ชุดผู้ชายบนตัวตัวใหญ่มาก ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไร รองเท้าที่เสริมส้นให้สูงก็ยิ่งไม่คุ้นชิน น่าจะเพราะเป็นครั้งแรกที่ปฏิบัติการคนเดียว เสวียนจีรู้สึกจิตใจวุ่นวายอยู่บ้าง เอาแต่ดื่มน้ำชาบนโต๊ะไปอึกแล้วอึกเล่า
ฮูหยินตระกูลจวงอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนนางก็ปลอบนางน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นางไม่สบายหรือ ต้องการนอนพักสักครู่ไหม”
นอน? เสวียนจีมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ใกล้โพล้เพล้แล้ว เซียนหญิงไม่แน่ว่าใกล้ส่งคนมารับแล้ว ไหนเลยมีเวลานอนกัน
นางคลายเข็มขัดออกเล็กน้อย ลุกขึ้นเดินวนสองรอบ รองเท้าส้นหนาใส่ไม่สบายจริงๆ เกรงแต่ว่าจะเดินไม่สะดวก แต่ก็ไม่มีทางเลือก ไม่ได้ก็ต้องฝืนให้ได้
“ท่านน้า เซียนหญิงรับคนไปแล้วก็ขึ้นเขาเลยหรือ ระหว่างทางจะได้พบคนที่เลือกไว้คนอื่นๆ อีกหรือไม่”
ฮูหยินตระกูลจวงคิดไปมา “ได้ยินว่าจะหยุดพักสักครู่ที่ศาลาเชิญเทพกลางเขา เปลี่ยน…ชุดแต่งงานมงกุฎหงส์ แล้วก็จะมีขบวนกลองเป่าปี่ แบกเกี้ยวมงคลขึ้นเขา”
นางจะได้เป็นเจ้าบ่าวจริงหรือนี่ เสวียนจีเดินไปนั่งหน้าโต๊ะแต่งหน้า ภาพในกระจกเป็นใบหน้าที่ใช้สีทาให้คล้ำลงสักหน่อย คิ้วก็วาดให้หนา ฮูหยินตระกูลจวงยังกลัวว่าคนจะมองออก ยังแปะหนวดให้นางอีกสองเส้นด้วย มองผ่านๆ ก็เหมือนจวงจิ่งอยู่เจ็ดแปดส่วน
ฮูหยินตระกูลจวงเห็นนางเบื่อก็พยายามคุยกับนางไม่หยุด ยังคุยไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังจากด้านนอก ตามมาด้วยเสียงพ่อบ้านเคาะประตูเข้ามา ท่าทางตระหนกตกใจกล่าวว่า “ฮูหยิน แม่…คุณชาย! เซียนหญิงส่งคนมารับแล้ว!”
ฮูหยินตระกูลจวงแม้ว่าเตรียมทำใจมาตลอด แต่พอได้ยินว่ามาแล้วจริงๆ ก็อดตื่นตกใจไม่ได้ ร้อนใจกล่าวว่า “แม่…ลูกจิ่ง เจ้าไปครานี้ ต้องรักษาตัวเองให้ดี พวกเรา…”
เสวียนจีลุกขึ้น ทำท่าทางแบบชายประสานประสานมือคำนับ กล่าวว่า “ท่านแม่ ลูกต้องไปแล้ว ไม่อาจปรนนิบัติรับใช้ท่านแม่ท่านพ่อต่อได้ โปรดอภัยที่ลูกอกตัญญู”
วาจานี้ทำเอาพ่อบ้านและฮูหยินตระกูลจวงล้วนอดหลั่งน้ำตาไม่ได้ ราวกับเป็นลูกชายตนเองกำลังจะจากไปจริงๆ
ยามนั้นทุกคนยืนออกันแน่น พาเสวียนจีออกไป เห็นเพียงหน้าประตูมีรถม้าหรูหราลงรักดำมันปลาบจอดอยู่คันหนึ่ง น่าแปลกคือบนรถม้าไม่มีคน พอเสวียนจีไปถึง ประตูรถม้าก็เปิดออกเอง
เสวียนจีขึ้นรถม้า ประตูรถก็ปิดเอง หยุดนิ่งครู่หนึ่ง ให้เวลานางได้อำลาคนตระกูลจวง ก่อนจะค่อยๆ จากตระกูลจวงไป รถม้านี่ไม่มีคนขับ เคลื่อนไหวรวดเร็วและนิ่ง ไม่นานก็จากเมืองจงหลีไป เสวียนจีเลิกม่านออก ชะโงกหน้าออกไปมองรอบๆ รู้สึกว่าตัวรถม้ามีควันสีม่วงจางๆ คลุมไว้โดยรอบ กลิ่นหอมอบอวล
กลิ่นอายปีศาจ เสวียนจีอุดจมูก ค่อยๆ ขมวดคิ้ว กลิ่นเหมือนที่ได้กลิ่นตอนอยู่ศาลบรรพชนตระกูลเกา ดูท่าเซียนหญิงนั่นเป็นปีศาจจริงๆ
รถม้าวิ่งไปบนเส้นทางภูเขาพักหนึ่ง พลันค่อยๆ ช้าลง เสวียนจีได้ยินเสียงเครื่องดนตรีดังแว่วมาทางด้านหน้า ถึงกับมีขบวนกลองเป่าปี่จริงๆ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง รถม้าก็หยุดนิ่งลง ประตูรถพลันเปิดออก ด้านนอกมีเสียงผู้หญิง เสียงใสกระจ่างดังว่า “เชิญท่านผู้มีวาสนาลงจากรถ เปลี่ยนขึ้นเกี้ยว”
ครั้งนี้เสวียนจีไม่อาจหลบได้แล้ว ได้แต่ลงไปดูว่าแท้จริงเป็นมารปีศาจตนใด แต่กลับเห็นด้านนอกมีแต่สตรีแต่งกายแบบนางกำนัลในวังเรียงเป็นแถว ใบหน้าคลุมผ้าแพรบาง ในมือทุกคนถือโคมไฟผลึกแก้วหลิวหลี อีกมือประคองผ้าสีขาว น้อมกายรอ เกี้ยวมงคลสีแดงทั้งสี่รออยู่อีกทาง ด้านหน้าก็มีขบวนกลองเป่าปี่แค่ของตนเอง เห็นนางลงมา ก็เริ่มบรรเลงตีเป่ากันครึกครื้น
สตรีที่เป็นหัวหน้านางกำนัลย่างกายเข้ามา คำนับให้นางอย่างงดงาม กล่าวน้ำเสียงใสกระจ่างว่า “ยินดีต้อนรับท่านผู้มีวาสนา ขอท่านเปลี่ยนชุด”
กล่าวจบ นางก็สะบัดชุดแต่งงานสีแดงสดในมือออก สตรีด้านหลังสองนาง คนหนึ่งถือมงกุฎหงส์ อีกคนถือเครื่องประดับต่างๆ และผ้าคลุมหน้า สตรีที่เหลือก็กางแถบผ้าขาวในมือออกขึ้นเป็นกำบังง่ายๆ เพื่อให้นางเปลี่ยนชุด
ยามนี้แม้ว่าเป็นยามค่ำคืนมืดมิด แต่ชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์สะท้อนแสงจากโคมไฟผลึกแก้วหลิวหลี ก็รู้สึกถึงแสงระยิบโดยรอบ ภาพงดงามอย่างยิ่ง ในใจเสวียนจีพลันนิ่งงัน รู้สึกเพียงว่าไม่อยาก แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ก็ไม่อาจหันหลังกลับได้แล้ว ได้แต่ตามสตรีเหล่านี้ไปยังหลังกำบังเปลี่ยนชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์
ไม่รู้พวกซือเฟิ่งตอนเปลี่ยนชุดแต่งงานนี้จะรู้สึกอย่างไร…เสวียนจีแอบคิดเงียบๆ ก็น่าจะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่มากครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อกำจัดปีศาจ พวกเขาทุ่มเทไม่น้อยจริงๆ
กว่าจะเปลี่ยนชุดสวมมงกุฎที่แสนวุ่นวายเรียบร้อยก็ไม่ง่าย มงกุฎบนศีรษะหนักราวเจ็ดแปดชั่งได้ น้ำหนักกดคอจนรู้สึกปวดเกร็งไปหมด เสวียนจีแอบประคองอย่างระมัดระวัง เกรงแต่ว่าจะกลิ้งหล่นกลางทาง เช่นนี้ก็คงอนาถย่ำแย่มาก
สตรีที่เป็นหัวหน้านางกำนัลเห็นนางไม่ร้องไห้และไม่พูดอันใด อดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “ท่านผู้มีวาสนาท่านนี้นับว่าเป็นคนสุขุมสงบนิ่งไม่น้อย ไม่เหมือนหลายปีมานี้ แต่ละคนได้ยินว่าเปลี่ยนชุดแต่งงาน ล้วนพากันร้องไห้จะกลับบ้าน”
เสวียนจีเห็นนางกล่าวกับตนเอง ก็ไม่อาจไม่ตอบ ได้แต่ทำเสียงทุ้มกล่าวว่า “ทำไมต้องร้องไห้ ทุกคนไม่ใช่ว่าถูกเลือกไปปรนนิบัติเซียนหญิงหรือ”
หญิงผู้นั้นดีใจกล่าวว่า “ก็เป็นเช่นนี้ ได้ปรนนิบัติเซียนหญิงย่อมเป็นวาสนาใหญ่ คนธรรมดาร้องขอยังร้องขอไม่ได้ นับประสาอันใดกับได้เป็นสามีภรรยากับนาง วาสนาสามภพชาติสั่งสมมาจริงๆ”
สามีภรรยา? นางแต่งสามีทีเดียวสี่คน! ปีหนึ่งเปลี่ยนสี่คน ก็เรียกว่าวาสนาสามภพชาติสั่งสมมา?
เสวียนจีกระแอมไอในลำคอ กำลังคิดถามนางถึงพวกเขาอีกสามคนว่ามาแล้วหรือยัง พลันได้ยินเสียงเครื่องดนตรีประโคมด้านหน้า สตรีที่กล่าววาจากับนางเมื่อครู่รีบออกไปต้อนรับ กล่าววาจาเหลวไหลที่กล่าวกับนางเมื่อครู่อีกครั้ง
ดูท่าเขาทั้งสามมาถึงพร้อมกันแล้ว
เสวียนจีถูกคนประคองเข้าเกี้ยวมงคล หูได้ยินเสียงจงหมิ่นเหยียนร้องดังที่สุด “อย่าแตะต้องข้า…ชิ นี่อย่าถอด…อย่าแตะต้อง! ได้ๆ ข้าถอดเอง! เปลี่ยนเอง!”
หรูอี้ปฏิเสธได้นุ่มนวล “แม่นางทุกท่าน ขอให้ข้าได้เปลี่ยนชุดเอง”
อวี่ซือเฟิ่งกลับเย็นชายิ่งว่า “ไม่ต้องรับใช้ ถอยออกไป”
เสวียนจีเลิกม่านดูเล็กน้อย แอบมองลอดออกไปด้านนอก เห็นเขาทั้งสามคนล้วนสวมชุดแต่งงานมงกุฎหงส์ รูปร่างสูงผอมสามคน ผมดำในชุดแดง ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกไม่เข้ากันแต่อย่างใด ถึงกับกลับรู้สึกงดงามดึงดูดอยู่กระแสหนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ยังคงสวมหน้ากากอสุราอยู่บนใบหน้า ถึงกับไม่มีคนเตือนพวกเขาให้ถอดออก น่าแปลกจริง
ราวกับรู้สึกว่ามีคนมองตนเองอยู่ อวี่ซือเฟิ่งผินใบหน้ามองมา ก่อนจะหันกลับไปอย่างรวดเร็ว หันหลังให้นาง ไม่หันกลับมาอีก
เขาอาย? อยู่ๆ เสวียนจีก็รู้สึกอยากหัวเราะ ชายชาตรีถูกบังคับให้แต่งชุดแต่งงานสตรีก็น่าอึดอัดจริง นับประสาอันใดกับพวกซือเฟิ่งที่มีนิสัยไว้ตัว ยามนี้คิดว่าคงกำลังเดือดปุดๆ อยู่ในใจกระมัง
ฤกษ์ยามมงคลมาถึงอย่างรวดเร็ว สี่คนเข้าไปในเกี้ยวมงคล สตรีแต่งกายแบบนางกำนัลในวังถือโคมไฟ ถึงกับลอยตัวเบาหวิวขึ้นมา นำทางอยู่ด้านหน้า
เกี้ยวมงคลลอยตามขึ้นไป บินผ่านป่าดำทะมึน ลมค่ำคืนหวีดหวิวพัดม่านเกี้ยวและผ้าแดงคลุมหน้าพลิ้วไหวไปมา เสียงเครื่องดนตรีประโคมด้านล่างเริ่มไกลออกไป แสงจันทร์ส่องเข้ามา ทั้งสี่เห็นเกี้ยวไม่มีคนยกกลับบินได้เร็วมาก รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เกรงแต่ว่าเซียนหญิงแซ่เกาผู้นี้เป็นมารปีศาจที่สำเร็จตบะมานานแล้ว ด้วยกำลังพวกเขา ไม่รู้ว่ามีทางชนะได้กี่ส่วน
ลอยไปมาเช่นนี้ได้ราวสามเค่อ พลันปรากฏแสงโคมไฟท่ามกลางป่าเขารกร้าง เสวียนจีดึงผ้าคลุมหน้าออก ยื่นหน้าออกไปดู เห็นผืนป่าและยอดเขาประหลาดล้อมรอบ ท่ามกลางแสงจันทร์ดูแล้วกว้างใหญ่อย่างมาก ยอดเขาเกาซื่อซานที่สูงที่สุดถึงกับมีวังที่มีแสงโคมไฟสว่างไสวตั้งตระหง่าน ต้องเป็นที่พำนักเซียนหญิงแซ่เกาแน่
ไหนเลยเรียกว่านางเร้นกายซ่อนตัว เห็นชัดว่าครองภูเขาราวฮ่องเต้! เกรงแต่ว่าฮ่องเต้ยังไม่อาจหรูหราฟุ้งเฟ้อเหมือนนาง
เกี้ยวมงคลนำคนสี่คนมาหยุดด้านหน้าตำหนักใหญ่โต หน้าตำหนักมีนางกำนัลถือโคมผลึกแก้วหลิวหลียืนเรียงเป็นแถว พวกนางเผยรอยยิ้มบางกล่าวว่า “ท่านผู้มีวาสนาทั้งสี่มาถึงแล้ว?”
สตรีหัวหน้าเมื่อครู่กล่าวว่า “รับตัวมาแล้ว ตอนนี้คำนับฟ้าดินส่งเข้าห้องหอได้เลย”
นางกำนัลเหล่านั้นพอได้ยินก็หัวเราะกันคิกคักเปิดม่านเกี้ยวออก ประคองพวกเสวียนจีสี่คนลงมา นำทางเข้าไปในตำหนัก
เสวียนจีคลุมผ้าแดงบนศีรษะ มองไม่เห็นอันใด รู้สึกเพียงแค่มีลมหอมพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นนั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายปีศาจไม่รู้เท่าไร พื้นปูด้วยกระเบื้องแก้วแวววาวส่องแสงประกาย ทำเอาตาลาย ไม่รู้ว่าควรเดินไปที่ใด ดีที่ข้างๆ มีคนนำ ไม่เช่นนั้นคงได้ตาลายเดินผิดทางแน่
เดินไปพักหนึ่ง ก็ค่อยๆ เข้าไปยังโถงใหญ่แห่งหนึ่ง ด้านในมีโคมไฟจุดสว่างไสว กลิ่นหอมยิ่งอบอวล ดมแล้วทำเอาปวดตาอ่อนแรง เหมือนตัวเบาหวิว ราวกับลอยล่องอยู่กลางเมฆา
กลิ่นอายปีศาจ! เสวียนจีสะดุ้ง ต้องเป็นเซียนหญิง! นางอยู่ที่นี่
คนนำทางหยุดลง ยิ้มกล่าวว่า “เซียนหญิง ท่านผู้มีวาสนาทั้งสี่มาถึงแล้ว ฤกษ์มงคลก็ได้เวลาแล้ว ดำเนินพิธีส่งเข้าห้องหอได้แล้ว”
ด้านหน้ามีคนส่งเสียง “อืม” ขึ้นเสียงหนึ่ง เสียงนี่ถึงกับเป็นเสียงที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก พอได้ยิน ในใจทั้งสี่คนพลันเต้นโครมครามแรงยิ่งขึ้น ราวกับดื่มสุราที่หอมหวานที่สุดลงไป ใบหน้าร้อนผ่าว
ตามมาด้วยเสียงเครื่องหยกพกติดกายกระทบกัน เซียนหญิงเดินเข้ามา เสวียนจีก้มหน้า เห็นเพียงรองเท้าผ้าแพรสีม่วงอ่อนปรากฏตรงพื้น บนรองเท้าปักลายบุปผาประณีตสองดอก
รองเท้าคู่นั้นหยุดลงตรงหน้าทุกคน ดูท่าเซียนหญิงกำลังสังเกตพวกเขา ไม่มีผู้ใดกล่าวอันใด ความเงียบในห้องโถงทำให้ได้ยินเสียงลมหายใจตนเอง ทั้งสี่ยิ่งใจเต้นแรงขึ้น ถูกบรรยากาศอึดอัดบีบคั้นจนหัวใจราวกับแทบจะเต้นหลุดออกมาจากลำคอ
ไม่รู้นานเท่าไร เสียงไพเราะเสนาะหูเมื่อครู่ดังขึ้นอีกครั้ง “ดีมาก เริ่มพิธีได้”
ตามมาด้วยเสียงดังกึกก้องทางด้านหลัง เจ้าหน้าที่ขานมงคลส่งเสียงดัง “ได้ฤกษ์มงคลแล้ว หนึ่งคำนับฟ้าดิน!”
ด้านหลังมีคนผลักนางทีหนึ่ง เสวียนจีอดลงคุกเข่าบนเบาะนั่งที่พื้นไม่ได้ ดำเนินพิธีไหว้ฟ้าดิน นางปรายตามองไปยังคนข้างๆ สองมือซีดขาว ปลายนิ้วมีแหวนเหล็กสวมอยู่วงหนึ่ง เป็นอวี่ซือเฟิ่ง ราวกับรู้ว่านางกำลังมองตน มือนั่นเริ่มสั่นเล็กน้อย ยื่นมากุมมือนางไว้แน่น
เสวียนจีสะดุ้งในใจ ไม่รู้ว่าควรดึงกลับมาหรือไม่
ดังคาด เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เยียนหรานก็ออกเดินทางไปแล้ว หลิงหลงตื่นแต่เช้า ไปส่งนางถึงนอกหมู่บ้านวั่งเซียน ก่อนจะกลับมาด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ยามนั้นพวกจงหมิ่นเหยียนก็ตื่นแล้ว กำลังกินอาหารเช้าและสนทนากับจ้าวเหล่าต้า หลิงหลงมองซ้ายมองขวาไม่เห็นเสวียนจี อดถอนใจไม่ได้กล่าวว่า “เสวียนจียังไม่ตื่นตามคาด”
จงหมิ่นเหยียนกินโจ๊กไปคำหนึ่ง แค่นเสียงขึ้นว่า “หากวันไหนนางรู้ว่าควรตื่นเช้า พระอาทิตย์ก็คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว!”
หลิงหลงถลึงตาใส่เขา ยู่ปากกล่าวว่า “เจ้าชอบเอาแต่หาเรื่องเสวียนจี น่ารังเกียจจริง!” กล่าวจบตนเองก็วิ่งเข้าไปในห้องปลุกเสวียนจี ลากออกมากินอาหารเช้า
หลังอาหารเช้า อวี่ซือเฟิ่งควักแผนที่ออกจากอกเสื้อ กล่าวเบาๆ ว่า “ออกจากหมู่บ้านวั่งเซียนไปทางตะวันออก น่าจะเป็นป่าเขารกร้างไร้ผู้คน พวกเราไม่จำเป็นต้องเดินผ่าน ให้เหินกระบี่ไปเขาเกาซื่อซานเลย ละแวกนั้นมีทะเลสาบหงเจ๋อ ได้ยินว่าทิวทัศน์งดงามที่สุด”
หลิงหลงได้ยินว่ามีเรื่องน่าสนุก ย่อมพยักหน้าไม่หยุด หรูอี้ยิ้มกล่าวว่า “ที่นั่นมีเมืองจงหลี นับว่าเป็นเมืองใหญ่มีชื่อด้วยนะ หมิ่นเหยียน ปกติพวกเจ้าบำเพ็ญเพียรอยู่บนเขาแรกอรุณ ไม่เคยไปที่ที่มีสีสันรุ่งเรืองกระมัง”
จงหมิ่นเหยียนพยักหน้า “อาจารย์กำชับมา ผู้บำเพ็ญเพียรต้องใจนิ่งดุจน้ำ ไม่ละโมบในแสงสีโลกียะ”
“เจ้าหกอย่าได้ไม่มีอันใดก็เอาแต่อ้างอาจารย์กำชับมา! ในเมื่อออกมาแล้วก็ควรเที่ยวให้พอ หรูอี้ เมืองจงหลีมีอะไรน่าสนุกบ้าง”
หลิงหลงกล่าวออกไป จงหมิ่นเหยียนแสร้งทำเป็นใบ้ ทำท่าเชื่อฟังไม่โต้แย้ง
หรูอี้ยิ้มกล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าเดือนสองของทุกปี ที่นั่นจะมีงานพิธีใหญ่ ผู้คนทั่วทั้งเมืองก็จะออกมากันหมด ครึกครื้นมาก นับดูวันแล้ว แม้ว่าพวกเราไปเร็วสองสามวันก็ไม่เป็นไร”
พอหลิงหลงได้ยินว่ามีเรื่องสนุกให้ชม ไหนเลยจะนั่งติด ยัดข้าวสองสามคำเข้าปากรวดเดียว ยัดจนเต็มปาก เช็ดปากแล้วก็คิดจะกลับไปเก็บของเดินทาง เสวียนจีเห็นนางเร่งรีบเช่นนี้ก็คิดว่ามีเรื่องเร่งด่วนอันใด จึงรีบยัดแผ่นแป้งย่างที่เหลือใส่ปากตาม ปรากฏยัดเข้าไปเต็มปากติดคอแทบตาย รีบยกมือทุบโต๊ะทีหนึ่ง
“ช้าๆ หน่อย มานี่ ดื่มน้ำก่อน” อวี่ซือเฟิ่งรีบส่งชาให้ถึงริมฝีปากนาง นางกลืนลงไปทีละนิด เห็นสีหน้านางผ่อนคลายขึ้นก็ยิ้มเฝื่อนกล่าวว่า “เหมือนเด็กน้อยไม่โตเสียที ไหนเลยมีคนกินข้าวเหมือนเจ้า”
เสวียนจีกว่าจะกลืนของในปากลงไปได้ก็ไม่ง่าย ยามนี้จึงได้เบิกตาโตมองเขา กล่าวเบาๆ ว่า “มีเรื่องด่วนอันใด อีกสักครู่พวกเราจะไปไหนกัน”
อวี่ซือเฟิ่งได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนแรง เห็นหน้าผากนางมีเศษดอกฝ้ายคิดอยู่ อดปัดให้นางไม่ได้ กล่าวอ่อนโยนว่า “เมื่อไรที่เจ้าตั้งใจฟังคนอื่นเขาพูดกัน เช่นนั้นพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกจริงๆ”
กล่าวจบ เห็นนางยังคงมองตนเองด้วยอาการงุนงงจึงกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ว่าไปไหน เจ้าสนใจแค่คอยตามข้าก็พอ”
นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ทำเอาเขาอมยิ้มเล็กน้อย “…ขอเพียงไม่กลัวข้าเอาเจ้าไปขาย”
ระยะนี้ซือเฟิ่งแปลกมาก เสวียนจีกลับห้องไปเก็บของพลางย้อนคิดเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ได้พบเขามา เหมือนว่าเขาไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยังคงรู้อะไรมากมาย ทำอะไรมีหลักมีการ แต่ก็เหมือนว่าเปลี่ยนไปมาก มักจะกล่าววาจาที่ฟังแล้วเหมือนกระจ่างแต่ก็เหมือนไม่กระจ่าง แม้ห่างกันไปสี่ปี นางก็ยังคงรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง แต่บางทีสำหรับเขาแล้ว อาจยังมีบางอย่างไม่เหมือนเดิมกระมัง
หลิงหลงที่ตรงข้างๆ ก็เก็บของตนเองเสร็จนานแล้ว เข้ามาช่วยนางเก็บของคล่องแคล่ว เห็นนางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้ ห่อเสื้อผ้าชุดหนึ่ง ห่อไปห่อมา ห่อเป็นก้อนเศษผ้าไปแล้ว อดเย้าแหย่นางไม่ได้ “เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ มา บอกพี่มา”
นางทำท่าทางเหมือนว่าข้าเป็นผู้รู้ใจเจ้า ดึงมือเสวียนจีมานั่งข้างๆ ส่งสายตาวิบวับส่องประกาย
เสวียนจีลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า “หลิงหลง เจ้ารู้สึกไหมว่าซือเฟิ่งเหมือนเปลี่ยนไปมาก”
หลิงหลงรู้นานแล้วว่านางจะกล่าวถึงซือเฟิ่ง น้องสาวตนเรื่องอื่นยังพอได้ แต่เรื่องพวกนี้ราวกับเด็กน้อยสามขวบ จึงได้หยอกไปว่า “เปลี่ยนตรงไหน เจ้าว่ามาก่อน”
“ราวกับเขาชอบพูดวาจาที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ท่าทางก็เหมือนไม่เหมือนเมื่อก่อน…หรือว่าข้าคิดมากไปเอง” เสวียนจีกังวลมากว่าตนเองจะคิดมากเกินไป
หลิงหลงอดลอบยิ้มไม่ได้ ทำหน้าตาเป็นการเป็นงาน “เป็นเจ้าคิดมากไปจริงๆ ข้าว่าซือเฟิ่งไม่เห็นต่างอันใดกับเมื่อก่อนเลย หรือเจ้าไม่ชอบเขาแล้ว”
“เป็นไปได้อย่างไร!” เสวียนจีรีบปฏิเสธแก้ตัว “ข้า…ข้าชอบเขามาก! ซือเฟิ่งเหมือนรู้ทุกเรื่อง เป็นทุกเรื่อง ร้ายกาจยิ่ง และยังดีต่อพวกเรามากเช่นนั้น จะไม่ชอบเขาได้อย่างไรกันเล่า”
หลิงหลงถอนหายใจ “เช่นนั้น…อาจเพราะเขาไม่ชอบเจ้าแล้ว”
เอ๊ะ หรือว่านี่คือความจริง เสวียนจีพลันระลึกได้ เพราะตนไม่ได้ติดต่อเขานานสี่ปี ดังนั้นเขาเลยโมโหมาก ดังนั้นคืนวันนั้นเขาจึงได้พูดจาแปลกประหลาดเช่นนั้น ดังนั้น…ท่าทีเขาจึงได้เปลี่ยนไป!
หลิงหลงเห็นนางบิดเสื้อตนเองไปมาเป็นก้อนเกลียวก็เกือบหลุดหัวเราะออกมา หากยังฝืนทนไว้ ยิ้มถอนหายใจกล่าวว่า “ว่าไปแล้ว ตอนนี้เขายังไม่ยอมถอดหน้ากากก็ดูห่างเหินจริง อาจเพราะตำหนิที่เจ้าไม่เขียนจดหมายถึงเขาตั้งสี่ปีกระมัง เอาเถอะ เสวียนจี เรื่องนี้ไม่อาจฝืนใจ วันหน้าเจ้าก็อย่าได้ไปยั่วให้ซือเฟิ่งโมโหอีก พูดคุยกับเขาให้มากหน่อย ผู้ชายน่ะ ต้องการให้ผู้หญิงเอาใจจึงจะรู้สึกสบายใจ จำไว้ เอาใจเขาให้มาก เข้าใจไหม”
ที่แท้เป็นเช่นนี้ !อืม เอาใจเขา เอาใจเขา…
ในที่สุดก็เก็บของเสร็จ ขอบคุณและอำลาคนบ้านตระกูลจ้าวที่พยายามรั้งทุกคนให้อยู่ต่อ ทั้งห้า เหินกระบี่ร่วมเดินทางไปทางตะวันออก ไปยังเมืองจงหลี
เหินกระบี่ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม เน้นย้ำการทำจิตให้ผ่องใส ไม่เช่นนั้นก็จะร่วงจากกระบี่ได้ง่าย ความสูงหลายหมื่นจ้าง รสชาติยามตกลงไปย่อมไม่น่าทนรับได้ เมื่อก่อนเสวียนจีเหินกระบี่เร็วที่สุด ทั้งสูงทั้งมั่นคง เพราะในใจนางแต่ไรมาก็ไม่เคยมีความคิดที่ทำให้จิตไม่ผ่องใส แต่วันนี้ไม่รู้ทำไม ยิ่งเหินยิ่งช้ายิ่งต่ำ หลายครั้งก็ตัวเอียงเกือบร่วงจากกระบี่ ทำเอาอวี่ซือเฟิ่งตกใจจนต้องมาคอยอยู่ข้างๆ ตลอด พลางหันกลับไปเรียกหลิงหลง “วันนี้เสวียนจีท่าทางไม่ค่อยดี หลิงหลง เจ้ามาพานางเหินไหม”
ในใจหลิงหลงมีพิรุธ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ดึงจงหมิ่นเหยียนเหินไปข้างหน้าก่อน หรูอี้เห็นเด็กสาวพวกนี้มีความในใจก็ไม่อยากยุ่งด้วย จึงแสร้งทำเป็นหูตึง บินล่วงไปก่อนอย่างรวดเร็วไร้เงา
“เอาเถอะ เจ้ามานี่”
อวี่ซือเฟิ่งดึงเสวียนจีมาอยู่ด้านหลังตนเอง ก่อนจะค่อยๆ เหินต่อไปอย่างมั่นคง เหินไปได้ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่านางกำแขนเสื้อตนแน่น นิ้วมือบิดไปมา ทำเอาลวดลายบนแขนเสื้อเขาบิดเป็นเกลียว เขาอดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าคิดอันใดอยู่”
เสวียนจีอึกอักเป็นนาน ในที่สุดก็เงยหน้า ดวงตาส่องประกาย ถามจริงจังว่า “ซือเฟิ่ง ข้าควรเอาใจเจ้าเช่นไร เจ้าจึงจะเบิกบานใจ”
เขาพลันนิ่งอึ้งไปทันที ฝ่าเท้าเหนือกระบี่เกือบลื่น ทั้งสองเกือบร่วงลงไป
เหตุใดถามเช่นนี้?! อวี่ซือเฟิ่งงุนงงมาก ก้มหน้ามองเสวียนจี ท่าทางนางเอาจริงเอาจังเหมือนเป็นคำถามทั่วไปดังคาด ในใจเขายิ้มเฝื่อน สีหน้านิ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ผู้ใดสอนเจ้าเช่นนี้”
เสวียนจีคิดว่าเขายังคงไม่พอใจ รีบดึงแขนเสื้อเขากล่าวว่า “ซือเฟิ่ง สี่ปีที่ไม่ได้เขียนจดหมายหาเจ้าข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าโมโหได้หรือไม่ หรือว่าเจ้าด่าทอข้าสองคำเถอะ ตีข้าสองทีก็ไม่มีปัญหา!”
ใบหน้าใต้หน้ากากยิ้มเล็กน้อย กล่าวหยอกล้อว่า “ทุบตีด่าทอสองสามที ก็ทำให้ความโมโหสี่ปีของข้าหายไปหรือ”
เช่นนั้นให้ทำเช่นไร เสวียนจีไร้หนทางยิ่ง
“ข้า…ก็ไม่มีของมีค่าใดจะชดใช้ให้เจ้าได้”
เขายังคงยิ้ม “เงินซื้อความทรงจำสี่ปีได้หรือ”
ยามนี้นางไร้วาจาอย่างแท้จริงแล้ว
ลมจากรอบทิศพัดมาพร้อมกัน ผมนางปลิวมาระต้นคอเขาทำเอาเขาชาวาบ นางไม่ตั้งใจเช่นนี้เสมอ ไม่ตั้งใจทำผิด ไม่ตั้งใจทิ้งรอยแค้นไว้ ทำเอาคนอื่นหัวหมุนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ตนเองกลับไม่ใส่ใจ ราวกับไม่รับรู้
บางครั้งก็ควรจะลงโทษนางสักหน่อย ให้นางเข้าใจว่าตนเองได้ทำอะไรลงไป
แต่…
มืออ่อนนุ่มนิ่มของนางเกาะแขนราวกับลูกแมวตัวน้อยที่ถูกทอดทิ้ง เพียงแต่ยังไม่ร้องเหมียวๆ สภาพน่าสงสารเช่นนั้นเพียงพอที่จะทำให้คนหวั่นไหว
ทำไม่ลงจริงๆ
แม้รู้อยู่ว่าเบื้องหลังความน่าสงสารนี้ เป็นความไม่ตั้งใจเสมอและตลอดไป แต่ก็ทำไม่ลง
อาจเป็นดังที่อาจารย์กล่าวมา เขาประสบกับมารในชีวิต แม้แต่คิดดิ้นรนก็ไม่มีหนทาง ยินยอมพร้อมใจปล่อยให้มารเข้าแทรก
เขาพลันพลิกมือกุมมือนางไว้แน่น กระซิบว่า “เสวียนจี จริงๆ แล้วข้าไม่เคยโกรธเจ้าแม้แต่น้อย ขอเพียงเป็นเจ้า…สี่ปีนั้นไม่เป็นไร สี่ปีหรือสี่สิบปีแล้วอย่างไร!”
ในที่สุดเขาก็กล่าววาจาที่เก็บซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจออกมา กล่าวจบก็เหมือนในอกมีกระต่ายโลดเต้นโครมคราม รออยู่เป็นนาน เด็กสาวด้านหลังไม่กล่าวอันใด เขาได้แต่หันกลับไปมองนาง กลับเห็นนางก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะเงยหน้ายิ้มสดใส “สี่สิบปีนานไปแล้ว ซือเฟิ่ง วันหน้าพวกเราแม้สี่วันก็อย่าได้แยกจากกัน”
จริงหรือ
ลำคอเขาตีบตัน กล่าวอันใดไม่ออก
ตอนทุกคนไล่ตามลงไปถึงด้านล่าง พบว่าปีศาจนอนหงายกางมือกางเท้าอยู่บนก้อนหิน ครั้งนี้ก็ไม่รู้เลือดไหลออกมาอีกเท่าไร เห็นอยู่ว่าไม่น่ารอดแล้ว
“เจ้ายังคิดหนีอีก!” หลิงหลงแม้ว่าปากจะสบถตวาดดัง แต่เห็นสภาพอนาถน่าสงสารเช่นนี้เป็นครั้งแรกก็ทนไม่ไหว หันไปกล่าวว่า “เจ้าหก…เจ้า…จัดการเขาให้สบายเร็วหน่อยเถอะ!”
คนผู้นั้นเบิกตาจ้องดวงตาราวกระดิ่งงาม ดวงตาราวกับมีน้ำรื้น หัวเราะเย้ยกล่าวว่า “เจ้า…พวกเจ้า…ไม่ต้องแสร้ง…ทำเป็นเมตตา มาถึง…ขั้นนี้…ข้า…ถามใจข้าเองแล้วก็ไม่รู้สึกผิดที่ได้ทำลงไป พวกเจ้า…ทำเรื่องใดไว้…พวกเจ้า…”
ยังกล่าวไม่ทันจบ จงหมิ่นเหยียนก็ชักกระบี่ตัดหัวเขาทิ้งทันที ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ใกล้จะตายแล้วยังเจ้าเล่ห์อีก! เจ้าทำร้ายชาวหมู่บ้านวั่งเซียนเช่นนั้น ยังบอกว่าไม่รู้สึกผิดที่ได้ทำลงไป!”
ลู่เยียนหรานเห็นหัวปีศาจกระเด็นลงพื้นมาอยู่ตรงเท้าตนก็ตกใจกระโดดร้องลั่น “โอ๊ะ! ทำไมเจ้า…ตัดหัวมันล่ะ!”
หรูอี้เข้ามาเก็บหัวขึ้น ใช้ผ้าสี่เหลี่ยมห่อไว้ พลางถอนใจกล่าวว่า “ช่วยให้มันสบายเร็วขึ้น ดูมันสิ บางทีอาจมีเบื้องหลังอันใดที่พวกเราไม่รู้ซ่อนอยู่ แล้วไปเถอะ”
ทุกคนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกบอกไม่ถูก ไม่กล่าวอันใดอีก เดิมชนะงดงาม สุดท้ายกลับไม่ได้รู้สึกดีกับชัยชนะ อยู่ๆ รู้สึกหดหู่อย่างแปลกประหลาด ราวกับทำผิดอันใด
ยามนั้นได้แต่เงียบกริบ ทั้งหกเหินกระบี่กลับมายังบ้านตระกูลจ้าว แม้ว่าก่อนไปจะบอกพวกจ้าวเหล่าต้าว่าไม่ต้องเป็นห่วง ไปนอนได้ แต่ผู้ใดจะนอนหลับลง ล้วนกำลังจุดไฟสว่างรอพวกเขากลับมา
พอจงหมิ่นเหยียนลงแตะพื้นก็วางศีรษะนั่นลงกับพื้น กล่าวว่า “ท่านอาจ้าว สำเร็จแล้ว ปีศาจอาละวาดบนเขาไห่หวั่น พวกข้าจับมาให้ท่านแล้ว”
ทุกคนในโรงบ้านตระกูลจ้าวพอได้ยินว่าจับปีศาจได้แล้ว ก็พากันร้องยินดีออกมาดู เห็นศีรษะใบหน้าดุร้ายโชกเลือดแล้วก็รู้สึกทั้งหวาดกลัวทั้งตื่นเต้น
จงหมิ่นเหยียนยังเล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ฟังรอบหนึ่ง สุดท้ายยิ้มกล่าวว่า “นับว่าได้สังหารปีศาจอาละวาดแล้ว วันหน้าท่านอาและพ่อแม่พี่น้องก็วางใจได้ พวกข้ามีเวลาจะกลับมาเยี่ยมอีกแน่นอน”
ทุกคนสนทนากันสักพัก สุดท้ายก็หาที่ฝังศีรษะนี่ ว่ากันว่าจะไปหานักพรตมาขับไล่สิ่งชั่วร้ายในหมู่บ้านเพื่อสั่งสมบุญกุศลเพิ่มเติมอีกด้วย คนที่นี่ถูกนกฉวีหรูอาละวาดมาสามเดือนกว่า แต่ละคนทนทุกข์อย่างมาก ตอนนี้ในที่สุดก็จบเรื่องแล้ว ราวกับวางก้อนหินในใจลงได้ พอได้ยินว่าพวกจงหมิ่นเหยียนอีกวันก็จะไปแล้ว จึงไม่สนใจว่าดึกแค่ไหน ทั้งหมู่บ้านเตรียมจัดงานเลี้ยงตอบแทนบรรดาศิษย์บำเพ็ญเพียรหนุ่มสาวเหล่านี้ ฉลองกันจนถึงยามอู่ของวันรุ่งขึ้น ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ
พวกจงหมิ่นเหยียนยังมีกำลังวังชาดีอยู่ ชายทั้งสามดื่มสุราไปรำลึกความหลังไป หลิงหลงกับลู่เยียนหรานก็ตั้งใจฟัง บางครั้งก็กล่าวแทรกขึ้น เสวียนจีเอาแต่หลับพิงหลิงหลง เสียงลมหายใจแผ่วเบา
“เมื่อวานแม่นางลู่บอกว่า มีอยู่บ้างที่ปีศาจจะมารวมตัวกัน วาจานี้จริงหรือ”
หรูอี้ยังจำวาจาลู่เยียนหรานได้ ยามนี้อดถามไม่ได้
ลู่เยียนหรานกำลังรินสุราให้ตนเองอยู่ คืนนี้นางดื่มไปไม่น้อย สีหน้าแดงระเรื่อราวกับดอกฝูหรง คิ้วโค้งงามราวใบหลิ่ว ใบหน้าตางดงามมาก พอได้ยินหรูอี้ถาม นางก็ยิ้มกล่าวว่า “จริงๆ แล้วข้าก็ไม่แน่ใจ เพียงแต่ว่ามีครั้งหนึ่งเคยได้ยินเจ้าเกาะพูดถึง พื้นที่รกร้างมีมารปีศาจปรากฏ ล้วนอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ดังนั้นข้าจึงได้เอามาหลอกเขา คิดไม่ถึงว่าจะกล่าวโดนพอดี”
อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบเป็นนาน กล่าวเบาๆ ว่า “พื้นที่รกร้างห่างไกลมีคนแปลกมาก แต่ละประเทศล้วนมีวัฒนธรรมของตนเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นมารปีศาจ เพียงแต่ว่าหน้าตาไม่เหมือนคนปกติทั่วไปก็เท่านั้น”
หลิงหลงกล่าวอย่างแปลกใจว่า “หน้าตาไม่เหมือนคน เหตุใดไม่เหมือนคน”
อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “ใต้หล้ามีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย หลายแห่งมีคนที่แม้หน้าตาไม่เหมือนคน แต่ก็ไม่ใช่ปีศาจ พวกเขามีวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง ต่างจากพวกเราไม่มาก”
หลิงหลงสีหน้าแปรเปลี่ยนกล่าวว่า “เช่นนั้น…ที่พวกเราสังหารไปครานี้…หรือว่าก็เป็น…?”
วาจากล่าวออกไป ทุกคนพากันเงียบงัน หากที่สังหารเป็นปีศาจ พวกเขายังคงยืดอกผ่าเผยกล่าวว่าได้กำจัดภัยให้ชาวบ้าน หากที่สังหารเป็นคน รสชาติก็ยากจะทนรับได้ โดยเฉพาะจงหมิ่นเหยียน เขาตัดหัวคนผู้นั้นด้วยมือตนเอง คิดว่าตนตัดหัวคน เขาก็แทบอยากจะโยนกระบี่ทิ้ง
“สังหารสิ่งที่ควรสังหาร แม้เป็นคนก็ควรสังหาร” ข้างๆ พลันมีเสียงดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง ไม่รู้เสวียนจีตื่นมาตอนไหน สีหน้ายังคงมีแววสับสน กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ
จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วกล่าวว่า “วาจาไม่อาจกล่าวเช่นนี้ ปีศาจต่างจากคน…คนทำผิดจะสังหารได้อย่างไร…”
“เช่นนั้น ปีศาจทำผิดก็สังหารได้หรือ” เสวียนจีถามขึ้นเบาๆ
“อันนั้น…ไม่เหมือนกัน…” จงหมิ่นเหยียนที่เคยภูมิใจในฝีปากตนเอง ยามนี้ไม่รู้ไปไหนแล้ว รู้แก่ใจว่าไม่เหมือน แต่แท้จริงไม่เหมือนตรงไหน เขาถึงกับพูดไม่ออก
หลิงหลงกล่าวว่า “พวกไม่เหมือนเรา จิตใจย่อมแตกต่าง! อย่างไรที่ไม่ใช่มนุษย์ ย่อมไม่ใช่สิ่งดี!”
เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่มีอันใดไม่เหมือน ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สิ่งดี บนโลกนี้ที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นมีมากนัก ไม่ว่าคนหรือปีศาจ หรือสิ่งอื่นใด ขอเพียงทำเรื่องที่ควรสังหารก็ควรสังหาร ขอเพียงไม่ได้ทำผิด ก็ไม่ควรสังหาร”
“เอ่อ เจ้า…” จงหมิ่นเหยียนตะลึงงัน เป็นนานกว่าจะหลุดปากออกมาได้ “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาควรไม่ควรสังหาร”
เสวียนจีขยี้ตา ท่าทางเหมือนง่วงนอนหนัก กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าย่อมรู้ รู้แก่ใจ”
จงหมิ่นเหยียนไร้วาจาจะกล่าว สุดท้ายยกมือขึ้นโบก “มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน! ขัดหลักการ! พอเถอะๆ ข้าง่วงแล้ว ไปนอนละ พรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางอีก!”
หลิงหลงเห็นว่าจะจากกันด้วยอารมณ์ไม่เบิกบานเช่นนี้ จึงรีบดึงแขนเสื้อเสวียนจี กระซิบว่า “เสวียนจี เจ้าจงใจยั่วโมโหหรือ”
เสวียนจีส่ายหน้าอย่างงุนงงสับสน “เปล่านะ ที่ข้าพูดเป็นความจริง”
หลิงหลงเองก็ไร้วาจาจะกล่าว
หรูอี้รีบแก้สถานการณ์ ยิ้มกล่าวว่า “ไยต้องกล่าวเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ มา ดื่มกันอีกสักจอก! จอมยุทธ์จงดื่มกันสักจอก ผ่อนคลายกันสักครู่ค่อยเข้านอน! ทุกคนยากจะมีเวลามีความสุขกันเช่นนี้”
จงหมิ่นเหยียนไม่อาจไม่ให้เกียรติเขา ได้แต่ยิ้มชนจอกสุราเบาๆ
ร่ำสุราไปหลายรอบ กระแสคลื่นลมที่ผิดใจกันเมื่อครู่ก็มลายสิ้นไป อวี่ซือเฟิ่งเริ่มเมาแล้ว คลึงจอกสุราไปมายิ้มกล่าวว่า “หมิ่นเหยียน จากนี้พวกเจ้าจะไปไหน”
จงหมิ่นเหยียนกล่าวว่า “พวกข้าวางแผนจะไปทางตะวันออก ไปดูความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ตามทาง และก็แวะปราบมารปีศาจอาละวาดไปด้วย สุดท้ายจะไปเกาะฝูอวี้เยี่ยมเจ้าเกาะตงฟาง”
อวี่ซือเฟิ่งได้ฟังก็นิ่งเงียบ หลิงหลงตบมือกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง หรูอี้ แม่นางลู่ อย่างไรพวกเจ้าก็ออกมาฝึกฝนเช่นกัน ไม่สู้พวกเราไปด้วยกัน! อย่าได้แยกกันฝึกฝน ไม่เช่นนั้นน่าเบื่อแย่!”
หรูอี้ได้แต่หัวเราะเบาๆ ไม่กล่าวอันใด หันไปมองอวี่ซือเฟิ่ง เห็นชัดว่ารอฟังความเห็นเขา อวี่ซือเฟิ่งคิดอยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้า “ก็ดี พวกเราไปด้วยกัน พอดีข้ากับหรูอี้ก็ไม่มีเป้าหมายอันใด ตามพวกเจ้าไปท่องเที่ยวธรรมชาติก็น่าสนุกดี”
หลิงหลงเห็นเขารับปาก อดแสดงสีหน้าดีใจไม่ได้ รีบเข้าไปดึงลู่เยียนหราน แม่นางสองคนนี้ไม่ทะเลาะกันแล้ว รู้สึกเข้ากันได้ดี เหมือนว่าไม่อยากแยกจากกันอยู่บ้าง
“เยียนหรานไปกับพวกเรานะ! คนมากถึงจะสนุก!” หลิงหลงกุมมือนาง มองออกชัดเจนว่ากล่าวจากใจ
ลู่เยียนหรานท่าทางซาบซึ้งใจ กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ขอบคุณหลิงหลง ก่อนหน้านี้ที่กล่าววาจาไม่น่าฟังกับเจ้าไป เจ้าอย่าได้เก็บเอาไปใส่ใจ อ้อ เสวียนจี…ขอโทษด้วย”
หลิงหลงโบกมืออย่างไม่สนใจ “พูดเรื่องเก่าๆ อีกทำไมกัน! ข้าลืมไปนานแล้ว!”
ลู่เยียนหรานยิ้มบาง “แต่ข้าคิดตกเรื่องหนึ่ง ข้าตัดสินใจไปตามหาศิษย์ร่วมสำนักข้า จะขอโทษทุกคน จากนั้นกลับไปเกาะฝูอวี้ ดังนั้น…ข้าไม่อาจร่วมเดินทางไปกับพวกเจ้าแล้ว”
ทุกคนล้วนตะลึงงัน หลิงหลงร้อนใจกล่าวว่า “ทำไม…อยู่ๆ เจ้าบอกว่าจะไปก็จะไป?!”
ลู่เยียนหรานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เมื่อก่อนข้ามักรู้สึกว่าผู้อื่นต้องยอมให้ข้า มีบางเรื่องข้าเองทำผิดรู้สึกว่าไม่เป็นไร แต่ตอนนี้พบว่าผิดพลาดใหญ่หลวงนัก ข้าไม่คิดจะเป็นตัวถ่วงที่ต้องคอยให้ผู้อื่นมาดูแล ข้าหวังว่าจะเป็นเหมือนหลิงหลงกับเสวียนจี เป็นจอมยุทธ์หญิงที่เผชิญหน้าลำพังได้ไม่แพ้ผู้ชาย ดังนั้นข้าต้องกลับไปขอโทษศิษย์ร่วมสำนักเพื่อเริ่มต้นใหม่ นอกจากนี้ ข้าเองก็ลงเขามาฝึกฝนใกล้ครบกำหนดแล้ว พวกเขาใกล้กลับเกาะฝูอวี้กันแล้ว หลิงหลง พวกเจ้าไม่ใช่ว่าจะไปเกาะฝูอวี้หรือ ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้พบกันอีก ข้าขอเชิญพวกเจ้าไปกินอาหารอร่อยที่สุดบนเกาะ”
หลิงหลงได้ฟังนางกล่าวเช่นนี้ ก็รู้ว่านางตัดสินใจแล้ว ไม่คิดฝืนใจนางอีก คว้ามือนางมากุม ยิ้มถามว่า “ก็ได้ พวกเราเจอกันที่เกาะฝูอวี้ เยียนหรานกะว่าจะไปตอนไหน ไปหาศิษย์ร่วมสำนักที่ไหน”
“ข้ากะว่าจะไปทางตะวันตกก่อน พวกเขาน่าจะไปวนอยู่แถวเขาไท่หวาซาน พอดีเป็นทิศทางตรงข้ามกับพวกเจ้า เรื่องสำคัญตอนนี้ก็คือแก้ไขสิ่งที่ผ่านไป พรุ่งนี้ข้าก็จะออกเดินทางแต่เช้า”
ทุกคนไม่กล่าวอันใดอีก พากันดื่มหมดจอก ถือว่าเป็นการอำลานาง
ดื่มไปจนถึงตอนบ่าย จึงได้เดินโงนเงนกลับไปพักผ่อนของตนเอง