เมืองจงหลีเป็นเมืองใหญ่และเจริญรุ่งเรืองเหมือนดังที่หรูอี้กล่าวไว้ เทียบกับหมู่บ้านลู่ไถกับหมู่บ้านวั่งเซียนแล้ว ต่างกันจนไม่อาจเอามากล่าวเทียบกันได้ มองแค่ตัวอาคารบ้านเรือนสูงใหญ่ ก็ให้กลิ่นอายหรูหราอลังการ ก่อสร้างขึ้นด้วยหินชิงสือก้อนใหญ่ ถนนเส้นทางกว้างจากหน้าประตูเมืองยาวออกไป สองข้างทางเป็นบ้านเรือนชาวบ้านหลากหลาย ชายคาปลายงอนขึ้นราวกับสองปีก
ในเมืองมีผู้คนคึกคัก มีภาพความเป็นปุถุชนครึกครื้นรื่นเริง หลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนเห็นภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก อะไรก็ล้วนแปลกใหม่ อะไรก็ล้วนน่าสนใจ ทั้งสองจึงไม่มีเวลาว่าง วิ่งหายตัวไปนานแล้ว สุดท้ายหรูอี้ใช้เวลานานกว่าจะหาพวกเขาเจอท่ามกลางฝูงชนรุมล้อมชมการแสดงกายกรรมข้างถนน
“คนนั้นร้ายกาจมาก! ฝึกวิชาอะไร” หลิงหลงตื่นเต้นมาก ชี้ไปยังพี่ชายนักแสดงที่กำลังปีนภูเขามีดดาบ ถามหรูอี้รวดเดียวแทบไม่หายใจ
หรูอี้เพียงยิ้ม “กายกรรมเท่านั้น ไม่เรียกว่าจริง”
“วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้” จงหมิ่นเหยียนลูบคาง จ้องมองท่าทางปีนภูเขามีดดาบของคนผู้นั้น มองอย่างไรดาบพวกนั้นก็ส่องประกายวาว ไม่เหมือนปลอม “อาจารย์บอกว่าในหมู่ชาวบ้านมีคนแปลกประหลาดมากมายที่สุด ไม่คิดว่าที่นี่ก็มีคนหนึ่ง วิชาที่ไม่กลัวคมอาวุธเช่นนี้หากเรียนเป็น คิดว่าต้องได้ประโยชน์ไม่น้อย”
หรูอี้หัวเราะฝืดเฝื่อน แม้แต่อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ ก็พลอยหัวเราะไปด้วย พอดีกับคณะกายกรรมนี้แสดงจบพอดี ชายร่างผอมสูงเมื่อครู่ที่ปีนภูเขามีดดาบเคาะไม้กรับ หนึ่งเพื่อเงิน สองเพื่อขายยาสูตรลับตกทอดจากบรรพชนของเขา เป็นพวกยาบำรุงพลังกิมกังอะไรพวกนั้น
จงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงเชื่อว่าจริง คนหนึ่งควักเงินซื้อไปมากมาย พลางถามคนผู้นั้นถึงเคล็ดลับที่คมอาวุธแทงไม่เข้า ทั้งสามได้แต่ส่ายหน้าไปมา สนทนากันออกรสยิ่ง
อวี่ซือเฟิ่งหันไปพบว่าเสวียนจีไปหยุดอยู่หน้าอาคารสองชั้นหลังหนึ่ง เหม่อมองชายคาบ้านเรือนชาวบ้านที่ปลายงอนขึ้น วันนี้นางเปลี่ยนเป็นชุดขาวแบบฤดูใบไม้ผลิ ปักขอบสีเงิน ด้านหลังศีรษะเกล้ามวยผมเอียง ปักเครื่องประดับผมสีเหลืองอ่อนหนึ่งคู่ ยิ่งทำให้ผิวพรรณขาวผุดผ่องราวกับบุปผา คนที่ผ่านไปมาไม่มีสักคนที่ไม่เหลียวกลับมามอง น่าเสียดายที่นางเหมือนไม่รู้ว่าตนเองงดงามเพียงใด
“เจ้ามองอันใด” อวี่ซือเฟิ่งเดินเข้ามาถามนางเสียงอ่อนโยน
เสวียนจีได้สติคืนมา จับเปียที่อยู่ตรงหน้าอกเล่นพลางกล่าวว่า “ข้ารู้สึกราวกับเคยเห็นบ้านแบบนี้”
ชายคาปลายงอนกระดกขึ้นเช่นนั้น ราวกับยังมีหลายชั้น แต่ละชั้นยื่นออกมา ทับซ้อนเป็นชั้น ด้านล่างแขวนกระดิ่งลม พอลมพัดมาก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเสนาะหู ชายคายังมีสัตว์เทพเฉาเฟิง นั่งแหงนหน้ามองฟ้าอ้าปากกว้าง บางครั้งเหนื่อยก็แอบขี้เกียจลงมาข้างล่าง
ไม่รู้เหตุใด นางรู้สึกคุ้นเคยกับภาพนี้มาก แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าแท้จริงแล้วเคยเห็นที่ใด
นางเหมือนไม่รู้ว่าท่าทางก้มหน้าครุ่นคิดของตนเองตอนนี้ดึงดูดผู้คนเพียงใด ข้างๆ มีคนคิดไม่ซื่อหาโอกาสเข้ามาเชื่อมไม่ตรีแล้ว
“แม่นางท่านนี้ มาเมืองจงหลีครั้งแรกหรือ” ดังคาด มีคนเดินเข้ามา เสวียนจีหันไปมองเห็นคุณชายชุดขาวอายุราวยี่สิบ หน้าตาหล่อเหลาสะอาดตา อากาศหนาวยังถือพัดในมือ ทำท่าทางราวคุณชายเสเพล กำลังส่งยิ้มให้นาง
นางรู้สึกงุนงง กะพริบตาปริบ “ใช่…”
คนผู้นั้นเห็นนางยอมมีไมตรีตอบ อดแสดงสีหน้าดีใจไม่ได้ หุบพัดประสานมือกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอให้ข้าได้มีเกียรตินำแม่นางชมเมืองสักครา อ้อ ลืมบอกชื่อข้า ข้า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ เสวียนจีก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ข้ารู้จักเจ้าหรือ”
คนผู้นั้นอึ้งไป “เรื่องนี้คือ…ข้ากับแม่นางก็เป็น…”
“ที่แท้เจ้าก็ไม่รู้จักข้า” เสวียนจีจ้องมองเขา “เช่นนั้น…เจ้าหาข้ามีธุระ?”
“เอ๊ะ…แม่นาง…”
เขาถลึงตาใส่ เสวียนจีหันกายจากไป แม้แต่สายตาก็ไม่มองเขา วันๆ คุณชายตระกูลใหญ่เช่นเขาเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมเมือง ไหนเลยจะเคยถูกสตรีไม่ไว้หน้า จึงรีบเร่งไล่ตามไป กล่าวว่า “แม่นาง ช้าก่อน ข้าจริงใจ…”
“อ้อ เช่นนั้นหรือ เจ้าจงใจ?” ในยามนี้หน้ากากอสุราบิดเบี้ยวน่ากลัวก็ปรากฏต่อหน้าเขา ราวกับร้องไห้ ราวกับแย้มยิ้ม ประหลาดบอกไม่ถูก คนผู้นั้นตกใจกระโดดถอยหลังไปหลายก้าว ชนเข้ากับคนผู้หนึ่ง พอหันกลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลา มองเขาเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เป็นจงหมิ่นเหยียน
“เจ้าจงใจคิดทำอะไรศิษย์น้องเล็กข้า?” จงหมิ่นเหยียนกำลังโยนขวดยาบำรุงกิมกังที่เพิ่งซื้อมานั้นไปมาในมือ หลิงหลงที่ด้านข้างก็เลียนแบบเขา กอดอกถลึงตาใส่เขาดุดัน
คนผู้นั้นเห็นนางมากับพวกที่ท่าทางดุดันน่าประหลาดพวกนี้ก็แสร้งลูบจมูกไปมาไม่พูดอันใดอีก มองดูคนติดตามที่ว่ากันว่ามีฝีมือดีสองสามคนของเขาที่พามาด้วย ล้วนไปเบียดตัวอยู่นอกวง มือหนึ่งของหรูอี้ขวางพวกเขาไว้ เข้าไปไม่ได้
เขาได้แต่ประสานมือกล่าวอย่างตกใจว่า “ข้า ฟางอี้เจินแห่งเมืองจงหลี ขอคารวะจอมยุทธ์ทุกท่าน”
พอได้ยินเขาเอ่ยนามตน คนที่เบียดตัวมุงดูข้างๆ ก็พากันส่งเสียงดังขึ้นทันที มีคนสอดรู้สอดเห็นกล่าวขึ้นว่า “ที่แท้เป็นบุตรชายรองของนายท่านฟาง! มิน่าถึงกล้าเกี้ยวพาราสีสตรีกลางถนนเช่นนี้…”
ฟางอี้เจินสีหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวเขียว อยากจะรีบหาที่มุดเข้าไปไม่ออกมาอีกเลยยิ่งดี หรูอี้อย่างไรก็เป็นคนสุขุมอยู่บ้าง จึงส่งผู้ติดตามที่ตนกำลังขวางไว้ให้พวกจงหมิ่นเหยียนขวางต่อ ตนเองก้าวเข้าไปประสานมือกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ในเมื่อคุณชายฟางเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ ยังมีน้ำใจต้อนรับพวกข้าเช่นนี้ พวกข้ามิอาจปฏิเสธ เช่นนั้นก็ขอคุณชายนำทางพวกข้าชมทิวทัศน์จงหลีสักครา”
เขายอมตามน้ำไป ถือโอกาสให้คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้นำทางเสียเลย ในเมื่อคนผู้นี้ออกหน้าคิดเอาใจสตรี เช่นนี้ก็ให้เขาเอาใจให้พอ
ดังคาด สีหน้าฟางอี้เจินขื่นขมยิ่งกว่ามะระขม จะรับปากก็ไม่อยาก จะปฏิเสธก็ไม่กล้า ได้แต่พยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ ก้มกายกล่าวว่า “เช่นนั้น…ทุกท่านตามข้ามา…”
คุณชายตระกูลสูงศักดิ์อย่างไรก็เป็นคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ รถที่นำออกมาแล่นก็มีกลิ่นอายร่ำรวยเงินทองทั้งคัน พวกเขาหกคนนั่งในรถคันหนึ่งยังเหลือที่อีก
หลิงหลงกับเสวียนจีไม่สนใจอันใด เรื่องบังคับให้ต้อนรับเช่นนี้ก็ให้เป็นเรื่องของพวกผู้ชายจัดการไป นางสองคนสนใจแค่หยิบผลไม้และขนมบนโต๊ะกินอย่างเดียว หลิงหลงดูคุ้นเคยยิ่ง ราวกับเป็นบ้านตนเอง ยกกาน้ำชากระเบื้องเคลือบสีขาวข้างๆ ขึ้นมารินน้ำชาดื่มคลายร้อน
ฟางอี้เจินได้แต่แอบทอดถอนใจ อยู่ดีๆ ไปหาเรื่องกลุ่มดาวมารเข้าจนได้ ได้แต่ปล่อยพวกเขากินไปดื่มไป เขาไหนเลยจะกล้ากล่าวปฏิเสธ
หรูอี้เห็นสีหน้าเขาตื่นตระหนกตกใจ จึงยิ้มกล่าวว่า “ขอบคุณคุณชายฟาง พวกข้าซาบซึ้งยิ่ง ขอรบกวนคุณชายบอกทางหน่อยว่าตอนนี้พวกเราจะไปไหนกัน”
ฟางอี้เจินเห็นเขาแม้ว่าสวมหน้ากากน่ากลัว แต่วาจาอ่อนโยนสุภาพเหมือนว่าไม่มีเจตนาร้าย จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง กล่าวว่า “ตอนนี้จะเดือนสองแล้ว เดือนสองจะมีคนมาเมืองจงหลีกันมากเพื่อจะไปขอพรที่ศาลบรรพชนตระกูลเกา ที่นั่นติดเขาและสายน้ำ ทิวทัศน์งดงามที่สุด”
พอหลิงหลงได้ยินว่าติดภูเขาติดสายน้ำก็ถามว่า “ติดทะเลสาบหงเจ๋อหรือ”
ฟางอี้เจินเห็นนางหน้าตาสะสวย ท่าทางมีชีวิตชีวา เป็นดรุณีน้อยงดงามโดดเด่นอีกนางหนึ่ง ในใจอดสั่นไหวไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า “แม่นางกล่าวได้ถูกต้อง มีความรู้มากมายจริง”
ไหนเลยหลิงหลงจะรู้ว่าเขาเอาใจนาง เป็นวิธีการเดิมๆ ของพวกเสือผู้หญิง นางพอถูกชมก็ได้ใจยิ่ง
อวี่ซือเฟิ่งพลันกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าได้ยินว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลบรรพชนตระกูลเกาเซ่นไหว้มิใช่เทพเซียนไร้ตัวตน แต่เป็นเทพเซียนตัวจริง เรื่องนี้จริงหรือ”
ฟางอี้เจินพยักหน้า กล่าวว่า “จอมยุทธ์ท่านนี้รู้จริง ศาลบรรพชนตระกูลเกาเซ่นไหว้สตรีผู้หนึ่ง นางแซ่เกา ดังนั้นจึงเรียกว่าศาลบรรพชนตระกูลของนางผู้แซ่เกา คนในเมืองมีเรื่องทุกข์ใจใด ขอเพียงมาอธิษฐานที่ศาล ก็มักจะเห็นผลในวันถัดไป ดังนั้นแต่ไรมาศาลนี้จึงมีผู้คนมาสักการะไม่ขาด คนห่างไกลออกไปนับหมื่นนับพันลี้พอได้ยินว่ามีปรากฏการณ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ก็พากันมา นางผู้แซ่เกาผู้นี้เกิดในเดือนสอง ดังนั้นเดือนสองของทุกปี ชาวเมืองในเมืองจงหลีจึงมารวมตัวกันทั้งเมืองเพื่อจัดพิธีบูชายิ่งใหญ่”
หรูอี้กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดไม่ไหว้วันจากไปของนาง หรือว่าเป็นพิธีการเฉพาะถิ่นนี้”
ฟางอี้เจินสนทนากับพวกเขามากมายก็เริ่มไม่กลัวแล้ว จึงยิ้มกล่าวว่า “จอมยุทธ์ท่านนี้คงไม่ทราบว่านางผู้แซ่เกามิได้สำเร็จเซียน เพียงแต่พำนักอยู่ที่เขาเกาซื่อซาน พิธีบูชายิ่งใหญ่ในเดือนสองทุกปี ยังต้องคัดเลือกชายหนุ่มอายุน้อยสองสามคนที่มีวาสนาเซียนไปรับใช้นาง!”
“หา? นี่ไม่ใช่ว่าเสพสุข…” หลิงหลงกล่าวไม่ทันจบ ก็รีบกลืนวาจากลับไป นางเดิมคิดจะกล่าวว่าเซียนหญิงผู้นั้นทุกปีรับชายหนุ่มอายุน้อยไปหลายคน ย่อมเสพสุข ‘ชาย’ ได้จริงๆ แต่คนที่นี่เลื่อมใสบูชาอย่างยิ่ง วาจานี้ออกไปก็ไม่น่าฟัง ดังนั้นจึงรีบหุบปาก
หรูอี้สบตากับอวี่ซือเฟิ่ง เห็นชัดว่าพวกเขาแต่ไรไม่เคยได้ยินว่ามี ‘เทพเซียน’ เรียกคนไปรับใช้ตนเองเช่นนี้ด้วย เรื่องสนุกนี้จะต้องไปชมแน่นอน
เพื่อคนผู้นี้ ทุกคนล้วนยุ่งกันมาตลอดสองวันสองคืน ตามกันจนเหม็นเหงื่อไปหมดทั้งตัว พอเห็นเขาไหนเลยจะยังทนระงับโทสะต่อได้ หลิงหลงพุ่งเข้าไปคิดสั่งสอนเขา ตวาดดุดันว่า “ดูสิว่าเจ้ายังจะหนีไปไหนอีก!” พูดไปก็จะแทงกระบี่ในมือใส่
หรูอี้รีบรั้งไว้ “คุณหนูฉู่อย่าวู่วาม! เรื่องใหญ่สำคัญ!”
คนผู้นั้นยกมือหนึ่งกุมแขนที่ถูกตัดขาด เลือดสดทำเอาร่างกายครึ่งท่อนเปียกชุ่ม ถึงกับไม่ร้องเจ็บปวดสักคำ ทำให้พวกเขาเลื่อมใสอยู่บ้าง
จงหมิ่นเหยียนเก็บกระบี่ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงควบคุมนกฉวีหรูพวกนั้น”
คนผู้นั้นได้แต่หัวเราะเสียงเยียบเย็น เป็นนานจึงได้กล่าวเสียงแหบพร่าว่า “ไยต้องกล่าวไร้สาระ จะฆ่าก็ฆ่าเลย”
หรูอี้ระงับอารมณ์คุกรุ่นของคนอื่นๆ ก่อนก้าวเข้าไป กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไยท่านต้องดื้อดึง ภาษิตว่ารู้กาลเทศะเป็นวีรชน พวกข้าเพียงถามคำถามเดียว เหตุใดมาอาละวาดก่อความวุ่นวายกับชาวบ้านที่นี่ มีจุดมุ่งหมายใด หากท่านยอมพูด ข้ารับรองว่าไม่ทำร้ายชีวิตท่าน”
คนผู้นั้นหัวเราะเสียงทุ้ม เยาะว่า “พวกเจ้าหลายคนแต่ไรก็ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง ข้ามแม่น้ำก็รื้อสะพานทิ้ง คำเดียว จะฆ่าก็ฆ่า ข้าไม่แม้แต่กะพริบตา”
“วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้” หรูอี้ยิ้มเล็กน้อย “ข้า หรูอี้ จากตำหนักหลีเจ๋อ ทุกท่านข้างๆ นี้ล้วนเป็นศิษย์พลังวัตรสูงส่งแห่งสำนักมีชื่อเสียงใต้หล้า แต่ไรมาคำไหนคำนั้น ขอเพียงท่านบอกว่าผู้ใดบงการอยู่เบื้องหลัง ต้องการอันใด พวกข้าก็จะไม่คืนคำ”
คนผู้นั้นหัวเราะเยาะ “ถุย! สำนักมีชื่อเสียงใต้หล้า ล้วนแต่เก็บซ่อนปกปิดเรื่องชั่วช้าสกปรกเอาไว้ ไม่มีอันใดสกปรกไปกว่าพวกเจ้าอีกแล้ว!”
“พูดมากกับเขาทำไม! เขาอยากตายก็ให้สมดังใจเขา!” หลิงหลงโมโหขึ้นทันที
หรูอี้เห็นเขาดื้อดึงเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะกล่าวอันใดดี ลู่เยียนหรานข้างๆ ก้าวเข้าไปยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน กล่าวว่า “พี่ชายท่านนี้ ไยต้องโมโหด้วย จริงๆ แล้วแม้ท่านไม่พูด พวกเราก็พอเดาได้ ข้าดูท่านเช่นนี้ คิดว่าไม่ใช่คนกระมัง”
กล่าวออกไป ทุกคนล้วนงุนงงเล็กน้อย จงหมิ่นเหยียนปฏิกิริยาไวสุด เข้าใจในทันที นี่ไม่ใช่วาจาด่าทอ เช่นนั้น ความหมายก็คือ “ไม่ผิด! เขาเป็นปีศาจ!”
หลิงหลง “อา” ขึ้นเสียงหนึ่ง ปีศาจในใจนางแต่ไรมาก็เป็นเช่นนกฉวีหรูหรือไม่ก็สุนัขฟ้าเช่นนั้น ไม่เคยคิดว่ามีปีศาจแปลงร่างเป็นคนและพูดได้ ท่ามกลางแสงจันทร์ในถ้ำ มองไปยังคนผู้นั้น เหมือนสัตว์ป่าอยู่ห้าส่วน เมื่อครู่นางเพียงรู้สึกว่าหน้าตาประหลาด คิดไม่ถึงว่าถึงกับเป็นปีศาจ
คนผู้นั้นแค่นเสียงฮึ ไม่พูดอันใด
ลู่เยียนหรานกล่าวอีกว่า “เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินว่า บนโลกนี้มีปีศาจมากมายที่แปลงร่างเป็นคนและพูดได้ ส่วนใหญ่แยกกันอยู่ มีชีวิตของตนเอง แต่ก็มีพวกคอยก่อเรื่อง คิดเป็นใหญ่ ต้องการเป็นใหญ่เหนือสิ่งชั่วร้าย มักถูกผู้บำเพ็ญเซียนล้อมสังหารหมดสิ้น แม้ว่าเจ้าไม่ยอมพูดว่าผู้บงการเบื้องหลังคือผู้ใด พวกข้าก็เดาได้ คาดว่าน่าจะกลุ่มคนชั่ว คิดวางแผนทำร้ายชาวบ้าน เดิมคิดให้โอกาสเจ้า ให้เจ้าได้พูด เจ้ากลับไม่ต้องการ เช่นนั้นก็อย่าได้ตำหนิที่พวกข้าไม่เกรงใจ!”
พอกล่าวจบ ทุกคนก็ยกกระบี่ในมือ คมกระบี่ชี้ไปทางเขา พลังกระบี่เต็มเปี่ยม คิดจะสังหารเขาทิ้งในกระบี่เดียว
คนผู้นั้นหัวเราะน้ำเสียงเศร้าสลด กล่าวเสียงแผ่วว่า “คงเป็นข้าโชคไม่ดี เอาเถอะ เรื่องถึงขั้นนี้ ยังมีอะไรต้องกลัวอีก!”
เขาพลันยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อ ควักเอาสิ่งของสิ่งหนึ่งขนาดยาวที่ถูกตัดครึ่ง ถูนิ้วมือจุดไฟ ทำท่าจะโยนทิ้ง
พวกหลิงหลงคิดว่าเขาเล่นอุบาย อย่างไรทุกคนก็ประสบการณ์น้อย พากันกุมใบหน้าถอยหลังพร้อมกัน เห็นแขนคนผู้นั้นพลันหมุน ของในมือก็ถูกโยนไปยังปากถ้ำ!
แหกระบี่นั่นแม้ว่ากั้นคนและปีศาจได้ แต่ไม่มีผลต่อสิ่งไร้ชีวิต มองเห็นสิ่งนั้นถูกโยนออกไป เสียงตูม ดัง แสงสีแดงกระจายกลางท้องฟ้าราวดวงดาวส่องประกายระยิบ
หลิงหลงเห็นสัญญาณแจ้งเหตุที่เขาเตรียมไว้ล่วงหน้าถูกปล่อยออกไป ก็คิดว่ารอบๆ น่าจะยังมีพรรคพวกเขาอีก อดชะเง้อมองไปรอบๆ ปากถ้ำไม่ได้
คนผู้นั้นคำรามดุดันว่า “วันนี้ข้าแม้ตายที่นี่ก็ต้องลากคนหนึ่งไปปรภพด้วยกัน!”
คำรามจบ เขาก็ยืดตัวยาวพุ่งเข้าหาหลิงหลงอย่างสุดกำลัง เห็นชัดว่าคิดจะลากนางตายไปพร้อมกัน เมื่อครู่หลิงหลงเผลอไปแวบหนึ่ง ถูกเขาชิงจังหวะได้ เห็นคนผู้นั้นกำลังคว้านางได้ ไม่ทันได้ตวัดกระบี่ ได้แต่ตกใจจ้องมองอึ้งไป
ขณะที่พูดก็พลันลงมือรวดเร็ว จงหมิ่นเหยียนกับหรูอี้ทั้งสองร่วมมือกัน คนผู้นั้นส่งเสียงร้องโหยหวน ถูกกระสุนเหล็กหลายลูกยิงเข้าทะลุหน้าอกบริเวณจุดสำคัญ กระบี่ในมือจงหมิ่นเหยียนแทงทะลุท้องเขาอย่างแม่นยำ
หลิงหลงเห็นเพียงคนผู้นั้นขยายตัวใหญ่ ร่างท่วมไปด้วยโลหิต ตกใจจนสองขาอ่อนแรง ด้านหลังพลันถูกแรงหนึ่งดึงไว้ หันกลับไปมอง เห็นลู่เยียนหราน ท่าทางนางเหมือนคืนน้ำใจให้ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้แล้วยังจะมามัวอึ้งอันใด เจ้าอยากตายหรือ!” ถึงกับใช้วาจาตอนที่หลิงหลงช่วยนางครั้งก่อนมากล่าว
หลิงหลงอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่อาจกล่าวคำขอบคุณออกมาได้ ได้แต่ก้มหน้าแสร้งทำใบ้
จงหมิ่นเหยียนเก็บกระบี่ สะบัดเลือดที่ติดบนกระบี่ออก พลางกล่าวว่า “เรื่องนี้จะว่าไปยังตรวจสอบไม่ถึงที่สุด แต่อย่างไรก็ขจัดภัยได้หนึ่ง พวกเรานำซากนี้กลับไปให้พวกท่านอาจ้าวดู ส่งงาน”
หรูอี้เห็นปีศาจตัวนั้นหมอบอยู่กับพื้น ไร้ลมหายใจ ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด มองแล้วก็น่าสงสาร อดถอนใจไม่ได้กล่าวว่า “ปีศาจเป็นคนเดินตัวตรงได้ เปิดหลอดเสียงพูดจาได้ก็ไม่ง่ายเลย น่าเสียดายกระทำความชั่ว จุดจบอนาถเช่นนี้ก็สมควร แต่ข้าเห็นเหมือนเมื่อครู่เขายังทำราวกับยังมีพรรคพวก ดูแล้วไม่เหมือนว่าเป็นการปฏิบัติการอาละวาดเพียงคนเดียว ไม่รู้เบื้องหลังยังมีแผนการอันใดที่พวกเรายังไม่กระจ่างอีก”
ลู่เยียนหรานเก็บแหกระบี่ ทุกคนล้วนมองออกไปนอกถ้ำ เห็นเพียงภูเรารกร้าง ไม่รู้ยังมีถ้ำอีกเท่าไร ในเวลาสั้นๆ นี้จะไปค้นหาหมดได้อย่างไร ได้แต่พากันถอนหายใจ
จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “เอาเถอะ ดูแล้วคนควบคุมนกฉวีหรูก็คือปีศาจนั่น พรรคพวกเขาคิดว่าคงหนีไปไกลแล้ว ระยะนี้คงไม่กลับมาอีก พวกเราไปตรวจสอบกันเถอะ อย่างไรต้องหาร่องรอยได้บ้าง”
เขาก้มลงไปยกร่างปีศาจขึ้น ทุกคนพากันเหินกระบี่ออกจากถ้ำ เพิ่งเหินข้ามมาไม่กี่ผา ก็เห็นกระบี่เหินมาอย่างเร่งร้อน เป็นเสวียนจีพาอวี่ซือเฟิ่งเร่งรุดมา
หลิงหลงรีบเข้าไปหา ร้อนใจกล่าวว่า “เสวียนจีมาได้อย่างไร! หรือว่าเจอเหตุอันใด”
เสวียนจีตากลมโตจ้องมอง “เอ๋? ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าปล่อยสัญญาณหรือ เหตุใด…”
จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “ไหนเลยเป็นพวกข้าปล่อย! ดูนี่ เป็นเขา!”
เขายกซากปีศาจแกว่งไปมา เลือดสดกระเซ็นหยดติ๋ง เสวียนจีเห็นหน้าตาดุร้ายเช่นนั้นของมันก็อดหนาวสันหลังวูบไม่ได้ พึมพำกล่าวว่า “นี่คือ…คนควบคุมนกฉวีหรูหรือ ทำไมตาย…”
หลิงหลงยิ้มแหะๆ “คนอันใด! มันไม่ใช่คน เป็นปีศาจ! มันรนหาที่ตายเอง ไม่ยอมบอกว่าคนบงการคือใคร แน่นอนพวกข้าต้องให้มันสมใจ!”
เสวียนจีเงียบกริบ อวี่ซือเฟิ่งถามกล่าวว่า “เช่นนั้นเรื่องฉวีหรูอาละวาดที่นี่ ก็ถือว่าจบแล้ว?”
จงหมิ่นเหยียนพยักหน้า “กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ผิดกระมัง เขาน่าจะมีพรรคพวกอีก แต่คงไม่กล้ามาหมู่บ้านวั่งเซียนนี่ชั่วคราว ข้าคิดว่าพวกเราไปจากหมู่บ้านวั่งเซียนก่อน หาข่าวไปตามทาง อย่างไรต้องตรวจสอบได้กระจ่าง”
อวี่ซือเฟิ่งเห็นซากปีศาจไม่ขยับ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “เขาตายจริงหรือ แต่…”
จงหมิ่นเหยียนไม่สนใจแกว่งไปมา ยิ้มกล่าวว่า “ตายแน่แล้ว! กระบี่แทงทะลุหัวใจ ยังถูกกระสุนเหล็กหรูอี้ยิงหน้าอกกระจาย แม้เซียนยิ่งใหญ่ก็ไม่อาจมีชีวิตต่อได้!”
วาจาเพิ่งกล่าวจบ เขาก็เห็นมือและขาปีศาจที่ถูกเขาเขย่าไปมาในมือเริ่มขยับ ทุกคนตกใจส่งเสียงร้อง จงหมิ่นเหยียนโยนออกไปอย่างแรง มันหลุดจากมือเขาหัวปักลงไป
“อา!” จงหมิ่นเหยียนเองก็ตกใจสะดุ้ง กำลังคิดไล่ตามไป พลันได้ยินอวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “ปีศาจไม่ตายง่ายๆ รีบตามไป!”
ที่แท้ด้านหลังหมู่บ้านวั่งเซียนเป็นเขาลูกหนึ่ง บนเขามีต้นหญ้าชื่อว่าจู้อวี๋ปกคลุมไปทั่ว หญ้าชนิดนี้มีรสหอมหวาน ชาวบ้านมักนำมาปรุงอาหาร กินมื้อหนึ่งก็ไม่ต้องกินข้าวสามวัน ดังนั้นน้อยมากที่ชาวบ้านวั่งเซียนจะปลูกพืชไว้กิน ล้วนอาศัยหญ้าจู้อวี๋ที่ขึ้นทั่วภูเขานี้
ผู้ใดจะรู้ว่าสามเดือนก่อน มีคนขึ้นเขาไปเก็บหญ้าจู้อวี๋ พบว่าหญ้าจู้อวี๋หลังเขาทั้งผืนทางใต้ถูกถอนหมดแล้ว บ้างก็เหมือนถูกกลั่นแกล้ง แม้แต่รากก็ยังถอนไปหมด ไม่มีคนเอาไปกิน ปล่อยให้มันแห้งตายอยู่อย่างนั้น
ต่อมาสถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หญ้าจู้อวี๋ทั้งหลังเขาแห้งตายหมด ลามไปถึงด้านหน้าเขาเห็นแค่พื้นที่เล็กๆ ที่ยังพอมีหญ้าจู้อวี๋เหลืออยู่บ้าง หญ้าเหล่านั้นสำหรับคนในหมู่บ้านแล้วเป็นแหล่งอาหารแหล่งเดียวที่มี หากแห้งตายหมดก็ไม่มีจะกินกันแล้ว
อาหารการกินยังนับเป็นเรื่องเล็ก ที่ยิ่งน่าประหลาดก็คือตั้งแต่หญ้าจู้อวี๋แห้งตายไป บนเขาก็เริ่มมีผีอาละวาด ดึกดื่นเที่ยงคืนมักได้ยินเสียงผีร่ำไห้ เสียงร้องโหยหวนดังตลอดทั้งคืน ถึงเช้าจึงได้หยุด
ผู้ชายก็แล้วไป แต่บรรดาเด็กน้อยและสตรีอ่อนแอขี้กลัว มักตกใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน นานวันเข้า ก็ล้มป่วย ถึงตอนนี้ คนทั้งหมู่บ้านก็เริ่มล้มป่วยไปกว่าครึ่งแล้ว ที่น่าแค้นใจที่สุดก็คือบรรดาหนุ่มสาวที่ใจกล้ารวมตัวกันเป็นกลุ่มสามถึงห้าคนขึ้นไปหลังเขากลางดึกเพื่อดูว่าแท้จริงเป็นเรื่องอันใด ไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีก ยิ่งเพิ่มสีสันความน่ากลัวให้กับเรื่องผีอาละวาดเข้าไปอีก
พวกเสวียนจีทั้งสามได้ฟังไหนเลยจะหวาดกลัว แต่ละคนล้วนอายุน้อยกำลังฮึกเหิมอยากลอง จึงรับปากทันทีว่าจะไปปราบผีที่หมู่บ้านวั่งเซียน เร่งให้พวกจ้าวเหล่าต้ารีบออกเดินทาง แม้แต่น้ำชาหลังอาหารก็ไม่ทันได้ดื่ม ทั้งหมดเร่งรุดไปทางตะวันออกเพื่อข้ามแม่น้ำมุ่งไปยังหมู่บ้านวั่งเซียนในทันที
ตอนข้ามแม่น้ำ ทั้งสามเหมาเรือพายหาปลามาลำหนึ่ง พายล่องข้ามแม่น้ำไป
เรือพายหาปลาแคบและเล็ก จ้าวเหล่าต้าทั้งสามก็เบียดมาด้วย หลิงหลงไม่พอใจนัก นางรังเกียจพวกเขาที่ร่างกายสกปรกและปากเหม็น ดังนั้นจึงลากจงหมิ่นเหยียนไปท้ายเรือแอบคุยกันสองคน
จ้าวเหล่าต้าเองรู้สึกเกรงใจ ยิ้มกล่าวกับเสวียนจีว่า “ควรเช่าเรือลำใหญ่หน่อย จะได้ไม่ต้องให้พวกแม่นางต้องลำบากมาพลอยเบียดไปบนเรือลำเล็กกับพวกเรา”
เสวียนจียิ้มกล่าวน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ท่านอาจ้าวอย่าได้คิดมาก ออกจากบ้านมาไหนเลยจะมีความสะดวกนัก ไม่สู้เล่าให้ข้าฟังหน่อยว่า ในหมู่บ้านแท้จริงมีคนเห็นไหมว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร”
จ้าวเหล่าต้าคิดแล้วก็ลังเลกล่าวว่า “ไม่มีผู้ใหญ่เคยเห็น แต่หลานคนเล็กข้า อายุแค่สี่ขวบ สองสามวันก่อนแผดเสียงร้องดังลั่นว่าเห็นผีที่ร่ำไห้ได้ บอกว่ามีสามหัว ยังมีปีก คือว่า…อย่างไรเขาก็เป็นเด็กน้อย พวกข้าก็ไม่ได้เอามาคิดเป็นจริงเป็นจังนัก”
เสวียนจีนิ่งเงียบเป็นนาน ในตอนนั้นเองหลิงหลงก็ลากจงหมิ่นเหยียนกลับมา ได้ยินจ้าวเหล่าต้ากล่าวเช่นนี้ สีหน้านางก็ซีดเผือด เขยิบเข้าไปใกล้แอบดึงเสื้อน้องสาว กระซิบข้างหูนางเบาๆ ว่า “เสวียนจี…หรือว่ามีผีสามหัวที่มีปีกจริงเช่นนั้น…น่ากลัวมาก!”
จงหมิ่นเหยียนได้ยินวาจากระซิบนาง จึงยิ้มกล่าวว่า “กลัวหรือ เช่นนั้นเมื่อครู่ผู้ใดยืดอกเป็นวีรชนกล้าหาญรับงานนี้ล่ะ หรือว่าเจ้าไปถึงหมู่บ้านก็หาที่หลบซ่อนก่อน ข้ากับเสวียนจีไปปราบผีก็แล้วกัน”
หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “เหลวไหล! ข้าไม่ได้กลัว! ข้า…ข้าไปด้วย!”
จ้าวเหล่าต้ายิ้มตาม กล่าวว่า “คุณหนูเป็นผู้เพ็ญเซียนย่อมไม่กลัว หวังว่าทุกท่านจะปราบผีสำเร็จ คืนความสงบสุขให้แก่วั่งเซียนเราด้วย”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านว่าผีนั่นมีสามหัว ยังมีปีก คิดว่าไม่ใช่ผีอันใด บางทีอาจเป็นนกปีศาจ หลายปีก่อนพวกข้าเคยไปเขาลู่ไถซาน ได้พบกับอินทรีกู่เตียวที่มีเสียงร้องราวผีร้องไห้ หากว่าเป็นปีศาจ เช่นนั้นทันทีที่ไปถึงก็ย่อมจับได้”
หลิงหลงหยิบเอาสมุดรายชื่อปีศาจที่พกติดตัวมาออกมาพลิกดูทันที พลางกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่ามีบันทึกถึงนกปีศาจสามหัว คิดไม่ออกว่าชื่ออะไร”
เสวียนจีเขยิบเข้าใกล้นางดูด้วยกัน พลันเห็นอันใดรีบชี้ไป “ใช่ตัวนี้หรือไม่”
ทั้งสามมองไปยังบนภาพที่นางชี้ไป เป็นนกฉวีหรู ลำตัวเป็นนกและมีสามหัว
หลิงหลงรีบส่งภาพให้จ้าวเหล่าต้าดู ถามว่า “ท่านดูนี่ เหมือนนี่ไหม”
จ้าวเหล่าต้าหรี่ตามองเป็นนาน สุดท้ายส่ายหน้าถอนหายใจ “ละอายใจยิ่งนัก พวกข้าไม่ได้เห็นผีตัวก่อเรื่อง…มีเพียงแค่หลานคนเล็กข้าที่เห็นมา”
หลิงหลงเป็นคนใจร้อน รีบมองท้องฟ้า พลางถาม “เช่นนั้นจะไปหมู่บ้านวั่งเซียนตอนไหน เรือข้ามแม่น้ำมาตลอดเช้านี่แล้ว”
จ้าวเหล่าต้ายิ้มกล่าวว่า “ยังอีกนาน ตอนบ่ายข้ามแม่น้ำไป ยังต้องเดินทางอีกสิบกว่าลี้ หากเดินเท้าเร็วหน่อย ก็คงจะถึงพรุ่งนี้เช้า!”
หลิงหลงพอได้ยินว่าคงจะถึงพรุ่งนี้ก็ร้อนใจเดินวนไปวนมาบนหัวเรือ สุดท้ายกระทืบเท้า ร้องขึ้นว่า “เจ้าหก! เสวียนจี! พวกเราเหินไปกันเถอะ! เดินทางชักช้าเช่นนี้จะต้องรอไปถึงเมื่อไรกัน!”
จงหมิ่นเหยียนกับเสวียนจีสบตากัน พวกเขาล้วนเข้าใจหลิงหลง คุณหนูใหญ่เช่นนางทนมาได้ถึงตอนนี้ก็นับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว
ตอนนั้นเองจงหมิ่นเหยียนก็ลุกขึ้นประสานมือให้จ้าวเหล่าต้ากล่าวขอโทษว่า “ขออภัยท่านอา พวกข้าเดินทางไปก่อน ไปรอทุกท่านที่หมู่บ้านวั่งเซียน”
จ้าวเหล่าต้ากล่าวอย่างแปลกใจว่า “บนเรือ ยังอยู่บนน้ำ…พี่ชาย! นี่…จะไปก่อนได้…?”
หลิงหลงยิ้มกล่าวว่า “พวกข้าย่อมมีวิธี ขอตัวก่อน!”
กล่าวจบ ทั้งสามก็หายตัวไปจากหัวเรือพร้อมกัน ทุกคนรีบตามไปหัวเรือดู เห็นเพียงแสงสีขาวสามสายบินผ่านท้องฟ้าไป พริบตาก็หายไปไร้เงา พวกเขาเป็นชาวหมู่บ้านป่าเขาไหนเลยเคยเห็นผู้บำเพ็ญเซียนเหินกระบี่ จึงคิดว่าเทพยาดาสำแดงฤทธิ์เดช รีบคุกเข่าลงบนหัวเรือโขกศีรษะไม่หยุด
เหินกระบี่ไปย่อมไม่เห็นว่ามีคนคุกเข่าคำนับพวกเขา พริบตาทั้งสามก็มาถึงยังหมู่บ้านวั่งเซียน
พอหลิงหลงถึงพื้น ก็รีบหาคนมาถามสถานการณ์ ผู้ใดจะรู้ว่าหมู่บ้านวั่งเซียนตั้งกว้างใหญ่ แต่กลางวันแสกๆ บนถนนกลับไม่มีคนสักคนเดียว ว่างเปล่าโล่งไปหมด ราวกับเมืองที่ร้างไปแล้ว
“ไม่ใช่กระมัง…กลางวันไม่มีผีอาละอาด ทำไมไม่มีคน…”
หลิงหลงเดินไปมาบนถนนครู่หนึ่ง พลันเห็นเบื้องหน้ามีร้านสุราแขวนธงกลางเก่ากลางใหม่ไว้ผืนหนึ่ง เปิดประตูไว้ครึ่งหนึ่ง ทั้งสามรีบวิ่งเข้าไป
หลิงหลงทนไม่ไหว พอเข้าไปก็ตะโกนดัง “เถ้าแก่! เถ้าแก่!”
เรียกอยู่เป็นนาน ด้านในไม่มีคนตอบรับ ทั้งสามเพ่งตามองไป เห็นกลางโถงมีโต๊ะเก้าอี้วางไร้ระเบียบ ฝุ่นจับหนา คิดว่าคงมีแขกมาแล้วไปอย่างรีบร้อน แม้แต่อาหารและสุราบนโต๊ะยังไม่ทันได้เก็บไป
เสวียนจีเลือกม้านั่งตัวหนึ่งที่ยังไม่พัง ใช้มือปาดฝุ่นบนนั้น ก่อนจะนั่งลงกล่าวเบาๆ ว่า “อาจเพราะผีอาละวาด ดังนั้นร้านสุราจึงไม่มีการค้า ทิ้งร้านไปแล้ว”
กล่าวไปนางก็หาวไป ยามปกติ นางล้วนนอนกลางวัน ตอนนี้ออกจากบ้านมา ไม่ได้นอน รู้สึกปวดหัวยิ่งนัก
หลิงหลงเองก็นั่งลงข้างนาง ลูบท้องหน้าบึ้งถอนหายใจ “ข้า…ข้าหิวแล้ว สถานที่ผีบ้านี่ไม่มีคนเลยสักคน…น่ารังเกียจจริง…”
จงหมิ่นเหยียนยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “คุณหนูข้า เดินทางออกจากบ้านมาก็ไม่เหมือนอยู่บ้าน อย่าเอาแต่ใจได้ไหม”
เขาควักเอาอาหารแห้งและกระบอกน้ำออกมาจากห่อสัมภาระ ส่งให้หลิงหลง “เอ้า กินนี่ก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปจับปีศาจ แล้วค่อยไปหาอะไรดีๆกินกันในหมู่บ้านใหญ่”
หลิงหลงยิ้มกว้างทันที รับอาหารแห้งไปกินอย่างว่าง่าย แบ่งครึ่งหนึ่งให้เสวียนจี ยิ้มกล่าวว่า “เสวียนจีกินเยอะๆ เจ้าก็หิวแล้วกระมัง”
เสวียนจีหยิบแผ่นเปี๊ยะแห้งขึ้นมา กำลังลังเลว่ากัดตรงไหนถึงจะนิ่มหน่อย พลันได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านบน ราวกับมีคนกำลังเดินไปมา ทั้งสามโยนอาหารแห้งทิ้ง พุ่งตัวราวสายฟ้าวิ่งขึ้นด้านบนพร้อมกัน เห็นเพียงเงาคนบนระเบียงแวบหนึ่ง พอเห็นพวกเขาก็รีบหลบเข้าห้องอย่างรวดเร็ว เสียงปิดประตูดังปังอย่างแรง ฝุ่นลอยตลบ
หลิงหลงไหนเลยจะทนไหว ก้าวเท้ายาวเข้าไปทันที ยกเท้าถีบประตูพัง พลางกล่าวน้ำเสียงดุดันว่า “ผู้ใดกัน! เป็นคนหรือผี ออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้!”
วาจากล่าวจบ พลันได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากในห้อง มีคนเสียงสั่นกล่าวว่า “จอมยุทธ์หญิงไว้ชีวิตด้วย! ไว้ชีวิตด้วย!”
ทั้งสามเพ่งมองไป เห็นในห้องมีคนอายุมากน้อยต่างกันสิบกว่าคนหลบอยู่ บ้างก็หมอบอยู่บนเตียง โผล่แค่หัวออกมา มองมายังพวกเขาด้วยหน้าตาแตกตื่นตกใจ
จงหมิ่นเหยียนรีบดึงหลิงหลงออก ประสานมือกล่าวว่า “ขออภัย รบกวนทุกท่านแล้ว พวกข้าเป็นศิษย์บำเพ็ญเพียรสำนักเส้าหยาง ได้ยินว่าหมู่บ้านท่านมีผีอาละวาด ดังนั้นจึงมาเพื่อขจัดภูตผี กำจัดปีศาจ”
คนเหล่านั้นได้ฟังก็พากันยอมออกมา ท่าทางกลัวๆ กล้าๆ
ที่แท้พวกเขาล้วนเป็นคนร้านสุรา เพราะหมู่บ้านมีผีอาละอาดไม่มีการค้าให้ทำ แต่ยังไม่อาจตัดใจกลับบ้านเกิด ดังนั้นจึงอยู่กันต่อ หวังเพียงว่ากำจัดผีได้ในเร็ววัน จะได้ทำการค้าต่อ
ตอนนั้นทุกคนก็คลายความเข้าใจผิด รู้ว่าพวกเสวียนจีมาเพื่อจับผี ตื่นเต้นยินดียกน้ำชาอาหารออกมา พวกทำอาหารก็ทำไป อีกกลุ่มก็ไปเก็บกวาดห้องพักให้พวกเขาเข้าพัก
รอจนเอาหารร้อนกรุ่นหย่อนเข้าปาก หลิงหลงจึงได้พอใจ ชื่นชมยิ้มกล่าวว่า “จริงๆ แล้วออกมาฝึกฝนตน…ก็สนุกมากนะเนี่ย!”
จงหมิ่นเหยียนได้แต่ยิ้มเฝื่อน นางน่าจะลืมแล้ว เมื่อครู่ที่บ่นลำบากดังที่สุดคือผู้ใดกัน