลุกขึ้นประสานมือกล่าวว่า “ดึกแล้ว พวกท่านไปพักผ่อนกันก่อน พวกข้าจะขึ้นเขากัน”
จ้าวเหล่าต้ารีบกล่าวว่า “จอมยุทธ์น้อยลำบากท่านแล้ว! ไม่ต้องการม้าและคบไฟจริงหรือ ชายหนุ่มในหมู่บ้านหลายคนยินดีช่วย…”
จงหมิ่นเหยียนโบกมือยิ้มกล่าวว่า “สิ่งใดก็ไม่ต้อง! ท่านอาไปนอนพักให้สบายเถิด วันนี้พวกข้าต้องตรวจหาสาเหตุพบแน่นอน!”
เสวียนจีได้ยินว่าจะไป ก็รีบยัดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก เช็ดปากยืนขึ้น อวี่ซือเฟิ่งที่ด้านข้างเห็นนางรีบร้อน อดยิ้มไม่ได้ กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่รีบ ดูเจ้าสิ…”
เขายกมือไปปัดเม็ดข้าวที่ติดข้างแก้มให้นาง “ยังเหมือนเด็กน้อย”
เดิมข้าก็เป็นเด็กน้อย…เสวียนจีอยากกล่าวเช่นนี้ แต่พลันคิดได้ว่าตนเองอายุสิบห้าแล้ว ไม่นับว่าเป็นเด็กน้อยแล้ว จึงรีบกลืนคำพูดกลับลงไป
นางมองอวี่ซือเฟิ่ง พลันรู้สึกว่าบนใบหน้าเขามีอันใดไม่ถูกต้อง มองซ้ายมองขวา หาไม่พบว่าแท้จริงมีอันใดไม่ถูกต้อง
เมื่อวานตอนพบกับเขาก็ดึกมากแล้ว ห่างกันไปสี่ปีนางจึงได้เจอเขาอีกครั้ง ตื่นเต้นจนไม่ทันสังเกตว่าหน้ากากบนใบหน้าเขาไม่เหมือนเดิม ยามนี้ในห้องมีไฟส่องสว่าง ในที่สุดนางก็รู้สึกถึงความไม่เหมือนเดิมที่เปลี่ยนไปได้แล้ว
บนใบหน้าหรูอี้ก็มีหน้ากากอสุรา เหมือนกับซือเฟิ่งเมื่อสี่ปีก่อน แต่ตอนนี้หน้ากากซือเฟิ่งเปลี่ยนไป ยังคงเป็นใบหน้าอสุราที่น่ากลัว แต่ใบหน้านั้น ข้างซ้ายน้ำตาไหล ข้างขวายิ้มเล็กน้อย ตอนนี้อยู่ใต้แสงไฟ เมื่อมองไปก็ตกใจอย่างมาก
“ซือเฟิ่ง เหตุใดหน้ากากเจ้า…?” นางพึมพำถามขึ้น
ยังกล่าวไม่ทันจบ อวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ก็สะดุ้ง
“เขา…” หรูอี้อ้าปากอยากกล่าวอันใด แต่กลับไม่กล่าวออกมา ได้แต่ยิ้มเจื่อน
อวี่ซือเฟิ่งยกมือ ลูบหน้ากากเบาๆ เป็นนานกว่าจะกล่าวว่า “เพียงแค่เปลี่ยนหน้ากากเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง…ไม่กล่าวเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเราเตรียมตัวไปกันได้แล้ว เสวียนจี อีกสักครู่ข้าจะให้เจ้าดูเสี่ยวอิ๋นฮวา”
“เสวียนจี! เสวียนจี! เจ้าอยู่ไหน?!”
หลิงหลงตะโกนดังที่สุด ยังมีเสียงสะอื้นไห้เจือปน สั่นเครือราวกับจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ เสวียนจีได้ยินนางตะโกนเช่นนี้ ตนเองไม่เป็นอะไรก็อดหลั่งเหงื่อเย็นไม่ได้ นางตะโกนราวกับเรียกวิญญาณเลย…
“ข้า…ข้าอยู่นี่” นางรีบวิ่งไปกวักมือเรียกสองคนที่ร้อนใจอย่างที่สุด
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?!” จงหมิ่นเหยียนพุ่งเข้ามารวดเร็วราวลูกธนู คว้าไหล่นางไว้ มองแต่หัวจรดเท้า เสื้อผ้าบนตัวนางฉีกขาดหลายแห่ง รอยเลือดเป็นสาย ดีที่ไม่บาดเจ็บหนัก พอเขาแน่ใจเรื่องนี้แล้ว จึงได้วางใจโล่งอก พลันรู้สึกว่าตนเองแสดงอารมณ์ไม่ถูกต้องนัก จึงรีบปล่อยนาง รู้สึกผิดที่ขาดสติเกินไป
หลิงหลงเป็นพวกไม่อาจระงับใจ พอเห็นเสวียนจีก็วิ่งเข้าไปกอดแขนไว้ไม่ยอมปล่อย ร้องไห้จนขี้มูกโป่งน้ำตานอง พลางบ่นไม่หยุดราวกับยายแก่ตัวน้อย
เสวียนจียกมือหนึ่งกอดนางไว้พลางยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่เป็นไร หลิงหลง…ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้า เจ้าดูนี่ มีคนดูอยู่นะ! อย่าร้องไห้แล้ว…ซือเฟิ่งก็อยู่…”
ทั้งสองกำลังตื้นตันดีใจ ได้ยินชื่อซือเฟิ่ง จึงได้รู้สึกว่าว่าในป่าด้านหลังมีคนยืนอยู่สามคน สองคนในนั้นล้วนอยู่ในชุดเขียวสวมหน้ากาก จงหมิ่นเหยียนระงับความตื่นเต้นไม่อยู่ รีบก้าวเข้าไปจับมือคนผู้หนึ่ง กล่าวว่า “ซือเฟิ่ง! ไม่ได้พบกันสี่ปี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หลิงหลงไม่สนใจตาที่ยังแดงอยู่ รีบปรี่เข้าไปถามว่า “เป็นเจ้าที่ช่วยเสวียนจีหรือ ซือเฟิ่งคนดี! ขอบคุณเจ้ามาก!”
คนผู้นั้นยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้า หรูอี้แห่งตำหนักหลีเจ๋อ…”
อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ กระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง แสร้งทำเป็นโมโหกล่าวว่า “จำผิดกันหมดเลย ผู้ใดกล่าวว่าพี่น้องสนิทกันชั่วชีวิต”
จงหมิ่นเหยียนท่าทางเก้กัง รีบปล่อยมือหรูอี้ หันกลับไปชกอวี่ซือเฟิ่งหมัดหนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งโต้กลับเขาด้วยหมัดหนึ่ง ทั้งสองจับมือกันทันที เผยรอยยิ้มขึ้นพร้อมกัน
“หมิ่นเหยียน เจ้าสูงขึ้น กำยำขึ้น! หลายปีมานี้บำเพ็ญเพียรสัมฤทธิ์ผลกระมัง” อวี่ซือเฟิ่งตบบ่าเขา แสดงท่าทางราวกับเพื่อนสนิทพบกัน
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “เจ้าก็เหมือนกันนี่! ตัวสูงเท่าข้าเลย…อ้อ เหมือนพูดคล่องขึ้นด้วย?! ไม่ติดอ่างเหมือนก่อนแล้ว”
เจ้าสิติดอ่าง! ในใจอวี่ซือเฟิ่งโต้กลับรุนแรง แต่สีหน้ายังคงกระจ่างไม่แปรเปลี่ยน อย่างไรก็อยู่ต่อหน้าศิษย์ร่วมสำนัก ไม่อาจไม่ระงับกิริยาอาการ เขาพูดภาษาจงหยวนไม่ติดอ่างแล้ว เป็นเพราะสี่ปีมานี้ฝึกฝนทุกวันคืน…ก็เพื่อจะได้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่แสดงความรู้สึกออกไปไม่เป็น ทำให้สูญเสียสิ่งมีค่าบางอย่างไป
พวกเขาจากกันไปสี่ปี ได้พบกันอีกครั้ง ย่อมต้องมีวาจามากมายอยากจะกล่าวกัน ไม่สนใจว่ายามนี้อยู่ท่ามกลางป่าเขา ใต้คืนจันทร์อับแสงและลมพัดแรง อยากจะลงนั่งสนทนาเสียในตอนนี้ คุยกันจนฟ้าสางไปเลย
หรูอี้ที่อยู่ข้างๆ ฟังพวกเขารำลึกความหลังกันอย่างออกรสออกชาติ ดรุณีน้อยชุดขาวทนไม่ไหว กว่าจะรอจังหวะพวกเขาหยุดพูดก็นานอยู่ไม่น้อย รีบกล่าวแทรกขึ้นกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…ที่นี่หนาวมาก พวกเรากลับไปค่อยคุยกันเถอะ ดีไหม”
อวี่ซือเฟิ่งกลับไม่ตอบ
หลิงหลงสังเกตเห็นดรุณีน้อยชุดขาวผู้นี้ เด็กผู้หญิงชอบเทียบความงามกัน โดยเฉพาะเห็นผู้ที่งามใกล้เคียงกับตนเองก็จะแอบพิเคราะห์อีกฝ่ายไม่รู้กี่รอบ ยามนี้เห็นนางกล่าวสนิทสนมกับอวี่ซือเฟิ่ง ในใจอดไม่พอใจไม่ได้
ในใจหลิงหลง ซือเฟิ่งเป็นของเสวียนจี นางมั่นใจว่าเสวียนจีชอบซือเฟิ่ง ซือเฟิ่งเองก็รักมั่นเสวียนจี ยามนี้ถึงกับมีสตรีอรชรอ่อนหวานแทรกเข้ามา นางจะไม่รู้สึกไม่ดีได้อย่างไร!
หลิงหลงจึงได้ยู่ปากกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง แม่นางนี้คือใคร”
ดรุณีน้อยก็เหมือนว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน เห็นหลิงหลงหน้าตาโดดเด่น ยามพูดกลับมีน้ำเสียงกระทบกระเทียบก็ไม่พอใจขึ้นมา ส่งเสียงฮึเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง
หรูอี้เป็นคนซื่อ ยามนั้นจึงยิ้มแนะนำขึ้น “แม่นางผู้นี้คือแม่นางลู่เยียนหรานแห่งเกาะฝูอวี้ ข้ากับซือเฟิ่งออกมาฝึกฝน พอดีพบกับแม่นางลู่ นางพลัดหลงกับศิษย์ร่วมสำนัก ดังนั้นจึงร่วมเดินทางมากับพวกเรา”
หลิงหลงได้ยินคำว่าเกาะฝูอวี้ อดหันไปมองนางไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า “พวกเรากำลังจะไปเกาะฝูอวี้เยี่ยมท่านอาตงฟาง บังเอิญมาพบเรื่องผีอาละวาดที่นี่ ดังนั้นจึงอยู่ตรวจสอบ ใช่แล้ว พี่ชายท่านนี้คือ…?”
หรูอี้ได้แต่เอ่ยสำนักตนเองขึ้นอีกครั้ง “ข้า หรูอี้ ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ คุณหนูใหญ่ฉู่ คุณหนูรองฉู่ จอมยุทธ์จง โปรดชี้แนะด้วย”
เขามีมารยาทเช่นนี้ ทุกคนก็ต้องพากันแนะนำตัวเอง เห็นชัดว่าเป็นคนแบบเช่นตู้หมิ่นหัง
ทั้งสามคนจากสำนักเส้าหยางจึงรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เหมือนว่านั่งนานไป รู้สึกหนาวอยู่บ้างแล้ว…ไม่สู้พวกเรากลับไปกันเถอะ ซือเฟิ่ง พวกเจ้าพักที่ไหน”
เสวียนจีลุกขึ้นปัดฝุ่นและเศษหญ้าตามร่างกายไปมาพลางถามขึ้น
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “อยู่ที่เดียวกับพวกเจ้า…บ้านตระกูลจ้าว พวกข้าเองก็ได้ยินว่าที่นี่มีผีอาละวาด ดังนั้นจึงมาดูกัน”
เสวียนจีพลันนึกถึงข้าวพองที่กระเด็นโดนอย่างน่าแปลกใจตอนบ่ายที่ผ่านมา ยังมีแสงสีเงินที่พาดผ่านกลางป่านั่น อดตื่นเต้นไม่ได้ กล่าวว่า “อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็เห็นพวกเราตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วสิ? เหตุใดไม่เรียกข้า! แสงสีเงินนั่น…คือเสี่ยวอิ๋นฮวากระมัง ตอนนี้มันร้ายกาจมาก!”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เป็นนานจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ได้ติดต่อกันสี่ปี…ข้าคิดว่า เจ้าอาจลืม…ข้า”
เขาไม่คิดพูดถึงเรื่องที่ตนเองรออยู่ตำหนักหลีเจ๋อถึงสี่ปี ไม่ได้รับจดหมายสักฉบับ เขาไม่อยากย้อนกลับไปคิดถึงความรู้สึกเช่นนั้นอีก ไม่อยากคิดจริงๆ
ในที่สุดเสวียนจีก็ละอายใจอย่างรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ ก้มหน้ากล่าวขอโทษว่า “ขอโทษด้วย ข้า…ข้าเป็นสุกรตัวหนึ่ง ข้าลืมเจ้า…เจ้าด่าข้าสิ”
ลืม…เขาหัวเราะขื่นขมขึ้นในใจ เคาะหน้าผากนางทีหนึ่ง กล่าวอ่อนโยนว่า “กลับกันก่อนเถอะ กลับไปแล้วค่อยว่ากัน”
การกลับไปครานี้เป็นการพบกันอีกครั้งอย่างครึกครื้น หนุ่มสาวหลายคนขอยืมตะเกียงน้ำมันจากบ้านตระกูลจ้าวมาสองดวง จากนั้นนั่งอยู่ในห้องโล่งคุยกันจนดึกดื่นเที่ยงคืน
คุยกันจนขอบฟ้าเริ่มมีแสง เห็นฟ้าใกล้สางแล้ว ลู่เยียนหรานทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หาวขึ้นกล่าวเสียงอู้อี้ว่า “ข้าจะไปนอนแล้ว…ซือเฟิ่ง เจ้าก็ไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปตรวจสอบมารปีศาจอาละวาดอีก”
จงหมิ่นเหยียนพอได้ยินมารปีศาจอาละวาดจึงกล่าวว่า “ที่แท้พวกเจ้าเองก็มาตรวจสอบเรื่องนี้ เป็นอย่างไรบ้าง มีร่องรอยไหม นกประหลาดสามหัวพวกนั้นแท้จริงแล้วเป็นมาอย่างไร”
อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “นกเหล่านั้นชื่อว่าฉวีหรู เป็นปีศาจชนิดหนึ่ง แม้ว่าดูดุร้าย แต่กลับไม่ได้มีภัยอันใด ไม่ค่อยโจมตีใส่ผู้คน ได้ยินว่าพวกมันชอบกินรากหญ้าจู้อวี๋ ดังนั้นพวกข้าสงสัยว่าอาจเพราะหญ้าจู้อวี๋ผืนใหญ่ที่นี่ชักนำพวกมันมา”
หลิงหลงพลันระลึกได้ “ที่แท้เป็นเช่นนี้! พวกมันดมกลิ่นได้ว่าที่นี่มีหญ้าจู้อวี๋ ดังนั้นจึงมากิน! ไม่ทำร้ายคนก็ไม่เป็นไร”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ก็ไม่อาจด่วนสรุป หลายปีผ่านมานี้ ที่นี่แต่ไรมาไม่เคยประสบเหตุนกฉวีหรูฝูงใหญ่มากินหญ้าจู้อวี๋ อาจมีคนควบคุมพวกมัน ส่วนว่าจุดประสงค์เพื่ออันใด พวกข้าก็ยังตรวจสอบไม่พบ”
หลิงหลงรีบกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกข้าร่วมมือกับพวกเจ้าสืบหาด้วยกัน! อย่างไรพวกข้าก็ออกมาฝึกฝนตน หลายคนร่วมแรงกำลังยิ่งมาก! อยู่ด้วยกันก็ครึกครื้นดี!”
อวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ยังไม่ทันกล่าวอันใด พลันได้ยินลู่เยียนหรานข้างๆ หาวหวอด ส่งเสียงหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าววาจาเนิบนาบว่า “ศิษย์ลงเขาครั้งนี้ของสำนักเส้าหยางไม่มีความสามารถพิเศษอันใดเลย นกฉวีหรูไม่กี่ตัวก็รับมือไม่ไหว เกิดมาคอยเป็นตัวถ่วงกันจะทำอย่างไร?”
“เอ่อ แม่นางลู่ อย่า…”
หรูอี้รีบเข้ามาแก้สถานการณ์ แต่ปรากฏว่าสายไปเสียแล้ว หลิงหลงกระโดดขึ้นชี้หน้านางพลางตวาดดุดัน “เจ้าว่าอะไรนะ?! ลองพูดอีกทีสิ!”
ทว่าลู่เยียนหรานกลับยิ้มเล็กน้อย บิดขี้เกียจกล่าวว่า “ไม่มีอันใดต้องกล่าว รีบไปนอนเถอะ ยังต้องไปตรวจสอบอีก อย่าให้พอถึงเวลาตื่นไม่ไหว พวกข้าไม่รอพวกเจ้า…”
หลิงหลงไหนเลยจะทนไหว ชักกระบี่ต้วนจินออกมาทันที กล่าวน้ำเสียงเอาจริงว่า “เจ้าดูถูกพวกข้าหรือ ไม่สู้ว่าออกไปด้านนอกตอนนี้เลย ดูว่าผู้ใดคอยถ่วงผู้ใด!”
ลู่เยียนหรานรีบไปหลบหลังอวี่ซือเฟิ่ง หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “แม่นางดุจัง…ผู้ใดจะเล่นอาวุธกับเจ้ากัน …เก็บแรงไว้รับมือมารปีศาจเถอะ”
หลิงหลงเป็นคนตรงไปตรงมา ไหนเลยจะเคยพบสตรีที่ลิ้นตลบตะแลงเช่นนี้ จึงโมโหตัวสั่นขึ้นมาทันที
จงหมิ่นเหยียนรั้งไหล่หลิงหลงไว้ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ต้องกล่าวมากความอีก หลิงหลง ไม่นานก็รู้ผลแล้ว ไยต้องต่อปากต่อคำให้มากความ”
หลิงหลงแค่นเสียงฮึ ก่อนจะเก็บกระบี่คืนฝัก ถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง
“ซือเฟิ่ง…” เสวียนจีดึงแขนเสื้อเขา ราวกับลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง
อารมณ์ความรู้สึกเขาภายใต้หน้ากากย่อมมองไม่เห็น หากน้ำเสียงกลับอ่อนโยน “ไว้พวกเราไปด้วยกัน เด็กดี ไปนอนเถอะ ตื่นมาจะให้เจ้าดูเสี่ยวอิ๋นฮวาว่าโตแล้วเป็นอย่างไร”
ในที่สุดเสวียนจีก็ถูกปลอบจนเบิกบาน พยักหน้าโดดตัวลอย ไม่สนใจมองคนแปลกหน้าข้างๆ สองคน ตนเองไปนอนทันที
เสวียนจีร่วงลงไป ในเวลานั้นคิดยกมือคว้ากระบี่ไว้ แต่นกประหลาดรอบกายนางมากเกินไป บินเบียดกันเข้ามา นางถึงกับไม่อาจขยับเขยื้อน นิ้วมือเกี่ยวด้ามกระบี่ไม่อยู่ กระบี่ลื่นหลุดร่วงลงไป
ข้างหูได้ยินเพียงเสียงหวีดร้องของหลิงหลง นางไม่ทันฟังให้ชัดก็ร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว
นกประหลาดพวกนั้นแผดเสียงร้องดังพุ่งตามไป พริบตาก็ล้อมนางไว้ตรงกลางจนกลายเป็นก้อนกลม ร่วงลงไปพร้อมกัน เสวียนจีหลบหลีกการโจมตีซ้ายขวาจากกรงเล็บแหลมไปมา พวกมันมีจำนวนมากเกินไปจริงๆ กระบี่นางอีกเล่มถูกขัดไว้ ชักอย่างไรก็ไม่ออก ไม่กี่ทีก็พลันรู้สึกว่าเจ็บปวดแขนด้านหลังอย่างยิ่ง ก็ไม่รู้ถูกกรงเล็บแหลมเกี่ยวไปกี่แผลแล้ว
นางได้แต่กุมศีรษะแน่น เพื่อไม่ให้กรงเล็บพวกมันโดนใบหน้านาง เสียโฉมไปคงได้แย่จริงๆ แล้ว ยามนี้พลังไม่พอ ร่วงลงไปอีก ไม่อาจเรียกมังกรเพลิงออกมาได้แม้ครึ่งสาย ได้แต่ฝืนใช้พลังที่เหลืออยู่น้อยนิดปกป้องรอบกายไว้ ตอนตกลงพื้นจะได้ไม่ถึงกับพิการ
เกรงแต่ว่าพอตกลงพื้นเจ้านกประหลาดพวกนี้ยังไม่ยอมปล่อย จะมาจับนางกินอีก ตอนนั้นนางคงได้แต่ปล่อยให้มันจัดการตามอำเภอใจแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทานแม้แต่น้อยแล้ว
กำลังคิดเหลวไหลไปมา พลันได้ยินห่างออกไปไม่ไกลนักมีคนเป่าปากเสียงดัง เสียงดังยาวสามเสียง สั้นหนึ่งเสียง นางฝืนตัวหลบกรงเล็กแหลมของนกประหลาด มองไปทางนั้น ไหนเลยจะเห็นชัด! รู้สึกเพียงแสงหนึ่งกระทบตาเลือนราง เร็วราวสายฟ้า เลื้อยไปมากลางอากาศราวกับงูตัวหนึ่ง
ในใจนางพลันบีบเกร็งแน่น เห็นแสงสีเงินสายนั้นพุ่งมารวดเร็ว กระโดดไปมาคล่องแคล่วบนหลังนกประหลาด เพียงแตะโดน เจ้านกพวกนั้นก็จะหมดสิ้นพลัง บินไม่ขึ้นอีก
เสียงเป่าปากฝั่งตรงข้ามยังคงเป่าต่อ ราวกับเป่าเป็นบทเพลงท่วงทำนองประหลาดอันใด บัดเดี๋ยวสั้น บัดเดี๋ยวยาว บ้างเนิบนาบ บ้างเร่งเร้า แสงสีเงินนั่นบิดตัวไปตามท่วงทำนองเพลงของเขา บินทะยานขึ้นฟ้า ในเวลาชั่วพริบตา นกประหลาดที่บินรอบตัวนางพวกนั้นถูกปะทะร่วงไปเกือบครึ่ง
ในที่สุดเสวียนจีก็มีช่องว่าง ขณะกำลังก้มตัวลงเล็กน้อย ศีรษะไม่ทันระวังกระแทกเข้ากับนกประหลาดตัวหนึ่งข้างๆ หยกประดับผมบนศีรษะแตก ผมยาวราวแพรไหมสลายลงมา วาดเป็นวงงดงามสายหนึ่ง ท่ามกลางท้องฟ้า ยามนี้นางไม่อาจสนใจจะจัดผม ยกมือคว้าผมยาวไว้ เท้าขวาแตะต้นไม้ แปรเปลี่ยนเป็นพลังตัวเบาลอยลงสู่พื้น
ยังมีนกประหลาดไม่รู้จักที่ตายพุ่งเข้ามาจะจับนางกิน นางชักกระบี่ออกมารับมือ ผู้ใดจะรู้ว่าข้างหลังใบหูนางพลันมีเสียงลมเสียดดังมา นางรีบก้มตัวลงทันที ได้ยินเพียง ปึก ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ของสิ่งหนึ่งปักเข้ากลางอกนกประหลาดตรงหน้าตัวนั้น แทงทะลุกระดูกหน้าอก
ตามมาด้วยเสียงดังติดๆ กันกลางท้องฟ้า คิดว่ามีคนด้านหลังใช้หนังสติ๊กยิงไม่หยุด คืนเดือนมืดเช่นนี้ คนผู้นั้นถึงกับสายตาร้ายกาจเช่นนี้ ยิงทีร่วงที สุดท้ายเสวียนจีไม่ต้องลงมือ เพียงแต่ยืนมองอยู่ข้างๆ ก็พอ ในเวลาไม่นาน คนผู้นั้นใช้หนังสติ๊กยิงนกประหลาดที่เหลืออีกสิบกว่าตัวตายหมด บนพื้นมีซากนกประหลาดกองหนาเป็นชั้นเต็มไปหมด กลิ่นคาวเลือดยากทนรับไหว
ยามนี้แม้แต่เสวียนจีก็ทนไม่ไหว คว้าถุงหอมที่เอวขึ้นมาสูดดมไม่หยุด กลัวว่าหากสูดกลิ่นนี้เข้าไปอีก อาหารเย็นก็คงอาเจียนออกมาหมดแล้ว
“แม่นางไม่เป็นไรใช่ไหม”
เสียงหนึ่งพลันแว่วดังมาจากป่าข้างๆ เสวียนจีรีบหันกลับไปมอง เห็นชายชุดเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังต้นไป๋หยาง ในมือถือหนังสติ๊กเหล็กสีดำที่ขนาดใหญ่กว่าหนังสติ๊กยิงทั่วไปสองเท่า คิดว่าเมื่อครู่คนที่ใช้หนังสติ๊กยิงนกประหลาดตายก็คือเขา
เสวียนจีส่ายหน้าเดินเข้าไปหา พึมพำกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณเจ้า”
ยามนี้แสงจันทร์ดับมืดลง นางเข้าใกล้มาสองสามก้าว รู้สึกเพียงว่าคนผู้นั้นร่างสูงผอม ผมดำ ฟังเสียงแล้วเหมือนชายหนุ่มอายุน้อย เพียงแต่มองใบหน้าไม่ชัด
คนผู้นั้นประสานมือให้นางเล็กน้อยจากระยะไกล กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เล็กน้อย ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ สหายแม่นางน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ข้าน้อยขออำลา”
กล่าวจบ เขาก็หันกายจะจากไป เสวียนจีใจเต้นแรง รีบกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน…รอสักครู่! เจ้า…หันมา…เจ้า เจ้าคือ…?”
คนผู้นั้นหันกลับมา ยามนี้เสวียนจีมองกระจ่างได้ในที่สุด ใบหน้าเขาสวมหน้ากากอสุรา! นางสะดุ้งยกมือชี้เขาทันที แต่กลับกล่าวอันใดไม่ออกสักคำ
คนผู้นั้นยังกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ข้า หรูอี้ ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ ไม่ทราบแม่นางยังมีอันใดชี้แนะ”
หรูอี้? ที่แท้ไม่ใช่เขา…แต่ไม่สนใจแล้ว อย่างไรก็เป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ!
“ซือเฟิ่งอยู่ที่ใด” นางถามถามตรงๆ ง่ายๆ คิดก็ไม่ทันคิด
หรูอี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง ราวกับไม่รู้จะตอบอย่างไร น่าจะไม่คิดว่านางจะถามเช่นนี้
“คือ…แม่นาง เจ้า…”
“เจ้ารู้จักซือเฟิ่งไหม” นางรู้สึกตนเองถามไม่ดี ดังนั้นจึงเปลี่ยนคำถาม
“แม่นาง…เอ่อ…”
“เจ้าเคยพบซือเฟิ่งไหม” เปลี่ยนคำถามอีก
“ข้า…ข้า…”
“ก็คือซือเฟิ่ง…เจ้าน่าเคยพบกระมัง” เหตุใดฟังไม่เข้าใจ นางถามตรงเช่นนี้แล้ว
พลันมีเสียงหัวเราะดังมาจากบนต้นไม้ ทั้งสองเงยหน้ามองพร้อมกัน ได้ยินคนบนต้นไม้ผู้นั้นกล่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินคนถามคำถามเช่นนี้! เป็นคนประหลาดจริง”
เสียงนั้นนุ่มนิ่มออดอ้อน เหมือนเป็นเด็กหญิง เสวียนจีกำลังเพ่งมองให้ละเอียด พลันเงาร่างจากบนต้นไม้ก็เหินลงมายืนอยู่เบื้องหน้านาง คนหนึ่งสูง คนหนึ่งเตี้ย หนึ่งชาย หนึ่งหญิง
ผู้หญิงน่าจะเป็นคนกล่าววาจาเมื่อครู่ นางสวมชุดขาวแขนเสื้อกว้างไหล่แคบ ใบหน้างดงาม สองตาส่องประกาย กำลังเผยรอยยิ้มบางมองนาง
ผู้ชาย…สวมชุดเขียว ร่างสูงผอม ไพล่มือไว้ด้านหลัง ยืนหันหลังให้นาง ไม่รู้มองอันใด
ในใจเสวียนจีกระตุกไหว รู้สึกว่าคนผมดำขลับผู้นั้น เงาแผ่นหลัง ท่ายืน…ไม่มีอันใดไม่คุ้นเคย นางกำลังจะเอ่ยปาก พลันได้ยินคนผู้นั้นเป่าปากหลายเสียงเบาๆ ขึ้นฟ้า ชั่วเวลาพริบตา แสงสีเงินที่ช่วยนางไว้สายนั้นก็ม้วนตัวกลับมา กลับเข้าแขนเสื้อเขา มุดเข้าไปแล้วก็เงียบกริบ
ได้ยินเสียงคนผู้นั้นถอนหายใจยาว กล่าวเบาๆ ว่า “ที่แท้ เจ้ายังจำข้าได้”
กล่าวจบ เขาก็หันกายกลับมา เห็นหน้ากากอสุราบนใบหน้าชัดเจน
เสวียนจีแทบจะกระโดด พุ่งเข้าไปราวกับลูกธนูกล่าวตื่นเต้นว่า “เจ้า…คือว่า…เหตุใดเจ้า…”
นางกล่าวไม่เป็นภาษา อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบาง กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พูดเบาหน่อย ไม่เจอกันทำไมสี่ปี กลายเป็นเจ้าติดอ่างไปแล้ว”
“อา! ซือเฟิ่ง เจ้าพูดภาษาจงหยวนได้แล้ว!” นางชี้หน้าเขาตะโกนดัง
เดิมข้าก็พูดเป็น…เขาแอบโต้ในใจอย่างเสียไม่ได้ กล่าวอีกว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ผู้ใดจะรู้ว่าเสวียนจีไม่ได้ยินคำถามเขาแม้แต่น้อย นางคว้ามือเขาไว้ สีหน้าเบิกบานราวบุปผาวสันต์ผลิบาน ยิ้มกว้าง กล่าวอย่างตื่นเต้น “เป็นเจ้าจริงด้วย! เป็นซือเฟิ่งจริงด้วย! ทำไมเจ้าสวมหน้ากากอีกแล้ว เกิดข้าจำไม่ได้จะทำอย่างไร”
อวี่ซือเฟิ่งสะอึกในลำคอ เป็นนานจึงได้กระซิบว่า “เจ้ายังคงจำได้…ไม่ใช่หรือ”
“ไม่ใช่เลย! หากเจ้าไม่พูด ข้ายังไม่กล้าแน่ใจ!” เสวียนจีดึงมือเขามาเขย่าเหมือนกับตอนเด็ก ไม่มีความรู้สึกถือสาธรรมเนียมใดแม้แต่น้อย
อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ชักมือกลับ ใบหูเริ่มแดง เป็นนานจึงกล่าวว่า “ข้าจำเจ้าได้ ก็พอแล้ว”
เสวียนจีแทบไม่ได้ฟังเขาพูดว่าอันใด เอาแต่ส่งเสียงเรียก ซือเฟิ่ง ซือเฟิ่ง สุดท้ายเรียกจนหรูอี้ที่อยู่ข้างๆ หลุดหัวเราะออกมา แม้แต่ดรุณีน้อยงดงามผู้นั้นก็แอบลอบยิ้ม
อวี่ซือเฟิ่งเคาะศีรษะนางเบาๆ ทีหนึ่ง อมยิ้มกล่าวว่า “ยังไม่เปลี่ยน ไร้จิตไร้ใจเหมือนเมื่อก่อน เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่คนเดียว ลงเขามาฝึกฝนเหมือนกันหรือ”
เสวียนจีกำลังจะกล่าว กลับได้ยินเสียงเรียกของหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนดังมาด้านหลัง เขาทั้งสองหานางพบแล้ว