ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ – บทที่ 515 หวนกลับไปเมื่อครั้งที่การแต่งงานเองก็สามารถไปในทางทิศทะวันออกได้ (จบบริบูรณ์)

บทที่ 515 หวนกลับไปเมื่อครั้งที่การแต่งงานเองก็สามารถไปในทางทิศทะวันออกได้ (จบบริบูรณ์)

ตอนที่สือมูเฉินเกิดมา แทบจะมีกุญแจทองมาด้วยเลยก็ไม่ปาน

ประจวบเหมาะกับตอนนั้นสังคมพัฒนาไปเป็นอย่างมาก Times Group เองนั้นก็เป็นมังกรอสังหาริมทรัพย์ของหนิงเฉิง ทั้งหมดผ่านไปด้วยดีและลื่นไหลราวกับน้ำ

เขาเป็นลูกคนที่สองของตระกูล บิดาดำรงตำแหน่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Times Group ชราแล้วถึงพึ่งจะได้ลูก ดังนั้นแล้ว จึงรักใคร่เป็นอย่างมาก

แทบจะเป็นเริ่มตั้งแต่ช่วงอนุบาลเลย เด็กน้อยซุกซนมีเรื่องทะเลาะวิวาท แทบจะขาดไม่ได้เลยทีเดียว

เที่ยวเล่นซุกซนเช่นนั้น ก็ผ่านไปจนถึงชั้นประถมโดยไม่รู้ตัว

ด้านหลังของเขามีสหายที่คอยช่วยเหลือมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีเด็กหญิงตัวแสบอย่างซูสือจิ่นตามตูดด้วย แน่นอน ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ทว่าเขาเองนั้นก็มองดูเธอเด็กผู้ชาย

เรื่องราวทุกอย่างแทบจะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เลยทีเดียว จนกระทั่งเข้าสู่ความเป็นหนุ่มอย่างเป็นทางการ

แต่ทว่า เรื่องราวทั้งหมด กลับพันแปรไปในฤดูร้อนวันนั้น

ประโยคไม่รู้ความของเขาเพียงแค่ประโยคเดียว ทำให้บิดามารดาทะเลาะกัน มารดาจากบ้านไป นับตั้งแต่นั้นมา นิสัยของบิดาก็แปรเปลี่ยนเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดแล้วก็จากโลกนี้ไปก่อนเสียแล้ว

มีบางครั้ง มนุษย์นั้นจะต้องพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ มากมายหลายครั้ง ถึงจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ในสักวันหนึ่ง

ส่วนเขา นับตั้งแต่ที่มารดาจากไปแล้ว เขานั้นจึงเรียนรู้ที่จะรู้ความแล้วจริง ๆ และรู้ที่จะเสียใจในภายหลังแล้ว

เพียงแต่ว่าประสบการณ์ครั้งที่สองที่ทำให้เขาเติบโต กลับไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น

Times Gruop ที่อู้ฟู่เช่นนั้นกลับประสบพบเจอกับความเลวร้ายครั้งหนึ่ง ในทรัพย์สินของบิดาแบ่งให้กับเขาตั้งครึ่งใหญ่ นี่มันจะทำให้พี่ชายที่อายุมากกว่าเขาถึงสิบสามปีพอใจได้อย่างไรกัน?

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาถูกพี่ชายแท้ ๆ ผลักตกลงไปในแม่น้ำ ในช่วงเวลาของความเป็นความตายนั้นเอง ท้ายที่สุดแล้วก็เข้าใจความเป็นไปและความเลวร้ายของโลกใบนี้ได้แล้ว

นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่ใช่ ‘พี่ใหญ่’ ที่เด็ก ๆ กลุ่มนั้นนับหน้าถือตาตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนนของหนิงเฉิงอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ต่ำต้อย แสร้งเป็น ‘คนโง่’ ที่ถูกเสือกิน

บางทีพี่ชายแท้ ๆ ของเขาอย่างสือมูชิงเองก็รับรู้ได้ว่าตนเองนั้นทำเกินไปแล้วในตอนแรก บวกเข้ากับท่าทางที่สือมูเฉินแสดงออกมาว่าแทบจะลืมเลือนมันไปแล้ว ดังนั้นแล้ว หลังจากนั้นถึงแม้ว่าจะกดข่มเอาไว้ แต่ทว่ากลับไม่ได้ทำร้ายจนถึงชีวิตของเขาอีกต่อไปแล้ว

เขาถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรแต่ทว่าก็ไม่นับว่าราบรื่นนักมาจนถึงอายุสิบแปดปี หลังจากนั้นก็ไปเรียนที่ต่างประเทศ

เมื่อไปแล้ว มันคือปลาที่ต้องกระโดดลงไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เลยจริง ๆ เป็นนกที่โบยบินไปในท้องนภาอันกว้างใหญ่

เปลือกนอกเขาดูเกียจคร้าน อันที่จริงแล้วกลับก่อตั้งบริษัทของตนเองได้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย หลังจากนั้น ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นทีละก้าวทีละก้าวจนกลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยที่ผลิตโทรศัพท์มือถือและโปรแกรมธุรกิจลำดับหนึ่งในสามของโลก

แต่ทว่าในตอนนั้นเอง สิ่งที่ทุก ๆ คนเข้าใจต่อเขานั้น ล้วนแล้วแต่เพียงแค่เป็นลูกชายคนที่สองของ Times Group ที่ถูกบีบคั้นก็เท่านั้นเอง

เป็นเพราะว่าบิดากับตระกูลหลานนั้นมีทำสัญญาหมั้นหมายกันเอาไว้ ดังนั้นแล้ว เขาเองก็มักจะไปเป็นแขกที่ตระกูลหลานบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนงานแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับหลานเล่อซินนั้น เขาเองก็เจอกันมาหลายครั้งแล้ว ไม่ถือว่าชื่นชอบ แต่ทว่าก็ไม่ถือว่าเกลียด

แม้กระทั่งมีบางครั้ง เขาไปที่ตระกูลหลาน ภายในบ้านมีเพียงแค่หลานเล่อซินอยู่ เด็กสาวคนนั้นก็แทบจะส่งสัญญาณลับ ๆ ทางด้านนั้นให้แก่เขาเสมอ

เขามองออกแล้ว เขาในวัยยิ่งสิบต้น ๆ เองก็มีความรู้สึกพลุ่งพล่านหุนหันพลันแล่น แต่ทว่าน่าเสียดาย ในตอนแรกเขานั้นรีบร้อนที่จะต้องการให้บริษัทได้กำไล ในพจนานุกรมของเขา ผู้หญิงคนนั้น หากเทียบกับการงานของเขาแล้ว ไร้น้ำหนักและความสำคัญไปโดยปริยาย

อีกทั้งก็ยังคงเป็นในตระกูลหลานนั้นเอง ที่เขาได้พบเจอเข้ากับเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อหลานเสี่ยวถาง

เด็กสาวเติบโตมาอย่างสะอาดหมดจด อีกทั้งยังมักที่จะชอบเขินอายเป็นอย่างมาก

ในทุกครั้งที่ช่วยเปิดประตูให้เขานั้น เรียกเขาว่า ‘พี่มูเฉิน’ ไม่รอให้เขาได้ตอบกลับไป ก็วิ่งหนีหายไปเสียแล้ว

ตอนแรกเริ่มเขาก็ไม่ได้มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเธอมากมายนัก จนกระทั่งอยู่มาครั้งหนึ่ง เขาไม่ทันได้ระวังจนไปชนเข้ากับเธอ เมื่อเห็นเธอล้มลงไปแล้ว ดังนั้นจึงอุ้มเธอขึ้นมาแล้วลงไปหยิบยาและทำแผลให้เธอที่ชั้นล่าง

ในตอนนั้นเอง ในหัวใจของเขารู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ตัวเบามาก แทบจะอีกทั้งยังค่อนข้างน่ารักอีกด้วย

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เข้าใกล้กันมากขนาดนี้ละมั้ง!

หลังจากนั้น หลานเล่อซินถอนหมั้นฝ่ายเดียวไป ตอนแรกหากเขาบอกว่าไม่โกรธเลยนั่นก็คงจะโกหก

แต่ทว่า โทสะเองก็เป็นเพียงแค่เพราะปัญหาของศักดิ์ศรีหน้าตาเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทางด้านของความรู้สึก เขานั้นไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

เป็นเพราะว่าเขาเองนั้นยังมีเรื่องที่สำคัญว่ารอให้ไปทำอยู่

ประสบการณ์มหาวิทยาลัยที่ปีในต่างประเทศ เขาเป็นเพราะว่ามีสัญญาแต่งงานเอาไว้อยู่ ดังนั้นแล้วกลับไม่ได้ทำเรื่องที่นอกลู่นอกทางอะไรไปเลย

แต่ทว่า เป็นเพราะว่าเติบโตขึ้นมาเตะตามากจนเกินไป ย่อมที่จะไม่อาจหลีกเลี่ยงที่ดึงดูดสายตาของผู้หญิงได้เลย

บางทีก็ถือว่าเป็นความใคร่ละมั้ง เป็นเพียงเพราะว่าเพียงแค่ไม่ได้ปลดปล่อยอารมณ์เหงาหงอยโดดเดี่ยวออกไป ดังนั้นแล้ว ความทรงจำพื้นฐานดีเช่นเขา ผ่านไปสองปีก็ลืมเด็กสาวที่ชื่อ Kelly อีกทั้ง Jelly ไปเสียแล้ว

ในพจนานุกรมของเขา มนุษย์นั้นย่อมต้องการที่จะแต่งงานจริง ๆ เพียงแต่ว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นเพียงแค่การรับผิดชอบต่อสังคมฉากหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงแค่หน้าที่ที่จะร่วมรักกันแล้วก็ผลิตทายาทก็เท่านั้น!

หลานเล่อซินที่เคยทอดทิ้งเขาไม่แยแสเขา เขาย่อมที่จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ เขาคิด กลับไปจะต้องพบเจอกับของทุกสิ่งทุกอย่างมากมายที่ต้องตา แต่งงานกลับเข้ามาในบ้านเพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือภายในก็พอแล้ว

ดังนั้นแล้ว เวลาและจิตวิญญาณของเขานั้นแทบจะทุ่มเทไปกับธุรกิจทั้งหมดเลย เขาเองนั้นมักคิดอยากที่จะนำของที่บิดาทิ้งเอาไว้ให้ตนเองเหล่านั้นนำมันกลับคืนมาอยู่เสมอ

ไม่ได้เป็นเพราะว่าเพื่อทรัพย์สินเงินทอง ไม่ได้เป็นเพราะว่าชื่อเสียงผลประโยชน์ เพียงแค่เพื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ เพื่อความสิ้นหวังในตอนที่เขาจมน้ำไปต่างหาก!

ในครั้งที่ได้พบเจอกับหลานเสี่ยวถางอีกครั้ง เป็นครั้งที่อยู่ในบ้านของสือเพ่ยหลิน

เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย คนที่ยังวัยรุ่นอยู่คนหนึ่ง อีกทั้งก็ยังสาวด้วย ทำไมถึงแต่งงานให้กับหลานชายของเขาที่แทบจะไร้หนทางที่จะเคลื่อนไหวไปได้เช่นนี้กันนะ?

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เดิมเธอที่เคยเรียกเขาว่า ‘พี่มูเฉิน’ กลับเปลี่ยนไปเรียกเขาว่า ‘คุณอา’ เสียแล้ว

กลับกันเขาเองก็ยอมรับด้วย ความรู้สึกเรียบเฉยเป็นอย่างมากเช่นนั้น ค่อย ๆ ผ่านหายไป ในขณะเดียวกัน เพียงแค่เป็นเพราะว่าเขามีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นเพราะว่าเรื่องที่ไม่ได้มีความสำคัญนี้มาทำให้เขาต้องแบ่งไปใส่ใจ

เพียงแต่ว่าบ้านของสือเพ่ยหลินเขาเองก็ไปมาหลายครั้งแล้ว ในทุกครั้งล้วนแล้วแต่เห็นหลานเสี่ยวถางยุ่ง ๆ อยู่เสมอ

เขาเห็นท่าทางของเธอที่อยู่ในห้องครัว ท่าทีที่ดูแลหลานชายของเขา จู่ ๆ มันก็ทำให้เขารู้สึกว่า หญิงสาวที่มีจิตใจเมตตามีคุณธรรมเช่นนี้ น่าเสียดายเกินไปแล้ว!

เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นเอง เขาค้นพบว่าหลังจากที่สือเพ่ยหลินฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงแล้วกลับทำเรื่องบ้าบออยู่ในห้องทำงานโดยบังเอิญ หลังจากนั้นก็ยิ่งทำเกินเลยไปมากขึ้น

ในตอนนั้นเอง หัวใจของเขานั้นบังเกิดความรู้สึกเห็นใจแก่ภรรยาของหลานชายของตนเองเล็กน้อย จนกระทั่ง วันนั้นที่เขาไปที่บ้านของสือเพ่ยหลิน กลับเห็นเด็กสาวกำลังนั่งร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก

มีบางครั้ง มีความคิดความคิดหนึ่งก็บังเกิดขึ้น นั่นก็เป็นเรื่องในตอนนั้นเอง

เขาได้ยินมาว่าสือเพ่ยหลินกำลังวางแผนที่จะหย่าร้างกับหลานเสี่ยวถาง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ความคิดหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาทันที คิดอยากที่จะดึงหลานเสี่ยวถางมาร่วมแก้แค้นด้วยกัน

ดังนั้นแล้ว เขาจึงพุ่งเข้าไปโยนข้อเสนอใส่หลานเสี่ยวถาง มาแต่งงานกับเขา เขาจะพาเธอไปแก้แค้นด้วยกัน นำของที่เคยสูญเสียไปกลับคืนมาทั้งหมด!

ถึงแม้ว่าเขาจะโสดไม่ได้แต่งงาน เธอกลับเป็นภรรยาที่คนอื่นทิ้งขว้าง เมื่อมารวมเข้าด้วยกันแล้ว มองดูแล้วมันจะมีอะไรไม่เหมาะสมกันล่ะ

แต่ทว่า วันนั้นเขากลับเห็นเธอร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว จู่ ๆ ก็หวนกลับไปนึกถึงเด็กสาวขี้อายที่เปิดประตูให้เขาที่ตระกูลหลานเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้ ความเห็นอกเห็นใจตีตื้นขึ้นมาในทันที ก่อนจะตัดสินใจทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไปในทันที

หลังจากนั้น เขาตบแต่งเธอเข้ามาในบ้านแล้ว เมื่อเคยเห็นเธอที่แต่งตัวแล้วอันที่จริงเองก็สวยเป็นอย่างมาก แทบจะพาออกไปนอกบ้านก็ไม่รู้สึกทำให้เขาขายหน้าได้เลยทีเดียว

แต่ทว่าเมื่อกลับบ้านมา เขาค้นพบแล้วว่าอาหารที่เธอทำให้เขาทานนั้นถูกปากเป็นอย่างมาก เขากลับบ้านมาดึกมากแค่ไหนเธอก็ล้วนแล้วแต่จะเปิดไฟรอเขาเอาไว้ ในช่วงเวลานั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าการแต่งงานนั้นแทบจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาดเลยทีเดียว

อีกทั้งเขานั้นเป็นเพราะว่าเธอไปหาสือเพ่ยหลิน ความต้องการเข้ายึดพื้นที่ในหัวใจเขาอย่างไร้หนทางที่จะอดทน เขาจึงล่วงเกินเธอเข้าให้เสียแล้ว

ในตอนนั้นเอง เขาค้นพบว่า มันเป็นครั้งแรกของเธอ!

เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ที่มากไปกว่านั้นนั่นก็คือความรู้สึกเวทนาและความรับผิดชอบ

การแต่งงานมีดีอะไรอย่างนั้นหรือ? มันก็แค่เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างถูกกฎหมายเท่านั้น

เขามีความต้องการ พื้นที่ข้างหมอนของเขานั้นประจวบเหมาะเข้ากับมีร่างกายที่แทบจะเกิดมาเพื่อเขาของเธออยู่

ก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นประโยคประโยคหนึ่ง ความรักอาจจะสามารถทำมันออกมาได้

เขาในตอนนั้น ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรเลย เกี่ยวกับประโยคนี้เขาเองก็ล้วนแล้วแต่หัวเราะเย้ยเท่านั้น

แต่ทว่า ในทุกคืนที่ได้สวมกอดเธอจนหลับไป ความใกล้ชิดที่ข้างใบหูอย่างน่าประหลาดนั้น ทำให้เขารู้สึกเสพติดมันขึ้นมาเล็กน้อยเสียแล้ว แม้กระทั่งก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขานั้นมีจังหวะจะโคนเข้ากันมากยิ่งขึ้น

แรกเริ่มเขายินดีที่จะตัดสินใจที่จะแต่งงาน อย่างน้อยก็มีหลายคืนที่เขาหุนหันพลันแล่นไปหลายครั้ง เขาเองก็ไม่ต้องพึ่งมือหรือว่าพึ่งการดูหนังสือเพื่อที่จะปลดปล่อยอารมณ์อีกต่อไปแล้ว

ที่แท้แล้ว พระเจ้าก็สร้างผู้ชายกับผู้หญิงเข้าไว้เพื่อสอดคล้องและเหมาะสมกันเอาไว้จริง ๆ ด้วย เขาชื่นชอบที่จะได้แนบชิดกับเธอเข้าด้วยกัน แรกเริ่มนับตั้งแต่แบ่งงานในมือของเขาออกไป ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ยินยอมที่จะเสียเวลาไปกับการปลอบประโลมให้เธอมีความสุขเลย

แรกเริ่มเขาจริงจังกับการแต่งงานของพวกเขามาก พร่ำสอนให้เธอค่อย ๆ พัฒนาตนเองมากขึ้น เพื่อที่จะบรรลุคุณสมบัติและเงื่อนไขของเขา

เธอเองก็เฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก เมื่อร่ำเรียนเป็นแล้ว มักจะทำให้เขาตกตะลึงอยู่เสมอ ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นสบายใจมากยิ่งขึ้น

เรื่องราวทั้งหมดของทั้งหมด บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเริ่มตั้งแต่ความรู้สึก ตั้งแต่กระบวนการค่อยเป็นค่อยไปไปจนถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณภาพ

จุดพลิกผันทั้งหมด เป็นในที่เขาไปที่คฤหาสน์หลังเล็กที่มารดาของเขามักจะไปเสมอนั่นเอง

เขาขึ้นเขาไปพบเจอเข้ากับงู ถูกกัดจนถูกพิษไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่เธอกลับไม่สนใจอะไรเลยแถมยังช่วยเขาดูดพิษออกมาอีกด้วย

ในตอนนั้นเอง เขามองว่าไม่เป็นอะไร แต่ทว่าเขาที่ถูกพิษจนแทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้อยู่แล้วนั้น หัวใจกลับมีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือรู้สึกทราบซึ้งจนไม่สามารถลืมได้นั่นเอง

เขาเริ่มที่จะเอาหัวใจลงไปเล่นกับเธอแล้ว แต่ทว่าในระหว่างที่อยู่ด้วยกันนั้นเอง เขาก็ยิ่งชอบหญิงสาวที่มีเมตตาแต่ทว่าเข้มแข็งคนนี้มากขึ้นเสียแล้ว

อีกทั้งก็ยังเป็นในตอนที่อยู่ด้วยกันอีกนั่นแหละ เขากลับค้นพบได้โดยบังเอิญ ว่าเธอกลับเป็นลูกสาวที่หายตัวไปของหลานเซี่ยวเฉิงเลยจริง ๆ

เขาไม่ได้มั่นใจมากนัก เป็นเพียงเพราะว่าข่าวคราวนั้นถูกตัดไปเล็กน้อย อีกทั้งก็ไม่ได้ตัวอย่าง DNA ของหลานเซี่ยวเฉิงมาด้วย เดิมจึงไม่สามารถตัดสินอะไรได้เลย

อีกทั้งในตอนแรก เป็นเพราะว่าเขานั้นไม่ได้ไตร่ตรองอะไรให้ดีครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันกลับทำร้ายลูกที่หลานเซี่ยวเฉิงเลี้ยงดูมา นั่นถือเป็นสิ่งที่ผูกใจเขามาหลายปี

แต่ทว่ากลับนึกไม่ถึงเลย ไม่รู้ว่าเธอรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ที่นึกว่าเขาแต่งงานกับเธอก็เป็นเพียงแค่เพื่อชดเชยเท่านั้น ไม่ได้เป็นเพราะความรู้สึกรัก

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปีเช่นนี้แล้วเลิกรากันละมั้ง!

เธอเป็นเพราะว่าการวางแผนของมารดาของเขา ทำให้เข้าใจเขาผิดไป บวกเข้ากับเรื่องของหลานเซี่ยวเฉิงพ่อบุญธรรมเข้าอีก ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะเชื่อถือความรู้สึกระหว่างพวกเขาเลย

แต่ทว่าละครของคนที่ได้ใจไป จะสามารถโกหกเขาได้อย่างไรกัน?

แต่ทว่า เป็นเพราะว่าคนที่ได้ใจไปนั้นเป็นมารดาแท้ ๆ ของเขาเอง ดังนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะเปิดโปง เขาเองนั้นก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรเลย แต่ทว่ากลับปวดใจแทน ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะว่าเรื่องนี้จึงล้มป่วยไป

คนจิตใจดีเช่นเธอ ในเมื่อเข้าใจผิดไปแล้ว ได้ยินมาว่าเขาล้มป่วยแล้วก็ไม่สามารถที่จะอดทนที่จะมาแอบมองดูเขาได้ เธอจึงลักลอบทำอาหารให้แก่เขา ต้มโจ๊กให้แก่เขา ดูแลเอาใจใส่อาการป่วยของเขาอย่างใส่ใจ อยู่ที่โรงพยาบาลไม่ไปไหนเลย

เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ทว่าแสร้งทำเป็นหลับ ตอนกลางคืนถูกจับได้แล้วว่าตอนกลางวันแล้วไม่กล้าเผยหน้าให้เธอได้เห็น หลังจากที่เอ่ยอธิบายต่อเธออย่างจริงจัง ในท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดก็ปรับความเข้าใจกันได้

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นดีกว่าก่อนมาก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีความเข้าใจผิดกันอีกเลย มีเพียงแค่หัวใจที่ล้วนแล้วแต่ไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น

เขาตัดสินใจอีกครั้ง เขาอันที่จริงแล้วไม่รู้ว่าหลงรักเธอไปตั้งแต่ตอนไหนตั้งนานแล้ว

เขาหลงรักเด็กสาวขี้อายที่เปิดประตูให้เขาในตอนนั้น หลังจากที่เติบโตมาก็ยังเป็นเธอที่มักจะขี้อายใบหน้าแดงซ่านในเรื่องของผู้ชายกับผู้หญิง

เขาหลงรักเธอหลังจากที่แต่งงานกันแล้วก็รอเขาอยู่ที่โซฟาจนหลับไป หลงรักเธอที่ถูกเขาออกมาตรการบังคับให้ออกไปวิ่งทุกเช้าที่ชอบบ่นว่าเหนื่อยและไม่ยอมวิ่ง หลงรักเธอที่มีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคนให้กับเขา……

อีกทั้งก็เป็นในช่วงเวลาที่อยู่เคียงข้างกันมาหลายปีนี้ เขาค้นพบแล้วว่า ที่แท้แล้วความรักไปทางตะวันออก การแต่งงานเองก็ไปทางตะวันออกได้ อีกอย่างหนึ่ง มันจะไม่มีวันหมดอายุตลอดไป!

เขาแต่งงานกับความรัก เธอแต่งงานกับความรัก เรื่องราวทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วก็เติมเต็มสมบูรณ์แบบ

(จบบริบูรณ์)

ตอนที่สือมูเฉินเกิดมา แทบจะมีกุญแจทองมาด้วยเลยก็ไม่ปาน

ประจวบเหมาะกับตอนนั้นสังคมพัฒนาไปเป็นอย่างมาก Times Group เองนั้นก็เป็นมังกรอสังหาริมทรัพย์ของหนิงเฉิง ทั้งหมดผ่านไปด้วยดีและลื่นไหลราวกับน้ำ

เขาเป็นลูกคนที่สองของตระกูล บิดาดำรงตำแหน่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Times Group ชราแล้วถึงพึ่งจะได้ลูก ดังนั้นแล้ว จึงรักใคร่เป็นอย่างมาก

แทบจะเป็นเริ่มตั้งแต่ช่วงอนุบาลเลย เด็กน้อยซุกซนมีเรื่องทะเลาะวิวาท แทบจะขาดไม่ได้เลยทีเดียว

เที่ยวเล่นซุกซนเช่นนั้น ก็ผ่านไปจนถึงชั้นประถมโดยไม่รู้ตัว

ด้านหลังของเขามีสหายที่คอยช่วยเหลือมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีเด็กหญิงตัวแสบอย่างซูสือจิ่นตามตูดด้วย แน่นอน ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ทว่าเขาเองนั้นก็มองดูเธอเด็กผู้ชาย

เรื่องราวทุกอย่างแทบจะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เลยทีเดียว จนกระทั่งเข้าสู่ความเป็นหนุ่มอย่างเป็นทางการ

แต่ทว่า เรื่องราวทั้งหมด กลับพันแปรไปในฤดูร้อนวันนั้น

ประโยคไม่รู้ความของเขาเพียงแค่ประโยคเดียว ทำให้บิดามารดาทะเลาะกัน มารดาจากบ้านไป นับตั้งแต่นั้นมา นิสัยของบิดาก็แปรเปลี่ยนเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดแล้วก็จากโลกนี้ไปก่อนเสียแล้ว

มีบางครั้ง มนุษย์นั้นจะต้องพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ มากมายหลายครั้ง ถึงจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ในสักวันหนึ่ง

ส่วนเขา นับตั้งแต่ที่มารดาจากไปแล้ว เขานั้นจึงเรียนรู้ที่จะรู้ความแล้วจริง ๆ และรู้ที่จะเสียใจในภายหลังแล้ว

เพียงแต่ว่าประสบการณ์ครั้งที่สองที่ทำให้เขาเติบโต กลับไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น

Times Gruop ที่อู้ฟู่เช่นนั้นกลับประสบพบเจอกับความเลวร้ายครั้งหนึ่ง ในทรัพย์สินของบิดาแบ่งให้กับเขาตั้งครึ่งใหญ่ นี่มันจะทำให้พี่ชายที่อายุมากกว่าเขาถึงสิบสามปีพอใจได้อย่างไรกัน?

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาถูกพี่ชายแท้ ๆ ผลักตกลงไปในแม่น้ำ ในช่วงเวลาของความเป็นความตายนั้นเอง ท้ายที่สุดแล้วก็เข้าใจความเป็นไปและความเลวร้ายของโลกใบนี้ได้แล้ว

นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่ใช่ ‘พี่ใหญ่’ ที่เด็ก ๆ กลุ่มนั้นนับหน้าถือตาตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนนของหนิงเฉิงอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ต่ำต้อย แสร้งเป็น ‘คนโง่’ ที่ถูกเสือกิน

บางทีพี่ชายแท้ ๆ ของเขาอย่างสือมูชิงเองก็รับรู้ได้ว่าตนเองนั้นทำเกินไปแล้วในตอนแรก บวกเข้ากับท่าทางที่สือมูเฉินแสดงออกมาว่าแทบจะลืมเลือนมันไปแล้ว ดังนั้นแล้ว หลังจากนั้นถึงแม้ว่าจะกดข่มเอาไว้ แต่ทว่ากลับไม่ได้ทำร้ายจนถึงชีวิตของเขาอีกต่อไปแล้ว

เขาถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรแต่ทว่าก็ไม่นับว่าราบรื่นนักมาจนถึงอายุสิบแปดปี หลังจากนั้นก็ไปเรียนที่ต่างประเทศ

เมื่อไปแล้ว มันคือปลาที่ต้องกระโดดลงไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เลยจริง ๆ เป็นนกที่โบยบินไปในท้องนภาอันกว้างใหญ่

เปลือกนอกเขาดูเกียจคร้าน อันที่จริงแล้วกลับก่อตั้งบริษัทของตนเองได้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย หลังจากนั้น ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นทีละก้าวทีละก้าวจนกลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยที่ผลิตโทรศัพท์มือถือและโปรแกรมธุรกิจลำดับหนึ่งในสามของโลก

แต่ทว่าในตอนนั้นเอง สิ่งที่ทุก ๆ คนเข้าใจต่อเขานั้น ล้วนแล้วแต่เพียงแค่เป็นลูกชายคนที่สองของ Times Group ที่ถูกบีบคั้นก็เท่านั้นเอง

เป็นเพราะว่าบิดากับตระกูลหลานนั้นมีทำสัญญาหมั้นหมายกันเอาไว้ ดังนั้นแล้ว เขาเองก็มักจะไปเป็นแขกที่ตระกูลหลานบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนงานแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับหลานเล่อซินนั้น เขาเองก็เจอกันมาหลายครั้งแล้ว ไม่ถือว่าชื่นชอบ แต่ทว่าก็ไม่ถือว่าเกลียด

แม้กระทั่งมีบางครั้ง เขาไปที่ตระกูลหลาน ภายในบ้านมีเพียงแค่หลานเล่อซินอยู่ เด็กสาวคนนั้นก็แทบจะส่งสัญญาณลับ ๆ ทางด้านนั้นให้แก่เขาเสมอ

เขามองออกแล้ว เขาในวัยยิ่งสิบต้น ๆ เองก็มีความรู้สึกพลุ่งพล่านหุนหันพลันแล่น แต่ทว่าน่าเสียดาย ในตอนแรกเขานั้นรีบร้อนที่จะต้องการให้บริษัทได้กำไล ในพจนานุกรมของเขา ผู้หญิงคนนั้น หากเทียบกับการงานของเขาแล้ว ไร้น้ำหนักและความสำคัญไปโดยปริยาย

อีกทั้งก็ยังคงเป็นในตระกูลหลานนั้นเอง ที่เขาได้พบเจอเข้ากับเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อหลานเสี่ยวถาง

เด็กสาวเติบโตมาอย่างสะอาดหมดจด อีกทั้งยังมักที่จะชอบเขินอายเป็นอย่างมาก

ในทุกครั้งที่ช่วยเปิดประตูให้เขานั้น เรียกเขาว่า ‘พี่มูเฉิน’ ไม่รอให้เขาได้ตอบกลับไป ก็วิ่งหนีหายไปเสียแล้ว

ตอนแรกเริ่มเขาก็ไม่ได้มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเธอมากมายนัก จนกระทั่งอยู่มาครั้งหนึ่ง เขาไม่ทันได้ระวังจนไปชนเข้ากับเธอ เมื่อเห็นเธอล้มลงไปแล้ว ดังนั้นจึงอุ้มเธอขึ้นมาแล้วลงไปหยิบยาและทำแผลให้เธอที่ชั้นล่าง

ในตอนนั้นเอง ในหัวใจของเขารู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ตัวเบามาก แทบจะอีกทั้งยังค่อนข้างน่ารักอีกด้วย

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เข้าใกล้กันมากขนาดนี้ละมั้ง!

หลังจากนั้น หลานเล่อซินถอนหมั้นฝ่ายเดียวไป ตอนแรกหากเขาบอกว่าไม่โกรธเลยนั่นก็คงจะโกหก

แต่ทว่า โทสะเองก็เป็นเพียงแค่เพราะปัญหาของศักดิ์ศรีหน้าตาเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทางด้านของความรู้สึก เขานั้นไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

เป็นเพราะว่าเขาเองนั้นยังมีเรื่องที่สำคัญว่ารอให้ไปทำอยู่

ประสบการณ์มหาวิทยาลัยที่ปีในต่างประเทศ เขาเป็นเพราะว่ามีสัญญาแต่งงานเอาไว้อยู่ ดังนั้นแล้วกลับไม่ได้ทำเรื่องที่นอกลู่นอกทางอะไรไปเลย

แต่ทว่า เป็นเพราะว่าเติบโตขึ้นมาเตะตามากจนเกินไป ย่อมที่จะไม่อาจหลีกเลี่ยงที่ดึงดูดสายตาของผู้หญิงได้เลย

บางทีก็ถือว่าเป็นความใคร่ละมั้ง เป็นเพียงเพราะว่าเพียงแค่ไม่ได้ปลดปล่อยอารมณ์เหงาหงอยโดดเดี่ยวออกไป ดังนั้นแล้ว ความทรงจำพื้นฐานดีเช่นเขา ผ่านไปสองปีก็ลืมเด็กสาวที่ชื่อ Kelly อีกทั้ง Jelly ไปเสียแล้ว

ในพจนานุกรมของเขา มนุษย์นั้นย่อมต้องการที่จะแต่งงานจริง ๆ เพียงแต่ว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นเพียงแค่การรับผิดชอบต่อสังคมฉากหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงแค่หน้าที่ที่จะร่วมรักกันแล้วก็ผลิตทายาทก็เท่านั้น!

หลานเล่อซินที่เคยทอดทิ้งเขาไม่แยแสเขา เขาย่อมที่จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ เขาคิด กลับไปจะต้องพบเจอกับของทุกสิ่งทุกอย่างมากมายที่ต้องตา แต่งงานกลับเข้ามาในบ้านเพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือภายในก็พอแล้ว

ดังนั้นแล้ว เวลาและจิตวิญญาณของเขานั้นแทบจะทุ่มเทไปกับธุรกิจทั้งหมดเลย เขาเองนั้นมักคิดอยากที่จะนำของที่บิดาทิ้งเอาไว้ให้ตนเองเหล่านั้นนำมันกลับคืนมาอยู่เสมอ

ไม่ได้เป็นเพราะว่าเพื่อทรัพย์สินเงินทอง ไม่ได้เป็นเพราะว่าชื่อเสียงผลประโยชน์ เพียงแค่เพื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ เพื่อความสิ้นหวังในตอนที่เขาจมน้ำไปต่างหาก!

ในครั้งที่ได้พบเจอกับหลานเสี่ยวถางอีกครั้ง เป็นครั้งที่อยู่ในบ้านของสือเพ่ยหลิน

เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย คนที่ยังวัยรุ่นอยู่คนหนึ่ง อีกทั้งก็ยังสาวด้วย ทำไมถึงแต่งงานให้กับหลานชายของเขาที่แทบจะไร้หนทางที่จะเคลื่อนไหวไปได้เช่นนี้กันนะ?

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เดิมเธอที่เคยเรียกเขาว่า ‘พี่มูเฉิน’ กลับเปลี่ยนไปเรียกเขาว่า ‘คุณอา’ เสียแล้ว

กลับกันเขาเองก็ยอมรับด้วย ความรู้สึกเรียบเฉยเป็นอย่างมากเช่นนั้น ค่อย ๆ ผ่านหายไป ในขณะเดียวกัน เพียงแค่เป็นเพราะว่าเขามีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นเพราะว่าเรื่องที่ไม่ได้มีความสำคัญนี้มาทำให้เขาต้องแบ่งไปใส่ใจ

เพียงแต่ว่าบ้านของสือเพ่ยหลินเขาเองก็ไปมาหลายครั้งแล้ว ในทุกครั้งล้วนแล้วแต่เห็นหลานเสี่ยวถางยุ่ง ๆ อยู่เสมอ

เขาเห็นท่าทางของเธอที่อยู่ในห้องครัว ท่าทีที่ดูแลหลานชายของเขา จู่ ๆ มันก็ทำให้เขารู้สึกว่า หญิงสาวที่มีจิตใจเมตตามีคุณธรรมเช่นนี้ น่าเสียดายเกินไปแล้ว!

เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นเอง เขาค้นพบว่าหลังจากที่สือเพ่ยหลินฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงแล้วกลับทำเรื่องบ้าบออยู่ในห้องทำงานโดยบังเอิญ หลังจากนั้นก็ยิ่งทำเกินเลยไปมากขึ้น

ในตอนนั้นเอง หัวใจของเขานั้นบังเกิดความรู้สึกเห็นใจแก่ภรรยาของหลานชายของตนเองเล็กน้อย จนกระทั่ง วันนั้นที่เขาไปที่บ้านของสือเพ่ยหลิน กลับเห็นเด็กสาวกำลังนั่งร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก

มีบางครั้ง มีความคิดความคิดหนึ่งก็บังเกิดขึ้น นั่นก็เป็นเรื่องในตอนนั้นเอง

เขาได้ยินมาว่าสือเพ่ยหลินกำลังวางแผนที่จะหย่าร้างกับหลานเสี่ยวถาง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ความคิดหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาทันที คิดอยากที่จะดึงหลานเสี่ยวถางมาร่วมแก้แค้นด้วยกัน

ดังนั้นแล้ว เขาจึงพุ่งเข้าไปโยนข้อเสนอใส่หลานเสี่ยวถาง มาแต่งงานกับเขา เขาจะพาเธอไปแก้แค้นด้วยกัน นำของที่เคยสูญเสียไปกลับคืนมาทั้งหมด!

ถึงแม้ว่าเขาจะโสดไม่ได้แต่งงาน เธอกลับเป็นภรรยาที่คนอื่นทิ้งขว้าง เมื่อมารวมเข้าด้วยกันแล้ว มองดูแล้วมันจะมีอะไรไม่เหมาะสมกันล่ะ

แต่ทว่า วันนั้นเขากลับเห็นเธอร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว จู่ ๆ ก็หวนกลับไปนึกถึงเด็กสาวขี้อายที่เปิดประตูให้เขาที่ตระกูลหลานเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้ ความเห็นอกเห็นใจตีตื้นขึ้นมาในทันที ก่อนจะตัดสินใจทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไปในทันที

หลังจากนั้น เขาตบแต่งเธอเข้ามาในบ้านแล้ว เมื่อเคยเห็นเธอที่แต่งตัวแล้วอันที่จริงเองก็สวยเป็นอย่างมาก แทบจะพาออกไปนอกบ้านก็ไม่รู้สึกทำให้เขาขายหน้าได้เลยทีเดียว

แต่ทว่าเมื่อกลับบ้านมา เขาค้นพบแล้วว่าอาหารที่เธอทำให้เขาทานนั้นถูกปากเป็นอย่างมาก เขากลับบ้านมาดึกมากแค่ไหนเธอก็ล้วนแล้วแต่จะเปิดไฟรอเขาเอาไว้ ในช่วงเวลานั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าการแต่งงานนั้นแทบจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาดเลยทีเดียว

อีกทั้งเขานั้นเป็นเพราะว่าเธอไปหาสือเพ่ยหลิน ความต้องการเข้ายึดพื้นที่ในหัวใจเขาอย่างไร้หนทางที่จะอดทน เขาจึงล่วงเกินเธอเข้าให้เสียแล้ว

ในตอนนั้นเอง เขาค้นพบว่า มันเป็นครั้งแรกของเธอ!

เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ที่มากไปกว่านั้นนั่นก็คือความรู้สึกเวทนาและความรับผิดชอบ

การแต่งงานมีดีอะไรอย่างนั้นหรือ? มันก็แค่เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างถูกกฎหมายเท่านั้น

เขามีความต้องการ พื้นที่ข้างหมอนของเขานั้นประจวบเหมาะเข้ากับมีร่างกายที่แทบจะเกิดมาเพื่อเขาของเธออยู่

ก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นประโยคประโยคหนึ่ง ความรักอาจจะสามารถทำมันออกมาได้

เขาในตอนนั้น ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรเลย เกี่ยวกับประโยคนี้เขาเองก็ล้วนแล้วแต่หัวเราะเย้ยเท่านั้น

แต่ทว่า ในทุกคืนที่ได้สวมกอดเธอจนหลับไป ความใกล้ชิดที่ข้างใบหูอย่างน่าประหลาดนั้น ทำให้เขารู้สึกเสพติดมันขึ้นมาเล็กน้อยเสียแล้ว แม้กระทั่งก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขานั้นมีจังหวะจะโคนเข้ากันมากยิ่งขึ้น

แรกเริ่มเขายินดีที่จะตัดสินใจที่จะแต่งงาน อย่างน้อยก็มีหลายคืนที่เขาหุนหันพลันแล่นไปหลายครั้ง เขาเองก็ไม่ต้องพึ่งมือหรือว่าพึ่งการดูหนังสือเพื่อที่จะปลดปล่อยอารมณ์อีกต่อไปแล้ว

ที่แท้แล้ว พระเจ้าก็สร้างผู้ชายกับผู้หญิงเข้าไว้เพื่อสอดคล้องและเหมาะสมกันเอาไว้จริง ๆ ด้วย เขาชื่นชอบที่จะได้แนบชิดกับเธอเข้าด้วยกัน แรกเริ่มนับตั้งแต่แบ่งงานในมือของเขาออกไป ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ยินยอมที่จะเสียเวลาไปกับการปลอบประโลมให้เธอมีความสุขเลย

แรกเริ่มเขาจริงจังกับการแต่งงานของพวกเขามาก พร่ำสอนให้เธอค่อย ๆ พัฒนาตนเองมากขึ้น เพื่อที่จะบรรลุคุณสมบัติและเงื่อนไขของเขา

เธอเองก็เฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก เมื่อร่ำเรียนเป็นแล้ว มักจะทำให้เขาตกตะลึงอยู่เสมอ ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นสบายใจมากยิ่งขึ้น

เรื่องราวทั้งหมดของทั้งหมด บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเริ่มตั้งแต่ความรู้สึก ตั้งแต่กระบวนการค่อยเป็นค่อยไปไปจนถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณภาพ

จุดพลิกผันทั้งหมด เป็นในที่เขาไปที่คฤหาสน์หลังเล็กที่มารดาของเขามักจะไปเสมอนั่นเอง

เขาขึ้นเขาไปพบเจอเข้ากับงู ถูกกัดจนถูกพิษไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่เธอกลับไม่สนใจอะไรเลยแถมยังช่วยเขาดูดพิษออกมาอีกด้วย

ในตอนนั้นเอง เขามองว่าไม่เป็นอะไร แต่ทว่าเขาที่ถูกพิษจนแทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้อยู่แล้วนั้น หัวใจกลับมีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือรู้สึกทราบซึ้งจนไม่สามารถลืมได้นั่นเอง

เขาเริ่มที่จะเอาหัวใจลงไปเล่นกับเธอแล้ว แต่ทว่าในระหว่างที่อยู่ด้วยกันนั้นเอง เขาก็ยิ่งชอบหญิงสาวที่มีเมตตาแต่ทว่าเข้มแข็งคนนี้มากขึ้นเสียแล้ว

อีกทั้งก็ยังเป็นในตอนที่อยู่ด้วยกันอีกนั่นแหละ เขากลับค้นพบได้โดยบังเอิญ ว่าเธอกลับเป็นลูกสาวที่หายตัวไปของหลานเซี่ยวเฉิงเลยจริง ๆ

เขาไม่ได้มั่นใจมากนัก เป็นเพียงเพราะว่าข่าวคราวนั้นถูกตัดไปเล็กน้อย อีกทั้งก็ไม่ได้ตัวอย่าง DNA ของหลานเซี่ยวเฉิงมาด้วย เดิมจึงไม่สามารถตัดสินอะไรได้เลย

อีกทั้งในตอนแรก เป็นเพราะว่าเขานั้นไม่ได้ไตร่ตรองอะไรให้ดีครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันกลับทำร้ายลูกที่หลานเซี่ยวเฉิงเลี้ยงดูมา นั่นถือเป็นสิ่งที่ผูกใจเขามาหลายปี

แต่ทว่ากลับนึกไม่ถึงเลย ไม่รู้ว่าเธอรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ที่นึกว่าเขาแต่งงานกับเธอก็เป็นเพียงแค่เพื่อชดเชยเท่านั้น ไม่ได้เป็นเพราะความรู้สึกรัก

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปีเช่นนี้แล้วเลิกรากันละมั้ง!

เธอเป็นเพราะว่าการวางแผนของมารดาของเขา ทำให้เข้าใจเขาผิดไป บวกเข้ากับเรื่องของหลานเซี่ยวเฉิงพ่อบุญธรรมเข้าอีก ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะเชื่อถือความรู้สึกระหว่างพวกเขาเลย

แต่ทว่าละครของคนที่ได้ใจไป จะสามารถโกหกเขาได้อย่างไรกัน?

แต่ทว่า เป็นเพราะว่าคนที่ได้ใจไปนั้นเป็นมารดาแท้ ๆ ของเขาเอง ดังนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะเปิดโปง เขาเองนั้นก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรเลย แต่ทว่ากลับปวดใจแทน ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะว่าเรื่องนี้จึงล้มป่วยไป

คนจิตใจดีเช่นเธอ ในเมื่อเข้าใจผิดไปแล้ว ได้ยินมาว่าเขาล้มป่วยแล้วก็ไม่สามารถที่จะอดทนที่จะมาแอบมองดูเขาได้ เธอจึงลักลอบทำอาหารให้แก่เขา ต้มโจ๊กให้แก่เขา ดูแลเอาใจใส่อาการป่วยของเขาอย่างใส่ใจ อยู่ที่โรงพยาบาลไม่ไปไหนเลย

เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ทว่าแสร้งทำเป็นหลับ ตอนกลางคืนถูกจับได้แล้วว่าตอนกลางวันแล้วไม่กล้าเผยหน้าให้เธอได้เห็น หลังจากที่เอ่ยอธิบายต่อเธออย่างจริงจัง ในท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดก็ปรับความเข้าใจกันได้

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นดีกว่าก่อนมาก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีความเข้าใจผิดกันอีกเลย มีเพียงแค่หัวใจที่ล้วนแล้วแต่ไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น

เขาตัดสินใจอีกครั้ง เขาอันที่จริงแล้วไม่รู้ว่าหลงรักเธอไปตั้งแต่ตอนไหนตั้งนานแล้ว

เขาหลงรักเด็กสาวขี้อายที่เปิดประตูให้เขาในตอนนั้น หลังจากที่เติบโตมาก็ยังเป็นเธอที่มักจะขี้อายใบหน้าแดงซ่านในเรื่องของผู้ชายกับผู้หญิง

เขาหลงรักเธอหลังจากที่แต่งงานกันแล้วก็รอเขาอยู่ที่โซฟาจนหลับไป หลงรักเธอที่ถูกเขาออกมาตรการบังคับให้ออกไปวิ่งทุกเช้าที่ชอบบ่นว่าเหนื่อยและไม่ยอมวิ่ง หลงรักเธอที่มีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคนให้กับเขา……

อีกทั้งก็เป็นในช่วงเวลาที่อยู่เคียงข้างกันมาหลายปีนี้ เขาค้นพบแล้วว่า ที่แท้แล้วความรักไปทางตะวันออก การแต่งงานเองก็ไปทางตะวันออกได้ อีกอย่างหนึ่ง มันจะไม่มีวันหมดอายุตลอดไป!

เขาแต่งงานกับความรัก เธอแต่งงานกับความรัก เรื่องราวทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วก็เติมเต็มสมบูรณ์แบบ

(จบบริบูรณ์)

ตอนที่สือมูเฉินเกิดมา แทบจะมีกุญแจทองมาด้วยเลยก็ไม่ปาน

ประจวบเหมาะกับตอนนั้นสังคมพัฒนาไปเป็นอย่างมาก Times Group เองนั้นก็เป็นมังกรอสังหาริมทรัพย์ของหนิงเฉิง ทั้งหมดผ่านไปด้วยดีและลื่นไหลราวกับน้ำ

เขาเป็นลูกคนที่สองของตระกูล บิดาดำรงตำแหน่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Times Group ชราแล้วถึงพึ่งจะได้ลูก ดังนั้นแล้ว จึงรักใคร่เป็นอย่างมาก

แทบจะเป็นเริ่มตั้งแต่ช่วงอนุบาลเลย เด็กน้อยซุกซนมีเรื่องทะเลาะวิวาท แทบจะขาดไม่ได้เลยทีเดียว

เที่ยวเล่นซุกซนเช่นนั้น ก็ผ่านไปจนถึงชั้นประถมโดยไม่รู้ตัว

ด้านหลังของเขามีสหายที่คอยช่วยเหลือมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีเด็กหญิงตัวแสบอย่างซูสือจิ่นตามตูดด้วย แน่นอน ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ทว่าเขาเองนั้นก็มองดูเธอเด็กผู้ชาย

เรื่องราวทุกอย่างแทบจะเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เลยทีเดียว จนกระทั่งเข้าสู่ความเป็นหนุ่มอย่างเป็นทางการ

แต่ทว่า เรื่องราวทั้งหมด กลับพันแปรไปในฤดูร้อนวันนั้น

ประโยคไม่รู้ความของเขาเพียงแค่ประโยคเดียว ทำให้บิดามารดาทะเลาะกัน มารดาจากบ้านไป นับตั้งแต่นั้นมา นิสัยของบิดาก็แปรเปลี่ยนเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดแล้วก็จากโลกนี้ไปก่อนเสียแล้ว

มีบางครั้ง มนุษย์นั้นจะต้องพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ มากมายหลายครั้ง ถึงจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ในสักวันหนึ่ง

ส่วนเขา นับตั้งแต่ที่มารดาจากไปแล้ว เขานั้นจึงเรียนรู้ที่จะรู้ความแล้วจริง ๆ และรู้ที่จะเสียใจในภายหลังแล้ว

เพียงแต่ว่าประสบการณ์ครั้งที่สองที่ทำให้เขาเติบโต กลับไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น

Times Gruop ที่อู้ฟู่เช่นนั้นกลับประสบพบเจอกับความเลวร้ายครั้งหนึ่ง ในทรัพย์สินของบิดาแบ่งให้กับเขาตั้งครึ่งใหญ่ นี่มันจะทำให้พี่ชายที่อายุมากกว่าเขาถึงสิบสามปีพอใจได้อย่างไรกัน?

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาถูกพี่ชายแท้ ๆ ผลักตกลงไปในแม่น้ำ ในช่วงเวลาของความเป็นความตายนั้นเอง ท้ายที่สุดแล้วก็เข้าใจความเป็นไปและความเลวร้ายของโลกใบนี้ได้แล้ว

นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ไม่ใช่ ‘พี่ใหญ่’ ที่เด็ก ๆ กลุ่มนั้นนับหน้าถือตาตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนนของหนิงเฉิงอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งยังเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ต่ำต้อย แสร้งเป็น ‘คนโง่’ ที่ถูกเสือกิน

บางทีพี่ชายแท้ ๆ ของเขาอย่างสือมูชิงเองก็รับรู้ได้ว่าตนเองนั้นทำเกินไปแล้วในตอนแรก บวกเข้ากับท่าทางที่สือมูเฉินแสดงออกมาว่าแทบจะลืมเลือนมันไปแล้ว ดังนั้นแล้ว หลังจากนั้นถึงแม้ว่าจะกดข่มเอาไว้ แต่ทว่ากลับไม่ได้ทำร้ายจนถึงชีวิตของเขาอีกต่อไปแล้ว

เขาถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรแต่ทว่าก็ไม่นับว่าราบรื่นนักมาจนถึงอายุสิบแปดปี หลังจากนั้นก็ไปเรียนที่ต่างประเทศ

เมื่อไปแล้ว มันคือปลาที่ต้องกระโดดลงไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่เลยจริง ๆ เป็นนกที่โบยบินไปในท้องนภาอันกว้างใหญ่

เปลือกนอกเขาดูเกียจคร้าน อันที่จริงแล้วกลับก่อตั้งบริษัทของตนเองได้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย หลังจากนั้น ก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นทีละก้าวทีละก้าวจนกลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยที่ผลิตโทรศัพท์มือถือและโปรแกรมธุรกิจลำดับหนึ่งในสามของโลก

แต่ทว่าในตอนนั้นเอง สิ่งที่ทุก ๆ คนเข้าใจต่อเขานั้น ล้วนแล้วแต่เพียงแค่เป็นลูกชายคนที่สองของ Times Group ที่ถูกบีบคั้นก็เท่านั้นเอง

เป็นเพราะว่าบิดากับตระกูลหลานนั้นมีทำสัญญาหมั้นหมายกันเอาไว้ ดังนั้นแล้ว เขาเองก็มักจะไปเป็นแขกที่ตระกูลหลานบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนงานแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับหลานเล่อซินนั้น เขาเองก็เจอกันมาหลายครั้งแล้ว ไม่ถือว่าชื่นชอบ แต่ทว่าก็ไม่ถือว่าเกลียด

แม้กระทั่งมีบางครั้ง เขาไปที่ตระกูลหลาน ภายในบ้านมีเพียงแค่หลานเล่อซินอยู่ เด็กสาวคนนั้นก็แทบจะส่งสัญญาณลับ ๆ ทางด้านนั้นให้แก่เขาเสมอ

เขามองออกแล้ว เขาในวัยยิ่งสิบต้น ๆ เองก็มีความรู้สึกพลุ่งพล่านหุนหันพลันแล่น แต่ทว่าน่าเสียดาย ในตอนแรกเขานั้นรีบร้อนที่จะต้องการให้บริษัทได้กำไล ในพจนานุกรมของเขา ผู้หญิงคนนั้น หากเทียบกับการงานของเขาแล้ว ไร้น้ำหนักและความสำคัญไปโดยปริยาย

อีกทั้งก็ยังคงเป็นในตระกูลหลานนั้นเอง ที่เขาได้พบเจอเข้ากับเด็กสาวคนหนึ่งที่ชื่อหลานเสี่ยวถาง

เด็กสาวเติบโตมาอย่างสะอาดหมดจด อีกทั้งยังมักที่จะชอบเขินอายเป็นอย่างมาก

ในทุกครั้งที่ช่วยเปิดประตูให้เขานั้น เรียกเขาว่า ‘พี่มูเฉิน’ ไม่รอให้เขาได้ตอบกลับไป ก็วิ่งหนีหายไปเสียแล้ว

ตอนแรกเริ่มเขาก็ไม่ได้มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเธอมากมายนัก จนกระทั่งอยู่มาครั้งหนึ่ง เขาไม่ทันได้ระวังจนไปชนเข้ากับเธอ เมื่อเห็นเธอล้มลงไปแล้ว ดังนั้นจึงอุ้มเธอขึ้นมาแล้วลงไปหยิบยาและทำแผลให้เธอที่ชั้นล่าง

ในตอนนั้นเอง ในหัวใจของเขารู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ตัวเบามาก แทบจะอีกทั้งยังค่อนข้างน่ารักอีกด้วย

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เข้าใกล้กันมากขนาดนี้ละมั้ง!

หลังจากนั้น หลานเล่อซินถอนหมั้นฝ่ายเดียวไป ตอนแรกหากเขาบอกว่าไม่โกรธเลยนั่นก็คงจะโกหก

แต่ทว่า โทสะเองก็เป็นเพียงแค่เพราะปัญหาของศักดิ์ศรีหน้าตาเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทางด้านของความรู้สึก เขานั้นไม่มีความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

เป็นเพราะว่าเขาเองนั้นยังมีเรื่องที่สำคัญว่ารอให้ไปทำอยู่

ประสบการณ์มหาวิทยาลัยที่ปีในต่างประเทศ เขาเป็นเพราะว่ามีสัญญาแต่งงานเอาไว้อยู่ ดังนั้นแล้วกลับไม่ได้ทำเรื่องที่นอกลู่นอกทางอะไรไปเลย

แต่ทว่า เป็นเพราะว่าเติบโตขึ้นมาเตะตามากจนเกินไป ย่อมที่จะไม่อาจหลีกเลี่ยงที่ดึงดูดสายตาของผู้หญิงได้เลย

บางทีก็ถือว่าเป็นความใคร่ละมั้ง เป็นเพียงเพราะว่าเพียงแค่ไม่ได้ปลดปล่อยอารมณ์เหงาหงอยโดดเดี่ยวออกไป ดังนั้นแล้ว ความทรงจำพื้นฐานดีเช่นเขา ผ่านไปสองปีก็ลืมเด็กสาวที่ชื่อ Kelly อีกทั้ง Jelly ไปเสียแล้ว

ในพจนานุกรมของเขา มนุษย์นั้นย่อมต้องการที่จะแต่งงานจริง ๆ เพียงแต่ว่าการแต่งงานไม่ได้เป็นเพียงแค่การรับผิดชอบต่อสังคมฉากหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงแค่หน้าที่ที่จะร่วมรักกันแล้วก็ผลิตทายาทก็เท่านั้น!

หลานเล่อซินที่เคยทอดทิ้งเขาไม่แยแสเขา เขาย่อมที่จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงแบบนี้อีกต่อไปแล้ว ส่วนคนอื่น ๆ เขาคิด กลับไปจะต้องพบเจอกับของทุกสิ่งทุกอย่างมากมายที่ต้องตา แต่งงานกลับเข้ามาในบ้านเพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือภายในก็พอแล้ว

ดังนั้นแล้ว เวลาและจิตวิญญาณของเขานั้นแทบจะทุ่มเทไปกับธุรกิจทั้งหมดเลย เขาเองนั้นมักคิดอยากที่จะนำของที่บิดาทิ้งเอาไว้ให้ตนเองเหล่านั้นนำมันกลับคืนมาอยู่เสมอ

ไม่ได้เป็นเพราะว่าเพื่อทรัพย์สินเงินทอง ไม่ได้เป็นเพราะว่าชื่อเสียงผลประโยชน์ เพียงแค่เพื่อสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ เพื่อความสิ้นหวังในตอนที่เขาจมน้ำไปต่างหาก!

ในครั้งที่ได้พบเจอกับหลานเสี่ยวถางอีกครั้ง เป็นครั้งที่อยู่ในบ้านของสือเพ่ยหลิน

เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย คนที่ยังวัยรุ่นอยู่คนหนึ่ง อีกทั้งก็ยังสาวด้วย ทำไมถึงแต่งงานให้กับหลานชายของเขาที่แทบจะไร้หนทางที่จะเคลื่อนไหวไปได้เช่นนี้กันนะ?

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เดิมเธอที่เคยเรียกเขาว่า ‘พี่มูเฉิน’ กลับเปลี่ยนไปเรียกเขาว่า ‘คุณอา’ เสียแล้ว

กลับกันเขาเองก็ยอมรับด้วย ความรู้สึกเรียบเฉยเป็นอย่างมากเช่นนั้น ค่อย ๆ ผ่านหายไป ในขณะเดียวกัน เพียงแค่เป็นเพราะว่าเขามีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นเพราะว่าเรื่องที่ไม่ได้มีความสำคัญนี้มาทำให้เขาต้องแบ่งไปใส่ใจ

เพียงแต่ว่าบ้านของสือเพ่ยหลินเขาเองก็ไปมาหลายครั้งแล้ว ในทุกครั้งล้วนแล้วแต่เห็นหลานเสี่ยวถางยุ่ง ๆ อยู่เสมอ

เขาเห็นท่าทางของเธอที่อยู่ในห้องครัว ท่าทีที่ดูแลหลานชายของเขา จู่ ๆ มันก็ทำให้เขารู้สึกว่า หญิงสาวที่มีจิตใจเมตตามีคุณธรรมเช่นนี้ น่าเสียดายเกินไปแล้ว!

เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นเอง เขาค้นพบว่าหลังจากที่สือเพ่ยหลินฟื้นฟูกลับมาแข็งแรงแล้วกลับทำเรื่องบ้าบออยู่ในห้องทำงานโดยบังเอิญ หลังจากนั้นก็ยิ่งทำเกินเลยไปมากขึ้น

ในตอนนั้นเอง หัวใจของเขานั้นบังเกิดความรู้สึกเห็นใจแก่ภรรยาของหลานชายของตนเองเล็กน้อย จนกระทั่ง วันนั้นที่เขาไปที่บ้านของสือเพ่ยหลิน กลับเห็นเด็กสาวกำลังนั่งร้องไห้อย่างหมดอาลัยตายอยาก

มีบางครั้ง มีความคิดความคิดหนึ่งก็บังเกิดขึ้น นั่นก็เป็นเรื่องในตอนนั้นเอง

เขาได้ยินมาว่าสือเพ่ยหลินกำลังวางแผนที่จะหย่าร้างกับหลานเสี่ยวถาง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ความคิดหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาทันที คิดอยากที่จะดึงหลานเสี่ยวถางมาร่วมแก้แค้นด้วยกัน

ดังนั้นแล้ว เขาจึงพุ่งเข้าไปโยนข้อเสนอใส่หลานเสี่ยวถาง มาแต่งงานกับเขา เขาจะพาเธอไปแก้แค้นด้วยกัน นำของที่เคยสูญเสียไปกลับคืนมาทั้งหมด!

ถึงแม้ว่าเขาจะโสดไม่ได้แต่งงาน เธอกลับเป็นภรรยาที่คนอื่นทิ้งขว้าง เมื่อมารวมเข้าด้วยกันแล้ว มองดูแล้วมันจะมีอะไรไม่เหมาะสมกันล่ะ

แต่ทว่า วันนั้นเขากลับเห็นเธอร้องไห้อย่างทุกข์ทรมานอยู่คนเดียว จู่ ๆ ก็หวนกลับไปนึกถึงเด็กสาวขี้อายที่เปิดประตูให้เขาที่ตระกูลหลานเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้ ความเห็นอกเห็นใจตีตื้นขึ้นมาในทันที ก่อนจะตัดสินใจทำเรื่องที่ไม่สมควรลงไปในทันที

หลังจากนั้น เขาตบแต่งเธอเข้ามาในบ้านแล้ว เมื่อเคยเห็นเธอที่แต่งตัวแล้วอันที่จริงเองก็สวยเป็นอย่างมาก แทบจะพาออกไปนอกบ้านก็ไม่รู้สึกทำให้เขาขายหน้าได้เลยทีเดียว

แต่ทว่าเมื่อกลับบ้านมา เขาค้นพบแล้วว่าอาหารที่เธอทำให้เขาทานนั้นถูกปากเป็นอย่างมาก เขากลับบ้านมาดึกมากแค่ไหนเธอก็ล้วนแล้วแต่จะเปิดไฟรอเขาเอาไว้ ในช่วงเวลานั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าการแต่งงานนั้นแทบจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาดเลยทีเดียว

อีกทั้งเขานั้นเป็นเพราะว่าเธอไปหาสือเพ่ยหลิน ความต้องการเข้ายึดพื้นที่ในหัวใจเขาอย่างไร้หนทางที่จะอดทน เขาจึงล่วงเกินเธอเข้าให้เสียแล้ว

ในตอนนั้นเอง เขาค้นพบว่า มันเป็นครั้งแรกของเธอ!

เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ที่มากไปกว่านั้นนั่นก็คือความรู้สึกเวทนาและความรับผิดชอบ

การแต่งงานมีดีอะไรอย่างนั้นหรือ? มันก็แค่เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างถูกกฎหมายเท่านั้น

เขามีความต้องการ พื้นที่ข้างหมอนของเขานั้นประจวบเหมาะเข้ากับมีร่างกายที่แทบจะเกิดมาเพื่อเขาของเธออยู่

ก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นประโยคประโยคหนึ่ง ความรักอาจจะสามารถทำมันออกมาได้

เขาในตอนนั้น ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรเลย เกี่ยวกับประโยคนี้เขาเองก็ล้วนแล้วแต่หัวเราะเย้ยเท่านั้น

แต่ทว่า ในทุกคืนที่ได้สวมกอดเธอจนหลับไป ความใกล้ชิดที่ข้างใบหูอย่างน่าประหลาดนั้น ทำให้เขารู้สึกเสพติดมันขึ้นมาเล็กน้อยเสียแล้ว แม้กระทั่งก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขานั้นมีจังหวะจะโคนเข้ากันมากยิ่งขึ้น

แรกเริ่มเขายินดีที่จะตัดสินใจที่จะแต่งงาน อย่างน้อยก็มีหลายคืนที่เขาหุนหันพลันแล่นไปหลายครั้ง เขาเองก็ไม่ต้องพึ่งมือหรือว่าพึ่งการดูหนังสือเพื่อที่จะปลดปล่อยอารมณ์อีกต่อไปแล้ว

ที่แท้แล้ว พระเจ้าก็สร้างผู้ชายกับผู้หญิงเข้าไว้เพื่อสอดคล้องและเหมาะสมกันเอาไว้จริง ๆ ด้วย เขาชื่นชอบที่จะได้แนบชิดกับเธอเข้าด้วยกัน แรกเริ่มนับตั้งแต่แบ่งงานในมือของเขาออกไป ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ยินยอมที่จะเสียเวลาไปกับการปลอบประโลมให้เธอมีความสุขเลย

แรกเริ่มเขาจริงจังกับการแต่งงานของพวกเขามาก พร่ำสอนให้เธอค่อย ๆ พัฒนาตนเองมากขึ้น เพื่อที่จะบรรลุคุณสมบัติและเงื่อนไขของเขา

เธอเองก็เฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก เมื่อร่ำเรียนเป็นแล้ว มักจะทำให้เขาตกตะลึงอยู่เสมอ ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นสบายใจมากยิ่งขึ้น

เรื่องราวทั้งหมดของทั้งหมด บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเริ่มตั้งแต่ความรู้สึก ตั้งแต่กระบวนการค่อยเป็นค่อยไปไปจนถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณภาพ

จุดพลิกผันทั้งหมด เป็นในที่เขาไปที่คฤหาสน์หลังเล็กที่มารดาของเขามักจะไปเสมอนั่นเอง

เขาขึ้นเขาไปพบเจอเข้ากับงู ถูกกัดจนถูกพิษไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่เธอกลับไม่สนใจอะไรเลยแถมยังช่วยเขาดูดพิษออกมาอีกด้วย

ในตอนนั้นเอง เขามองว่าไม่เป็นอะไร แต่ทว่าเขาที่ถูกพิษจนแทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้อยู่แล้วนั้น หัวใจกลับมีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือรู้สึกทราบซึ้งจนไม่สามารถลืมได้นั่นเอง

เขาเริ่มที่จะเอาหัวใจลงไปเล่นกับเธอแล้ว แต่ทว่าในระหว่างที่อยู่ด้วยกันนั้นเอง เขาก็ยิ่งชอบหญิงสาวที่มีเมตตาแต่ทว่าเข้มแข็งคนนี้มากขึ้นเสียแล้ว

อีกทั้งก็ยังเป็นในตอนที่อยู่ด้วยกันอีกนั่นแหละ เขากลับค้นพบได้โดยบังเอิญ ว่าเธอกลับเป็นลูกสาวที่หายตัวไปของหลานเซี่ยวเฉิงเลยจริง ๆ

เขาไม่ได้มั่นใจมากนัก เป็นเพียงเพราะว่าข่าวคราวนั้นถูกตัดไปเล็กน้อย อีกทั้งก็ไม่ได้ตัวอย่าง DNA ของหลานเซี่ยวเฉิงมาด้วย เดิมจึงไม่สามารถตัดสินอะไรได้เลย

อีกทั้งในตอนแรก เป็นเพราะว่าเขานั้นไม่ได้ไตร่ตรองอะไรให้ดีครั้งหนึ่ง ในขณะเดียวกันกลับทำร้ายลูกที่หลานเซี่ยวเฉิงเลี้ยงดูมา นั่นถือเป็นสิ่งที่ผูกใจเขามาหลายปี

แต่ทว่ากลับนึกไม่ถึงเลย ไม่รู้ว่าเธอรับรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ที่นึกว่าเขาแต่งงานกับเธอก็เป็นเพียงแค่เพื่อชดเชยเท่านั้น ไม่ได้เป็นเพราะความรู้สึกรัก

นี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลังจากที่พวกเขาอยู่ด้วยกันมาหลายปีเช่นนี้แล้วเลิกรากันละมั้ง!

เธอเป็นเพราะว่าการวางแผนของมารดาของเขา ทำให้เข้าใจเขาผิดไป บวกเข้ากับเรื่องของหลานเซี่ยวเฉิงพ่อบุญธรรมเข้าอีก ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะเชื่อถือความรู้สึกระหว่างพวกเขาเลย

แต่ทว่าละครของคนที่ได้ใจไป จะสามารถโกหกเขาได้อย่างไรกัน?

แต่ทว่า เป็นเพราะว่าคนที่ได้ใจไปนั้นเป็นมารดาแท้ ๆ ของเขาเอง ดังนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะเปิดโปง เขาเองนั้นก็ไม่ได้รู้สึกดีใจอะไรเลย แต่ทว่ากลับปวดใจแทน ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะว่าเรื่องนี้จึงล้มป่วยไป

คนจิตใจดีเช่นเธอ ในเมื่อเข้าใจผิดไปแล้ว ได้ยินมาว่าเขาล้มป่วยแล้วก็ไม่สามารถที่จะอดทนที่จะมาแอบมองดูเขาได้ เธอจึงลักลอบทำอาหารให้แก่เขา ต้มโจ๊กให้แก่เขา ดูแลเอาใจใส่อาการป่วยของเขาอย่างใส่ใจ อยู่ที่โรงพยาบาลไม่ไปไหนเลย

เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ทว่าแสร้งทำเป็นหลับ ตอนกลางคืนถูกจับได้แล้วว่าตอนกลางวันแล้วไม่กล้าเผยหน้าให้เธอได้เห็น หลังจากที่เอ่ยอธิบายต่อเธออย่างจริงจัง ในท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดก็ปรับความเข้าใจกันได้

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นดีกว่าก่อนมาก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีความเข้าใจผิดกันอีกเลย มีเพียงแค่หัวใจที่ล้วนแล้วแต่ไปในทิศทางเดียวกันเท่านั้น

เขาตัดสินใจอีกครั้ง เขาอันที่จริงแล้วไม่รู้ว่าหลงรักเธอไปตั้งแต่ตอนไหนตั้งนานแล้ว

เขาหลงรักเด็กสาวขี้อายที่เปิดประตูให้เขาในตอนนั้น หลังจากที่เติบโตมาก็ยังเป็นเธอที่มักจะขี้อายใบหน้าแดงซ่านในเรื่องของผู้ชายกับผู้หญิง

เขาหลงรักเธอหลังจากที่แต่งงานกันแล้วก็รอเขาอยู่ที่โซฟาจนหลับไป หลงรักเธอที่ถูกเขาออกมาตรการบังคับให้ออกไปวิ่งทุกเช้าที่ชอบบ่นว่าเหนื่อยและไม่ยอมวิ่ง หลงรักเธอที่มีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคนให้กับเขา……

อีกทั้งก็เป็นในช่วงเวลาที่อยู่เคียงข้างกันมาหลายปีนี้ เขาค้นพบแล้วว่า ที่แท้แล้วความรักไปทางตะวันออก การแต่งงานเองก็ไปทางตะวันออกได้ อีกอย่างหนึ่ง มันจะไม่มีวันหมดอายุตลอดไป!

เขาแต่งงานกับความรัก เธอแต่งงานกับความรัก เรื่องราวทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วก็เติมเต็มสมบูรณ์แบบ

(จบบริบูรณ์)

ตอนของลั่วฝานหวา

เข็มนาทีของนาฬิกาที่แขวนอยู่บนร้านอาหารวนมาจนถึงรอบที่สองแล้ว ลั่วฝานหวามองเห็นแล้วว่าตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งแล้ว หลังจากนั้นจึงเอ่ยปากพูดกับจินเยว่ฉีตรงหน้าว่า “เยว่ฉีครับ ผมส่งคุณกลับบ้านดีไหม?”

วันนี้ เป็นวันหมั้นหมายของพวกเขา ในช่วงกลางวันหลังจากที่ทักทายแขกเหรื่อเสร็จ เขาก็ถือโอกาสไปเดินเล่นและรับประทานข้าวกับเธอ จนกระทั่งมาจนถึงตอนนี้

ในเมื่อพวกเขาก็หมั้นหมายกันแล้ว ถึงแม้ว่าเขาเองนั้นก็มีความรู้สึกดี ๆ ต่อเธอ แต่ทว่า ความรู้สึกดีเช่นนี้ยังคงจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงดูมันต่อไป ถึงจะสามารถทำให้หลังจากที่แต่งงานกันไปแล้วชีวิตคู่จะได้ไม่จืดชืดซ้ำซากและจำเจ

“ค่ะ” จินเยว่ฉีพยักหน้า ก่อนจะหยิบโค้ตแล้วเดินตามลั่วฝานหวาออกไปจากร้านอาหาร

บนถนน แสงไฟสาดส่องตกกระทบบนพื้นผิวถนนให้ความรู้สึกเลือนรางเล็กน้อย จินเยว่ฉีเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพยามค่ำคืน แต่ทว่ากลับเป็นในตอนที่รอไฟสัญญาณจราจรอยู่นั้นเอง สายตาก็ถูกโปสเตอร์ที่หน้าโรงถนนข้างถนนดึงดูดไปเสียแล้ว

“อ๊ะ——” จินเยว่ฉีส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ

ทางด้านข้าง ลั่วฝานหวามองตามสายตาของเธอไป “อะไรหรือครับ?”

จินเยว่ฉีเอ่ยอธิบายว่า “ฉันไม่ทราบเลยค่ะว่าหนังเรื่องนี้เข้าฉายตั้งแต่เมื่อไหร่ ในตอนแรกที่เป็นประกาศออกมา ก็วางแผนเอาไว้ว่าหลังจากที่เข้าฉายแล้วจะไปดูน่ะค่ะ!”

มุมปากของลั่วฝานหวายกยิ้มขึ้น “อยากดูหรือครับ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ!”

พูดไป ผ่านไฟสัญญาณจราจรแล้ว เขาก็เลี้ยวหัวกลับไปจริง ๆ หลังจากนั้นก็จอดรถเอาไว้ที่ลานจอดรถที่หน้าประตูของห้างสรรพสินค้าเอาไว้

ทั้งสองคนขึ้นไปยังชั้นสอง แต่กลับค้นพบว่าภาพยนตร์นั้นได้รับความนิยมอย่างผิดปกติ ถึงแม้ว่าจะมีที่นั่งอยู่จริง ๆ แต่ทว่าก็เป็นเพียงที่นั่งชิดมุม อีกอย่างทั้งสองที่นั่งนั้นก็ต้องแยกกันนั่งด้วย

จินเยว่ฉีอดที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ ความรู้สึกห่อเหี่ยวปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“อยากดูมาเลยหรือครับ?” ทางด้านข้าง ลั่วฝานหวาเอ่ยถาม “ผมมีวิธีครับ”

“อะไรหรือคะ?” จินเยว่ฉีหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา “หนังได้รับความนิยมมากเกินไปแล้วค่ะ อีกอย่างตอนนี้ก็ดึกแล้วด้วย ฉันดูแล้วโรงหนังที่อื่น ๆ สองสามแห่งพวกนี้ก็ไม่มีตั๋วแล้ว”

“ผมจะพาคุณไปที่หนึ่งเองครับ อยากจะดูกี่รอบก็แล้วแต่คุณเลยครับ!” ลั่วฝานหวาพูดไป ก่อนจะจับมือเธอแล้วดึงขึ้นรถ

เมื่อเห็นเขามีท่าทีลึกลับ เธอจึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ว่า “ที่ไหนหรือคะ?”

“กลัวว่าผมจะขายคุณหรือไงครับ?” ลั่วฝานหวาเลิกคิ้ว “แต่ว่านะครับ วันนี้พวกเราหมั้นหมายกันแล้ว ถ้าหากว่าคุณหายตัวไป ผมก็จะเป็นคนที่น่าสงสัยมากที่สุด เห็นได้อย่างชัดเจนเลยนะครับว่าผมจะไม่โง่มากขนาดนั้นหรอกนะ”

จินเยว่ฉีอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ดูท่าแล้ว คุณที่ช่ำชองในการหยอกล้อผู้หญิงจังเลยนะคะ! บอกมาเลยนะคะ ก่อนหน้านี้หลอกผู้หญิงไปกี่คนแล้ว?”

ลั่วฝานหวายกมือขึ้นข้างหนึ่งแสดงท่าทางจำยอมออกมา “คุณภรรยาในอนาคตผู้ยิ่งใหญ่ครับ ผมคบหาคุณเป็นแฟนสาวเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นนะ!”

เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเธอไม่เชื่อ แต่ทว่า เมื่อครู่นี้ก็เพียงแค่เอ่ยถามออกไปเท่านั้นเอง ไม่ได้จริงจังอะไร

ในเมื่อเขาก็พึ่งจะกลับมาจากต่างประเทศด้วย ปีนี้ก็อายุสามสิบเอ็ดแล้ว หล่อเหล่าร่ำรวย จะไม่เคยคบหากับผู้หญิงคนไหนเลยได้อย่างไรกัน?

แต่ทว่า เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ผ่านพ้นไปแล้ว พวกเขาเลือกที่จะหมั้นหมายกัน นั่นก็เป็นเพราะว่าเพื่ออนาคตของทั้งสองฝ่าย

เพราะฉะนั้นแล้ว จินเยว่ฉีจึงตามน้ำของลั่วฝานหวาไปว่า “จริงหรือคะ? ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันก็หยิบของล้ำค่าได้มาแล้วจริง ๆ สินะคะเนี่ย!”

ขับรถมากันยี่สิบนาที รถยนต์ก็มุ่งหน้าเข้าไปในเขตเล็กที่หรูหราแห่งหนึ่ง ลั่วฝานหวาจนรถหยุดลงตรงหน้าบ้านสไตล์ยุโรปหลังหนึ่ง หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า “ยินดีต้อนรับคุณจินเยว่ฉีเข้ามาในบ้านพักอันซอมซ่อของกระผมครับ!”

จินเยว่ฉีอันที่จริงในตอนที่ลั่วฝานหวาขับรถมาจนถึงที่นี่ เธอเองนั้นก็คาดเดาได้ไม่น้อยแล้ว

นี่เป็นบ้านของเขา คงจะเป็นบ้านที่เขาซื้อด้วยตนเอง ตั้งแต่ออกมาจากตระกูลลั่วแล้วมาอยู่คนเดียว

พูดขึ้นมาแล้ว โดยปกติแล้วชายหญิงที่คบหากันแบบผิวเผิน ราวกับว่าล้วนแล้วแต่จับมือถือแขนกันภายในหนึ่งสัปดาห์ ไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ขึ้นเตียงด้วยกันแล้ว

พวกเขาก็รู้จักมักจี่กันมาไม่น้อยแล้ว แม้กระทั่งวันนี้ก็หมั้นหมายกันแล้ว ก็คงจะไม่ต้องวางตัวอะไรต่อกันมาแล้ว แทบจะรู้สึกด้อยกว่าแล้วอย่างนั้นหรือ?

ดังนั้นแล้ว เขาพาเธอไปที่บ้านของเขา ก็คงจะมีแผนการลับ ๆ อะไรเอาไว้บางอย่างหรือเปล่านะ?

หัวใจของจินเยว่ฉีกระตุก ราวกับว่ากำลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งเลยทีเดียว

ลั่วฝานหวาเห็นท่าทางลังเลของเธอ ดังนั้นแล้วจึงอดที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้ “วางใจเถอะครับ ผมพาคุณมาดูหนังจริง ๆ นะครับ บ้านของผมมีโรงหนังในบ้านอยู่ อีกอย่างหนึ่ง หนังที่คุณพูดถึง ผมเองก็สามารถนำมันมาได้ครับ”

ทันใดนั้นเองจินเยว่ฉีก็รู้สึกว่าตนเองนั้นมีความคิดไม่ดีอยู่เล็กน้อยไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะช้อนสายตาขึ้น “คุณนำมันมาได้อย่างไรกันคะ? ไม่ใช่ว่าวันนี้พึ่งจะเข้าฉายไปหรือไงคะ?”

“ความลับครับ” ลั่วฝานหวาพูดไป ก่อนจะเดินนำไปทางด้านหน้าก่อน

เธอรีบเดินตามไปทันที ก่อนจะมาถึงที่ประตูหน้าบ้านของเขาแล้ว

เขาเปิดประตูออก ทันใดนั้นเอง ความสะอาดเรียบร้อยในบ้านก็ปรากฏสู่สายตาทันที

คิดไม่ถึงเลยว่าบ้านของชายโสดตัวคนเดียวนั้นจะสามารถสะอาดสะอาดสะอ้านมากถึงขนาดนี้ จุดนี้จึงทำให้จินเยว่ฉีตะลึงลานเล็กน้อย

เธอเดินเข้าไป ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเนื้อผ้าสไตล์ยุโรป ยกยิ้มขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ฝานหวาคะ นึกไม่ถึงเลยนะคะว่าคุณจะมีรสนิยมในการใช้ชีวิตมากขนาดนี้!”

ความทันสมัยภายในตัวบ้านไม่ได้ทำให้ขาดความอบอุ่นเลย มีต้นไม้สีเขียวสูงอยู่สองสามต้น มันให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นไปอีก

“อันที่จริงแล้วผมเป็นคนที่ค่อนข้างติดบ้านน่ะครับ” ลั่วฝานหวาเอ่ย “งานเลี้ยงมากมายมันไม่สามารถไม่เข้าร่วมได้จริง ๆ ครับ ส่วนเวลาว่างที่เหลือ ผมล้วนแล้วแต่ชื่นชอบที่จะอยู่ในบ้านเพียงแค่คนเดียวครับ ดังนั้นแล้ว สถานที่ที่ตัวเองมักจะอยู่บ่อย ๆ จะไม่ใช่ใจหน่อยได้อย่างไรกันล่ะครับ จริงไหม?”

จู่ ๆ เธอก็รู้สึกชื่นชอบประโยคนี้ของเขาเป็นอย่างมาก หากจะเอ่ยถึงชีวิตแต่งงานของพวกเขาหลังจากนี้แล้ว เธอเองก็มีความคาดหวังขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

ในเมื่อพวกเขานั้นเป็นคู่สมรสกันแล้ว ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้มีความรู้สึกพื้นฐานอะไรเลยจริง ๆ ก็ตาม

ลั่วฝานหวาเทน้ำผลไม้ให้แก่จินเยว่ฉีสองแก้ว ก่อนจะดึงม่านหน้าต่างขึ้น หลังจากนั้นก็เปิดอุปกรณ์ในการฉายหนัง

เธอมองเขาพูดคุยกับใครสักคนบนอินเทอร์เน็ตอยู่สองสามประโยค หลังจากนั้นไม่นาน ก็เห็นหนังที่เธอรอคอยและคาดหวังเอาไว้สูงมากส่งกลับมาให้แล้วจริง ๆ

เขาสัมผัสได้ถึงสายตาของเธอ จึงอดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปยิ้มให้เล็กน้อย “รู้สึกแล้วหรือยังครับว่าในอนาคตแต่งกับผมแล้วจะต้องคุ้มค่ามาก ๆ น่ะ แม้กระทั่งเงินดูหนังก็ประหยัดได้มากขึ้น?”

“ที่คุ้มค่านั้นมันเป็นคุณไม่ใช่หรอกหรือไงคะ?” จินเยว่ฉียิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “เชื้อเชิญผู้หญิงมาดูหนัง นี่ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สิทธิของผู้ชายหรือไงกัน?”

ทั้งสองคนพูดคุยกันไปพร้อม ๆ กับหัวเราะ อุปกรณ์ฉายหนังทางด้านหน้าถูกลั่วฝานหวาเปิดออกมาแล้ว หนังเริ่มแล้ว เขาจึงปิดไฟทั้งหมด

นี่เป็นหนังเกี่ยวกับความรักเรื่องหนึ่ง เป็นเพราะว่าฉบับนวนิยายจินเยว่ฉีได้เคยอ่านแล้ว ดังนั้นแล้ว เธอจึงรอคอยที่จะดูฉบับภาพยนตร์อยู่เสมอ อีกทั้งนางเอกที่เล่นในหนัง ก็เป็นนักแสดงที่เธอชื่นชอบเป็นอย่างมากมาโดยตลอดด้วย

จินเยว่ฉีรู้เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ แต่ทว่า ในเมื่อภาพยนตร์มันไม่ใช่นวนิยาย มันจะต้องมีการแก้ไข้บทอยู่บ้างเล็กน้อย

ดังนั้นแล้ว ในตอนที่เห็นแล้วว่ามันไม่เหมือนกัน เธอจึงหันศีรษะไปเอ่ยกับลั่วฝานหวาว่า “อ๊ะ ตรงนี้แก้ไขได้ไม่ดีเท่าแบบเดิมเลยค่ะ ควรที่จะเป็นนางเอกไปหาพระเอกที่ชั้นล่างของบริษัทแล้วพบเจอกับการกลั่นแกล้งนี่นา……”

อันที่จริงแล้วลั่วฝานหวาไม่ได้มีความสนใจต่อหนังรักเช่นนี้มากนัก แต่ทว่าก็ยังคงที่จะพยักหน้าคล้อยตามต่อไป

ภาพยนตร์ค่อย ๆ ดำเนินเรื่องมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย อีกทั้งจินเยว่ฉีดูแล้วก็เริ่มรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับหนังมากขึ้นด้วย

เป็นเพราะว่าทุ่มเทไปกับมันมาก ในตอนที่เธอหยิบแก้วขึ้นมานั้นเองจึงไม่ทันที่จะได้สนใจว่าเป็นแก้วใบไหน ก่อนจะหยิบยกขึ้นมาดื่มเสียแล้ว

ทางด้านข้าง ลั่วฝานหวาเห็นว่าแก้วที่เธอดื่มไปเมื่อสักครู่นี้นั้นเป็นของเขา นัยน์ตาดำขลับจึงค่อย ๆ เข้มเล็กเล็กน้อย

เพียงแต่ว่าหนังรักนั้นย่อมที่จะต้องมีฉากรัก ๆ ใคร่ ๆ กันอยู่แล้ว

แรกเริ่ม เป็นเพียงแค่จูบธรรมดาเท่านั้น อันที่จริงแล้วก็ไม่ถือว่าอะไรมากนัก แต่ทว่าในตอนที่ภาพยนตร์นั้นดำเนินมาจนถึงในสามส่วนสี่ของเรื่องแล้ว กลับค่อย ๆ ดุดันเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

ฉากนี้ ในฉบับนวนิยายถือว่าเป็นจุดพีคเลยทีเดียว ดังนั้นแล้ว แบบฉบับภาพยนตร์นั้นย่อมที่จะต้องถ่ายทำกันอย่างละเอียดอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่าที่ฉายในโรงภาพยนตร์นั้นเป็นฉบับที่ถูกเซนเซอร์ตัดออกแล้ว ที่น่าเสียดายเลยก็คือ ภาพยนตร์ที่ลั่วฝานหวานำมาได้ มันกลับเป็นฉบับที่ยังไม่ถูกตัดออก

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ภายในห้องรับแขก จึงมีภาพของการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงขึ้น มีเสียงครางกระเส่า บรรยากาศภายในห้องรับแขกทั้งห้องจึงไม่เหมือนเดิมในทันที

จินเยว่ฉีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ภายในหัวใจสวดภาวนาว่าขอให้ฉากนี้จากไปโดยเร็ว

จะทราบได้อย่างไรกันล่ะ เพียงแค่พระเอกนางเอกในหนังแค่แปรเปลี่ยนท่วงท่ากลับยิ่งเร่าร้อนมากขึ้นเช่นนี้

หัวใจของเธอเต้นระรัวในทันที รู้สึกว่าร่างกายโดยรอบนั้นแปรเปลี่ยนเป็นแข็งเกร็ง แม้กระทั่งเดิมก็ไม่กล้าที่จะหันไปมองลั่วฝานหวาที่อยู่ทางด้านข้างเลย

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เพื่อที่จะคลี่คลายความรู้สึกกระสับกระส่ายเช่นนี้ จินเยว่ฉีจึงรีบยืนตัวตรงทันที ก่อนจะเอื้อมหยิบแก้วชามารินน้ำ

แต่ทว่าในตอนที่เธอยืนมือออกไปนั้นเอง ลั่วฝานหวาก็ยืนมือออกไปเช่นกัน

พวกเขาแตะเข้าที่แก้วใบเดียวกัน มือชนปะทะเข้าด้วยกัน ราวกับว่าถูกไฟช็อตไปครู่หนึ่งเลย

แสงไฟเลือนรางภายในตัวห้อง ความสัมพันธ์กับคู่หมั้นคู่หมาย ถ้าหากจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้นมา นั่นก็ต้องโทษสภาพแวดล้อมที่ก่อตัวขึ้นในตอนนี้เสียแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สายตาทั้งสองคู่ประสานเข้าหากัน ฮอร์โมนร่างกายของผู้ชายก็เริ่มพรั่งพรูขึ้นมาโดยธรรมชาติ ความรู้สึกต้องการนั้นส่งผลกระทบต่อความคิด ลั่วฝานหวาจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทีละนิด

ในตอนที่ริมฝีปากทั้งสองประกบเข้าหากันนั้นเอง ทั้งสองคนก็ต่างชะงักไปกันหลายวินาทีเลยทีเดียว

แต่ทว่า วันนี้ที่งานหมั้นหมายของพวกเขาเองนั้นก็เคยจูบกันมาก่อนแล้ว นี่แทบจะไม่นับว่าเป็นอะไรเลย

แต่ทว่า เสียงของภาพยนตร์ยังคงดำเนินต่อ เสียงครางกระเส่าดังเข้ามาสั่นสะเทือนในกกหู เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จูบดูดดื่มเช่นเดิมภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนเดิม มันย่อมก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ต่างอย่างเดิมออกไป

จินเยว่ฉีไม่อาจบอกความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจนนัก บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าหัวใจนั้นเต้นระรัวมากเกินไป สมองจึงขาวโพลนไปหมด จนกระทั่งเธอถูกเขากดตัวลงเข้ากับโซฟา ในตอนที่ความแข็งขืนของเขาดันขึ้นมาแล้ว เธอยืนมือไปคว้าจับแขนของเขาเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามเขาอย่างตื่นตระหนกว่า “พวกเราจะแต่งงานกันจริง ๆ ใช่ไหมคะ?”

ลั่วฝานหวาพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างมั่นใจ “แน่นอนครับ”

เธอผ่อนคลายแรงออกมาเล็กน้อย เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่ามันเป็นสัญญาณว่าเธอยินยอมแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงกดมันเข้าไปข้างใน

ในระหว่างการเคลื่อนไหว จินเยว่ฉีค่อย ๆ หลุดออกจากภวังค์ตื่นตระหนกออกมา มองเห็นสร้อยคอพระพุทธรูปองค์เล็กที่ลำคอของเขาแล้ว มันขยับตัวเคลื่อนไหวขนเข้ากับตำแหน่งทรวงอกของเขาถี่มาก

ในตอนนั้นเองประจวบเหมาะเข้ากับแสงในภาพยนตร์นั้นสว่างขึ้นมาแล้ว ดังนั้นแล้ว เธอมองเห็นพระพุทธรูปองค์เล็กที่ทำจากโลหะและความบริสุทธิ์ของทองได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นเพราะว่าเชือกสีแดงที่สีซีดจางไปเนื่องจากเป็นเวลาหลายปีแล้วด้วย

จู่ ๆ ภาพหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาทันที เธอหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อนเรื่องหนึ่งได้ในทันที

ในตอนที่เธอยังเรียนชั้นประถมอยู่ มีครั้งหนึ่งที่ข้ามถนนแล้วไม่ทันได้ดูให้ชัดเจน ก็ถูกพี่ชายคนหนึ่งช่วยเหลือเอาไว้

นั่นเป็นเรื่องที่เกิดในฤดูร้อน เธอจำได้ว่าพี่ชายคนนั้นชื่อลั่วหวา เป็นเพราะว่าช่วยเธอเอาไว้ แขนของเขาจึงเป็นแผลถลอกไปรอยหนึ่งด้วย

เธอมองเห็นว่าเลือดไหล ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขากลับดึงพระแก้วในอกของเขาออกมา ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เธอดูนี่สิ ของที่แม่ของฉันให้กับฉันปกป้องรักษาฉันเอาไว้ พวกเราไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

หลังจากนั้น เธออยากที่จะขอบคุณ แต่ทว่ากลับไม่ได้พบเจอเขาอีกเสียแล้ว

จินเยว่ฉีรีบกุลีกุจอมองไปยังแขนของลั่วฝานหวาอย่างรวดเร็ว ที่นั่น เผอิญว่ามีรอยแผลเป็นที่กลายเป็นรูปพระจันทร์อยู่รอยหนึ่งพอดี หัวใจของเธอเต้นระรัวดั่งกลอง “ฝานหวาคะ ก่อนหน้านี้คุณชื่อลั่วหวาหรือเปล่าคะ?”

เขาตกตะลึง “คุณรู้ได้อย่างไรกันครับ? แต่ทว่าหลังจากที่ผมเข้าเรียนมัธยมปลายแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อไปแล้ว”

พูดจบ เขาก็พุ่งเข้าไปหาในทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นที่ข้างใบหูของเธอราวกับลงโทษเธอว่า “เวลาทำรักกันต้องตั้งใจนะครับ!”

ทันใดนั้นเองใบหน้าของเธอแดงซ่านในทันที จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าระหว่างพวกเขานั้น มันมีอะไรไม่เหมือนกันจริง ๆ

หลังจากที่ค่ำคืนบ้าคลั่งผ่านพ้นไปแล้ว มาจนถึงวันที่สอง จินเยว่ฉีมีแม้กระทั่งความรู้สึกไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับลั่วฝานหวาเล็กน้อย

แต่เขากลับหัวเราะ “ชอบไหมครับ?”

หัวใจของเธอราวกับว่าเป็นขนนกที่ปลิวว่อนไปทั่ว มีระลอกคลื่นเล็ก ๆ ซัดผ่านเป็นวงกลมอย่างสวยงาม เธอตื่นเต้นจนไม่เป็นตัวของตัวเอง “ฉันไม่รู้ค่ะ”

แต่เขาราวกับเป็นปกติอย่างมากเลยก็ไม่ปาน ก่อนจะพาเธอลงไปชั้นล่างเพื่อซื้ออาหารเช้า

กลับนึกไม่ถึงเลยว่า ในตอนที่ทั้งสองคนลงมาต่อแถวร้านขายอาหารเช้าที่ชั้นล่าง กลับมีมือใหม่หัดขับรถคนหนึ่งเหยียบคันเร่งโดยที่นึกว่าเป็นเบรก ก่อนจะขับพุ่งตรงมาทางลั่วฝานหวาเต็ม ๆ

ประจวบเหมาะเข้ากับเขาที่มีสายโทรศัพท์เข้ามาสายหนึ่งทันที รับโทรศัพท์จึงไม่ทันได้จับสังเกต เธอตะลึงลานเป็นอย่างมาก ก่อนจะใช้แรงสุดกำลังแล้วผลักเขาออกไปหนหนึ่ง

เธอถูกรถเฉี่ยวชนจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ก่อนจะล้มไปบนพื้น

ในตอนนั้นเอง ลั่วฝานหวาที่ตกตะลึงจนวิญญาณหลุดหลายไปแล้ว เขาวิ่งกลับมาหาอย่างรวดเร็ว “เยว่ฉี คุณไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”

แขนของเธอถูกข่วนจนเป็นรอยแผล มีเลือกไหลซึมออกมา แต่ทว่ากลับเป็นเพราะว่าเขาเป็นห่วงก็เลยราวกับว่าไม่เจ็บเลย

เธอส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ แผลเล็กน้อย” ราวกับว่าเป็นคำพูดเมื่อหลายปีก่อนที่เขาเคยเอ่ยกับเธอเลย

เขากลับอุ้มเธอขึ้นมา ตื่นตระหนกจนโทรศัพท์มือถือร่วงลงไปแล้วก็ไม่ก้มลงไปเก็บ ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในคอนโดมิเนียมแล้วจัดการทำแผลให้กับเธออย่างรวดเร็ว

ภายในตัวห้อง เขาหยุดเลือดและพันแผลให้เธอแล้ว สายตายังคงมองไปยังแขนของเธอระคนสงสัย ภายในหัวใจเต็มไปด้วยความเวทนา “ทำไมถึงโง่ขนาดนี้ล่ะครับ?”

เธอหัวเราะ เป็นเพราะว่าเมื่อหลายปีก่อนคุณเองก็เคยโง่เช่นกันนี้นี่คะ

เขาสบตามองเธอหัวเราะ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหายใจหัวใจมีของอะไรบางอย่างพังทลายอีกทั้งยังตีตื้นขึ้นมาทันที ไม่นานนักมันก็กลายเป็นต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้า

เขาสวมกอดเธอเอาไว้แน่น “เยว่ฉี ขอบคุณนะครับ”

ที่แท้แล้ว ฉันได้พบเจอกับคุณ มันเป็นเหตุไม่คาดฝันที่งดงามที่สุดเลยค่ะ

“ สุดสัปดาห์หน้าหรอ ?” สือจินหว่านราวกับเด็กนักเรียน เธอนับนิ้วมือ : “ งั้นก็ใกล้ละสิ อ๊า รู้สึกตื่นเต้นจังเลย !”

“ อย่ากังวลใจไปเลย พ่อแม่เธอรักเธอจะตาย แล้วพวกเขาก็เชื่อเธอที่สามารถตัดสินใจในเรื่องของตัวเองได้ และก็สามารถหาของความสุขของตัวเองได้ !” โอหยางจวิ้นก็สตาร์ทรถ : “ อยากกินไรเอ่ย ?”

“ ขอเพียงแค่กินอาหารเช้าด้วยกันกับอา กินอะไรก็ได้ค่ะ !” สือจินหว่านพูดจาหวานน่ารัก

โอหยางจวิ้นถูกคำพูดที่เย้าหยอกของเธอนั้นทำให้ใจเต้นตุ้บๆ เขาเอนตัวเข้าไปจูบบนแก้มของเธอ : “ หวันหว่าน ลืมบอกอรุณสวัสดิ์กับเธอ !”

สือจินหว่านก็ยิ้ม จากนั้นก็เอนตัวเข้าไปเช่นกัน : “ จวิ้นน้อย อรุณสวัสดิ์ ! จุ๊บ !”

ทั้งสองคนก็กินอาหารเช้าด้วยกัน แล้วก็นั่งจู๋จี๋กันที่ร้านสักพัก จากนั้นโอหยางจวิ้นก็ส่งสือจินหว่านกลับไป

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในช่วงกลางวันสือจินหว่านก็กลับมางานยุ่งเหมือนเดิม ในตอนกลางคืนก็โทรคุยสารทุกข์สุขดิบของชีวิตกับโอหยางจวิ้น จนกระทั่งถึงสุดสัปดาห์

สุดสัปดาห์นี้ สือมูเฉินต้องไปทำงานที่ทางตอนเหนือ และเป็นเพราะว่ามีปัญหาในด้านเทคนิคบางอย่าง เขาก็เลยขอให้หยานโม่หานนั้นไปกับเขา มันก็ถือว่าเป็นการไปเรียนรู้ประสบการณ์

ดังนั้นในวันเสาร์ โอหยางจวิ้นจึงพาสือจินหว่านไปปีนเขาด้วยกัน

แสงอาทิตย์ส่องทะลุกิ่งก้านและใบลงมา ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อน แต่ช่วงเช้าในภูเขาก็ยังถือว่าเย็นชุ่มชื่น ทั้งสองเดินตามลำธารที่คดเคี้ยวบนภูเขา จนกระทั่งมาถึงเนินเขาที่ค่อนข้างราบเรียบ

บนเนินเขามีดอกไม้ป่าเล็กๆที่ไม่รู้จักชื่อนั้นบานสะพรั่งอยู่ทั่วทุ่งหญ้า เมื่อมีลมพัดมา ดอกไม้ก็จะสั่นระริกในทันที

โอหยางจวิ้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา : “ หวันหว่าน เธอนอนลงบนหญ้าสิเดี๋ยวอาจะช่วยถ่ายรูปให้เธอ !”

สือจินหว่านพยักหน้า แล้วนอนลงโดยดี จากนั้นก็มือขึ้นมาวางบนหน้าผากเพื่อบังแสงอาทิตย์

ในขณะที่โอหยางจวิ้นกำลังถ่ายอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลงไปจูบเธอ

เธอยื่นแขนออกมาคล้องไว้บนคอของเขา เพื่อที่จะตอบรับจูบของเขา

ทั้งสองคนก็กลิ้งจูบกันไปมาบนหญ้า จนกระทั่งหายใจติดขัด โอหยางจวิ้นถึงได้ปล่อยสือจินหว่าน จากนั้นก็หลับตาและนอนหงาย : “ หวันหว่าน งานแต่งของพวกเราเธอชอบสไตล์แบบไหน ?”

สือจินหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง : “ อันที่จริงจัดที่ริมทะเลสาบของเพอร์เซลล์ก็ดีนะ สำหรับสไตล์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนฉันก็ชอบ !”

เมื่อเธอพูดจบก็หันกลับไปมองเขา : “ งานแต่งจะจัดขึ้นเร็วขนาดนี้เลยหรอ ?”

“ หวันหว่าน เธออยู่เพอร์เซลล์มาตั้งแต่เด็กๆ เธอก็รู้นิ พวกเราค่อนข้างจะระงับการกระทำบางอย่างก่อนแต่ง ” โอหยางจวิ้นก็ถึงกลับกลืนน้ำลาย

ใบหน้าของสือจินหว่านนั้นก็แดงขึ้นมาในทันที เธอก็ทำปากมุ่ย : “ จวิ้นน้อย ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นหมาป่าหมาที่หิวโหยเลยนะ !”

โอหยางจวิ้นก็ทำหน้าไม่ถูก : “ อยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ในบางครั้งมันก็……” ก็ราวกับเมื่อกี้ ตอนที่เขาจูบเธอ อีกนิดก็แทบจะเบรคไม่อยู่แล้ว

ด้านหนึ่ง ก็อยากจะเข้าใกล้ด้วยความบ้าคลั่ง ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็พยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

“ จู่ๆฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง——” เมื่อสือจินหว่านพูดถึงตรงนี้ เธอก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงและสายตาก็ล็อคไปที่โอหยางจวิ้น : “ เจ็ดปีที่แล้ว พวกเรา เฉียวซือ และคุณน้ามู่ไปแช่ออนเซ็น ตอนนั้นฉันเห็นอาจูบกับคุณน้ามู่ ! อีกทั้งหลังจากที่พวกเราไปแล้ว พวกคุณก็……”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ สาวน้อยก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาในทันที

เธอมองไปยังโอหยางจวิ้นด้วยความโมโห : “ พอฉันคิดขึ้นได้ตอนนี้ ก็รู้สึกโกรธและเสียใจมาก ฉันไม่สนใจอาแล้ว !”

ในขณะที่เธอพูดนั้น ก็หันหลังใส่เขา

เมื่อโอหยางจวิ้นเห็นแบบนี้ ก็รีบลุกขึ้นไปกอดสือจินหว่านจากด้านหลัง : “ หวันหว่าน ระหว่างอากับเค้าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ !”

“ ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่เชื่อ !” สือจินหว่านก็บิดตัว : “ คุณน้ามู่ใส่บิกินี่ ส่วนอาก็ใส่เพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียว จากนั้นพวกอาก็จูบกันในสระน้ำ แน่นอนว่าต่อจากนั้น……”

ยิ่งเธอพูด เธอก็ยิ่งเศร้า ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อนนี้ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธออีกครั้ง

“ หวันหว่าน ระหว่างอากับเค้าไม่มีเกิดขึ้นจริงๆ ” โอหยางจวิ้นพบว่า เขาจำเป็นที่จะต้องอธิบายอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดว่าสาวตัวน้อยของเขาโกรธและไม่สนใจเขาขึ้นมาละก็เขาจะทำยังไงกันล่ะที่นี้ ?

แต่เขาจำได้ว่า หลังจากเหตุการณ์นั้นที่เกิดขึ้น สือจินหว่านก็แทบจะไม่กลับไปที่เพอร์เซลล์เลย เป็นเวลากว่าครึ่งปี ที่เธอถอยห่างจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ นอกสักจากบอกฝันดีในทุกคืน นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว

เขาพลิกตัวเธอกลับมา แล้วก็พูดกับเธออย่างจริงจัง : “ หวันหว่าน อายอมรับว่าในตอนนั้นอาจูบเค้าจริงๆ แต่ท้ายที่สุดอาก็ไม่ได้แตะต้องตัวเธอเลย ในตอนนั้น อาคิดว่าในไม่ช้าอาก็ต้องแต่งงานกับเค้าอยู่ดี ในฐานะทายาทของตระกูลเพอร์เซลล์ อาก็จำเป็นที่จะต้องทำภารกิจมีลูกเพื่อสืบสกุลให้สำเร็จ ดังนั้น อาตั้งใจว่าจะลองดู ”

สือจินหว่านก็ปากมุ่ย แล้วฟังเขาพูดต่อ

“ แต่ในตอนนั้นเมื่ออาเข้าไปใกล้ ก็ไม่มีความรู้สึกที่ใจเต้นเลย มีเพียงแค่อย่างเดียวคือความกังวล แต่ก็เป็นเพราะรูสึกว่าไม่มีอารมณ์และรู้สึกถึงการกีดกัน ” โอหยางจวิ้นพูด : “ และทุกครั้งที่อยากจะจูบเธอความรู้สึกนั้นมันก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ! นี่ก็เป็นเหตุผลหลังจากที่อาตกหลุมรักเธอ อาก็เพิ่งจะรู้ว่า ความรักจากใจจริงของตัวเองและความรู้สึกที่จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จนั้น มันมีความแตกต่างกันมากแค่ไหน !”

เมื่อสินจินหว่านได้ยินแบบนี้ สภาพจิตใจก็ดีขึ้นอย่างมาก และเธอก็กระพริบตาปริบๆ

“ หวันหว่าน อันที่จริงแล้วครึ่งปีที่เธอไม่ได้กลับบ้านมาเลยนั้น ในใจฉันรู้สึกไม่สบายใจมากๆ ” โอหยางจวิ้นมองเธอและพูดว่า : “ ถึงแม้ว่าในตอนนั้นอาจะยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเธอเลยก็ตาม แต่การแข่งขันว่ายน้ำของเธอ อาก็ตามไปดูทุกครั้ง เพียงแค่อาไม่ได้เดินเข้าไป เธอก็เลยไม่รู้ ”

เธอก็มองเขาด้วยประหลาดใจ

สายตาของโอหยางจวิ้น ราวกับย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดปีก่อน : “ ในตอนนั้น อารู้สึกดีมากที่ในที่สุดก็หาข้ออ้างที่จะเจอกับเธอได้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอาอยู่ แต่เพียงแค่อามองเธอจากไกลๆก็รู้สึกดีมากแล้ว ”

เมื่อสือจินหว่านได้ยินเขาบรรยายเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกที่ระมัดระวังแบบนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย

เธอเงยหน้าขึ้น : “ อันที่จริงแล้วในตอนนั้น ฉันก็รู้ความรู้สึกในใจของตัวเองแล้ว แต่ฉันรู้ว่าอากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น ดังนั้นพวกเราจึงถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าไม่เดินไปต่อด้วยกัน ฉันไม่อยากที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับการแต่งงานของอา และฉันก็ยิ่งกลัวว่าตัวเองจะถลำลึกเข้าไปมากกว่านี้ ดังนั้นฉันจึงตั้งใจที่จะถอยห่าง และอยากจะใช้เวลาที่ไม่กลับบ้านนานๆนี้ เพื่อที่จะได้ค่อยๆลืมคุณไป ”

เมื่อโอหยางจวิ้นได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก้นบึ้งหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บจิ๊ดขึ้นมา ด้วยความสงสารนี้เขาจึงเธอเข้ามากอดในอ้อมกอดเพื่อเป็นการปกป้องเธอ : “ หวันหว่าน ขอโทษนะ ที่อาในตอนนั้น ทำให้เธอต้องเจ็บปวดใจ ”

“ จะโทษอาก็ไม่ได้ ” สือจินหว่านก็ถอดหายใจและพูดว่า : “ ถ้าเกิดว่าฉันสามารถเกิดเร็วกว่านี้ได้มันก็คงจะดี…… อาไม่รู้หรอกว่า ในตอนนั้นที่เค้าเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่ง ฉันก็รู้สึกดีมากแค่ไหนเมื่อได้ยินข่าวนี้ !”

“ หวันหว่าน ” โอหยางจวิ้นก็กอดเธอไว้แน่น : “ ในตอนนั้นที่อาถูกเค้าทิ้ง อันที่จริงแล้ว อาก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ยังรู้สึกสบายใจขึ้นอีกด้วย ”

เมื่อสือจินหว่านได้ยินแบบนั้น ทันใดนั้นก็หัวเราะในทันที

โอหยางจวิ้นก็หัวเราะเช่นกัน จากนั้นเขาก็มองไปที่เธอและพูดอย่างจริงจังว่า : “ หวันหว่าน อารักเธอแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น และต่อไปในอนาคต ก็จะรักเธอเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต !”

“ ฉันก็เหมือนกัน !” สือจินหว่านก็เอนตัวเข้าไปใกล้และจูบบนแก้มของโอหยางจวิ้นหนึ่งที : “ ได้ยินแม่บอกว่า ในตอนที่ท้องฉัน อาก็เคยช่วยแม่เอาไว้ที่สนามบิน นั้นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นโชคชะตาของพวกเรา !”

“ ใช่ ในตอนนั้นทั้งๆที่อาสามารถเดินไปอีกฝั่งได้แท้ๆ แต่สุดท้ายก็อ้อมไปตั้งไกล แล้วก็ได้เจอกับเค้า ” โอหยางจวิ้นก็จูบไปบนริมฝีปากของสือจินหว่าน : “บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่โชคชะตาในความมืดกำลังเรียกหา !”

ในตอนบ่าย ทั้งสองก็กลับมาถึงเพอร์เซลล์ และก็เพิ่งจะรู้สึกว่าเหนื่อยเล็กน้อย

ในเช้าวันที่สอง สือจินหว่านก็ยังคงหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย ส่วนโอหยางจวิ้นก็ไปที่ห้องดามอนพ่อของตัวเอง

ดามอนหลายปีที่ผ่านมา จิตใจและกำลังก็ไม่ได้มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว ดังนั้น งานทุกอย่างก็แทบจะส่งมอบให้โอหยางจวิ้นหมดแล้ว

เมื่อเห็นว่าลูกชายเข้า เขาก็ชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ด้านข้าง : “ Bojan นั่ง ”

โอหยางจวิ้นก็นั่งลงและเอ่ยปากว่า : “ พ่อครับ ผมมีเรื่องที่จะบอกกับพ่อครับ ”

ดามอนเห็นสีหน้าที่จริงจังของเขา ดังนั้นก็พูดอย่างเป็นทางการว่า : “ โอเค แกพูด ”

“ พ่อครับ ผมวางแผนไว้ว่าจะแต่งงาน ” โอหยางจวิ้นก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง : “ กับหวันหว่าน ”

ดามอนก็ตะลึงไปสองวินาที : “ แกยอมที่จะแต่งงานแล้วหรอ ? !”

เมื่อพูดจบ เขาก็พูดเพิ่มเติมอีกว่า : “ กับใครนะ ? ! หวันหว่านคนนั้นหรอ ? !”

โอหยางจวิ้นพูด : “ ครับ ผมตกหลุมรักหวันหว่าน สือจินหว่าน ”

ทันใดนั้นดามอนก็ลุกขึ้นมานั่งในทันที : “ Bojan นี่แกกำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า ?”

“ พ่อ ผมโตขนาดนี้แล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ผมจะมาล้อเล่นได้ยังไงกัน ?” โอหยางจวิ้นพูด : “ ผมอยู่กับเธอแล้ว ผมรักเธอมาก แล้วก็อยากจะได้เธอมาเป็นภรรยา และหวังว่าพ่อจะเห็นด้วย !”

“ โอ้……” ดามอนเดินไปรอบๆอยู่ภายในห้อง ผ่านไปสักพัก กว่าที่จะเข้าใจข่าวคราวที่รับได้นี้ จากนั้นก็หยุดลงและพูดว่า : “ ทาง honor รู้แล้วหรือยัง ?”

โอหยางจวิ้นส่ายหน้า : “ ผมมาคุยกับพ่อก่อน และตั้งใจว่าสัปดาห์หน้าจะไปสู่ขอกับทาง honor อย่างเป็นทางการ !”

ดามอนเดินไปมาและพูดบ่นอุบอิบกับตัวเองอยู่สักพัก ก่อนที่จะมองไปยังโอหยางจวิ้นแล้วก็ตบไปที่ไหล่ของเขา : “ แกรู้ไหมว่าคุณปู่ขอแกพูดอะไรกับฉันในตอนนั้น ?”

“ อะไรครับ ?” โอหยางจวิ้นก็พูดด้วยความสงสัย

“ เขาบอกว่า เรื่องของแก แกจะสามารถจัดการมันได้ด้วยตัวเอง และแกก็จำเป็นที่จะต้องให้คำอธิบายที่สมบูรณ์กับทุกคน !” ดามอนทอดถอนหายใจ : “ ยังไงก็เป็นปู่ของแกที่มองได้ทะลุปรุโปร่ง หลายปีที่ผ่านมา ฉันเป็นห่วงแกแทบตาย ! ในตอนนั้น honor ก็ติดค้างเจ้าสาวพวกเราไว้แล้วคนหนึ่ง หลานเสี่ยวก็พลัดไปแต่งงานกับคนอื่น และแกก็อยากจะไปแต่งงานกับลูกสาวเธอ !”

ในขณะที่ดามอนพูดก็ออกแรงบีบไปที่ไหล่ของโอหยางจวิ้น : “ โอเค พ่อจะสนับสนุนแกเอง ! สัปดาห์หน้า พวกเราไปสู่ขอกับทาง honor อย่างเป็นทางการ ! แต่ถ้าหวันหว่านแต่งเข้ามาแล้ว ชื่อและลำดับเครือญาติของพวกเรา ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง !”

“ ขอบคุณครับพ่อ !” โอหยางจวิ้นก็ยื่นออกไปกอดคุณพ่อที่ผมหงอกเต็มหัวแล้ว

ในวันนั้น โอหยางจวิ้นก็ได้บอกเรื่องที่ดามอนจะคอยสนับสนุนให้สือจินหว่าน เมื่อเธอได้ยินก็รู้สึกดีใจอย่างมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องการสู่ขอในสัปดาห์ที่จะมาถึงนี้

ถึงอย่างไรต่อให้จะกังวลใจ แต่พอถึงวันนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

สัปดาห์นี้ โอหยางจวิ้นก็ไม่กล้าที่จะพาสือจินหว่านไปที่โรงแรมเลย อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงจับมือกับเธอและเดินจนดึก จากนั้นก็ไปส่งเธอที่หอ

และในวันที่สอง ก็ยังคงมารับเธอไปกินข้าวเช้าตามปกติ

เวลาก็แกว่งไกวไปมาในที่สุดก็ถึงวันศุกร์

ก่อนหน้านี้สองสามวันโอหยางจวิ้นก็ได้โทรไปหาสือมูเฉินบอกว่า ในวันเสาร์นี้ดามอนจะไปที่ honor และพอถึงตอนนั้นก็มีเรื่องที่จะปรึกษาหารือกัน

ดังนั้น พอเลิกงานในวันนั้น สือมูเฉินก็ขับรถพาสือจินหว่านและหยานโม่หานกลับไปที่ honor ในทันที

ในคืนนั้น สือจินหว่านก็นอนไม่หลับ จนกระทั่งดึกดื่นกว่าจะนอนหลับ และพอตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันที่จะกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ได้ยินว่าดามอนและโอหยางจวิ้นมาถึงที่ honor แล้ว

เธอก็รีบเช็ดปากแล้วก็รีบร้อนวิ่งออกมาที่ประตูห้องนั่งเล่น แต่พอคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าเรื่องที่จะคุยนั้นล้วนเป็นเรื่องของเธอ ดังนั้นก็เลยว่าจะหามุมซ่อนไว้และตั้งใจว่าจะแอบฟัง แล้วก็มองดูเหตุการณ์ให้พร้อมแล้วค่อยออกไป

ดามอนมาด้วยตัวเองแบบนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีไม่มากนัก ดังนั้นในห้องโถงของบ้าน honor หลานจื่อเฉินและสือมูเฉินก็เดินออกมาพร้อมกัน

ทุกคนต่างก็ทักทายกันก่อนสองสามประโยค จากนั้น ดามอนก็เอ่ยปากพูดกับทุกคนเลยว่า :” วันนี้ที่ฉันและBojanมา ก็มาเพื่อที่จะสู่ขอ honor อย่างเป็นทางการ !”

“ สุดสัปดาห์หน้าหรอ ?” สือจินหว่านราวกับเด็กนักเรียน เธอนับนิ้วมือ : “ งั้นก็ใกล้ละสิ อ๊า รู้สึกตื่นเต้นจังเลย !”

“ อย่ากังวลใจไปเลย พ่อแม่เธอรักเธอจะตาย แล้วพวกเขาก็เชื่อเธอที่สามารถตัดสินใจในเรื่องของตัวเองได้ และก็สามารถหาของความสุขของตัวเองได้ !” โอหยางจวิ้นก็สตาร์ทรถ : “ อยากกินไรเอ่ย ?”

“ ขอเพียงแค่กินอาหารเช้าด้วยกันกับอา กินอะไรก็ได้ค่ะ !” สือจินหว่านพูดจาหวานน่ารัก

โอหยางจวิ้นถูกคำพูดที่เย้าหยอกของเธอนั้นทำให้ใจเต้นตุ้บๆ เขาเอนตัวเข้าไปจูบบนแก้มของเธอ : “ หวันหว่าน ลืมบอกอรุณสวัสดิ์กับเธอ !”

สือจินหว่านก็ยิ้ม จากนั้นก็เอนตัวเข้าไปเช่นกัน : “ จวิ้นน้อย อรุณสวัสดิ์ ! จุ๊บ !”

ทั้งสองคนก็กินอาหารเช้าด้วยกัน แล้วก็นั่งจู๋จี๋กันที่ร้านสักพัก จากนั้นโอหยางจวิ้นก็ส่งสือจินหว่านกลับไป

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในช่วงกลางวันสือจินหว่านก็กลับมางานยุ่งเหมือนเดิม ในตอนกลางคืนก็โทรคุยสารทุกข์สุขดิบของชีวิตกับโอหยางจวิ้น จนกระทั่งถึงสุดสัปดาห์

สุดสัปดาห์นี้ สือมูเฉินต้องไปทำงานที่ทางตอนเหนือ และเป็นเพราะว่ามีปัญหาในด้านเทคนิคบางอย่าง เขาก็เลยขอให้หยานโม่หานนั้นไปกับเขา มันก็ถือว่าเป็นการไปเรียนรู้ประสบการณ์

ดังนั้นในวันเสาร์ โอหยางจวิ้นจึงพาสือจินหว่านไปปีนเขาด้วยกัน

แสงอาทิตย์ส่องทะลุกิ่งก้านและใบลงมา ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อน แต่ช่วงเช้าในภูเขาก็ยังถือว่าเย็นชุ่มชื่น ทั้งสองเดินตามลำธารที่คดเคี้ยวบนภูเขา จนกระทั่งมาถึงเนินเขาที่ค่อนข้างราบเรียบ

บนเนินเขามีดอกไม้ป่าเล็กๆที่ไม่รู้จักชื่อนั้นบานสะพรั่งอยู่ทั่วทุ่งหญ้า เมื่อมีลมพัดมา ดอกไม้ก็จะสั่นระริกในทันที

โอหยางจวิ้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา : “ หวันหว่าน เธอนอนลงบนหญ้าสิเดี๋ยวอาจะช่วยถ่ายรูปให้เธอ !”

สือจินหว่านพยักหน้า แล้วนอนลงโดยดี จากนั้นก็มือขึ้นมาวางบนหน้าผากเพื่อบังแสงอาทิตย์

ในขณะที่โอหยางจวิ้นกำลังถ่ายอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลงไปจูบเธอ

เธอยื่นแขนออกมาคล้องไว้บนคอของเขา เพื่อที่จะตอบรับจูบของเขา

ทั้งสองคนก็กลิ้งจูบกันไปมาบนหญ้า จนกระทั่งหายใจติดขัด โอหยางจวิ้นถึงได้ปล่อยสือจินหว่าน จากนั้นก็หลับตาและนอนหงาย : “ หวันหว่าน งานแต่งของพวกเราเธอชอบสไตล์แบบไหน ?”

สือจินหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง : “ อันที่จริงจัดที่ริมทะเลสาบของเพอร์เซลล์ก็ดีนะ สำหรับสไตล์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนฉันก็ชอบ !”

เมื่อเธอพูดจบก็หันกลับไปมองเขา : “ งานแต่งจะจัดขึ้นเร็วขนาดนี้เลยหรอ ?”

“ หวันหว่าน เธออยู่เพอร์เซลล์มาตั้งแต่เด็กๆ เธอก็รู้นิ พวกเราค่อนข้างจะระงับการกระทำบางอย่างก่อนแต่ง ” โอหยางจวิ้นก็ถึงกลับกลืนน้ำลาย

ใบหน้าของสือจินหว่านนั้นก็แดงขึ้นมาในทันที เธอก็ทำปากมุ่ย : “ จวิ้นน้อย ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นหมาป่าหมาที่หิวโหยเลยนะ !”

โอหยางจวิ้นก็ทำหน้าไม่ถูก : “ อยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ในบางครั้งมันก็……” ก็ราวกับเมื่อกี้ ตอนที่เขาจูบเธอ อีกนิดก็แทบจะเบรคไม่อยู่แล้ว

ด้านหนึ่ง ก็อยากจะเข้าใกล้ด้วยความบ้าคลั่ง ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็พยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

“ จู่ๆฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง——” เมื่อสือจินหว่านพูดถึงตรงนี้ เธอก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงและสายตาก็ล็อคไปที่โอหยางจวิ้น : “ เจ็ดปีที่แล้ว พวกเรา เฉียวซือ และคุณน้ามู่ไปแช่ออนเซ็น ตอนนั้นฉันเห็นอาจูบกับคุณน้ามู่ ! อีกทั้งหลังจากที่พวกเราไปแล้ว พวกคุณก็……”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ สาวน้อยก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาในทันที

เธอมองไปยังโอหยางจวิ้นด้วยความโมโห : “ พอฉันคิดขึ้นได้ตอนนี้ ก็รู้สึกโกรธและเสียใจมาก ฉันไม่สนใจอาแล้ว !”

ในขณะที่เธอพูดนั้น ก็หันหลังใส่เขา

เมื่อโอหยางจวิ้นเห็นแบบนี้ ก็รีบลุกขึ้นไปกอดสือจินหว่านจากด้านหลัง : “ หวันหว่าน ระหว่างอากับเค้าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ !”

“ ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่เชื่อ !” สือจินหว่านก็บิดตัว : “ คุณน้ามู่ใส่บิกินี่ ส่วนอาก็ใส่เพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียว จากนั้นพวกอาก็จูบกันในสระน้ำ แน่นอนว่าต่อจากนั้น……”

ยิ่งเธอพูด เธอก็ยิ่งเศร้า ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อนนี้ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธออีกครั้ง

“ หวันหว่าน ระหว่างอากับเค้าไม่มีเกิดขึ้นจริงๆ ” โอหยางจวิ้นพบว่า เขาจำเป็นที่จะต้องอธิบายอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดว่าสาวตัวน้อยของเขาโกรธและไม่สนใจเขาขึ้นมาละก็เขาจะทำยังไงกันล่ะที่นี้ ?

แต่เขาจำได้ว่า หลังจากเหตุการณ์นั้นที่เกิดขึ้น สือจินหว่านก็แทบจะไม่กลับไปที่เพอร์เซลล์เลย เป็นเวลากว่าครึ่งปี ที่เธอถอยห่างจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ นอกสักจากบอกฝันดีในทุกคืน นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว

เขาพลิกตัวเธอกลับมา แล้วก็พูดกับเธออย่างจริงจัง : “ หวันหว่าน อายอมรับว่าในตอนนั้นอาจูบเค้าจริงๆ แต่ท้ายที่สุดอาก็ไม่ได้แตะต้องตัวเธอเลย ในตอนนั้น อาคิดว่าในไม่ช้าอาก็ต้องแต่งงานกับเค้าอยู่ดี ในฐานะทายาทของตระกูลเพอร์เซลล์ อาก็จำเป็นที่จะต้องทำภารกิจมีลูกเพื่อสืบสกุลให้สำเร็จ ดังนั้น อาตั้งใจว่าจะลองดู ”

สือจินหว่านก็ปากมุ่ย แล้วฟังเขาพูดต่อ

“ แต่ในตอนนั้นเมื่ออาเข้าไปใกล้ ก็ไม่มีความรู้สึกที่ใจเต้นเลย มีเพียงแค่อย่างเดียวคือความกังวล แต่ก็เป็นเพราะรูสึกว่าไม่มีอารมณ์และรู้สึกถึงการกีดกัน ” โอหยางจวิ้นพูด : “ และทุกครั้งที่อยากจะจูบเธอความรู้สึกนั้นมันก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ! นี่ก็เป็นเหตุผลหลังจากที่อาตกหลุมรักเธอ อาก็เพิ่งจะรู้ว่า ความรักจากใจจริงของตัวเองและความรู้สึกที่จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จนั้น มันมีความแตกต่างกันมากแค่ไหน !”

เมื่อสินจินหว่านได้ยินแบบนี้ สภาพจิตใจก็ดีขึ้นอย่างมาก และเธอก็กระพริบตาปริบๆ

“ หวันหว่าน อันที่จริงแล้วครึ่งปีที่เธอไม่ได้กลับบ้านมาเลยนั้น ในใจฉันรู้สึกไม่สบายใจมากๆ ” โอหยางจวิ้นมองเธอและพูดว่า : “ ถึงแม้ว่าในตอนนั้นอาจะยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเธอเลยก็ตาม แต่การแข่งขันว่ายน้ำของเธอ อาก็ตามไปดูทุกครั้ง เพียงแค่อาไม่ได้เดินเข้าไป เธอก็เลยไม่รู้ ”

เธอก็มองเขาด้วยประหลาดใจ

สายตาของโอหยางจวิ้น ราวกับย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดปีก่อน : “ ในตอนนั้น อารู้สึกดีมากที่ในที่สุดก็หาข้ออ้างที่จะเจอกับเธอได้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอาอยู่ แต่เพียงแค่อามองเธอจากไกลๆก็รู้สึกดีมากแล้ว ”

เมื่อสือจินหว่านได้ยินเขาบรรยายเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกที่ระมัดระวังแบบนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย

เธอเงยหน้าขึ้น : “ อันที่จริงแล้วในตอนนั้น ฉันก็รู้ความรู้สึกในใจของตัวเองแล้ว แต่ฉันรู้ว่าอากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น ดังนั้นพวกเราจึงถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าไม่เดินไปต่อด้วยกัน ฉันไม่อยากที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับการแต่งงานของอา และฉันก็ยิ่งกลัวว่าตัวเองจะถลำลึกเข้าไปมากกว่านี้ ดังนั้นฉันจึงตั้งใจที่จะถอยห่าง และอยากจะใช้เวลาที่ไม่กลับบ้านนานๆนี้ เพื่อที่จะได้ค่อยๆลืมคุณไป ”

เมื่อโอหยางจวิ้นได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก้นบึ้งหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บจิ๊ดขึ้นมา ด้วยความสงสารนี้เขาจึงเธอเข้ามากอดในอ้อมกอดเพื่อเป็นการปกป้องเธอ : “ หวันหว่าน ขอโทษนะ ที่อาในตอนนั้น ทำให้เธอต้องเจ็บปวดใจ ”

“ จะโทษอาก็ไม่ได้ ” สือจินหว่านก็ถอดหายใจและพูดว่า : “ ถ้าเกิดว่าฉันสามารถเกิดเร็วกว่านี้ได้มันก็คงจะดี…… อาไม่รู้หรอกว่า ในตอนนั้นที่เค้าเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่ง ฉันก็รู้สึกดีมากแค่ไหนเมื่อได้ยินข่าวนี้ !”

“ หวันหว่าน ” โอหยางจวิ้นก็กอดเธอไว้แน่น : “ ในตอนนั้นที่อาถูกเค้าทิ้ง อันที่จริงแล้ว อาก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ยังรู้สึกสบายใจขึ้นอีกด้วย ”

เมื่อสือจินหว่านได้ยินแบบนั้น ทันใดนั้นก็หัวเราะในทันที

โอหยางจวิ้นก็หัวเราะเช่นกัน จากนั้นเขาก็มองไปที่เธอและพูดอย่างจริงจังว่า : “ หวันหว่าน อารักเธอแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น และต่อไปในอนาคต ก็จะรักเธอเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต !”

“ ฉันก็เหมือนกัน !” สือจินหว่านก็เอนตัวเข้าไปใกล้และจูบบนแก้มของโอหยางจวิ้นหนึ่งที : “ ได้ยินแม่บอกว่า ในตอนที่ท้องฉัน อาก็เคยช่วยแม่เอาไว้ที่สนามบิน นั้นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นโชคชะตาของพวกเรา !”

“ ใช่ ในตอนนั้นทั้งๆที่อาสามารถเดินไปอีกฝั่งได้แท้ๆ แต่สุดท้ายก็อ้อมไปตั้งไกล แล้วก็ได้เจอกับเค้า ” โอหยางจวิ้นก็จูบไปบนริมฝีปากของสือจินหว่าน : “บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่โชคชะตาในความมืดกำลังเรียกหา !”

ในตอนบ่าย ทั้งสองก็กลับมาถึงเพอร์เซลล์ และก็เพิ่งจะรู้สึกว่าเหนื่อยเล็กน้อย

ในเช้าวันที่สอง สือจินหว่านก็ยังคงหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย ส่วนโอหยางจวิ้นก็ไปที่ห้องดามอนพ่อของตัวเอง

ดามอนหลายปีที่ผ่านมา จิตใจและกำลังก็ไม่ได้มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว ดังนั้น งานทุกอย่างก็แทบจะส่งมอบให้โอหยางจวิ้นหมดแล้ว

เมื่อเห็นว่าลูกชายเข้า เขาก็ชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ด้านข้าง : “ Bojan นั่ง ”

โอหยางจวิ้นก็นั่งลงและเอ่ยปากว่า : “ พ่อครับ ผมมีเรื่องที่จะบอกกับพ่อครับ ”

ดามอนเห็นสีหน้าที่จริงจังของเขา ดังนั้นก็พูดอย่างเป็นทางการว่า : “ โอเค แกพูด ”

“ พ่อครับ ผมวางแผนไว้ว่าจะแต่งงาน ” โอหยางจวิ้นก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง : “ กับหวันหว่าน ”

ดามอนก็ตะลึงไปสองวินาที : “ แกยอมที่จะแต่งงานแล้วหรอ ? !”

เมื่อพูดจบ เขาก็พูดเพิ่มเติมอีกว่า : “ กับใครนะ ? ! หวันหว่านคนนั้นหรอ ? !”

โอหยางจวิ้นพูด : “ ครับ ผมตกหลุมรักหวันหว่าน สือจินหว่าน ”

ทันใดนั้นดามอนก็ลุกขึ้นมานั่งในทันที : “ Bojan นี่แกกำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า ?”

“ พ่อ ผมโตขนาดนี้แล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ผมจะมาล้อเล่นได้ยังไงกัน ?” โอหยางจวิ้นพูด : “ ผมอยู่กับเธอแล้ว ผมรักเธอมาก แล้วก็อยากจะได้เธอมาเป็นภรรยา และหวังว่าพ่อจะเห็นด้วย !”

“ โอ้……” ดามอนเดินไปรอบๆอยู่ภายในห้อง ผ่านไปสักพัก กว่าที่จะเข้าใจข่าวคราวที่รับได้นี้ จากนั้นก็หยุดลงและพูดว่า : “ ทาง honor รู้แล้วหรือยัง ?”

โอหยางจวิ้นส่ายหน้า : “ ผมมาคุยกับพ่อก่อน และตั้งใจว่าสัปดาห์หน้าจะไปสู่ขอกับทาง honor อย่างเป็นทางการ !”

ดามอนเดินไปมาและพูดบ่นอุบอิบกับตัวเองอยู่สักพัก ก่อนที่จะมองไปยังโอหยางจวิ้นแล้วก็ตบไปที่ไหล่ของเขา : “ แกรู้ไหมว่าคุณปู่ขอแกพูดอะไรกับฉันในตอนนั้น ?”

“ อะไรครับ ?” โอหยางจวิ้นก็พูดด้วยความสงสัย

“ เขาบอกว่า เรื่องของแก แกจะสามารถจัดการมันได้ด้วยตัวเอง และแกก็จำเป็นที่จะต้องให้คำอธิบายที่สมบูรณ์กับทุกคน !” ดามอนทอดถอนหายใจ : “ ยังไงก็เป็นปู่ของแกที่มองได้ทะลุปรุโปร่ง หลายปีที่ผ่านมา ฉันเป็นห่วงแกแทบตาย ! ในตอนนั้น honor ก็ติดค้างเจ้าสาวพวกเราไว้แล้วคนหนึ่ง หลานเสี่ยวก็พลัดไปแต่งงานกับคนอื่น และแกก็อยากจะไปแต่งงานกับลูกสาวเธอ !”

ในขณะที่ดามอนพูดก็ออกแรงบีบไปที่ไหล่ของโอหยางจวิ้น : “ โอเค พ่อจะสนับสนุนแกเอง ! สัปดาห์หน้า พวกเราไปสู่ขอกับทาง honor อย่างเป็นทางการ ! แต่ถ้าหวันหว่านแต่งเข้ามาแล้ว ชื่อและลำดับเครือญาติของพวกเรา ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง !”

“ ขอบคุณครับพ่อ !” โอหยางจวิ้นก็ยื่นออกไปกอดคุณพ่อที่ผมหงอกเต็มหัวแล้ว

ในวันนั้น โอหยางจวิ้นก็ได้บอกเรื่องที่ดามอนจะคอยสนับสนุนให้สือจินหว่าน เมื่อเธอได้ยินก็รู้สึกดีใจอย่างมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องการสู่ขอในสัปดาห์ที่จะมาถึงนี้

ถึงอย่างไรต่อให้จะกังวลใจ แต่พอถึงวันนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

สัปดาห์นี้ โอหยางจวิ้นก็ไม่กล้าที่จะพาสือจินหว่านไปที่โรงแรมเลย อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงจับมือกับเธอและเดินจนดึก จากนั้นก็ไปส่งเธอที่หอ

และในวันที่สอง ก็ยังคงมารับเธอไปกินข้าวเช้าตามปกติ

เวลาก็แกว่งไกวไปมาในที่สุดก็ถึงวันศุกร์

ก่อนหน้านี้สองสามวันโอหยางจวิ้นก็ได้โทรไปหาสือมูเฉินบอกว่า ในวันเสาร์นี้ดามอนจะไปที่ honor และพอถึงตอนนั้นก็มีเรื่องที่จะปรึกษาหารือกัน

ดังนั้น พอเลิกงานในวันนั้น สือมูเฉินก็ขับรถพาสือจินหว่านและหยานโม่หานกลับไปที่ honor ในทันที

ในคืนนั้น สือจินหว่านก็นอนไม่หลับ จนกระทั่งดึกดื่นกว่าจะนอนหลับ และพอตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันที่จะกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ได้ยินว่าดามอนและโอหยางจวิ้นมาถึงที่ honor แล้ว

เธอก็รีบเช็ดปากแล้วก็รีบร้อนวิ่งออกมาที่ประตูห้องนั่งเล่น แต่พอคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าเรื่องที่จะคุยนั้นล้วนเป็นเรื่องของเธอ ดังนั้นก็เลยว่าจะหามุมซ่อนไว้และตั้งใจว่าจะแอบฟัง แล้วก็มองดูเหตุการณ์ให้พร้อมแล้วค่อยออกไป

ดามอนมาด้วยตัวเองแบบนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีไม่มากนัก ดังนั้นในห้องโถงของบ้าน honor หลานจื่อเฉินและสือมูเฉินก็เดินออกมาพร้อมกัน

ทุกคนต่างก็ทักทายกันก่อนสองสามประโยค จากนั้น ดามอนก็เอ่ยปากพูดกับทุกคนเลยว่า :” วันนี้ที่ฉันและBojanมา ก็มาเพื่อที่จะสู่ขอ honor อย่างเป็นทางการ !”

“ สุดสัปดาห์หน้าหรอ ?” สือจินหว่านราวกับเด็กนักเรียน เธอนับนิ้วมือ : “ งั้นก็ใกล้ละสิ อ๊า รู้สึกตื่นเต้นจังเลย !”

“ อย่ากังวลใจไปเลย พ่อแม่เธอรักเธอจะตาย แล้วพวกเขาก็เชื่อเธอที่สามารถตัดสินใจในเรื่องของตัวเองได้ และก็สามารถหาของความสุขของตัวเองได้ !” โอหยางจวิ้นก็สตาร์ทรถ : “ อยากกินไรเอ่ย ?”

“ ขอเพียงแค่กินอาหารเช้าด้วยกันกับอา กินอะไรก็ได้ค่ะ !” สือจินหว่านพูดจาหวานน่ารัก

โอหยางจวิ้นถูกคำพูดที่เย้าหยอกของเธอนั้นทำให้ใจเต้นตุ้บๆ เขาเอนตัวเข้าไปจูบบนแก้มของเธอ : “ หวันหว่าน ลืมบอกอรุณสวัสดิ์กับเธอ !”

สือจินหว่านก็ยิ้ม จากนั้นก็เอนตัวเข้าไปเช่นกัน : “ จวิ้นน้อย อรุณสวัสดิ์ ! จุ๊บ !”

ทั้งสองคนก็กินอาหารเช้าด้วยกัน แล้วก็นั่งจู๋จี๋กันที่ร้านสักพัก จากนั้นโอหยางจวิ้นก็ส่งสือจินหว่านกลับไป

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในช่วงกลางวันสือจินหว่านก็กลับมางานยุ่งเหมือนเดิม ในตอนกลางคืนก็โทรคุยสารทุกข์สุขดิบของชีวิตกับโอหยางจวิ้น จนกระทั่งถึงสุดสัปดาห์

สุดสัปดาห์นี้ สือมูเฉินต้องไปทำงานที่ทางตอนเหนือ และเป็นเพราะว่ามีปัญหาในด้านเทคนิคบางอย่าง เขาก็เลยขอให้หยานโม่หานนั้นไปกับเขา มันก็ถือว่าเป็นการไปเรียนรู้ประสบการณ์

ดังนั้นในวันเสาร์ โอหยางจวิ้นจึงพาสือจินหว่านไปปีนเขาด้วยกัน

แสงอาทิตย์ส่องทะลุกิ่งก้านและใบลงมา ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูร้อน แต่ช่วงเช้าในภูเขาก็ยังถือว่าเย็นชุ่มชื่น ทั้งสองเดินตามลำธารที่คดเคี้ยวบนภูเขา จนกระทั่งมาถึงเนินเขาที่ค่อนข้างราบเรียบ

บนเนินเขามีดอกไม้ป่าเล็กๆที่ไม่รู้จักชื่อนั้นบานสะพรั่งอยู่ทั่วทุ่งหญ้า เมื่อมีลมพัดมา ดอกไม้ก็จะสั่นระริกในทันที

โอหยางจวิ้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา : “ หวันหว่าน เธอนอนลงบนหญ้าสิเดี๋ยวอาจะช่วยถ่ายรูปให้เธอ !”

สือจินหว่านพยักหน้า แล้วนอนลงโดยดี จากนั้นก็มือขึ้นมาวางบนหน้าผากเพื่อบังแสงอาทิตย์

ในขณะที่โอหยางจวิ้นกำลังถ่ายอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวลงไปจูบเธอ

เธอยื่นแขนออกมาคล้องไว้บนคอของเขา เพื่อที่จะตอบรับจูบของเขา

ทั้งสองคนก็กลิ้งจูบกันไปมาบนหญ้า จนกระทั่งหายใจติดขัด โอหยางจวิ้นถึงได้ปล่อยสือจินหว่าน จากนั้นก็หลับตาและนอนหงาย : “ หวันหว่าน งานแต่งของพวกเราเธอชอบสไตล์แบบไหน ?”

สือจินหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง : “ อันที่จริงจัดที่ริมทะเลสาบของเพอร์เซลล์ก็ดีนะ สำหรับสไตล์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนฉันก็ชอบ !”

เมื่อเธอพูดจบก็หันกลับไปมองเขา : “ งานแต่งจะจัดขึ้นเร็วขนาดนี้เลยหรอ ?”

“ หวันหว่าน เธออยู่เพอร์เซลล์มาตั้งแต่เด็กๆ เธอก็รู้นิ พวกเราค่อนข้างจะระงับการกระทำบางอย่างก่อนแต่ง ” โอหยางจวิ้นก็ถึงกลับกลืนน้ำลาย

ใบหน้าของสือจินหว่านนั้นก็แดงขึ้นมาในทันที เธอก็ทำปากมุ่ย : “ จวิ้นน้อย ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นหมาป่าหมาที่หิวโหยเลยนะ !”

โอหยางจวิ้นก็ทำหน้าไม่ถูก : “ อยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่ตัวเองชอบ ในบางครั้งมันก็……” ก็ราวกับเมื่อกี้ ตอนที่เขาจูบเธอ อีกนิดก็แทบจะเบรคไม่อยู่แล้ว

ด้านหนึ่ง ก็อยากจะเข้าใกล้ด้วยความบ้าคลั่ง ส่วนอีกด้านหนึ่ง ก็พยายามควบคุมอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

“ จู่ๆฉันก็นึกอะไรขึ้นมาได้หนึ่งอย่าง——” เมื่อสือจินหว่านพูดถึงตรงนี้ เธอก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงและสายตาก็ล็อคไปที่โอหยางจวิ้น : “ เจ็ดปีที่แล้ว พวกเรา เฉียวซือ และคุณน้ามู่ไปแช่ออนเซ็น ตอนนั้นฉันเห็นอาจูบกับคุณน้ามู่ ! อีกทั้งหลังจากที่พวกเราไปแล้ว พวกคุณก็……”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ สาวน้อยก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาในทันที

เธอมองไปยังโอหยางจวิ้นด้วยความโมโห : “ พอฉันคิดขึ้นได้ตอนนี้ ก็รู้สึกโกรธและเสียใจมาก ฉันไม่สนใจอาแล้ว !”

ในขณะที่เธอพูดนั้น ก็หันหลังใส่เขา

เมื่อโอหยางจวิ้นเห็นแบบนี้ ก็รีบลุกขึ้นไปกอดสือจินหว่านจากด้านหลัง : “ หวันหว่าน ระหว่างอากับเค้าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ !”

“ ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่เชื่อ !” สือจินหว่านก็บิดตัว : “ คุณน้ามู่ใส่บิกินี่ ส่วนอาก็ใส่เพียงแค่กางเกงว่ายน้ำตัวเดียว จากนั้นพวกอาก็จูบกันในสระน้ำ แน่นอนว่าต่อจากนั้น……”

ยิ่งเธอพูด เธอก็ยิ่งเศร้า ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อเจ็ดปีก่อนนี้ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธออีกครั้ง

“ หวันหว่าน ระหว่างอากับเค้าไม่มีเกิดขึ้นจริงๆ ” โอหยางจวิ้นพบว่า เขาจำเป็นที่จะต้องอธิบายอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดว่าสาวตัวน้อยของเขาโกรธและไม่สนใจเขาขึ้นมาละก็เขาจะทำยังไงกันล่ะที่นี้ ?

แต่เขาจำได้ว่า หลังจากเหตุการณ์นั้นที่เกิดขึ้น สือจินหว่านก็แทบจะไม่กลับไปที่เพอร์เซลล์เลย เป็นเวลากว่าครึ่งปี ที่เธอถอยห่างจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ นอกสักจากบอกฝันดีในทุกคืน นอกนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว

เขาพลิกตัวเธอกลับมา แล้วก็พูดกับเธออย่างจริงจัง : “ หวันหว่าน อายอมรับว่าในตอนนั้นอาจูบเค้าจริงๆ แต่ท้ายที่สุดอาก็ไม่ได้แตะต้องตัวเธอเลย ในตอนนั้น อาคิดว่าในไม่ช้าอาก็ต้องแต่งงานกับเค้าอยู่ดี ในฐานะทายาทของตระกูลเพอร์เซลล์ อาก็จำเป็นที่จะต้องทำภารกิจมีลูกเพื่อสืบสกุลให้สำเร็จ ดังนั้น อาตั้งใจว่าจะลองดู ”

สือจินหว่านก็ปากมุ่ย แล้วฟังเขาพูดต่อ

“ แต่ในตอนนั้นเมื่ออาเข้าไปใกล้ ก็ไม่มีความรู้สึกที่ใจเต้นเลย มีเพียงแค่อย่างเดียวคือความกังวล แต่ก็เป็นเพราะรูสึกว่าไม่มีอารมณ์และรู้สึกถึงการกีดกัน ” โอหยางจวิ้นพูด : “ และทุกครั้งที่อยากจะจูบเธอความรู้สึกนั้นมันก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ! นี่ก็เป็นเหตุผลหลังจากที่อาตกหลุมรักเธอ อาก็เพิ่งจะรู้ว่า ความรักจากใจจริงของตัวเองและความรู้สึกที่จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จนั้น มันมีความแตกต่างกันมากแค่ไหน !”

เมื่อสินจินหว่านได้ยินแบบนี้ สภาพจิตใจก็ดีขึ้นอย่างมาก และเธอก็กระพริบตาปริบๆ

“ หวันหว่าน อันที่จริงแล้วครึ่งปีที่เธอไม่ได้กลับบ้านมาเลยนั้น ในใจฉันรู้สึกไม่สบายใจมากๆ ” โอหยางจวิ้นมองเธอและพูดว่า : “ ถึงแม้ว่าในตอนนั้นอาจะยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเธอเลยก็ตาม แต่การแข่งขันว่ายน้ำของเธอ อาก็ตามไปดูทุกครั้ง เพียงแค่อาไม่ได้เดินเข้าไป เธอก็เลยไม่รู้ ”

เธอก็มองเขาด้วยประหลาดใจ

สายตาของโอหยางจวิ้น ราวกับย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดปีก่อน : “ ในตอนนั้น อารู้สึกดีมากที่ในที่สุดก็หาข้ออ้างที่จะเจอกับเธอได้ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าอาอยู่ แต่เพียงแค่อามองเธอจากไกลๆก็รู้สึกดีมากแล้ว ”

เมื่อสือจินหว่านได้ยินเขาบรรยายเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกที่ระมัดระวังแบบนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย

เธอเงยหน้าขึ้น : “ อันที่จริงแล้วในตอนนั้น ฉันก็รู้ความรู้สึกในใจของตัวเองแล้ว แต่ฉันรู้ว่าอากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น ดังนั้นพวกเราจึงถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าไม่เดินไปต่อด้วยกัน ฉันไม่อยากที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับการแต่งงานของอา และฉันก็ยิ่งกลัวว่าตัวเองจะถลำลึกเข้าไปมากกว่านี้ ดังนั้นฉันจึงตั้งใจที่จะถอยห่าง และอยากจะใช้เวลาที่ไม่กลับบ้านนานๆนี้ เพื่อที่จะได้ค่อยๆลืมคุณไป ”

เมื่อโอหยางจวิ้นได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก้นบึ้งหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บจิ๊ดขึ้นมา ด้วยความสงสารนี้เขาจึงเธอเข้ามากอดในอ้อมกอดเพื่อเป็นการปกป้องเธอ : “ หวันหว่าน ขอโทษนะ ที่อาในตอนนั้น ทำให้เธอต้องเจ็บปวดใจ ”

“ จะโทษอาก็ไม่ได้ ” สือจินหว่านก็ถอดหายใจและพูดว่า : “ ถ้าเกิดว่าฉันสามารถเกิดเร็วกว่านี้ได้มันก็คงจะดี…… อาไม่รู้หรอกว่า ในตอนนั้นที่เค้าเป็นฝ่ายยกเลิกงานแต่ง ฉันก็รู้สึกดีมากแค่ไหนเมื่อได้ยินข่าวนี้ !”

“ หวันหว่าน ” โอหยางจวิ้นก็กอดเธอไว้แน่น : “ ในตอนนั้นที่อาถูกเค้าทิ้ง อันที่จริงแล้ว อาก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็ยังรู้สึกสบายใจขึ้นอีกด้วย ”

เมื่อสือจินหว่านได้ยินแบบนั้น ทันใดนั้นก็หัวเราะในทันที

โอหยางจวิ้นก็หัวเราะเช่นกัน จากนั้นเขาก็มองไปที่เธอและพูดอย่างจริงจังว่า : “ หวันหว่าน อารักเธอแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น และต่อไปในอนาคต ก็จะรักเธอเพียงคนเดียวไปตลอดชีวิต !”

“ ฉันก็เหมือนกัน !” สือจินหว่านก็เอนตัวเข้าไปใกล้และจูบบนแก้มของโอหยางจวิ้นหนึ่งที : “ ได้ยินแม่บอกว่า ในตอนที่ท้องฉัน อาก็เคยช่วยแม่เอาไว้ที่สนามบิน นั้นถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นโชคชะตาของพวกเรา !”

“ ใช่ ในตอนนั้นทั้งๆที่อาสามารถเดินไปอีกฝั่งได้แท้ๆ แต่สุดท้ายก็อ้อมไปตั้งไกล แล้วก็ได้เจอกับเค้า ” โอหยางจวิ้นก็จูบไปบนริมฝีปากของสือจินหว่าน : “บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่โชคชะตาในความมืดกำลังเรียกหา !”

ในตอนบ่าย ทั้งสองก็กลับมาถึงเพอร์เซลล์ และก็เพิ่งจะรู้สึกว่าเหนื่อยเล็กน้อย

ในเช้าวันที่สอง สือจินหว่านก็ยังคงหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย ส่วนโอหยางจวิ้นก็ไปที่ห้องดามอนพ่อของตัวเอง

ดามอนหลายปีที่ผ่านมา จิตใจและกำลังก็ไม่ได้มากเหมือนแต่ก่อนแล้ว ดังนั้น งานทุกอย่างก็แทบจะส่งมอบให้โอหยางจวิ้นหมดแล้ว

เมื่อเห็นว่าลูกชายเข้า เขาก็ชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ด้านข้าง : “ Bojan นั่ง ”

โอหยางจวิ้นก็นั่งลงและเอ่ยปากว่า : “ พ่อครับ ผมมีเรื่องที่จะบอกกับพ่อครับ ”

ดามอนเห็นสีหน้าที่จริงจังของเขา ดังนั้นก็พูดอย่างเป็นทางการว่า : “ โอเค แกพูด ”

“ พ่อครับ ผมวางแผนไว้ว่าจะแต่งงาน ” โอหยางจวิ้นก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง : “ กับหวันหว่าน ”

ดามอนก็ตะลึงไปสองวินาที : “ แกยอมที่จะแต่งงานแล้วหรอ ? !”

เมื่อพูดจบ เขาก็พูดเพิ่มเติมอีกว่า : “ กับใครนะ ? ! หวันหว่านคนนั้นหรอ ? !”

โอหยางจวิ้นพูด : “ ครับ ผมตกหลุมรักหวันหว่าน สือจินหว่าน ”

ทันใดนั้นดามอนก็ลุกขึ้นมานั่งในทันที : “ Bojan นี่แกกำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า ?”

“ พ่อ ผมโตขนาดนี้แล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ผมจะมาล้อเล่นได้ยังไงกัน ?” โอหยางจวิ้นพูด : “ ผมอยู่กับเธอแล้ว ผมรักเธอมาก แล้วก็อยากจะได้เธอมาเป็นภรรยา และหวังว่าพ่อจะเห็นด้วย !”

“ โอ้……” ดามอนเดินไปรอบๆอยู่ภายในห้อง ผ่านไปสักพัก กว่าที่จะเข้าใจข่าวคราวที่รับได้นี้ จากนั้นก็หยุดลงและพูดว่า : “ ทาง honor รู้แล้วหรือยัง ?”

โอหยางจวิ้นส่ายหน้า : “ ผมมาคุยกับพ่อก่อน และตั้งใจว่าสัปดาห์หน้าจะไปสู่ขอกับทาง honor อย่างเป็นทางการ !”

ดามอนเดินไปมาและพูดบ่นอุบอิบกับตัวเองอยู่สักพัก ก่อนที่จะมองไปยังโอหยางจวิ้นแล้วก็ตบไปที่ไหล่ของเขา : “ แกรู้ไหมว่าคุณปู่ขอแกพูดอะไรกับฉันในตอนนั้น ?”

“ อะไรครับ ?” โอหยางจวิ้นก็พูดด้วยความสงสัย

“ เขาบอกว่า เรื่องของแก แกจะสามารถจัดการมันได้ด้วยตัวเอง และแกก็จำเป็นที่จะต้องให้คำอธิบายที่สมบูรณ์กับทุกคน !” ดามอนทอดถอนหายใจ : “ ยังไงก็เป็นปู่ของแกที่มองได้ทะลุปรุโปร่ง หลายปีที่ผ่านมา ฉันเป็นห่วงแกแทบตาย ! ในตอนนั้น honor ก็ติดค้างเจ้าสาวพวกเราไว้แล้วคนหนึ่ง หลานเสี่ยวก็พลัดไปแต่งงานกับคนอื่น และแกก็อยากจะไปแต่งงานกับลูกสาวเธอ !”

ในขณะที่ดามอนพูดก็ออกแรงบีบไปที่ไหล่ของโอหยางจวิ้น : “ โอเค พ่อจะสนับสนุนแกเอง ! สัปดาห์หน้า พวกเราไปสู่ขอกับทาง honor อย่างเป็นทางการ ! แต่ถ้าหวันหว่านแต่งเข้ามาแล้ว ชื่อและลำดับเครือญาติของพวกเรา ก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง !”

“ ขอบคุณครับพ่อ !” โอหยางจวิ้นก็ยื่นออกไปกอดคุณพ่อที่ผมหงอกเต็มหัวแล้ว

ในวันนั้น โอหยางจวิ้นก็ได้บอกเรื่องที่ดามอนจะคอยสนับสนุนให้สือจินหว่าน เมื่อเธอได้ยินก็รู้สึกดีใจอย่างมาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเรื่องการสู่ขอในสัปดาห์ที่จะมาถึงนี้

ถึงอย่างไรต่อให้จะกังวลใจ แต่พอถึงวันนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

สัปดาห์นี้ โอหยางจวิ้นก็ไม่กล้าที่จะพาสือจินหว่านไปที่โรงแรมเลย อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงจับมือกับเธอและเดินจนดึก จากนั้นก็ไปส่งเธอที่หอ

และในวันที่สอง ก็ยังคงมารับเธอไปกินข้าวเช้าตามปกติ

เวลาก็แกว่งไกวไปมาในที่สุดก็ถึงวันศุกร์

ก่อนหน้านี้สองสามวันโอหยางจวิ้นก็ได้โทรไปหาสือมูเฉินบอกว่า ในวันเสาร์นี้ดามอนจะไปที่ honor และพอถึงตอนนั้นก็มีเรื่องที่จะปรึกษาหารือกัน

ดังนั้น พอเลิกงานในวันนั้น สือมูเฉินก็ขับรถพาสือจินหว่านและหยานโม่หานกลับไปที่ honor ในทันที

ในคืนนั้น สือจินหว่านก็นอนไม่หลับ จนกระทั่งดึกดื่นกว่าจะนอนหลับ และพอตื่นขึ้นมา ยังไม่ทันที่จะกินข้าวเช้าเสร็จ ก็ได้ยินว่าดามอนและโอหยางจวิ้นมาถึงที่ honor แล้ว

เธอก็รีบเช็ดปากแล้วก็รีบร้อนวิ่งออกมาที่ประตูห้องนั่งเล่น แต่พอคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดได้ว่าเรื่องที่จะคุยนั้นล้วนเป็นเรื่องของเธอ ดังนั้นก็เลยว่าจะหามุมซ่อนไว้และตั้งใจว่าจะแอบฟัง แล้วก็มองดูเหตุการณ์ให้พร้อมแล้วค่อยออกไป

ดามอนมาด้วยตัวเองแบบนี้ ถือเป็นเหตุการณ์ที่มีไม่มากนัก ดังนั้นในห้องโถงของบ้าน honor หลานจื่อเฉินและสือมูเฉินก็เดินออกมาพร้อมกัน

ทุกคนต่างก็ทักทายกันก่อนสองสามประโยค จากนั้น ดามอนก็เอ่ยปากพูดกับทุกคนเลยว่า :” วันนี้ที่ฉันและBojanมา ก็มาเพื่อที่จะสู่ขอ honor อย่างเป็นทางการ !”

สือจินหว่านรู้สึกว่าโอหยางจวิ้นนั้นตัวสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีท่าทางที่พยายามอดทนเอาไว้ ส่วนเธอก็กลั้นหายใจและไม่กล้าแม้แต่จะขยับ

อันที่จริงแล้ว ในใจของเธอก็รู้สับสนเช่นกัน

เธอรู้สึกสงสารเขา เพราะรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานั้นเขาต้องทนลำบากมามากแค่ไหน แต่เธอยังคงเตรียมตัวไม่พร้อมจริงๆ

ดังนั้น เธอก็เลยไม่กล้าพูด แล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จึงทำได้เพียงเชื่อฟังและอยู่ในอ้อมกอดของเขา และรู้สึกถึงพลังของเขาที่ส่งถึงผิวของเธอ

ผ่านไปสักพัก โอหยางจวิ้นถึงได้ปล่อยสือจินหว่าน

บนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ : “ หวันหว่าน อาจะส่งเธอกลับหอเอง ”

เธอก็เงยหน้าขึ้นความแปลกใจมากๆ

เขาช่วยเธอปิดชุดนอนที่เปิดอ้าเอาไว้ แล้วก็ฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ : “ ถ้าเกิดว่าเธออยู่ที่นี่ คืนนี้อาก็คงจะทนไม่ไหวแน่ๆ !”

คำพูดที่โจ่งแจ้งเป็นพิเศษของเขา มันทำให้หัวใจของเธอนั้นเต้นรุนแรง

“ ออ โอเคค่ะ ” สือจินหว่านรีบดึงเสื้อผ้าของเธอขึ้นมาแล้วก็กระโดดลงจากเตียงทันที

เธอก็หยิบเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไปก่อนหน้าขึ้นมา แล้วก็รีบเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับพูดว่า : “ ถ้างั้นฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ !”

“ โอเค ” โอหยางจวิ้นบังคับตัวเองให้ละสายตาจากสือจินหว่าน แล้วก็หายใจเข้าลึกๆอยู่หลายครั้ง

ในห้องน้ำนั้น สือจินหว่านที่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาก็พบว่าลืมเธอหยิบเสื้อชั้นในมา

เธอจึงทำได้เพียงสวมเสื้อคลุมอาบน้ำและวิ่งออกไปอีกครั้งเพื่อหาเสื้อผ้าชั้นในของตัวเองที่อยู่บนเตียง

เธอวิ่งออกมาด้วยความรีบร้อนเล็กน้อย จึงไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่นิดว่าโอหยางจวิ้นนั้นกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ด้านนอก

และเมื่อเธอวิ่งไปถึงข้างเตียง เขาก็ถอดจนเปลือยกายหมดแล้วพอดี

ดวงตาของสือจินหว่านก็กว้างในทันที และเธอก็กำลังตะลึงกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า

ถึงแม้ว่าเมื่อกี้พวกเขาจะสนิทชิดเชื้อกันไปกันขนาดนั้นแล้ว แต่อันที่จริงเธอแทบจะหลับตาอยู่ตลอด หรือไม่ก็เห็นเพียงแค่ร่างกายส่วนบนของโอหยางจวิ้นเท่านั้น

ในเวลานี้ เขาก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไว้แล้ว และเธอก็เห็นเขาหมดแล้ว !

รูปร่างที่สูงใหญ่ หุ่นสามเหลี่ยมกลับหัวที่สวยงาม แล้วก็ยังมีลายเส้นกล้ามเนื้อที่สัดส่วน ทั้งร่างกายเป็นสัดส่วนทองคำ ซึ่งไม่มีไขมันเลยแม้แต่นิด มันจึงทำให้เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงความรู้สึกที่เธอลูบกล้ามท้องของเขาในร้านอาหาร……

ทั้งสองต่างก็ตกตะลึงจนลืมที่จะมีท่าทีโต้ตอบ

หัวใจของสือจินหว่านเต้นเร็วมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะวางมือยังไงดี และเขาของเธอก็ดูเหมือนจะถูกตะปูตอกเอาไว้

ทั้งๆที่มันควรจะวิ่ง แต่เธอกลับมองอยู่ตลอดโดยที่ไม่ละสายตาเลย จนกระทั่ง——

เธอเห็นอย่างชัดเจนว่า โอหยางจวิ้นเริ่มมีบริเวณบางจุดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ยื่นตรงขึ้นและชี้ไปทางเธอ……

เธอก็ร้อง‘อ๊า’ขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกตัวขึ้นได้และโบกไม้โบกมือ : “ อาจวิ้น ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ! ฉันมาหยิบของ ! ฉันลืม……”

ในขณะที่พูดนั้น เธอก้มลงไปที่เตียงด้วยความลนลานรื้อหาเสื้อผ้าชั้นในออกมา แล้วก็ชูขึ้นมาให้เขาดู : “ อันนี้ !”

เธอไม่รู้ว่า เขาใช้จิตใจที่แน่วแน่ไปมากแค่ไหนเขาถึงได้กลับไปยืนในที่เดิม และเขาต้องใช้จิตใจที่แน่วแน่มากอีกครั้ง ถึงจะมองมายังเสื้อผ้าชั้นในที่เธอชูขึ้นมา แล้วก็ยังคงพูดว่า : “ เด็กดี รีบไปเปลี่ยนเร็ว ”

เมื่อกี้ตอนที่เธอชูเสื้อชั้นในขึ้นมา เขาก็นึกถึงสัมผัสของฝ่ามือที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่นของก่อนหน้านี้ที่อยู่บนเตียง และมันก็ค่อยๆเขมือบกินจิตใจที่แน่วแน่ในปกติของเขาไปทีละนิด

เมื่อได้ยินที่โอหยางจวิ้นพูด สือจินหว่านก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังชูเสื้อชั้นในให้เขาดู ทันใดนั้น หน้าของเธอก็ยิ่งแดงมากขึ้น

เธอคว้าเสื้อผ้าแล้วก็หันหลังวิ่งไป โดยไม่เห็นว่าประตูกระจกของห้องน้ำนั้นปิดอยู่ มันเลยทำให้เธอชนเข้ากับมัน แล้วมีเสียงอู้อี้ขึ้นมา

“ หวันหว่าน เป็นอะไรหรือเปล่า ?” เมื่อโอหยางจวิ้นได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็รีบวิ่งไปดู

“ ไม่เป็นไรค่ะ !” แม้ว่าหน้าผากของสือจินหว่านจะเจ็บ แต่ถึงอย่างไรเธอก็รีบลุกขึ้นมาเปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็เข้าไปในม่านที่อยู่ด้านหลัง

ในตอนที่สวมเสื้อผ้านั้น มือของเธอก็สั่นเล็กน้อย

ผ่านไปสักพักกว่าจะสวมเสื้อผ้าเสร็จ แต่ถึงอย่างไรแก้มที่แดงก่ำก็ยังคงเช็คไม่ออก

พอเดินถึงประตู เธอก็ถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา : “ อาจวิ้น เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วหรือยังคะ ?”

โอหยางจวิ้นก็เอ่ยปากพูดว่า : “ อื้ม เสร็จแล้ว ”

เมื่อสือจินหว่านออกไปก็เห็นว่าโอหยางจวิ้นนั้นกลับมาสวมชุดเมื่อกี้นี้แล้ว เธอก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

เธอนับได้ว่าเข้าใจแล้ว ที่แท้เวลาที่ผู้ชายและผู้หญิงอยู่ในห้องเดียวกัน มันเป็นแบบนี้นี่เอง…..

“ หวันหว่าน เธอลองดูซิว่าหยิบของครบแล้วหรือยัง ?” โอหยางจวิ้นพูด : “ อาส่งเธอกลับหอ พรุ่งนี้เช้าเจ็ดโมงอาค่อยไปรับเธอมากินข้าวเช้านะ ”

เธอพยักหน้า : “ อื้ม ฉันเอามาแค่โทรศัพท์ ส่วนของอย่างอยู่บนรถของอา พวกเราไปกันดีกว่า !”

โอหยางจวิ้นก็หยิบกุญแจขึ้นมา ดึงคีย์การ์ดออกมา แล้วกำลังจูงสือจินหว่านออกไป แต่ทว่าเมื่อมือของเขาเพิ่งจับไปที่ลูกบิดประตู เขาก็หยุดลง

เป็นเพราะว่าดึงคีย์การ์ดออก ก็ทำให้ภายในห้องมืดลงทันที แต่ทว่าความรู้สึกที่สัมผัสของมืออีกข้างที่จูงมือของสาวน้อยเอาไว้นั้นมันก็ชัดเจนขึ้นมาในทันที

โอหยางจวิ้นก็ได้ปล่อยมือจากลูกบิดประตู จากนั้นก็ล็อคไปที่เอวของสือจินหว่านแล้วก็ก้มลงไปจูบทันที

เธอไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นฝีเท้าก็ถอยไปด้านหลัง และเธอก็ถูกเขาชนเข้ากับประตู

เขาดูเหมือนกับไฟที่จูบเธอ เสียงที่คลุมเครือก็ระเบิดขึ้นภายในห้องที่มืดมิด และทำให้ภายในห้องมีอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นอีกครั้ง

เป็นเพราะฤดูร้อน ทั้งสองคนจึงสวมเสื้อผ้าที่บางมาก สือจินหว่านก็รู้สึกถึงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งของโอหยางจวิ้น และเธอก็รู้สึกว่าแนวต้านที่อยู่ภายในใจของตัวเองมันได้เริ่มพังทลายลงแล้ว

เขาต้องไม่สบายมากๆแน่เลย ? ในเมื่ออีกไม่นานเธอก็ต้องแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นก็ให้เขาวันนี้แล้วกัน…..

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ในใจของเธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น หัวใจของเธอเต้นตึกตึกตึก/ตึกตักกระแทกกับทรวงอกของเธอ และเลือดในตัวก็พุ่งขึ้นไปยังสมอง ทำให้รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย

แต่ถึงอย่างไร เขาก็ปิดริมฝีปากของเธอไว้ตลอด มันทำให้เธอไม่สามารถส่งเสียงได้ ดังนั้นก็เลยไม่มีวิธีเธอจะแสดงจุดยืนของตัวเองได้

ในที่สุด ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกว่าที่โอหยางจวิ้นจะปล่อยสือจินหว่าน

เธอก็ได้ปลุกความกล้าของเธอขึ้นมาและเอ่ยปากพูดกับเขาว่า : “ จวิ้น——”

“ หวันหว่าน พวกเราไปกันเถอะ !” ในขณะที่โอหยางจวิ้นพูดนั้น เขาก็เปิดประตูด้วยความเด็ดขาด

สือจินหว่านก็ถึงกลับตกตะลึง เขา……

เขากลับไม่รู้ความคิดเมื่อกี้ของเธอเลย แล้วก็ดึงเธอเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว

ร่างกายที่เปลี่ยนไปนั้น ยังไม่คืนกลับสภาพโดยสมบูรณ์ โอหยางจวิ้นพิงไปที่ระเบียงทางเดินแล้วก็เงยหน้าขึ้นเพื่อสงบสติอารมณ์สักแป๊บ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับสือจินหว่านว่า : “ หวันหว่าน พวกเราแต่งงานให้เร็วเถอะนะ !”

เธอกัดริมฝีปาก : “ ค่ะ ”

ทั้งสองคนจึงออกจากโรงแรมด้วยกัน และโอหยางจวิ้นก็ได้ไปส่งสือจินหว่านที่ประตูทางเข้าหอพัก

เธอกำลังจะเปิดประตูรถ แต่จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ ดังนั้นก็เลยเอนตัวเข้าไปใกล้เขา จากนั้นก็จูบไปบนแก้มของเขา และกระพริบตาปริบๆพร้อมกับพูดว่า : “ จวิ้นน้อย ราตีสวัสดิ์นะ !”

“ ราตีสวัสดิ์ หวันหว่าน ”โอหยางจวิ้นก็ยื่นไปลูบผมของสือจินหว่านพร้อมกับพูดว่า : “ เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ !”

“ ค่ะ เจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะ !” สือจินหว่านยิ้มให้เขา จากนั้นก็เปิดประตูรถแล้วก็จากไป

เธอเพิ่งจะวิ่งไปถึงระเบียงทางเดิน ก็เห็นว่าหยานโม่หานที่ยืนพิงอยู่ตรงระเบียง และเงาของเธอก็ตกอยู่บนตัวบนของเขา ทำให้เงาของเขาจางลงอย่างเห็นได้ชัด

“ โม่หาน แกมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ?” เธอก็ถาม

“ ผมคิดว่าคืนนี้พี่จะไม่กลับมาแล้วสักอีก ” หยานโม่หานพูด

สือจินหว่านก็เข้าใจความหมายของเขาในทันที และหน้าก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย : “ ไม่มีทาง พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกันเลย และพี่ก็ต้องกลับมาที่หอพักทุกวันอย่างแน่นอน……”

เมื่อเธอพูดจบแล้วก็กำลังจะเดินไปที่ห้องตัวเอง ก็เห็นว่าหยานโม่หานยังคงไม่ขยับ ดังนั้นก็เลยพูดอีกว่า : “ โม่หาน ดึกขนาดนี้แล้ว แกยังไม่นอนหรอ ?”

เขาหันไปมองเธอ แต่ในดวงตาที่สวยงามกลับมีเงามืดของอาคารบ้านเรือน : “ อืม ตอนนี้ก็คงนอนได้แล้ว ”

เมื่อพูดจบ เขาก็ยืนตัวตรงและพูดกับเธอว่า : “ ราตีสวัสดิ์นะ พี่หวันหว่าน ” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินกลับไปห้องตัวเอง

ในใจของสือจินหว่านรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอรู้ความหมายของหยานโม่หาน แต่…..

เธอก็ถอดหายใจเล็กน้อย และเธอก็รีบเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

เพิ่งจะเข้าไปถึง โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมาในทันที สือจินหว่านก็หยิบออกมาดู และเห็นว่าเป็นหยานโม่หานที่ส่งข้อความมา : “ พี่หวันหว่าน พี่สบายใจได้เลย เรื่องของพวกพี่ ผมไม่ไปบอกพ่อบุญธรรมหรอก แต่ถึงอย่างไรก็หวังว่าพวกพี่จะเป็นฝ่ายไปพูดด้วยตัวเองนะ ”

สือจินหว่านก็ตอบกลับไปว่า : “ อื้ม พวกเราได้วางแผนเอาไว้แล้ว เขาจะเป็นคนบอกกับพ่อแม่ฉันเอง และฉันก็ยื่นสมัครเรียนที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยก็สามารถที่จะแต่งงานได้ บางทีพวกเราก็อาจจะแต่งงานให้เร็วขึ้น ”

ณ ห้องข้างๆ หยานโม่หานที่เห็นว่าสือจินหว่านนั้นพูดถึงเรื่องแต่งงาน มือที่ถือโทรศัพท์จู่ๆก็สั่นขึ้นมาในทันที ผ่านไปสักพัก เขาก็ตอบกลับไปว่า : “ โอเค ขอให้พวกพี่มีความสุขนะ ”

“ ขอบคุณนายนะ โม่หาน ” สือจินหว่านก็ตอบกลับไป : “ ราตีสวัสดิ์ ”

ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ยังคงติดค้างกับการให้คำตอบเขาอยู่ แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ให้เขาไม่ได้อยู่ดี

เธอก็พยายามระงับความรู้สึกผิดนี้เอาไว้ จากนั้นสือจินหว่านที่กำลังนั่งอ่านหนังสือบนเตียงอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ได้สั่นขึ้นมาอีกครั้ง

เธอก็หยิบขึ้นมา และเห็นว่าเป็นโอหยางจวิ้นที่เป็นคนส่งมา : “ หวันหว่าน อาถึงโรงแรมแล้วนะ ”

เธอก็ยิ้มมุมปาก : “ โอเค หลับเช้าหน่อยนะจวิ้นน้อย !”

“ โอเค ” เขาก็ส่งสติ๊กเกอร์ที่พยักหน้ามา

เธอเห็นว่าบนหน้าจอนั้นมันขึ้นมาอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ ดังนั้นเธอก็เลยรอให้เขาส่งข้อความมา

แต่ทว่า ผ่านไปสักพัก เขาก็ยังไม่ส่งมา

ดังนั้นสือจินหว่านก็เลยถาม : “ มีอะไรที่อยากจะพูดกับฉันหรือเปล่าคะ ?”

ในขณะนี้ โอหยางจวิ้นก็ได้ลบข้อความที่พิมพ์ไว้ก่อนหน้านี้ออก แล้วก็พิมพ์ตอบกลับไปอย่างง่ายมากๆว่า : “ อื้ม อาพบว่า อาคิดถึงเธออีกแล้ว ”

ในขณะนี้ เขากำลังนั่งอยู่บนหัวเตียง มองดูเตียงที่เธอเพิ่งนอน ความต้องการในสมองของเขาเปลี่ยนไปอย่างบ้าคลั่ง โดยที่มันไม่สามารถที่จะควบคุมได้เลย

โทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็มีเสียงดังขึ้นมา เขาก็ก้มลงมองและเห็นเพียงแค่ที่เธอส่งมาว่า : “ ฉันก็คิดถึงอาเหมือนกัน ”

โอหยางจวิ้นก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาในทันที : “ หวันหว่าน อารักเธอนะ ”

อีกด้าน เมื่อเธอเห็นคำพูดของเขา หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะ และเธอก็ตอบกลับไปว่า : “ เหมือนกัน ”

ตอนเริ่มทั้งสองคนยังพิมพ์อยู่ แต่พอผ่านไปสักพัก สือจินหว่านก็เริ่มส่งความเสียง ท้ายที่สุดก็คุยโทรศัพท์

จนกระทั่ง หลังเที่ยงคืน โอหยางจวิ้นก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “ หวันหว่าน เธอควรนอนได้แล้วนะ ! อาจะวางสายแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ !”

เธอตอบกลับ : “ โอเค อย่าลืมฝันถึงฉันนะ ”

ทั้งสองคนก็วางสายและในที่สุดถึงได้นอนหลับ

ในเช้าวันที่สอง สือจินหว่านก็ลุกขึ้นมาแต่งตัว แล้วก็เลือกกระโปรงสวยๆมาหนึ่งตัว และเดินออกไปด้วยความดีอกดีใจ

พอดีกับที่สือมูสือกลับมาจากออกกำลังกายตอนเช้า เมื่อเห็นเธอก็เลยพูดว่า : “ หวันหว่าน ไปกินข้าวหรอ ? โม่หานล่ะ ?”

สือจินหว่านก็รู้สึกหนักใจ และรีบพูดว่า : “ โม่หานยังเตรียมตัวไม่เสร็จค่ะ หนูไปออกไปกินข้าวแล้วเดี๋ยวจะเอากลับมาให้เขาค่ะ ”

สือมูเฉินพยักหน้า : “ วันนี้กระโปรงสวยมากเลยนะ !”

“ ขอบคุณค่ะพ่อ !” สือจินหว่านก็ยิ้มอย่างน่ารัก

ในขณะที่เธอยังคงเดินออกไปต่อ สือมูเฉินก็เดินเข้าไปด้านใน

สือจินหว่านก็มาถึงถนนใหญ่ มองไปแต่ไกลก็เห็นรถของโอหยางจวิ้น เธอก็เปิดประตูเข้าไปลับๆล่อๆแล้วก็พูดว่า : “ เมื่อกี้เจอเข้ากับพ่อ ! จอเห่แน่ ยังไงอีกไม่นานเขาก็ต้องรู้ !”

โอหยางจวิ้นพูด : “ หวันหว่าน เมื่อคืนอาคิดมาแล้วว่าเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องสารภาพให้เขารู้ก่อน ดังนั้นในสัปดาห์นี้ก็เป็นแบบนี้ไปก่อน สุดสัปดาห์หน้า พวกเราหาโอกาสไปคุยกับเขาให้มันชัดเจนกัน !”

“ สุดสัปดาห์หน้า ?” สือจินหว่านก็พูดความกังวลใจ : “ มันจะเร็วไปหรือเปล่า ? ยังมีแม่ที่อยู่ประเทศจีนอีกนะ !”

“ เพราะตอนนี้เขาอยู่ที่นี่ ตราบใดที่อาจะเจอเธอ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเจอเข้ากับเขา ดังนั้น……” โอหยางจวิ้นพูด : “ หวันหว่าน เธออย่ากังวลใจไปเลย อาจะเป็นคนสารภาพเอง ! สุดสัปดาห์หน้า อาจะคุยกับเขาให้ชัดเจนเอง ถ้าเขาเห็นด้วย พวกเราก็จัดเตรียมงานหมั้นเลย !”

เป็นเวลานาน โอหยางจวิ้นจึงได้ผละออกจากสือจินหว่าน

คาดไม่ถึงเขาจะพบว่าตนเองอาลัยอาวรณ์ที่จะกล่าวลาเธอ เพียงแต่นึกได้ว่าดึกแล้ว จึงพูดว่า : “หวันหว่าน ฉันจะไปส่งคุณกลับหอพักนะ”

สือจินหว่านพยักหน้า ทั้งสองคนจับมือกัน แล้วเดินไปตามถนน

เพียงแต่เมื่อถึงหน้าทางเข้าหอพัก สือจินหว่านก็พูดว่า : “ฉันอยากทานอาหารมื้อดึก……”

จู่ๆโอหยางจวิ้นรู้สึกว่า เขาชอบข้อเสนออันนี้ของเธอมาก เพราะเช่นนี้จะทำให้พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันได้นานขึ้น

ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยักหน้า : “โอเค อย่างนั้นเราไปหาอาหารทานกันก่อน”

พูดจบเขาก็ขับรถพาสือจินหว่านข้ามไปยังถนนอีกเส้นหนึ่ง เมื่อผ่านโรงแรม สือจินหว่านจึงพูดว่า : “ต้องการไปจองห้องไว้ล่วงหน้าก่อนไหม เกรงว่าอีกสักครู่มันจะหมดนะ?”

โอหยางจวิ้นคิดๆดูแล้ว ก็พยักหน้า แล้วพาสือจินหว่านไปยังแผนกต้อนรับของโรงแรม

เป็นไปอย่างที่คิด ห้องแคบไปหน่อย ไม่มีห้องเอกซ์คูซีฟสูท เขาได้แต่จองห้องธรรมดาๆหนึ่งห้อง

และสือจินหว่านที่มองไปรอบๆอยู่ตลอด เมื่อเห็นอาหารที่น่าทานให้โบรชัวร์โรงแรม จึงรีบดึงโอหยางจวิ้นแล้วพูดว่า : “อาจวิ้น ฉันอยากกินปิ้งย่าง!”

“คุณครับ อาหารอยู่ชั้นไหนครับ?” โอหยางจวิ้นเอ่ยถาม

“ชั้น 2 ค่ะ” พนักงานต้อนรับกล่าว : “อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็จะเลิกแล้วค่ะ”

“อย่างนั้นเรารีบไปกันเถอะ!” สือจินหว่านดึงโอหยางจวิ้นวิ่งไปที่ลิฟต์

โรงแรมนี้เป็นโรงแรม 4 ดาว แต่รสชาติอาหารไม่เลวเลย

สือจินหว่านทานอย่างเอร็ดอร่อย เห็นโอหยางจวิ้นไม่ค่อยเห็นด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเอาเนื้อย่างส่งไปที่ปากโอหยางจวิ้น : “จวิ้นน้อย ฉันจะป้อนคุณ!”

โอหยางจวิ้นทำอะไรไม่ถูก : “หวันหว่าน ฉันไม่ทานอาหารตอนดึก”

“ทำไมรักษาหุ่นเหรอ?” สือจินหว่านพูดจาหลอกล่อ : “เอาน่า กินชิ้นหนึ่ง ไม่อ้วนหรอก! อีกอย่างถ้าอ้วนจริงๆฉันก็ไม่รังเกียจหรอก!”

โอหยางจวิ้นจนปัญญา ทำให้แค่กินไปหนึ่งชิ้น เพียงแต่สือจินหว่านป้อนอีกครั้ง เขาก็ไม่กินแล้ว

ด้วยเหตุนี้ของที่สั่งมาดูเหมือนจะถูกสือจินหว่านกินจนหมด เธอเช็ดปาก แล้วลูบท้องของตนเอง พูดอย่างเสียใจว่า : “ฉันจะอ้วนขึ้นไหมนะ?”

พูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นออดอ้อนโอหยางจวิ้น : “ถ้าฉันอ้วน คุณจะไม่ชอบฉันแล้วใช่ไหม?”

โอหยางจวิ้นก้มลงไปจุ๊บเธอหนึ่งที : “คุณจะเปลี่ยนจนกลายเป็นอย่างไรฉันก็จะชอบคุณ! อีกอย่าง ตอนเด็กๆคุณชอบกินจนพุงป่อง ยังไม่อ้วนเลยไม่ใช่เหรอ?”

สือจินหว่านนึกถึงตอนเด็กๆ เมื่อพวกเขาทานข้าวด้วยกัน ทุกๆครั้งเธอจะทานจนพุงพลุ้ย แต่เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด

เพราะเหตุนี้เธอจึงยื่นมือออกมา : “จวิ้นน้อย ฉันอยากจะลูบท้องของคุณหน่อยนะ!”

โอหยางจวิ้นเอียงตัวหลบ : “เด็กดี หวันหว่าน อย่าวุ่นวายสิ”

“ฉันจะดูพุงคุณหน่อยว่าเป็นอย่างไร!” สือจินหว่านพูดจบก็จู่โจมเข้ามา

“ไอหย๋า แข็งจังเลย เป็นกล้ามหน้าท้องหมดเลยเหรอ?” สือจินหว่านพูดจบ ก็ลูบขึ้นลูบลงไปมา

โอหยางจวิ้นถูกเธอยั่วจนเกือบจะทนไม่ไหว พูดด้วยลมหายใจติดขัดว่า : “พอแล้ว อย่าดื้อสิ”

สือจินหว่านเก็บมือกลับมา แล้วลูบๆท้องตนเองอีกที : “ฉันก็อยากจะมีกล้ามท้องบ้าง!”

“เด็กผู้หญิงจะมีกล้ามท้องไปทำไม?” โอหยางจวิ้นพูดว่า : “ตอนนี้คุณก็ดูดีมากๆแล้วนะ!”

“จริงเหรอ?” สือจินหว่านพูดจบ ก็จับมือของโอหยางจวิ้นมา : “คุณลูบดูสิ ดูเหมือนคนอ้วนไหม!”

สัมผัสบนมืออบอุ่นนุ่มนวล มันรู้สึกท้าทายความแน่วแน่ในจิตใจของเขาอย่างมาก โอหยางจวิ้นจึงนำมือกลับมา แล้วพูดเบาๆว่า : “ก็ดีนะ ฉันชอบอย่างนี้”

สือจินหว่านได้รับการยืนยัน ก็รู้สึกพอใจมาก เธอจึงดึงมือโอหยางจวิ้นขึ้นมา : “เราไปกันเถอะ!”

ทั้งสองคนเดินไปที่ลิฟต์ เดิมทีโอหยางจวิ้นต้องการจะกดไปที่ชั้นหนึ่ง แต่เขากลับจับพลัดจับผลูกดไปที่ชั้นของตัวเองซะอย่างนั้น

ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปชั้นบน ทั้งสองคนจึงได้สติกลับมา

สือจินหว่านเขินอายเล็กน้อย แต่ว่าเธอเชื่อมั่นในตัวของโอหยางจวิ้นมาตลอด ดังนั้นจึงไม่คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อถึงชั้นบน โอหยางจวิ้นก็ลังเลอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดก็ยังพาสือจินหว่านไปที่ห้องของเขา

สือจินหว่านเดินเข้าไป เห็นว่ามีเตียงสองเตียง ด้วยเหตุนี้จึงเดินไปที่หน้าประตูทางด้านนั้น แล้วบิดขี้เกียจ : “กินอิ่มแล้วก็ไม่อยากขยับเลย!”

“อย่างนั้นคืนนี้ก็นอนที่นี่ไหม?” โอหยางจวิ้นหลุดพูดออกมา : “ถึงอย่างไรก็มีตั้งสองเตียง”

สือจินหว่านคิดๆดูเล็กน้อย : “ก็ได้ พรุ่งนี้คุณจะได้ไม่ต้องไปรับฉัน!”

พูดจบ เธอก็นอนกลิ้งเล่นอยู่บนเตียง

โอหยางจวิ้นเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกว่าลมหายใจของตนเองแปรปรวนขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงพูดว่า : “หวันหว่าน ฉันจะไปอาบน้ำก่อนนะ!”

“อืม โอเค!” สือจินหว่านตอบกลับ : “คุณอาบเสร็จแล้วฉันจะได้ไปอาบบ้าง!”

ในห้องน้ำ โอหยางจวิ้นนึกถึงสือจินหว่านที่อยู่ข้างๆกาย ไฟในหัวใจก็ระงับไว้ไม่อยู่

เป็นเวลานาน จึงอาศัยน้ำเย็นๆเพื่อทำให้ตนเองได้สติ จากนั้นก็สวมชุดคลุมอาบน้ำของโรงแรมเดินออกมา : “หวันหว่าน คุณไปอาบน้ำเถอะ!”

“อืม” สือจินหว่านพยักหน้า แล้วกระโดดโลดเต้นเข้าห้องน้ำไป

ที่ด้านนอก เมื่อโอหยางจวิ้นได้ยินเสียงน้ำไหล เลือดลมก็สูบฉีดขึ้นมาอีกครั้ง

เขาจำใจเปิดทีวี เพื่อต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตนเอง

แต่เดิมทีสือจินหว่านไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เธออาบน้ำเสร็จ ก็เป่าผมให้แห้ง แล้วสวมชุดคลุมอาบน้ำเดินออกมา เดินไปด้วยหาวไปด้วย

ตั้งแต่เธอเดินออกมา ทั้งร่างกายจิตใจของโอหยางจวิ้นก็ถูกดึงดูดความสนใจเข้าไปที่เธอ

ดังนั้น ในทีวีแสดงอะไร เขาก็ไม่รับรู้อีก

“ว้าว นี่คือหนังสยองขวัญที่ออกฉายเมื่อปีที่แล้ว!” สือจินหว่านกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า: “ในตอนนั้นฉันยังอยากดูเลย แต่ยังไม่ได้เตรียมตัวสอบให้พร้อม คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ดู!”

โอหยางจวิ้นฟังถึงตรงนี้แล้ว ก็ถามเธอว่า: “หวันหว่าน สามปีมานี้ คุณเคยทำอะไรบ้าง เล่าให้ฉันฟังอย่างละเอียดได้ไหม?”

เธอพยักหน้า: “จริงๆแล้ว สามปีมานี้ฉันก็เรียบง่ายอย่างมาก โรงเรียนมัธยมในประเทศอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนัก ดังนั้นปกติฉันก็จะเรียน มีเพียงสุดสัปดาห์ที่ได้ออกไปเที่ยวกับเพื่อนเป็นบางครั้ง……”

“เพียงแต่ ฉันเข้าร่วมวงดนตรีภายในประเทศ ฉันก็มีแฟนคลับไม่น้อย!” เธอกล่าวต่อไปว่า: “จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง…….”

สือจินหว่านนั่งเล่าอยู่ที่หัวเตียง โอหยางจวิ้นก็กำลังฟังเธออยู่ที่เตียงอีกเตียงหนึ่งซึ่งห่างจากเธอ2เมตร

เวลาผ่านไปทีละน้อยๆ จนกระทั่ง——

“กรี๊ด!” สือจินหว่านเห็นฉากนองเลือดในภาพยนตร์ จึงส่งเสียงกรีดร้องออกมา กำลังจะไปหาโอหยางจวิ้นเพื่อความรู้สึกปลอดภัย เขาก็กระโดดเข้ามา แล้วกล่าวถามอย่างเป็นกังวลว่า: “หวันหว่าน เป็นอะไร”

สือจินหว่านโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขา: “เมื่อกี้ฉากนั้นน่ากลัวจัง!”

“ห๊ะ?” โอหยางจวิ้นพบว่า คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ได้ดูโดยสิ้นเชิงว่าในทีวีแสดงอะไร

เขาจับไหล่ของสือจินหว่าน แล้วก้มหน้ามองเธอ: “เรื่องหลอกลวงทั้งนั้น ทำไมถึงยังกลัวอีก?”

เธอถูไถไปมาที่หน้าอกของเขา: “ก็คนมันกลัวนี่!”

โอหยางจวิ้นถูกสือจินหว่านถูไถจนใจเต้นอย่างมาก จึงค่อยๆกล่าวว่า: “งั้นพวกเราไม่ดูแล้วโอเคไหม?”

เธอเบ้ปาก: “ไม่เอา! ฉากนั้นในหนังฉันอยากดูมาโดยตลอด คาดว่าใกล้จะถึงแล้ว!”

เขารู้สึกจนใจ: “กลัวแล้วยังอยากดูอีก ไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าสาวน้อยอย่างพวกคุณกำลังคิดอะไรอยู่?”

“สาวน้อยอย่างพวกเรา?” สือจินหว่านชำเลืองมอง: “อาจวิ้น สารภาพมาซะดีๆว่า คุณยังรู้จักสาวน้อยที่ไหนอีก?!”

เพียงโอหยางจวิ้นได้ยิน ก็รีบกล่าวเพื่อล้างมลทินว่า: “แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีคนอื่น มีแค่คุณคนเดียว”

“จริงเหรอ?” เธอกะพริบตา

“จริงสิ ฉันชอบคุณเพียงคนเดียว!” โอหยางจวิ้นจ้องมองดวงตาของเธอแล้วกล่าว

“จวิ้นน้อย คุณดีจริงๆเลย!” สือจินหว่านพูดพลาง คล้องคอของโอหยางจวิ้นเอาไว้ แล้วเข้าไปใกล้: “ให้รางวัลคุณด้วยการจุ๊บหนึ่งที!”

เธอเงยหน้าขึ้น แล้วจูบเขาหนึ่งที

แต่เขากลับถูกจูบแบบนี้ยั่วเย้าให้สะเทือนอารมณ์ ชั่วพริบตา ก็รู้สึกว่าความอ่อนโยนในอ้อมกอดยิ่งรุนแรงขึ้น และกลืนกินความยับยั้งชั่งใจทั้งหมดของเขาไปในทุกๆนาที

โอหยางจวิ้นกลืนน้ำลายเล็กน้อย แล้วจ้องมองริมฝีปากของสือจินหว่านที่อยู่ในอ้อมกอด คล้ายกับถูกมอมเมา จึงเข้าไปใกล้ทีละน้อยๆ

เธอก็กำลังมองเขาอยู่ ไม่ขยับเขยื้อน ในดวงตาอันกลมโตล้วนเป็นเงาของเขา

หัวใจของเขาเต้นเร็วมาก คล้ายกับจะกระโดดออกมาจากลำคอ ในสมองก็ว่างเปล่าไปในชั่วพริบตา

ในใจของเขามีเพียงความคิดคลุมเครือ ที่จะอยู่ด้วยกันกับเธอ!

ด้วยเหตุนี้ ริมฝีปากของเธออยู่ห่างจากเขาเพียงสองเซนติเมตร เขาจึงก้มหน้าลง แล้วทำให้ระยะห่างสองเซนติเมตรกลายเป็นศูนย์

“จวิ้น——” ในความไม่ชัดเจนสือจินหว่านสังเกตได้ถึงความผิดปกติ แต่เมื่อเอ่ยปากก็ถูกโอหยางจวิ้นใช้โอกาสนี้เพื่อเปิดฟันของเธอ

เขารุกล้ำเข้าไป ไม่เหมือนกับวันอื่นๆ จูบในวันนี้คล้ายกับจะแฝงไปด้วยความอันตรายและความเร่าร้อน ทำให้สือมูเฉินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยโดยไม่มีสาเหตุ

ในทีวี มีเสียงกรีดร้องของคน สือจินหว่านจึงคว้าชุดคลุมอาบน้ำของโอหยางจวิ้นเอาไว้แน่น แล้วอิงเข้าไปในอ้อมกอดของเขา

เขาโอบกอดเธอเอาไว้แน่นทันที ไหล่ของเขากว้างมาก หน้าอกก็กว้าง แทบจะห่อหุ้มร่างกายของเธอเอาไว้ทั้งหมด

เขาจูบเธออย่างไม่สนใจ เสียงจูบ เสียงลมหายใจของพวกเขา กับเสียงในทีวี คาดไม่ถึงว่าจะกลมกลืนเข้าด้วยกัน

สือจินหว่านรู้สึกว่าตัวเบา จากนั้น ก็ถูกโอหยางจวิ้นอุ้มขึ้นมาบนขาของเขา

เขายังคงจับเธอเอาไว้แน่น นิ้วมือสอดผ่านผมของเธอ ห่อหุ้มทุกพื้นที่ของเธอเอาไว้ คล้ายกับต้องการทำให้เธอจมดิ่งอยู่ในโลกของเขา

เลือดของเธอเริ่มอุ่นขึ้นทีละน้อยๆ แต่สติที่ยังคงเหลืออยู่ก็แฝงไปด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย ดังนั้น จึงบิดตัวเล็กน้อย

แต่อารมณ์ความรู้สึกหมกมุ่นของโอหยางจวิ้นบีบบังคับโดยตรง เขากอดเธอ นำเธอวางลง และร่างกายของเขาก็กดทับลงมา

ระยะห่างแทบจะเป็นศูนย์ สือจินหว่านรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า ในชุดคลุมอาบน้ำของเขามีสิ่งที่แข็งคล้ายโลหะชนอยู่บนขาของเธอ ทำให้ไม่สามารถไม่สนใจได้

ในความคลุมเครือ เธอก็เข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเองสับสนวุ่นวาย

หลังจากแต่งงานแล้ว ทุกคนล้วนทำแบบนี้ แต่เหมือนกับว่า เธอยังไม่ทันได้เตรียมใจ

แต่ทว่า มือของเขาได้เข้าไปในชุดนอนของเธอแล้ว ฝ่ามือที่ร้อนผ่าวเคลื่อนไปบนตัวเธอ นวดส่วนโค้งเว้าของเธอ อันตรายอย่างมาก แล้วก็เย้ายวนใจอย่างมาก

จูบของโอหยางจวิ้น เริ่มเคลื่อนลงมาตามริมฝีปากของสือจินหว่าน จนกระทั่ง ชุดนอนของเธอถูกเปิดออก เขาได้เห็นทั้งหมดของเธอ ที่งดงามจนตรึงตราเขา

แต่เสียงเรียกเบาๆ ก็ดังขึ้นข้างๆหู: “อาจวิ้น——”

แฝงไปด้วยความไม่สบายใจ หางเสียงของเธอจึงสั่นเล็กน้อย

โอหยางจวิ้นรู้สึกคล้ายกับว่ามีอ่างน้ำแข็งราดรดลงมาบนศีรษะของเขา ในชั่วพริบตา ก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง!

เขาหอบเหนื่อยแล้วมองหญิงสาวที่อยู่ภายใต้ร่างกาย รู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังจนปัญญาที่จะควบคุมอารมณ์ได้

“หวันหว่าน ฉัน——” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ: “ทำให้คุณตกใจใช่ไหม?”

มือของเธอกำผ้าปูเตียงเอาไว้ แม้แต่สาวที่ปกติแล้วมีความกล้าหาญ เวลานี้ก็เขินอายจนหน้าแดงไปหมด: “ฉันแค่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร…..”

เขามองเธออย่างสงสาร: “หวันหว่าน ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าหากคุณไม่เต็มใจ ฉันก็จะไม่ทำร้ายคุณ!” เขาพูดพลางโน้มตัวลงมา แล้วนำเธอโอบกอดเอาไว้ในอ้อมกอด

สือจินหว่านรู้สึกว่าโอหยางจวิ้นนั้นตัวสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีท่าทางที่พยายามอดทนเอาไว้ ส่วนเธอก็กลั้นหายใจและไม่กล้าแม้แต่จะขยับ

อันที่จริงแล้ว ในใจของเธอก็รู้สับสนเช่นกัน

เธอรู้สึกสงสารเขา เพราะรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานั้นเขาต้องทนลำบากมามากแค่ไหน แต่เธอยังคงเตรียมตัวไม่พร้อมจริงๆ

ดังนั้น เธอก็เลยไม่กล้าพูด แล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จึงทำได้เพียงเชื่อฟังและอยู่ในอ้อมกอดของเขา และรู้สึกถึงพลังของเขาที่ส่งถึงผิวของเธอ

ผ่านไปสักพัก โอหยางจวิ้นถึงได้ปล่อยสือจินหว่าน

บนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ : “ หวันหว่าน อาจะส่งเธอกลับหอเอง ”

เธอก็เงยหน้าขึ้นความแปลกใจมากๆ

เขาช่วยเธอปิดชุดนอนที่เปิดอ้าเอาไว้ แล้วก็ฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ : “ ถ้าเกิดว่าเธออยู่ที่นี่ คืนนี้อาก็คงจะทนไม่ไหวแน่ๆ !”

คำพูดที่โจ่งแจ้งเป็นพิเศษของเขา มันทำให้หัวใจของเธอนั้นเต้นรุนแรง

“ ออ โอเคค่ะ ” สือจินหว่านรีบดึงเสื้อผ้าของเธอขึ้นมาแล้วก็กระโดดลงจากเตียงทันที

เธอก็หยิบเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไปก่อนหน้าขึ้นมา แล้วก็รีบเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับพูดว่า : “ ถ้างั้นฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ !”

“ โอเค ” โอหยางจวิ้นบังคับตัวเองให้ละสายตาจากสือจินหว่าน แล้วก็หายใจเข้าลึกๆอยู่หลายครั้ง

ในห้องน้ำนั้น สือจินหว่านที่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาก็พบว่าลืมเธอหยิบเสื้อชั้นในมา

เธอจึงทำได้เพียงสวมเสื้อคลุมอาบน้ำและวิ่งออกไปอีกครั้งเพื่อหาเสื้อผ้าชั้นในของตัวเองที่อยู่บนเตียง

เธอวิ่งออกมาด้วยความรีบร้อนเล็กน้อย จึงไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่นิดว่าโอหยางจวิ้นนั้นกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ด้านนอก

และเมื่อเธอวิ่งไปถึงข้างเตียง เขาก็ถอดจนเปลือยกายหมดแล้วพอดี

ดวงตาของสือจินหว่านก็กว้างในทันที และเธอก็กำลังตะลึงกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า

ถึงแม้ว่าเมื่อกี้พวกเขาจะสนิทชิดเชื้อกันไปกันขนาดนั้นแล้ว แต่อันที่จริงเธอแทบจะหลับตาอยู่ตลอด หรือไม่ก็เห็นเพียงแค่ร่างกายส่วนบนของโอหยางจวิ้นเท่านั้น

ในเวลานี้ เขาก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไว้แล้ว และเธอก็เห็นเขาหมดแล้ว !

รูปร่างที่สูงใหญ่ หุ่นสามเหลี่ยมกลับหัวที่สวยงาม แล้วก็ยังมีลายเส้นกล้ามเนื้อที่สัดส่วน ทั้งร่างกายเป็นสัดส่วนทองคำ ซึ่งไม่มีไขมันเลยแม้แต่นิด มันจึงทำให้เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงความรู้สึกที่เธอลูบกล้ามท้องของเขาในร้านอาหาร……

ทั้งสองต่างก็ตกตะลึงจนลืมที่จะมีท่าทีโต้ตอบ

หัวใจของสือจินหว่านเต้นเร็วมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะวางมือยังไงดี และเขาของเธอก็ดูเหมือนจะถูกตะปูตอกเอาไว้

ทั้งๆที่มันควรจะวิ่ง แต่เธอกลับมองอยู่ตลอดโดยที่ไม่ละสายตาเลย จนกระทั่ง——

เธอเห็นอย่างชัดเจนว่า โอหยางจวิ้นเริ่มมีบริเวณบางจุดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ยื่นตรงขึ้นและชี้ไปทางเธอ……

เธอก็ร้อง‘อ๊า’ขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกตัวขึ้นได้และโบกไม้โบกมือ : “ อาจวิ้น ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ! ฉันมาหยิบของ ! ฉันลืม……”

ในขณะที่พูดนั้น เธอก้มลงไปที่เตียงด้วยความลนลานรื้อหาเสื้อผ้าชั้นในออกมา แล้วก็ชูขึ้นมาให้เขาดู : “ อันนี้ !”

เธอไม่รู้ว่า เขาใช้จิตใจที่แน่วแน่ไปมากแค่ไหนเขาถึงได้กลับไปยืนในที่เดิม และเขาต้องใช้จิตใจที่แน่วแน่มากอีกครั้ง ถึงจะมองมายังเสื้อผ้าชั้นในที่เธอชูขึ้นมา แล้วก็ยังคงพูดว่า : “ เด็กดี รีบไปเปลี่ยนเร็ว ”

เมื่อกี้ตอนที่เธอชูเสื้อชั้นในขึ้นมา เขาก็นึกถึงสัมผัสของฝ่ามือที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่นของก่อนหน้านี้ที่อยู่บนเตียง และมันก็ค่อยๆเขมือบกินจิตใจที่แน่วแน่ในปกติของเขาไปทีละนิด

เมื่อได้ยินที่โอหยางจวิ้นพูด สือจินหว่านก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังชูเสื้อชั้นในให้เขาดู ทันใดนั้น หน้าของเธอก็ยิ่งแดงมากขึ้น

เธอคว้าเสื้อผ้าแล้วก็หันหลังวิ่งไป โดยไม่เห็นว่าประตูกระจกของห้องน้ำนั้นปิดอยู่ มันเลยทำให้เธอชนเข้ากับมัน แล้วมีเสียงอู้อี้ขึ้นมา

“ หวันหว่าน เป็นอะไรหรือเปล่า ?” เมื่อโอหยางจวิ้นได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็รีบวิ่งไปดู

“ ไม่เป็นไรค่ะ !” แม้ว่าหน้าผากของสือจินหว่านจะเจ็บ แต่ถึงอย่างไรเธอก็รีบลุกขึ้นมาเปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็เข้าไปในม่านที่อยู่ด้านหลัง

ในตอนที่สวมเสื้อผ้านั้น มือของเธอก็สั่นเล็กน้อย

ผ่านไปสักพักกว่าจะสวมเสื้อผ้าเสร็จ แต่ถึงอย่างไรแก้มที่แดงก่ำก็ยังคงเช็คไม่ออก

พอเดินถึงประตู เธอก็ถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา : “ อาจวิ้น เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วหรือยังคะ ?”

โอหยางจวิ้นก็เอ่ยปากพูดว่า : “ อื้ม เสร็จแล้ว ”

เมื่อสือจินหว่านออกไปก็เห็นว่าโอหยางจวิ้นนั้นกลับมาสวมชุดเมื่อกี้นี้แล้ว เธอก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

เธอนับได้ว่าเข้าใจแล้ว ที่แท้เวลาที่ผู้ชายและผู้หญิงอยู่ในห้องเดียวกัน มันเป็นแบบนี้นี่เอง…..

“ หวันหว่าน เธอลองดูซิว่าหยิบของครบแล้วหรือยัง ?” โอหยางจวิ้นพูด : “ อาส่งเธอกลับหอ พรุ่งนี้เช้าเจ็ดโมงอาค่อยไปรับเธอมากินข้าวเช้านะ ”

เธอพยักหน้า : “ อื้ม ฉันเอามาแค่โทรศัพท์ ส่วนของอย่างอยู่บนรถของอา พวกเราไปกันดีกว่า !”

โอหยางจวิ้นก็หยิบกุญแจขึ้นมา ดึงคีย์การ์ดออกมา แล้วกำลังจูงสือจินหว่านออกไป แต่ทว่าเมื่อมือของเขาเพิ่งจับไปที่ลูกบิดประตู เขาก็หยุดลง

เป็นเพราะว่าดึงคีย์การ์ดออก ก็ทำให้ภายในห้องมืดลงทันที แต่ทว่าความรู้สึกที่สัมผัสของมืออีกข้างที่จูงมือของสาวน้อยเอาไว้นั้นมันก็ชัดเจนขึ้นมาในทันที

โอหยางจวิ้นก็ได้ปล่อยมือจากลูกบิดประตู จากนั้นก็ล็อคไปที่เอวของสือจินหว่านแล้วก็ก้มลงไปจูบทันที

เธอไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นฝีเท้าก็ถอยไปด้านหลัง และเธอก็ถูกเขาชนเข้ากับประตู

เขาดูเหมือนกับไฟที่จูบเธอ เสียงที่คลุมเครือก็ระเบิดขึ้นภายในห้องที่มืดมิด และทำให้ภายในห้องมีอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นอีกครั้ง

เป็นเพราะฤดูร้อน ทั้งสองคนจึงสวมเสื้อผ้าที่บางมาก สือจินหว่านก็รู้สึกถึงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งของโอหยางจวิ้น และเธอก็รู้สึกว่าแนวต้านที่อยู่ภายในใจของตัวเองมันได้เริ่มพังทลายลงแล้ว

เขาต้องไม่สบายมากๆแน่เลย ? ในเมื่ออีกไม่นานเธอก็ต้องแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นก็ให้เขาวันนี้แล้วกัน…..

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ในใจของเธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น หัวใจของเธอเต้นตึกตึกตึก/ตึกตักกระแทกกับทรวงอกของเธอ และเลือดในตัวก็พุ่งขึ้นไปยังสมอง ทำให้รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย

แต่ถึงอย่างไร เขาก็ปิดริมฝีปากของเธอไว้ตลอด มันทำให้เธอไม่สามารถส่งเสียงได้ ดังนั้นก็เลยไม่มีวิธีเธอจะแสดงจุดยืนของตัวเองได้

ในที่สุด ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกว่าที่โอหยางจวิ้นจะปล่อยสือจินหว่าน

เธอก็ได้ปลุกความกล้าของเธอขึ้นมาและเอ่ยปากพูดกับเขาว่า : “ จวิ้น——”

“ หวันหว่าน พวกเราไปกันเถอะ !” ในขณะที่โอหยางจวิ้นพูดนั้น เขาก็เปิดประตูด้วยความเด็ดขาด

สือจินหว่านก็ถึงกลับตกตะลึง เขา……

เขากลับไม่รู้ความคิดเมื่อกี้ของเธอเลย แล้วก็ดึงเธอเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว

ร่างกายที่เปลี่ยนไปนั้น ยังไม่คืนกลับสภาพโดยสมบูรณ์ โอหยางจวิ้นพิงไปที่ระเบียงทางเดินแล้วก็เงยหน้าขึ้นเพื่อสงบสติอารมณ์สักแป๊บ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับสือจินหว่านว่า : “ หวันหว่าน พวกเราแต่งงานให้เร็วเถอะนะ !”

เธอกัดริมฝีปาก : “ ค่ะ ”

ทั้งสองคนจึงออกจากโรงแรมด้วยกัน และโอหยางจวิ้นก็ได้ไปส่งสือจินหว่านที่ประตูทางเข้าหอพัก

เธอกำลังจะเปิดประตูรถ แต่จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ ดังนั้นก็เลยเอนตัวเข้าไปใกล้เขา จากนั้นก็จูบไปบนแก้มของเขา และกระพริบตาปริบๆพร้อมกับพูดว่า : “ จวิ้นน้อย ราตีสวัสดิ์นะ !”

“ ราตีสวัสดิ์ หวันหว่าน ”โอหยางจวิ้นก็ยื่นไปลูบผมของสือจินหว่านพร้อมกับพูดว่า : “ เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ !”

“ ค่ะ เจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะ !” สือจินหว่านยิ้มให้เขา จากนั้นก็เปิดประตูรถแล้วก็จากไป

เธอเพิ่งจะวิ่งไปถึงระเบียงทางเดิน ก็เห็นว่าหยานโม่หานที่ยืนพิงอยู่ตรงระเบียง และเงาของเธอก็ตกอยู่บนตัวบนของเขา ทำให้เงาของเขาจางลงอย่างเห็นได้ชัด

“ โม่หาน แกมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ?” เธอก็ถาม

“ ผมคิดว่าคืนนี้พี่จะไม่กลับมาแล้วสักอีก ” หยานโม่หานพูด

สือจินหว่านก็เข้าใจความหมายของเขาในทันที และหน้าก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย : “ ไม่มีทาง พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกันเลย และพี่ก็ต้องกลับมาที่หอพักทุกวันอย่างแน่นอน……”

เมื่อเธอพูดจบแล้วก็กำลังจะเดินไปที่ห้องตัวเอง ก็เห็นว่าหยานโม่หานยังคงไม่ขยับ ดังนั้นก็เลยพูดอีกว่า : “ โม่หาน ดึกขนาดนี้แล้ว แกยังไม่นอนหรอ ?”

เขาหันไปมองเธอ แต่ในดวงตาที่สวยงามกลับมีเงามืดของอาคารบ้านเรือน : “ อืม ตอนนี้ก็คงนอนได้แล้ว ”

เมื่อพูดจบ เขาก็ยืนตัวตรงและพูดกับเธอว่า : “ ราตีสวัสดิ์นะ พี่หวันหว่าน ” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินกลับไปห้องตัวเอง

ในใจของสือจินหว่านรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอรู้ความหมายของหยานโม่หาน แต่…..

เธอก็ถอดหายใจเล็กน้อย และเธอก็รีบเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

เพิ่งจะเข้าไปถึง โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมาในทันที สือจินหว่านก็หยิบออกมาดู และเห็นว่าเป็นหยานโม่หานที่ส่งข้อความมา : “ พี่หวันหว่าน พี่สบายใจได้เลย เรื่องของพวกพี่ ผมไม่ไปบอกพ่อบุญธรรมหรอก แต่ถึงอย่างไรก็หวังว่าพวกพี่จะเป็นฝ่ายไปพูดด้วยตัวเองนะ ”

สือจินหว่านก็ตอบกลับไปว่า : “ อื้ม พวกเราได้วางแผนเอาไว้แล้ว เขาจะเป็นคนบอกกับพ่อแม่ฉันเอง และฉันก็ยื่นสมัครเรียนที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยก็สามารถที่จะแต่งงานได้ บางทีพวกเราก็อาจจะแต่งงานให้เร็วขึ้น ”

ณ ห้องข้างๆ หยานโม่หานที่เห็นว่าสือจินหว่านนั้นพูดถึงเรื่องแต่งงาน มือที่ถือโทรศัพท์จู่ๆก็สั่นขึ้นมาในทันที ผ่านไปสักพัก เขาก็ตอบกลับไปว่า : “ โอเค ขอให้พวกพี่มีความสุขนะ ”

“ ขอบคุณนายนะ โม่หาน ” สือจินหว่านก็ตอบกลับไป : “ ราตีสวัสดิ์ ”

ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ยังคงติดค้างกับการให้คำตอบเขาอยู่ แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ให้เขาไม่ได้อยู่ดี

เธอก็พยายามระงับความรู้สึกผิดนี้เอาไว้ จากนั้นสือจินหว่านที่กำลังนั่งอ่านหนังสือบนเตียงอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ได้สั่นขึ้นมาอีกครั้ง

เธอก็หยิบขึ้นมา และเห็นว่าเป็นโอหยางจวิ้นที่เป็นคนส่งมา : “ หวันหว่าน อาถึงโรงแรมแล้วนะ ”

เธอก็ยิ้มมุมปาก : “ โอเค หลับเช้าหน่อยนะจวิ้นน้อย !”

“ โอเค ” เขาก็ส่งสติ๊กเกอร์ที่พยักหน้ามา

เธอเห็นว่าบนหน้าจอนั้นมันขึ้นมาอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ ดังนั้นเธอก็เลยรอให้เขาส่งข้อความมา

แต่ทว่า ผ่านไปสักพัก เขาก็ยังไม่ส่งมา

ดังนั้นสือจินหว่านก็เลยถาม : “ มีอะไรที่อยากจะพูดกับฉันหรือเปล่าคะ ?”

ในขณะนี้ โอหยางจวิ้นก็ได้ลบข้อความที่พิมพ์ไว้ก่อนหน้านี้ออก แล้วก็พิมพ์ตอบกลับไปอย่างง่ายมากๆว่า : “ อื้ม อาพบว่า อาคิดถึงเธออีกแล้ว ”

ในขณะนี้ เขากำลังนั่งอยู่บนหัวเตียง มองดูเตียงที่เธอเพิ่งนอน ความต้องการในสมองของเขาเปลี่ยนไปอย่างบ้าคลั่ง โดยที่มันไม่สามารถที่จะควบคุมได้เลย

โทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็มีเสียงดังขึ้นมา เขาก็ก้มลงมองและเห็นเพียงแค่ที่เธอส่งมาว่า : “ ฉันก็คิดถึงอาเหมือนกัน ”

โอหยางจวิ้นก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาในทันที : “ หวันหว่าน อารักเธอนะ ”

อีกด้าน เมื่อเธอเห็นคำพูดของเขา หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะ และเธอก็ตอบกลับไปว่า : “ เหมือนกัน ”

ตอนเริ่มทั้งสองคนยังพิมพ์อยู่ แต่พอผ่านไปสักพัก สือจินหว่านก็เริ่มส่งความเสียง ท้ายที่สุดก็คุยโทรศัพท์

จนกระทั่ง หลังเที่ยงคืน โอหยางจวิ้นก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “ หวันหว่าน เธอควรนอนได้แล้วนะ ! อาจะวางสายแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ !”

เธอตอบกลับ : “ โอเค อย่าลืมฝันถึงฉันนะ ”

ทั้งสองคนก็วางสายและในที่สุดถึงได้นอนหลับ

ในเช้าวันที่สอง สือจินหว่านก็ลุกขึ้นมาแต่งตัว แล้วก็เลือกกระโปรงสวยๆมาหนึ่งตัว และเดินออกไปด้วยความดีอกดีใจ

พอดีกับที่สือมูสือกลับมาจากออกกำลังกายตอนเช้า เมื่อเห็นเธอก็เลยพูดว่า : “ หวันหว่าน ไปกินข้าวหรอ ? โม่หานล่ะ ?”

สือจินหว่านก็รู้สึกหนักใจ และรีบพูดว่า : “ โม่หานยังเตรียมตัวไม่เสร็จค่ะ หนูไปออกไปกินข้าวแล้วเดี๋ยวจะเอากลับมาให้เขาค่ะ ”

สือมูเฉินพยักหน้า : “ วันนี้กระโปรงสวยมากเลยนะ !”

“ ขอบคุณค่ะพ่อ !” สือจินหว่านก็ยิ้มอย่างน่ารัก

ในขณะที่เธอยังคงเดินออกไปต่อ สือมูเฉินก็เดินเข้าไปด้านใน

สือจินหว่านก็มาถึงถนนใหญ่ มองไปแต่ไกลก็เห็นรถของโอหยางจวิ้น เธอก็เปิดประตูเข้าไปลับๆล่อๆแล้วก็พูดว่า : “ เมื่อกี้เจอเข้ากับพ่อ ! จอเห่แน่ ยังไงอีกไม่นานเขาก็ต้องรู้ !”

โอหยางจวิ้นพูด : “ หวันหว่าน เมื่อคืนอาคิดมาแล้วว่าเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องสารภาพให้เขารู้ก่อน ดังนั้นในสัปดาห์นี้ก็เป็นแบบนี้ไปก่อน สุดสัปดาห์หน้า พวกเราหาโอกาสไปคุยกับเขาให้มันชัดเจนกัน !”

“ สุดสัปดาห์หน้า ?” สือจินหว่านก็พูดความกังวลใจ : “ มันจะเร็วไปหรือเปล่า ? ยังมีแม่ที่อยู่ประเทศจีนอีกนะ !”

“ เพราะตอนนี้เขาอยู่ที่นี่ ตราบใดที่อาจะเจอเธอ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเจอเข้ากับเขา ดังนั้น……” โอหยางจวิ้นพูด : “ หวันหว่าน เธออย่ากังวลใจไปเลย อาจะเป็นคนสารภาพเอง ! สุดสัปดาห์หน้า อาจะคุยกับเขาให้ชัดเจนเอง ถ้าเขาเห็นด้วย พวกเราก็จัดเตรียมงานหมั้นเลย !”

สือจินหว่านรู้สึกว่าโอหยางจวิ้นนั้นตัวสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีท่าทางที่พยายามอดทนเอาไว้ ส่วนเธอก็กลั้นหายใจและไม่กล้าแม้แต่จะขยับ

อันที่จริงแล้ว ในใจของเธอก็รู้สับสนเช่นกัน

เธอรู้สึกสงสารเขา เพราะรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานั้นเขาต้องทนลำบากมามากแค่ไหน แต่เธอยังคงเตรียมตัวไม่พร้อมจริงๆ

ดังนั้น เธอก็เลยไม่กล้าพูด แล้วก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จึงทำได้เพียงเชื่อฟังและอยู่ในอ้อมกอดของเขา และรู้สึกถึงพลังของเขาที่ส่งถึงผิวของเธอ

ผ่านไปสักพัก โอหยางจวิ้นถึงได้ปล่อยสือจินหว่าน

บนหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ : “ หวันหว่าน อาจะส่งเธอกลับหอเอง ”

เธอก็เงยหน้าขึ้นความแปลกใจมากๆ

เขาช่วยเธอปิดชุดนอนที่เปิดอ้าเอาไว้ แล้วก็ฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ : “ ถ้าเกิดว่าเธออยู่ที่นี่ คืนนี้อาก็คงจะทนไม่ไหวแน่ๆ !”

คำพูดที่โจ่งแจ้งเป็นพิเศษของเขา มันทำให้หัวใจของเธอนั้นเต้นรุนแรง

“ ออ โอเคค่ะ ” สือจินหว่านรีบดึงเสื้อผ้าของเธอขึ้นมาแล้วก็กระโดดลงจากเตียงทันที

เธอก็หยิบเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไปก่อนหน้าขึ้นมา แล้วก็รีบเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับพูดว่า : “ ถ้างั้นฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ !”

“ โอเค ” โอหยางจวิ้นบังคับตัวเองให้ละสายตาจากสือจินหว่าน แล้วก็หายใจเข้าลึกๆอยู่หลายครั้ง

ในห้องน้ำนั้น สือจินหว่านที่หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาก็พบว่าลืมเธอหยิบเสื้อชั้นในมา

เธอจึงทำได้เพียงสวมเสื้อคลุมอาบน้ำและวิ่งออกไปอีกครั้งเพื่อหาเสื้อผ้าชั้นในของตัวเองที่อยู่บนเตียง

เธอวิ่งออกมาด้วยความรีบร้อนเล็กน้อย จึงไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่นิดว่าโอหยางจวิ้นนั้นกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ด้านนอก

และเมื่อเธอวิ่งไปถึงข้างเตียง เขาก็ถอดจนเปลือยกายหมดแล้วพอดี

ดวงตาของสือจินหว่านก็กว้างในทันที และเธอก็กำลังตะลึงกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า

ถึงแม้ว่าเมื่อกี้พวกเขาจะสนิทชิดเชื้อกันไปกันขนาดนั้นแล้ว แต่อันที่จริงเธอแทบจะหลับตาอยู่ตลอด หรือไม่ก็เห็นเพียงแค่ร่างกายส่วนบนของโอหยางจวิ้นเท่านั้น

ในเวลานี้ เขาก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไว้แล้ว และเธอก็เห็นเขาหมดแล้ว !

รูปร่างที่สูงใหญ่ หุ่นสามเหลี่ยมกลับหัวที่สวยงาม แล้วก็ยังมีลายเส้นกล้ามเนื้อที่สัดส่วน ทั้งร่างกายเป็นสัดส่วนทองคำ ซึ่งไม่มีไขมันเลยแม้แต่นิด มันจึงทำให้เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงความรู้สึกที่เธอลูบกล้ามท้องของเขาในร้านอาหาร……

ทั้งสองต่างก็ตกตะลึงจนลืมที่จะมีท่าทีโต้ตอบ

หัวใจของสือจินหว่านเต้นเร็วมาก แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะวางมือยังไงดี และเขาของเธอก็ดูเหมือนจะถูกตะปูตอกเอาไว้

ทั้งๆที่มันควรจะวิ่ง แต่เธอกลับมองอยู่ตลอดโดยที่ไม่ละสายตาเลย จนกระทั่ง——

เธอเห็นอย่างชัดเจนว่า โอหยางจวิ้นเริ่มมีบริเวณบางจุดที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ยื่นตรงขึ้นและชี้ไปทางเธอ……

เธอก็ร้อง‘อ๊า’ขึ้นมา ทันใดนั้นก็รู้สึกตัวขึ้นได้และโบกไม้โบกมือ : “ อาจวิ้น ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ! ฉันมาหยิบของ ! ฉันลืม……”

ในขณะที่พูดนั้น เธอก้มลงไปที่เตียงด้วยความลนลานรื้อหาเสื้อผ้าชั้นในออกมา แล้วก็ชูขึ้นมาให้เขาดู : “ อันนี้ !”

เธอไม่รู้ว่า เขาใช้จิตใจที่แน่วแน่ไปมากแค่ไหนเขาถึงได้กลับไปยืนในที่เดิม และเขาต้องใช้จิตใจที่แน่วแน่มากอีกครั้ง ถึงจะมองมายังเสื้อผ้าชั้นในที่เธอชูขึ้นมา แล้วก็ยังคงพูดว่า : “ เด็กดี รีบไปเปลี่ยนเร็ว ”

เมื่อกี้ตอนที่เธอชูเสื้อชั้นในขึ้นมา เขาก็นึกถึงสัมผัสของฝ่ามือที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่นของก่อนหน้านี้ที่อยู่บนเตียง และมันก็ค่อยๆเขมือบกินจิตใจที่แน่วแน่ในปกติของเขาไปทีละนิด

เมื่อได้ยินที่โอหยางจวิ้นพูด สือจินหว่านก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังชูเสื้อชั้นในให้เขาดู ทันใดนั้น หน้าของเธอก็ยิ่งแดงมากขึ้น

เธอคว้าเสื้อผ้าแล้วก็หันหลังวิ่งไป โดยไม่เห็นว่าประตูกระจกของห้องน้ำนั้นปิดอยู่ มันเลยทำให้เธอชนเข้ากับมัน แล้วมีเสียงอู้อี้ขึ้นมา

“ หวันหว่าน เป็นอะไรหรือเปล่า ?” เมื่อโอหยางจวิ้นได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็รีบวิ่งไปดู

“ ไม่เป็นไรค่ะ !” แม้ว่าหน้าผากของสือจินหว่านจะเจ็บ แต่ถึงอย่างไรเธอก็รีบลุกขึ้นมาเปิดประตูเข้าไป จากนั้นก็เข้าไปในม่านที่อยู่ด้านหลัง

ในตอนที่สวมเสื้อผ้านั้น มือของเธอก็สั่นเล็กน้อย

ผ่านไปสักพักกว่าจะสวมเสื้อผ้าเสร็จ แต่ถึงอย่างไรแก้มที่แดงก่ำก็ยังคงเช็คไม่ออก

พอเดินถึงประตู เธอก็ถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา : “ อาจวิ้น เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วหรือยังคะ ?”

โอหยางจวิ้นก็เอ่ยปากพูดว่า : “ อื้ม เสร็จแล้ว ”

เมื่อสือจินหว่านออกไปก็เห็นว่าโอหยางจวิ้นนั้นกลับมาสวมชุดเมื่อกี้นี้แล้ว เธอก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

เธอนับได้ว่าเข้าใจแล้ว ที่แท้เวลาที่ผู้ชายและผู้หญิงอยู่ในห้องเดียวกัน มันเป็นแบบนี้นี่เอง…..

“ หวันหว่าน เธอลองดูซิว่าหยิบของครบแล้วหรือยัง ?” โอหยางจวิ้นพูด : “ อาส่งเธอกลับหอ พรุ่งนี้เช้าเจ็ดโมงอาค่อยไปรับเธอมากินข้าวเช้านะ ”

เธอพยักหน้า : “ อื้ม ฉันเอามาแค่โทรศัพท์ ส่วนของอย่างอยู่บนรถของอา พวกเราไปกันดีกว่า !”

โอหยางจวิ้นก็หยิบกุญแจขึ้นมา ดึงคีย์การ์ดออกมา แล้วกำลังจูงสือจินหว่านออกไป แต่ทว่าเมื่อมือของเขาเพิ่งจับไปที่ลูกบิดประตู เขาก็หยุดลง

เป็นเพราะว่าดึงคีย์การ์ดออก ก็ทำให้ภายในห้องมืดลงทันที แต่ทว่าความรู้สึกที่สัมผัสของมืออีกข้างที่จูงมือของสาวน้อยเอาไว้นั้นมันก็ชัดเจนขึ้นมาในทันที

โอหยางจวิ้นก็ได้ปล่อยมือจากลูกบิดประตู จากนั้นก็ล็อคไปที่เอวของสือจินหว่านแล้วก็ก้มลงไปจูบทันที

เธอไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นฝีเท้าก็ถอยไปด้านหลัง และเธอก็ถูกเขาชนเข้ากับประตู

เขาดูเหมือนกับไฟที่จูบเธอ เสียงที่คลุมเครือก็ระเบิดขึ้นภายในห้องที่มืดมิด และทำให้ภายในห้องมีอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นอีกครั้ง

เป็นเพราะฤดูร้อน ทั้งสองคนจึงสวมเสื้อผ้าที่บางมาก สือจินหว่านก็รู้สึกถึงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งของโอหยางจวิ้น และเธอก็รู้สึกว่าแนวต้านที่อยู่ภายในใจของตัวเองมันได้เริ่มพังทลายลงแล้ว

เขาต้องไม่สบายมากๆแน่เลย ? ในเมื่ออีกไม่นานเธอก็ต้องแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นก็ให้เขาวันนี้แล้วกัน…..

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ในใจของเธอยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น หัวใจของเธอเต้นตึกตึกตึก/ตึกตักกระแทกกับทรวงอกของเธอ และเลือดในตัวก็พุ่งขึ้นไปยังสมอง ทำให้รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย

แต่ถึงอย่างไร เขาก็ปิดริมฝีปากของเธอไว้ตลอด มันทำให้เธอไม่สามารถส่งเสียงได้ ดังนั้นก็เลยไม่มีวิธีเธอจะแสดงจุดยืนของตัวเองได้

ในที่สุด ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนกว่าที่โอหยางจวิ้นจะปล่อยสือจินหว่าน

เธอก็ได้ปลุกความกล้าของเธอขึ้นมาและเอ่ยปากพูดกับเขาว่า : “ จวิ้น——”

“ หวันหว่าน พวกเราไปกันเถอะ !” ในขณะที่โอหยางจวิ้นพูดนั้น เขาก็เปิดประตูด้วยความเด็ดขาด

สือจินหว่านก็ถึงกลับตกตะลึง เขา……

เขากลับไม่รู้ความคิดเมื่อกี้ของเธอเลย แล้วก็ดึงเธอเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว

ร่างกายที่เปลี่ยนไปนั้น ยังไม่คืนกลับสภาพโดยสมบูรณ์ โอหยางจวิ้นพิงไปที่ระเบียงทางเดินแล้วก็เงยหน้าขึ้นเพื่อสงบสติอารมณ์สักแป๊บ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับสือจินหว่านว่า : “ หวันหว่าน พวกเราแต่งงานให้เร็วเถอะนะ !”

เธอกัดริมฝีปาก : “ ค่ะ ”

ทั้งสองคนจึงออกจากโรงแรมด้วยกัน และโอหยางจวิ้นก็ได้ไปส่งสือจินหว่านที่ประตูทางเข้าหอพัก

เธอกำลังจะเปิดประตูรถ แต่จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นได้ ดังนั้นก็เลยเอนตัวเข้าไปใกล้เขา จากนั้นก็จูบไปบนแก้มของเขา และกระพริบตาปริบๆพร้อมกับพูดว่า : “ จวิ้นน้อย ราตีสวัสดิ์นะ !”

“ ราตีสวัสดิ์ หวันหว่าน ”โอหยางจวิ้นก็ยื่นไปลูบผมของสือจินหว่านพร้อมกับพูดว่า : “ เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ !”

“ ค่ะ เจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะ !” สือจินหว่านยิ้มให้เขา จากนั้นก็เปิดประตูรถแล้วก็จากไป

เธอเพิ่งจะวิ่งไปถึงระเบียงทางเดิน ก็เห็นว่าหยานโม่หานที่ยืนพิงอยู่ตรงระเบียง และเงาของเธอก็ตกอยู่บนตัวบนของเขา ทำให้เงาของเขาจางลงอย่างเห็นได้ชัด

“ โม่หาน แกมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ?” เธอก็ถาม

“ ผมคิดว่าคืนนี้พี่จะไม่กลับมาแล้วสักอีก ” หยานโม่หานพูด

สือจินหว่านก็เข้าใจความหมายของเขาในทันที และหน้าก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย : “ ไม่มีทาง พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกันเลย และพี่ก็ต้องกลับมาที่หอพักทุกวันอย่างแน่นอน……”

เมื่อเธอพูดจบแล้วก็กำลังจะเดินไปที่ห้องตัวเอง ก็เห็นว่าหยานโม่หานยังคงไม่ขยับ ดังนั้นก็เลยพูดอีกว่า : “ โม่หาน ดึกขนาดนี้แล้ว แกยังไม่นอนหรอ ?”

เขาหันไปมองเธอ แต่ในดวงตาที่สวยงามกลับมีเงามืดของอาคารบ้านเรือน : “ อืม ตอนนี้ก็คงนอนได้แล้ว ”

เมื่อพูดจบ เขาก็ยืนตัวตรงและพูดกับเธอว่า : “ ราตีสวัสดิ์นะ พี่หวันหว่าน ” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินกลับไปห้องตัวเอง

ในใจของสือจินหว่านรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอรู้ความหมายของหยานโม่หาน แต่…..

เธอก็ถอดหายใจเล็กน้อย และเธอก็รีบเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

เพิ่งจะเข้าไปถึง โทรศัพท์ก็สั่นขึ้นมาในทันที สือจินหว่านก็หยิบออกมาดู และเห็นว่าเป็นหยานโม่หานที่ส่งข้อความมา : “ พี่หวันหว่าน พี่สบายใจได้เลย เรื่องของพวกพี่ ผมไม่ไปบอกพ่อบุญธรรมหรอก แต่ถึงอย่างไรก็หวังว่าพวกพี่จะเป็นฝ่ายไปพูดด้วยตัวเองนะ ”

สือจินหว่านก็ตอบกลับไปว่า : “ อื้ม พวกเราได้วางแผนเอาไว้แล้ว เขาจะเป็นคนบอกกับพ่อแม่ฉันเอง และฉันก็ยื่นสมัครเรียนที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยก็สามารถที่จะแต่งงานได้ บางทีพวกเราก็อาจจะแต่งงานให้เร็วขึ้น ”

ณ ห้องข้างๆ หยานโม่หานที่เห็นว่าสือจินหว่านนั้นพูดถึงเรื่องแต่งงาน มือที่ถือโทรศัพท์จู่ๆก็สั่นขึ้นมาในทันที ผ่านไปสักพัก เขาก็ตอบกลับไปว่า : “ โอเค ขอให้พวกพี่มีความสุขนะ ”

“ ขอบคุณนายนะ โม่หาน ” สือจินหว่านก็ตอบกลับไป : “ ราตีสวัสดิ์ ”

ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ยังคงติดค้างกับการให้คำตอบเขาอยู่ แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ให้เขาไม่ได้อยู่ดี

เธอก็พยายามระงับความรู้สึกผิดนี้เอาไว้ จากนั้นสือจินหว่านที่กำลังนั่งอ่านหนังสือบนเตียงอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ได้สั่นขึ้นมาอีกครั้ง

เธอก็หยิบขึ้นมา และเห็นว่าเป็นโอหยางจวิ้นที่เป็นคนส่งมา : “ หวันหว่าน อาถึงโรงแรมแล้วนะ ”

เธอก็ยิ้มมุมปาก : “ โอเค หลับเช้าหน่อยนะจวิ้นน้อย !”

“ โอเค ” เขาก็ส่งสติ๊กเกอร์ที่พยักหน้ามา

เธอเห็นว่าบนหน้าจอนั้นมันขึ้นมาอีกฝ่ายกำลังพิมพ์ ดังนั้นเธอก็เลยรอให้เขาส่งข้อความมา

แต่ทว่า ผ่านไปสักพัก เขาก็ยังไม่ส่งมา

ดังนั้นสือจินหว่านก็เลยถาม : “ มีอะไรที่อยากจะพูดกับฉันหรือเปล่าคะ ?”

ในขณะนี้ โอหยางจวิ้นก็ได้ลบข้อความที่พิมพ์ไว้ก่อนหน้านี้ออก แล้วก็พิมพ์ตอบกลับไปอย่างง่ายมากๆว่า : “ อื้ม อาพบว่า อาคิดถึงเธออีกแล้ว ”

ในขณะนี้ เขากำลังนั่งอยู่บนหัวเตียง มองดูเตียงที่เธอเพิ่งนอน ความต้องการในสมองของเขาเปลี่ยนไปอย่างบ้าคลั่ง โดยที่มันไม่สามารถที่จะควบคุมได้เลย

โทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็มีเสียงดังขึ้นมา เขาก็ก้มลงมองและเห็นเพียงแค่ที่เธอส่งมาว่า : “ ฉันก็คิดถึงอาเหมือนกัน ”

โอหยางจวิ้นก็ยิ้มมุมปากขึ้นมาในทันที : “ หวันหว่าน อารักเธอนะ ”

อีกด้าน เมื่อเธอเห็นคำพูดของเขา หัวใจเธอเต้นผิดจังหวะ และเธอก็ตอบกลับไปว่า : “ เหมือนกัน ”

ตอนเริ่มทั้งสองคนยังพิมพ์อยู่ แต่พอผ่านไปสักพัก สือจินหว่านก็เริ่มส่งความเสียง ท้ายที่สุดก็คุยโทรศัพท์

จนกระทั่ง หลังเที่ยงคืน โอหยางจวิ้นก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “ หวันหว่าน เธอควรนอนได้แล้วนะ ! อาจะวางสายแล้ว พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ !”

เธอตอบกลับ : “ โอเค อย่าลืมฝันถึงฉันนะ ”

ทั้งสองคนก็วางสายและในที่สุดถึงได้นอนหลับ

ในเช้าวันที่สอง สือจินหว่านก็ลุกขึ้นมาแต่งตัว แล้วก็เลือกกระโปรงสวยๆมาหนึ่งตัว และเดินออกไปด้วยความดีอกดีใจ

พอดีกับที่สือมูสือกลับมาจากออกกำลังกายตอนเช้า เมื่อเห็นเธอก็เลยพูดว่า : “ หวันหว่าน ไปกินข้าวหรอ ? โม่หานล่ะ ?”

สือจินหว่านก็รู้สึกหนักใจ และรีบพูดว่า : “ โม่หานยังเตรียมตัวไม่เสร็จค่ะ หนูไปออกไปกินข้าวแล้วเดี๋ยวจะเอากลับมาให้เขาค่ะ ”

สือมูเฉินพยักหน้า : “ วันนี้กระโปรงสวยมากเลยนะ !”

“ ขอบคุณค่ะพ่อ !” สือจินหว่านก็ยิ้มอย่างน่ารัก

ในขณะที่เธอยังคงเดินออกไปต่อ สือมูเฉินก็เดินเข้าไปด้านใน

สือจินหว่านก็มาถึงถนนใหญ่ มองไปแต่ไกลก็เห็นรถของโอหยางจวิ้น เธอก็เปิดประตูเข้าไปลับๆล่อๆแล้วก็พูดว่า : “ เมื่อกี้เจอเข้ากับพ่อ ! จอเห่แน่ ยังไงอีกไม่นานเขาก็ต้องรู้ !”

โอหยางจวิ้นพูด : “ หวันหว่าน เมื่อคืนอาคิดมาแล้วว่าเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องสารภาพให้เขารู้ก่อน ดังนั้นในสัปดาห์นี้ก็เป็นแบบนี้ไปก่อน สุดสัปดาห์หน้า พวกเราหาโอกาสไปคุยกับเขาให้มันชัดเจนกัน !”

“ สุดสัปดาห์หน้า ?” สือจินหว่านก็พูดความกังวลใจ : “ มันจะเร็วไปหรือเปล่า ? ยังมีแม่ที่อยู่ประเทศจีนอีกนะ !”

“ เพราะตอนนี้เขาอยู่ที่นี่ ตราบใดที่อาจะเจอเธอ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเจอเข้ากับเขา ดังนั้น……” โอหยางจวิ้นพูด : “ หวันหว่าน เธออย่ากังวลใจไปเลย อาจะเป็นคนสารภาพเอง ! สุดสัปดาห์หน้า อาจะคุยกับเขาให้ชัดเจนเอง ถ้าเขาเห็นด้วย พวกเราก็จัดเตรียมงานหมั้นเลย !”

สือจินหว่านถูกโอหยางจวิ้นกอดไว้ในอ้อมแขนของเขา เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน เมื่อเทียบกับคืนที่เขาไม่สบาย มันเป็นจูบที่บ้าคลั่งจริงๆ

ในช่องปาก ลมหายใจของเขามีกลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้ง ยังไม่ทันดื่มเหล้าก็รู้สึกเมา

ดวงตาของสือจินหว่านยังคงเบิกกว้าง เธอมองใบหน้าที่ใกล้ชิดด้วยความตกใจ สมองของเธอว่างเปล่า

จนกระทั่งออกซิเจนในปอดของเธอลดลง เธอตอบสนองกะทันหัน

เขาริเริ่มจูบเธอก่อน?!

ดวงตาของเขาปิดสนิท เธอสามารถมองเห็นขนตาที่ยาวหนาของเขา และโครงร่างของเบ้าตาของเขา

ลองคิดดูอีกครั้ง เธอก็ตระหนักว่าเธอควรหลับตาด้วยเช่นกัน

ทันทีที่เธอหลับตา อวัยวะรับความรู้สึกอื่นๆก็ชัดเจนขึ้น การเสียดสีและความใกล้ชิดทำให้เลือดของเธออุ่นขึ้น

สือจินหว่านถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของโอหยางจวิ้น ในตอนแรกเธอถูกเขาจูบ หลังจากนั้นเธอเริ่มจูบเขากลับ

ดูเหมือนเขาจะรับรู้ถึงความคิดริเริ่มของเธอ ดังนั้นเขาจึงจูบหนักขึ้น

สือจินหว่านแทบไม่มีที่ว่างสำหรับการควบคุมตัวเอง จมอยู่ในความบ้าคลั่งของโอหยางจวิ้น

โอหยางจวิ้นกอดหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น ในตอนนี้ เขามีความคิดเดียวนั่นคือไม่ปล่อยเธอไปและขอให้เธออยู่กับเขา

คำพูดที่เธอพูดเมื่อกี้ ดูเหมือนเป็นคำสาปที่น่ากลัว เมื่อเขาได้ยินแล้วรู้สึกเจ็บปวดมาก

ใช่ เขายังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาผลักไสเธอออกไป แล้วเฝ้ามองเธออยู่ไกลๆ

แต่เมื่อเขาเห็นเธออยู่กับหยานโม่หาน เขาก็ตระหนักว่าสิ่งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เขายังไม่สามารถทนได้

หลังจากนั้น เธอยังกล่าวคำอำลาพวกนั้น ในที่สุดก็ทำให้เขารู้ว่าเขาขาดเธอไม่ได้!

เธอกินเวลาเกือบครึ่งชีวิตและความรู้สึกของเขาไปแล้วเกือบ 100% จะให้เธอหายวับไปกับตาได้อย่างไร?!

เขาประเมินพลังเย้ายวนของเธอต่ำไป และประเมินค่าความมีเหตุมีผลและการควบคุมตัวเองของเขาสูงเกินไป!

ไม่รู้ว่าจูบไปนานแค่ไหน ก่อนที่โอหยางจวิ้นจะปล่อยสือจินหว่าน เขาจับแก้มของเธอและเขายังคงหายใจถี่: “หวันหว่าน อาไม่อยากให้เธอไปจากอา อาอยากอยู่กับเธอตลอดไป!”

เธอมองเขาด้วยสายตาที่ใสซื่อและเต็มไปด้วยอารมณ์ พร้อมของเหลวระยิบระยับที่ริมฝีปากของเธอ

เขาทนไม่ไหว กลืนน้ำลาย จากนั้นจูบเธออีกครั้ง

จูบในเวลานี้นุ่มนวลขึ้นมาก ราวกับคำบอกรักของคนรัก รสรักใคร่และลึกซึ้ง ทำให้หัวใจของสือจินหว่านเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

เขาจูบเธออย่างแผ่วเบา ใช้นิ้วลูบไล้ผมยาวของเธอ และใช้มืออีกข้างจับเอวเธอ ลืมเวลาและโอกาสไปหมดสิ้น

เป็นเวลานาน โอหยางจวิ้นปล่อยสือจินหว่าน ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาจ้องตาเธอ: “หวันหว่าน อารักเธอ เป็นแฟนกันนะ?”

เมื่อสือจินหว่านได้ยินคำพูดของเขา เธอกลืนน้ำลายและไม่สามารถเปล่งเสียงได้

เธอรอประโยคนี้มาเป็นเวลา6ปี

พระเจ้ารู้ดีว่าเขาเสียใจแค่ไหนที่เขาบอกไม่ชอบเธอในวันนั้น!

โชคดีที่หลังจากข้อตกลง 6 ปี พวกเขายังคงอยู่ที่เดิม ไม่เคยไปไหน

เมื่อเห็นเธอไม่พูด โอหยางจวิ้นรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย เขากอดเธอแน่นและพูดอีกครั้ง: “หวันหว่าน สิ่งที่อาพูดกับเธอก่อนหน้านี้ไม่เป็นความจริง อาแค่กลัวว่าจะไม่สามารถอยู่กับเธอได้จน… แต่ แต่อาพบว่าอาไม่สามารถไปจากเธอได้ ครั้งนี้ อาขอเห็นแก่ตัวได้ไหม?”

เธอตั้งใจฟังเขา รู้สึกเจ็บปวดในใจมากขึ้น เธอกำลังจะเปิดปากพูด โอหยางจวิ้นก็ปิดปากของเธอทันที: “ยังไม่ต้องรีบตอบอาก็ได้ อารู้ว่าหยานโม่หานเองก็ดีมาก แต่อารับประกันได้ว่าอาเป็นผู้ชายที่รักเธอที่สุด! แน่นอนพ่อของเธอก็รักเธอมาก แต่นอกจากอาจะเป็นห่วงเธอแล้ว อายังรักเธอมาก100%!”

สือจินหว่านไม่เคยรู้มาก่อนว่าเมื่อโอหยางจวิ้นจริงจัง คำบอกรักของเขาจะทำให้ซาบซึ้งขนาดนี้

เธอไม่ได้พูด แต่น้ำตาไหลท่วมตา หยดลงมาทีละหยด

เมื่อเห็นเธอร้องไห้ โอหยางจวิ้นรู้สึกลำบากใจและเอนตัวเข้าไปจูบน้ำตาของเธอ

แต่ไม่รู้ทำไม ยิ่งจูบยิ่งเยอะ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกดเธอแนบหน้าอกของเขา ปล่อยให้น้ำตาของเธอหยดลงที่เสื้อเขา

“หวันหว่าน อาขอโทษ อาไม่ควรทำร้ายเธอเมื่อ3ปีก่อน 3ปีต่อมาอาก็ไม่ควรพูดแบบนั้น…” โอหยางจวิ้นกล่าวต่อ: “ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว อาก็เหมือนเธอ ถ้าจริงจังมันก็จะเป็นเรื่องตลอดชีวิต เราจะไม่แยกจากกัน เราจะไม่เลิกกัน ตราบใดที่อายังมีชีวิตอาจะดูแลเธอตลอด…แต่ อาอายุเยอะกว่าเธอมาก กลัวว่า…”

เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ทันใดนั้นคอของเขาก็สำลัก และเขาไม่สามารถพูดต่อได้

เธอขยับตัวในอ้อมแขนของเขา: “อาจวิ้น”

หัวใจของโอหยางจวิ้นสั่นไหวในทันใด กลัวว่าสือจินหว่านจะพูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่สามารถยอมรับได้

เพียงไม่กี่วินาที ทรมานราวกับตายทั้งเป็น

“ที่อาพูด ฉันรู้อยู่แล้ว” เธอออกมาจากอ้อมแขนของเขาและมองเขา พูดด้วยเสียงจมูกทื่อเพราะร้องไห้: “ไม่ต้องคิดมาก เพราะคำตอบของฉันไม่เคยเปลี่ยน”

รูม่านตาของโอหยางจวิ้นเบิกกว้าง กลั้นหายใจ

เธอจ้องตาเขาและพูดทีละคำ: “ฉันก็รักอาเหมือนกัน และยินดีที่จะอยู่กับอาตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แฟน หรือสามีภรรยา เราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป ไม่แยกจากกัน!”

เขาจ้องมองเธอด้วยความตะลึง คำพูดของเธอดังก้องในก้นบึ้งของหัวใจ เสียงสะท้อนที่ไม่มีที่สิ้นสุด

โอหยางจวิ้นรู้สึกเบ้าตาของเขาร้อนเล็กน้อย

เขาเอื้อมมือออกไปจับ ปรากฏว่ามีน้ำตา

ตั้งแต่จำความได้ เขาร้องไห้ตอนไหน?

เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา สาวน้อยของเขา ที่นำเขาจากโลกสีดำที่จำเจมาสู่ชีวิตที่วิเศษ

เธอสอนให้เขาคิดเกี่ยวกับปัญหาทางอารมณ์ และทำให้เขาตระหนักถึงความปีติ ความโกรธ ความเศร้าโศก

ความกล้าหาญและความเพียรของเธอที่ส่องสว่างข้างหน้า นำพาเขามาสู่ช่วงเวลานี้

“สือจินหวั่น อารักเธอ” เขาพูดพร้อมกอดเธออีกครั้ง

เธอเอื้อมมือไปโอบหลังเขา เช็ดน้ำตาให้เขา

ในเวลานี้ เสียงปรบมือดังขึ้น พนักงานเสิร์ฟทุกคนต่างปรบมือให้ทั้งสองคน “ว้าว!”

“ซาบซึ้งมากเลย!”

“ใช่ ดีใจจัง! แม้จะไม่ฟังไม่รู้เรื่องแต่เห็นแล้วอยากร้องไห้…”

“ฉันด้วย น้ำตาจะไหล!”

สือจินหว่านรู้สึกเขินเล็กน้อย ค่อยๆออกมาจากอ้อมแขนของโอหยางจวิ้น เพิ่งสังเกตเห็นว่าพวกเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยคนแปลกหน้า มองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

เธอรู้สึกเกรง และไม่รู้ว่าจะวางมือและเท้าของเธอไว้ที่ใด

ในเวลานี้ ลุงอายุราว50ปีกล่าวว่า: “เยี่ยมไปเลย ขอให้มีความสุข!”

เธอพยักหน้า: “ขอบคุณค่ะ!”

เด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้นว่า:”คุณไม่รู้หรอก เมื่อกี้พวกเราเห็นเขานั่งดื่มคนเดียว หล่อมากว่าจะเข้าไปอ่อยสักหน่อย!”

หญิงสาวอีกคนพูดขึ้น: “ใช่ มองแวบแรกก็ดูออกว่าอกหัก แม้ว่าจะไม่แสดงออก แต่ดวงตาของเขาแทบจะร้องไห้ จนคุณมา…”

“พวกคุณต้องรักษากันดีๆนะ!”

โอหยางจวิ้นจับมือสือจินหว่านและพยักหน้าให้ทุกคน: “โอเค ขอบคุณสำหรับคำอวยพร ผมกับเธอต้องมีความสุขด้วยกันแน่นอน!”

ขณะที่โอหยางจวิ้นพูด เขาหยิบหอยสังข์ออกมาจากกระเป๋าของเขา

เขาพูดขึ้นว่า: “หวันหว่าน เธอให้อาเมื่อ6ปีก่อน อายังเก็บไว้เสมอ”

เมื่อสือหวันหว่าจเห็นสิ่งนี้ เอื้อมมือออกไปหยิบหอยสังข์ แล้วยิ้มให้เขาอย่างสดใส: “ฉันก็เหมือนกัน!”

โอหยางจวิ้นมองดูรอยยิ้มของเธอ จากนั้นเขาก็ตระหนักว่าใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข ความโศกเศร้าและอาการเจ็บปวดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้หายไป เหลือเพียงความรู้สึกแห่งความสุข

ที่แท้นี่ก็คือความรู้สึกที่สือมูเฉินเคยพูดกับเขา?

สวยงามมาก ไม่น่าแปลกใจที่สือมูเฉินมักจะแสดงความรักต่อหน้าเขา!

มีผู้หญิงคนหนึ่งที่รักอยู่ข้างกาย เธอก็รักเขาเหมือนกัน เรื่องแบบนี้ อยากจะเป่าประกาศให้คนอื่นรู้จริงๆ!

“หวันหว่าน ร้องเพลงให้อาฟังอีกได้ไหม?” โอหยางจวิ้นจับมือสือจินหว่าน: “เพลงเมื่อ6ปีที่แล้ว อาอยากฟังมันอีก”

“ได้!” สือจินหว่านพยักหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความสุข: “จะให้ร้องอีกกี่ครั้งก็ได้!”

พูดจบ เธอดึงโอหยางจวิ้นไปที่ห้องโถง และพบว่าหยานโม่หานหายไปตอนไหนก็ไม่รู้

“Jay เธอเห็นผู้ชายที่มากับฉันไหม? ไปไหนแล้ว?” สือจินหว่านถาม

“เธอออกไปได้ไม่นาน เขาก็ตามเธอออกไป ไม่เจอเขาเหรอ?” Jayถามด้วยความสงสัย

สือจินหว่านเข้าใจทันทีว่าหยานโม่หานต้องเห็นฉากที่โอหยางจวิ้นจูบเธอ

เธอกังวลเล็กน้อย แต่คิดว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโอหยางจวิ้น ต่อไปเขาจะได้ปล่อยเธอได้

ระหว่างเธอกับเขา ความไร้เดียงสาและความรักทั้งหมดของเขา เธอกำหนดไว้แล้วว่าต้องผิดหวัง

ขอโทษนะ โม่หาน

สือจินหว่านกล่าวในใจ

เธอและโอหยางจวิ้นออกจากห้องโถง เธอเห็นหยานโม่หานพิงต้นไม้อยู่คนเดียว

เมื่อเห็นเขาไม่เป็นไร สือจินหว่านรู้ว่าเขาต้องการเวลาเพื่อสงบสติอารมณ์ ดังนั้นเธอจึงจากไปอย่างเงียบๆพร้อมโอหยางจวิ้น

กลับมาที่ห้องโถง สือจินหว่านเดินขึ้นไปบนเวทีและประกาศกับเพื่อนๆว่า: “อันที่จริง คนที่ฉันอยากสารภาพมาตลอดก็คือ อาจวิ้น พวกเธอเคยเจอเขาเมื่อ6ปีที่แล้ว ตอนนี้ ฉันจะร้องเพลงนั้นให้เขาฟังอีกครั้ง”

ทุกคนตกใจ แต่เมื่อเห็นแววตาของโอหยางจวิ้นที่มองสือจินหว่าน ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ

เสียงเพลงดังขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีหน้าจอ LED อยู่เบื้องหลังทิวทัศน์ทะเลทรายอันกว้างใหญ่ และแม้ว่าเธอจะไม่เต้นรำบนผืนทรายสีเหลืองในชุดสีแดง แต่โอหยางจวิ้นยังคงมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้

เสียงของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเมื่อ 6 ปีที่แล้ว แต่สายตาที่จ้องมองมาที่เขายังคงสดใสและร้อนแรง ราวกับว่าความกระตือรือร้นและความพากเพียรของเธอทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นซึ่งไม่เคยละลายเพราะใคร

“อดีตปัจจุบันผ่านไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ใบไม้สีแดงที่ร่วงลงมาสุดท้ายก็ถูกฝังอยู่ในดิน จุดเริ่มต้นและอวสานยังไงก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เธอที่อยู่สุดขอบฟ้าก็ยังลอยอยู่นอกเมฆา…”

ขณะร้องเพลง สือจินหว่านมองไปที่โอหยางจวิ้น ผู้ชายที่เธอเห็นครั้งแรกเมื่อเธอลืมตาขึ้น ผู้ชายที่กอดเธอตั้งแต่เด็กจนโต

เมื่อก่อนเธอไม่เคยคิดว่าเธอกับเขาจะอยู่ด้วยกัน ตอนนี้เธอไม่เคยคิดว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน

ในเวลานี้ เธอรู้สึกขอบคุณพระเจ้า แม้ว่าเธอจะพูดไม่ได้เป็นเวลา11ปี แต่ก็ได้มอบของขวัญให้เธอเป็นผู้ชายที่ดูแลเธอตั้งแต่เกิด

แค่มีเขาอยู่ข้างกาย คือความสุขสงบที่แท้จริง

ทุกคนรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน เป็นเพราะว่าเวลาที่สือจินหว่านกับกลุ่มนักดนตรีนัดแนะกันนั้นคือตอนบ่ายสามโมง ดังนั้นยังคงพอมีเวลาอยู่นิดหน่อย

หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว สือจินหว่านไปห้องพักของหยานโม่หาน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเขาว่า “โม่หาน ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”

หยานโม่หานตกตะลึงเล็กน้อย เขาพยักหน้า ก่อนจะชี้ไปยังโซฟาภายในห้องพัก “นั่งพูดแล้วกันนะครับ”

สือจินหว่านไม่ได้นั่งลงไป แต่ทว่ากลับเดินไปปิดประตูแทน “โม่หาน ก่อนหน้านี้น่ะ ที่นายมักจะสงสัยอยู่เสมอเลยว่าที่ฉันบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว นั่นก็คือนายใช่ไหม? อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่หรอกนะ”

หัวใจของหยานโม่หานหนักอึ้ง นี่เธอกำลังจะตัดความหวังเส้นสุดท้ายของเขาใช่ไหม?

เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะรอคอยประโยคถัดไปของสือจินหว่าน

“โม่หาน อันที่จริงแล้วฉันเมื่อหกปีก่อนหน้านี้ ก็ชอบเขาไปเสียแล้วล่ะ” สือจินหว่านสูดลมหายใจลึก ๆ แรง ๆ ครั้งหนึ่ง “ฉันชอบคุณอาจวิ้น!”

หยานโม่หานฟังมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็ตะลึงลานในทันที

เนิ่นนานราวกับครึ่งวัน เขาถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับมา “หวันหว่าน พี่กำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? เขาไม่ได้เป็นคุณอาของพี่หรอกหรือไง?!”

สือจินหว่านเอ่ยว่า “ใช่ แต่ว่านะ พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรกันเลย ฉันอยู่ที่เพอร์เซลล์หลายปีมานี้ ในตอนแรกเริ่ม พวกเราก็แค่มีความรู้สึกของครอบครัวกันเท่านั้น แต่ทว่าหลังจากที่ฉันโตมาแล้ว……สรุป ฉันรับรู้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ฉันชอบเขา อีกอย่างหนึ่งนะ เขาเองก็ชอบฉันด้วย!”

“หวันหว่าน พี่บ้าไปแล้วหรือไง?!” ลมหายใจของหยานโม่หานแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงขึ้นมาทันที แม้กระทั่งที่หน้าผากก็ยังมีรอยเขียวด้วย “ผมนึกมาโดยตลอดเลยว่าคนคนนั้นคือเฉียวซือ ก็เลยช่างมันไปแล้ว แต่ทำไมต้องเป็นเขาด้วย?! หวันหว่าน พี่รู้หรือเปล่า ว่าเขาอายุมากกว่าพี่ไปกี่ปี?!”

“โม่หาน ที่ฉันพึ่งจะมาบอกนายเอาตอนนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่ามันคือผลลัพธ์ของการครุ่นคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนั่น ตอนนี้ก็ช่างมันไปแล้ว ฉันพิจารณาแล้ว” สือจินหว่านยกยิ้มหัวเราะเยาะตนเองหนหนึ่ง “ถ้าหากว่าเหตุผลนั้นสามารถควบคุมความรู้สึกทั้งหมดได้เอาไว้ บางทีฉันกับเขา ก็คงล้วนแล้วแต่ไม่สามารถประคับประคองกันมาได้ถึงวันนี้หรอก! แต่ว่าความรู้สึกเช่นนี้จริง ๆ นั้น มันถึงจะเป็นสิ่งของที่ล้ำค่ามากที่สุด โม่หาน นายควรที่จะเข้าใจนะ!”

หยานโม่หานสบตามองนัยน์ตาและท่าทางจริงจังของสือจินหว่าน หัวใจค่อย ๆ แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทีละเล็กทีละน้อย เขาหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาหวิวเป็นอย่างมาก “หวันหว่าน เป็นเพราะว่าผมมาที่โลกนี้ช้ามากเกินไปอย่างนั้นหรือ? ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าผมจะพยายามอีกครั้งอย่างไร ภายในหัวใจของพี่ ก็ยังคงสู้เขาไม่ได้สินะ……”

“โม่หาน ไม่ใช่ว่านายเทียบกับเขาไม่ได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าฉันพบเจอเขาก่อน ชอบเขาไปก่อนต่างหาก” สือจินหว่านเอ่ย “เขาดีต่อฉันมากมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว นายรู้ไหม มีครั้งหนึ่งที่ชายหาด ฉันพบเจอเข้ากับอันตรายถูกคนขู่บังคับ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาสามารถสู้กับคนเหล่านั้นได้ แต่ทว่าคนเหล่านั้นถือมีดมาจ่อเอาไว้ที่คอของฉัน ให้เขาคุกเข่าลงเพื่อที่จะให้พวกมันทำร้าย เขานั้นวางศักดิ์ศรีลงไปจริง ๆ……”

“เขาเป็นผู้รับช่วงต่อของตระกูลเพอร์เซลล์ เป็นคนที่หยิ่งทะนงคนหนึ่ง แต่ทว่าเพื่อฉันแล้ว เขากลับทำเรื่องราวมากมาย…..”สือจินหว่านเอ่ย “ตอนนี้ ที่เขาไม่ได้เลือกที่จะอยู่ด้วยกันกับฉัน ไม่ได้เป็นเพราะว่าไม่ชอบ แต่ทว่ากลัวว่าจะดูแลฉันได้ไม่ดี ฉันจะสามารถมองเห็นเขาอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไรกัน?!”

“หวันหว่าน ที่พี่พูดเรื่องพวกนี้ออกมา ถ้าหากว่าผมเกิดก่อนหน้านี้สักสิบปี ผมเองก็สามารถทำได้เหมือนกันนะ!” นัยน์ตาดำขลับของหยานโม่หานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “เพียงแต่ว่าเสียดายจังเลยครับ เวลาที่ผมแพ้ไปให้น่ะ……”

“โม่หาน ขอโทษนะ นายจะต้องพบเจอกับผู้หญิงที่จะสามารถเคียงข้างนายไปทั้งชีวิตได้แน่ ๆ เธอเองก็จะชอบนายมาก พวกนายจะมีความสุขมากแน่ ๆ” สือจินหว่านเอ่ย “สองสามปีมานี้ ขอบคุณนายมาก ๆ เลยนะที่ดีต่อฉันมากขนาดนี้!”

เมื่อได้ฟังจนถึงตรงนี้แล้ว นัยน์ตาของหยานโม่หานร้อนผะผ่าวขึ้นในทันที ก่อนจะมีหยาดน้ำตาไหลกลิ้งลงมาแล้ว

เขารีบลุกขึ้นหมุนตัวไปในทันที ไม่มองเธออีกต่อไปแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อยว่า “หวันหว่าน ผมรับปากพี่นะครับ หลังจากนี้จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับพี่อีกต่อไปแล้ว”

ถึงแม้ว่าฉันจะรักเธอ ก็ขอเพียงแค่ให้ได้รักเช่นนี้ รักคงอยู่เมืองของตนเอง วาดฝันมันเอาไว้เพื่อกักขังตนเอง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว……

สือจินหว่านเห็นหยานโม่หานรู้สึกแย่ เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรที่จะปลอบประโลมเขาอย่างไรดี เธอตบเข้าที่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ สองสามที เขารีบหันกลับมาทันที ก่อนจะยื่นมือไปสวมกอดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา

เนิ่นนาน เขาถึงปล่อยออกมา หลังจากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ก็เปิดประตูออกมาแล้ว

“โม่หาน ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันไปก่อนนะ” สือจินหว่านเอ่ยก็รู้สึกแย่เล็กน้อย “พวกกลุ่มนักดนตรีตอนบ่าย……”

“ผมจะไปครับ” หยานโม่หานเอ่ยขึ้น “ปิดเทอมฤดูร้อนนี้ ผมจะอยู่ครับ”

นี่เกรงว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขากับเธอจะได้ไปมาหาสู่กัน หลังจากที่กลับจีนไปแล้ว ต้องแยกจากกันคนละฟากฟ้าแล้วจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวด แต่ทว่า เจ็บก็เจ็บไปสิ สรุปแล้วก็ยังดีว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ติดต่อกันอีกนั่นแหละนะ

“โอเค” สือจินหว่านเอ่ย “ตอนจะออกไปแล้วฉันจะเรียกนายนะ”

ทุกคนแยกกันไปพักผ่อนภายในห้องของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง โอหยางจวิ้นเคาะประตูห้องของสือจินหว่าน “หวันหว่าน ควรที่จะออกเดินทางได้แล้วนะ”

สือจินหว่านตอบรับ ก่อนจะเรียกหยานโม่หานอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไปด้วยกัน

ที่ผ่านมา หยานโม่หานก็ไม่ได้ขาดการติดต่อกับทั้งสองคนเลย แต่ทว่ามาจนถึงวันนี้แล้ว เขาถึงได้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง สือจินหว่านในตอนที่อยู่ต่อหน้าโอหยางจวิ้นนั้นแทบจะมีท่าทีไม่เหมือนอย่างในยามปกติเลย

ภายในหัวใจจู่ ๆ ก็มีความรู้สึกเรียบเฉยขึ้นมาหลายส่วน ด้วยเหตุนี้เอง ในตลอดการเดินทางนั้น หยานโม่หานจึงแสดงความนิ่งขรึมออกมาอย่างชัดเจน

เหมือนกันเลย โอหยางจวิ้นกำลังหวนนึกถึงหกปีก่อน เขาได้ยินสือจินหว่านร้องเพลง แต่ทว่าวันนี้สถานะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่อยู่เคียงข้างกับแม่สาวน้อยของเขานั้น กลับเป็นเด็กหนุ่มวันรุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธออีกคน ทันใดนั้นเอง รู้สึกเพียงแค่ว่าลมหายใจนั้นหายใจเข้าออกอย่างลำบากเป็นอย่างมาก

ทั้งสามคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตนเองจนมาถึงที่คลับ เพื่อนในตอนแรกเห็นสือจินหว่านเข้าแล้ว ทันใดนั้นเองก็พุ่งเข้าไปสวมกอดเธออย่างอบอุ่นเป็นอย่างมาก

แม้กระทั่งมีคนที่ยังคงจดจำเรื่องในปีนั้นได้ด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงชี้ไปยังหยานโม่หานแล้วเอ่ยถามกับสือจินหว่านว่า “Wan เขาใช่คนที่สารภาพรักกับเธอคนนั้นหรือเปล่า?”

สือจินหว่านหัวเราะ ไม่ได้ตอบกลับไปตรง ๆ ทุกคนก็เข้าใจได้ในทันทีแล้ว

หยานโม่หานยืนอยู่ไกลออกไปเล็กน้อยจึงไม่ได้ยิน แต่ทว่าโอหยางจวิ้นนั้นอยู่ใกล้มาก ดังนั้นจึงเข้าใจได้ในทันทีเลยว่าฝ่ายตรงข้ามเอ่ยถามอะไร

ในตอนนั้นเอง คนในตอนแรกล้วนแล้วแต่อยู่ด้วยกันหมด แต่ทว่า แม่สาวน้อยของเขากลับไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว……

เป็นเพราะว่ามาเที่ยวเล่นกันที่คลับกัน ดังนั้นแล้ว ทุกคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเชื้อเชิญสือจินหว่านให้ไปขึ้นร้องเพลง

สือจินหว่านพยักหน้า ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความปีติเป็นอย่างมาก เธอเลือกเพลงภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมเพลงหนึ่งมาร้องพร้อมกันกับทุกคน หลังจากนั้น ก็หันไปเอ่ยกับทุก ๆ คนว่า “วันนี้ฉันยังมีอีกเพลงหนึ่งด้วยนะ เป็นเพลงที่จะร้องเพลงให้คนที่อยู่ที่นี่คนหนึ่งฟัง”

โอหยางจวิ้นได้ยินมาจนถึงตรงนี้แล้ว ทันใดนั้นเองเลือดในกายทั่วทั้งร่างก็จับตัวแข็งในทันที

ที่แท้แล้ว เขานึกว่าเธอขึ้นไปร้องเพลงบนเวที เป็นเพราะว่าเรื่องราวของพวกเรา แต่ทว่า ในตอนนี้เอง เธอกลับร้องเพลงให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งฟังเสียนี่!

ช่วงทำนองของเพลงดังขึ้น อีกทั้งบวกเข้ากับใบหน้าครึกครื้นของกลุ่มนักดนตรีรอบข้างแล้ว ทันใดนั้นเอง โอหยางจวิ้นก็รู้สึกว่าตนเองนั้นแทบจะไร้หนทางที่จะรออยู่ที่ด้านล่างเวทีอีกต่อไปแล้ว

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น ก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวออกไป

ส่วนหยานโม่หาน นั่งอยู่ที่ด้านล่างของเวทีเงียบ ๆ เขารับรู้อย่างชัดแจ้งว่าสือจินหว่านนั้นจะร้องเพลงให้กับโอหยางจวิ้น แต่ทว่า เขากลับยังอยากที่จะฟัง ต่อให้มันจะเหยียบย่ำลงบนหัวใจเขาก็ตาม

“ถ้าหากว่ามีคนอยู่ที่ประภาคาร เขี่ยเส้นผมของเธอเล่นจนยุ่งเหยิง ครุ่นคิดอยู่บนกำแพงและกระเบื้อง ถ้าหากว่าความรู้สึกมันตีกัน ไม่ได้เอ่ยพูดคำสลวยออกมา แต่ทว่ากับกักเก็บมือแล้วปล่อยมันลง……”

สือจินหว่านเริ่มร้องเพลง ถึงแม่ว่าเธอจะรู้ว่าโอหยางจวิ้นไม่อยู่ แต่ทว่า ก็ยังคงร้องเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ

ที่โถงใหญ่ของคลับด้านนอก โอหยางจวิ้นรู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจของตนเองราวกับว่ามีของอะไรบางอย่างกัดแทะเอาไว้อยู่ ไร้หนทางที่จะสงบ

ยิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น

นัยน์ตาของเขามองไปรอบ ๆ หนึ่งหน ก่อนจะมองเห็นว่ามีบาร์อยู่ตรงหน้าแห่งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงเดินเข้าไป

หลังจากที่สั่งเหล้ามาสองสามแก้วแล้ว โอหยางจวิ้นยกขึ้น ก่อนจะดื่มมันจนหมดรวดเดียว แต่ทว่า ความรู้สึกภายในหัวใจก็ตีรวนกันอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม

ในตอนนั้นเอง เสียงเพลงของสือจินหว่าน แทบจะคล้ายกับลมที่พัดเข้ามาราวกับว่ามีและไม่มี “คนในกระจกพูดคำโกหก แม้กระทั่งหัวใจของตัวเองก็ไม่แน่ใจอย่างนั้นหรือไง? แกล้งทำเป็นหูหนวกหรือว่าเป็นใบ้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วให้ฉันพูดก่อนเลยดีไหม……”

เขาแต่เดิมนั้นก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจฟังว่าเธอร้องอะไร รู้สึกเพียงแค่ว่าเพลงทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ร้องเพลงให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งฟังเท่านั้น หากจะพูดถึงเขานั้น มันล้วนแล้วแต่ทิ่มแทงบาดหูทั้งสิ้น

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว เขาหยิบยกโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลง หลังจากนั้นก็เปิดเพลงที่ชื่อว่ารักตลอดไปที่เธอร้องเพลงให้กับเขาในตอนนั้นฟัง

เขาจงใจเร่งเสียงเพลงให้ดังมากขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นแล้ว มันจึงกดทับเสียงเพลงที่สือจินหว่านร้องอยู่ทางฝั่งนั้น ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

“คนรักแยกจากกันแล้วจะไม่กลับมาเจอกันอีก ไร้ทำพูดที่จะเอ่ยนั่งอยู่ตัวคนเดียวแล้วสบตามองโลกภายนอก ดอกไม้สดใหม่มักจะต้องร่วงโรยไป แต่ทว่ามันจะผลิบานในอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน รักตลอดไป มันหลบซ่อนอยู่ในปุยเมฆสีขาวด้านนอก……”

เขาปิดเปลือกตาลง ราวกับว่ามองเห็นเด็กสาวที่กระตือรือร้นราวกับไฟคนนั้น กำลังถือไมโครโฟนเอาไว้อยู่ ก่อนจะร้องเพลงให้กับเขา ถึงแม้ว่าที่ด้านล่างของเวทีจะมีผู้คนมากมาย แต่ทว่า เธอกลับมองเพียงแค่เขาคนเดียว

ในตอนนั้น เธอนั้นชื่นชอบเขาไปหมดทั้งหัวใจเลยจริง ๆ

รสชาติของแอลกอฮอล์ในริมฝีปากตีตื้นและขมปร่าขึ้นมา โอหยางจวิ้นในตอนนั้น ถึงรับรู้ได้แล้วว่า เขานั้นรู้สึกผิดในภายหลังเสียแล้ว

เขารู้สึกผิดในภายหลังแล้วจริง ๆ!

เขาไม่ควรที่จะผลักเธอออกไป ไม่ควรที่จะพูดคำพูดกระทบจิตใจเหล่านั้นเลย

เขาแค่คิดอยากที่จะกักขังเธอเอาไว้ให้อยู่แต่ในโลกของเขา แล้วก็จะไม่ปล่อยมืออีกเป็นอันขาด!

แต่ทว่า มันสายมากเกินไปแล้วหรือเปล่านะ? ตอนนี้เธอชอบเด็กผู้ชายคนอื่นไปเสียแล้วนี่……

“ความรักของพวกเรามาถึงตอนนี้กำลังดีเลย เหลืออีกไม่มากอีกทั้งก็ไม่สามารถลืมเลือนได้ ฉันควรที่ดูแลตัวเองเอาไว้ให้ดี ระยะห่างของพวกเราในตอนนี้นั้นมันกำลังดี แต่ทว่ากลับไม่พอที่จะให้พวกเราสวมกอดกันได้อีกต่อไปแล้ว ทุ่มแรงใจรักใครคนหนึ่งไปไม่ควรที่จะคิดเล็กคิดน้อย……”

ภายในโถงใหญ่ สือจินหว่านร้องเพลงอยู่ในนั้น ก่อนจะหันไปยิ้มกับทุก ๆ คน “ฉันจะไปตามคนที่วิ่งช้าคนนั้นเอง!”

พูดจบ เธอวางไมโครโฟนลง ก่อนจะสาวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หยานโม่หานสบตามองแผ่นหลังของเธอ มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวนั้นกำหมัดเข้าหากันแน่น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เขาถึงแทบจะไร้หนทางที่จะควบคุมความเจ็บปวดเอาไว้ได้เลย

ใบหน้าหล่อเหล่าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม แทบจะเติบโตขึ้นในทันที

สือจินหว่านสาวเท้าวิ่งออกมาถึงด้านนอก กวาดสายตามองหาไปรอบหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วก็มองเห็นโอหยางจวิ้นที่กำลังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์

ตรงหน้าของเขามีแก้วเปล่าอยู่ห้าแก้วแล้ว ในมือ ก็ยังมีเหล้าที่กำลังดื่มอยู่

เธอเดินมุ่งตรงไปหาเขา ทีละก้าวทีละก้าว ในสายตางุนงงและไม่เข้าใจของเขา ก่อนจะเดินมาจนถึงหน้าของเขาแล้ว

“คุณอาจวิ้นคะ ฉันมาหา ก็เป็นเพราะว่ามีเรื่องจะบอกคุณอาเรื่องหนึ่งค่ะ” สือจินหว่านเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาจริงจัง

หัวใจของเขา มันหนักอึ้งอย่างรุนแรง

เธอประสานสายตามองเขาตรง ๆ ก่อนจะเอ่ยคำออกมาอย่างชัดเจนว่า “วันนี้ฉันเห็นประโยคหนึ่งที่บอกเอาไว้ว่า ไม่ใช่รักทั้งหมดที่จะสามารถหลอมละลายความรู้สึกลึกซึ้ง ทว่ามีความรู้สึกลึกซึ้ง มันกลับไม่ผลิบาน แต่ทว่ากลับแปลเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า”

โอหยางจวิ้นไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของเธอมากนัก แต่ทว่า เมื่อได้ยินคำว่าว่างเปล่าสองคำนั้นแล้ว หัวใจของเขานั้นก็แข็งค้างในทันที หรือว่า เธอจะมาเพื่อที่จะตัดขาดกับเขาอย่างนั้นหรือ?

“หวันหว่าน” หัวใจของโอหยางจวิ้นสับสนเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป ก่อนจะคว้าจับมือของสือจินหว่านเอาไว้

เธอนั้นแทบจะรู้สึกได้เลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงก้าวถอยหลังหลบไปสองสามก้าว

หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นต่อ “คุณอาจวิ้นคะ เรื่องที่ฉันชอบคุณอานั้นมันเป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ว่านะคะ หลังนั้นนี้นั้นฉันเกรงว่าจะต้องกล่าวลากับคุณอาแล้วละค่ะ ตัวฉันคนนี้มักจะเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรเด็ดขาดเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ขอเพียงแค่หันหลังกลับไป ก็จะไม่หันกลับมาอีก! นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะรบกวนคุณอาแล้วนะคะ! หลังจากนั้น ฉันกลับจีนไปแล้ว จะไม่ติดต่ออะไรคุณอาอีก แล้วก็จะไม่มาเจอกับคุณอาอีกด้วย ในอนาคตของพวกเรา ก็จะไม่ได้พบเจอหน้ากันตลอดไปอีกแล้ว……”

เธอพูดจบ ก็หมุนตัวจากไปในทันที

แต่ทว่า พึ่งจะสาวเท้าก้าวยาว ๆ ไปได้เพียงแค่ก้าวเดียว จู่ ๆ มือก็ถูกโอหยางจวิ้นคว้าจับเอาไว้เสียแล้ว เขาดึงเธอเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วในทันที ในตอนที่เธอล้มตัวลงไปในอ้อมกอดของเขานั้น เขาก็สวมกอดเธอเอาไว้ทันที

ลำดับต่อมา ก็ประทับจูบบ้าคลั่งราวกับพายุฝนลงไปแล้ว!

ทุกคนรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน เป็นเพราะว่าเวลาที่สือจินหว่านกับกลุ่มนักดนตรีนัดแนะกันนั้นคือตอนบ่ายสามโมง ดังนั้นยังคงพอมีเวลาอยู่นิดหน่อย

หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว สือจินหว่านไปห้องพักของหยานโม่หาน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเขาว่า “โม่หาน ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”

หยานโม่หานตกตะลึงเล็กน้อย เขาพยักหน้า ก่อนจะชี้ไปยังโซฟาภายในห้องพัก “นั่งพูดแล้วกันนะครับ”

สือจินหว่านไม่ได้นั่งลงไป แต่ทว่ากลับเดินไปปิดประตูแทน “โม่หาน ก่อนหน้านี้น่ะ ที่นายมักจะสงสัยอยู่เสมอเลยว่าที่ฉันบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว นั่นก็คือนายใช่ไหม? อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่หรอกนะ”

หัวใจของหยานโม่หานหนักอึ้ง นี่เธอกำลังจะตัดความหวังเส้นสุดท้ายของเขาใช่ไหม?

เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะรอคอยประโยคถัดไปของสือจินหว่าน

“โม่หาน อันที่จริงแล้วฉันเมื่อหกปีก่อนหน้านี้ ก็ชอบเขาไปเสียแล้วล่ะ” สือจินหว่านสูดลมหายใจลึก ๆ แรง ๆ ครั้งหนึ่ง “ฉันชอบคุณอาจวิ้น!”

หยานโม่หานฟังมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็ตะลึงลานในทันที

เนิ่นนานราวกับครึ่งวัน เขาถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับมา “หวันหว่าน พี่กำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? เขาไม่ได้เป็นคุณอาของพี่หรอกหรือไง?!”

สือจินหว่านเอ่ยว่า “ใช่ แต่ว่านะ พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรกันเลย ฉันอยู่ที่เพอร์เซลล์หลายปีมานี้ ในตอนแรกเริ่ม พวกเราก็แค่มีความรู้สึกของครอบครัวกันเท่านั้น แต่ทว่าหลังจากที่ฉันโตมาแล้ว……สรุป ฉันรับรู้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ฉันชอบเขา อีกอย่างหนึ่งนะ เขาเองก็ชอบฉันด้วย!”

“หวันหว่าน พี่บ้าไปแล้วหรือไง?!” ลมหายใจของหยานโม่หานแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงขึ้นมาทันที แม้กระทั่งที่หน้าผากก็ยังมีรอยเขียวด้วย “ผมนึกมาโดยตลอดเลยว่าคนคนนั้นคือเฉียวซือ ก็เลยช่างมันไปแล้ว แต่ทำไมต้องเป็นเขาด้วย?! หวันหว่าน พี่รู้หรือเปล่า ว่าเขาอายุมากกว่าพี่ไปกี่ปี?!”

“โม่หาน ที่ฉันพึ่งจะมาบอกนายเอาตอนนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่ามันคือผลลัพธ์ของการครุ่นคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนั่น ตอนนี้ก็ช่างมันไปแล้ว ฉันพิจารณาแล้ว” สือจินหว่านยกยิ้มหัวเราะเยาะตนเองหนหนึ่ง “ถ้าหากว่าเหตุผลนั้นสามารถควบคุมความรู้สึกทั้งหมดได้เอาไว้ บางทีฉันกับเขา ก็คงล้วนแล้วแต่ไม่สามารถประคับประคองกันมาได้ถึงวันนี้หรอก! แต่ว่าความรู้สึกเช่นนี้จริง ๆ นั้น มันถึงจะเป็นสิ่งของที่ล้ำค่ามากที่สุด โม่หาน นายควรที่จะเข้าใจนะ!”

หยานโม่หานสบตามองนัยน์ตาและท่าทางจริงจังของสือจินหว่าน หัวใจค่อย ๆ แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทีละเล็กทีละน้อย เขาหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาหวิวเป็นอย่างมาก “หวันหว่าน เป็นเพราะว่าผมมาที่โลกนี้ช้ามากเกินไปอย่างนั้นหรือ? ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าผมจะพยายามอีกครั้งอย่างไร ภายในหัวใจของพี่ ก็ยังคงสู้เขาไม่ได้สินะ……”

“โม่หาน ไม่ใช่ว่านายเทียบกับเขาไม่ได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าฉันพบเจอเขาก่อน ชอบเขาไปก่อนต่างหาก” สือจินหว่านเอ่ย “เขาดีต่อฉันมากมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว นายรู้ไหม มีครั้งหนึ่งที่ชายหาด ฉันพบเจอเข้ากับอันตรายถูกคนขู่บังคับ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาสามารถสู้กับคนเหล่านั้นได้ แต่ทว่าคนเหล่านั้นถือมีดมาจ่อเอาไว้ที่คอของฉัน ให้เขาคุกเข่าลงเพื่อที่จะให้พวกมันทำร้าย เขานั้นวางศักดิ์ศรีลงไปจริง ๆ……”

“เขาเป็นผู้รับช่วงต่อของตระกูลเพอร์เซลล์ เป็นคนที่หยิ่งทะนงคนหนึ่ง แต่ทว่าเพื่อฉันแล้ว เขากลับทำเรื่องราวมากมาย…..”สือจินหว่านเอ่ย “ตอนนี้ ที่เขาไม่ได้เลือกที่จะอยู่ด้วยกันกับฉัน ไม่ได้เป็นเพราะว่าไม่ชอบ แต่ทว่ากลัวว่าจะดูแลฉันได้ไม่ดี ฉันจะสามารถมองเห็นเขาอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไรกัน?!”

“หวันหว่าน ที่พี่พูดเรื่องพวกนี้ออกมา ถ้าหากว่าผมเกิดก่อนหน้านี้สักสิบปี ผมเองก็สามารถทำได้เหมือนกันนะ!” นัยน์ตาดำขลับของหยานโม่หานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “เพียงแต่ว่าเสียดายจังเลยครับ เวลาที่ผมแพ้ไปให้น่ะ……”

“โม่หาน ขอโทษนะ นายจะต้องพบเจอกับผู้หญิงที่จะสามารถเคียงข้างนายไปทั้งชีวิตได้แน่ ๆ เธอเองก็จะชอบนายมาก พวกนายจะมีความสุขมากแน่ ๆ” สือจินหว่านเอ่ย “สองสามปีมานี้ ขอบคุณนายมาก ๆ เลยนะที่ดีต่อฉันมากขนาดนี้!”

เมื่อได้ฟังจนถึงตรงนี้แล้ว นัยน์ตาของหยานโม่หานร้อนผะผ่าวขึ้นในทันที ก่อนจะมีหยาดน้ำตาไหลกลิ้งลงมาแล้ว

เขารีบลุกขึ้นหมุนตัวไปในทันที ไม่มองเธออีกต่อไปแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อยว่า “หวันหว่าน ผมรับปากพี่นะครับ หลังจากนี้จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับพี่อีกต่อไปแล้ว”

ถึงแม้ว่าฉันจะรักเธอ ก็ขอเพียงแค่ให้ได้รักเช่นนี้ รักคงอยู่เมืองของตนเอง วาดฝันมันเอาไว้เพื่อกักขังตนเอง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว……

สือจินหว่านเห็นหยานโม่หานรู้สึกแย่ เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรที่จะปลอบประโลมเขาอย่างไรดี เธอตบเข้าที่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ สองสามที เขารีบหันกลับมาทันที ก่อนจะยื่นมือไปสวมกอดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา

เนิ่นนาน เขาถึงปล่อยออกมา หลังจากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ก็เปิดประตูออกมาแล้ว

“โม่หาน ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันไปก่อนนะ” สือจินหว่านเอ่ยก็รู้สึกแย่เล็กน้อย “พวกกลุ่มนักดนตรีตอนบ่าย……”

“ผมจะไปครับ” หยานโม่หานเอ่ยขึ้น “ปิดเทอมฤดูร้อนนี้ ผมจะอยู่ครับ”

นี่เกรงว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขากับเธอจะได้ไปมาหาสู่กัน หลังจากที่กลับจีนไปแล้ว ต้องแยกจากกันคนละฟากฟ้าแล้วจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวด แต่ทว่า เจ็บก็เจ็บไปสิ สรุปแล้วก็ยังดีว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ติดต่อกันอีกนั่นแหละนะ

“โอเค” สือจินหว่านเอ่ย “ตอนจะออกไปแล้วฉันจะเรียกนายนะ”

ทุกคนแยกกันไปพักผ่อนภายในห้องของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง โอหยางจวิ้นเคาะประตูห้องของสือจินหว่าน “หวันหว่าน ควรที่จะออกเดินทางได้แล้วนะ”

สือจินหว่านตอบรับ ก่อนจะเรียกหยานโม่หานอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไปด้วยกัน

ที่ผ่านมา หยานโม่หานก็ไม่ได้ขาดการติดต่อกับทั้งสองคนเลย แต่ทว่ามาจนถึงวันนี้แล้ว เขาถึงได้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง สือจินหว่านในตอนที่อยู่ต่อหน้าโอหยางจวิ้นนั้นแทบจะมีท่าทีไม่เหมือนอย่างในยามปกติเลย

ภายในหัวใจจู่ ๆ ก็มีความรู้สึกเรียบเฉยขึ้นมาหลายส่วน ด้วยเหตุนี้เอง ในตลอดการเดินทางนั้น หยานโม่หานจึงแสดงความนิ่งขรึมออกมาอย่างชัดเจน

เหมือนกันเลย โอหยางจวิ้นกำลังหวนนึกถึงหกปีก่อน เขาได้ยินสือจินหว่านร้องเพลง แต่ทว่าวันนี้สถานะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่อยู่เคียงข้างกับแม่สาวน้อยของเขานั้น กลับเป็นเด็กหนุ่มวันรุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธออีกคน ทันใดนั้นเอง รู้สึกเพียงแค่ว่าลมหายใจนั้นหายใจเข้าออกอย่างลำบากเป็นอย่างมาก

ทั้งสามคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตนเองจนมาถึงที่คลับ เพื่อนในตอนแรกเห็นสือจินหว่านเข้าแล้ว ทันใดนั้นเองก็พุ่งเข้าไปสวมกอดเธออย่างอบอุ่นเป็นอย่างมาก

แม้กระทั่งมีคนที่ยังคงจดจำเรื่องในปีนั้นได้ด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงชี้ไปยังหยานโม่หานแล้วเอ่ยถามกับสือจินหว่านว่า “Wan เขาใช่คนที่สารภาพรักกับเธอคนนั้นหรือเปล่า?”

สือจินหว่านหัวเราะ ไม่ได้ตอบกลับไปตรง ๆ ทุกคนก็เข้าใจได้ในทันทีแล้ว

หยานโม่หานยืนอยู่ไกลออกไปเล็กน้อยจึงไม่ได้ยิน แต่ทว่าโอหยางจวิ้นนั้นอยู่ใกล้มาก ดังนั้นจึงเข้าใจได้ในทันทีเลยว่าฝ่ายตรงข้ามเอ่ยถามอะไร

ในตอนนั้นเอง คนในตอนแรกล้วนแล้วแต่อยู่ด้วยกันหมด แต่ทว่า แม่สาวน้อยของเขากลับไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว……

เป็นเพราะว่ามาเที่ยวเล่นกันที่คลับกัน ดังนั้นแล้ว ทุกคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเชื้อเชิญสือจินหว่านให้ไปขึ้นร้องเพลง

สือจินหว่านพยักหน้า ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความปีติเป็นอย่างมาก เธอเลือกเพลงภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมเพลงหนึ่งมาร้องพร้อมกันกับทุกคน หลังจากนั้น ก็หันไปเอ่ยกับทุก ๆ คนว่า “วันนี้ฉันยังมีอีกเพลงหนึ่งด้วยนะ เป็นเพลงที่จะร้องเพลงให้คนที่อยู่ที่นี่คนหนึ่งฟัง”

โอหยางจวิ้นได้ยินมาจนถึงตรงนี้แล้ว ทันใดนั้นเองเลือดในกายทั่วทั้งร่างก็จับตัวแข็งในทันที

ที่แท้แล้ว เขานึกว่าเธอขึ้นไปร้องเพลงบนเวที เป็นเพราะว่าเรื่องราวของพวกเรา แต่ทว่า ในตอนนี้เอง เธอกลับร้องเพลงให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งฟังเสียนี่!

ช่วงทำนองของเพลงดังขึ้น อีกทั้งบวกเข้ากับใบหน้าครึกครื้นของกลุ่มนักดนตรีรอบข้างแล้ว ทันใดนั้นเอง โอหยางจวิ้นก็รู้สึกว่าตนเองนั้นแทบจะไร้หนทางที่จะรออยู่ที่ด้านล่างเวทีอีกต่อไปแล้ว

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น ก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวออกไป

ส่วนหยานโม่หาน นั่งอยู่ที่ด้านล่างของเวทีเงียบ ๆ เขารับรู้อย่างชัดแจ้งว่าสือจินหว่านนั้นจะร้องเพลงให้กับโอหยางจวิ้น แต่ทว่า เขากลับยังอยากที่จะฟัง ต่อให้มันจะเหยียบย่ำลงบนหัวใจเขาก็ตาม

“ถ้าหากว่ามีคนอยู่ที่ประภาคาร เขี่ยเส้นผมของเธอเล่นจนยุ่งเหยิง ครุ่นคิดอยู่บนกำแพงและกระเบื้อง ถ้าหากว่าความรู้สึกมันตีกัน ไม่ได้เอ่ยพูดคำสลวยออกมา แต่ทว่ากับกักเก็บมือแล้วปล่อยมันลง……”

สือจินหว่านเริ่มร้องเพลง ถึงแม่ว่าเธอจะรู้ว่าโอหยางจวิ้นไม่อยู่ แต่ทว่า ก็ยังคงร้องเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ

ที่โถงใหญ่ของคลับด้านนอก โอหยางจวิ้นรู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจของตนเองราวกับว่ามีของอะไรบางอย่างกัดแทะเอาไว้อยู่ ไร้หนทางที่จะสงบ

ยิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น

นัยน์ตาของเขามองไปรอบ ๆ หนึ่งหน ก่อนจะมองเห็นว่ามีบาร์อยู่ตรงหน้าแห่งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงเดินเข้าไป

หลังจากที่สั่งเหล้ามาสองสามแก้วแล้ว โอหยางจวิ้นยกขึ้น ก่อนจะดื่มมันจนหมดรวดเดียว แต่ทว่า ความรู้สึกภายในหัวใจก็ตีรวนกันอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม

ในตอนนั้นเอง เสียงเพลงของสือจินหว่าน แทบจะคล้ายกับลมที่พัดเข้ามาราวกับว่ามีและไม่มี “คนในกระจกพูดคำโกหก แม้กระทั่งหัวใจของตัวเองก็ไม่แน่ใจอย่างนั้นหรือไง? แกล้งทำเป็นหูหนวกหรือว่าเป็นใบ้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วให้ฉันพูดก่อนเลยดีไหม……”

เขาแต่เดิมนั้นก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจฟังว่าเธอร้องอะไร รู้สึกเพียงแค่ว่าเพลงทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ร้องเพลงให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งฟังเท่านั้น หากจะพูดถึงเขานั้น มันล้วนแล้วแต่ทิ่มแทงบาดหูทั้งสิ้น

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว เขาหยิบยกโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลง หลังจากนั้นก็เปิดเพลงที่ชื่อว่ารักตลอดไปที่เธอร้องเพลงให้กับเขาในตอนนั้นฟัง

เขาจงใจเร่งเสียงเพลงให้ดังมากขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นแล้ว มันจึงกดทับเสียงเพลงที่สือจินหว่านร้องอยู่ทางฝั่งนั้น ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

“คนรักแยกจากกันแล้วจะไม่กลับมาเจอกันอีก ไร้ทำพูดที่จะเอ่ยนั่งอยู่ตัวคนเดียวแล้วสบตามองโลกภายนอก ดอกไม้สดใหม่มักจะต้องร่วงโรยไป แต่ทว่ามันจะผลิบานในอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน รักตลอดไป มันหลบซ่อนอยู่ในปุยเมฆสีขาวด้านนอก……”

เขาปิดเปลือกตาลง ราวกับว่ามองเห็นเด็กสาวที่กระตือรือร้นราวกับไฟคนนั้น กำลังถือไมโครโฟนเอาไว้อยู่ ก่อนจะร้องเพลงให้กับเขา ถึงแม้ว่าที่ด้านล่างของเวทีจะมีผู้คนมากมาย แต่ทว่า เธอกลับมองเพียงแค่เขาคนเดียว

ในตอนนั้น เธอนั้นชื่นชอบเขาไปหมดทั้งหัวใจเลยจริง ๆ

รสชาติของแอลกอฮอล์ในริมฝีปากตีตื้นและขมปร่าขึ้นมา โอหยางจวิ้นในตอนนั้น ถึงรับรู้ได้แล้วว่า เขานั้นรู้สึกผิดในภายหลังเสียแล้ว

เขารู้สึกผิดในภายหลังแล้วจริง ๆ!

เขาไม่ควรที่จะผลักเธอออกไป ไม่ควรที่จะพูดคำพูดกระทบจิตใจเหล่านั้นเลย

เขาแค่คิดอยากที่จะกักขังเธอเอาไว้ให้อยู่แต่ในโลกของเขา แล้วก็จะไม่ปล่อยมืออีกเป็นอันขาด!

แต่ทว่า มันสายมากเกินไปแล้วหรือเปล่านะ? ตอนนี้เธอชอบเด็กผู้ชายคนอื่นไปเสียแล้วนี่……

“ความรักของพวกเรามาถึงตอนนี้กำลังดีเลย เหลืออีกไม่มากอีกทั้งก็ไม่สามารถลืมเลือนได้ ฉันควรที่ดูแลตัวเองเอาไว้ให้ดี ระยะห่างของพวกเราในตอนนี้นั้นมันกำลังดี แต่ทว่ากลับไม่พอที่จะให้พวกเราสวมกอดกันได้อีกต่อไปแล้ว ทุ่มแรงใจรักใครคนหนึ่งไปไม่ควรที่จะคิดเล็กคิดน้อย……”

ภายในโถงใหญ่ สือจินหว่านร้องเพลงอยู่ในนั้น ก่อนจะหันไปยิ้มกับทุก ๆ คน “ฉันจะไปตามคนที่วิ่งช้าคนนั้นเอง!”

พูดจบ เธอวางไมโครโฟนลง ก่อนจะสาวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หยานโม่หานสบตามองแผ่นหลังของเธอ มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวนั้นกำหมัดเข้าหากันแน่น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เขาถึงแทบจะไร้หนทางที่จะควบคุมความเจ็บปวดเอาไว้ได้เลย

ใบหน้าหล่อเหล่าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม แทบจะเติบโตขึ้นในทันที

สือจินหว่านสาวเท้าวิ่งออกมาถึงด้านนอก กวาดสายตามองหาไปรอบหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วก็มองเห็นโอหยางจวิ้นที่กำลังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์

ตรงหน้าของเขามีแก้วเปล่าอยู่ห้าแก้วแล้ว ในมือ ก็ยังมีเหล้าที่กำลังดื่มอยู่

เธอเดินมุ่งตรงไปหาเขา ทีละก้าวทีละก้าว ในสายตางุนงงและไม่เข้าใจของเขา ก่อนจะเดินมาจนถึงหน้าของเขาแล้ว

“คุณอาจวิ้นคะ ฉันมาหา ก็เป็นเพราะว่ามีเรื่องจะบอกคุณอาเรื่องหนึ่งค่ะ” สือจินหว่านเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาจริงจัง

หัวใจของเขา มันหนักอึ้งอย่างรุนแรง

เธอประสานสายตามองเขาตรง ๆ ก่อนจะเอ่ยคำออกมาอย่างชัดเจนว่า “วันนี้ฉันเห็นประโยคหนึ่งที่บอกเอาไว้ว่า ไม่ใช่รักทั้งหมดที่จะสามารถหลอมละลายความรู้สึกลึกซึ้ง ทว่ามีความรู้สึกลึกซึ้ง มันกลับไม่ผลิบาน แต่ทว่ากลับแปลเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า”

โอหยางจวิ้นไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของเธอมากนัก แต่ทว่า เมื่อได้ยินคำว่าว่างเปล่าสองคำนั้นแล้ว หัวใจของเขานั้นก็แข็งค้างในทันที หรือว่า เธอจะมาเพื่อที่จะตัดขาดกับเขาอย่างนั้นหรือ?

“หวันหว่าน” หัวใจของโอหยางจวิ้นสับสนเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป ก่อนจะคว้าจับมือของสือจินหว่านเอาไว้

เธอนั้นแทบจะรู้สึกได้เลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงก้าวถอยหลังหลบไปสองสามก้าว

หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นต่อ “คุณอาจวิ้นคะ เรื่องที่ฉันชอบคุณอานั้นมันเป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ว่านะคะ หลังนั้นนี้นั้นฉันเกรงว่าจะต้องกล่าวลากับคุณอาแล้วละค่ะ ตัวฉันคนนี้มักจะเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรเด็ดขาดเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ขอเพียงแค่หันหลังกลับไป ก็จะไม่หันกลับมาอีก! นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะรบกวนคุณอาแล้วนะคะ! หลังจากนั้น ฉันกลับจีนไปแล้ว จะไม่ติดต่ออะไรคุณอาอีก แล้วก็จะไม่มาเจอกับคุณอาอีกด้วย ในอนาคตของพวกเรา ก็จะไม่ได้พบเจอหน้ากันตลอดไปอีกแล้ว……”

เธอพูดจบ ก็หมุนตัวจากไปในทันที

แต่ทว่า พึ่งจะสาวเท้าก้าวยาว ๆ ไปได้เพียงแค่ก้าวเดียว จู่ ๆ มือก็ถูกโอหยางจวิ้นคว้าจับเอาไว้เสียแล้ว เขาดึงเธอเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วในทันที ในตอนที่เธอล้มตัวลงไปในอ้อมกอดของเขานั้น เขาก็สวมกอดเธอเอาไว้ทันที

ลำดับต่อมา ก็ประทับจูบบ้าคลั่งราวกับพายุฝนลงไปแล้ว!

เนื่องจากฝนตกหนักอย่างไม่คาดคิด ดังนั้นงานโปรโมทแจกลายเซ็นจึงยุติลง สือจินหว่านยังไม่ได้ซื้ออัลบั้มที่มีลายเซ็น รู้สึกหดหู่เล็กน้อย เธอจึงไปนั่งรอหยานโม่หานที่ศาลาเล็กๆ

ในเวลานี้ ฝนเริ่มตกหนักขึ้น หยานโม่หานถือร่มเดินมา มองไปรอบๆ ในที่สุดก็เห็นสือจินหว่าน

ภายใต้ม่านฝน ร่างของเธอเลือนรางเล็กน้อย ดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่กำลังหลบฝนในการ์ตูน

จู่ๆเขาก็นึกถึงประโยคหนึ่ง:สิ่งที่สวยงามที่สุดไม่ใช่ช่วงเวลาที่ฝนตก แต่เป็นช่วงเวลาที่ได้หลบฝนใต้ชายคาเดียวกับเธอ

เขาเดินไปหาเธอ มาถึงศาลาก็เก็บร่ม และหันไปมองสือจินหว่าน

“โม่หาน เราจะเข้าไปในห้างเลยไหม?” สือจินหว่านถาม

“รอก่อน” หยานโม่หานพูดพร้อมจับมือสือจินหว่าน

เธอตกใจ: “อะไร?”

เขารีบอธิบายว่า: “มือของเธอเย็นมาก ฉันจะช่วยให้อุ่นขึ้น”

“ไม่เป็นไร ไม่หนาว” สือจินหว่านรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและต้องการดึงออก

หยานโม่หานจับแน่นขึ้น: “หวันหว่าน เป็นแฟนกันนะ!”

เธอทำอะไรไม่ถูก: “โม่หาน วันนั้นฉันก็บอกชัดเจนแล้วนะ!”

เขามองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นยื่นร่มใส่มือของสือจินหว่าน: “หวันหว่าน ถ้าเธอตกลง ก็วิ่งตามฉันมา ถ้าเธอไม่สนใจฉัน ฉันจะถือว่าเธอปฏิเสธ”

ทันทีที่พูดจบ หยานโม่หานก็วิ่งออกไปท่ามกลางสายฝน

“โม่หาน!” สือจินหว่านตะโกน

แต่เขาไม่หยุด

ฝนตกหนักมาก ร่างกายของหยานโม่หานเปียกหมดทันที

สือจินหว่านกังวลใจ นึกถึงพ่อทูนหัวและแม่ทูนหัวฝากหยานโม่หานไว้กับเธอ ถ้าเขาป่วย แถมยังอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ไม่คุ้นเคยกับสถานที่แถมเป็นหวัดเขาจะทำอย่างไร?

เธอไม่สนใจเงื่อนไขที่เขาพูด รีบกางร่มแล้ววิ่งตามออกไป

แม้ว่าหยานโม่หานกำลังวิ่งไป แต่เขาก็ยังคงให้ความสนใจข้างหลังของเขา

เมื่อเขารู้สึกว่าสือจินหว่านกำลังตามมา เขาชะลอและใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม

ไม่นาน ม่านฝนที่อยู่เหนือศีรษะของเขาก็หายไป มีผู้หญิงคนหนึ่งกางร่มอยู่ข้างๆเขา

หยานโม่หานหันศีรษะ ยังคงมีหยดน้ำอยู่บนเส้นผม แต่ดวงตาของเขาเป็นประกายและยิ้มแย้ม: “หวันหว่าน เธอตกลงที่จะเป็นแฟนฉันแล้ว?”

สือจินหว่านถอนหายใจ “โม่หาน ฉันแค่กลัวว่านายจะเป็นหวัด”

เขาไม่สนใจ: “ฉันจริงจังมากกับสิ่งที่พูดในวันนั้น ฉันจะยืนกราน เว้นแต่เธอจะมีแฟนจริงๆ และแต่งงานกับเขา”

“โม่หาน ฉัน–” สือจินหว่านยอมจำนน: “แล้วแต่เธอละกัน เพราะฉันบอกแล้วว่านายเป็นแค่น้องชาย ที่ฉันเป็นห่วงก็เพราะนายคือน้องชายของฉัน!”

“น้องชาย?” หยานโม่หานเกลียดคำนี้ เขาหันกลับมาอย่างกะทันหัน ฉวยโอกาสตอนที่สือจินหว่านกำลังถือร่ม เอื้อมมือไปโอบเธอ: “ตอนนี้ยังคิดว่าฉันเป็นน้องชายอยู่ไหม?”

ในเวลานี้ มีร่มอันหนึ่งร่วงหล่นตกลงที่พื้นจากระยะใกล้ๆ

โอหยางจวิ้นเห็นภาพโอบกอดท่ามกลางสายฝน ชัดเจนกว่าภาพที่หลานเสี่ยวถางพูด!

เม็ดฝนตกลงมาบนใบหน้าของเขา และในไม่ช้า เสื้อของเขาก็เปียก หนาวเย็นไปทั้งร่างกาย

เขาไม่เคยรู้สึกหนาวขนาดนี้มาก่อน

สาวน้อยที่เขาเฝ้าดูแลมา18ปี รอจนเธอเติบโตเป็นสาว ได้จากเขาไปแล้ว!

นี่คือรสชาติของความเสียใจที่แท้จริง!

ต่างจากความรู้สึกตอนบอกเลิกที่เขาซ่อนไว้ และมันก็ต่างจากความเจ็บปวดที่เห็นสือจินหว่านยิ้มให้หยานโม่หาน

มีความรู้สึกปวดใจนับพันเกิดขึ้นในใจ เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน มองดูคนสองคนใช้ร่มร่วมกัน แข็งทื่อไม่สามารถขยับได้!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฝนก็ค่อยๆหยุด มีคนเดินผ่านโอหยางจวิ้น และเห็นว่าเขาผิดปกติ อดไม่ได้ที่จะถามว่า: “คุณผู้ชาย เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เขาค่อยๆลืมตาขึ้น “หืม?”

“คุณผู้ชาย ร่มของคุณตกแล้ว” ชายคนนั้นชี้ไปที่ร่มที่อยู่ห่างจากโอหยางจวิ้น 2 เมตร

“อืม ขอบคุณนะ” เขาค่อยๆเดินไปหยิบร่มขึ้นมา และออกจากตรงนั้น

ตอนเที่ยงของวันนั้น สือจินหว่านและหยานโม่หานทานอาหารในห้าง ในตอนบ่าย เธอขับรถพาเขาไปที่จุดชมวิวที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อพวกเขากลับถึงบ้านก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว

ขณะที่กำลังจะกลับห้อง สือจินหว่านเห็นคนใช้สองคนพาหมอไปที่ชั้นบน

“เกิดอะไรขึ้น?” หัวใจของสือจินหว่านเต้นแรง

“คุณ Bojan ไม่สบายเป็นไข้” คนใช้ตอบ

“อาจวิ้นไม่สบายเหรอ?” สือจินหว่านกังวล ในความทรงจำของเธอ เขาไม่ค่อยเป็นหวัดหรือไม่สบาย

ดังนั้น เธอจึงรีบตามหมอไปที่ห้องของโอหยางจวิ้น

หมอได้ทำการวัดอุณหภูมิ จากนั้นจ่ายยาให้เขา และคนใช้ก็นำยาให้โอหยานจวิ้น

ขณะที่เขาเห็นสือจินหว่านเขายังมีสติสัมปชัญญะ เข็มกำลังเจาะเข้าที่ผิวหนังของเขา เขาหลับตาลงและผล็อยหลับไป

หลังจากที่หมอทำทุกอย่างเสร็จ สือจินหว่านรีบถาม: “หมอ อาจวิ้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

“คุณ Bojan มีไข้สูง 39.4 องศา ดูเหมือนจะไม่มีความอยากอาหาร ยาที่กินไปก่อนหน้านี้ก็อาเจียนออกมา ก็เลยต้องฉีดยา คุณหวันหว่านไม่ต้องกังวล การฉีดเข้าเส้นเลือดได้ผลดี คุณ Bojan จะไม่เป็นอะไร”

“อืม โอเค” สือจินหว่านพยักหน้าและส่งหมอออกไป จากนั้นกลับมานั่งข้างโอหยางจวิ้น

“คุณหวันหว่าน ไปพักผ่อนเถอะค่ะ ทางนี้เราจะดูแล” คนใช้พูด

“ไม่เป็นไร ฉันดูแลเอง!” สือจินหว่านบิดผ้าเช็ดตัวและวางบนหน้าผากของโอหยางจวิ้น: “พวกเธอออกไปข้างนอกเถอะ ฉันอยู่ดูแลเขาข้างใน ถ้ามีอะไรฉันจะเรียก”

เมื่อคนใช้เห็นสือจินหว่านยืนกรานจึงพยักหน้าแล้วเดินจากไป

ในห้องนั้น เหลือเพียงสือจินหว่านและโอหยางจวิ้นเท่านั้น

เธอมองดูใบหน้าที่กำลังหลับใหลของเขา และความคิดก็ผุดขึ้น: “อาจวิ้น อาบอกว่าไม่ชอบฉัน แล้วทำไมหลายปีมานี้อายังโสด? อากำลังรออะไรอยู่กันแน่?!”

เห็นได้ชัดว่าเขาหลับสนิท ไม่มีเสียงตอบรับ

เธอไม่สนใจและยังคงช่วยเขาเช็ดหน้าผาก

เวลาล่วงเลยผ่านไป จนกระทั่งหมอเข้ามาวัดอุณหภูมิของโอหยางจวิ้นอีกครั้ง และพบว่าไข้ลดลงแล้ว

ในเวลานี้ หมอฉีดยาเสร็จ ดึงเข็มออก และบอกว่าโอหยางจวิ้นไม่มีอาการอักเสบ ไม่ใช่การติดเชื้อไวรัส ดังนั้นจึงให้สือจินหว่านคอยดูอุณหภูมิของเขา

ค่ำคืนมืดมิด สือจินหว่านเอาเก้าอี้มานั่งเฝ้าข้างเตียง วางมือข้างหนึ่งไว้บนขอบเตียงและเฝ้าอย่างเงียบๆ

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงตอนที่เธอไม่สบายเมื่อยังเป็นเด็ก เขาเองก็ดูแลเธอเช่นนี้เหมือนกัน

วันนี้มาถึง ในที่สุดเธอก็เติบโตขึ้นและสามารถดูแลเขาได้อย่างดี

ในกลางดึก มีเพียงแสงสลัวในห้อง โอหยางจวิ้นตื่นขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ ก่อนที่จะกระจ่างเขาก็เห็นสือจินหว่านที่อยู่ข้างๆ

หัวใจของเขาเต้นแรง ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาก่อนสมอง เขาเอื้อมมือออกไปและจับมือเธอ

ในขณะนี้ สือจินหว่านกำลังงีบหลับ การเคลื่อนไหวของโอหยางจวิ้นทำให้เธอตื่น แต่มือของเธอถูกเขาจับแล้ว

เธอรีบพูดขึ้น: “อาจวิ้น ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”

เขากำลังสะลึมสะลือ ไม่ได้ยินเธออย่างชัดเจน เขารู้สึกเพียงว่าเธอดูสวยมากภายใต้แสงสลัวที่เขาไม่สามารถละสายตาได้

เขาจ้องมองอยู่นาน สมองของเขาก็ค่อยๆจำได้ว่าสาวน้อยของเขากำลังคบกับคนอื่น

ใช่ เธอกำลังคบกับหยานโม่หาน เขาเห็นกับตาของเขาเอง

ขณะนั้น ตัวเขาเปียกชุ่มไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าเดินอยู่กลางถนนนานเท่าไหร่ จนเขาได้สติจึงเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

เมื่อเขากลับถึงบ้าน ท้องฟ้าก็มืดแล้ว แต่ทั้งเธอและหยานโม่หานยังไม่กลับ

เพราะงั้นพวกเขาน่าจะอยู่ด้วยกัน แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงมาอยู่ข้างเตียงเขา?

หรือมันจะเป็นความฝัน?

มีเพียงในฝันเท่านั้นที่เธอจะใกล้ชิดกับเขา มีเพียงในความฝันเท่านั้นที่เขากล้าทำในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้…

โอหยางจวิ้นดึงสือจินหว่าน เพราะเขาไม่ได้ดื่มน้ำมาเป็นเวลานาน คอของเขาแหบแห้งเล็กน้อย: “หวันหว่าน”

เธอพยักหน้า: “อาจวิ้น อาอยากดื่มน้ำไหม?”

เขาส่ายหัวและมองเธอ: “ไม่ แค่เธออยู่ข้างๆอาก็พอ”

เขากลัวว่าเธอจะหายไป หายไปจากความฝันของเขา

เธอจึงนั่งลงข้างเตียงและมองดูเขาอย่างเงียบๆ

เขาจับมือเธอไว้แน่น ดวงตาของเขาไม่ละสายตาไปจากเธอ

จนกระทั่ง สือจินหว่านอยากเข้าห้องน้ำ เธอจึงพูดว่า: “อาจวิ้น ฉันขอไปห้องน้ำก่อน แล้วจะรีบกลับมา”

เขาไม่ปล่อย แต่เธอออกแรงดึงมือออก

เขาตื่นตระหนกเมื่อเห็นเธอลุกขึ้นและเดินจากไป

แม้แต่ในความฝันก็ยังทิ้งเขา?

หัวใจของโอหยางจวิ้นค่อยๆแตกสลาย

หลังจากนั้นไม่นาน สือจินหว่านก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้น หัวใจของโอหยางจวิ้นก็เป็นประกาย เพราะกลัวว่าเธอจะหายไปอีก เขาจึงรีบลุกออกจากผ้าห่ม

สือจินหว่านตกใจและรีบเดินเข้าไป: “อาจวิ้น อา–”

คำพูดที่เหลือของเธอติดอยู่ในลำคอ

เขากอดเธอแน่น ลดศีรษะลงและแนบไว้ที่ไหล่ของเธอ เสียงของเขาเศร้า: “หวันหว่าน อาคิดว่าเธอจะไม่กลับมาอีกแล้ว!”

ใจเธอสั่นเมื่อได้ยินคำนี้ รู้สึกเจ็บปวด: “อาจวิ้น ทำไมฉันจะไม่กลับมาล่ะ?”

เขากอดแน่นขึ้นอีก ราวกับจะสิงเข้าไปในตัวเธอ: “มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่กล้ากอดเธอเช่นนี้”

คำพูดของเขาระเบิดในแก้วหู ความคิดก็ปรากฏขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของสือจินหว่าน หรือว่าการปฏิเสธครั้งก่อนของเขาเกิดจากความลำบากใจ?!

เธอยื่นแขนออกและตบหลังโอหยางจวิ้นเบาๆ เมื่อเขาผ่อนคลายลง เธอถามเขาว่า: “อาจวิ้น ทำไมถึงไม่กล้า?”

เขามึนงง เขาเริ่มรู้สึกว่ามันเหมือนความจริง แต่ก็รู้สึกเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็โพล่งออกมา: “อาไม่อยากให้สุดท้ายเธอต้องใช้ชีวิตคนเดียว”

ดวงตาของสือจินหว่านเบิกกว้างขึ้นทันที ในที่สุดเธอก็รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหันเช่นนั้น!

ที่แท้ เขากลัวว่าจะทิ้งเธอไว้คนเดียว! ดังนั้นจึงผลักไสเธอออกไปอย่างเจ็บปวด?

เขารู้หรือไม่ว่าเรื่องในอนาคตควรคิดในอนาคต ไม่ต้องพูดถึงว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ตอนนี้ดีขนาดไหน ไม่ว่ายังไงเธอก็เต็มใจที่จะอยู่กับเขา!

เธอใช้กำลังเล็กน้อยดึงแขนเขาออก แล้วมองเขา: “อาอยากอยู่คนเดียวตลอดไปเหรอ?”

เขาถอนหายใจอย่างแผ่วเบา: “เมื่อเธอแต่งงาน อาเองก็ต้องจัดการตัวเองมีลูกมีครอบครัว หาคนที่ไม่ได้รักมาใช้ชีวิตด้วย…”

กล้าที่จะหาคนที่ไม่รัก ยังบอกว่าจะใช้ชีวิตด้วยกัน ดีมาก! ในที่สุดสือจินหว่านก็เข้าใจสิ่งที่โอหยางจวิ้นกำลังคิด ทันใดนั้นเธอก็เกิดความคิด

เนื่องจากฝนตกหนักอย่างไม่คาดคิด ดังนั้นงานโปรโมทแจกลายเซ็นจึงยุติลง สือจินหว่านยังไม่ได้ซื้ออัลบั้มที่มีลายเซ็น รู้สึกหดหู่เล็กน้อย เธอจึงไปนั่งรอหยานโม่หานที่ศาลาเล็กๆ

ในเวลานี้ ฝนเริ่มตกหนักขึ้น หยานโม่หานถือร่มเดินมา มองไปรอบๆ ในที่สุดก็เห็นสือจินหว่าน

ภายใต้ม่านฝน ร่างของเธอเลือนรางเล็กน้อย ดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่กำลังหลบฝนในการ์ตูน

จู่ๆเขาก็นึกถึงประโยคหนึ่ง:สิ่งที่สวยงามที่สุดไม่ใช่ช่วงเวลาที่ฝนตก แต่เป็นช่วงเวลาที่ได้หลบฝนใต้ชายคาเดียวกับเธอ

เขาเดินไปหาเธอ มาถึงศาลาก็เก็บร่ม และหันไปมองสือจินหว่าน

“โม่หาน เราจะเข้าไปในห้างเลยไหม?” สือจินหว่านถาม

“รอก่อน” หยานโม่หานพูดพร้อมจับมือสือจินหว่าน

เธอตกใจ: “อะไร?”

เขารีบอธิบายว่า: “มือของเธอเย็นมาก ฉันจะช่วยให้อุ่นขึ้น”

“ไม่เป็นไร ไม่หนาว” สือจินหว่านรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและต้องการดึงออก

หยานโม่หานจับแน่นขึ้น: “หวันหว่าน เป็นแฟนกันนะ!”

เธอทำอะไรไม่ถูก: “โม่หาน วันนั้นฉันก็บอกชัดเจนแล้วนะ!”

เขามองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นยื่นร่มใส่มือของสือจินหว่าน: “หวันหว่าน ถ้าเธอตกลง ก็วิ่งตามฉันมา ถ้าเธอไม่สนใจฉัน ฉันจะถือว่าเธอปฏิเสธ”

ทันทีที่พูดจบ หยานโม่หานก็วิ่งออกไปท่ามกลางสายฝน

“โม่หาน!” สือจินหว่านตะโกน

แต่เขาไม่หยุด

ฝนตกหนักมาก ร่างกายของหยานโม่หานเปียกหมดทันที

สือจินหว่านกังวลใจ นึกถึงพ่อทูนหัวและแม่ทูนหัวฝากหยานโม่หานไว้กับเธอ ถ้าเขาป่วย แถมยังอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ไม่คุ้นเคยกับสถานที่แถมเป็นหวัดเขาจะทำอย่างไร?

เธอไม่สนใจเงื่อนไขที่เขาพูด รีบกางร่มแล้ววิ่งตามออกไป

แม้ว่าหยานโม่หานกำลังวิ่งไป แต่เขาก็ยังคงให้ความสนใจข้างหลังของเขา

เมื่อเขารู้สึกว่าสือจินหว่านกำลังตามมา เขาชะลอและใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม

ไม่นาน ม่านฝนที่อยู่เหนือศีรษะของเขาก็หายไป มีผู้หญิงคนหนึ่งกางร่มอยู่ข้างๆเขา

หยานโม่หานหันศีรษะ ยังคงมีหยดน้ำอยู่บนเส้นผม แต่ดวงตาของเขาเป็นประกายและยิ้มแย้ม: “หวันหว่าน เธอตกลงที่จะเป็นแฟนฉันแล้ว?”

สือจินหว่านถอนหายใจ “โม่หาน ฉันแค่กลัวว่านายจะเป็นหวัด”

เขาไม่สนใจ: “ฉันจริงจังมากกับสิ่งที่พูดในวันนั้น ฉันจะยืนกราน เว้นแต่เธอจะมีแฟนจริงๆ และแต่งงานกับเขา”

“โม่หาน ฉัน–” สือจินหว่านยอมจำนน: “แล้วแต่เธอละกัน เพราะฉันบอกแล้วว่านายเป็นแค่น้องชาย ที่ฉันเป็นห่วงก็เพราะนายคือน้องชายของฉัน!”

“น้องชาย?” หยานโม่หานเกลียดคำนี้ เขาหันกลับมาอย่างกะทันหัน ฉวยโอกาสตอนที่สือจินหว่านกำลังถือร่ม เอื้อมมือไปโอบเธอ: “ตอนนี้ยังคิดว่าฉันเป็นน้องชายอยู่ไหม?”

ในเวลานี้ มีร่มอันหนึ่งร่วงหล่นตกลงที่พื้นจากระยะใกล้ๆ

โอหยางจวิ้นเห็นภาพโอบกอดท่ามกลางสายฝน ชัดเจนกว่าภาพที่หลานเสี่ยวถางพูด!

เม็ดฝนตกลงมาบนใบหน้าของเขา และในไม่ช้า เสื้อของเขาก็เปียก หนาวเย็นไปทั้งร่างกาย

เขาไม่เคยรู้สึกหนาวขนาดนี้มาก่อน

สาวน้อยที่เขาเฝ้าดูแลมา18ปี รอจนเธอเติบโตเป็นสาว ได้จากเขาไปแล้ว!

นี่คือรสชาติของความเสียใจที่แท้จริง!

ต่างจากความรู้สึกตอนบอกเลิกที่เขาซ่อนไว้ และมันก็ต่างจากความเจ็บปวดที่เห็นสือจินหว่านยิ้มให้หยานโม่หาน

มีความรู้สึกปวดใจนับพันเกิดขึ้นในใจ เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน มองดูคนสองคนใช้ร่มร่วมกัน แข็งทื่อไม่สามารถขยับได้!

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฝนก็ค่อยๆหยุด มีคนเดินผ่านโอหยางจวิ้น และเห็นว่าเขาผิดปกติ อดไม่ได้ที่จะถามว่า: “คุณผู้ชาย เป็นอะไรหรือเปล่า?”

เขาค่อยๆลืมตาขึ้น “หืม?”

“คุณผู้ชาย ร่มของคุณตกแล้ว” ชายคนนั้นชี้ไปที่ร่มที่อยู่ห่างจากโอหยางจวิ้น 2 เมตร

“อืม ขอบคุณนะ” เขาค่อยๆเดินไปหยิบร่มขึ้นมา และออกจากตรงนั้น

ตอนเที่ยงของวันนั้น สือจินหว่านและหยานโม่หานทานอาหารในห้าง ในตอนบ่าย เธอขับรถพาเขาไปที่จุดชมวิวที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อพวกเขากลับถึงบ้านก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว

ขณะที่กำลังจะกลับห้อง สือจินหว่านเห็นคนใช้สองคนพาหมอไปที่ชั้นบน

“เกิดอะไรขึ้น?” หัวใจของสือจินหว่านเต้นแรง

“คุณ Bojan ไม่สบายเป็นไข้” คนใช้ตอบ

“อาจวิ้นไม่สบายเหรอ?” สือจินหว่านกังวล ในความทรงจำของเธอ เขาไม่ค่อยเป็นหวัดหรือไม่สบาย

ดังนั้น เธอจึงรีบตามหมอไปที่ห้องของโอหยางจวิ้น

หมอได้ทำการวัดอุณหภูมิ จากนั้นจ่ายยาให้เขา และคนใช้ก็นำยาให้โอหยานจวิ้น

ขณะที่เขาเห็นสือจินหว่านเขายังมีสติสัมปชัญญะ เข็มกำลังเจาะเข้าที่ผิวหนังของเขา เขาหลับตาลงและผล็อยหลับไป

หลังจากที่หมอทำทุกอย่างเสร็จ สือจินหว่านรีบถาม: “หมอ อาจวิ้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

“คุณ Bojan มีไข้สูง 39.4 องศา ดูเหมือนจะไม่มีความอยากอาหาร ยาที่กินไปก่อนหน้านี้ก็อาเจียนออกมา ก็เลยต้องฉีดยา คุณหวันหว่านไม่ต้องกังวล การฉีดเข้าเส้นเลือดได้ผลดี คุณ Bojan จะไม่เป็นอะไร”

“อืม โอเค” สือจินหว่านพยักหน้าและส่งหมอออกไป จากนั้นกลับมานั่งข้างโอหยางจวิ้น

“คุณหวันหว่าน ไปพักผ่อนเถอะค่ะ ทางนี้เราจะดูแล” คนใช้พูด

“ไม่เป็นไร ฉันดูแลเอง!” สือจินหว่านบิดผ้าเช็ดตัวและวางบนหน้าผากของโอหยางจวิ้น: “พวกเธอออกไปข้างนอกเถอะ ฉันอยู่ดูแลเขาข้างใน ถ้ามีอะไรฉันจะเรียก”

เมื่อคนใช้เห็นสือจินหว่านยืนกรานจึงพยักหน้าแล้วเดินจากไป

ในห้องนั้น เหลือเพียงสือจินหว่านและโอหยางจวิ้นเท่านั้น

เธอมองดูใบหน้าที่กำลังหลับใหลของเขา และความคิดก็ผุดขึ้น: “อาจวิ้น อาบอกว่าไม่ชอบฉัน แล้วทำไมหลายปีมานี้อายังโสด? อากำลังรออะไรอยู่กันแน่?!”

เห็นได้ชัดว่าเขาหลับสนิท ไม่มีเสียงตอบรับ

เธอไม่สนใจและยังคงช่วยเขาเช็ดหน้าผาก

เวลาล่วงเลยผ่านไป จนกระทั่งหมอเข้ามาวัดอุณหภูมิของโอหยางจวิ้นอีกครั้ง และพบว่าไข้ลดลงแล้ว

ในเวลานี้ หมอฉีดยาเสร็จ ดึงเข็มออก และบอกว่าโอหยางจวิ้นไม่มีอาการอักเสบ ไม่ใช่การติดเชื้อไวรัส ดังนั้นจึงให้สือจินหว่านคอยดูอุณหภูมิของเขา

ค่ำคืนมืดมิด สือจินหว่านเอาเก้าอี้มานั่งเฝ้าข้างเตียง วางมือข้างหนึ่งไว้บนขอบเตียงและเฝ้าอย่างเงียบๆ

ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงตอนที่เธอไม่สบายเมื่อยังเป็นเด็ก เขาเองก็ดูแลเธอเช่นนี้เหมือนกัน

วันนี้มาถึง ในที่สุดเธอก็เติบโตขึ้นและสามารถดูแลเขาได้อย่างดี

ในกลางดึก มีเพียงแสงสลัวในห้อง โอหยางจวิ้นตื่นขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ ก่อนที่จะกระจ่างเขาก็เห็นสือจินหว่านที่อยู่ข้างๆ

หัวใจของเขาเต้นแรง ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาก่อนสมอง เขาเอื้อมมือออกไปและจับมือเธอ

ในขณะนี้ สือจินหว่านกำลังงีบหลับ การเคลื่อนไหวของโอหยางจวิ้นทำให้เธอตื่น แต่มือของเธอถูกเขาจับแล้ว

เธอรีบพูดขึ้น: “อาจวิ้น ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”

เขากำลังสะลึมสะลือ ไม่ได้ยินเธออย่างชัดเจน เขารู้สึกเพียงว่าเธอดูสวยมากภายใต้แสงสลัวที่เขาไม่สามารถละสายตาได้

เขาจ้องมองอยู่นาน สมองของเขาก็ค่อยๆจำได้ว่าสาวน้อยของเขากำลังคบกับคนอื่น

ใช่ เธอกำลังคบกับหยานโม่หาน เขาเห็นกับตาของเขาเอง

ขณะนั้น ตัวเขาเปียกชุ่มไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าเดินอยู่กลางถนนนานเท่าไหร่ จนเขาได้สติจึงเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

เมื่อเขากลับถึงบ้าน ท้องฟ้าก็มืดแล้ว แต่ทั้งเธอและหยานโม่หานยังไม่กลับ

เพราะงั้นพวกเขาน่าจะอยู่ด้วยกัน แล้วทำไมตอนนี้เธอถึงมาอยู่ข้างเตียงเขา?

หรือมันจะเป็นความฝัน?

มีเพียงในฝันเท่านั้นที่เธอจะใกล้ชิดกับเขา มีเพียงในความฝันเท่านั้นที่เขากล้าทำในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้…

โอหยางจวิ้นดึงสือจินหว่าน เพราะเขาไม่ได้ดื่มน้ำมาเป็นเวลานาน คอของเขาแหบแห้งเล็กน้อย: “หวันหว่าน”

เธอพยักหน้า: “อาจวิ้น อาอยากดื่มน้ำไหม?”

เขาส่ายหัวและมองเธอ: “ไม่ แค่เธออยู่ข้างๆอาก็พอ”

เขากลัวว่าเธอจะหายไป หายไปจากความฝันของเขา

เธอจึงนั่งลงข้างเตียงและมองดูเขาอย่างเงียบๆ

เขาจับมือเธอไว้แน่น ดวงตาของเขาไม่ละสายตาไปจากเธอ

จนกระทั่ง สือจินหว่านอยากเข้าห้องน้ำ เธอจึงพูดว่า: “อาจวิ้น ฉันขอไปห้องน้ำก่อน แล้วจะรีบกลับมา”

เขาไม่ปล่อย แต่เธอออกแรงดึงมือออก

เขาตื่นตระหนกเมื่อเห็นเธอลุกขึ้นและเดินจากไป

แม้แต่ในความฝันก็ยังทิ้งเขา?

หัวใจของโอหยางจวิ้นค่อยๆแตกสลาย

หลังจากนั้นไม่นาน สือจินหว่านก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้น หัวใจของโอหยางจวิ้นก็เป็นประกาย เพราะกลัวว่าเธอจะหายไปอีก เขาจึงรีบลุกออกจากผ้าห่ม

สือจินหว่านตกใจและรีบเดินเข้าไป: “อาจวิ้น อา–”

คำพูดที่เหลือของเธอติดอยู่ในลำคอ

เขากอดเธอแน่น ลดศีรษะลงและแนบไว้ที่ไหล่ของเธอ เสียงของเขาเศร้า: “หวันหว่าน อาคิดว่าเธอจะไม่กลับมาอีกแล้ว!”

ใจเธอสั่นเมื่อได้ยินคำนี้ รู้สึกเจ็บปวด: “อาจวิ้น ทำไมฉันจะไม่กลับมาล่ะ?”

เขากอดแน่นขึ้นอีก ราวกับจะสิงเข้าไปในตัวเธอ: “มีเพียงช่วงเวลานี้เท่านั้น ที่กล้ากอดเธอเช่นนี้”

คำพูดของเขาระเบิดในแก้วหู ความคิดก็ปรากฏขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจของสือจินหว่าน หรือว่าการปฏิเสธครั้งก่อนของเขาเกิดจากความลำบากใจ?!

เธอยื่นแขนออกและตบหลังโอหยางจวิ้นเบาๆ เมื่อเขาผ่อนคลายลง เธอถามเขาว่า: “อาจวิ้น ทำไมถึงไม่กล้า?”

เขามึนงง เขาเริ่มรู้สึกว่ามันเหมือนความจริง แต่ก็รู้สึกเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็โพล่งออกมา: “อาไม่อยากให้สุดท้ายเธอต้องใช้ชีวิตคนเดียว”

ดวงตาของสือจินหว่านเบิกกว้างขึ้นทันที ในที่สุดเธอก็รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหันเช่นนั้น!

ที่แท้ เขากลัวว่าจะทิ้งเธอไว้คนเดียว! ดังนั้นจึงผลักไสเธอออกไปอย่างเจ็บปวด?

เขารู้หรือไม่ว่าเรื่องในอนาคตควรคิดในอนาคต ไม่ต้องพูดถึงว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ตอนนี้ดีขนาดไหน ไม่ว่ายังไงเธอก็เต็มใจที่จะอยู่กับเขา!

เธอใช้กำลังเล็กน้อยดึงแขนเขาออก แล้วมองเขา: “อาอยากอยู่คนเดียวตลอดไปเหรอ?”

เขาถอนหายใจอย่างแผ่วเบา: “เมื่อเธอแต่งงาน อาเองก็ต้องจัดการตัวเองมีลูกมีครอบครัว หาคนที่ไม่ได้รักมาใช้ชีวิตด้วย…”

กล้าที่จะหาคนที่ไม่รัก ยังบอกว่าจะใช้ชีวิตด้วยกัน ดีมาก! ในที่สุดสือจินหว่านก็เข้าใจสิ่งที่โอหยางจวิ้นกำลังคิด ทันใดนั้นเธอก็เกิดความคิด

ทุกคนรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกัน เป็นเพราะว่าเวลาที่สือจินหว่านกับกลุ่มนักดนตรีนัดแนะกันนั้นคือตอนบ่ายสามโมง ดังนั้นยังคงพอมีเวลาอยู่นิดหน่อย

หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว สือจินหว่านไปห้องพักของหยานโม่หาน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเขาว่า “โม่หาน ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”

หยานโม่หานตกตะลึงเล็กน้อย เขาพยักหน้า ก่อนจะชี้ไปยังโซฟาภายในห้องพัก “นั่งพูดแล้วกันนะครับ”

สือจินหว่านไม่ได้นั่งลงไป แต่ทว่ากลับเดินไปปิดประตูแทน “โม่หาน ก่อนหน้านี้น่ะ ที่นายมักจะสงสัยอยู่เสมอเลยว่าที่ฉันบอกว่ามีคนที่ชอบแล้ว นั่นก็คือนายใช่ไหม? อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่หรอกนะ”

หัวใจของหยานโม่หานหนักอึ้ง นี่เธอกำลังจะตัดความหวังเส้นสุดท้ายของเขาใช่ไหม?

เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ก่อนจะรอคอยประโยคถัดไปของสือจินหว่าน

“โม่หาน อันที่จริงแล้วฉันเมื่อหกปีก่อนหน้านี้ ก็ชอบเขาไปเสียแล้วล่ะ” สือจินหว่านสูดลมหายใจลึก ๆ แรง ๆ ครั้งหนึ่ง “ฉันชอบคุณอาจวิ้น!”

หยานโม่หานฟังมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็ตะลึงลานในทันที

เนิ่นนานราวกับครึ่งวัน เขาถึงมีปฏิกิริยาตอบกลับมา “หวันหว่าน พี่กำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? เขาไม่ได้เป็นคุณอาของพี่หรอกหรือไง?!”

สือจินหว่านเอ่ยว่า “ใช่ แต่ว่านะ พวกเราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรกันเลย ฉันอยู่ที่เพอร์เซลล์หลายปีมานี้ ในตอนแรกเริ่ม พวกเราก็แค่มีความรู้สึกของครอบครัวกันเท่านั้น แต่ทว่าหลังจากที่ฉันโตมาแล้ว……สรุป ฉันรับรู้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว ฉันชอบเขา อีกอย่างหนึ่งนะ เขาเองก็ชอบฉันด้วย!”

“หวันหว่าน พี่บ้าไปแล้วหรือไง?!” ลมหายใจของหยานโม่หานแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงขึ้นมาทันที แม้กระทั่งที่หน้าผากก็ยังมีรอยเขียวด้วย “ผมนึกมาโดยตลอดเลยว่าคนคนนั้นคือเฉียวซือ ก็เลยช่างมันไปแล้ว แต่ทำไมต้องเป็นเขาด้วย?! หวันหว่าน พี่รู้หรือเปล่า ว่าเขาอายุมากกว่าพี่ไปกี่ปี?!”

“โม่หาน ที่ฉันพึ่งจะมาบอกนายเอาตอนนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่ามันคือผลลัพธ์ของการครุ่นคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนั่น ตอนนี้ก็ช่างมันไปแล้ว ฉันพิจารณาแล้ว” สือจินหว่านยกยิ้มหัวเราะเยาะตนเองหนหนึ่ง “ถ้าหากว่าเหตุผลนั้นสามารถควบคุมความรู้สึกทั้งหมดได้เอาไว้ บางทีฉันกับเขา ก็คงล้วนแล้วแต่ไม่สามารถประคับประคองกันมาได้ถึงวันนี้หรอก! แต่ว่าความรู้สึกเช่นนี้จริง ๆ นั้น มันถึงจะเป็นสิ่งของที่ล้ำค่ามากที่สุด โม่หาน นายควรที่จะเข้าใจนะ!”

หยานโม่หานสบตามองนัยน์ตาและท่าทางจริงจังของสือจินหว่าน หัวใจค่อย ๆ แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทีละเล็กทีละน้อย เขาหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาหวิวเป็นอย่างมาก “หวันหว่าน เป็นเพราะว่าผมมาที่โลกนี้ช้ามากเกินไปอย่างนั้นหรือ? ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าผมจะพยายามอีกครั้งอย่างไร ภายในหัวใจของพี่ ก็ยังคงสู้เขาไม่ได้สินะ……”

“โม่หาน ไม่ใช่ว่านายเทียบกับเขาไม่ได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าฉันพบเจอเขาก่อน ชอบเขาไปก่อนต่างหาก” สือจินหว่านเอ่ย “เขาดีต่อฉันมากมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว นายรู้ไหม มีครั้งหนึ่งที่ชายหาด ฉันพบเจอเข้ากับอันตรายถูกคนขู่บังคับ เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเขาสามารถสู้กับคนเหล่านั้นได้ แต่ทว่าคนเหล่านั้นถือมีดมาจ่อเอาไว้ที่คอของฉัน ให้เขาคุกเข่าลงเพื่อที่จะให้พวกมันทำร้าย เขานั้นวางศักดิ์ศรีลงไปจริง ๆ……”

“เขาเป็นผู้รับช่วงต่อของตระกูลเพอร์เซลล์ เป็นคนที่หยิ่งทะนงคนหนึ่ง แต่ทว่าเพื่อฉันแล้ว เขากลับทำเรื่องราวมากมาย…..”สือจินหว่านเอ่ย “ตอนนี้ ที่เขาไม่ได้เลือกที่จะอยู่ด้วยกันกับฉัน ไม่ได้เป็นเพราะว่าไม่ชอบ แต่ทว่ากลัวว่าจะดูแลฉันได้ไม่ดี ฉันจะสามารถมองเห็นเขาอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไรกัน?!”

“หวันหว่าน ที่พี่พูดเรื่องพวกนี้ออกมา ถ้าหากว่าผมเกิดก่อนหน้านี้สักสิบปี ผมเองก็สามารถทำได้เหมือนกันนะ!” นัยน์ตาดำขลับของหยานโม่หานเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “เพียงแต่ว่าเสียดายจังเลยครับ เวลาที่ผมแพ้ไปให้น่ะ……”

“โม่หาน ขอโทษนะ นายจะต้องพบเจอกับผู้หญิงที่จะสามารถเคียงข้างนายไปทั้งชีวิตได้แน่ ๆ เธอเองก็จะชอบนายมาก พวกนายจะมีความสุขมากแน่ ๆ” สือจินหว่านเอ่ย “สองสามปีมานี้ ขอบคุณนายมาก ๆ เลยนะที่ดีต่อฉันมากขนาดนี้!”

เมื่อได้ฟังจนถึงตรงนี้แล้ว นัยน์ตาของหยานโม่หานร้อนผะผ่าวขึ้นในทันที ก่อนจะมีหยาดน้ำตาไหลกลิ้งลงมาแล้ว

เขารีบลุกขึ้นหมุนตัวไปในทันที ไม่มองเธออีกต่อไปแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อยว่า “หวันหว่าน ผมรับปากพี่นะครับ หลังจากนี้จะไม่สร้างความวุ่นวายให้กับพี่อีกต่อไปแล้ว”

ถึงแม้ว่าฉันจะรักเธอ ก็ขอเพียงแค่ให้ได้รักเช่นนี้ รักคงอยู่เมืองของตนเอง วาดฝันมันเอาไว้เพื่อกักขังตนเอง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว……

สือจินหว่านเห็นหยานโม่หานรู้สึกแย่ เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรที่จะปลอบประโลมเขาอย่างไรดี เธอตบเข้าที่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ สองสามที เขารีบหันกลับมาทันที ก่อนจะยื่นมือไปสวมกอดเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา

เนิ่นนาน เขาถึงปล่อยออกมา หลังจากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ก็เปิดประตูออกมาแล้ว

“โม่หาน ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันไปก่อนนะ” สือจินหว่านเอ่ยก็รู้สึกแย่เล็กน้อย “พวกกลุ่มนักดนตรีตอนบ่าย……”

“ผมจะไปครับ” หยานโม่หานเอ่ยขึ้น “ปิดเทอมฤดูร้อนนี้ ผมจะอยู่ครับ”

นี่เกรงว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เขากับเธอจะได้ไปมาหาสู่กัน หลังจากที่กลับจีนไปแล้ว ต้องแยกจากกันคนละฟากฟ้าแล้วจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวด แต่ทว่า เจ็บก็เจ็บไปสิ สรุปแล้วก็ยังดีว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ติดต่อกันอีกนั่นแหละนะ

“โอเค” สือจินหว่านเอ่ย “ตอนจะออกไปแล้วฉันจะเรียกนายนะ”

ทุกคนแยกกันไปพักผ่อนภายในห้องของตนเองอยู่ครู่หนึ่ง โอหยางจวิ้นเคาะประตูห้องของสือจินหว่าน “หวันหว่าน ควรที่จะออกเดินทางได้แล้วนะ”

สือจินหว่านตอบรับ ก่อนจะเรียกหยานโม่หานอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ขึ้นรถไปด้วยกัน

ที่ผ่านมา หยานโม่หานก็ไม่ได้ขาดการติดต่อกับทั้งสองคนเลย แต่ทว่ามาจนถึงวันนี้แล้ว เขาถึงได้ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง สือจินหว่านในตอนที่อยู่ต่อหน้าโอหยางจวิ้นนั้นแทบจะมีท่าทีไม่เหมือนอย่างในยามปกติเลย

ภายในหัวใจจู่ ๆ ก็มีความรู้สึกเรียบเฉยขึ้นมาหลายส่วน ด้วยเหตุนี้เอง ในตลอดการเดินทางนั้น หยานโม่หานจึงแสดงความนิ่งขรึมออกมาอย่างชัดเจน

เหมือนกันเลย โอหยางจวิ้นกำลังหวนนึกถึงหกปีก่อน เขาได้ยินสือจินหว่านร้องเพลง แต่ทว่าวันนี้สถานะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่อยู่เคียงข้างกับแม่สาวน้อยของเขานั้น กลับเป็นเด็กหนุ่มวันรุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธออีกคน ทันใดนั้นเอง รู้สึกเพียงแค่ว่าลมหายใจนั้นหายใจเข้าออกอย่างลำบากเป็นอย่างมาก

ทั้งสามคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตนเองจนมาถึงที่คลับ เพื่อนในตอนแรกเห็นสือจินหว่านเข้าแล้ว ทันใดนั้นเองก็พุ่งเข้าไปสวมกอดเธออย่างอบอุ่นเป็นอย่างมาก

แม้กระทั่งมีคนที่ยังคงจดจำเรื่องในปีนั้นได้ด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงชี้ไปยังหยานโม่หานแล้วเอ่ยถามกับสือจินหว่านว่า “Wan เขาใช่คนที่สารภาพรักกับเธอคนนั้นหรือเปล่า?”

สือจินหว่านหัวเราะ ไม่ได้ตอบกลับไปตรง ๆ ทุกคนก็เข้าใจได้ในทันทีแล้ว

หยานโม่หานยืนอยู่ไกลออกไปเล็กน้อยจึงไม่ได้ยิน แต่ทว่าโอหยางจวิ้นนั้นอยู่ใกล้มาก ดังนั้นจึงเข้าใจได้ในทันทีเลยว่าฝ่ายตรงข้ามเอ่ยถามอะไร

ในตอนนั้นเอง คนในตอนแรกล้วนแล้วแต่อยู่ด้วยกันหมด แต่ทว่า แม่สาวน้อยของเขากลับไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว……

เป็นเพราะว่ามาเที่ยวเล่นกันที่คลับกัน ดังนั้นแล้ว ทุกคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเชื้อเชิญสือจินหว่านให้ไปขึ้นร้องเพลง

สือจินหว่านพยักหน้า ก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความปีติเป็นอย่างมาก เธอเลือกเพลงภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมเพลงหนึ่งมาร้องพร้อมกันกับทุกคน หลังจากนั้น ก็หันไปเอ่ยกับทุก ๆ คนว่า “วันนี้ฉันยังมีอีกเพลงหนึ่งด้วยนะ เป็นเพลงที่จะร้องเพลงให้คนที่อยู่ที่นี่คนหนึ่งฟัง”

โอหยางจวิ้นได้ยินมาจนถึงตรงนี้แล้ว ทันใดนั้นเองเลือดในกายทั่วทั้งร่างก็จับตัวแข็งในทันที

ที่แท้แล้ว เขานึกว่าเธอขึ้นไปร้องเพลงบนเวที เป็นเพราะว่าเรื่องราวของพวกเรา แต่ทว่า ในตอนนี้เอง เธอกลับร้องเพลงให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งฟังเสียนี่!

ช่วงทำนองของเพลงดังขึ้น อีกทั้งบวกเข้ากับใบหน้าครึกครื้นของกลุ่มนักดนตรีรอบข้างแล้ว ทันใดนั้นเอง โอหยางจวิ้นก็รู้สึกว่าตนเองนั้นแทบจะไร้หนทางที่จะรออยู่ที่ด้านล่างเวทีอีกต่อไปแล้ว

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น ก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวออกไป

ส่วนหยานโม่หาน นั่งอยู่ที่ด้านล่างของเวทีเงียบ ๆ เขารับรู้อย่างชัดแจ้งว่าสือจินหว่านนั้นจะร้องเพลงให้กับโอหยางจวิ้น แต่ทว่า เขากลับยังอยากที่จะฟัง ต่อให้มันจะเหยียบย่ำลงบนหัวใจเขาก็ตาม

“ถ้าหากว่ามีคนอยู่ที่ประภาคาร เขี่ยเส้นผมของเธอเล่นจนยุ่งเหยิง ครุ่นคิดอยู่บนกำแพงและกระเบื้อง ถ้าหากว่าความรู้สึกมันตีกัน ไม่ได้เอ่ยพูดคำสลวยออกมา แต่ทว่ากับกักเก็บมือแล้วปล่อยมันลง……”

สือจินหว่านเริ่มร้องเพลง ถึงแม่ว่าเธอจะรู้ว่าโอหยางจวิ้นไม่อยู่ แต่ทว่า ก็ยังคงร้องเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจ

ที่โถงใหญ่ของคลับด้านนอก โอหยางจวิ้นรู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจของตนเองราวกับว่ามีของอะไรบางอย่างกัดแทะเอาไว้อยู่ ไร้หนทางที่จะสงบ

ยิ่งสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น

นัยน์ตาของเขามองไปรอบ ๆ หนึ่งหน ก่อนจะมองเห็นว่ามีบาร์อยู่ตรงหน้าแห่งหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงเดินเข้าไป

หลังจากที่สั่งเหล้ามาสองสามแก้วแล้ว โอหยางจวิ้นยกขึ้น ก่อนจะดื่มมันจนหมดรวดเดียว แต่ทว่า ความรู้สึกภายในหัวใจก็ตีรวนกันอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม

ในตอนนั้นเอง เสียงเพลงของสือจินหว่าน แทบจะคล้ายกับลมที่พัดเข้ามาราวกับว่ามีและไม่มี “คนในกระจกพูดคำโกหก แม้กระทั่งหัวใจของตัวเองก็ไม่แน่ใจอย่างนั้นหรือไง? แกล้งทำเป็นหูหนวกหรือว่าเป็นใบ้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วให้ฉันพูดก่อนเลยดีไหม……”

เขาแต่เดิมนั้นก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจฟังว่าเธอร้องอะไร รู้สึกเพียงแค่ว่าเพลงทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ร้องเพลงให้ผู้ชายอีกคนหนึ่งฟังเท่านั้น หากจะพูดถึงเขานั้น มันล้วนแล้วแต่ทิ่มแทงบาดหูทั้งสิ้น

เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว เขาหยิบยกโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลง หลังจากนั้นก็เปิดเพลงที่ชื่อว่ารักตลอดไปที่เธอร้องเพลงให้กับเขาในตอนนั้นฟัง

เขาจงใจเร่งเสียงเพลงให้ดังมากขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นแล้ว มันจึงกดทับเสียงเพลงที่สือจินหว่านร้องอยู่ทางฝั่งนั้น ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

“คนรักแยกจากกันแล้วจะไม่กลับมาเจอกันอีก ไร้ทำพูดที่จะเอ่ยนั่งอยู่ตัวคนเดียวแล้วสบตามองโลกภายนอก ดอกไม้สดใหม่มักจะต้องร่วงโรยไป แต่ทว่ามันจะผลิบานในอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน รักตลอดไป มันหลบซ่อนอยู่ในปุยเมฆสีขาวด้านนอก……”

เขาปิดเปลือกตาลง ราวกับว่ามองเห็นเด็กสาวที่กระตือรือร้นราวกับไฟคนนั้น กำลังถือไมโครโฟนเอาไว้อยู่ ก่อนจะร้องเพลงให้กับเขา ถึงแม้ว่าที่ด้านล่างของเวทีจะมีผู้คนมากมาย แต่ทว่า เธอกลับมองเพียงแค่เขาคนเดียว

ในตอนนั้น เธอนั้นชื่นชอบเขาไปหมดทั้งหัวใจเลยจริง ๆ

รสชาติของแอลกอฮอล์ในริมฝีปากตีตื้นและขมปร่าขึ้นมา โอหยางจวิ้นในตอนนั้น ถึงรับรู้ได้แล้วว่า เขานั้นรู้สึกผิดในภายหลังเสียแล้ว

เขารู้สึกผิดในภายหลังแล้วจริง ๆ!

เขาไม่ควรที่จะผลักเธอออกไป ไม่ควรที่จะพูดคำพูดกระทบจิตใจเหล่านั้นเลย

เขาแค่คิดอยากที่จะกักขังเธอเอาไว้ให้อยู่แต่ในโลกของเขา แล้วก็จะไม่ปล่อยมืออีกเป็นอันขาด!

แต่ทว่า มันสายมากเกินไปแล้วหรือเปล่านะ? ตอนนี้เธอชอบเด็กผู้ชายคนอื่นไปเสียแล้วนี่……

“ความรักของพวกเรามาถึงตอนนี้กำลังดีเลย เหลืออีกไม่มากอีกทั้งก็ไม่สามารถลืมเลือนได้ ฉันควรที่ดูแลตัวเองเอาไว้ให้ดี ระยะห่างของพวกเราในตอนนี้นั้นมันกำลังดี แต่ทว่ากลับไม่พอที่จะให้พวกเราสวมกอดกันได้อีกต่อไปแล้ว ทุ่มแรงใจรักใครคนหนึ่งไปไม่ควรที่จะคิดเล็กคิดน้อย……”

ภายในโถงใหญ่ สือจินหว่านร้องเพลงอยู่ในนั้น ก่อนจะหันไปยิ้มกับทุก ๆ คน “ฉันจะไปตามคนที่วิ่งช้าคนนั้นเอง!”

พูดจบ เธอวางไมโครโฟนลง ก่อนจะสาวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หยานโม่หานสบตามองแผ่นหลังของเธอ มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวนั้นกำหมัดเข้าหากันแน่น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เขาถึงแทบจะไร้หนทางที่จะควบคุมความเจ็บปวดเอาไว้ได้เลย

ใบหน้าหล่อเหล่าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่ม แทบจะเติบโตขึ้นในทันที

สือจินหว่านสาวเท้าวิ่งออกมาถึงด้านนอก กวาดสายตามองหาไปรอบหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วก็มองเห็นโอหยางจวิ้นที่กำลังนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์

ตรงหน้าของเขามีแก้วเปล่าอยู่ห้าแก้วแล้ว ในมือ ก็ยังมีเหล้าที่กำลังดื่มอยู่

เธอเดินมุ่งตรงไปหาเขา ทีละก้าวทีละก้าว ในสายตางุนงงและไม่เข้าใจของเขา ก่อนจะเดินมาจนถึงหน้าของเขาแล้ว

“คุณอาจวิ้นคะ ฉันมาหา ก็เป็นเพราะว่ามีเรื่องจะบอกคุณอาเรื่องหนึ่งค่ะ” สือจินหว่านเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาจริงจัง

หัวใจของเขา มันหนักอึ้งอย่างรุนแรง

เธอประสานสายตามองเขาตรง ๆ ก่อนจะเอ่ยคำออกมาอย่างชัดเจนว่า “วันนี้ฉันเห็นประโยคหนึ่งที่บอกเอาไว้ว่า ไม่ใช่รักทั้งหมดที่จะสามารถหลอมละลายความรู้สึกลึกซึ้ง ทว่ามีความรู้สึกลึกซึ้ง มันกลับไม่ผลิบาน แต่ทว่ากลับแปลเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า”

โอหยางจวิ้นไม่ค่อยเข้าใจในความหมายของเธอมากนัก แต่ทว่า เมื่อได้ยินคำว่าว่างเปล่าสองคำนั้นแล้ว หัวใจของเขานั้นก็แข็งค้างในทันที หรือว่า เธอจะมาเพื่อที่จะตัดขาดกับเขาอย่างนั้นหรือ?

“หวันหว่าน” หัวใจของโอหยางจวิ้นสับสนเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป ก่อนจะคว้าจับมือของสือจินหว่านเอาไว้

เธอนั้นแทบจะรู้สึกได้เลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงก้าวถอยหลังหลบไปสองสามก้าว

หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นต่อ “คุณอาจวิ้นคะ เรื่องที่ฉันชอบคุณอานั้นมันเป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ว่านะคะ หลังนั้นนี้นั้นฉันเกรงว่าจะต้องกล่าวลากับคุณอาแล้วละค่ะ ตัวฉันคนนี้มักจะเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรเด็ดขาดเป็นอย่างมากมาโดยตลอด ขอเพียงแค่หันหลังกลับไป ก็จะไม่หันกลับมาอีก! นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะรบกวนคุณอาแล้วนะคะ! หลังจากนั้น ฉันกลับจีนไปแล้ว จะไม่ติดต่ออะไรคุณอาอีก แล้วก็จะไม่มาเจอกับคุณอาอีกด้วย ในอนาคตของพวกเรา ก็จะไม่ได้พบเจอหน้ากันตลอดไปอีกแล้ว……”

เธอพูดจบ ก็หมุนตัวจากไปในทันที

แต่ทว่า พึ่งจะสาวเท้าก้าวยาว ๆ ไปได้เพียงแค่ก้าวเดียว จู่ ๆ มือก็ถูกโอหยางจวิ้นคว้าจับเอาไว้เสียแล้ว เขาดึงเธอเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วในทันที ในตอนที่เธอล้มตัวลงไปในอ้อมกอดของเขานั้น เขาก็สวมกอดเธอเอาไว้ทันที

ลำดับต่อมา ก็ประทับจูบบ้าคลั่งราวกับพายุฝนลงไปแล้ว!

เมื่อเห็นสายตาของโอหยางจวิ้นมองเธออย่างลึกซึ้ง สือจินหว่านก็ประหม่าเล็กน้อย จึงรีบปล่อยเขาอย่างรวดเร็ว กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศว่า : “ฮ่าๆ ถือเป็นการเบิกบัญชีล่วงหน้า 6 ปีก่อนจูบแรกใช่ไหม?”

“จูบแรกไม่มีแล้ว” โอหยางจวิ้นกล่าว : “วันนั้นที่คุณเมา คุณจูบฉันไปแล้ว” ที่แท้เธอลืมไปแล้วจริงๆ

“ห๊ะ?” สือจินหว่านตาโต : “ฉันคิดว่านั่นคือความฝัน! ในฝันฉันยังยิ้มอย่างมีความสุข คิดในใจว่ามันเหมือนจริงมาก นี่ฉันทำมันลงไปจริงๆเหรอ!”

พูดจบ เธอก็ถอนหายใจ : “น่าเสียดายจัง เวลานั้นยังไม่ทันได้พิจารณาก็หลับไปซะก่อน……เมื่อกี้ก็ไม่นับว่าเป็นจูบแรกนะสิ!”

“เมื่อกี้เป็นครั้งแรกที่จูบตอนเช้า” โอหยางจวิ้นมองไปที่ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของหญิงสาว ราวกับถูกมนต์สะกด อดไม่ได้ที่จะโน้มเข้ามา จนกระทั่งริมฝีปากทั้งสองใกล้ชิดกัน

ชั่วพริบตาความรู้สึกต่างๆก็ระเบิดขึ้นมาบนผิวหนังอย่างชัดเจน ในที่สุดเขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างอารมณ์ที่เกิดจากความรักกับการทำหน้าที่ให้สำเร็จแล้ว

เพียงแค่สัมผัสเบาๆ แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมา ก้มลงไปมองเธอที่ถูกทำให้ตกตะลึง แล้วพูดเบาๆว่า : “อรุณสวัสดิ์ คุณแฟนของฉัน!”

ในเวลานี้ พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ และแสงแดดสีทองก็ปกคลุมบนร่างของพวกเขาทั้งสองคนด้วยโทนสีอบอุ่น

เป็นเวลานาน หัวใจของสือจินหว่านจึงค่อยๆสงบลง จนกระทั่งในดวงตามีความชื้นขึ้นมา

เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายจูบเธอด้วยตัวเอง และยังยอมรับว่าเธอคือแฟนของเขาอีก!

การดีใจอย่างมากเช่นนี้ เดิมทีไม่ใช่อยากจะยิ้ม แต่กลับอยากจะร้องไห้แทน

เธอฝังใบหน้าไว้ในอ้อมกอดของโอหยางจวิ้น : “อาจวิ้นคะ ฉันอยากให้ตนเองอายุ 18 ปีเร็วๆจัง!”

เขากอดเธอแล้วตบหลังเบาๆ : “เวลาผ่านไปเร็วมาก คุณจะต้องเติบโตขึ้น ยังจะได้เห็นสิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจอีกมากมาย และได้รู้จักผู้คนมากขึ้น……”

จู่ๆเขาก็นึกถึงว่า หลังจากที่เธอกลับประเทศไป ข้างๆกายจำเป็นต้องมีเด็กผู้ชายดีๆมากมาย ระยะเวลา 6 ปีจะบอกว่านานก็ไม่นาน จะบอกว่าเร็วก็ไม่เร็ว แล้วตอนที่เธออายุ 18 ปี จะเป็นอย่างไร? ในใจของเธอยังคงจะมีแค่เขาอยู่ไหม?

แต่เธอดูเหมือนจะฟังความหมายแฝงในคำพูดของเขาออก จึงพูดตัดบทเขาว่า : “อาจวิ้นคะ ไม่ว่าข้างกายฉันจะมีคนเข้ามาอีกสักกี่คน ฉันก็จะชอบแค่คุณค่ะ!”

เขาลูบหัวของเธอ : “โอเค ฉันจะรอคุณนะ”

*

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็เป็นเวลา 3 ปีแล้ว

สิอจินหว่านจบมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว เพราะเรียนหนักมาก อีกทั้งปิดเทอมฤดูหนาวก็มีกิจกรรมให้ทำ ฉะนั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งปีจึงไม่ได้ไปประเทศอเมริกาเลย

แต่ในเวลาตลอดสามปีนี้ เธอส่งข้อความหาโอหยางจวิ้นทุกวัน ถ้าสะดวกก็จะแอบวิดีโอคอลด้วย

อยู่ในกล้องเขาเห็นการเจริญเติบโตของเธอในทุกๆวัน รายงานเขาเกี่ยวกับแผนการเดินทางทุกอย่างในแต่ละวันของเธอ ราวกับว่าพวกเขากำลังพูดถึงความสัมพันธ์ทางไกลกัน

เพียงแต่หลังจากที่ได้คบกันเป็นแฟน พวกเขาก็ไม่เคยพูดถึงความชอบกันอีกเลย

ตอนที่สือจินหว่านขึ้นมัธยมตอนต้น เป็นธรรมดาที่รอบๆกายจะมีเด็กผู้ชายมากมาย ถึงแม้ว่าคนจำนวนไม่น้อยจะแสดงออกหรือบอกเป็นนัยๆกับเธอ แต่เธอก็พูดตลอดว่า ‘ขอโทษนะ ฉันมีแฟนแล้ว’ ตอบกลับไป

ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็น แล้วก็ไม่เชื่อว่าเธอมีแฟนแล้วก็ตาม

จนกระทั่งจบมัธยมศึกษาตอนต้น หยานโม่หานก็จบมัธยมศึกษาปีที่ 1 ขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

ถึงแม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าเธอ 2 ปีกว่า แต่เวลานี้เขาสูงกว่าสือจินหว่านแล้ว เขานัดเธอมาที่สวนดอกไม้หลังคฤหาสน์ของพวกเขา

เธอพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้เกาะติดกับเธอเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ ฉะนั้นสือจินหว่านก็ไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอยู่

จากไกลๆ เธอเห็นเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายและกางเกงยีน ยืนอยู่ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ถึงแม้ว่ารูปร่างของเขาจะไม่นับว่าสูงจนเกินไป แต่ก็มีเค้าโครงความเป็นวัยรุ่นชัดเจนขึ้นมาก

เขาเห็นเธอเดินเข้ามาจึงส่งยิ้มให้เธอ จากนั้นก็บิดนิ้วมือไปมา ดูเหมือนว่าจะประหม่าเล็กน้อย

จนกระทั่งสือจินหว่านเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา หยานโม่หานจึงพูดว่า : “หวันหว่าน”

เธอหัวเราะ : “โม่หาน ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เคยเรียกฉันอย่างนี้เลยนะ!”

เขาได้ฟังคำพูดของเธอ แววตาก็มีความเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ยังคงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที : “สอบจบการศึกษาคุณทำได้ดีไหม?”

เธอพยักหน้า : “ค่อนข้างดีเลย! แล้วสอบปลายภาคของคุณล่ะ?”

เขาก็พยักหน้า : “อืม ก็ค่อนข้างดีเช่นกัน”

ทั้งสองคนเงียบไปสักพัก หยานโม่หานก็เป็นคนทำลายความเงียบลง : “หวันหว่าน ที่ฉันนัดคุณมาเจอ คือมีคำพูดที่อยากจะบอกกับคุณ”

ใจเธอสั่นไหวเล็กน้อย เพียงแต่ยังคงมองเขาด้วยรอยยิ้ม : “โอเค คุณบอกมาสิ”

หยานโม่หานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองผู้หญิงตรงหน้า เขามักจะคิดว่าเขาเกิดช้ากว่าเธอ ในที่สุดก็ต้องเสียเวลาไปกว่า 13 ปี ที่จะได้สูงกว่าเธอ ต่อไปยืนด้วยกัน ในที่สุดก็จะได้เหมาะสมกันสักที

เขาพูดว่า : “หวันหว่าน ฉันชอบคุณ เป็นแฟนกับฉันได้ไหม?”

ประโยคนี้ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาที่ปลายลิ้นไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว แทบจะเหมือนคำพูดที่หลุดปากออกมาตอนละเมอ แต่เวลานี้พูดออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าต้องใช้ความกล้าหาญไปมากแค่ไหน

เพราะเขารู้ดีว่า บางทีในอนาคต เธออาจจะยิ่งไปไกลจากเขาด้วยเหตุผลนี้

แต่เมื่อได้เห็นว่าข้างกายของเธอนานวันยิ่งมีผู้ชายมาตามจีบมากขึ้น แล้วนึกถึงว่าเธอกำลังจะขึ้นมัธยมปลาย พวกเขาอาจจะได้เจอกันน้อยลง หยานโม่หานจึงรู้สึกเหมือนกับว่า รอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

“โม่หาน…..” สือจินหว่านมองดวงตาที่เฝ้ารอและเป็นกังวลของหยานโม่หาน เวลานี้ ก็รู้สึกสงสารน้องชายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กคนนี้

แต่เธอก็เข้าใจว่า เรื่องความรักแบบนี้ กำหนดไว้แล้วว่าจะต้องมีคนที่เจ็บปวด เธอไม่อาจทำให้เขาเสียเวลาได้ จึงต้องใช้โอกาสตอนที่เขายังเด็ก พูดทุกสิ่งทุกอย่างให้ชัดเจน

“อันที่จริงฉัน มีคนที่ชอบแล้วล่ะ” สือจินหว่านกล่าว : “โม่หาน ขอโทษนะ ฉันเห็นคุณเป็นน้องชายมาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าคุณจะสูงกว่าฉันแล้ว แต่ว่า สำหรับในใจของฉัน คุณยังคงเป็นน้องชายที่รักของฉันเสมอมา ดังนั้น…..”

หยานโม่หานเม้มริมฝีปากแน่น ในดวงตาที่สวยงามของเขาเฉียบคมอย่างมาก : “หวันหว่าน คุณพูดมาโดยตลอดว่าคุณมีคนที่ชอบอยู่แล้ว นี่คือเหตุผลที่คุณปั้นเรื่องขึ้นมาเพื่อปฏิเสธฉันใช่ไหม?”

“โม่หาน ไม่ใช่จริงๆนะ” สือจินหว่านเงยหน้ามองเขา : “เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกคุณได้ แต่ฉันสาบานได้ ฉันไม่ได้โกหกคุณจริงๆ ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ฉันชอบเขามาตั้งแต่ตอนอายุ11ปีแล้ว”

เลือดฝาดบนใบหน้าของหยานโม่หาน ซีดเผือดไปเล็กน้อย : “เฉียวซือเหรอ? ผู้ชายอเมริกันคนนั้นเหรอ?”

เธอส่ายหน้า: “ไม่ใช่ ฉันไม่สะดวกที่จะบอก แต่เขารับปากฉันแล้วว่า อีกสามปี จะอยู่ด้วยกันกับฉัน”

สือจินหว่านพูดพลางกล่าวโน้มน้าวอีกว่า : “โม่หาน หลังจากนี้ไปคุณก็คือน้องชายของฉัน โอเคไหม? คุณขึ้นมัธยมต้น มัธยมปลายแล้ว ก็จะได้เจอผู้หญิงที่ดีมากมาย…..”

“หวันหว่าน ฉันชอบเพียงแค่คุณ” เขาตัดบทเธอ แล้วชำเลืองมองเธอทีหนึ่ง จากนั้น ก็หันเดินจากไป

“โม่หาน——” สือจินหว่านเรียกเขาจากด้านหลัง แต่หยานโม่หานไม่หันกลับมามองเลย

เธอถอนหายใจแล้วส่ายหน้า เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ มีเพียงตัวเขาเองที่จะเข้าใจได้ชัดเจน

สองสามวันหลังจากนั้น หยานโม่หานก็ไม่เคยเข้ามาหาสือจินหว่านอีก กระทั่ง งานเลี้ยงของสองตระกูล หยานโม่หานก็ไม่ได้มาในงาน

วันนี้ สือจินหว่านยังคิดว่าควรจะบอกกับสือมูเฉินอย่างไรดีว่าเธออยากไปอเมริกา ได้ยินข่าวมาจากทางด้านออเนอร์ว่าเย่ซีโจวป่วยหนัก

ได้ยินข่าวนี้แล้ว หัวใจของสือจินหว่านก็เป็นทุกข์ทันที ตอนที่อยู่อเมริกา ปู่ทวดของเธอก็ดีกับเธอมาก แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงเจ้าพ่อของออเนอร์ ก็ยังคงหนีไม่พ้นชะตากรรมที่สวรรค์ลิขิตไว้

ในคืนนั้น สือจินหว่าน สือมูเฉิน และหลานเสี่ยวถาง จึงเริ่มออกเดินทาง

และหลานเซี่ยวเฉิง ในที่สุดก็ได้รับการอนุมัติพิเศษจากกองทัพทหาร ไปพร้อมกันกับทหารท่านหนึ่งและเย่เหลียนอี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ออกจากแผ่นดินเกิด และเหยียบเข้าดินแดนที่เย่เหลียนอีอาศัยอยู่ตั้งแต่วัยเด็ก

ทุกคนทยอยกันมาถึงออเนอร์ นี่ก็คือการรวมตัวที่มีความหมายอย่างแท้จริงของครอบครัว เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า จะต้องแลกด้วยความตายของชายชราที่เฉลียวฉลาดท่านหนึ่ง

ก่อนจะสิ้นลม เย่ซีโจวกุมมือของหลานเซี่ยวเฉิงและเย่เหลียนอีเอาไว้ เห็นจอนผมทั้งสองข้างที่หงอกขาวของลูกสาวและลูกเขยในเวลานี้แล้ว ก็ทอดถอนใจ: “ขอโทษนะ ที่หลายปีมานี้ ทำให้พวกคุณต้องลำบาก!”

หลานจื่อเฉินและหยิ่นโม่ที่อยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่อย่างมาก

พิธีฝังศพของเย่ซีโจวยิ่งใหญ่และน่านับถืออย่างมาก และในวันเดียวกันนั้น สือจินหว่านก็ได้พบกับโอหยางจวิ้นที่ไม่ได้พบกันมาตลอดหนึ่งปี

เขาเป็นตัวแทนตระกูลเพอร์เซลล์เพื่อเข้ามาไว้อาลัย สวมชุดสูทสีดำทั้งชุด สีหน้าแฝงไปด้วยความเศร้าโศกและรำลึกถึงผู้เสียชีวิต

เย่ซีโจวที่เคยเป็นอดีตคู่ต่อสู้คนนี้ ขณะนี้เป็นพันธมิตรกันแล้ว นำปาฏิหาริย์มาสู่ออเนอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยังเป็นบุคคลรุ่นปู่ของเขา ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่จะรุ่งโรจน์มากแค่ไหน ก็ยังคงกลายเป็นเพียงดิน ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตัวหนังสือดำกระดาษขาว จนกลายเป็นสัญลักษณ์ในที่สุด

เขามองสาวน้อยของเขาจากไกลๆ ตลอดหนึ่งปีที่ไม่ได้เจอกัน เธอเติบโตขึ้นอีกแล้ว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา เธอจึงมองเข้ามา ดวงตาแดงก่ำ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการเสียชีวิตของปู่ทวดหรือเป็นเพราะเขา

ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร อยากที่จะโอบเธอมาไว้ในอ้อมกอดเพื่อปลอบโยน

พิธีฝังศพเสร็จสิ้น สือจินหว่านก็ตามสือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางกลับบ้าน กระทั่งไม่มีโอกาสที่จะพูดคุยกับโอหยางจวิ้นเป็นการส่วนตัวเลย

เพียงแต่ เธอรู้ว่าอนาคตยังอีกยาวไกล พวกเขายังมีเวลาอีกมากที่จะอยู่ในอเมริกา ดังนั้น เธอยังคงมีโอกาส

เย็นวันนั้น โอหยางจวิ้นกลับมาถึงตระกูลเพอร์เซลล์ พอเหยียบเข้ามาในบ้าน ทันทีก็ได้ยินว่าโรคหัวใจของแดเนียลปู่ของตนเองกำเริบรุนแรง

เขารีบเข้าไป เห็นคุณปู่ที่เคยฮึกเหิมเด็ดเดี่ยวท่านนั้นอยู่บนเตียง ใบหน้าไม่มีราศีอีกแล้ว เสียงก็ไม่ดังกังวานอีกแล้ว จึงรู้สึกหดหู่ใจ : “คุณปู่ คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”

“คาดว่าคงจะวันสองวันนี้แหละ!” แดเนียลกล่าวอย่างช้าๆ : “เพียงแต่ ในที่สุดแล้วก็แซงตาเฒ่าเย่ซีโจวคนนั้นไปไม่ได้!”

โอหยางจวิ้นส่ายหน้า : “คุณปู่ คุณจะต้องดีขึ้น หลายครั้งก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่า…….”

“แก่แล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ ช่วงสิบปีมานี้ ยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้น เทียบกับตอนหนุ่มอายุสิบกว่าๆไม่ได้เลยจริงๆ!” แดเนียลทอดถอนใจ : “อาจจะอยู่ไม่ถึงเห็นคุณแต่งงานแล้วล่ะ Bojan หลายปีมานี้ ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ ช่วยคุณแบกรับความกดดันจากพ่อของคุณ แต่ว่า สรุปแล้วผู้หญิงที่คุณเอ่ยถึงคือใครกัน?”

“คือหวันหว่านครับ” โอหยางจวิ้นกล่าว : “ฉันกำลังรอให้เธอเติบโตขึ้น”

แดเนียลตกตะลึงอย่างมาก เพียงแต่ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ในดวงตาก็เหมือนมีการนึกถึงอดีตอย่างทอดถอนใจ : “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง! มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ…….ถ้าในปีนั้นฉัน…….”

คำพูดช่วงท้าย เขายังไม่ทันได้พูดจบ มือของเขาก็หล่นลงมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวจึงกลายเป็นความลับไปตลอดกาล

ชายคนนี้ที่แอบแข่งขันกับเย่ซีโจวมาครึ่งค่อนชีวิต ในที่สุดวันต่อมา ก็จากไปตามชายชราท่านนั้น

เมื่อเห็นสายตาของโอหยางจวิ้นมองเธออย่างลึกซึ้ง สือจินหว่านก็ประหม่าเล็กน้อย จึงรีบปล่อยเขาอย่างรวดเร็ว กะพริบตาปริบๆ แล้วพูดเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศว่า : “ฮ่าๆ ถือเป็นการเบิกบัญชีล่วงหน้า 6 ปีก่อนจูบแรกใช่ไหม?”

“จูบแรกไม่มีแล้ว” โอหยางจวิ้นกล่าว : “วันนั้นที่คุณเมา คุณจูบฉันไปแล้ว” ที่แท้เธอลืมไปแล้วจริงๆ

“ห๊ะ?” สือจินหว่านตาโต : “ฉันคิดว่านั่นคือความฝัน! ในฝันฉันยังยิ้มอย่างมีความสุข คิดในใจว่ามันเหมือนจริงมาก นี่ฉันทำมันลงไปจริงๆเหรอ!”

พูดจบ เธอก็ถอนหายใจ : “น่าเสียดายจัง เวลานั้นยังไม่ทันได้พิจารณาก็หลับไปซะก่อน……เมื่อกี้ก็ไม่นับว่าเป็นจูบแรกนะสิ!”

“เมื่อกี้เป็นครั้งแรกที่จูบตอนเช้า” โอหยางจวิ้นมองไปที่ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของหญิงสาว ราวกับถูกมนต์สะกด อดไม่ได้ที่จะโน้มเข้ามา จนกระทั่งริมฝีปากทั้งสองใกล้ชิดกัน

ชั่วพริบตาความรู้สึกต่างๆก็ระเบิดขึ้นมาบนผิวหนังอย่างชัดเจน ในที่สุดเขาก็เข้าใจความแตกต่างระหว่างอารมณ์ที่เกิดจากความรักกับการทำหน้าที่ให้สำเร็จแล้ว

เพียงแค่สัมผัสเบาๆ แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมา ก้มลงไปมองเธอที่ถูกทำให้ตกตะลึง แล้วพูดเบาๆว่า : “อรุณสวัสดิ์ คุณแฟนของฉัน!”

ในเวลานี้ พระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ และแสงแดดสีทองก็ปกคลุมบนร่างของพวกเขาทั้งสองคนด้วยโทนสีอบอุ่น

เป็นเวลานาน หัวใจของสือจินหว่านจึงค่อยๆสงบลง จนกระทั่งในดวงตามีความชื้นขึ้นมา

เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายจูบเธอด้วยตัวเอง และยังยอมรับว่าเธอคือแฟนของเขาอีก!

การดีใจอย่างมากเช่นนี้ เดิมทีไม่ใช่อยากจะยิ้ม แต่กลับอยากจะร้องไห้แทน

เธอฝังใบหน้าไว้ในอ้อมกอดของโอหยางจวิ้น : “อาจวิ้นคะ ฉันอยากให้ตนเองอายุ 18 ปีเร็วๆจัง!”

เขากอดเธอแล้วตบหลังเบาๆ : “เวลาผ่านไปเร็วมาก คุณจะต้องเติบโตขึ้น ยังจะได้เห็นสิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจอีกมากมาย และได้รู้จักผู้คนมากขึ้น……”

จู่ๆเขาก็นึกถึงว่า หลังจากที่เธอกลับประเทศไป ข้างๆกายจำเป็นต้องมีเด็กผู้ชายดีๆมากมาย ระยะเวลา 6 ปีจะบอกว่านานก็ไม่นาน จะบอกว่าเร็วก็ไม่เร็ว แล้วตอนที่เธออายุ 18 ปี จะเป็นอย่างไร? ในใจของเธอยังคงจะมีแค่เขาอยู่ไหม?

แต่เธอดูเหมือนจะฟังความหมายแฝงในคำพูดของเขาออก จึงพูดตัดบทเขาว่า : “อาจวิ้นคะ ไม่ว่าข้างกายฉันจะมีคนเข้ามาอีกสักกี่คน ฉันก็จะชอบแค่คุณค่ะ!”

เขาลูบหัวของเธอ : “โอเค ฉันจะรอคุณนะ”

*

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็เป็นเวลา 3 ปีแล้ว

สิอจินหว่านจบมัธยมศึกษาตอนต้นแล้ว เพราะเรียนหนักมาก อีกทั้งปิดเทอมฤดูหนาวก็มีกิจกรรมให้ทำ ฉะนั้นตลอดระยะเวลาหนึ่งปีจึงไม่ได้ไปประเทศอเมริกาเลย

แต่ในเวลาตลอดสามปีนี้ เธอส่งข้อความหาโอหยางจวิ้นทุกวัน ถ้าสะดวกก็จะแอบวิดีโอคอลด้วย

อยู่ในกล้องเขาเห็นการเจริญเติบโตของเธอในทุกๆวัน รายงานเขาเกี่ยวกับแผนการเดินทางทุกอย่างในแต่ละวันของเธอ ราวกับว่าพวกเขากำลังพูดถึงความสัมพันธ์ทางไกลกัน

เพียงแต่หลังจากที่ได้คบกันเป็นแฟน พวกเขาก็ไม่เคยพูดถึงความชอบกันอีกเลย

ตอนที่สือจินหว่านขึ้นมัธยมตอนต้น เป็นธรรมดาที่รอบๆกายจะมีเด็กผู้ชายมากมาย ถึงแม้ว่าคนจำนวนไม่น้อยจะแสดงออกหรือบอกเป็นนัยๆกับเธอ แต่เธอก็พูดตลอดว่า ‘ขอโทษนะ ฉันมีแฟนแล้ว’ ตอบกลับไป

ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็น แล้วก็ไม่เชื่อว่าเธอมีแฟนแล้วก็ตาม

จนกระทั่งจบมัธยมศึกษาตอนต้น หยานโม่หานก็จบมัธยมศึกษาปีที่ 1 ขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

ถึงแม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าเธอ 2 ปีกว่า แต่เวลานี้เขาสูงกว่าสือจินหว่านแล้ว เขานัดเธอมาที่สวนดอกไม้หลังคฤหาสน์ของพวกเขา

เธอพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้เกาะติดกับเธอเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ ฉะนั้นสือจินหว่านก็ไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอยู่

จากไกลๆ เธอเห็นเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายและกางเกงยีน ยืนอยู่ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ถึงแม้ว่ารูปร่างของเขาจะไม่นับว่าสูงจนเกินไป แต่ก็มีเค้าโครงความเป็นวัยรุ่นชัดเจนขึ้นมาก

เขาเห็นเธอเดินเข้ามาจึงส่งยิ้มให้เธอ จากนั้นก็บิดนิ้วมือไปมา ดูเหมือนว่าจะประหม่าเล็กน้อย

จนกระทั่งสือจินหว่านเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา หยานโม่หานจึงพูดว่า : “หวันหว่าน”

เธอหัวเราะ : “โม่หาน ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เคยเรียกฉันอย่างนี้เลยนะ!”

เขาได้ฟังคำพูดของเธอ แววตาก็มีความเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ยังคงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที : “สอบจบการศึกษาคุณทำได้ดีไหม?”

เธอพยักหน้า : “ค่อนข้างดีเลย! แล้วสอบปลายภาคของคุณล่ะ?”

เขาก็พยักหน้า : “อืม ก็ค่อนข้างดีเช่นกัน”

ทั้งสองคนเงียบไปสักพัก หยานโม่หานก็เป็นคนทำลายความเงียบลง : “หวันหว่าน ที่ฉันนัดคุณมาเจอ คือมีคำพูดที่อยากจะบอกกับคุณ”

ใจเธอสั่นไหวเล็กน้อย เพียงแต่ยังคงมองเขาด้วยรอยยิ้ม : “โอเค คุณบอกมาสิ”

หยานโม่หานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองผู้หญิงตรงหน้า เขามักจะคิดว่าเขาเกิดช้ากว่าเธอ ในที่สุดก็ต้องเสียเวลาไปกว่า 13 ปี ที่จะได้สูงกว่าเธอ ต่อไปยืนด้วยกัน ในที่สุดก็จะได้เหมาะสมกันสักที

เขาพูดว่า : “หวันหว่าน ฉันชอบคุณ เป็นแฟนกับฉันได้ไหม?”

ประโยคนี้ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาที่ปลายลิ้นไม่รู้นานแค่ไหนแล้ว แทบจะเหมือนคำพูดที่หลุดปากออกมาตอนละเมอ แต่เวลานี้พูดออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าต้องใช้ความกล้าหาญไปมากแค่ไหน

เพราะเขารู้ดีว่า บางทีในอนาคต เธออาจจะยิ่งไปไกลจากเขาด้วยเหตุผลนี้

แต่เมื่อได้เห็นว่าข้างกายของเธอนานวันยิ่งมีผู้ชายมาตามจีบมากขึ้น แล้วนึกถึงว่าเธอกำลังจะขึ้นมัธยมปลาย พวกเขาอาจจะได้เจอกันน้อยลง หยานโม่หานจึงรู้สึกเหมือนกับว่า รอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

“โม่หาน…..” สือจินหว่านมองดวงตาที่เฝ้ารอและเป็นกังวลของหยานโม่หาน เวลานี้ ก็รู้สึกสงสารน้องชายที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กคนนี้

แต่เธอก็เข้าใจว่า เรื่องความรักแบบนี้ กำหนดไว้แล้วว่าจะต้องมีคนที่เจ็บปวด เธอไม่อาจทำให้เขาเสียเวลาได้ จึงต้องใช้โอกาสตอนที่เขายังเด็ก พูดทุกสิ่งทุกอย่างให้ชัดเจน

“อันที่จริงฉัน มีคนที่ชอบแล้วล่ะ” สือจินหว่านกล่าว : “โม่หาน ขอโทษนะ ฉันเห็นคุณเป็นน้องชายมาตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าคุณจะสูงกว่าฉันแล้ว แต่ว่า สำหรับในใจของฉัน คุณยังคงเป็นน้องชายที่รักของฉันเสมอมา ดังนั้น…..”

หยานโม่หานเม้มริมฝีปากแน่น ในดวงตาที่สวยงามของเขาเฉียบคมอย่างมาก : “หวันหว่าน คุณพูดมาโดยตลอดว่าคุณมีคนที่ชอบอยู่แล้ว นี่คือเหตุผลที่คุณปั้นเรื่องขึ้นมาเพื่อปฏิเสธฉันใช่ไหม?”

“โม่หาน ไม่ใช่จริงๆนะ” สือจินหว่านเงยหน้ามองเขา : “เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกคุณได้ แต่ฉันสาบานได้ ฉันไม่ได้โกหกคุณจริงๆ ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ฉันชอบเขามาตั้งแต่ตอนอายุ11ปีแล้ว”

เลือดฝาดบนใบหน้าของหยานโม่หาน ซีดเผือดไปเล็กน้อย : “เฉียวซือเหรอ? ผู้ชายอเมริกันคนนั้นเหรอ?”

เธอส่ายหน้า: “ไม่ใช่ ฉันไม่สะดวกที่จะบอก แต่เขารับปากฉันแล้วว่า อีกสามปี จะอยู่ด้วยกันกับฉัน”

สือจินหว่านพูดพลางกล่าวโน้มน้าวอีกว่า : “โม่หาน หลังจากนี้ไปคุณก็คือน้องชายของฉัน โอเคไหม? คุณขึ้นมัธยมต้น มัธยมปลายแล้ว ก็จะได้เจอผู้หญิงที่ดีมากมาย…..”

“หวันหว่าน ฉันชอบเพียงแค่คุณ” เขาตัดบทเธอ แล้วชำเลืองมองเธอทีหนึ่ง จากนั้น ก็หันเดินจากไป

“โม่หาน——” สือจินหว่านเรียกเขาจากด้านหลัง แต่หยานโม่หานไม่หันกลับมามองเลย

เธอถอนหายใจแล้วส่ายหน้า เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ มีเพียงตัวเขาเองที่จะเข้าใจได้ชัดเจน

สองสามวันหลังจากนั้น หยานโม่หานก็ไม่เคยเข้ามาหาสือจินหว่านอีก กระทั่ง งานเลี้ยงของสองตระกูล หยานโม่หานก็ไม่ได้มาในงาน

วันนี้ สือจินหว่านยังคิดว่าควรจะบอกกับสือมูเฉินอย่างไรดีว่าเธออยากไปอเมริกา ได้ยินข่าวมาจากทางด้านออเนอร์ว่าเย่ซีโจวป่วยหนัก

ได้ยินข่าวนี้แล้ว หัวใจของสือจินหว่านก็เป็นทุกข์ทันที ตอนที่อยู่อเมริกา ปู่ทวดของเธอก็ดีกับเธอมาก แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงเจ้าพ่อของออเนอร์ ก็ยังคงหนีไม่พ้นชะตากรรมที่สวรรค์ลิขิตไว้

ในคืนนั้น สือจินหว่าน สือมูเฉิน และหลานเสี่ยวถาง จึงเริ่มออกเดินทาง

และหลานเซี่ยวเฉิง ในที่สุดก็ได้รับการอนุมัติพิเศษจากกองทัพทหาร ไปพร้อมกันกับทหารท่านหนึ่งและเย่เหลียนอี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ออกจากแผ่นดินเกิด และเหยียบเข้าดินแดนที่เย่เหลียนอีอาศัยอยู่ตั้งแต่วัยเด็ก

ทุกคนทยอยกันมาถึงออเนอร์ นี่ก็คือการรวมตัวที่มีความหมายอย่างแท้จริงของครอบครัว เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า จะต้องแลกด้วยความตายของชายชราที่เฉลียวฉลาดท่านหนึ่ง

ก่อนจะสิ้นลม เย่ซีโจวกุมมือของหลานเซี่ยวเฉิงและเย่เหลียนอีเอาไว้ เห็นจอนผมทั้งสองข้างที่หงอกขาวของลูกสาวและลูกเขยในเวลานี้แล้ว ก็ทอดถอนใจ: “ขอโทษนะ ที่หลายปีมานี้ ทำให้พวกคุณต้องลำบาก!”

หลานจื่อเฉินและหยิ่นโม่ที่อยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่อย่างมาก

พิธีฝังศพของเย่ซีโจวยิ่งใหญ่และน่านับถืออย่างมาก และในวันเดียวกันนั้น สือจินหว่านก็ได้พบกับโอหยางจวิ้นที่ไม่ได้พบกันมาตลอดหนึ่งปี

เขาเป็นตัวแทนตระกูลเพอร์เซลล์เพื่อเข้ามาไว้อาลัย สวมชุดสูทสีดำทั้งชุด สีหน้าแฝงไปด้วยความเศร้าโศกและรำลึกถึงผู้เสียชีวิต

เย่ซีโจวที่เคยเป็นอดีตคู่ต่อสู้คนนี้ ขณะนี้เป็นพันธมิตรกันแล้ว นำปาฏิหาริย์มาสู่ออเนอร์ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยังเป็นบุคคลรุ่นปู่ของเขา ไม่ว่าตอนมีชีวิตอยู่จะรุ่งโรจน์มากแค่ไหน ก็ยังคงกลายเป็นเพียงดิน ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตัวหนังสือดำกระดาษขาว จนกลายเป็นสัญลักษณ์ในที่สุด

เขามองสาวน้อยของเขาจากไกลๆ ตลอดหนึ่งปีที่ไม่ได้เจอกัน เธอเติบโตขึ้นอีกแล้ว ดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา เธอจึงมองเข้ามา ดวงตาแดงก่ำ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการเสียชีวิตของปู่ทวดหรือเป็นเพราะเขา

ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร อยากที่จะโอบเธอมาไว้ในอ้อมกอดเพื่อปลอบโยน

พิธีฝังศพเสร็จสิ้น สือจินหว่านก็ตามสือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางกลับบ้าน กระทั่งไม่มีโอกาสที่จะพูดคุยกับโอหยางจวิ้นเป็นการส่วนตัวเลย

เพียงแต่ เธอรู้ว่าอนาคตยังอีกยาวไกล พวกเขายังมีเวลาอีกมากที่จะอยู่ในอเมริกา ดังนั้น เธอยังคงมีโอกาส

เย็นวันนั้น โอหยางจวิ้นกลับมาถึงตระกูลเพอร์เซลล์ พอเหยียบเข้ามาในบ้าน ทันทีก็ได้ยินว่าโรคหัวใจของแดเนียลปู่ของตนเองกำเริบรุนแรง

เขารีบเข้าไป เห็นคุณปู่ที่เคยฮึกเหิมเด็ดเดี่ยวท่านนั้นอยู่บนเตียง ใบหน้าไม่มีราศีอีกแล้ว เสียงก็ไม่ดังกังวานอีกแล้ว จึงรู้สึกหดหู่ใจ : “คุณปู่ คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”

“คาดว่าคงจะวันสองวันนี้แหละ!” แดเนียลกล่าวอย่างช้าๆ : “เพียงแต่ ในที่สุดแล้วก็แซงตาเฒ่าเย่ซีโจวคนนั้นไปไม่ได้!”

โอหยางจวิ้นส่ายหน้า : “คุณปู่ คุณจะต้องดีขึ้น หลายครั้งก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่า…….”

“แก่แล้ว ไม่ไหวแล้วจริงๆ ช่วงสิบปีมานี้ ยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้น เทียบกับตอนหนุ่มอายุสิบกว่าๆไม่ได้เลยจริงๆ!” แดเนียลทอดถอนใจ : “อาจจะอยู่ไม่ถึงเห็นคุณแต่งงานแล้วล่ะ Bojan หลายปีมานี้ ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ ช่วยคุณแบกรับความกดดันจากพ่อของคุณ แต่ว่า สรุปแล้วผู้หญิงที่คุณเอ่ยถึงคือใครกัน?”

“คือหวันหว่านครับ” โอหยางจวิ้นกล่าว : “ฉันกำลังรอให้เธอเติบโตขึ้น”

แดเนียลตกตะลึงอย่างมาก เพียงแต่ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ในดวงตาก็เหมือนมีการนึกถึงอดีตอย่างทอดถอนใจ : “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง! มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ…….ถ้าในปีนั้นฉัน…….”

คำพูดช่วงท้าย เขายังไม่ทันได้พูดจบ มือของเขาก็หล่นลงมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ เรื่องราวจึงกลายเป็นความลับไปตลอดกาล

ชายคนนี้ที่แอบแข่งขันกับเย่ซีโจวมาครึ่งค่อนชีวิต ในที่สุดวันต่อมา ก็จากไปตามชายชราท่านนั้น

“ หวันหว่าน ตอนนี้หนูยังเด็กมากจริงๆ……” โอหยางจวิ้นมองไปยังสือจินหว่านที่มีน้ำตาไหลอยู่ตรงขอบตา แล้วรู้สึกเพียงแค่หัวใจของเขานั้นรู้สึกอึดอัดมากๆ

สือจินหว่านก็พูดขัดจังหวะการปฏิเสธของเขา : “ อาจวิ้นคะ เพราะฉะนั้นอารังเกียจหนูที่ยังเด็กอยู่ใช่ไหม ? แม้แต่โอกาสสักครั้งก็ยังไม่ให้ ? !”

ในขณะที่พูดนั้น จู่ๆเธอก็รู้สึกน้อยใจแล้วก็เจ็บปวดใจ แต่ก็ไม่อยากจะเขาเห็นเธอในตอนที่ตกอยู่ในความยากลำบาก ดังนั้นก็เลยนั่งยองๆลงมาแล้วก็เอาหน้าซุกเข้าไปในหัวเข่า

เมื่อเขาเห็นไหล่ที่สั่นเทาของเธอ ก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็แทบจะไม่ต้องคิดเลย เขาก็ย่อตัวลงและพูดกับเธอว่า : “ หวันหว่าน อาไม่ได้รังเกียจหนู หนูอย่าร้องไห้เลยนะ ฟังอาพูดก่อน……”

เธอไม่ขยับเขยื้อนและยังคงแอบร้องไห้อยู่ในหัวเข่า

“ หวันหว่าน อาไม่ได้จะปฏิเสธหนูนะ ” โอหยางจวิ้นพูด

เมื่อสือจินหว่านได้ยินแบบนั้น ก็หยุดร้องในทันที เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วกัดริมฝีปากแล้วก็รอให้โอหยางจวิ้นนั้นพูดต่อ

เขาพบว่า เขาไม่สามารถจะปฏิเสธเธอลงได้จริงๆ เธอเป็นเด็กที่รู้เรื่องมาตั้งแต่เด็ก น้อยครั้งมากที่จะร้องไห้ และพอโตขึ้น น้ำตาที่หวงแหนเช่นนี้กลายเป็นอาวุธที่ดีที่สุดของเธอ

แน่นอนว่าเขาพ่ายแพ้อย่างราบคาบให้กับอาวุธของเธอ และเขาก็ดึงเธอลุกขึ้น : “ หวันหว่าน ฟังอาพูดให้จบก่อนนะ”

ในขณะที่พูดนั้นเขาก็ช่วยเธอเช็ดน้ำตาพร้อมกับพูดไปด้วยว่า : “ ตอนนี้หนูยังเด็ก ในอนาคตมันยังจะมีปัจจัยอีกมากมายที่ไม่แน่นอน ในตอนนี้หนูรู้สึกว่าชอบอา แต่หลังจากผ่านไปสามปี ห้าปี หนูยังจะยึดมั่นโดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ไหม ? หรือสิ่งที่หนูชอบอยู่ตอนนี้ มันขึ้นอยู่กับอะไรมากกว่ากัน หนูคิดดีแล้วหรือยัง ?”

เมื่อสือจินหว่านมองไปยังโอหยางจวิ้น ก็รู้สึกเพียงแค่ว่ามองยังไงก็เป็นรูปร่างลักษณะที่เธอชอบ

เธอพูดอย่างจริงจังว่า : “ หนูคิดดีแล้วค่ะ ถ้าหากว่าอาไม่เชื่อหนู หนูจะใช้เวลามาเป็นเครื่องพิสูจน์ให้อาเห็นเองค่ะ !”

โอหยางจวิ้นก็ถอดหายใจอย่างช่วยไม่ได้ : “ ไหนยังจะครอบครัวของพวกเราทั้งสองคนอีก หนูเคยคิดบ้างแล้วหรือยัง ? ถ้าพวกเขารู้แล้วจะมีท่าทีโต้ตอบยังไงกัน ? แล้วหนูสามารถแบกรับความกดดันแบบนี้ไหวหรือเปล่า ?”

สือจินหว่านส่ายหัว : “ เรื่องที่หนูตัดสินใจแล้ว ต่อให้ความกดดันจะมีมากไหนหนูก็จะยึดมั่นต่อไป ! นอกจากนี้ เมื่อก่อนพ่อเคยบอกกับหนูว่า ให้หนูยึดมั่นในทางเลือกที่ตัวเองชอบ !”

“ อย่างสุดท้ายคือ หนูเคยคิดเรื่องที่อาอายุมากกว่าหนูยี่สิบปีไหม ถ้าหากว่าหนูอยู่กับอา ในอนาคตอาแก่เฒ่าไปแล้ว จะดูแลหนูได้ยังไง ?” แววตาของโอหยางจวิ้นก็เอาจริงเอาจังขึ้นมาเล็กน้อย

“ อาจวิ้น สุขภาพของอาก็ดีมากๆ เพราะออกกำลังกายมาตลอด หลายปีที่ผ่าน ตั้งแต่หนูเป็นทารกจนโตมาขนาดนี้แล้ว อาก็ไม่เคยจะเปลี่ยนเลย แล้วก็ยังป่วยน้อยอีกด้วย ” สือจินหว่านพูด : “ ในอนาคต หนูเชื่อว่าอาจะอยู่ข้างหนูไปตลอด ! และในอนาคตเมื่ออาแก่เฒ่า ก็เปลี่ยนให้หนูเป็นคนดูแลแทน !”

เขาเห็นความยึดมั่นในดวงตากลมโตอันบริสุทธิ์ของเธอ เมื่อได้ยินคำพูดที่ซาบซึ้งใจและเรียบง่ายพวกนี้ ในเวลานี้ก็รู้สึกว่าไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้แล้วจริงๆ

“ หวันหว่าน ในเมื่อตอนนี้หนูเพิ่งจะอายุสิบสอง ยังไม่สามารถที่จะรักก่อนวัยอันควรได้ แต่ทว่าอาจะจำทุกคำพูดของหนูเอาไว้อย่างจริงจัง ” โอหยางจวิ้นมองตรงเข้าไปในสายตาของสาวน้อย : “ อาจะรอให้หนูโต หลังจากที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ถ้าหากว่าตัวเลือกของหนูยังคงเป็นอา เราก็ค่อยมาวางแผนอนาคตด้วยกัน ”

“ จริงนะคะ ? ! ” แววตาของสือจินหว่านก็เต็มไปด้วยความดีใจและแปลกใจ พร้อมกับแสงสว่างของอุณหภูมิก็แทบจะเผาไหม้เข้าไปในหัวใจของโอหยางจวิ้น

“ จริง คำมั่นสัญญาของอาจะมีผลในหกปีข้างหน้า ” โอหยางจวิ้นพูด : “ อาจะรอให้หนูโต ”

“ ค่ะ !” สือจินหว่านถูกโจมตีด้วยความดีใจและแปลกใจ และในเวลานี้ เธอก็ไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดี

ดังนั้น เธอก็ยิ้มมุมปาก แล้วก็วิ่งวนไปรอบๆของโอหยางจวิ้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ

จนกระทั่งวิ่งจนเหนื่อย เหงื่อเต็มไปหมดบนหน้าผาก แล้วแก้มก็เป็นสีแดงก่ำ สือจินหว่านถึงได้หยุดวิ่ง

และโอหยางจวิ้นก็มองดูสาวน้อยที่วิ่งวนรอบตัวเองอยู่ตลอด แล้วก็คลับคล้ายว่าจะนึกถึง เธอในตอนเด็กที่เวลามีความสุขก็จะเป็นแบบนี้

ในตอนนั้น เธอยังไม่สามารถพูดได้ เวลาที่เขาออกไปทำงานที่อื่นก็จะไปเป็นเวลานาน นานมากแล้วที่เธอไม่ได้เจอเขา เมื่อเห็นเขากลับมา เธอก็ไม่ได้ทักทายเขาเลยแล้วก็จะไปวิ่งวนรอบโซฟาของเขา พอท้ายที่แล้ว เมื่อเหนื่อยไม่ไหวแล้วก็จะโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา

ในตอนนั้น เขาก็อุ้มเธอขึ้นมาในทันที แล้วก็วางเธอไว้บนไหล่ และเธอก็จะปรบมืออย่างมีความสุข

ณ เวลานี้ ภาพในความทรงจำมันค่อยๆถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริงในขณะนั้น สือจินหว่านเหนื่อยไม่ไหวแล้วก็วิ่งไปตรงหน้าของโอหยางจวิ้น จากนั้นก็โถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขา

แต่ในตอนนี้เธอพูดได้แล้ว เธอก็พูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า : “ อาจวิ้น หนูมีความสุขจังเลย ”

เธอที่มีความสุขก็ทำให้เขานั้นยิ้มมุมปากขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว

เขาคิดว่าการตัดสินใจในเมื่อกี้ของเขานั้น มันเป็นการตัดสินที่บ้าบิ่นมากที่สุดในชีวิตของเขาเลยจริงๆ

สำหรับเธอแล้ว ขอเพียงแค่เธอโตขึ้นมาในทางดี แต่สำหรับเค้าแล้ว กลับมีความกดดันที่เพิ่มขึ้นมากๆ

เป็นเพราะว่าเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเพอร์เซลล์ และในตอนนี้ก็อายุสามสิบห้าแล้ว ถ้าหากว่ายังไม่มองหาคู่ แล้วก็ยังไม่แต่งงาน เมื่อเวลาผ่านไป ผู้อาวุโสของตระกูลก็คงจะทนดูต่อไปไม่ได้

ดังนั้นแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องคิดหาวิธีอย่างรอบคอบ

ไม่สามารถที่จะให้ความกดดันนี้กับสาวน้อย แล้วก็ให้เพอร์เซลล์นั้นสามารถให้เวลากับเขาด้วยเช่นกัน

แต่ก่อน เขาคิดมาตลอดว่า การแต่งงานนั้นเป็นความรับผิดชอบที่ต้องปฏิบัติในชีวิต และเป็นหน้าที่ที่จะต้องสืบทอดครอบครัวและแพร่พันธุ์ก็เท่านั้น แล้วก็หาคนที่ไม่ถูกกีดกันมาแต่งงานด้วย แล้วมันก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเลย

แต่ทว่า วันนี้เมื่อเขาเห็นเธอร้องเพลงให้เขาบนเวที แล้วในขณะที่เขาก็ถูกความอบอุ่นของเธอนั้นสาดส่อง จู่ๆเขาก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกถึงสภาวะแบบนั้นที่สือมูเฉินเคยได้บอก และมันเป็นสิ่งที่เขาควรแสวงหา

คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก เพียงแค่สั้นๆไม่กี่สิบปี และเขาก็ถูกสอนมาตั้งแต่เด็กๆให้สู้เพื่อความมั่งคั่งและความมีเกียรติของตระกูล แต่ที่ผ่านเขาไม่เคยที่จะคิดถึงตัวเองเลย

ถ้าอย่างนั้น ครั้งนี้ เขาจะพยายามอย่างหนักและฮึกเหิมเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการมาสักครั้ง แค่นี้ก็เกิดมาไม่เสียเปล่าแล้ว !

ในเวลานี้ สาวน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็เงยหน้าขึ้นมาพูดว่า : “ อาจวิ้นคะ ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่หนูยังไม่ได้บอกอาค่ะ ”

“ อะไรงั้นหรอ ?” โอหยางจวิ้นก็เก็บความรู้สึกแล้วก็ถามไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

หัวใจของสือจินหว่านก็เต้นแรงจนดังตึกๆ เธอรู้สึกว่ามันตื่นเต้นยิ่งกว่ากับการสารภาพรักสักอีก : “ หนูไม่รู้เลยว่า คุณอาชอบหนูหรือเปล่า ? หนูไม่ได้ชอบความรู้สึกที่ถนอมรักแบบนั้น แต่สำหรับหนูแล้วเป็นเพราะความรู้สึกชอบแบบนั้นจริงๆ !”

โอหยางจวิ้นเห็นดวงตาของเธอที่ตื่นเต้น และปากของเธอก็เปิดขึ้นเล็กน้อย ซึ่งทั้งคนก็เฝ้ารอด้วยท่าทางที่หวาดกลัว และเขาก็รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจของเขานั้นถูกเธอทำให้มันละลายจนนุ่มนิ่มจนระเนระนาด

เขาก็ตอบกลับ : “ ถ้าหากว่าไม่ชอบ จะรับปากว่าจะรอหนูโตทำไมกันละ ?”

สือจินหว่านก็หยุดชะงักไปหลายวินาที จากนั้นดวงตาถึงได้เบิกกว้างในทันที แล้วก็รู้สึกว่าวันนี้เธอเจอเรื่องที่น่าดีใจเยอะมากๆ ในเวลานี้ ก็ไม่รู้ว่าจะแสดงความตื่นเต้นดีใจนี้อย่างไร

ที่แท้ ที่เขาตอบกลับว่าจะรอเธอ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเป็นการหว่านล้อมเธอ แต่เป็นเพราะว่าชอบเธอ ? !

เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ดังนั้นเธอก็เลยถูไปที่หน้าอกของโอหยางจวิ้น และดูเหมือนว่าเป็นสัตว์ตัวน้อยที่กำลังออดอ้อน

เขาไม่ได้ผลักเธอออก แต่เพียงแค่ตบไปที่หลังของเธอเบาๆและคล้อยตามเธอ

พอผ่านไปสักพัก สือจินหว่านก็ลุกขึ้นมาพร้อมกับแก้มที่แดงก่ำ จากนั้นก็กุมมือของโอหยางจวิ้นเอาไว้และพูดว่า : “ ช่วงทดลองของวันนั้น อารับปากหนูแล้วนะ ?”

โอหยางจวิ้นก็ไม่มีทางเลี่ยง และพูดอย่างประนีประนอมต่อว่า : “ อื้ม ”

เธอแทบจะทนรอไม่ไหวอยู่แล้ว อยากจะรู้จังเลยว่าความรู้สึกในการเดทนั้นมันจะเป็นยังไง !

แม้ว่าหลังจากผ่านไปหนึ่งวัน พวกเขาจะกลับไปสู่ความสัมพันธ์แบบเดิม หรือแม้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับการแยกจากเป็นเวลานานก็ตาม

แต่ทว่า เขาบอกแล้วว่าเขาจะรอเธอหกปี และทั้งหมดก็ล้วนเป็นความหวัง !

สือจินหว่านที่กุมมือของโอหยางจวิ้นก็พูดว่า : “ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราไปที่ไหนดีคะ ?”

นี่มันจะถือเป็นเดทรักครั้งแรกอย่างจริงจังของพวกเขาหรือเปล่า ?

“ ไม่รอให้งานเลี้ยงของพวกหนูจบลงก่อนหรอ ?” โอหยางจวิ้นถาม

“ ไม่ละค่ะ หนูบอกเพื่อนไปแล้วว่ามีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า !” สือจินหว่านก็พูดอย่างหน้าบาน

“ ไปเดินถนนคนเดินกัน พอกินมื้อค่ำเสร็จ ก็ค่อยไปเดินเล่นแถวชายหาดไหม ?” โอหยางจวิ้นก็เสนอขึ้นมา

อันที่จริงแล้ว เขาก็ไม่เคยเดทแบบนี้มาก่อน การเดทในจินตนาการนั้นมันควรจะเป็นอย่างไรกันนะ ?

“ ค่ะ !” สือจินหว่านพยักหน้า และเดินไปที่ลานจอดรถพร้อมกับโอหยางจวิ้น

ในระหว่างทาง โทรศัพท์ของเธอก็สั่นไม่หยุด ล้วนแต่เพื่อนในวงดนตรีที่ส่งข้อความมาถามเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เธอก็ตอบกลับไปเรียงกันไปตามลำดับ : “ สำเร็จแล้ว !”

ดังนั้นทุกคนก็เลยแสดงความยินดีกับเธอ

เมื่อโอหยางจวิ้นเห็นเธอกำลังส่งข้อความโดยที่ยิ้มหวานมากๆก็เลยอดที่จะถามไม่ได้ : “ หวันหว่าน กำลังคุยอะไรอยู่ ?”

“ เพื่อนของหนูถามว่าสารภาะรักสำเร็จหรือเปล่า หนูก็เลยถามผลลัพธ์ไป !” สือจินหว่านก็พูดว่า : “ ทุกคนบอกว่ารอให้ไปแจกขนมอยู่ !”

เมื่อพูดจบ เธอก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แล้วนี่เธอ เป็นฝ่ายรุกมากเกินไปหรือเปล่า ? เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะชอบผู้หญิงที่สงบเสงี่ยมมากกว่า ?

ทันใดนั้นเธอก็พบว่า ตัวเองก็เริ่มวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ตัวเองได้รับเล็กน้อย

และในเวลานั้นเอง โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น สือจินหว่านก็เลื่อนเพื่อรับสาย : “ เฉียวซือ ?”

“ หวันหว่าน ” น้ำเสียงของเฉียวซือดูไม่ดีเล็กน้อย : “ นี่เธออยู่ไหน ?”

“ ฉันกับอาจวิ้นออกมาจากโรงเรียนแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปถนนคนเดิน !” สือจินหว่านก็พูดอย่างมีความสุข

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ที่เป็นเฉียวซือก็เงียบไปสองวินาที จากนั้นถึงจะเอ่ยปากพูดว่า : “ รู้แล้ว ”

เมื่อได้ยินเสียงตู๊ดตู๊ดในโทรศัพท์ สือจินหว่านก็รู้สึกงุนงง และพอกำลังจะเก็บโทรศัพท์ ก็มีข้อความเด้งเข้ามาหนึ่งข้อความ

เฉียวซือส่งมา : “ ฉันเห็นหมดแล้ว ”

“ อะไร ?” สือจินหว่านก็ถาม

“ เธอร้องเพลงให้เขาฟัง ฉันได้ยินแล้ว และเธอก็สารภาพรักกับเขาในป่า ฉันก็ได้ยินแล้วเหมือนกัน ” เฉียวซือก็พูดว่า : “ ที่แท้ เธอในตอนที่แช่ออนเซ็นไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขินอาย แต่เป็นเพราะหึงหวง ”

สือจินหว่านก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย : “ ขอโทษนะ เฉียวซือ ”

“ ไม่เป็นไรหรอก นอกจากเธอในตอนเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร เธอก็ไม่เคยสัญญาอะไรกับฉันอยู่แล้ว ” เขาตอบกลับมา : “ ในฐานะที่เป็นเพื่อนของเธอ ฉันขอให้เธอมีความสุขละกัน !”

โอหยางจวิ้นที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของสือจินหว่านดูไม่ดี ดังนั้นก็เลยพูดว่า : “ หวันหว่าน ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”

สือจินหว่านก็พูดอย่างซื่อตรง : “ เมื่อกี้เฉียวซือก็อยู่ แล้วเขาก็รู้หมดทุกอย่างแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขาก็บอกว่าของให้พวกเรานั้นมีความสุขค่ะ ”

“ หวันหว่าน ทำไมหนูถึงไม่ชอบเฉียวซือละ ?” จู่ๆโอหยางจวิ้นก็นึกถึงคำถามนี้ขึ้นมา ในตอนนั้น เฉียวซือไม่ใช่ว่าไม่เคยสารภาพรักกับสือจินหว่านต่อหน้าเขา

สือจินหว่านก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่สามารถหาคำตอบได้ และจู่ๆก็นึกประโยคหนึ่งในบทพูดของนักแสดง ก็เลยอดไม่ได้ที่หลุดปากพูดออกมา : “ อาจจะเป็นว่าเพราะคุณอา ดังนั้นก็เลยทำให้ไม่เห็นความสว่างในตัวของคนอื่น ”

หัวใจของโอหยางจวิ้นก็เต้นเร็วมากยิ่งขึ้น ในขณะนี้ เขาเห็นใบหน้าด้านข้างของสาวน้อย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าอยากจูบเธอขึ้นมาเล็กน้อย

ทั้งสองขับรถไปยังลานจอดรถที่อยู่ใกล้กับถนนคนเดิน จากนั้นโอหยางจวิ้นก็เปิดประตูให้สือจินหว่าน เธอก็กระโดดลงมาในทันที แล้วเธอก็จับมือของเขา

ทุกสิ่งทุกอย่างในทั้งสองข้างนั้น มันไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่พวกเขามาเลยสักนิด แต่อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกแค่ว่ามันต่างไปเท่านั้น และดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเธอรู้สึกมีความสุข

เธอก็ก้มลงมองมือที่พวกเข้าจับไว้ด้วยกัน แล้วก็แอบขยับเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนมาสิบนิ้วเกาะเกี่ยวกันแน่น

ในขณะนั้น เธอรู้สึกหัวใจของเธอเต้นเร็วจนแทบจะพุ่งออกมาจากลำคออยู่แล้ว

ทันใดนั้น ก็มีหญิงสาวที่ขายดอกไม้อยู่ในลานกิจกรรมก็วิ่งมา จากนั้นก็ยื่นดอกกุหลาบหนึ่งดอกมาให้โอหยางจวิ้น : “ คุณอาคะ ซื้อสักดอกนะคะ แล้วก็เอาให้พี่สาวคนสวยคนนี้ !”

โอหยางจวิ้นก็หยิบเงินมาออกมาจากในกระเป๋า แล้วก็ซื้อมาหนึ่งดอก และยื่นให้สือจินหว่าน : “ หวันหว่าน นี่ให้หนู !”

เธอก็รับไปแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข จากนั้นก็พูดกับหญิงสาวที่ขายดอกไม้ว่า : “ ห้ามเรียกเขาว่าคุณอาแล้วก็เรียกฉันว่าพี่สาวนะ เป็นเพราะเขาเป็นแฟนฉัน !”

หญิงสาวที่ขายดอกไม้ก็ถึงกลับตะลึง จากนั้นก็พูดชมเชยในทันที : “ ว้าว น่าอิจฉาจังเลย ! แฟนของพี่ทั้งสูงแล้วก็หล่อมากเลยค่ะ !”

สือจินหว่านก็ยักคิ้วแล้วพูดว่า : “ ขอบคุณนะ ! ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน !”

สือจินหว่านคิดหาจังหวะและโอกาสเพื่อสารภาพรักมาตลอด ท้ายที่สุดเธอก็หาโอกาสที่ดีได้แล้ว

และหลายวันมานี้ ในงานแต่งงานของมู่ยวี๋ฮั่น โอหยางจวิ้นก็อวยพรให้อย่างใจกว้าง ทั้งสองคนสวมกอดกันอย่างมิตรภาพในงานแต่ง ทำให้คนที่รู้ว่าพวกเขาเคยหมั้นหมายกัน ได้ขจัดการคาดเดาและความสงสัยในใจไปจนหมด

เข้าใจดีว่าการบีบบังคับมักจะไม่มีความสุข เมื่อขจัดความสงสัยของทุกคนออกไปแล้ว ก็ขอให้คู่บ่าวสาวอยู่กันไปจนแก่จนเฒ่า

งานแต่งงานของมู่ยวี๋ฮั่น สือจินหว่านก็มาร่วมงานด้วย เพียงแต่ว่าไม่ใช่วันหยุด ดังนั้นเธอแค่ไปเข้าร่วมพิธี แล้วก็กลับไปที่โรงเรียนต่อ

เวลาได้ดำเนินมาถึงปลายภาคเรียนแล้ว วันนี้หลังจากสือจินหว่านสอบจบการศึกษาแล้ว ก็ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงจบการศึกษากับเพื่อนร่วมชั้นที่จบการศึกษามาด้วยกัน

ในเมื่อเธอเข้าร่วมสมาชิกของวงดนตรีแล้ว เป็นธรรมดาที่เธอจะไม่แสดงไม่ได้ วันนี้ก็มีการแสดงของเธอ เธอจึงแจ้งกับโอหยางจวิ้นให้ทราบล่วงหน้า

สือจินหว่านจบการศึกษาแล้ว โอหยางจวิ้นจึงมาถึงโรงเรียนแต่เช้า และนั่งในที่นั่งที่เธอจัดไว้ให้ เพื่อรอพิธีเปิดงานเลี้ยงตอนเย็น

สือจินหว่านเป็นนักเรียนที่จบการศึกษา ฉะนั้นบริเวณที่นั่งจึงห่างกับโอหยางจวิ้นพอสมควร เมื่อนึกถึงวันนี้ที่เธอรอคอยมาตลอด ภายในใจของเธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน

การแสดงของเธออยู่ระหว่างกลางจนเกือบท้ายๆ เมื่อเห็นว่าใกล้เข้ามาแล้ว เธอจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง มองไปทางด้านโอหยางจวิ้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบเดินไปที่ด้านหลังเวที

เครื่องแต่งกายเตรียมไว้พร้อมแล้ว เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดแต่งทรงผมของตนเอง แล้วพูดกับเพื่อนในวงดนตรีว่า : “ทุกคนพร้อมแล้วใช่ไหม?”

“วางใจเถอะ วันนี้เป็นงานใหญ่ของคุณ พวกเราจะต้องช่วยสนับสนุนกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว!” นักร้องนำของวงดนตรีตบๆไหล่ของสือจินหว่าน : “คุณไม่เคยเป็นนักร้องนำอย่างเป็นทางการมาก่อน แต่จงจำความรู้สึกตอนที่เราซ้อมไว้ อย่าตึงเครียด คิดว่าผู้ชมด้านล่างเวทีเป็นสัตว์ตัวน้อยๆก็พอ!”

สือจินหว่านพยักหน้า : “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว! ขอบคุณทุกคนนะ!”

วันนี้เธอเพิ่งบอกทุกคนว่าเธอกำลังจะขึ้นเวทีเพื่อสารภาพรัก เพราะเธอเชิญคนรักที่จะสารภาพรักมาด้วย ฉะนั้นจึงขอให้ทุกคนช่วยร่วมมือกันทำให้ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ!

เวลาค่อยๆใกล้เข้ามา จนกระทั่งสือจินหว่านได้ยินพิธีกรประกาศการแสดงของเธอ

“สู้ๆนะ Wan!”

“Wan คุณทำสำเร็จอย่างแน่นอน!’

ทุกๆคนแปะมือให้กำลังใจอยู่ที่ด้านหลังเวที เมื่อม่านด้านหน้าถูกเปิดออก ทุกคนจึงเข้าสู่การแสดงพร้อมๆกัน

เมื่อโอหยางจวิ้นได้ยินชื่อ ก็นั่งตัวตรงทันที การแสดงของสาวน้อยของเขา เขาจะไม่ตั้งใจดูได้อย่างไร?!

เวลานี้ม่านได้เปิดออกมา จึงเห็นสือจินหว่านสวมชุดเดรสคลาสสิกสีแดง ด้านหลังเป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ โอหยางจวิ้นนั่งอยู่ด้านล่างของเวที จู่ๆก็รู้สึกว่า สาวน้อยของเขาเป็นวัยรุ่นแล้ว แล้วก็สวยจนทำให้คนไม่สามารถละสายตาไปได้

เธอเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วโค้งคำนับให้ผู้ชมที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นก็หยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วกล่าวเป็นภาษาอังกฤษว่า : “บทเพลงในวันนี้ ฉันมาขับร้องให้ผู้ชมท่านหนึ่งในที่นี้ฟังโดยเฉพาะ ชื่อบทเพลงก็คือคำพูดที่อยากจะบอกกับเขา อยากขอบคุณที่เขาดูแลและคอยอยู่เคียงข้างมาตลอดหลายปีนี้ และหวังว่าในอนาคต ฉันจะสามารถดูแลและอยู่เคียงข้างเขาได้เหมือนที่เขาปฏิบัติกับฉัน!”

เธอพูดจบ ก็มองมาที่โอหยางจวิ้น แล้วพูดเป็นภาษาจีนว่า : “อาจวิ้นคะ บทเพลงนี้ขอมอบให้คุณค่ะ!”

สือจินหว่านพูดจบ เสียงดนตรีก็ดังขึ้นมา นักดนตรีด้านหลังเธอก็เริ่มบรรเลงเพลง

เวลานี้บนหน้าจอขนาดใหญ่ ปรากฏชื่อเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อโอหยางจวิ้นเห็นแล้ว ก็หายใจไม่เป็นจังหวะ

《Love for the whole life》

เวลานี้เมื่อดนตรีจบลง สาวน้อยของเขาที่สวมชุดแดงไปทั้งตัว ก็จ้องมองมาที่เขา แล้วร้องเพลงด้วยภาษากว้างตุ้งที่เขาฟังไม่เข้าใจ : “วันวานผ่านพ้นไปไม่มีวันหวนกลับ กลีบกุหลาบแดงถูกกลบฝั่งอยู่ภายใต้ผงฝุ่นชั่วกาล จากเริ่มต้นจวบจนสิ้นสุดมิอาจที่จะแปรเปลี่ยน หลงทางอยู่ในหมู่เมฆาบนท้องนภาอันแสนกว้างใหญ่……”

น้ำเสียงของเธอเพราะที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา เวลานี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจเนื้อเพลงสักคำ แต่เมื่อได้สบตากัน เขาเห็นประกายในแววตาของเธอ มันราวกับมีวังวน ที่ต้องการจะดึงดูดจิตวิญญาณของเขาไปสู่ส่วนลึกของจิตวิญญาณเธอ

“ความรักและเกลียดชังเวียนวนอยู่ในห้วงมหาสมุทรแห่งความขื่นขม ในโลกนี้มิมีผู้ใดที่หลีกพ้นจากเวรกรรมได้ แม้ว่าจะรักกันก็มิอาจอยู่ร่วมกัน หรือฉันจะต้องเชื่อว่านี่แหละคือโชคชะตา”

ที่ด้านข้างเวที ดูเหมือนว่าจะมีคนตั้งใจเปิดพัดลมโดยเฉพาะ เพื่อสร้างเอฟเฟกต์ให้คล้ายกับลมพายุทะเลทราย ทำให้กระโปรงสีแดงของสือจินหว่านพลิ้วไหวอยู่ในฉากทะเลทรายสีเหลืองกว้างใหญ่

โอหยางจวิ้นรู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกเธอนำพาไปยังโลกของทะเลทรายที่เปล่าเปลี่ยวและมีอาทิตย์อัสดงในแม่น้ำที่ทอดยาวเป็นสาย ในดวงตาของเขามีแค่เธอ และข้างๆหูก็มีแค่เสียงของเธอ

“คนรักที่จากไปไม่มีวันหวนกลับ นั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวแล้วเหม่อมองไปยังโลกแห่งความเงียบงัน แม้นบุปผาจะแห้งเหี่ยวโรยรา หมู่บุปผาจะเบ่งบานอีกครา ความรักในชีวิตของฉันนั้นดูเหมือนว่า ไกลลิบลิ่วเกินกว่าหมู่เมฆา……”

ดวงตาของเธอ มีสิ่งที่คล้ายๆน้ำเอ่อล้นขึ้นมา เขาพบว่าในขณะนี้ ความต้านทานในหัวใจของเขาที่แข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าจะค่อยๆพังทลายลง

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ? เธอเป็นแค่สาวน้อยของเขา เป็นแค่เด็กผู้หญิงที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต……

แต่เมื่อเห็นประกายในแววตาของเธอ เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเองกลับเจ็บปวดขึ้นมาเบาๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอ เป็นเพราะตนเอง หรือเป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่

เธอยังคงร้องต่อไป และสายตาก็ไม่ละออกจากเขาไปเลย : “ความรักและเกลียดชังเวียนวนอยู่ในห้วงมหาสมุทรแห่งความขื่นขม ในโลกนี้มิมีผู้ใดที่หลีกพ้นจากเวรกรรมได้ แม้ว่าจะรักกันก็มิอาจอยู่ร่วมกัน หรือฉันจะต้องเชื่อว่านี่แหละคือโชคชะตา……”

การแสดงของเธอดูแน่วแน่และอบอุ่น ทำให้เขานึกถึงการกระทำที่บอกเป็นนัยๆของเธอก่อนหน้านี้ที่ปฏิบัติต่อเขา

เมื่อก่อนเขาไม่เชื่อว่าสาวน้อยจะมีความรู้สึกที่มากมายเช่นนี้ เวลานี้จากบทเพลงนี้ที่ฟังไม่ออก แต่เมื่อมองเห็นก็เชื่อหมดใจแล้ว

เดิมทีไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจเธอ แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่กล้าที่จะสืบลึกไปจนถึงต้นเหตุ

เธอรู้เรื่องตั้งแต่เด็ก รู้ว่าตนเองต้องการอะไร ตอนนี้เธอโตแล้ว มีความกล้าหาญ ยืนหยัด แล้วก็มุ่งมั่น

ก็เหมือนกับตอนที่เขาเห็นเธอแข่งขันว่ายน้ำ เธอทุ่มเทมาโดยตลอด

ดังนั้น ก่อนหน้านี้ที่เธอเฉยชากับเขา ก็เพียงเพราะว่าเขามีคู่หมั้น

ตอนนี้ ที่เธอกระตือรือร้นกับเขา ก็เพราะว่าเขากลับมาโสดแล้ว

แทนที่จะพูดว่าเขาดูแลเธอมาตลอดหลายปี จะดีกว่าที่จะพูดว่า หลายปีมานี้ เพราะเธอ ในที่สุดเขาจึงมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

เรียนรู้ที่จะเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้นนอกเหนือจากครอบครัว ความรุ่งโรจน์ และผลประโยชน์ เข้าใจอารมณ์ดีใจโกรธเศร้าสุขมากขึ้น และเธอยังทำให้โลกที่จืดชืดน่าเบื่อทั้งใบสว่างไสวขึ้นมาอีกด้วย

“แม้ว่าจะรักกันก็มิอาจอยู่ร่วมกัน หรือฉันจะต้องเชื่อว่านี่แหละคือโชคชะตา……..”

ในสายตา ทะเลทราย ชุดกระโปรงที่พลิ้วไหว ดวงตาที่จับจ้องมาที่เขาเพียงผู้เดียว เสียงที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเขา……โอหยางจวิ้นรู้สึกเพียงว่า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เขาก็จะไม่มีทางลืมทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้ และสาวน้อยคนนั้นที่กล้าหาญที่จะร้องเพลงเพื่อเขา

เวลานี้ มีเพื่อนนักเรียนเดินมายังตรงหน้าโอหยางจวิ้น แล้วส่งดอกกุหลาบหนึ่งช่อให้กับเขา : “คุณอา เอาให้Wanเถอะค่ะ เพื่อนคนอื่นๆที่ออกไปแสดงมีดอกไม้กันหมดแล้วนะคะ!”

โอหยางจวิ้นหยิบดอกไม้ เพราะความใจลอย จึงถูกหนามด้านบนแทงเล็กน้อย

ความเจ็บปวดแพร่เข้ามา เขาจึงตื่นจากภวังค์ เงยหน้ามองหญิงสาวบนเวทีที่ยังคงร้องเพลงให้เขา จากนั้น ก็ลุกขึ้นยืน

เขารู้ว่าตอนนี้เขายังไม่สามารถให้คำตอบอะไรกับเธอได้ แต่เวลานี้ แค่อยากขึ้นไป แล้วโอบกอดเธอ

บนเวที สือจินหว่านเห็นโอหยางจวิ้นเดินเข้ามา จึงเริ่มรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้ เธอก็คิดว่าตนเองหวาดกลัว แต่เมื่อได้เห็นเขา อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด ก็ถูกทิ้งเอาไว้ในสมอง เธอร้องเพลงให้เขาเพียงคนเดียว เนื้อเพลงทุกประโยค ล้วนเป็นคำสารภาพรัก และยังมีอีกมากมาย ที่เธอต้องการจะร้องเป็นเพลงออกมา

เธอรู้ว่า เธอยังเด็ก เขาสามารถปฏิเสธได้ และยังนึกถึงว่าอาจจะมีตัวแปรอีกมากมายในอนาคต แต่เธอก็ต้องการที่จะให้เขารับรู้ หัวใจของเธอ

เธออยากให้เขารับปากสักคำ แม้เพียงคำเดียวก็ยังดี

เวลานี้ เขาเดินเข้าไปทีละก้าวๆ หัวใจของเธอ ก็ราวกับจะกระโดดขึ้นมาที่ลำคอ ชั่วพริบตา คาดไม่ถึงว่ามือไม้จะทำอะไรไม่ถูก

“หรือฉันจะต้องเชื่อว่านี่แหละคือโชคชะตา……” สือจินหว่านร้องเพลงประโยคสุดท้ายออกมา

โอหยางจวิ้นนำดอกไม้ในมือส่งให้ : “หวันหว่าน ฉันให้คุณ”

ดอกกุหลาบสีแดงสด ก็ไม่อาจสู้ความประกายแวววาวที่เด่นชัดในดวงตาของเธอ

เธอรับดอกไม้ของเขา กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง โอหยางจวิ้นก็ยื่นแขนออกมา แล้วโอบกอดสือจินหว่านเอาไว้แน่น : “หวันหว่าน คุณร้องเพลงได้ไพเราะอย่างมาก!”

ถึงแม้ว่าฉันจะฟังเนื้อเพลงไม่เข้าใจเลยสักประโยค แต่ฉันเข้าใจหัวใจของคุณ โอหยางจวิ้นกล่าวเสริมภายในใจ

น้ำตาที่เธออดกลั้นมาเป็นเวลานาน ถึงตอนนี้จึงไหลรินออกมา

โอหยางจวิ้นรู้สึกถึงความชุ่มชื้นในลำคอ หัวใจของเขาสั่นสะท้าน แต่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

“อาจวิ้น คุณอย่าเพิ่งไปนะ การแสดงของฉันจบแล้ว จะไปหาคุณทันที” สือจินหว่านพยายามระงับเสียงที่สั่นเครือในเวลานี้

“โอเค” เขารับปากพลาง ค่อยๆปล่อยเธอช้าๆ แล้วยื่นมือออกไป ช่วยเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มให้เธอ : “เชื่อฟังนะ ขืนร้องไห้อีกเครื่องสำอางจะเลอะเอาได้นะ”

เธอยิ้มขึ้นมา ความอบอุ่นคล้ายกับสามารถทำให้เขาละลายได้

ด้านหลัง การบรรเลงเพลงของวงดนตรีก็ค่อยๆหยุดลง โอหยางจวิ้นเดินลงมาล่างเวที สือจินหว่านและคนทั้งวงดนตรีแสดงความเคารพต่อผู้ชมด้านล่างแล้วลงจากเวทีไป

“Wan วันนี้คุณร้องเพลงได้เจ๋งมากเลย! ถึงแม้พวกเราจะฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่ก็ถูกคุณทำให้หลงเสน่ห์อย่างมาก!”

ใช่ๆ ถ้าฉันเป็นคนรักที่ถูกคุณสารภาพรักนะ จะตอบรับคุณทันทีเลยแหละ!”

“Wan มีข่าวดีแล้วจะต้องบอกพวกเราทันทีเลยนะ!”

“โอเค!” สือจินหว่านได้ฟังคำพูดของทุกคนแล้ว ก็กล่าวว่า: “ตอนนี้ฉันต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปหาเขา เพื่อถามคำตอบของเขา!”

“สู้ๆนะ!”

ทุกคนโอบกอดสือจินหว่าน : “Fighting!”

เธอพยักหน้า ไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็วิ่งออกไปทางหลังเวที

โอหยางจวิ้นได้รับข้อความที่สือจินหว่านส่งมาให้ เห็นเธอบอกว่าอยู่ที่สวนหย่อมของโรงเรียน รู้สึกใจเต้นเล็กน้อย แล้วจึงลุกขึ้นไปยังที่นั่นทันที

จากที่ไกลๆ เขาเห็นเธอยืนนิ่งๆอยู่ตรงนั้น เหมือนกับตอนเด็กๆที่รอเขา น่าเอ็นดูจนทำให้คนอดไม่ได้ที่จะสงสาร

หัวใจของเขาสั่นเล็กน้อย จากนั้น ก็เดินเข้ามาทีละก้าวจนมาถึงตรงหน้าเธอ

“อาจวิ้น!” สือจินหว่านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวเสียงดังว่า : “คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงนัดคุณมาที่นี่?”

เขาสบตาของเธอ เวลานี้ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเอ่ยปากว่า : “หวันหว่าน คุณ…….”

แต่เธอดึงเขา แล้วตัดบทเขาทันที : “อาจวิ้น ฉันไม่อยากให้คุณพูดเรื่องอื่น! ฉันอยากบอกคุณว่า ฉันชอบคุณ อยากให้คุณเป็นแฟนของฉัน!”

เธอโตมาขนาดนี้แล้ว นี่คือช่วงเวลาที่กล้าหาญที่สุด มือของสือจินหว่านจับโอหยางจวิ้นเอาไว้แน่น ยืนกรานว่าต้องการคำตอบของเขา

“หวันหว่าน คุณยังเด็ก อีกอย่างตอนนี้…..” เขาเห็นท่าทีของเธอ ในหัวใจก็เจ็บปวด พออยากจะอธิบาย แต่เห็นว่าจู่ๆเธอก็ร้องไห้ คำพูดช่วงท้ายของเขาก็หยุดลงทันที และพูดไม่ออกอีกเลย

“อาจวิ้น คุณรังเกียจที่ฉันเป็นเด็กใช่ไหม คุณไม่เชื่อฉันใช่ไหม?” สือจินหว่านเงยหน้า มองไปยังโอหยางจวิ้นทั้งน้ำตาอย่างดื้อรั้น : “งั้นวันนี้คุณก็คิดซะว่าฉันโตแล้ว พวกเรามาลองคบกัน วันเดียวก็ได้ โอเคไหม?”

ทั้งสองจูงมือกันวิ่งที่ลานไปหนึ่งรอบ สือจินหว่านหยุดลง พูดกับโอหยางจวิ้นที่อยู่ข้างๆ “คุณอาจวิ้น หนูวิ่งไม่ไหวแล้ว เมื่อกี้เพิ่งว่ายน้ำมา เหนื่อยมาก”

“งั้นพวกเราพักผ่อนสักเดี๋ยวดีไหม?”โอหยางจวิ้นพูด“ด้านหน้ามีร้านกาแฟร้านหนึ่ง”

สือจินหว่านมองตาเขา “อาเคยพูดว่า ตอนกลางคืนเด็กห้ามดื่มกาแฟไม่ใช่เหรอ?หรือว่ารู้สึกว่าหนูโตแล้ว?”

โอหยางจวิ้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ พูดอย่างจนใจ “หวันหว่าน หนูกำลังจงใจจับผิดไวยากรณ์ของอาเหรอ?”

“งั้นคุณอารู้สึกว่าหนูโตแล้วหรือว่ายังเด็กอยู่เหมือนเดิม?”สือจินหว่านมองเขา รอคำตอบนี้ของเขา

โอหยางจวิ้นมองผู้หญิงเอวบางร่างเล็กตรงหน้า ยังคงถูกลมพัดเส้นผมยาว น้ำเสียงอดที่จะผ่อนคลายลงไม่ได้“หนูเป็นสาวน้อยในใจอาตลอดกาล”

สาวน้อย?หมายถึงอะไร?

สือจินหว่านไม่ได้ถามต่อ แต่กลับเงยหน้า พูดว่า “คุณอาจวิ้น พวกเรากลับบ้านกันเถอะ หนูเดินไม่ไหวแล้ว อาแบกหนูขึ้นหลังไปถึงลานจอดรถได้ไหม?”

“ได้”โอหยางจวิ้นไม่มีความลังเลใดๆ หมุนตัวไปนั่งยองให้สือจินหว่าน

เธอพาดอยู่บนหลังเขา กอดคอเขาไว้

เขากุมมือเธอกลับ ลุกเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

สือจินหว่านพาดอยู่บนไหล่โอหยางจวิ้น รู้สึกหลังเขากว้างเหมือนตอนเด็กๆ มอบความปลอดภัยให้เธอเต็มเปี่ยม

ดีจริงๆ วันนี้เอาเรื่องที่แอบอยากทำมานาน ทำไปหมดแล้ว เหลือเรื่องสุดท้ายเรื่องเดียว

ทั้งสองถึงข้างรถ โอหยางจวิ้นวางสือจินหว่านลง เปิดประตูรถให้เธอ แล้วก้มตัวไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ

เธอยิ้มกว้างมองเขาทำทุกเสร็จเรียบร้อย ตอนที่โอหยางจวิ้นยืดตัวจะไปที่ตำแหน่งคนขับ สือจินหว่านดึงแขนเขาไว้

ตามมาด้วย เธอดึงเขาเข้ามาทางเธอ แล้วเข้าไปใกล้ จูบอุ่นๆลงไปที่แก้มด้านข้างของโอหยางจวิ้น

โอหยางจวิ้นตัวเกร็งทันที ชั่วพริบตา เขาถึงขนาดไม่กล้าขยับ

จนกระทั่ง สาวน้อยของเขาปล่อยเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณ คุณอาจวิ้นที่แบกหนู”

น้ำเสียงตรงไปตรงมา เหมือนนี้จูบให้รางวัลจริงๆ

โอหยางจวิ้นกดหัวใจที่เต้นแรงไว้ ยื่นมือลูบผมสือจินหว่าน แล้วหมุนตัวเดินอ้อมไปทางหน้ารถ

ระยะแค่ไม่กี่ก้าว เขาจงใจเดินให้ช้าลงหน่อย แม้แต่ท่าทางการเปิดประตูรถ ก็ตั้งใจทำให้ช้าลงเหมือนภาพสโลว์ในหนัง

สุดท้าย เขาก็นั่งขึ้นไป สตาร์ทรถ

ตลอดทางเหมือนเงียบเกินไปหน่อย

สือจินหว่านเหมือนมองที่หน้าต่างไม่รู้คิดอะไรอยู่ ทุกครั้งตอนโอหยางจวิ้นหันไปมองเธอ ก็เห็นแค่ผมยาวที่พลิ้วขึ้นของเธอ

“หวันหว่าน หนูชอบร้องเพลงมากเหรอ?”โอหยางจวิ้นทำลายความเงียบ

“อืม”สือจินหว่านพยักหน้า “คุณอาจวิ้น รอหนูร้องเป็นแล้ว ร้องเพลงให้คุณอาฟัง”

“ตกลง”โอหยางจวิ้นพยักหน้า จู่ ๆรู้สึกไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ดังนั้นเปิดเครื่องเสียงในรถ

คิดไม่ถึง ตอนนี้กำลังบรรเลงเปียโนบทเพลงหนึ่ง เป็นเพลงที่ก่อนหน้านี้เขากับเธอเคยฟังที่ระเบียงพอดี

โอหยางจวิ้นค้นพบ เขาเอาแต่คิดถึงช่วงเวลานั้นอย่างบ้าคลั่ง

ในที่สุดก็ถึงบ้าน โอหยางจวิ้นจอดรถสนิทแล้ว สือจินหว่านปลดเข็มเข็ดนิรภัยด้วยตัวเองแล้ว เปิดประตูรถออกไป

เธอยืนนิ่งตรงหน้าเขา “คุณอาจวิ้น ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์”โอหยางจวิ้นพยักหน้า

เพียงแต่หลังจากนั้นครู่เดียว ในอ้อมกอดมีความอุ่นและนุ่มขึ้น

สือจินหว่านกอดโอหยางจวิ้นไว้ เงยหน้ามองเขา “กอดก่อนนอน หนูกลับห้องแล้ว”

พูดอยู่ เธอปล่อยเขาออกทันที แล้วหมุนตัวแล้ววิ่ง

ที่เขาไม่เห็นก็คือ ชั่วพริบตาที่เธอหมุนตัว รอยยิ้มบนใบหน้าได้หายไปแล้ว มีน้ำไหลออกมาแทนที่

สือจินหว่านวิ่งเร็วมาก ไม่มีท่าทางวิ่งไม่ไหวเหมือนตอนอยู่ที่ลานเมื่อครู่เลย เหมือนไม่เหนื่อยสักนิด จนถึงพุ่งเข้าไปในห้องตัวเอง ปิดประตู

เธอถึงหยุดลง ทิ้งความจอมปลอมทั้งหมด ยอมให้น้ำตาไหลจนเสื้อเปียก

วันนี้เธอ ตั้งใจกอดเขา จูบเขา ให้เขาแบก ทำเรื่องที่เคยทำตอนเด็กๆอีกครั้ง

หลังจากนี้ไป เธอต้องบอกลาอดีตของพวกเขาแล้ว

เธอเชื่อว่าเขาฟังคำถามที่เธอถามเขาออก แต่เขาไม่ตอบกลับเธอ และการแต่งงานของเขาก็ไม่ได้บอกว่าจะยกเลิก

ดังนั้นไม่ว่ายังไง เธอไม่ควรเป็นภาระให้เขา

ตั้งแต่เด็ก เธอรู้ว่าต้องเป็นเด็กดี ไม่ควรรบกวนเขา

ตอนนี้โตแล้ว ก็ไม่มีข้อยกเว้น

สือจินหว่านอยู่ที่เพอร์เซลล์ 1 วัน แล้วกลับไปโรงเรียน ทั้งปิดเทอมฤดูหนาวก็ฝึกซ้อมอยู่ในวงดนตรี

เป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง เธอรายงานตัวกลับโอหยางจวิ้นทุกวันเหมือนเดิม เพียงแต่พูดถึงเรื่องอื่นน้อยลงเรื่อย ๆ

เฉียวซือก็ส่งข่าวให้เธอบ่อยๆ มีบางครั้งวันหยุดกองกำลังทหาร เขาก็จะมาที่วงดนตรีมองสือจินหว่านฝึกซ้อม

สือจินหว่านตอนว่างๆ ก็จะไปกินข้าวด้วยกันกับเฉียวซือ พูดคุยเรื่องชีวิตทั่วๆไป มองส่งเขาเข้ากองกำลังทหาร

เวลาถึงช่วงปลายวันหยุดฤดูหนาวแล้ว

วันนี้ สือจินหว่านและวงดนตรีแสดงเป็นครั้งแรก เสียงตอบรับดีมาก ดังนั้นคนร้องนำของวงดนตรีเชิญทุกคนไปเลี้ยงฉลองที่คลับ

ตอนเริ่มแรก สือจินหว่านคุยเล่นกับเพื่อนๆ กระโดดเต้นรำไปด้วยกัน

หลังจากนั้น เธอเหนื่อยแล้ว ดังนั้นเลยนั่งอยู่ในโซนพักผ่อน ฟังนักร้องประจำในคลับร้องเพลง

มีบางครั้ง เธอร้องได้ก็ร้องตามสองท่อน ถ้าไม่เป็นก็ดื่มไปพลาง ฟังไปพลาง

เวลานี้ กลับมีผู้หญิงหน้าหมวยคนหนึ่งเข้ามา ดูอายุแล้วประมาณ17-18ปี ดูสาวเป็นพิเศษ

เธอเดินขึ้นไป แนะนำตัวเอง ว่าเธอชื่อตู้มั่นหมาน เป็นหลานสาวของตู้ลี่ลี่ที่เป็นนักร้องยอดนิยม ร้องเพลงที่มาจากบ้านเกิด ชื่อเพลงว่า(รักนี้เป็นนิรันดร์)

หน้าเอเชียเหมือนกัน สือจินหว่านเห็นเธอยิ่งรู้สึกใกล้ชิด ดังนั้นเลยตั้งใจฟังขึ้นมา

เสียดาย เพลงนี้เป็นเพลงภาษากวางตุ้ง เธอไม่เข้าใจเนื้อเพลงเลย กลับถูกจังหวะและท่วงทำนองดึงดูดไป

ด้วยเหตุนี้ สือจินหว่านหยิบมือถือขึ้น ค้นหาเนื้อเพลง

ข้างหู ตู้มั่นหมานยังคงร้องต่อไป แต่สือจินหว่านกลับมองตามเนื้อเพลง สติไหววูบไปเล็กน้อย

จนกระทั่ง ตู้มั่นหมานร้องเสร็จ สือจินหว่านยังมองเนื้อเพลง อ่านประโยคสุดท้ายเบาๆ “นัดดูตัวไม่อาจเข้าใกล้ หรือฉันควรเชื่อว่านี้คือโชคชะตา”

เธอไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อน ยิ่งไม่มีทางดื่มเหล้าข้างนอก แต่ตอนนักร้องนำยกเหล้าขึ้น สือจินหว่านมองขวดเขียวๆลายๆพวกนั้น กลับรู้สึกอยากลองชิมเป็นครั้งแรก

ไม่พูดไม่ได้ว่า เธอไม่ได้สืบทอดพันธุกรรมการดื่มเหล้าเก่งของสือมูเฉิน แต่เพิ่งดื่มไปครึ่งขวด ก็เคลิบเคลิ้มแล้ว

เวลานี้ มือถือเธอดังขึ้น สือจินหว่านมองแสงที่สว่างขึ้นด้านบน เป็นเวลานานถึงใช้ลายนิ้วมือปลดล็อก

โอหยางจวิ้นเป็นคนส่งมา บอกราตรีสวัสดิ์กับเธอ

เธออยากตอบกลับเหมือนกัน แต่นิ้วมือกลับไม่ทำตามสั่ง สุดท้ายไม่รู้ว่าตอบกลับสำเร็จไหม ก็เอามือถือวางกลับไปบนโต๊ะ

เมื่อก่อน เพราะมีเวลากำหนด ดังนั้นทุกครั้งโอหยางจวิ้นส่งเสร็จ สือจินหว่านก็จะตอบกลับ

แต่วันนี้ โอหยางจวิ้นส่งไปนานแล้ว และไม่เห็นสาวน้อยบอกราตรีสวัสดิ์ เขาอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง

เห็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว เขาหยิบมือถือขึ้น กดโทรหกสือจินหว่าน

ตอนนี้ สือจินหว่านเหมือนหลับไปแล้ว ดังนั้นเสียงมือถือดัง เธอไม่รู้สึกตัวสักนิด

แต่ข้างๆ มือกลองในวงดนตรีของเธอเห็นเข้า เขย่าเธอสองครั้ง เห็นเธอไม่ตื่น เห็นข้างบนแสดงว่าเป็นคุณอา ดังนั้นเลยกดรับ “สวัสดีครับ”

โอหยางจวิ้นได้ยินเสียงคนอื่นรับ แถมยังเป็นผู้ชาย หัวใจหนักอึ้ง “สวัสดีครับ สือจินหว่านอยู่ไหม?”

“เธอดื่มจนเมาแล้ว ตอนนี้เหมือนหลับไปแล้ว” มือกลองตอบ

“เธออยู่ที่ไหน?”โอหยางจวิ้นลุกขึ้นทันทีไปหยิบกุญแจรถ

“พวกเราอยู่ท็อปคลับ”มือกลองบอก “คุณเป็นคุณอาของเธอใช่ไหม? มารับเธอกลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้พวกเราไม่มีฝึกซ้อมพอดี วันมะรืนถึงมี”

โอหยางจวิ้นเดินลงชั้นล่างด้วยความรวดเร็ว เห็นว่าตัวเองลืมแม้แต่ใส่เสื้อหนาว แต่เขาไม่มีเวลากลับไปเอาแล้ว แต่กลับก้าวเท้ายาวไปที่ลานจอดรถ

ทะยานอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โอหยางจวิ้นก็ถึงคลับ

เขาเดินเข้าโถงใหญ่ เห็นร่างที่เท้าแขนอยู่บนโซฟานั้นแต่ไกล

เวลานี้ เขารู้สึกโกรธนิดๆ แต่กังวลมากกว่า รีบเดินไปถึงข้างตัวสือจินหว่าน

“หวันหว่าน”น้ำเสียงเขาดูเข้มงวดเล็กน้อย

เธอดื่มเหล้าได้ยังไง? ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างนอกเจออันตรายจะทำยังไง?

นึกถึงตรงนี้ เขากลับรู้สึกกลัวมากๆ

บางทีอาจเพราะน้ำเสียงเขาที่ไม่เคยเข้มงวดมาก่อน หรือบางทีเธอรอเขาอยู่ตลอด สรุปคือ น้ำเสียงเขาเพิ่งเงียบลง สือจินหว่านยกเปลือกตาขึ้นช้าๆ

เส้นผมของเธอที่ข้างแก้มถูกสะบัดออก มีละอองน้ำบางๆใต้ตา ดวงตาเบลอๆ แก้มแดงก่ำ ริมฝีปากเหมือนกลีบดอกซากุระ เผยอออกเล็กน้อย กลับมีเสน่ห์ดึงดูดคนอย่างยากจะอธิบาย

โอหยางจวิ้นเห็นจนหายใจถี่ คิ้วยิ่งขมวดกันแน่น “ทำไมถึงดื่มจนเป็นแบบนี้ได้?”

เวลานี้ เพื่อนนักเรียนข้างๆกลัวสือจินหว่านกลับบ้านไปจะถูกทำโทษ รีบช่วยเธอแก้ตัว “วันนี้พวกเราแสดงได้ดี ดังนั้นเธอถึงดื่มไปเล็กน้อย น้อยมากจริงๆ คุณอา อย่าโกรธเธอเลย”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า “วันหลัง ไม่ต้องให้เธอดื่ม เธอดื่มเหล้าไม่ได้”ระหว่างพูด เขาก้มตัวไป ใช้แขนลอดผ่านด้านหลังสือจินหว่าน แล้วอุ้มเธอขึ้น

“พวกเรากลับบ้าน” น้ำเสียงของเขาพูดอย่างแข็งกร้าว

“ไม่เอา”ใช้ประโยชน์จากแอลกอฮอล์ สือจินหว่านอยากทำตามใจสักครึ่ง “หนูไม่กลับ”

เขาโกรธจริงๆ “ท่าทางหนูตอนนี้ ไม่กลับบ้านจะทำอะไร?”

“หนูจะเต้นรำ”สือจินหว่านยื่นแขนโอบคอโอหยางจวิ้นไว้“คุณอาจวิ้น เต้นเป็นเพื่อนหนู”

“เมาแล้วยังจะเต้นรำอะไรอีก”โอหยางจวิ้นอดพูดไม่ได้ อุ้มสือจินหว่านกำลังจะออกไป

“หนูก็แค่อยากเต้นรำกับคุณอาเอง”สาวน้อยในอ้อมกอดแสบจมูกขึ้นกะทันหัน น้ำตาไหลออกมา

ฝีเท้าของโอหยางจวิ้นหยุดลงทันที ก้มมองเธอ

เธอเสียใจเหมือนสูญเสียโลกทั้งใบ น้ำตาไหลไม่หยุด ไม่นานก็เปียกไปหมดทั้งหน้า

เขารู้สึกหายใจติดขัด น้ำเสียงกลับอ่อนโยนลงมาก “หวันหว่าน เด็กดี”

“หนูไม่ดี”เธอส่ายหน้า น้ำตาไหลออกมากกว่าเดิม น้ำตาเอ่อล้นมองที่เขา บนใบหน้าเล็กทั้งน้อยใจและเสียใจ

เขารู้สึกหัวใจตัวเองเหมือนถูกบีบไว้ หมดสิ้นหนทางแล้วเต็มไปด้วยความสงสาร “แค่อยากเต้นรำใช่ไหม?”

“อืม”เธอพยักหน้า

“ได้ อาเต้นเป็นเพื่อนหนู”เขาค้นพบ เขาทนเห็นน้ำตาเธอไม่ได้จริงๆ หลักการทั้งหมดที่ยืนกรานได้ไม่กี่วินาที ก็พังทลายลงมาหมดอย่างรวดเร็ว

โอหยางจวิ้นเห็น สาวน้อยอ้อมแขนในอดีต ตั้งแต่นาทีที่กระโดดลงไปในน้ำ ก็เหมือนอดกลั้นอะไรไว้

เหมือนข้างหน้าเป็นสิ่งที่เธอใช้ชีวิตเพื่อวิ่งไล่ตาม ทำให้เธอจำเป็นต้องใช้แรงทั้งหมดที่มี

เธอไม่ใช่มืออาชีพ รูปร่างก็ไม่ถือว่าสูง แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนสุดท้าย ก็กัดฟันสู้มาโดยตลอด ยืนกรานจนถึงจุดสิ้นสุด

สุดท้าย เธอเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ รายชื่อคนสุดท้ายจากการแข่งขันแพ้คัดออก

ตอนโอหยางจวิ้นเห็นสือจินหว่านโผล่ขึ้นจากน้ำ เหมือนใกล้หมดแรงแล้ว

ฝีเท้าของเขาเดินเข้าใกล้เธอตามสัญชาตญาณ อยากจะไปดึงเธอ แต่เธอกลับขึ้นไปด้วยตัวเองอย่างช้าๆ

เขาหันหลังจากไปเงียบๆ ในหัวกลับฉายภาพที่พวกเขาเคยติดเกาะเล็กนั้น เห็นฉากที่เขาตื่นมาตอนเช้าตรู่

ในแสงจันทร์ เธอตัวเล็กๆ กอดเสื้อผ้าเขาไว้ เย็บทีละเข็มทีละเส้นอย่างตั้งใจ ตอนนั้นเขาก็แอบคิดในใจ จะรักเธอไปตลอดชีวิต

แต่ตอนนี้เขาถึงเข้าใจ สาวน้อยที่เข้มแข็งและฉลาดที่อยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เด็ก บางทีกำลังจะออกจากโลกตัวเองไปแล้ว

จู่ ๆก็แสบจมูกขึ้น เขาหลับตา สูดหายใจลึกๆ

หลังจากนั้น โอหยางจวิ้นไม่ถามเรื่องกลับบ้านกับสือจินหว่านอีก ทั้งสองนอกจากรายงานเรื่องสารทุกข์สุกดิบ ไม่พูดเรื่องอื่นกันอีกเลย

จนกระทั่ง ใกล้วันแต่งงานของโอหยางจวิ้นกับมู่ยวี๋ฮั่นเข้าไปทุกที ไม่ถึงครึ่งเดือนแล้ว

และวันนี้ โอหยางจวิ้นเดินไปถึงริมทะเลสาบคฤหาสน์เพอร์เซลล์ กลับเห็นมู่ยวี๋ฮั่นนั่งอยู่ริมทะเลสาบ เหมือนกำลังรอเขามาโดยตลอด

เขาเดินเข้าไป “ยวี๋ฮั่น ทำไมไปนั่งบนก้อนหิน?”

เธอหมุนตัวมา มองเขาหลายวินาที สูดหายใจลึก“Bojian ฉันมีเรื่อง อยากคุยกับคุณ”

โอหยางจวิ้นมองออกว่าเธอจริงจัง เลยพยักหน้า“ตรงนี้หรือว่า?”

“ที่นี่แหละ”มู่ยวี๋ฮั่น นิ้วมือกำเป็นหมัดแน่น ผ่านไปหลายวินาที ถึงเปิดปาก“ขอโทษ”

ระหว่างที่พูด ก็โค้งคำนับไปทางโอหยางจวิ้น

โอหยางจวิ้นนิ่งไป “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“Bojian ฉันเหมือนตกหลุมรักคนอื่นแล้ว”มู่ยวี๋ฮั่นพูดอย่างรวดเร็ว“แต่ ฉันไม่รู้ว่าความรู้สึกของฉันมันถูกหรือผิด แต่ทำฉันใจเต้นแรงจริงๆ”

ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนตรงไปตรงมาอยู่แล้ว มีหนึ่งก็บอกหนึ่ง มีสองก็บอกว่าสอง และเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอนอกจากเสียใจ ก็เหลือแต่สารภาพกับโอหยางจวิ้น

“รักคนอื่น?”โอหยางจวิ้นหรี่ตา “ใคร?”

“จำคุณหมอคนนั้นที่ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพฉันมาตลอดได้ไหม?”มู่ยวี๋ฮั่นพูด“ฉันค้นพบว่าฉันชอบเขาจริงๆ”

โอหยางจวิ้นคิดอยู่หลายวินาที นึกถึงคนนั้นที่อายุประมาณ 40 ปี ถึงขนาดเป็นผู้ชายมีพุงนิดๆ เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อ“ตั้งแต่เมื่อไร?”

“อาทิตย์ก่อน”มู่ยวี๋ฮั่นพูด“ที่จริงแล้วฉันรู้สึกว่าเขาสุขุมมาก และมืออาชีพสุดๆ แต่ตอนแรกฉันไม่รู้สึกอะไรจริงๆ แต่

อาทิตย์ก่อน ฉันกับเขาคุยกันการรักษาทางการแพทย์ ค้นพบว่าพวกเรามีเรื่องที่สนใจเหมือนกันอยู่มาก ตอนนั้น ฉันรู้สึกว่าเขามีเสน่ห์ ฉันก็นึกว่าตัวเองแค่รู้สึกประเดี๋ยวประด๋าว แต่ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ทุกครั้งที่ฉันคุยกับเขา ยังใจเต้นแรงเหมือนเดิม”

โอหยางจวิ้นคิดแล้วคิดอีก“งั้นเขาล่ะ?เขามีท่าทียังไงกับคุณ?”

“วันนี้เขา สารภาพรักกับฉันแล้ว”มู่ยวี๋ฮั่นพูดอยู่ ตำหนิตัวเองอยู่ลึกๆในใจ “Bojian เรื่องนี้ ฉันขอโทษคุณจริงๆ ดังนั้นถึงได้มาสารภาพผิดกับคุยก่อน”

“ดังนั้น คุณคิดจะ…”โอหยางจวิ้นถาม

“งานแต่งเหมือนเตรียมเสร็จแล้ว ถ้าหากพวกเราบอกยกเลิก คงชี้แจ้งกลับทั้งสองครอบครัวไม่ได้”มู่ยวี๋ฮั่นก้มหน้า“ดังนั้นพวกเราเลื่อนวันแต่งงานไปก่อนได้ไหม?”

“อืม”โอหยางจวิ้นพยักหน้า

“Bojian?”มู่ยวี๋ฮั่นก็คิดไม่ถึง โอหยางจวิ้นไม่พูดตำหนิเธอแม้ครึ่งคำ ในใจเธอยิ่งรู้สึกผิด “ฉันเสียใจมากจริงๆ ถึงขนาดเกลียดตัวเอง แต่เหมือนที่เราคุยตอนอยู่ออนเซ็นก่อนหน้านี้จริงๆ พวกเราเหมือนเห็นอีกฝ่ายเป็นสหายร่วมรบ ดังนั้น คุณจะจูบฉัน ฉันก็รู้สึกเหมือนจูบระหว่างเพื่อน”

“ผมเข้าใจ”โอหยางจวิ้นพยักหน้า

“Bojian เริ่มต้นฉันเกิดอุบัติเหตุทางรถ นอนอยู่หลายปี ก็ทวงเวลาคุณหลายปีแล้ว ฉัน…” มีหลายสิ่ง นึกขึ้นมาก็ค้นพบว่าตัวเองติดค้างมากมายขนาดนี้ แต่มู่ยวี๋ฮั่นนอกจากขอโทษ เหมือนไม่มีอะไรสามารถชดเชยได้

“ไม่เป็นไร”โอหยางจวิ้นมองน้ำในทะเลสาบเงียบสงบเบื้องหน้า “ที่จริง ฉันไม่ได้รอเป็นพิเศษ…”

ตอนนั้น เขาเหมือนไม่ได้ตั้งใจรอมู่ยวี๋ฮั่น แต่กำลังเฝ้ามองสาวน้อยอีกคนที่เติบโตขึ้นทุกวัน

ความคิดเขาเหมือนถูกแยกไปที่อื่น ไม่มีความกระตือรือร้น ทั้งเรื่องความรักก็ดี เรื่องแต่งงานก็ช่าง

“แต่ฉันยังรู้สึกเกรงใจจริงๆ รู้สึกผิดมาก”มู่ยวี๋ฮั่นพูด“ทางด้านครอบครัว ฉันจะอธิบายเอง”

“เราอธิบายไปด้วยกันเถอะ”โอหยางจวิ้นพูด“ถ้าหากคุณถอนหมั้นฝ่ายเดียว อนาคตถ้าหากอยู่กับคุณหมอคนนั้นจริงๆ เกรงว่าจะยุ่งยากไม่น้อย”

มู่ยวี๋ฮั่นรู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ“Bojian ขอบคุณ คุณคิดแทนฉันแบบนี้ ฉันยิ่งไม่รู้ว่าควร…”

“ไม่เป็นไร กลับกันฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจเพราะเรื่องนี้”โอหยางจวิ้นพูด

“Bojian คุณไม่เจอผู้หญิงที่ชอบจริงๆเหรอ?”มู่ยวี๋ฮั่นรู้สึกเสียดาย“เมื่อก่อนฉันก็รู้สึก การแต่งงานเป็นเพียงความรับผิดชอบและภาระผูกพัน แต่ตอนนี้…”

โอหยางจวิ้นส่ายหน้า พูดแทรกคำพูดของเธอ “ปล่อยไปตามโชคชะตาเถอะ”

วันรุ่งขึ้น โอหยางจวิ้นกับมู่ยวี๋ฮั่น เอาเรื่องเลื่อนงานแต่ง ไปแจ้งผู้ใหญ่ทั้งสองครอบครัวด้วยกัน

เดิมงานแต่งที่เตรียมเกือบเสร็จแล้วจู่ ๆก็ถูกเลื่อน ทั้งสองครอบครัวเหมือนรับไม่ค่อยได้

แต่สองคนที่เป็นตัวเอกในงานแต่ง ไม่ว่าจะเป็นโอหยางจวิ้นหรือว่ามู่ยวี๋ฮั่นยืนกรานจะเลื่อนวัน งานแต่งครั้งนี้ จัดขึ้นไม่ได้จริงๆ

ดังนั้น ยกเลิกงานเลี้ยงทั้งหมดในครอบครัว ถึงจัดการเรื่องต่างๆให้เรียบร้อยในสองอาทิตย์ต่อมา

หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่เลื่อนงานแต่งสือจินหว่านถึงเพิ่งทราบข่าว

หลายวันนี้ วันหยุดสุดสัปดาห์เธออยู่แต่ในโรงเรียน เป็นมู่ยวี๋ฮั่นส่งข่าวมา บอกเธอ หลังจากนี้เธอคงเจอหล่อนน้อยลง

เพียงแต่มู่ยวี๋ฮั่นไม่ได้บอกสาเหตุ สือจินหว่านก็ไม่ได้ถาม

ในความเข้าใจของเธอ เลื่อนงานแต่งหรือถอนหมั้นมีสองกรณี

ดังนั้น เธออยู่ในโรงเรียนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เหมือนเดิม จนถึงวันแข่งว่ายน้ำรอบรองชนะเลิศ

ไม่พูดไม่ได้ ก่อนหน้านี้เธอสามารถเข้ารอบชิงชนะเลิศก็ถือว่าถึงขีดความสามารถแล้ว แต่เพราะตอนรอบรองชนะเลิศมีคนสละสิทธิ์ มีคนแสดงศักยภาพไม่คงที่ เธอกลับเก็บตกอย่างไม่ตั้งใจ ดังนั้นถึงเข้าสู่ทีมรอบชิงชนะเลิศ

รอบรองชนะเลิศมีสมาชิกทั้งหมด 16 รายชื่อ แยกเป็นสองทีม เธออยู่ทีม 2

วันนั้น โอหยางจวิ้นถึงแล้ว

เขาเห็นเธอทุ่มเทแรงกายว่ายน้ำจนจบ แม้ว่าอันดับโดยรวมได้ที่ 13 แต่พยายามแล้วจริงๆ

ครั้งนี้เขาไม่ได้กลับ แต่ตอนเธอโผล่ขึ้นน้ำ ยืนอยู่จุดสิ้นสุดยื่นผ้าขนหนูให้เธอ

เธอประหลาดใจนิดๆ พร้อมยิ้มให้ “คุณอาจวิ้น มาได้ยังไง?”

เขามองหยดน้ำบนแก้มเธอ “ถือโอกาสมาดูๆ”

พูดจบ เขาพูดต่อ“หวันหว่าน นานแล้วที่หนูไม่ได้กลับ วันนี้เป็นวันเสาร์พอดี พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”

เธอนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง พร้อมพยักหน้า “ค่ะ แต่หนูแข่งขันไม่ติดอันดับ อย่าเอาเหตุผลเรื่องนี้มาเลี้ยงข้าวหนูแล้ว”

โอหยางจวิ้นเหมือนถูกเธอเตือนสติ หัวใจกระตุก “ก่อนหน้านี้อาเห็นร้านอาหารร้านหนึ่งรสชาติใช้ได้ อาพาหนูไปชิม”

เธอกะพริบตา “ไม่กลับไปกินข้าวบ้านจริงๆเหรอ?”

โอหยางจวิ้นรอสือจินหว่านกลับหอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วขับรถพาเธอไปร้านอาหาร

ทั้งสองคุยเล่นกันเหมือนที่ผ่านมา จนกระทั่งกินมื้อเย็นเสร็จ ถึงเดินเล่นที่ลาน

สือจินหว่านหันหน้า เหมือนพลั้งปากถาม “คุณอาจวิ้น คุณอา กับ คุณน้ามู่ยังแต่งงานกันไหม?”

โอหยางจวิ้นคิดครู่หนึ่ง “ไม่รู้ ปล่อยไปตามโชคชะตา”

“อ้อ”สือจินหว่านพยักหน้า จู่ ๆก็นึกถึงสองวันก่อนที่โรงเรียนวงดนตรีแปะประกาศรับสมาชิก

ก่อนหน้านี้ เธอยังไม่รู้ว่าควรสมัครดีไหม ตอนนี้กลับมีความคิด

“คุณอาจวิ้น เกรงว่าปิดเทอมฤดูหนาวหนูเข้าฝึกซ้อม กลับบ้านไม่ได้แล้ว”สือจินหว่านมองไปทางนกพิราบที่จิกเม็ดข้าวอยู่ตรงหน้า

“ทำไม?”โอหยางจวิ้นพูด“หวันหว่าน การแข่งขันว่ายน้ำของหนูจบลงแล้ว”

“หนูสมัครเข้าร่วมวงดนตรี”สือจินหว่านพูด“หนูไม่มีพื้นฐาน เป็นธรรมดาที่ต้องพยายามกว่าคนอื่น ดังนั้น ปิดเทอมฤดูหนาวคงอยู่แต่กับวง”

“หวันหว่าน”โอหยางจวิ้นหยุดฝีเท้าลงกะทันหัน จ้องตาสือจินหว่าน “ทำไมไม่ยอมกลับบ้าน?”

เขาถามค่อนข้างตรง จ้องเธอตลอดเวลา เหมือนไม่ให้โอกาสเธอหลบหนี

เธอสบตาเขา เหมือนนาทีนี้ไม่อยากคิดเหตุผลอื่นแล้ว

สือจินหว่านยิ้ม “เพราะต้องการเรียนรู้จะอยู่โดยตัวเอง”

โอหยางจวิ้นรู้สึกแค่หัวใจเหมือนถูกอะไรบางอย่างอุดไว้ “หวันหว่าน ครอบครัวของหนู สามารถพึ่งพิงได้ พ่อแม่ของหนูก็รึหนูมาก และอา ก็จะดูแลหนูไปตลอด”

“คุณอาจวิ้น งั้นอาสามารถอยู่กับหนูไปตลอดชีวิตไหม?”สือจินหว่านสบตาโอหยางจวิ้น รู้สึกแค่เพียงหัวใจเต้นอย่างรุนแรง“ความหมายก็คือ ไม่ว่าเวลาไหนก็อยู่เป็นเพื่อนตลอดเวลา”

โอหยางจวิ้นสะอึก พูดไม่ออกทันที

ระหว่างทั้งสอง เกิดความเงียบในชั่วสั้นๆ

จนกระทั่ง สือจินหว่านทำลายความเงียบก่อน “เพราะฉะนั้น อาไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนหนูไปตลอดชีวิต หนูต้องทำตัวให้ชินก่อนที่คุณอา จะออกจากชีวิตของหนูไป”

“หวันหว่าน”โอหยางจวิ้นมองท่าทางเธอตอนนี้ หัวใจเหมือนมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ซับซ้อนจนแยกไม่ออก

“คุณอาจวิ้น ไม่เป็นไร เดิมหนูก็ชอบร้องเพลง”สือจินหว่านกลับยิ้มออกมา “หลายปีที่หนูพูดไม่ได้ อัดอั้นมาก วันหลังหนูจะตั้งใจเรียนร้องเพลง รอหนูร้องเพราะแล้ว จะร้องเพลงให้คุณอาฟัง”

พูดจบ เธอดึงมือโอหยางจวิ้น “คุณครูบอกว่าร้องเพลงต้องฝึกลม ต้องวิ่งบ่อยๆ เริ่มพวกเราลองวิ่งกัน”

ด้วยเหตุนี้เขากุมมือเธอกลับ ทั้งสองวิ่งอยู่ในลาน

เส้นผมยาวของสือจินหว่านพลิ้วขณะวิ่ง เธอหันมองทางโอหยางจวิ้น คิดในใจ บางที นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจูงมือเขาแล้ว

โอหยางจวิ้นนำสือจินหว่านวางลง เขาก้มลงไปมองเธอ : “ยังเดินไหวไหม?”

เธอเอนไปพิงอยู่บนตัวเขา เงยหน้าแล้วยิ้มให้เขา : “คุณพาฉันไปหน่อยสิ!”

โอหยางจวิ้นจนปัญญา จึงพาสือจินหว่านไปที่หน้าฟลอร์เต้นรำ

โดยรอบ มีวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่สนุกสนานรื่นเริงกันอย่างมาก มีวงดนตรีมากมาย เมื่อเห็นสือจินหว่านเข้ามา ก็กล่าวทักทายเธอว่า : “Wan มาเต้นด้วยกันสิ!”

เป็นธรรมดาที่โอหยางจวิ้นเป็นห่วงที่จะปล่อยเธอไป ด้วยเหตุนี้ เขาจึงโอบเอวเธอไว้ แล้วเดินไปกลางฟลอร์เต้นรำด้วยกันกับเธอ

หมุนวนไปรอบๆ แล้วมองดูสถานการณ์ไปด้วย คาดไม่ถึงว่าแม้เธอจะเบลอๆอยู่ แต่ก็ค่อนข้างทำได้ดี

ดนตรีค่อยๆเปลี่ยนจากจังหวะเร็วเป็นนุ่มนวลผ่อนคลาย ซึ่งดูเหมือนจะเป็นจังหวะการเต้นของคู่รัก ดังนั้น ผู้คนบนฟลอร์เต้นรำจึงจัดเป็นกลุ่มชายหญิงอย่างรวดเร็ว และเริ่มเต้นรำกัน

ในหัวสือจินหว่านรู้สึกสับสนงุนงง เพียงแต่เธอยังคงจำได้อย่างชัดเจนว่า เธออยากจะเต้นรำกับโอหยางจวิ้นมานานแล้ว

เพราะเหตุนี้เธอจึงพิงอยู่กับหน้าอกของเขา พร้อมกับเสียงเพลง และภายใต้การเคลื่อนไหวของเขา จึงเริ่มเต้นรำขึ้นมา

บางทีบรรยากาศในฟลอร์เต้นรำก็ส่งผลต่อคนในที่นั้น ฉะนั้นคนจำนวนไม่น้อยจึงได้มาเข้าร่วม ฟลอร์เต้นรำจึงดูแออัดขึ้นมาในทันที

โอหยางจวิ้นยื่นมือไปโอบสือจินหว่านไว้ กลัวว่าเธอจะล้มลงไปแล้วถูกคนชนเข้า แต่เมื่อเธอเอนตัวเข้ามา ร่างกายของเขาก็หดเกร็งขึ้นมาทันที

สัมผัสอันอบอุ่นอ่อนโยนในอ้อมแขนส่งออกมาอย่างชัดเจน ชั่วขณะนี้เขาจึงตระหนักได้ว่า เธอโตแล้วจริงๆ อีกทั้งร่างกายก็มีการพัฒนาขึ้น รูปร่างไม่แบนราบอย่างนั้นเหมือนกับตอนเด็กๆอีกแล้ว

แต่โดยรอบมีผู้คนจำนวนมาก เขาจะปล่อยเธอก็ไม่ได้ จะไม่ปล่อยก็ไม่ได้ รับรู้ได้เลยว่ากล้ามเนื้อทั่วร่างกายหดเกร็งจนแข็งทื่อไปหมด เห็นได้ชัดว่าเสื้อเชิ้ตที่สวมมา ผ่านไปสักพัก ก็มีเหงื่อออกเต็มไปหมดแล้ว

“หวันหว่าน คนเยอะมากแล้ว เรากลับกันดีกว่าไหม?” โอหยางจวิ้นก้มหน้าลงแล้วพูดโน้มน้าวสาวน้อยของเขา

แต่วันนี้เธอดื้อรั้นเป็นพิเศษ : “เพิ่งจะเต้นไปเพลงเดียวเอง ฉันไม่อยากกลับไปเร็วขนาดนี้!”

โอหยางจวิ้นจนปัญญา ได้แต่พูดต่อรองว่า : “อย่างนั้นเราไปพักผ่อนสักครู่ รอหลังจากคนน้อยลงแล้ว ค่อยมาเต้นกันอีกที ดีไหม?”

สือจินหว่านเบ้ปาก คิดดูเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักหน้า

โอหยางจวิ้นโล่งอก เขาจูงมือเธอลงจากฟลอร์ พาเธอไปที่โซฟา แล้วไปขอน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว

เมื่อเกลี้ยกล่อมให้เธอดื่มน้ำแล้ว เห็นท่าทางเธอที่กลับมาสงบนิ่ง โอหยางจวิ้นจึงถามเธอว่า : “หวันหว่าน บอกฉันมาสิ ว่าทำไมถึงดื่มเหล้า?”

เธอได้ยินคำถามของเขา ก็หมดแรงที่จะคิดไตร่ตรองแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเงยหน้าขึ้นแล้วหลุดพูดออกมาว่า : “เพราะว่าคิดถึงคุณไง”

เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ เมื่อมองเธออีกครั้ง เธอก็เอนตัวนอนลงไปบนโซฟาแล้ว

โอหยางจวิ้นรอให้เธอนอนหลับสักพัก จากนั้นก็ก้มลงไปอุ้มเธอขึ้นมา

เธอยังคงไม่ตื่น พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่ขยับไปไหน

เขากล่าวลาสมาชิกของวงดนตรี แล้วพาเธอไปที่ลานจอดรถ

นำเธอวางลง รัดเข็มขัดนิรภัยดีแล้ว โอหยางจวิ้นก็ไปนั่งยังที่นั่งคนขับ มองดูใบหน้าที่หลับใหลของหญิงสาวข้างๆ แล้วพูดพึมพำกับตนเองเบาๆว่า : “ในเมื่อคิดถึงฉัน แล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะ?”

เขารู้สึกว่า ตนเองสามารถคาดเดาคำตอบนี้ได้ แต่ก็เหมือนว่าไม่อยากจะรับรู้มัน

กลับมาถึงบ้าน เขาอุ้มเธอขึ้นมาอย่างนุ่มนวล และเมื่อมีลมพัดผ่านเข้ามา เธอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

“หวันหว่าน นอนต่อเถอะ!” โอหยางจวิ้นอุ้มหวันหว่านเข้าไปในห้อง แล้ววางลงบนเตียง เขากำลังจะลุกขึ้นไปเรียกคนรับใช้มาดูแล เธอก็ลืมตาตื่นขึ้นมา

“ทำไมถึงตื่นแล้วล่ะ?” เขาเอ่ยถามเธอเบาๆ เห็นว่ากระดุมคอเสื้อของเธอดูแน่นไปเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงเอื้อมมือออกไปช่วยเธอปลดกระดุมเม็ดแรกออก ให้เธอได้หายใจสะดวกขึ้น

แต่เมื่อโอหยางจวิ้นกำลังจะลุกขึ้น จู่ๆสือจินหว่านก็โอบกอดคอของเขาเอาไว้

สายตาของเธอพร่ามัว มองเขาด้วยความมึนเมา : “อาจวิ้น”

“หื๊ม?” เขาเอ่ยถามเธอว่า : “ทำไมเหรอ? มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า?”

“มีค่ะ” สือจินหว่านพูดออกมา

“ตรงไหนเหรอ?” โอหยางจวิ้นพูดอย่างเคร่งเครียด

จู่ๆเธอก็ออกแรง โน้มศีรษะของเขาลงมา รวบเข้ามาใกล้ๆใบหน้าน้อยๆ ต่อจากนั้น——

ในฉับพลันริมฝีปากที่อ่อนนุ่มนั้นก็ค่อยๆเข้ามาใกล้ๆ โอหยางจวิ้นเบิกตาโพลงในทันที ในขณะนั้นหัวใจของเขาก็เต้นรัวราวกับตีกลอง

เขามองสือจินหว่านด้วยความตกใจ เธอราวกับไร้เรี่ยวแรง ค่อยๆปล่อยเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา

ทันใดนั้นคิ้วก็โค้งงอนขึ้น ดวงตาที่มัวหมองเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส ชั่วพริบตาก็เหมือนเห็นท้องฟ้าที่แจ่มใส เกิดความงดงามขึ้นมา

โอหยางจวิ้นพบว่าลมหายใจของตนเองเริ่มติดขัดขึ้นมา และมือเท้าก็ไม่รู้ว่าจะจัดวางไว้อย่างไรดี

พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก เขารู้สึกได้ถึงที่ที่เธอจูบไปเมื่อกี้ มันรุ่มร้อนอย่างมาก ความรู้สึกของการสัมผัสนั้น ราวกับถูกตราตรึงไว้ในจิตวิญญาณ ไม่มีวันจางหายไป

สือจินหว่านยิ้มให้โอหยางจวิ้นตลอด จากนั้นรอยยิ้มก็ค่อยๆแข็งทื่อขึ้น ท้ายที่สุดเธอก็หลับตาลง แล้วก็หลับไป

เพียงแต่ที่มุมปากยังคงมีรอยยิ้มจางๆหลงเหลืออยู่

โอหยางจวิ้นนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน จึงค่อยๆลุกขึ้นมา

เขายืนอยู่ข้างๆเตียง เห็นว่าเธอหลับสนิทแล้วจริงๆ จึงก้มลงไปช่วยถอดรองเท้าให้เธอ

เขาเดินออกมาจากห้อง แล้วสั่งคนรับใช้ให้ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สือจินหว่านด้วย จากนั้นก็เดินมาที่ระเบียงของปราสาท

ลมหนาวพัดพาอุณหภูมิบนแก้มออกไป แต่ตราประทับบนริมฝีปากยังคงอยู่ไม่จากไปไหน

เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงเป็นเด็กน้อย เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ตอนเด็กๆเธอไม่เคยจูบเขาเลย มีอยู่ไม่กี่ครั้ง ที่ไม่ทันได้ระวังก็เลยจูบไปที่ปาก แต่ว่า……

จู่ๆโอหยางจวิ้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้ที่บ่อน้ำพุร้อน ความรู้สึกที่เขากำลังจะไปจูบมู่ยวี๋ฮั่น

เวลานั้นเขาประหม่าอย่างมาก เพียงแต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือรู้ว่าเป็นการทดสอบหยั่งเชิง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกแค่เป็นเพื่อนกันเท่านั้น จึงรู้สึกแปลกๆที่จะต้องเข้าไปใกล้ชิดแบบนั้น

เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้ใจเต้นเลย จนกระทั่ง มู่ยวี๋ฮั่นพูดประโยคนั้น เขารู้สึกอยากจะหัวเราะ และไม่สามารถจูบต่อไปได้อีก

แต่เมื่อกี้ ทำไมตอนสาวน้อยเข้ามาใกล้เขาแบบนั้น เขาเหมือนกับถูกตรึงให้หยุดนิ่งไปเลยล่ะ?

จนกระทั่งตอนนี้ หัวใจก็สับสนวุ่นวายไปหมด หาความรู้สึกของหัวใจที่นิ่งเหมือนน้ำที่หยุดไหลไม่ได้โดยสิ้นเชิง

เขาคลึงที่ขมับเล็กน้อย พยายามระงับความรู้สึกที่ฟุ้งซ่านทั้งหมดของตัวเอง

เขาคิดว่า เธอเพียงแค่เมา ก็เท่านั้น

แต่เขา ไม่สามารถถูกความรู้สึกแบบนี้เข้ามารบกวนได้อีกต่อไป

คิดถึงตรงนี้แล้ว โอหยางจวิ้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบก้าวเท้าไปยังห้องหนังสือ

สิบโมงเช้าวันต่อมา สือจินหว่านค่อยๆลืมตาขึ้นมา

เธอรู้สึกว่ายังหนักๆที่หน้าผาก ด้วยเหตุนี้จึงขยับคอเล็กน้อย

เอ๊ะ ดูเหมือนว่าจะกลับมาอยู่ที่ห้องของตระกูลเพอร์เซลล์แล้วเหรอ? เธอมองไปรอบทิศอย่างงุนงง ความทรงจำจึงค่อยๆกลับคืนมา

อ้อ เมื่อวานโอหยางจวิ้นพาเธอกลับมา เธอจำได้ว่า พวกเขาเหมือนว่ายังเต้นรำกันด้วยใช่ไหม?

เธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงออกมา รู้สึกหิวมาก ด้วยเหตุนี้จึงกระโดดเข้าไปยังห้องอาหาร

ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงออกมา แต่บังเอิญได้พบกับโอหยางจวิ้นที่ระเบียงทางเดิน

“อาจวิ้น อรุณสวัสดิ์ค่ะ!” สือจินหว่านยิ้มอย่างสดใสแล้วกล่าวทักทายโอหยางจวิ้น

“อรุณสวัสดิ์” โอหยางจวิ้นรู้สึกเกร็งเล็กน้อย จนกระทั่งถูกเธอจับจ้อง จู่ๆริมฝีปากก็ร้อนผ่าวขึ้นมา

สือจินหว่านกำลังจะเดินต่อไป แต่จู่ๆก็สังเกตเห็นความคล้ำใต้ดวงตาของโอหยางจวิ้น: “คุณอาจวิ้น เมื่อคืนคุณนอนไม่หลับเหรอคะ?”

โอหยางจวิ้นพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ที่แท้ เธอจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ?

เมื่อคืนเขาพยายามทำงานอยู่ในห้องหนังสือ เมื่อกลับถึงห้องก็เกือบจะตีหนึ่งแล้ว แต่พอเขาเอนตัวลงนอน ในสมองล้วนเป็นภาพที่เธอจูบเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา จึงทำให้นอนไม่หลับโดยสิ้นเชิง

แต่เหมือนกับว่าเธอลืมไปหมดแล้ว?

“อืม นอนไม่ค่อยหลับน่ะ” โอหยางจวิ้นอยากไปหยิกแก้มของสือจินหว่าน แต่ขยับมือแล้ว ก็ล้มเลิกไป

“อาจวิ้นต้องนอนเร็วหน่อยนะคะ ไม่อย่างนั้นขอบตาจะคล้ำแล้วไม่หล่อนะ!” เธอทำหน้าตาทะเล้น: “ฉันกลับห้องแล้วนะ!”

เขาหันตัวกลับ มองภาพด้านหลังของเธอ: “หวันหว่าน คุณจะกลับไปที่วงดนตรีอีกไหม?”

“กลับไปแน่นอนค่ะ!” สือจินหว่านกล่าว: “วันพรุ่งนี้ฉันมีฝึกซ้อม ดังนั้นวันนี้ทานข้าวเย็นแล้วก็จะกลับไปค่ะ”

เขาเห็นเธอเป็นปกติทุกอย่าง หัวใจจึงผ่อนคลายลง

เธอน่าจะไม่ได้มีความหมายนั้นอย่างที่เขาคาดเดา ไม่ใช่ก็ดี!

ตอนเย็น โอหยางจวิ้นไปส่งสือจินหว่านกลับวงดนตรี เขามองเธอ แล้วกล่าวอย่างจริงจังและเคร่งขรึมว่า: “หวันหว่าน ต่อไปห้ามดื่มเหล้าอีกนะ เข้าใจไหม?”

เธอบุ้ยปาก แล้วพยักหน้า: “โอเคค่ะ อาจวิ้น ต่อไปฉันจะไม่ทำอีกแล้ว!”

เขาเห็นท่าทีที่เชื่อฟังของเธอแล้ว น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงอย่างมาก: “ฉันไม่ได้โหดร้ายกับคุณหรอกนะ แต่กลัวว่าคุณเมาแล้วจะ…..”

เขานึกถึงเธอที่รบเร้าให้เขาเต้นรำด้วย แล้วยังจูบเขาอีก ก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้วยเหตุนี้จึงพยายามแสดงออกอย่างเคร่งขรึม: “สรุปว่า ต่อไปถ้าไม่มีฉันอยู่ข้างๆ ห้ามดื่มเหล้ามั่วซั่วอีก!”

“โอเคค่ะ แล้วถ้าคุณอาจวิ้นอยู่ข้างๆล่ะ?” สือจินหว่านมองเขาอย่างแปลกใจ

“ก็ ห้าม ดื่ม!” โอหยางจวิ้นพูดทีละคำอย่างชัดเจน

“อ้อ โอเคค่ะ” สือจินหว่านกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า

“ตั้งใจเรียนนะ วันหลังฉันจะมาหาคุณอีก!” เขาลูบหัวของเธอ แล้วโบกมือบ๊ายบายเธอ

เธอพยักหน้า ยิ้มจนตาหยี จากนั้นก็หันเดินจากไป

จนกระทั่งสือจินหว่านหายไปจากสายตา โอหยางจวิ้นจึงหันเดินจากไป

หลังจากนั้น ก็ดูเหมือนจะกลับสู่โหมดที่ผ่านมา ทุกคืนเธอแทบจะไม่ต้องรอให้เขาถามว่าเป็นอย่างไร ก็รายงานความปลอดภัยเองอย่างตรงเวลา

และการเต้นรำและจูบในวันนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะสลายไปตามกาลเวลา

สือจินหว่านเปิดเทอมแล้ว เตรียมสอบจบการศึกษาไปพลาง ฝึกซ้อมวงดนตรีไปพลาง ดูเหมือนว่าจะยิ่งอัดแน่นกว่าเมื่อก่อน

จนกระทั่งใกล้สอบจบการศึกษาอีกหนึ่งเดือน เธอจึงไม่ได้กลับไปอีก

วันนี้ เธอได้ฟังข่าวดีเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ของโอหยางจวิ้น แต่เป็นมู่ยวี๋ฮั่นและคุณหมอด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูของเธอ

ได้ฟังข่าวนี้แล้ว สือจินหว่านก็ตกตะลึงอยู่บนดาดฟ้าของโรงเรียนเป็นเวลานาน

จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมีฝนตกพรำๆ เธอจึงได้สติกลับมา

ความดีใจที่ยากจะอธิบายได้ระเบิดขึ้นในหัวใจ แม้แต่ละอองฝนก็กลายเป็นดอกไม้ไฟที่กระจายอยู่ทั่วท้องฟ้า

เธอยืนอยู่ขอบดาดฟ้า นำมือทั้งสองวางลงบนแก้ม แล้วตะโกนลงมาว่า: “ฉัน มี ความ สุข จัง เลย!”

จากที่ไกลๆ คาดไม่ถึงว่าจะมีเสียงแว่วๆสะท้อนกลับมา

ฝนค่อยๆตกหนักขึ้น สือจินหว่านถูกฝนจนเปียกโชก แต่ก็ยังคงดีใจเป็นพิเศษ

เธอมีความสุขแทนมู่ยวี๋ฮั่น แล้วก็มีความสุขกับความลับเล็กๆภายในใจ

เธอเล่นน้ำฝนอยู่บนดาดฟ้า จนกระทั่งมีคุณครูเข้ามา ดึงเธอลงมาอย่างใจระทึก เพราะคิดว่าเธอจะกระโดดตึก

กลับมาถึงหอพักของตนเอง สือจินหว่านอาบน้ำแล้ว ก็ฉีกยิ้มกว้างกับตนเองในกระจกหนึ่งที จากนั้น ก็ทำการตัดสินใจภายในใจ

เธอพูดไม่ได้ตั้งแต่เด็ก หลายครั้งหลายครา ที่ภายในใจมีความคิดแต่ไม่สามารถแสดงออกมาให้ดีได้

แต่ตอนนี้ เธอสามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่ยากลำบากมาได้แล้ว ดังนั้น เธอชอบเขา ก็ต้องกล้าที่จะบอกเขา!

เธอจะเลือกช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อสารภาพรักกับเขา!

โอหยางจวิ้นกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่ระเบียงชั้นล่าง เมื่อเขารู้สึกว่าปวดเมื่อยตาเขาก็ได้ยินเสียงของหนักกระแทกลงกับพื้น

เขาวางหนังสือลงอย่างรวดเร็วแล้วรีบวิ่งไปที่ราวระเบียง แล้วเขาก็ได้เห็นสือจินหว่านล้มลงนอนแนบนิ่งกับพื้น

เขาตกใจจนหัวใจแทบจะวาย

แต่ในเวลาเพียงสองวินาทีเขาก็รีบวิ่งไปหาเธอในทันที

“หวันหว่าน!” เขาเรียกเธอด้วยเสียงสั่นเทา

เขาร้องเรียกเธอพร้อมกับนั่งยองๆ ลงไปเพื่อพยายามจะอุ้มเธอขึ้นมา แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าจะทำให้ร่างกายของเธอบอบช้ำหนักไปมากกว่าเดิม

สือจินหว่านค่อยๆ เงยหน้าขึ้น หลังจากผ่านความเจ็บปวดอย่างรุนแรงในช่วงเวลาสั้นๆ พอเธอได้สติก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วมองไปที่โอหยางจวิ้นด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา

เขาเห็นว่าเธอดูไม่เป็นอะไรมากแล้ว เขาจึงก้มลงไปอุ้มเธออย่างระมัดระวัง

เมื่อเขากำลังหันหลังกลับก็เห็นเฉียวซือวิ่งเข้ามาพอดี เมื่อเขาเห็นโอหยางจวิ้นอุ้มสือจินหว่าน เขาก็มีสีหน้าที่ตกใจมาก “หวันหว่านเป็นอะไรไปเหรอครับ?”

“เธอตกลงมาจากชั้นบน รีบไปเรียกหมอเร็วเข้า!” โอหยางจวิ้นอุ้มสือจินหว่านเดินไปที่ห้องนอนของเขา แล้ววางเธอลงบนเตียง

เมื่อมองชัดๆ เขาพบว่าหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาที่หัวเข่าของเธอเต็มไปด้วยเลือด ฝ่ามือมีรอยถลอกและมีเลือดไหล เมื่อเห็นเช่นนี้เขารู้สึกเจ็บปวดแทนเธอมาก

“หวันหว่าน เจ็บหรือเปล่า?” โอหยางจวิ้นถามอย่างเป็นกังวล

อันที่จริงถ้าเรื่องบอบช้ำภายนอกก็ไม่เป็นไรแล้ว แต่เขากลัวว่าจะเกิดอาการช้ำใน

เธอมองดูท่าทางที่เคร่งเครียดของเขาด้วยน้ำตา ช่วงเวลาที่พวกเขาเผชิญอันตรายบนเกาะนั้นด้วยกันก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ ตอนนั้นเขาเป็นห่วงเธอมาก

สือจินหว่านกลั้นน้ำตา ส่ายหัวแล้วร้องไห้ในอ้อมแขนของโอหยางจวิ้น

เธอไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เธอถึงเศร้า ดูเหมือนว่านอกจากอาการบาดเจ็บที่ฝ่ามือและขาแล้วยังมีอาการซึมเศร้าอีกด้วย

เขากอดเธอแน่นอย่างไม่มีสติ “หวันหว่าน ไม่ต้องกลัวนะ หมอจะมาถึงแล้ว!”

มู่ยวี๋ฮั่นก็ได้ยินเสียงการกระแทกเช่นกัน เมื่อเธอลงมาจากชั้นสองเธอก็บังเอิญได้ยินเฉียวซือกำลังโทรเรียกหมอ เธอรีบมาที่ห้องนอนของโอหยางจวิ้นเมื่อเห็นว่าหวันหว่านได้รับบาดเจ็บ เธอจึงตกใจมาก”เธอตกลงมาได้อย่างไร? เดี๋ยวฉันจะไปเอากล่องปฐมพยาบาล!”

เธอรีบไปเอากล่องปฐมพยาบาทที่ห้องนั่งเล่น “ฉันจะทำการห้ามเลือดให้หวันหว่านก่อน!”

เธอใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อให้หวันหว่านอย่างระมัดระวัง “หวันหว่าน เจ็บนิดหน่อยนะ อดทนไว้แป๊บหนึ่งนะ!”

โอหยางจวิ้นรู้สึกว่าทุกครั้งที่หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อโดนแอลกอฮอล์ที่แผล

ดูเหมือนจะใช้เวลานานมาก เขารู้สึกอยากจะเจ็บแทนเธอเลย

“หวันหว่าน อดทนอีกนิดนะ!” เขาพูดปลอบเธอพร้อมกับลูบหัวเธอเบาๆ “มีเจ็บที่อื่นนอกจากแผลอีกไหมคะ?”

“ไม่ค่ะ” เธอส่ายหัว เธออดไม่ได้ที่จะร้องไห้เมื่อได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของเขา

ในเวลานี้หมอได้เดินทางมาถึงแล้ว หมอหยิบเครื่องตรวจฟังออกมา “หมอขอตรวจคุณผู้หญิงหน่อยนะคะ สุภาพบุรุษรบกวนเชิญด้านนอกก่อนนะ!”

“หวันหว่าน เดี๋ยวอาออกไปรอข้างนอกแป๊บหนึ่งนะ” โอหยางจวิ้นพูดด้วยน้ำเสียงทั่วไป

แต่สือจินหว่านจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น ร่างกายของเธอยังคงสั่นเล็กน้อย

โอหยางจวิ้นจึงพูดกับหมอว่า “งั้นผมขอหลับตาได้ไหมครับ?”

หมอพยักหน้าแล้วเดินไปพูดว่า “คุณผู้หญิง ดึงเสื้อผ้าขึ้นนิดหนึ่งนะ”

สือจินหว่านค่อยๆ ออกจากอ้อมแขนของโอหยางจวิ้นแล้วดึงเสื้อผ้าขึ้น

เมื่อเห็นหมอนำเครื่องตรวจฟังมาวางบนหน้าอกของเธอ เธอเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป

เธอรีบลืมตาขึ้นเพื่อมองโอหยางจวิ้นเธอก็ได้เห็นว่าดวงตาของเขาปิดสนิท เพราะเขาเอียงศีรษะเล็กน้อยทำให้เห็นลูกกระเดือกชัดขึ้น

หลังของเธอยังคงแนบกับหน้าอกของเขา ดังนั้นเสียงการเต้นของหัวใจของเขาจึงค่อนข้างได้ยินชัดเจน ซึ่งทำให้เธอรู้สึกร้อนแผ่วที่แก้มและเวียนหัวขึ้นมาทันใด

“อัตราการเต้นของหัวใจปกติดี และปอดก็ไม่มีอะไรผิดปกติ” หมอได้พูดเสริมว่า “แต่ถ้าคุณไม่สบายใจ คุณต้องไปที่โรงพยาบาลเฉพาะทางเพื่อตรวจโดยอุปกรณ์ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า“ครับ ขอบคุณครับหมอ”

มู่ยวี๋ฮั่นออกไปส่งหมอแล้วเดินกลับเข้ามาพร้อมกับเฉียวซือ เธอถามหวันหว่านว่า “หวันหว่าน ตอนที่หนูตกลงไปเป็นเพราะสะดุดล้มหรือ……”

หวันหว่านพูดว่า“สะดุดล้มลงไปเองค่ะ เนื่องจากหนูเดินเร็วเกินไปทำให้ทรงตัวไม่อยู่ ดังนั้นหนูจึงตกลงไปค่ะ ส่วนใหญ่ที่มือจะมีรอยแผลเยอะค่ะ”

มู่ยวี๋ฮั่นพยักหน้า“ตอนนี้หนูพอระงับความเจ็บปวดได้แล้ว อาขอตรวจดูว่าหัวเข่าของหนูได้รับบาดเจ็บไหม”

ขณะที่เธอพูดเธอได้ยกขาของหวันหว่านและพยายามขยับเบาๆ “หวันหว่าน หนูลองขยับเข่าดูสิ”

หวันหว่านรู้สึกกลัวว่าตัวเองจะบาดเจ็บจริงๆ เธอเกร็งจนต้องจับแขนของโอหยางจวิ้น จากนั้นก็ลองขยับขาไปมา”เจ็บนิดหน่อยค่ะ แต่ก็ขยับได้”

มู่ยวี๋ฮั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก “น่าจะไม่เป็นไรแล้ว เพราะระเบียงบนชั้นสองไม่สูงเกินไปจึงไม่กระทบต่อเอ็นและกระดูก”

ขณะที่เธอพูด เธอหยิบก้านสำลีมาหนึ่งก้าน”หวันหว่าน มือก็ต้องฆ่าเชื้อด้วยนะ”

หวันหว่านพยักหน้า หลับตา แล้วซบลงที่หน้าอกของโอหยางจวิ้น

“หวันหว่าน ไม่ต้องกลัวนะ แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว” เสียงปลอบโยนของโอหยางจวิ้นดังเข้ามาที่ข้างหูของเธอ

เธอพยักหน้ารับความเจ็บปวดบนฝ่ามือของเธอ เมื่อมู่ยวี๋ฮั่นเช็ดแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อลงบนฝ่ามือเธอเจ็บจนเหงื่อตก

“หวันหว่าน แผลไม่ลึก ไม่ต้องพันแผลก็ได้” มู่ยวี๋ฮั่นพูด “ตอนเข้านอนต้องระวังอย่าให้โดนแผลนะ พรุ่งนี้น่าจะหายดีแล้ว แต่สะเก็ดจะหลุดออกมาต้องรออย่างน้อยอาทิตย์หนึ่ง”

เธอพยักหน้า แล้วพบว่าตัวเองยังซุกอยู่ในอ้อมแขนของโอหยางจวิ้นดังนั้นเธอจึงพูดว่า “งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”

“โอเคครับ รีบพักผ่อนเร็วๆ และระวังอย่าให้อะไรโดนแผล” โอหยางจวิ้นอุ้มสือจินหว่านไปส่งที่ห้องนอนของเธอ

เขาพาเธอไปที่ชั้นสองแล้ววางเธอลงบนเตียงเบาๆ เมื่อเขากำลังจะออกไปจากห้องเขาก็กังวลเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงพูดว่า”หวันหว่าน ตอนนี้หนูนอนหลับไหม?”

เธอส่ายหัว

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะอยู่เป็นเพื่อนหนูนะ” โอหยางจวิ้นพูดแล้วก็ดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง

มู่ยวี๋ฮั่นนั่งบนโซฟา เฉียวซือยืนอยู่ข้างเตียงมองดูบาดแผลของสือจินหว่านแล้วพูดอย่างงุนงง “หวันหว่าน เธอตกลงไปได้อย่างไร?”

สือจินหว่านกัดริมฝีปากของเธอ”ฉันนั่งเล่นอยู่ระเบียง……”

โอหยางจวิ้นพูดอย่างเคร่งขรึม “ต่อไปนี้ไม่อนุญาตให้นั่งเล่นในสถานที่อันตรายแบบนี้แล้วนะ!”

เธอพยักหน้า ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่าง แล้วพูดกับโอหยางจวิ้นว่า “คุณอาคะ โทรศัพท์ของหนูพัง……”

“อยู่ที่พื้นเหรอ?” โอหยางจวิ้นคิดขึ้นได้ว่าดูเหมือนว่าเขาจะเหยียบอะไรบางอย่าง แต่เขามุ่งความสนใจไปที่หวันหว่าน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจอะไรเลย

เธอพยักหน้า “โทรศัพท์ตกลงไป หนูรีบไปคว้าไว้จนต้องตกลงมา……”

โอหยางจวิ้นรู้สึกโกรธ เขาจึงต้องพูดดุหวันหว่าน“ทำไมโง่อย่างนี้ มีอะไรที่สำคัญไปกว่าตัวเองเหรอ? โทรศัพท์ตกลงไปแล้วก็ปล่อยมันตกไปสิ หนูชอบอะไรอาสามารถหามาให้ใหม่ได้ทั้งนั้น!”

เธอกัดริมฝีปาก “หนูขอโทษนะคะ หนูเข้าใจแล้วค่ะ”

โอหยางจวิ้นถอนหายใจ “หวันหว่าน จำไว้นะสำหรับพวกเราไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าหนูอีกแล้ว! อย่าทำให้ตัวเองเจ็บตัวอีก!”

เธอรับฟังเขาและเห็นความเป็นห่วงเป็นใยในดวงตาของเขา ทันใดนั้นอารมณ์ที่ซับซ้อนก็ผุดขึ้นมาในหัวใจของเธอ

เธอรู้ว่าเขาห่วงใยเธอเหมือนเมื่อก่อน เหมือนกับที่เขาเป็นห่วงเฉียวซือ แต่เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงเธอจึงได้รับความรักมากกว่า ดังนั้น…….

หวันหว่านรีบเก็บอาการของตัวเอง พยักหน้าแล้วพูดตอบเบาๆ “ค่ะ”

ในตอนนี้เธอแทบจะไม่สามารถหาเหตุผลของสิ่งที่เรียกว่าการโต้แย้งและหลบหนีจากความรู้สึกในหัวใจของเธอได้ เธอเข้าใจว่าเธอรู้สึกในสิ่งที่ไม่ควรรู้สึก แค่คิดก็ผิดแล้ว

เป็นเวลาหลายปีที่เธอคุ้นเคยกับการดูแลเอาใจใส่ของเขา จนกระทั่งเสพติดความอ่อนโยนของเขา

แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ไม่มีเหตุผลที่จะหลอกตัวเองอีกต่อไป เขาเป็นแค่คุณอาของเธอ แม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่ก็มีความผูกพันระหว่างกัน

เธอไม่อาจปล่อยให้ความรู้สึกในใจเติบโตอย่างลับๆ ต้องตัดไฟต้นลม ไม่อย่างนั้นเธอจะเผชิญหน้าทุกคนในวันที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ยังไง?

หวันหว่านเงยหน้าขึ้นมองโอหยางจวิ้น “คุณอาคะ หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะ คุณอากับอามู่ไปพักผ่อนเถอะค่ะ! ให้เฉียวซืออยู่เป็นเพื่อนหนูก็ได้ค่ะ”

แม้ว่าเธอจะเข้าใจดีว่าเธออยากให้เขาอยู่ด้วยมากแค่ไหน!

เธอรู้ดีว่าเขาหมั้นไว้ตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว

เขาถูกกำหนดให้เป็นสามีของคนอื่น ส่วนกับเธอเป็นได้เพียงความสัมพันธ์ระหว่างคุณอากับหลานสาวเท่านั้น

โอหยางจวิ้นยังคงไม่สบายใจเล็กน้อย “หวันหว่าน ไม่เป็นไร พวกเราไม่เหนื่อยหรอก”

เขารู้หรือไม่ว่าเธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอยู่ห่างๆ เขาทุกช่วงเวลา? หวันหว่านยังคงยืนกราน “คุณอา หนูไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ ค่ะ ! หนูจะคุยเรื่องการเรียนกับเฉียวซือ จากนั้นก็จะรีบเข้านอนแล้วค่ะ คุณอาไปพักผ่อนเถอะค่ะ หรือว่ายังต้องทำงานอีกคะ ในมือไม่ใช่ถือเอกสารอยู่เหรอคะ?”

เธอสามารถหาเหตุผลที่จะห่างจากเขา

โอหยางจวิ้นพยักหน้า“โอเค งั้นอากับอามู่ออกไปแล้วนะ ถ้าหนูรู้สึกไม่สบายตรงไหนเรียกพวกเราได้ตลอดเวลา!”

“โอเคค่ะ!” หวันหว่านยิ้มให้เขา

เมื่อทั้งสองออกไปแล้วเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอรีบพูดกับเฉียวซือ “เฉียวซือ ช่วยหยิบแท็บเล็ตให้ฉันหน่อย ฉันขอเล่นแป๊บหนึ่ง”

เฉียวซือส่ายหัว “นอนเล่นแท็บเล็ตแบบนี้ไม่ดีต่อสายตา”

หวันหว่านทำหน้าไม่พอใจ “แก่กว่าฉันแค่ครึ่งปี ทำไมนายถึงควบคุมฉันเหมือนคุณอา? เฉียวซือเป็นคนเก่งที่สุดเลย ช่วยหยิบมาให้ฉันหน่อยนะ ขอร้องล่ะ ฉันขาเจ็บแค่ใช้มันเพื่อผ่อนคลายเท่านั้นเอง!”

เมื่อได้ยินเธอพูดว่าเธอขาเจ็บ เฉียวซือก็ต้องลุกขึ้นไปหยิบแท็บเล็ตให้เธอ “หรือว่าให้ฉันพยุงเธอขึ้นมาพิงที่หัวเตียงดี?”

“ได้เลย!” หวันหว่านพยักหน้าอย่างรวดเร็ว“ขอบคุณนะ เฉียวซือ!”

“ทำไมถึงดูเกรงใจขนาดนี้?” เฉียวซือพยุงเธอขึ้นมาพิงที่หัวเตียง “ตอนนี้โอเคขึ้นหรือยัง?”

เธอพยักหน้า “ดีขึ้นแล้ว! นายก็กลับไปนอนเถอะ ฉันเล่นแป๊บเดียวก็จะนอนแล้ว!”

“เธอสามารถนอนลงเองได้ไหม?” เฉียวซือถามอย่างเป็นห่วง

“ได้สิ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก!” หวันหว่านโบกมือไล่เขา “กลับไปที่ห้องของนายเถอะ อีกอย่างตอนนายลงไปช่วยเก็บโทรศัพท์ให้ฉันด้วย หน้าจอน่าจะแตกแล้ว แต่ฉันอยากจะลองดูว่ามันยังใช้ได้ไหม!”

ข้างในมีบันทึกการสนทนาทั้งหมดระหว่างเธอกับโอหยางจวิ้น

ในที่สุดสือจินหว่านก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ มองทางโอหยางจวิ้น

ชั่วพริบตานี้ จู่ ๆเขาก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไง

ชั่วขณะหนึ่งบรรยากาศก็เงียบสงัดลง จนในที่สุดโอหยางจวิ้นคิดได้อธิบายไปครึ่งคำ“หวันหว่าน ที่จริงอาไม่ได้…”

แต่ตอนที่รู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังอธิบายอะไร จู่ ๆกลับนิ่งไป

เขาอธิบายเรื่องนี้กับเธอทำไม? และเหมือนเมื่อกี้เขาทำเรื่องผิดไป

โอหยางจวิ้นส่ายหน้า แล้วพูดว่า“ขอโทษ อาไม่ควร…ต่อหน้าหนูกับเฉียวซือ อาที่เป็นผู้ใหญ่ ควรหลีกเลี่ยง”

ดังนั้นความหมายของเขาคือ วันหลังเขาจะใกล้ชิดมู่ยวี๋ฮั่น ลับตาเธอกับเฉียวซือเหรอ?

สือจินหว่านนึกถึงตรงนี้ รู้สึกความอึดอัดที่อยู่ในใจไม่ดีขึ้นไม่พอ กลับยิ่งทรมานขึ้นอีก

เธอกำกระโปรงว่ายน้ำตัวเองแน่น กำอยู่นานถึงพยักหน้า

เฉียวซือพูดถูก เดิมพวกเขาก็เป็นว่าที่เจ้าบ่าวเจ้าสาว ทำเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก

และพวกเขาเหลือเวลาแค่เดือนกว่าก็แต่งงานกันแล้วไม่ใช่เหรอ?

หลังจากนี้ พวกเขาจะอยู่ห้องเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน ยังมีลูกที่เป็นของพวกเขา

ที่จริงของพวกนี้ เธอก็รู้มานานแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมเมื่อกี้เธอเห็นฉากแบบนั้นถึงยังรู้สึกทรมานอยู่?

สือจินหว่านพยายามฝืนลมหายใจตัวเองให้สม่ำเสมอ เธอเงยหน้าสบตากับโอหยางจวิ้น“ค่ะ หนูรู้แล้ว คุณอาจวิ้นวันหลังหนูไปหาคุณอา จะเคาะประตูก่อน คุณอาไม่ต้องห่วง จะไม่มีวันเกิดเรื่องแบบเมื่อครู่อีก”

ได้ยินน้ำเสียงเบาที่เธอพูดอย่างรู้ความ จู่ ๆโอหยางจวิ้นก็รู้สึกดีใจไม่ลง

สายตาเขาจ้องเขม็งที่สือจินหว่าน“หวันหว่าน งั้นหนู…”

เธอกัดริมฝีปาก แล้วพูดว่า“หนูไม่ใช่เด็กแล้ว หนูเข้าใจทุกเรื่องดี คุณอา กลับไปอยู่เป็นเพื่อนคุณน้ามู่เถอะ ไม่ต้องสนใจหนู”

พูดอยู่ เธอยกริมฝีปากยิ้มออกมาให้เขา เพียงแต่นัยน์ตาที่สวยงามกลับเศร้า

โอหยางจวิ้นเห็นท่าทางเธอพยายามฝืนยิ้ม ความสงสารก็พุ่งขึ้นในใจ แต่เขาไม่ได้เดินหน้า ถึงขนาดไม่แม้แต่กอด เพียงแค่ตบที่ไหล่สือจินหว่านเบาๆ แล้วพูดว่า“ตกลง งั้นหนูเล่นกับเฉียวซือให้สนุก อาขอตัวก่อน”

เขาพูดจบ ลุกขึ้นเห็นหัวไหล่ของสาวน้อยสั่นไหวเล็กน้อย

สั่นไหวเล็กน้อย แต่โอหยางจวิ้นเหมือนโดนลวก รีบเก็บสายตา กลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจ รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

สือจินหว่านได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆไกลออกไป สูดหายใจลึกๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า

ตรงนั้น มีแสงอาทิตย์ลอดผ่านต้นไม้เป็นลายทาง เธอยกมือที่มีน้ำหยดน้ำ มองหยดน้ำที่สะท้อนหลากหลายสีออกมา แยงตาเล็กน้อย

เพิ่งดูได้ครู่เดียว เฉียวซือก็เข้ามา เขาพูดกับเธออารมณ์คึกคัก“หวันหว่าน บ่อออนเซ็นข้างๆใหญ่มาก พวกเราไปด้านนั้นเถอะ มีว่ายน้ำกับโต้คลื่น”

เธอเหมือนกลัวตัวเองจะว่าง รีบลุกขึ้น “ตกลง”

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนไปเล่นบ่อออนเซ็นข้างๆด้วยกัน

อยากที่คิด ด้านบนมีสะพานเล็กๆ ยังมีลำธารคดเคี้ยวเหมือนงู

“หวันหว่าน ว่ายน้ำแข่งกันไหม?”เฉียวซือเสนอ

สือจินหว่านพยักหน้า โดดลงไปอย่างรวดเร็ว

“พอๆ ฉันให้เธอนำ เธอว่ายไปถึงต้นไม้ต้นที่ 3 ฉันค่อยออกตัว”เฉียวซือพูดอยู่ เห็นสือจินหว่านว่ายไปไกล ถึงเริ่มไล่ตาม

ดังนั้น ทั้งสองคนเหมือนว่ายน้ำในบ่อออนเซ็นโดยตลอด จนถึงสือจินหว่านรู้สึกเหนื่อยนิดๆ ไม่หยุดไม่ได้

แต่เพิ่งหยุด ในหัวเธอก็ฉายภาพเมื่อกี้ที่เห็นขึ้นอีกครั้ง

ถึงขนาดที่เธอคิดว่า ตอนนี้ทางด้านโอหยางจวิ้นกับมู่ยวี๋ฮั่นทำอะไรอยู่?ยังจูบกันอีกหรือเปล่า หรือยังทำอะไรที่ใกล้ชิดกันมากกว่านั้น?

“หวันหว่านไม่สบายหรือเปล่า?”เฉียวซือเห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดี อดไม่ได้ที่จะถาม

สือจินหว่านได้สติ ส่ายหน้า ยิ้มให้เขา“ฉันไม่เป็นไร แค่หิวนิดหน่อย”

“งั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”เฉียวซือปีกขึ้นจากน้ำ ยื่นมือให้สือจินหว่าน“หวันหว่าน ฉันดึงเธอ”

เธอวางมือที่ฝ่ามือเขา ลุกขึ้นตามเฉียวซือไป

เขาดึงมือเธอไปข้างนอก ยื่นผ้าขนหนูให้ เธอเอามาพันบนตัว ตอนเดินไปถึงทางเข้า กลับหยุดฝีเท้าลง

“เป็นอะไรไป?”เฉียวซือพูดงงๆ

“ฉันกลัวพวกเขากำลัง…”สือจินหว่านพูดอธิบาย กลับพบว่าตัวเองพูดต่อไปไม่ได้

“ฮ่าๆ ฉันเข้าใจแล้ว งั้นฉันเข้าไป”เฉียวซือหัวเราะ พูดอยู่รีบวิ่งเข้าไป ไม่นานก็วนกลับมา “หวันหว่าน มาเถอะพวกเขาแค่กำลังคุยกัน”

สือจินหว่านถอนหายใจโล่ง เดินตามเฉียวซือออกไป แต่ไม่รู้ทำไม ที่ผ่านมาเธอเห็นโอหยางจวิ้นก็จะเรียกเขาเป็นสิ่งแรก ตอนนี้กลับยิ้มให้มู่ยวี๋ฮั่นไป

“หวันหว่าน เฉียวซือ หิวแล้วใช่ไหม?”โอหยางจวิ้นลุกขึ้น “ได้ยินว่าที่นี่ทำอาหารทะเลอร่อย พวกเราไปชิมกัน”

ทุกคนกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องพร้อมกัน เพราะทุกคนพักที่บ้านเดี่ยว เดิมก็มี 4 ห้องนอนอยู่แล้ว สือจินหว่านกับมู่ยวี๋ฮั่นอยู่ชั้นบน โอหยางจวิ้นกับเฉียวซืออยู่ชั้นล่าง ดังนั้นต่างกลับห้องตัวเองไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด

สือจินหว่านนั่งอยู่หน้าโต๊ะแป้ง กำลังเป่าผมของตัวเอง ก็มีผมยาวไม่กี่เส้นติดบนริมฝีปาก

เธอยื่นมือไปจัด ตอนที่สัมผัสโดนริมฝีปาก จู่ ๆก็ตกใจ

ริมฝีปากของคุณน้ามู่ก็แดงเหมือนกัน ถ้างั้นตอนคุณอาจวิ้นจูบ จะดูดดื่มหรือเปล่า จะเหมือนคู่รักคู่อื่นในทีวี อยากทำเรื่องอื่นไหม…

ความคิดนี้ทำให้เธอนิ่งไป จนกระทั่งนิ้วมือโดนความร้อนจากไดร์เป่าผม สือจินหว่านถึงได้สติขึ้น

เธอรีบกดหัวใจที่เต้นเร็ว หวีผม จัดชุดเสร็จ เดินออกมา

สองคนชั้นล่าง แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอไม่กี่นาที มู่ยวี๋ฮั่นก็ลงมา ดังนั้น ทุกคนไปร้านอาหารพร้อมกัน

ตอนไปกินข้าว ทุกคนต่างยิ้มและหัวเราะ แต่บรรยากาศวันนี้กลับเงียบเป็นพิเศษ

ยังมีมู่ยวี๋ฮั่นกับเฉียวซือพูดถึงเรื่องกองกำลังทหาร บรรยากาศถึงคึกคักขึ้นมา

โอหยางจวิ้นพูดคล้อยตามเป็นบางครั้ง ตอนกินข้าวกลับเงยหน้ามองไปทางสือจินหว่านเป็นพักๆ

สาวน้อยกินข้าวเงียบๆมาโดยตลอด เหมือนมีเรื่องหนักใจ และก็เหมือนไม่ได้คิดอะไร

เขาพอเข้าใจทำไมเธอเป็นแบบนี้ แต่กลับไม่กล้าค้นหาลึกลงไป

จนกระทั่งทุกคนกินเสร็จ สือจินหว่านว่างถ้วยตะเกียบ ลูบท้องยิ้มให้ทุกคน “กินจนท้องแน่น”

มู่ยวี๋ฮั่นอดพูดไม่ได้“หวันหว่าน อาหารวันนี้ถูกปากมากใช่ไหม น้าเห็นหนูก้มหน้า กินตลอดเวลาเลย”

เธอพยักหน้า“อืม หนูค่อนข้างชอบ”

มู่ยวี๋ฮั่นพูดคล้อยตาม“ก็จริง เด็กผู้หญิงอายุ12-13เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังเติบโต น้าจำได้ตอนนั้น เหมือนน้าจะกินจุ จนคนในบ้านเห็นแล้วตกใจบ่อยๆ”

เฉียวซือเสริม“ใช่ ผู้หญิงในห้องพวกเราตอนเที่ยงกินกันเยอะมาก ที่จริงหวันหว่านถือว่ากินน้อยเกินไป ดังนั้นถึงผอมขนาดนี้”

พูดอยู่ เขายื่นมือไปจับข้อมือของสือจินหว่าน พูดขำๆ“บางจนเหมือนใช้แรงเบาๆก็หักได้”

“แต่ผู้หญิงตัวบางก็ดีเหมือนกัน”มู่ยวี๋ฮั่นพูด“ทำให้คนอยากปกป้องได้ง่ายๆ ไม่เหมือนน้า คนในบ้านชอบบอกว่าน้าเหมือนผู้ชาย ดังนั้นตอนเรียนหนังสือ ไม่มีใครจีบน้าเลย”

“คุณน้ามู่พูดถูก”เฉียวซือมองทางสือจินหว่าน“ตั้งแต่เด็กผมก็รู้สึกหวันหว่านดูตัวเล็กๆ เหมือนตุ๊กตาหน้ากระจกร้านค้า และหน้าตาไม่เหมือนพวกเรา ไม่อยากรังแก มีแต่อยากปกป้องเธอ”

จู่ ๆสือจินหว่านก็รู้สึกร้อนที่ใบหน้า เธอหนีสายตาของเฉียวซือ แต่คิดไม่ถึงว่าแค่หันหน้าก็เห็นโอหยางจวิ้นกำลังมองเธออยู่

ดวงตาทั้งสี่ประสานกัน เธอรู้สึกเหมือนในใจมีของอะไรถูกพลิกคว่ำ เธอรีบพยุงขึ้น แล้วเก็บสายตา พูดว่า“ยุคสมัยนี้ไม่เหมือนกัน ผู้หญิงก็ต้องปกป้องตัวเอง”

“พูดถูกต้อง”มู่ยวี๋ฮั่นพูด “น้าก็คิดแบบนี้มาโดยตลอด”

ทุกคนคุยกันอีกสักพัก ถึงลุกออกจากร้านอาหาร

เพราะยังไม่ดึกมาก ดังนั้นทุกคนไปเดินเล่นรอบๆวิลล่าสักพัก จนกระทั่งสีท้องฟ้ามืดลง ถึงกลับวิลล่า

สือจินหว่านเดินเข้าห้อง หยิบมือถือออกมาเล่นสักพัก จู่ ๆก็รู้สึกเบื่อไม่มีอะไรทำ

เข้าเรียนก่อนหน้านี้ ตอนกลางคืนเธอจะส่งข้อความให้โอหยางจวิ้นเป็นบางครั้ง แม้ว่าที่จริงไม่ได้คุยอะไร แต่กลับทำให้การเรียนในหนึ่งวันเต็มไปด้วยสีสัน

แต่ตอนนี้ รู้ว่าเขาอยู่ชั้นล่างแท้ๆ ระยะใกล้ขนาดนี้ แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนไกล

เธอเดินไปถึงระเบียง เงยหน้ามองพระจันทร์ที่สว่างอยู่บนท้องฟ้า จู่ ๆก็คิดถึงฉากที่พวกเธอคุยกัน โอหยางจวิ้นอยู่ระเบียงถัดไป ตอนที่เธอยังพูดไม่เป็น

เหมือนมีคนที่คิดถึงอยู่ในใจ เธอยันตัวขึ้น อย่างระมัดระวัง นั่งบนระเบียง

ลมกลางคืนพัดมา พาไอน้ำของออนเซ็นมา เหมือนทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นมาก

เธอเข้าใจ เธอยืนอยู่ที่เดิมตลอดไปไม่ได้ ไม่โตขึ้นไม่ได้ ก็เหมือนเขาอยู่เป็นเพื่อนเธอเหมือนตอนเด็กๆไปตลอดไม่ได้

พวกเขา สุดท้ายก็ต้องมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง

แม้ว่า ตอนที่คิดได้ เธอรู้สึกว่าหัวใจเจ็บปวดจนอยากร้องไห้

สือจินหว่านเปิดเพลงในมือถือ ฟังอย่างเงียบๆไปพลาง ไถเวยป๋อไปพลาง

มีเสียงอ่อนโยนอยู่ข้างหู ข้างตัว มีลมกลางคืน เธอมองทีละแถวอย่างไม่ใส่ใจ กลับเห็นเรื่องสั้นในนิตยสาร จู่ ๆหัวใจก็เต้นช้าลงไปหนึ่งจังหวะ

“มีไหมสักหนึ่งคน ตอนเธอเข้าใกล้ เธอจะวุ่นวายใจจนอยากกระโดด ตอนห่างไกลจากเธอ เธอจะร้องไห้อย่างเสียใจ”

“มีไหมสักหนึ่งคน ทำให้เธอ ยิ้ม โมโห เศร้า มีความสุข เป็นทุกแสงสว่างบนโลกของเธอ”

“เธอจะหัวเราะโง่ๆอยู่ค่อนวัน เพราะเขาพูดกับเธอมากขึ้นหนึ่งประโยค หึงจนร้องไห้เพราะเขายิ้มให้ผู้หญิงคนอื่น”

“เพียงเพราะเธอชอบเขา ยกคำพูดทั้งหมดที่ไม่กล้าพูดให้กับเขา”

จู่ ๆมือถือก็ไหล่ตกจากฝ่ามือ สือจินหว่านยื่นมือไปเก็บตามสัญชาตญาณ แต่จู่ ๆเธอก็ลืมว่าตัวเองอยู่บนระเบียงชั้นสอง ก็พุ่งตัวไปข้างหน้า ร่วงลงมาทางชั้นล่าง

“ว้าย!”เสียงลมข้างหูและทิวทัศน์รอบๆผ่านไปรวดเร็วทำให้เธอตื่นตกใจ ตอนถึงพื้น แม้ว่าเธอจะหมอบลงตามสัญชาตญาณเพื่อลดแรงกระแทก แต่ยังคงรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่ดี

โอหยางจวิ้นกับเฉียวซือเปลี่ยนชุดเสร็จนานแล้ว รออยู่หน้าทางเข้าออนเซ็น เห็นทั้งสองคน พูดทักทาย“ไปเถอะ ห้องส่วนตัวของพวกเราอยู่ด้านโน้น”

พวกเขาเหมาออนเซ็นทางทิศตะวันตก 3 บ่อ ตอนเข้าไปทุกคนนำผ้าขนหนูที่คลุมตัวมา ขึ้นแขวน

กลับหลังหัน สือจินหว่านกำลังจะถอดรองเท้าแตะ เฉียวซือก็เปิดปากพูด“หวันหว่านขาวจัง!”

ใบหน้าเธอแดงขึ้นนิดๆทันที กัดริมฝีปากแล้วพูดว่า“คุณน้ามู่ก็ขาวเหมือนกัน!”

มู่ยวี๋ฮั่นหัวเราะ แล้วมองไปทางผู้ชายสองคนตรงหน้า เปิดปากพูด“แต่ก่อนเห็นเฉียวซือยังเป็นเด็กคนหนึ่ง ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว หนูดูสิ กล้ามท้องขึ้นชัดเจนแบบนี้!”

สายตาสือจินหว่านมองตามไป อดไม่ได้ที่จะกะพริบตา“เฉียวซือ ปกตินายเข้าเรียนทำแต่พวกใช้แรงเป็นพิเศษรึไง?ทำไมถึงมีกล้ามเนื้อนูนออกมาได้?”

เฉียวซือถูกทุกคนมองจนหน้าร้อนนิดๆ รีบพูดว่า“ยังดีมั้ง ฉันเห็นของคุณอาจวิ้นชัดเจนกว่าอีก”

“เขาเป็นผู้ใหญ่ ไม่เหมือนกัน”มู่ยวี๋ฮั่นพูดอยู่ มองโอหยางจวิ้น“Bojian ที่จริงหลายปีนี้คุณดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลย”

เขาหัวเราะ “บางครั้งผมก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน แต่พอมองหวันหว่านกับเฉียวซือ ผมก็รู้สึกที่จริงเวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ”

ทุกคนแช่ไปด้วยคุยไปด้วย แม้ว่าเฉียวซือตัวโต แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ถึง 13 ปี ดังนั้น ธรรมชาติของวัยรุ่น แช่ไปสักพักก็ทนนั่งต่อไม่ไหวแล้ว

เขาลุกขึ้น “หวันหว่าน เราไปดูบ่อข้างๆกัน”

โอหยางจวิ้นได้ยิน พูดเห็นด้วย “ข้างๆมีบ่อสปาปลาอยู่ ไปเล่นสักพักก็ได้”

สือจินหว่านพยักหน้า“ก็ดี งั้นพวกเราไปดูกัน”

เธอไปพร้อมกับเฉียวซือ เห็นว่าจำนวนปลาในบ่อมีไม่น้อย เพิ่งลงไป นิ้วเท้าก็โดนกัดจนคันยิบๆ

“ฮ่าๆ”ฝ่าเท้าของสือจินหว่านโดนกัด อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

เฉียวซือที่อยู่ข้างๆได้ยินเธอหัวเราะ หัวใจเต้น มองเธอ “หวันหว่าน ดีจริงๆที่ได้ยินเธอหัวเราะออกมา”

เมื่อก่อน เธอถึงแม้จะดีใจแค่ไหน ก็ไร้เสียง

เธอก็พยักหน้า “ถูก ในที่สุดหลังจากนี้ก็สามารถหัวเราะเสียงดังหรือร้องไห้โห่ได้แล้ว”

ทั้งสองคนนั่งอยู่ในน้ำ มีแค่ศีรษะโผล่ออกมาข้างนอก แหงนมองต้นไม้ใหญ่เขตร้อนรอบๆ

จู่ ๆเฉียวซือก็ตะโกนขึ้นข้างบน “สือ-จิน-หว่าน”

เธอหันไปมองเขาอึ้งๆ

เขาหันมาพูดกับเธอ“เธอกล้าตะโกนเรียกชื่อของฉันไหม?”

สือจินหว่านได้ยิน นึกถึงนิทานเรื่องไซอิ๋ว ตอนราชาปีศาจเขาเงินเรียกซุนหงอคง ดังนั้นกะพริบตาให้เขา “งั้นฉันเรียกชื่อนาย นายกล้าตอบรับไหม?”

เฉียวซือไม่รู้จักคำกล่าวอ้างนี้ ดังนั้นเลยพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ“แน่นอนว่ากล้า”

สือจินหว่านแอบยิ้ม แล้วยกมือขนาบแก้ม ตะโกนเรียก“เฉียว-ซือ”

“ฉันอยู่ตรงนี้”เฉียวซือพูดตอบทันที

สือจินหว่านทำท่าเหมือนเก็บปีศาจ แล้วหัวเราะ พูดว่า“ฮ่าๆ นายถูกฉันเก็บไว้ในน้ำเต้าแล้ว”

เขาไม่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ สือจินหว่านเลยเล่านิทานเรื่องนี้ไป1รอบ

ในบ่อออนเซ็นข้างๆ มู่ยวี๋ฮั่นได้ยินเสียงเด็กทั้งสองคน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“วัยรุ่นนี้ดีจริงๆ”

โอหยางจวิ้นพูด“อันที่จริงตอนนี้คุณยังดูอ่อนเยาว์”

มู่ยวี๋ฮั่นส่ายหน้า“ดูเหมือนอ่อนเยาว์ก็จริง แต่กลับขาดความรู้สึกแบบพุ่งชนโดยไม่สนใจอะไรไป”

“เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้วมั้ง”โอหยางจวิ้นพูด“ตอนนั้นคุณเข้าร่วมภารกิจแบบนั้นมันเสี่ยงมากจริงๆ พวกเราทำยังไงก็ขวางเธอไม่ได้”

“หรือเพราะอุดมคติ”มู่ยวี๋ฮั่นพูด“ที่จริงฉันไม่เคยเสียใจทีหลัง”

“ผมเข้าใจความรู้สึกคุณ ก็เหมือนเมื่อก่อนผมอยากทำเรื่องที่ผมชอบ ยืนกรานหนักแน่น ไม่สนผลลัพธ์”โอหยางจวิ้นถอนหายใจ พูดว่า“คำนวณขึ้นมา เรารู้จักกันเกือบจะ10ปีแล้ว”

มู่ยวี๋ฮั่นหัวเราะ“ใช่ ไม่มีใครคบกันเหมือนพวกเรา มีบางครั้งฉันก็รู้สึก คุณเหมือนสหายร่วมรบที่ฉันรู้จักมาหลายปี”

“สหายร่วมรบ?”โอหยางจวิ้นพูดทวน และหัวเราะตาม“ผมก็มีความรู้สึกแบบนั้น แต่พวกเราจะแต่งงานกันปีนี้แล้ว”

“ใช่ และฉันก็อายุ 30 ปีแล้ว ผ่านไปอีก 2 ปีจำเป็นต้องมีลูก ไม่งั้นถึง35 ปี ก็เลยวัยที่จะคลอดลูก”เธอพูดอยู่ จู่ ๆก็รู้สึกเกรงใจ อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไป

ชั่วขณะหนึ่ง ระหว่างทั้งสองคนก็นิ่งเงียบไป

จู่ๆ โอหยางจวิ้นก็นึกได้ คำพูดสือมูเฉินที่เคยพูดกับเขาไว้หลายปีก่อน

สือมูเฉินว่า ชอบคนคนหนึ่งจะอยากเข้าไปใกล้เอง ทั้งจิตใจและร่างกายอยากจะพุ่งเข้าไปใกล้

แต่เขาอยู่ด้วยกันกับมู่ยวี๋ฮั่น ตั้งแต่แรกก็เหมือนเป็นสหายร่วมรบ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เหมือนเพื่อนมากกว่า

แต่ท้ายที่สุด พวกเขาต้องแต่งงาน จะไม่ใกล้ได้ยังไง?

เหมือนกอดความรู้สึกที่อยากลอง เขายืนตัวตรงเดินไปทางมู่ยวี๋ฮั่น

เธอพิงริมบ่ออย่างเงียบๆ มองเขาผ่านละอองน้ำในออนเซ็น จนเขามายืนอยู่หน้าเธอ

“ที่ผ่านมาเอาแต่ยุ่งเรื่องธุรกิจที่บ้าน ไม่เคยคบใครจริงจังสักครั้ง”โอหยางจวิ้นลูบหน้าผาก พูดว่า “ถึงตอนนี้ ผมเหมือนไม่รู้ว่าควรทำยังไง”

“คุณอย่าถามฉัน ฉันก็ไม่มีประสบการณ์อะไรเหมือนกัน”มู่ยวี๋ฮั่นพูด“ฉันติดต่อกับกองกำลังทหาร มีบางครั้งฉันรู้สึก ฉันกำลังมีความรักกับกองกำลังทหาร”

“งั้นพวกเราลองกันเถอะ แม้ว่ากำหนดให้แต่งงานแล้ว แต่ควรได้ลองพยายามบ่มเพราะความรู้สึกรักหน่อยไหม?”โอหยางจวิ้นพูด

“คุณจะจูบฉัน?”มู่ยวี๋ฮั่นถามตรงๆ

โอหยางจวิ้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ“คุณพูดแบบนี้ ผมทำต่อไม่ได้แล้ว”

“เป็นความผิดของฉัน”มู่ยวี๋ฮั่นรู้สึกจนใจ “บางทีฉันไม่ค่อยประสีประสาด้านนี้ คุณอย่าถือสา ลองดูเถอะ”

โอหยางจวิ้นสูดหายใจลึกๆ เหมือนจะทำการใหญ่ ถึงคว้าไหล่มู่ยวี๋ฮั่นไว้ แล้วเข้าไปใกล้

ลมหายใจเขาเหมือนไม่นิ่ง แต่ตื่นเต้นไม่ใช้เพราะใจเต้น เหมือนความคิดซับซ้อนที่มีต่ออนาคตมากกว่า ยังมีการต่อต้านที่อธิบายไม่ถูก

ริมฝีปากพวกเขาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ต่างได้กลิ่นลมหายใจของอีกฝ่าย อยู่บนใบหน้า กลับรู้สึกแปลกนิดๆ

และตอนนี้ สือจินหว่านกับเฉียวซือทั้งสองคนกำลังเล่นสนุกอยู่ในบ่อข้างๆ

เริ่มแรกทั้งสองแค่เล่นเกม ถึงตอนท้าย ก็เริ่มเปิดศึกสาดน้ำกันขึ้น เสียงหัวเราะดังไม่หยุด จนถึงสือจินหว่านรู้สึกหิวน้ำ ถึงให้เฉียวซือหยุด แล้วไปหาน้ำดื่มด้วยกัน

ทางสปาปลาไม่มีตู้กดน้ำ และสือจินหว่านจำได้ว่าหน้าประตูบ่อกุหลาบของพวกโอหยางจวิ้นมี เธอคลุมผ้าขนหนูเดินไปพร้อมกับเฉียวซือ

เธอคลุมผ้าขนหนูกระโดดโลดเต้นไป ตอนที่เธอก้มตัวไปเก็บน้ำ สายตากวาดมองไปอย่างไม่ตั้งใจ รู้สึกช็อกกะทันหัน

เฉียวซือข้างหลังเรียกสือจินหว่านจู่ ๆก็ไม่ขยับ อดถามด้วยความงุนงงไม่ได้ “หวันหว่านเป็นอะไรไป?”

พูดจบ มองตามสายตาของสือจินหว่าน มองไปข้างใน

เฉียวซือได้สติขึ้นทันที ดึงสือจินหว่านพาเธอออกไปข้างนอก

สือจินหว่านรู้สึกในหัวขาวโพลน อธิบายไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง ถูกเฉียวซือดึงแบบนี้ เกือบจะล้ม อดไม่ได้ที่จะเรียกเขาเสียงเบา

และด้านใน โอหยางจวิ้นได้ยินเสียง เหมือนถูกไฟช็อกอย่างนั้น ยืนตัวตรงทันที

เขามองไปข้างนอก เห็นเงาสองเงาผ่านไป

เขายืนขอบบ่อโดดออกจากออนเซ็นตามสัญชาตญาณ แล้วรีบเดินไปทางประตู พุ่งไปทางเด็กทั้งสองที่รีบเดินไป เรียก“หวันหว่าน เฉียวซือ”

เฉียวซือหันหน้าไป พยักหน้าให้โอหยางจวิ้น แต่สือจินหว่านกลับไม่หันมา

เธอรีบเดินเข้าไปในสปาปลาบ่อเมื่อกี้ แม้แต่ผ้าขนหนูบนตัวก็ลืมถอด ก็ก้าวเข้าไปในบ่อ

เฉียวซือข้างๆตามเข้าไปในบ่อ รีบเก็บผ้าขนหนูของเธอบิดให้แห้ง แล้วแขวนไว้ แล้วพูดว่า“หวันหว่าน ด้านในบ่อนั้นเหมือนมีตู้กดน้ำ ฉันไปเอาน้ำมาให้เธอ”

จู่ ๆเสียงทั้งหมดก็เงียบลง ตรงหน้าสือจินหว่าน กลับปรากฏฉากที่เห็นเมื่อครู่ขึ้น

คุณอาจวิ้นก้มตัวไปจูบคุณน้ามู่

เธอแค่เห็นแวบเดียว เหมือนมองเห็นไม่ชัด แต่เธอรู้ เขาต้องจูบหล่อนแน่ ๆ

สือจินหว่านหดตัวเข้าไปในน้ำ รู้สึกหนาวนิดๆ

ไม่นาน เฉียวซือก็เข้ามา ยื่นน้ำอุ่นแก้วหนึ่งให้เธอ“ดื่มสิ”

เธอรับมันอย่างช้าๆ ดื่มพรวดเดียวหมด บีบแก้วเปล่า ไม่แม้แต่เงยหน้า

เฉียวซือข้างๆถาม“หวันหว่าน ดื่มอีกไหม?”

เธอเหมือนไม่ได้ยิน ไม่มีแม้แต่เสียงขึ้นจมูก

เฉียวซือเห็นสือจินหว่านไม่ตอบสนอง ดังนั้นเลยถามอีกรอบ ตอนเขาแย่งแก้วในมือเธอมา เธอก็ไม่รู้สึกตัว

เฉียวซือนั่งลงข้างสือจินหว่าน เขย่าไหล่ของเธอ“หวันหว่าน แค่นี้ก็ทำเธอเอ๋อแล้วเหรอ?”

เขาหัวเราะ พูดว่า“ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นคนอื่นคบกัน ยิ่งไปกว่านั้น คุณอาจวิ้นกับคุณน้ามู่เป็นว่าที่เจ้าบ่าว เจ้าสาว สิ้นปีนี้พวกเขาก็แต่งงานกันแล้ว”

สิ้นปีนี้…

สือจินหว่านจำได้รางๆ ตอนนี้ต้นเดือนพฤศจิกายนแล้ว ก็เท่ากับว่า ก่อนวันคริสต์มาสของเดือนธันวาคม…

จู่ ๆเธอเหมือนโดนทุบไปหนึ่งที หัวใจอึดอัด เกิดความรู้สึกหนึ่งที่อธิบายไม่ได้

“มีบางครั้งฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนโตแล้ว แต่ตอนนี้ดูแล้ว ยังเป็นเหมือนเด็กคนหนึ่ง แม้แต่เห็นคนอื่นจูบกันก็หน้าแดง”น้ำเสียงเฉียวซือแฝงความเย้าแหย่นิดๆ

สือจินหว่านจับชายชุดว่ายน้ำตัวเองไว้แน่น ยังเงียบเหมือนเดิม

“เอ๊ะ คุณอาจวิ้นเข้ามาแล้ว”เฉียวซือหันหน้าไป“คุณอาจวิ้น”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า แล้วสายตาไปหยุดที่ด้านหลังของสือจินหว่าน“หวันหว่าน?”

เมื่อกี้ เขาไม่รู้ว่าถ้าหากเธอไม่เข้ามาเมื่อครู่ เขาจะแนบลงจูบมู่ยวี๋ฮั่นไหม

แต่เขากลับรู้สึก เขาเหมือนไม่มีความคิดที่อยากลองแล้ว

เพราะตอนนี้สาวน้อยของเขาไม่สนใจเขาแล้ว

ปกติเรียกครั้งเดียว เขาเรียกเธอสองครั้ง เธอก็ไม่สนเหมือนเดิม

“คุณอาจวิ้น หวันหว่านเหมือนทำตัวไม่ถูก”เฉียวซือที่อยู่ข้างๆอธิบาย

โอหยางจวิ้นพยักหน้า “อืม อาพูดกับเธอเอง นายไปข้างๆก่อน”

เฉียวซือพยักหน้า หยิบแก้วน้ำไปบ่อออนเซ็นด้านใน

โอหยางจวิ้นวางผ้าขนหนู ก้าวเข้าไปในน้ำ อ้อมไปด้านหน้าสือจินหว่าน เรียกเธออีกครั้ง “หวันหว่าน?”

เวลาในการผ่าตัดไม่นานนัก โดยที่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลย แต่ทว่า ทุกคนที่อยู่ข้างนอกราวกับว่าเวลาผ่านมาแล้วหนึ่งศตวรรษ

เมื่อสือมูเฉินเห็นว่าประตูห้องผ่าตัดเปิดออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะกุมมือของหลานเสี่ยวถางและสือจิ่งเหยียนเอาไว้แน่น จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็ถามคุณหมอว่า : “ คุณหมอครับ หวันหว่านเป็นยังไงบ้างครับ ?”

“ การผ่าตัดถือว่าสำเร็จมากๆเลยครับ !” คุณหมอก็ถอดผ้าปิดปากออก : “ แต่เป็นเพราะดมยาสลบไป คุณหนูสือก็เลยยังไม่ฟื้นนะครับ และผู้ช่วยของผมก็กำลังจะเข็ญเธอออกมาในทันทีครับ ”

ชั่วพริบตาเดียว สือมูเฉินก็รู้สึกได้ว่าฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็นของตัวเองหรือว่าเป็นของภรรยาและลูก

เขามองเข้าไปในห้องผ่าตัด และในเวลานี้สือจินหว่านก็ถูกคุณหมอเข็ญออกมาแล้ว

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา

“ หวันหว่าน……” สือมูเฉินก็ถอดหายใจปกติ แล้วก็รู้สึกว่ารอบๆดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย

แต่หลานเสี่ยวถางก็คือร้องไห้ไปแล้ว ส่วนสือจิ่งเหยียนที่อยู่ด้านข้างก็กำลังเช็ดน้ำตา

ทุกคนก็ไปยังห้องพักผู้ป่วยพิเศษ และคุณหมอก็ได้อธิบายว่า : “ อีกเดี๋ยวถ้าคุณหนูตื่นขึ้นมา ต้องไม่ให้เธอพูดเด็ดขาด ถ้าหากว่าจะพูดก็ต้องหลังจากสองอาทิตย์ แล้วก็ยังมีข้อควรที่จะต้องระวังเล็กน้อย คุณสือ ผมได้เขียนไว้ในนี้หมดแล้ว คุณลองอ่านดูนะครับ ”

ในขณะที่พูดนั้น คุณหมอก็ได้ยื่นกระดาษรายงานหนึ่งฉบับให้กับสือมูเฉิน

เขาก็รับมา หลังจากที่ขอบคุณคุณหมอแล้ว จากนั้นเขาและหลานเสี่ยวถางก็อ่านด้วยกันอย่างจริงจัง

สือจิ่งเหยียนในเวลานี้ ก็นั่งอยู่ข้างๆสือจินหว่าน และในแววตาก็เต็มไปด้วยการรอคอย : “ พี่ครับ ผมอยากจะได้ยินพี่เรียกผมว่าน้องชายมาโดยตลอด และดูเหมือนว่าความปรารถนานี้จะเป็นจริงในไม่ช้าแล้ว……”

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงสือจินหว่านก็ฟื้นขึ้นมา

เธอเพิ่งจะลืมตาขึ้นมา หลานเสี่ยวถางก็รีบพูดด้วยความกังวลใจว่า : “ หวันหว่าน ยังพูดไม่ได้ก่อนนะ !”

เธอพยักหน้า แล้วก็ทำท่าทางบอกว่า : “ แม่คะ หนูรู้แล้วค่ะ ก่อนที่จะผ่าตัดคุณหมอได้บอกเอาไว้ก่อนแล้วค่ะ ! ”

ถึงแม้จะบอกแบบนั้น แม้ว่าจะยังคงเจ็บคออยู่ แต่ทว่าสือจินหว่านก็อยากจะรู้มากๆว่าน้ำเสียงของตัวเองในเวลาที่พูดนั้นจะเป็นอย่างไร

วันและเวลาก็ผ่านไปแล้ววันเล่า อาการบวมบริเวณผ่าตัดของสือจินหว่านก็ได้หายอย่างสมบูรณ์แบบ

หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธอในสัปดาห์นี้ก็ยังคงไม่สามารถที่จะออกเสียงได้

ในระหว่างวัน เธอก็กินอาหารที่อ่อนๆและก็ฝึกหายใจตามคำแนะนำของคุณหมอ ส่วนในเวลาว่างเธอก็ใช้ประโยชน์ในตอนกลางวันหรือในตอนกลางคืนพิมพ์ข้อความคุยกับโอหยางจวิ้น

เขายังคงไม่รู้ว่าเธอผ่าตัดสำเร็จเรียบร้อยแล้ว และพวกเขาก็ยังคงคุยเรื่องปกติทั่วไป แต่ทว่าทุกครั้งที่ได้ยินเสียงข้อความเข้า เธอก็จะรู้สึกมีความสุขมากๆ

เวลาก็ค่อยๆไหลไปกับสายน้ำอย่างช้าๆ และในที่สุดก็ถึงสองสัปดาห์ตามที่คุณหมอบอก

ภายในห้องก็มีแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา สือมูเฉินก็ได้นั่งอยู่ตรงหน้าของสือจินหว่าน ส่วนหลานเสี่ยวถางและสือจิ่งเหยียนก็นั่งประกบคนละข้าง และทุกคนก็ต่างกลั้นหายใจเฝ้ารอให้สือจินหว่านฝึกออกเสียง

ในใจของเธอก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆเช่นกัน

ถึงแม้ว่าการฟังของเธอจะไม่มีปัญหา และเธอก็รู้ว่ารูปปากแต่ละคำเป็นอย่างไร แต่ถึงอย่างไร ในตอนนี้ก็ยังคงตื่นเต้นจนในหัวใจเต็มไปด้วยเหงื่อ

“ หวันหว่าน ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเกิดว่าพูดไม่เป็น พวกเราก็ค่อยเป็นค่อยไป ” สือมูเฉินกุมมือของลูกสาวเอาไว้

เธอรู้สึกว่ามือของตัวเองนั้นถูกล้อมไว้ด้วยความอบอุ่น จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆและลองพยายามเปล่งเสียงออกมา : “ อา——”

เสียงเบามาก และมีความเสียงแหบเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรแค่ฟังแล้วมันก็คือเสียงของลูกสาวตัวเอง

สือจินหว่านตะลึงไปชั่วขณะ และรู้สึกว่าเสียงแบบนี้มันแปลกมากๆและไม่กล้าจะเชื่อเลยว่าเป็นเสียงของตัวเอง

เธอรู้สึกกลัวเล็กน้อย แต่หลานเสี่ยวถางที่อยู่ด้านข้างก็โอบเธอไว้และพูดว่า : “ หวันหว่าน เสียงเมื่อกี้มันน่าฟังมากๆ ลูกลองดูซิว่ามันยังจะออกเสียงได้อีกไหม ?”

เธอมองไปยังแววตาที่คาดหวังของหลานเสี่ยวถาง ในใจก็เต้นแรง และเสียงก็แทบจะเปล่งออกมาด้วยตัวเอง : “ แม่คะ……”

ทันใดนั้นดวงตาของหลานเสี่ยวถางก็เบิกกว้างในทันที ดูเหมือนว่าเสียงเล็กๆน้อยๆสองคำที่ร้องออกมาได้นั้นกำลังจุดพลุดอกไม้ไฟอยู่ในใจ ปลายจมูกของเธอก็รู้สึกพองแสบขึ้นมา และน้ำตาก็ไหลพรากออกมา

จนกระทั่ง เธอบีบตัวเองแรงๆไปแล้วหนึ่งที เมื่อมีความเจ็บปวดสะท้อนกลับมา ถึงเพิ่งจะรู้ว่านี่มันไม่ใช่ฝัน !

ลูกสาวของเธอ ตอนที่อายุสิบเอ็ดขวบ ในที่สุดก็พูดได้แล้ว !

หลังจากที่สือจินหว่านเรียกหลานเสี่ยวถางแล้ว ก็หันไปมองสือมูเฉินด้วยความตื่นเต้น : “ พ่อคะ !”

ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะออกเสียงได้อย่างราบรื่นขึ้นมา

สือมูเฉินก็กอดเธอเข้ามา ในตอนนี้ ชายที่เป็นผู้ใหญ่คนนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคุณพ่อมือใหม่ และแขนก็สั่นเล็กน้อยพร้อมกับรอบดวงตาที่แดง

“ หวันหว่าน ” แขนของเขาก็โอบไว้แน่นขึ้น : “ ในที่สุดพ่อก็รอมาจนถึงวันนี้แล้ว ”

เขาก็นึกตอนที่โจวเหวินซิ่ววางยาในระยะยาวให้กับหลานเสี่ยวถาง แล้วก็นึกถึงตอนที่เขาและหลานเสี่ยวถางที่ทะเลาะกันอย่างหนักเรื่องที่จะคลอดหวันหว่านหรือไหม และก็ยังนึกถึงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เวลาที่เขาเห็นฟู่หยู่ปิง หยานมู่จิ่นเปล่งเสียงราวกับนกขมิ้นออกมาก็จะรู้สึกอิจฉา……

ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งมากมายที่เขาเก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจโดยที่ไม่พูด ไปจนกระทั่งมีช่วงเวลามากมายที่ยังแกล้งว่าไม่เป็นไรเพื่อที่จะปลอบหลานเสี่ยวถาง แต่ทว่าความรู้สึกแบบนั้น มีเพียงแค่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ !

สือจินหว่านรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่พ่อส่งมาให้ ค่อยๆรับความรู้สึกนั้น และค่อยๆออกมาจากอ้อมกอดของสือมูเฉิน จากนั้นก็มองไปยังสือจิ่งเหยียนที่อยู่ด้านข้าง

เธอก็ค่อยๆขยับปากและสะกดคำทีละคำ : “ น้อง จิ่ง เหยียน ”

แต่ไหนแต่ไรสือจิ่งเหยียนก็เป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง แต่ทว่าในตอนนี้ก็อยู่ในอารมณ์ที่ฮึกเหิม และเขาก็พูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา : “ พี่ ! พี่หวันหว่าน ! พี่ พี่พูดได้แล้ว !”

ใช่ เธอส่งเสียงออกมาได้จริงๆแล้ว และก็สามารถพูดได้จริงๆแล้ว

ในเวลานี้ รู้ตัวอีกทีในก้นบึ้งหัวใจก็พรั่งพรูด้วยความดีอกดีใจ และเมื่อสือจินหว่านเห็นว่าญาติพี่น้องที่อยู่ตรงหน้านั้นต่างก็ตาแดงกันหมด มันทำให้ทนไม่ไหวจนต้องร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจเช่นกัน

ทั้งครอบครัวก็กอดกันร้องไห้อย่างไม่มีเสียง จนกระทั่งผ่านไปสักพัก สือมูเฉินก็ถึงจะปล่อยทุกคน จากนั้นก็ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่อยู่บนแก้มของสือจินหว่านพร้อมกับพูดว่า : “ หวันหว่าน เสียงของลูกเป็นเสียงที่เป็นธรรมชาติที่ดีที่สุดตั้งแต่พ่อเคยได้ยินมา ”

เธอกัดริมฝีปากและมองทุกคนด้วยความอยากถาม

หลานเสี่ยวถางก็พยักหน้าเช่นเดียวกัน : “ หวันหว่าน จริงนะ มันน่าฟังมากๆ ถึงแม้ว่าเสียงในตอนนี้มันจะเบาไปเล็กน้อย แต่พอหลังจากที่ค่อยๆฝึกแล้ว แน่นอนว่าเวลาที่ร้องเพลงมันก็ต้องทำให้รู้สึกซาบซึ้งมากเหมือนกัน ”

สือจิ่งเหยียนตบไปที่หน้าอกและพูดว่า : “ พี่ครับ จริงนะ ! ดีกว่านักร้องสมัยก่อนที่ชื่อว่า Du Lili สักอีก ! หลังจากนี้พี่ก็คือเทพแห่งการร้องเพลง !”

คำพูดของเขา ทันใดนั้นก็ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายและชื่นมื่นขึ้น

สือจินหว่านก็ยิ้ม ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลองเรียกทุกคนอีกครั้งหนึ่ง : “ คุณพ่อ คุณแม่ จิ่งเหยียน ”

พอพูดจบ เธอก็รู้สึกดูเหมือนกับว่าคุ้นชินกับน้ำเสียงนี้มากขึ้นเล็กน้อย ดังนั้น ก็เรียกต่ออีกครั้ง……

ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงไม่กี่คำ แต่ถึงอย่างไรเมื่อทุกคนได้ฟังมันก็ไม่ได้ถือว่ามันเป็นการบกวน และทั้งบ้านต่างก็ตาแดงกันหมด แต่อย่างไรบนสีหน้าก็เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม

เป็นเพราะเพิ่งจะเริ่มจะออกเสียง ก็เลยยังไม่สามารถที่จะพูดได้นานนัก ดังนั้นแล้ว สือมูเฉินก็เลยไม่ให้สือจินหว่านลองออกเสียงต่ออีก

เขาดึงเธอลุกขึ้นจากโซฟาพร้อมกับพูดว่า : “ ไป พวกเราทั้งครอบครัวออกไปเดินเล่นกันหน่อยดีกว่า ”

ใช่สิ ในเวลาที่มีความสุขแบบนี้ ไม่สามารถที่จะตะโกนร้องออกมาได้ แต่ถึงอย่างไร ทั้งครอบครัวก็สามารถที่จะไปเดินเล่นข้างนอกด้วยความเคลิบเคลิ้มที่นำพามาซึ่งความหวังของแดดที่สาดส่อง

ข่าวแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่หลานเสี่ยวถางจะต้องบอกให้เย่เหลียนอีและหลานเซี่ยวเฉิง เมื่อพ่อกับแม่ได้ยินว่าในที่สุดหลานสาวก็พูดได้แล้ว ก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ ดังนั้นทุกคนก็เลยนัดกันไปที่เขตทหารด้วยกันพรุ่งนี้

และหลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว สือจินหว่านก็กลับไปที่ห้องและหยิบโทรศัพท์ออกมา

เธอเห็นว่าโอหยางจวิ้นได้ส่งหนึ่งข้อความมาหาเธอแล้ว บอกว่าเขาตื่นแล้ว และวันนี้มีนัดต้องลงนาม ดังนั้นก็เลยตื่นเช้ากว่าปกติและในตอนบ่ายก็อาจจะไม่ว่างคุยกับเธอ

เธอเหลือบไปมองเวลา และเดาว่าเขาน่าจะเพิ่งเก็บของออกไป ดังนั้นก็มาตรงมาบริเวณที่โทรศัพท์ตั้งโต๊ะที่มีอยู่ในบ้าน

โอหยางจวิ้นไม่รู้ว่าเบอร์โทรศัพท์ตั้งโต๊ะของเธอคืออะไร ดังนั้นแล้ว……

เมื่อหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นแล้ว สือจินหว่านก็พบว่าตัวเองนั้นตื่นเต้นจนไม่สามารถจะหายใจได้อยู่แล้ว

เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในห้องของตัวเอง เธอก็ได้ฝึกไปหลายรอบแล้ว แต่ในเวลานี้ก็ยังคงพบว่า ตัวเองยังดูพูดไม่เป็นสักไหร่ แม้กระทั่งลิ้นก็แข็งทื่อขึ้นมาแล้วเล็กน้อย

แต่ทว่า สือจินหว่านยังคงต่อสายไปยังโอหยางจวิ้น

ในเวลานี้ โอหยางจวิ้นกำลังอยู่ในระหว่างทางที่ไปบริษัท

ระบบจอควบคุมของรถก็ได้แสดงชุดหมายเลข ซึ่งไม่มีชื่อของผู้โทร และเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากจึงกดรับสาย

เมื่อต่อสายแล้ว โอหยางจวิ้นก็เอ่ยปากพูดว่า : “ ฮัลโหล ?”

เมื่อสือจินหว่านได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย ทันใดนั้น ตัวเองก็รู้สึกว่าหายใจติดๆขัดๆ

เธอขยับรูปปากแต่ยังไม่ได้ออกเสียง

และอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เมื่อโอหยางจวิ้นถามไปแล้ว เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ ดังนั้นก็เลยถามอีกว่า : “ สวัสดีครับ ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่าครับ ?”

เมื่อถามไปแล้ว เขามองไปยังจอโทรทัศน์อีกครั้ง เพิ่งจะเห็นว่าบนนั้นเป็นหมายเลขของต่างประเทศ และดูเหมือนว่าจะโทรมาจากประเทศจีน !

ในสายก็ยังคงเงียบมากๆ และโอหยางจวิ้นก็ได้ปิดหน้าต่างรถ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหายใจที่แผ่วเบา

ดูเหมือนว่าจะคุ้นเคยมากๆ

ในเวลานี้ หัวใจของเขาก็เต้นช้าลงอย่างมาก : “ หวันหว่าน ? หวันหว่าน ใช่หนูหรือเปล่า ?”

เธอบีบหูโทรศัพท์เอาไว้แน่น แล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆถึงพูดไม่ได้แล้ว

และเมื่อโอหยางจวิ้นเห็นว่าสายอีกด้านหนึ่งนั้นเงียบและไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาเลย ทันใดนั้นก็รู้สึกกังวลและพูดว่า : “ หวันหว่าน เจอกับอันตรายอะไรอยู่หรือเปล่า ? ถ้าเกิดว่ามีอันตราย หนูเคาะหูโทรศัพท์หนึ่งครั้ง ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ เคาะสองครั้ง ”

จากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเคาะหูโทรศัพท์อยู่สองครั้ง

เธอไม่เป็นอะไร……โอหยางจวิ้นก็โล่งใจ : “ หวันหว่าน ทำไมถึงโทรหาฉันละ ?”

เธอพูดไม่ได้ ดังนั้น แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยโทรหากันอยู่แล้ว ทำเพียงแค่ส่งข้อความในวีแชทเท่านั้น

“ ไม่เป็นไร คิดถึงอาจวิ้นใช่หรือเปล่า พวกเราก็คาสายไว้แบบนี้แหละ อาพูด ส่วนหนูฟังก็พอแล้ว……” แต่ทว่าโอหยางจวิ้นยังพูดไม่ทันจบ แต่จู่ๆก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นมาแต่ทว่าเสียงนั้นน่าฟัง——

“ อา จวิ้น ”

ชั่วพริบตา โอหยางจวิ้นก็ถึงกับตะลึงและเท้าขวาของเขาก็เหยียบเบรคในทันที

ยางล้อรถของรถเก๋งก็ได้เสียดสีอย่างรุนแรงกับพื้นถนน หลังจากที่เขาไถลไปหกเมตรแล้ว เขาก็หยุดอยู่กับที่

“ หวันหว่าน ?” หัวใจของโอหยางจวิ้นเต้นเร็วมาก : “ หวันหว่าน นี่เป็นเสียงของหนูหรอ ? หนูพูดได้แล้วหรอ ? !”

“ ค่ะ ” ในขณะที่เธอตอบกลับ น้ำตาก็ได้ไหลอาบเต็มใบหน้าแล้ว

โอหยางจวิ้นที่นั่งอยู่บนที่นั่งนั้น ก็ได้ยินเสียงหายใจจากอีกฝั่งก็วุ่นวายเล็กน้อย จู่ๆทันใดนั้นเขาก็อยากจะกอดสาวน้อยของเขา

ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ดังนั้นการพูดคุยในสายส่วนใหญ่จึงเงียบ

ผ่านไปสักพัก โอหยางจวิ้นก็พูดว่า : “ หวันหว่าน พูดอีกรอบได้ไหม ? เมื่อกี้อาได้ยินไม่ชัด ”

สือจินหว่านบีบหูโทรศัพท์เอาไว้แน่น : “ อาจวิ้น อาจวิ้น……”

เมื่อได้ยินหญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ระมัดระวัง ส่วนโอหยางจวิ้นก็บีบพวงมาลัยรถแน่นมากขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวจนทำให้ข้อต่อกระดูกขาวเลยทีเดียว

เขาที่กลืนน้ำลายอย่างรุนแรงแล้วก็ฮึบเอาไว้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและกลั้นน้ำตาเอาไว้ : “ หวันหว่าน อาเดาไม่ผิดใช่ไหม เป็นเสียงของหนูใช่ไหม มันเป็นเสียงที่น่าฟังมากที่สุดตั้งแต่ที่อาเคยได้ยินมาเลย……”

ในตอนนี้ ชายหนุ่มวัยกลางคนคนนั้นเห็นว่าแผนการถูกเปิดโปง ก็จะหลีกหนีไป

โอหยางจวิ้นแขนข้างหนึ่งโอบกอดสือจินหว่านไว้แล้วเดินเข้าไปจับชายคนนั้นไว้อย่างรวดเร็ว “อย่าหนี! ใครคือลูกสาวของคุณ?!”

ชายวัยกลางคนพยายามดิ้นรน แต่ก็พบว่าหมดหนทาง เขาขวัญหนีดีฝ่อ รีบยิ้มแล้วพูดขึ้น “ขอโทษด้วยครับ ผมจำผิดคนแล้ว!”

ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ งุนงงในทันที

“สาวน้อย เขาไม่ใช่พ่อของหนูทำไมไม่พูดล่ะ?”

“ชู่ พวกคุณไม่เห็นเหรอ เด็กคนนี้ไม่พูดไม่จามาโดยตลอด? ไม่แน่อาจจะพูดไม่ได้ก็ได้!”

“งั้นก็คือคนใบ้เหรอ?”

“น่าเสียดายจัง หน้าตาดีขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นใบ้!”

โอหยางจวิ้นได้ฟังถึงตรงนี้ เขาจับมือของชายวัยกลางคนไว้อย่างแรง แทบจะบิดข้อมือของชายคนนั้นจนหัก!

เขาตะคอกใส่คนโดยรอบ “ไสหัวไป! พวกคุณพูดเป็น? พูดได้ยังเหมือนกับหมูโง่ ใครพูดอะไรก็เชื่อ? ร่วมมือกับคนร้ายรังแกเด็กผู้หญิง?! รีบไสหัวไปให้พ้นหน้า!”

เป็นครั้งแรกที่สือจินหว่านเห็นโอหยางจวิ้นโมโหขนาดนี้ เธอจับเขาไว้ แล้วบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร

เขากลับหยิบโทรศัพมาขึ้น โทรหาตำรวจ

ชายคนนั้นได้ยินโอหยางจวิ้นแจ้งความ เขาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “ลูกพี่ ปล่อยผมไปเถอะนะครับผมขอร้อง! ผมแค่วู่วาม ถึงได้รังแกน้องสาวของคุณ! ผมยังมีครอบครัว คุณปล่อยผมไปเถอะครับ…”

“ไม่มีทาง” โอหยางจวิ้นเห็นชายวัยกลางคนขัดขืนกว่าเดิม จึงปล่อยสือจินหว่าน พลิกสองมือกดชายคนนั้นไว้บนพื้น “ถ้าแกอยู่ในถิ่นของฉันแล้วรังแกเธอ ฉันฆ่าแกไปตั้งนานแล้ว! ตอนนี้ส่งแกให้ตำรวจ แกควรจะดีใจ!”

ผ่านไปไม่นาน ตำรวจก็มาถึง โอหยางจวิ้นส่งมอบคนไป หลังจากการตรวจสอบ ชายคนนั้นเป็นคนที่กระทำผิดเป็นประจำ

คิดไม่ถึงว่าออกมาท่องเที่ยว จะเจอเรื่องแบบนี้เข้า ทำลายความสนุก สือจินหว่านเห็นโอหยางจวิ้นอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อย จึงเขย่าแขนของเขา

เขาก้มหน้ามองเธอ สายตาอ่อนโยนขึ้นเยอะ

เธอทำท่าทางใส่เขา “อาจวิ้น อันที่จริงฉันไม่เป็นอะไร อีกอย่างฉันใกล้จะพูดได้แล้ว ที่พวกเขาพูด หนูไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย!”

เขาเห็นเธอที่ได้รับความเจ็บปวดขนาดนั้น แต่กลับปลอบใจเขา เขาใจสั่นเล็กน้อย แล้วโอบบ่าสือจินหว่านเอาไว้ “ไม่เป็นไร อาแค่รับไม่ได้ที่มีคนรังแกเธอ”

เธอรู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่อบอุ่นที่วางอยู่บนบ่าของเธอ ราวกับห่อหุ้มเธอเอาไว่าทั้งตัว ในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้

“อาจวิ้น งั้นพวกเราไปเดินเที่ยวกันต่อเถอะ!” สือจิ่นหว่านทำท่าทาง

ทั้งสองลบเรื่องนั้นออกไปจากความทรงจำ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานต่อ

สือจินหว่านก้มหน้า ก็เห็นโอหยางจวิ้นจับมือของเธออยู่ เหมือนกับว่าหลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาก็จับมือเธอไว้แน่นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อน หรือว่าเพราะอะไร ฝ่ามือของเธอค่อย. ๆ เต็มไปด้วยเหงื่อ

ถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง ดอกไม้บานเต็มที่ โอหยางจวิ้นถ่ายรูปให้สือจินหว่าน เธอมองกล้องถ่ายรูป จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงลากเขามายืนอยู่ที่ในพุ่มไม้ จากนั้นก็ถ่ายเซลฟี่

ในหน้าจอ พวกเขาอยู่ในเฟรมเดียวกัน จู่ ๆ สือจินหว่านก็รู้สึกใจสั่น

เธอพยายามให้ตัวเองยิ้มอย่างธรรมชาติ แต่ว่าในตอนที่เธอกดชัตเตอร์ มองไปทางภาพถ่าย ถึงได้พบว่าอันที่จริงไม่ต้องพยายาม เธอถ่ายรูปคู่กับเขาก็ยิ้มอย่างสดใสที่สุด

เพราะว่าในดวงตาคือแสงสว่าง

ตามแผนการแล้วทั้งสองเดินเที่ยวพระราชวังเสร็จ ก็ควรจะกลับบ้าน

แต่ว่าสือจินหว่านนึกได้ว่าโอหยางจวิ้นกว่าจะได้มาสักครั้ง ครั้งนี้กลับ เธอต้องรออีกสองเดือนกว่าจะได้เจอเขา เธอจึงเอ่ยขึ้นว่าไปเดินถนนคนเดิน กินอะไรนิดหน่อย แล้วไปดูหนัง

เธอชอบกินของหวาน ถึงแม้โอหยางจวิ้นไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังสั่งมาชุดหนึ่งกินเป็นเพื่อนสือจินหว่าน

ทั้งสองจองตั๋วหนังสองใบ เห็นว่าหนังใกล้เริ่มแล้ว จึงไปที่โรงหนังด้วยกัน

“อาจวิ้น ลืมซื้อป๊อปคอร์นแล้ว!” สือจินหว่านเดินเข้าไปในโรงแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้

โอหยางจวิ้นยิ้ม “เธอนั่งก่อน ฉันออกไปซื้อให้เธอ”

เธอพยักหน้า ดูโฆษณาข้างหน้าไปด้วย รอเขาไปด้วย

ในตอนนี้เอง ด้านหลังมีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นสองคน ทั้งสองคุยอะไรคุยกันอย่างตื่นเต้น คำพูดจึงลอยเข้าหูของสือจินหว่าน

ได้ยินแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูด “แย่แล้ว ฉันต้องชอบหัวหน้าห้องของพวกเราแน่ ๆ”

เด็กผู้หญิงอีกคนพูด “หา? ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเธอชอบรุ่นพี่ฉาวไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันเข้าใจผิด” เด็กผู้หญิงพูด “ฉันค่อนข้างชอบรุ่นพี่ฉาว แต่ว่าไม่ใช่แบบที่ชอบหัวหน้าห้องแบบนั้น”

“ยังมีอะไรที่ไม่เหมือนกันอีก?”

“ก็คือ…” เด็กผู้หญิงครุ่นคิด “ฉันเห็นรุ่นพี่ฉาวก็ดีใจอยู่ แต่ว่าไม่ได้ใจสั่นแบบนั้น ฉันเห็นหัวหน้าห้อง เขาเข้าใกล้ฉัน ฉันก็จะตื่นเต้น ใจเต้นแรงขึ้น ไม่เจอเขา ฉันก็คิดถึง เห็นเขาอธิบายหัวข้อให้กับผู้หญิงคนอื่น ฉันก็เสียใจ…เฮ้อ ฉันชอบเขาเข้าแล้วจริง ๆ แม้แต่เมื่อคืนก็ฝันว่าเขาจับมือฉัน!”

“แบบนี้เหรอ งั้นเธอก็ชอบเขาแล้วจริง ๆ “เด็กผู้หญิงอีกคนพูด “มีแค่ความชอบเท่านั้นถึงได้รู้สึกแบบนี้ งั้นเธอก็บอกรักหัวหน้าห้องเถอะ ลองดู ไม่แน่เขาก็อาจจะชอบเธอ…”

ได้ยินถึงตรงนี้ สือจินหว่านเงยหน้า ก็เห็นในมือของโอหยางจวิ้นถือถังป๊อบคอร์น แล้วก็ยังมีไอศกรีมฮาเก้นดาสสองถ้วยเดินเข้ามา

มีแสงสาดส่องบนตัวของเขา ใบหน้าของเขาบางครั้งก็สว่างบางครั้งก็มืด เขาเหมือนกับเดินอยู่ระหว่างความสว่างและความมืด จากความฝันมาถึงความจริง สุดท้ายเดินมาอยู่ตรงหน้าเธอทีละก้าว

“หวันหว่าน ครั้งนี้อยากกินสตรอว์เบอร์รีหรือวานิลลา?” เขาก้มหน้าถามเธอ

ไม่รู้ว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ประโยคธรรมดา ๆ สือจินหว่านกลับรู้สึกใจเต้นแรง

“สตรอว์เบอร์รี” เธอทำท่าทาง แต่กลับหยิบวานิลลา จากนั้นก็แกะกล่องออก ใช้ช้อนตักอย่างรวดเร็ว

อุณหภูมิที่หนาวเย็นค่อยละลายไปในปาก ในที่สุดความร้อนผ่าวบนไปหน้าก็หายไปเยอะ

โอหยางจวิ้นเห็นท่าทางรีบร้อนของเธอ จึงอดหัวเราะไม่ได้ “ระวังหน่อย อย่ากินเร็วเกิน”

ขณะที่พูด ก็ยื่นมือออกมาเช็ดคราบวิปครีมข้างริมฝีปากให้เธออย่างเป็นธรรมชาติ

ในตอนที่ปลายนิ้วมือของโอหยางจวิ้นแตะลง สือจินหว่านหดตัวนิดหน่อย เหมือนกับถูกความร้อนลวกยังไงอย่างงั้น

เขาอึ้ง “ไม่มีไฟฟ้าสถิตนะ?”

เธอส่ายหน้า แต่ในหูกลับสะท้อนคำพูดของเด็กผู้หญิงคนนั้น รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

ดังนั้นโอหยางจวิ้นนั่งรถข้างเธอ เหมือนกับที่เคยผ่านมา กินไอศกรีมด้วยกัน แล้วค่อยกินป็อบคอร์น

แต่ว่าสือจินหว่านกลับรู้สึกสับสนในใจ เหมือนก้อนไหมพรมที่ถูกแมวเล่นจนมั่ว จะแกะยังไงก็แกะไม่ออก

ดังนั้นทั้ง ๆ ที่เป็นหนังตลก เธอกลับดูอย่างมึนงง ในตอนที่ควรหัวเราะก็ไม่หัวเราะ ตอนที่ไม่ควรหัวเราะ เธอกลับหัวเราะ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ป๊อปคอร์นในถังเกือบจะหมดแล้ว

สือจินหง่านเห็นป๊อบคอร์นเม็ดสุดท้าย ก็เหมือนอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง เธอหยิบมันขึ้นมา ป้อนไปที่ข้างปากของโอหยางจวิ้น

เขากินป๊อบคอร์นจากมือของเธออย่างเป็นธรรมชาติ แต่ว่า เพราะเธอดึงมือกลับช้าไปหน่อย ดังนั้นริมฝีปากของเขาสัมผัสปลายนิ้วมือของเธอเบา ๆ

หน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นในทันที สือจินหว่านรีบชักมือกลับ จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปที่หน้าจออีกครั้ง

ทำไมเธอถึงได้ตื่นเต้น? เรื่องพวกนี้ที่ผ่านมาปกติมาก ช่วงนี้กลับทำให้เธอตื่นเต้นบ่อย ๆ

เธอรู้สึกกลัวความรู้สึกแบบนี้นิดหน่อย ราวกับเด็กที่ทำอะไรผิด รู้สึกตื่นตระหนกหวาดกลัว

โอหยางจวิ้นที่อยู่ด้านข้างกลับไม่รู้อะไรสักนิด เขายื่นหน้าเข้ามา พูดข้างหูเธอ “หวันหว่าน นี่ถือว่าตลกแบบเยือกเย็น?”

เธอได้ยินคำพูดของเขา แต่เธอกลับสนใจระยะห่างระหว่างพวกเขามากกว่า

เธอพบว่าหัวใจของเธอสับสนมากกว่าเดิม อยากจะหนีไป แต่กลับขยับไม่ได้

จนกระทั่งหนังจบ ผู้คนหัวเราะคุยกันถึงหนัง สือจินหว่านกลับเหมือนคนไร้วิญญาณ เกือบจะมองไม่เห็นบันได

โอหยางจวิ้นยื่นมือออกมาจับมือเธอ ถึงได้ไม่ล้มลง

จุดสนใจของเธอทั้งหมดมองไปที่มือของพวกเขาที่จับหันไว้อยู่ รู้สึกว่าความวุ่นวายทั้งหมดมีที่พึ่ง ในตอนนี้สิ่งที่อยากได้ก็มีเพียงแค่นี้”

ทั้งสองคนเดินเที่ยวกันอีกสักครู่ ถึงได้กลับบ้าน

เครื่องบินของโอหยางจวิ้นคือเที่ยงวันต่อมา วันนั้นสือจินหว่านนั่งรถของสือมูเฉินไปส่งเขาที่สนามบิน

ในตอนที่โอหยางจวิ้นโบกมือบอกลาเธอ แล้วเดินไปถึงด่านตรวจ เธอพบว่าตัวเองแทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปหาเขา

แต่ว่าเธอรู้ว่าถ้าหากตัวเองไป บางทีหลาย ๆ อย่างอาจจะไม่เหมือนเดิม

ดังนั้นเธอยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นที่เดิม ใช้สายตาส่งเขา ก็เหมือนกับตอนปกติ

แผ่นหลังของเขาหายไปจากสายตา เสียงของสือมูเฉินดังเข้าหู “หวันหว่าน พวกเราควรกลับบ้านไปเก็บของแล้ว เตรียมตัวไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว!”

สือจินหว่านดึงสติกลับมา เธอพยักหน้าคล้องแขนสือมูเฉิน

เธอเงยหน้ามองเขา แล้วทำท่าทาง “พ่อคะ”

สือมูเฉินก้มหน้า แล้วพูดอย่างเอ็นดู “หือ? ทำไมเหรอหวันหว่าน?”

เธอพูดไม่ออกว่าในใจรู้สึกยังไง จึงยื่นแขนออกไปกอดสือมูเฉิน แนบหน้าลงกับหน้าอกของเขา เหมือนกับแมวที่คลอเคลียไปมา

สือมูเฉินยื่นมือออกมาลูบผมของสือจินหว่าน แล้วพูดอย่างรักใคร่ “โตขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงอ้อนเหมือนกับเด็กน้อยอีก?”

เธอไม่ได้ตอบ ผ่านไปพักใหญ่ เธอเงยหน้าจากอกของสือมูเฉิน มองเขา แล้วทำท่าทางอย่างจริงจัง “พ่อคะ หนูอยากผ่าตัดเส้นเสียง”

สือมูเฉินตะลึง “หวันหว่าน หมอบอกว่า อายุสิบสามผ่าตัดจะดีที่สุด”

“พ่อคะ หนูอยากจะผ่าตัดตอนนี้” สือจินหว่านเขย่าแขนของมูเฉิน แล้วทำท่าทาง “พรุ่งนี้พ่อพาหนูไปตรวจหน่อยได้ไหมคะ ถ้าหากหมอบอกว่าต้องหลังสิบสามปีขึ้นไป งั้นหนูก็ค่อยรออีกสักสองปี ถ้าหากหมอบอกว่าตอนนี้สามารถผ่านัดได้ งั้นหลังกลับจากเที่ยวพวกเราก็ผ่าตัดกัน?”

สือมูเฉินมองแสงสว่างในดวงตาของลูกสาว ความเจ็บปวดทิ่มแทงหัวฝจของเขาเป็นพัก ๆ

เธอคือเลือดเนื้อของเขา เห็นเธอไม่สามารถหัวเราะสนุกสนานเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน ไม่สามารถเรียกพ่อแม่ได้จากปาก อันที่จริงเค

ขาเสียใจยิ่งกว่าใคร

เขาจึงพยักหน้า “ตกลง งั้นวันนี้พ่อจะติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ รอให้พวกเขาจัดแจงเวลาเสร็จ พ่อจะพาหนูไปตรวจดู แต่ว่าพวกเราต้องฟังคุณหมอ ห้ามปล่อยไปตามความอันตราย!”

สือจินหว่านดวงตาเป็นประกาย “ค่ะ! ขอบคุณค่ะคุณพ่อ หนูรักพ่อที่สุดเลยค่ะ!”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า หมดหนทางนิดหน่อย “ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ การปรับเวลาร่างกายก็คือปัญหา”

“ฉันก็นอนไม่หลับ” สือจินหว่านเบะปาก “พรุ่งนี้ตอนกลางวันต้องง่วงตายแน่”

โอหยางจวิ้นอดหัวเราะไม่ได้ “งั้นตอนนี้ลองไปนอนบนเตียง แล้วหลับตา ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นดู”

สือจินหว่านส่ายหน้า ทำท่าทาง “ไม่เอา ฉันไม่นอน! อาจวิ้นอาคุยเป็นเพื่อนฉันสักพักได้ไหมคะ?”

เขาจนปัญญา “ตกลง แต่ว่าร่างหายของเธอยื่นออกไปข้างนอกแล้ว อันตรวจเกิน ยืนให้ดี ๆ อย่าขยับมั่ว ๆ”

เธอได้ยินคำพูดของเขา ก็เชื่อฟังไม่ขยับเขยื้อนในทันที

โอหยางจวิ้นสองมือค้ำระเบียง จากนั้นก็นั่งลงบนขอบระเบียง

สือจินหว่านมองดูก็ตกใจในทันที เห็นเขานั่งคงที่ ถึงได้ทำท่าทาง “อาจวิ้น แบบนี้อันตรายยิ่งกว่า!”

โอหยางจวิ้นยิ้ม “ไม่เป็นไร นี่แค่ชั้นสองเอง เมื่อก่อนสูงกว่านี้ก็เคยนั่งมาแล้ว!”

สือจินหว่านมองดูก็ยังขวัญหนีดีฝ่อ “ไม่อย่างงั้นอามาที่ระเบียงฉันไหม?”

โอหยางจวิ้นกำลังจะข้ามไป แต่จู่ ๆ ก็คิดได้ว่าเธอไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงแม้ระหว่างพวกเขาไม่มีอะไร แต่ว่าคนละเพศกัน เขาข้ามไปแบบนี้ยังไงก็ไม่ดี

เขาจึงส่ายหน้า “ไม่เป็นไร นั่งแบบนี้ก็สบายดี”

สือจินหว่านไม่ได้ยื้อต่อ เธอนึกได้ว่าวันพรุ่งนี้จะพาโอหยางจวิ้นไปเที่ยว จึงถามขึ้น “อาจวิ้น อาชอบไปสถานที่ประวัติศาสตร์หรือว่าไปชมวิว?”

อันที่จริงโอหยางจวิ้นไปไหนก็ได้ เหตุผลหลักคือไปเป็นเพื่อนเธอ จึงพูดขึ้น “ไปที่ประวัติศาสตร์แล้วกัน” เดาว่าที่นั่นคนน้อย เงียบสงบหน่อย

สือจินหว่านพยักหน้า จากนั้นก็เปิดโทรศัพท์ ค้นหาสถานที่ “อาจวิ้น อาอยากไปไหน?”

โอหยางจวิ้นยื่นหน้ามาดู จากนั้นก็เลือกตามอำเภอใจที่หนึ่ง “ที่นี่แล้วกัน ถือโอกาสถ่ายรูปให้เธอด้วย!”

สือจินหว่านพยักหน้า “ค่ะ พรุ่งนี้พวกเราไปพระราชวัง!”

เมื่อคิดได้ว่าต้องออกไปข้างนอก เธอจึงทำท่ากับโอหยางจวิ้น ให้เขารอเดี๋ยวหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปเตรียมของในห้อง ถึงได้ออกมา “อาจวิ้น ฉันเตรียมกระเป๋าเสร็จแล้ว พรุ่งนี้พวกเราออกเดินทางกันแต่เช้า แบบนี้จะได้ไม่โดนแดดเผา!”

โอหยางจวิ้นเห็นท่าทางตื่นเต้นของเธอ จึงพยักหน้า “ตกลง”

พูดจบ เขากลับนึกได้ถึงคำถามที่สือมูเฉินถามเขา เขาจึงมองไปทางสือจินหว่าน “หวันหว่าน เธออยู่ที่โรงเรียน มีเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกันไหม? อย่างเช่นเพื่อนผู้ชาย…”

สือจินหว่านกะพริบตา “เพื่อนของฉันอารู้หมดนี่ เป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด ทำไมเหรออาจวิ้น?”

โอหยางจวิ้นยิ้ม “ไม่มีอะไร พ่อของเธอบอกว่าเด็กผู้หญิงอย่ามีความรักก่อนวัยอันควร”

เธอเข้าใจในทันที จึงรีบส่ายหน้า “ฉันไม่มี!”

“อืม ถ้าหากชอบใคร บอกอาแต่แรกนะ” โอหยางจวิ้นพยักหน้า

ตอนนี้พระจันทร์เคลื่อนตัวออกมาจากเมฆดำ สือจินหว่านมองเห็นโอหยางจวิ้นถูกแสงจันทร์สาดส่องจนเปล่งประกาย

เหมือนกับสิบปีมานี้เขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ยังคงเป็นอาจวิ้นที่ยังวัยรุ่นรูปหล่อ

สือจินหว่านกัดริมฝีปาก “ฉันไม่เจอคนที่ชอบ”

แต่เมื่อทำท่าทางจบ กลับเหลือบมองโอหยางจวิ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

ช่วงเวลาหนึ่งเธอรู้สึกว่าเขาที่นั่งสง่างามอยู่บนระเบียงด้านข้าง เหมือนกับพี่ชายข้างบ้านในนิยายมาก

ไม่ เขาคือผู้ใหญ่ จะเป็นพี่ชายไปได้ยังไงนะ?

สือจินหว่านรู้สึกตลกในใจ แต่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนไปหมด

โอหยางจวิ้นกลับไม่รู้ว่าในใจของเธอคิดถึงแต่เขา จึงถามขึ้น “เฉียวซือล่ะ? ดูออกว่าเขา…”

“อาจวิ้น!” หวันหว่านขัดการทำท่าทางของเขา “หนูกับเขาเป็นแค่เพื่อนกัน!”

เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตอนนี้มีความรู้สึกที่อยากจะบอกให้ชัดเจน

เขาพยักหน้า ไม่ได้ถามต่อ แต่พูดขึ้น “หวันหว่าน รอให้ปิดเทอมฤดูร้อนนี้เสร็จ พวกเราไปตรวจกันอีกครั้ง ดูปัญหาเส้นเสียง”

สือจินหว่านพยักหน้า นึกอะไรขึ้นได้ เริ่มกังวลใจ “อาจวิ้น อาว่าการผ่าตัดของฉันจะล้มเหลวไหม?”

เขามองดูเธอ “จะเป็นไปได้ยังไง? หวันหว่านของอา จะน้องมีเสียงที่อ่อนหวานที่สุด!”

เหมือนกับว่าเธอกำลังอาบแสงจันทร์อยู่ในตอนนี้ ไร้การแต่งเติม เหมือนกับเอลฟ์ตัวน้อยที่ไม่กินดอกไม้ไฟในโลก เสียงของเอลฟ์จะไม่เพราะได้ยังไง?

เขามองดูอย่างตะลึง แล้วพูดพึมพำ “หวันหว่าน ถ้าหากเธอพูดได้ อยากจะพูดอะไรกับอา?”

เธอได้ยินไม่ชัด จึงทำท่าทางใส่เขา “อะไรนะคะ?”

โอหยางจวิ้นตอบสนอง เขายิ้ม “หวันหว่าน อาอยากได้ยินเธอเรียกอาจากปากตัวเอง”

เธอฟังแล้วใจสั่น พยักหน้า “ค่ะ อาจวิ้น รอให้ฉันพูดได้ จะต้องเรียกชื่ออาในตอนแรก!”

ขณะที่พูด สือจินหว่านยืนนิ้วก้อยออกมา

เพราะว่าทั้งสองอยู่ห่างกันสองสามเมตร ดังนั้นโอหยางจวิ้นจึงยื่นนิ้วออกมา เกี่ยวก้อยกันกลางอากาศ

“อาจวิ้น อารีบเข้านอนเถอะ?” สือจินหว่านทำท่าทาง “พรุ่งนี้พวกเรายังต้องออกไปเที่ยวกัน กลัวว่าจะตื่นไม่ไหว”

“อาไม่เป็นไร อายังมีเอกสารที่ต้องจัดการ” โอหยางจวิ้นพูด “แต่เธอสาวน้อยคนนี้ ไม่ยอมนอน พรุ่งนี้เดินไม่ไหว จะให้อาแบกไหม?”

สือจินหว่านหน้าแดง เธอไม่อยากจะเข้าห้อง จึงส่ายหน้า “ฉันไม่ง่วง อาจวิ้น งั้นอาดูเอกสารต่อเถอะ ฉันนั่งที่ระเบียงสักพักหนึ่ง ง่วงแล้วค่อยไปนอน”

โอหยางจวิ้นหมดหนทางกับเธอ จึงทำตาม

เขาจึงกระโดดลงจากขอบระเบียง เริ่มดูเอกสาร

สือจินหว่านนั่งตรงระเบียง ได้ยินเสียงเปียโนที่อ่อนโยนดังมาจากฝ่ายของโอหยางจวิ้น ถึงแม้เธอไม่ได้ค้ำอยู่ที่ระเบียงก็มองไม่เห็นเขา แต่ว่าเมื่อคิดได้ว่าเขาอยู่ข้าง ๆ ได้ฟังเสียงที่เธอได้ยิน ก็เหมือนกับเขาอยู่ข้างกายเธอ

โอหยางจวิ้นจัดการเอกสารเสร็จก็ตอนตีหนึ่งแล้ว

เขาเก็บเอกสาร ถึงแม้จะยังไม่ง่วง แต่ว่าร่างกายก็แอบอ่อนเพลีย

ห้องข้าง ๆ ไม่มีเสียงแล้ว แต่เขาก็ยังไม่วางใจ จึงยื่นตัวจากขอบระเบียงไปดู

จึงเห็นสาวน้อยนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้แล้ว

ใบหน้าของเธอภายใต้แสงจันทร์สวยงามอย่างมาก ถึงแม้จะยังเป็นเด็ก แต่ว่าใบหน้าที่เค้าโครงเด่นชัดกับคิ้วที่ประณีต ทำให้คนนึกถึงความงามที่จะเปล่งประกายออกมา

เมื่อครู่เขาให้เธอไปนอน แต่กลับหลับบนเก้าอีกซะแล้ว! โอหยางจวิ้นจนปัญญา จึงพยุงค้ำตัวขึ้น แล้วปีนระเบียงข้ามไปอย่างระมัดระวัง

เขาเดินไปข้างสือจินหว่าน ค่อย ๆ อุ้มเธอขึ้นจากเก้าอี้

เธอไม่ได้หลับลึก ดังนั้นถูกเขาอุ้มขึ้น ก็สะลึมสะลือตอบสนอง แล้วลืมตาขึ้น

“เด็กดี กลับไปนอนที่เตียงนะ” โอหยางจวิ้นพูดเสียงเบา แล้ววางสือจินหว่านลงบนเตียง

เขาช่วยเธอถอดรองเท้า ห่มผ้าห่ม เห็นเธอสะลึมสะลือมองเขา จึงยิ้มอย่างอดไม่ได้ แล้วก้มลงจูบหน้าผากของเธอ “หวันหว่าน ฝันดีนะ”

สือจินหว่านลืมตาขึ้นนิดหนึ่ง มองดูแผ่นหลังที่จากไปของโอหยางจวิ้น ในใจมีความสับสนจาง ๆ แต่ว่าในที่สุดก็สู้กับความง่วงไม่ได้ เธอค่อย ๆ หลับสนิทไป

วันต่อมา สือจินหว่านพาโอหยางจวิ้นมาที่พระราชวังตั้งแต่เช้า

ถ้าให้พูดนี่เป็นครั้งแรกที่เธอเป็นมัคคุเทศก์ ดังนั้นเธอจริงจังเป็นพิเศษ

ในโทรศัพท์มีข้อมูลที่เธอศึกษาไว้ก่อนหน้า เกี่ยวกับภูมิหลังประวัติศาสตร์ เธอเล่าให้โอหยางจวิ้นฟังระหว่างทางแล้ว

เดิมทีโอหยางจวิ้นไม่ได้สนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พวกนี้มากนัก แต่ว่าเมื่อได้ฟังสือจินหว่านเล่าเรื่อง เขากลับมีความสนใจขึ้น

บางครั้งทั้งสองดูภาพในอินเทอร์เน็ตอธิบาย บางครั้งก็ฟังมัคคุเทศก์ของกลุ่มนักท่องเที่ยวอธิบาย ค่อนข้างน่าสนใจเป็นอย่างมาก

ในพระราชวังค่อนข้างใหญ่ เดินอยู่ครู่หนึ่ง โอหยางจวิ้นเห็นด้านหน้ามีเก้าอี้ จึงพูดกับสือจินหว่าน “หวันหว่าน เธอรออาตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ อาไปเข้าห้องน้ำ”

สือจินหว่านพยักหน้า แล้วนั่งพักเก้าอี้ตรงหน้า

และในตอนนี้เอง มีชายคนหนึ่งอายุประมาณสี่สิบเดินเข้ามา ถามสือจินหว่าน “หนูน้อย ประตูเหนือของพระราชวังไปไหนเหรอ?”

สือจินหว่านครุ่นคิด ชี้ทางบอกเขา

ชายหนุ่มกลับส่ายหน้า “หนูชี้ไปด้านหน้าตรงนั้นเลี้ยวซ้ายหรือว่าเลี้ยวขวา?”

เธอส่ายหน้า จึงทำท่าทางอีก เห็นชายหนุ่มไม่เข้าใจ จึงชี้นิ้วไปที่ลำคอของตัวเอง แล้วโบกมือ

เธอคิดไม่ถึง ชายวัยกลางคนเห็นเธอพูดไม่ได้ ไม่เพียงไม่เดินจากไป แต่กลับเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ยื่นมือออกมาจับแขนเธอ

สือจินหว่านตกใจ จึงต่อต้านตามสัญชาตญาณ

แต่ว่าชายวัยกลางคนกลับพูดเสียงดัง “ลูก ลูกไม่เรียนหนังสือไม่ได้นะ ทำไมลูกถึงหนีออกจากบ้านล่ะ? พ่อและแม่ของลูกแก่แล้วจะทำยังไง?”

สือจินหว่านตอบสนองในทันที คนคนนี้ เกรงว่าจะถือโอกาสที่เธอพูดไม่ได้ตั้งใจรังแกเธอ จะถือโอกาสพาเธอกลับบ้าน!

ตอนอยู่ที่เพอร์เซลล์ เธอก็เรียนศิลปะการป้องกันตัวอยู่บ้าง

ดังนั้นสือจินหว่านบังคับให้ตัวเองใจเย็นลง จากนั้นก็ยื่นแขนออกไป ใช้ทักษะการออกแรง ทุ่มชายวัยกลางคนลงกับพื้นทันที!

ชายวัยกลางคนนึกไม่ถึงว่าเด็กสาวพูดไม่ได้คนหนึ่งจะทำให้เขาล้มลงได้ เขาลุกขึ้นจากพื้นอย่างเร็วแล้วเริ่มร้องไห้ “ทุกคนดูสิ ลูกสาวของผม ผมเลี้ยงตั้งแต่เล็กจนโต แต่เธอกลับตีผม…”

เพราะว่าเสียงของเขาดังมาก รอบด้านก็มีนักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย ทุกคนจึงล้อมวงเข้ามาในทันที

“ลูก ลูกอย่าหนีไปอีกเลยนะ?” ชายวัยกลางคนขอร้อง แต่ว่ากลับถือโอกาสยื่นมือออกมาจับสือจินหว่านไว้อีก “แม่ของลูกไม่สบาย ลูกกลับไปดูแม่หน่อยได้ไหม?”

สือจินหว่านโมโหแล้ว เธอดิ้นรนดึงมือออก จากนั้นก็ใช้วิชาป้องกันตัวปกป้องตัวเอง

คนรอบด้านเห็นแล้ว ก็ชี้มาที่เธอ “เด็กคนนี้ เนรคุณจริง ๆ!”

“ใช่ ถ้าฉันเกิดลูกแบบนี้ สู้กระโดดน้ำตายดีกว่า!”

“เสียดายที่หน้าตาสวยขนาดนี้ แม้แต่พื้นฐานความกตัญญูก็ไม่รู้เรื่อง เห้อ!”

กระทั่งมีคุณป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาเตือนด้วยความหวังดี “หนูน้อย กลับไปกับพ่อเถอะ! พ่อแม่หนูเลี้ยงหนูโตมาไม่ง่ายเลย!”

ขณะที่พูด ทุกคนล้อมเป็นวงโดยอัตโนมัติ ขวางสือจินหว่านไว้ตรงกลาง

เธอมองรอบ ๆ แล้วก็ยังมีรอยยิ้มน่ารังเกียจของชายหนุ่ม จู่ ๆ เธอพบว่าแยกจากคนที่อยู่ข้างกายปกป้องตัวเอง เป็นเพราะตัวเองพูดไม่ได้ ไม่มีแม้แต่โอกาสให้ตัวเองได้อธิบายแน่ชัด!

สือจินหว่านไม่สนใจใด ๆ พุ่งตัวออกไปด้านนอก

แต่ว่าคนโดยรอบกลับจับแขนเธอไว้ “สาวน้อย มีลูกสาวแบบนี้ซะที่ไหน?!”

เธอถูกจับไว้จนขยับไม่ได้ มือก็มัดไว้จนทำท่าทางไม่ได้ ในตอนที่กำลังหมดหวัง มีเสียงชายหนุ่มดังขึ้น “ปล่อยเธอ!”

โอหยางจวิ้นแหวกวงล้อมเข้ามาตรงหน้าสือจินหว่านอย่างเร็ว เห็นดวงตาที่เปียกชื้นของเด็กสาว ไฟในใจระเบิดในทันที “ปล่อยให้หมดเดี๋ยวนี้! ผมแจ้งตำรวจแล้ว!”

ผู้คนถูกกลิ่นอายของเขาทำให้ตกใจ จึงปล่อยสือจินหว่านออก

โอหยางจวิ้นยื่นแขนออกมา รีบกอดเด็กสาวไว้ในอ้อมกอด “หวันหว่านไม่ต้องกลัว ขอโทษนะอามาช้าไปหน่อย”

ในตอนนี้ ชายหนุ่มวัยกลางคนคนนั้นเห็นว่าแผนการถูกเปิดโปง ก็จะหลีกหนีไป

โอหยางจวิ้นแขนข้างหนึ่งโอบกอดสือจินหว่านไว้แล้วเดินเข้าไปจับชายคนนั้นไว้อย่างรวดเร็ว “อย่าหนี! ใครคือลูกสาวของคุณ?!”

ชายวัยกลางคนพยายามดิ้นรน แต่ก็พบว่าหมดหนทาง เขาขวัญหนีดีฝ่อ รีบยิ้มแล้วพูดขึ้น “ขอโทษด้วยครับ ผมจำผิดคนแล้ว!”

ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ งุนงงในทันที

“สาวน้อย เขาไม่ใช่พ่อของหนูทำไมไม่พูดล่ะ?”

“ชู่ พวกคุณไม่เห็นเหรอ เด็กคนนี้ไม่พูดไม่จามาโดยตลอด? ไม่แน่อาจจะพูดไม่ได้ก็ได้!”

“งั้นก็คือคนใบ้เหรอ?”

“น่าเสียดายจัง หน้าตาดีขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นใบ้!”

โอหยางจวิ้นได้ฟังถึงตรงนี้ เขาจับมือของชายวัยกลางคนไว้อย่างแรง แทบจะบิดข้อมือของชายคนนั้นจนหัก!

เขาตะคอกใส่คนโดยรอบ “ไสหัวไป! พวกคุณพูดเป็น? พูดได้ยังเหมือนกับหมูโง่ ใครพูดอะไรก็เชื่อ? ร่วมมือกับคนร้ายรังแกเด็กผู้หญิง?! รีบไสหัวไปให้พ้นหน้า!”

เป็นครั้งแรกที่สือจินหว่านเห็นโอหยางจวิ้นโมโหขนาดนี้ เธอจับเขาไว้ แล้วบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร

เขากลับหยิบโทรศัพมาขึ้น โทรหาตำรวจ

ชายคนนั้นได้ยินโอหยางจวิ้นแจ้งความ เขาตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี “ลูกพี่ ปล่อยผมไปเถอะนะครับผมขอร้อง! ผมแค่วู่วาม ถึงได้รังแกน้องสาวของคุณ! ผมยังมีครอบครัว คุณปล่อยผมไปเถอะครับ…”

“ไม่มีทาง” โอหยางจวิ้นเห็นชายวัยกลางคนขัดขืนกว่าเดิม จึงปล่อยสือจินหว่าน พลิกสองมือกดชายคนนั้นไว้บนพื้น “ถ้าแกอยู่ในถิ่นของฉันแล้วรังแกเธอ ฉันฆ่าแกไปตั้งนานแล้ว! ตอนนี้ส่งแกให้ตำรวจ แกควรจะดีใจ!”

ผ่านไปไม่นาน ตำรวจก็มาถึง โอหยางจวิ้นส่งมอบคนไป หลังจากการตรวจสอบ ชายคนนั้นเป็นคนที่กระทำผิดเป็นประจำ

คิดไม่ถึงว่าออกมาท่องเที่ยว จะเจอเรื่องแบบนี้เข้า ทำลายความสนุก สือจินหว่านเห็นโอหยางจวิ้นอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อย จึงเขย่าแขนของเขา

เขาก้มหน้ามองเธอ สายตาอ่อนโยนขึ้นเยอะ

เธอทำท่าทางใส่เขา “อาจวิ้น อันที่จริงฉันไม่เป็นอะไร อีกอย่างฉันใกล้จะพูดได้แล้ว ที่พวกเขาพูด หนูไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย!”

เขาเห็นเธอที่ได้รับความเจ็บปวดขนาดนั้น แต่กลับปลอบใจเขา เขาใจสั่นเล็กน้อย แล้วโอบบ่าสือจินหว่านเอาไว้ “ไม่เป็นไร อาแค่รับไม่ได้ที่มีคนรังแกเธอ”

เธอรู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่อบอุ่นที่วางอยู่บนบ่าของเธอ ราวกับห่อหุ้มเธอเอาไว่าทั้งตัว ในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้

“อาจวิ้น งั้นพวกเราไปเดินเที่ยวกันต่อเถอะ!” สือจิ่นหว่านทำท่าทาง

ทั้งสองลบเรื่องนั้นออกไปจากความทรงจำ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานต่อ

สือจินหว่านก้มหน้า ก็เห็นโอหยางจวิ้นจับมือของเธออยู่ เหมือนกับว่าหลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาก็จับมือเธอไว้แน่นแบบนี้อยู่ตลอดเวลา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อน หรือว่าเพราะอะไร ฝ่ามือของเธอค่อย. ๆ เต็มไปด้วยเหงื่อ

ถึงสวนดอกไม้ด้านหลัง ดอกไม้บานเต็มที่ โอหยางจวิ้นถ่ายรูปให้สือจินหว่าน เธอมองกล้องถ่ายรูป จู่ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงลากเขามายืนอยู่ที่ในพุ่มไม้ จากนั้นก็ถ่ายเซลฟี่

ในหน้าจอ พวกเขาอยู่ในเฟรมเดียวกัน จู่ ๆ สือจินหว่านก็รู้สึกใจสั่น

เธอพยายามให้ตัวเองยิ้มอย่างธรรมชาติ แต่ว่าในตอนที่เธอกดชัตเตอร์ มองไปทางภาพถ่าย ถึงได้พบว่าอันที่จริงไม่ต้องพยายาม เธอถ่ายรูปคู่กับเขาก็ยิ้มอย่างสดใสที่สุด

เพราะว่าในดวงตาคือแสงสว่าง

ตามแผนการแล้วทั้งสองเดินเที่ยวพระราชวังเสร็จ ก็ควรจะกลับบ้าน

แต่ว่าสือจินหว่านนึกได้ว่าโอหยางจวิ้นกว่าจะได้มาสักครั้ง ครั้งนี้กลับ เธอต้องรออีกสองเดือนกว่าจะได้เจอเขา เธอจึงเอ่ยขึ้นว่าไปเดินถนนคนเดิน กินอะไรนิดหน่อย แล้วไปดูหนัง

เธอชอบกินของหวาน ถึงแม้โอหยางจวิ้นไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังสั่งมาชุดหนึ่งกินเป็นเพื่อนสือจินหว่าน

ทั้งสองจองตั๋วหนังสองใบ เห็นว่าหนังใกล้เริ่มแล้ว จึงไปที่โรงหนังด้วยกัน

“อาจวิ้น ลืมซื้อป๊อปคอร์นแล้ว!” สือจินหว่านเดินเข้าไปในโรงแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้

โอหยางจวิ้นยิ้ม “เธอนั่งก่อน ฉันออกไปซื้อให้เธอ”

เธอพยักหน้า ดูโฆษณาข้างหน้าไปด้วย รอเขาไปด้วย

ในตอนนี้เอง ด้านหลังมีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นสองคน ทั้งสองคุยอะไรคุยกันอย่างตื่นเต้น คำพูดจึงลอยเข้าหูของสือจินหว่าน

ได้ยินแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูด “แย่แล้ว ฉันต้องชอบหัวหน้าห้องของพวกเราแน่ ๆ”

เด็กผู้หญิงอีกคนพูด “หา? ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเธอชอบรุ่นพี่ฉาวไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันเข้าใจผิด” เด็กผู้หญิงพูด “ฉันค่อนข้างชอบรุ่นพี่ฉาว แต่ว่าไม่ใช่แบบที่ชอบหัวหน้าห้องแบบนั้น”

“ยังมีอะไรที่ไม่เหมือนกันอีก?”

“ก็คือ…” เด็กผู้หญิงครุ่นคิด “ฉันเห็นรุ่นพี่ฉาวก็ดีใจอยู่ แต่ว่าไม่ได้ใจสั่นแบบนั้น ฉันเห็นหัวหน้าห้อง เขาเข้าใกล้ฉัน ฉันก็จะตื่นเต้น ใจเต้นแรงขึ้น ไม่เจอเขา ฉันก็คิดถึง เห็นเขาอธิบายหัวข้อให้กับผู้หญิงคนอื่น ฉันก็เสียใจ…เฮ้อ ฉันชอบเขาเข้าแล้วจริง ๆ แม้แต่เมื่อคืนก็ฝันว่าเขาจับมือฉัน!”

“แบบนี้เหรอ งั้นเธอก็ชอบเขาแล้วจริง ๆ “เด็กผู้หญิงอีกคนพูด “มีแค่ความชอบเท่านั้นถึงได้รู้สึกแบบนี้ งั้นเธอก็บอกรักหัวหน้าห้องเถอะ ลองดู ไม่แน่เขาก็อาจจะชอบเธอ…”

ได้ยินถึงตรงนี้ สือจินหว่านเงยหน้า ก็เห็นในมือของโอหยางจวิ้นถือถังป๊อบคอร์น แล้วก็ยังมีไอศกรีมฮาเก้นดาสสองถ้วยเดินเข้ามา

มีแสงสาดส่องบนตัวของเขา ใบหน้าของเขาบางครั้งก็สว่างบางครั้งก็มืด เขาเหมือนกับเดินอยู่ระหว่างความสว่างและความมืด จากความฝันมาถึงความจริง สุดท้ายเดินมาอยู่ตรงหน้าเธอทีละก้าว

“หวันหว่าน ครั้งนี้อยากกินสตรอว์เบอร์รีหรือวานิลลา?” เขาก้มหน้าถามเธอ

ไม่รู้ว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ประโยคธรรมดา ๆ สือจินหว่านกลับรู้สึกใจเต้นแรง

“สตรอว์เบอร์รี” เธอทำท่าทาง แต่กลับหยิบวานิลลา จากนั้นก็แกะกล่องออก ใช้ช้อนตักอย่างรวดเร็ว

อุณหภูมิที่หนาวเย็นค่อยละลายไปในปาก ในที่สุดความร้อนผ่าวบนไปหน้าก็หายไปเยอะ

โอหยางจวิ้นเห็นท่าทางรีบร้อนของเธอ จึงอดหัวเราะไม่ได้ “ระวังหน่อย อย่ากินเร็วเกิน”

ขณะที่พูด ก็ยื่นมือออกมาเช็ดคราบวิปครีมข้างริมฝีปากให้เธออย่างเป็นธรรมชาติ

ในตอนที่ปลายนิ้วมือของโอหยางจวิ้นแตะลง สือจินหว่านหดตัวนิดหน่อย เหมือนกับถูกความร้อนลวกยังไงอย่างงั้น

เขาอึ้ง “ไม่มีไฟฟ้าสถิตนะ?”

เธอส่ายหน้า แต่ในหูกลับสะท้อนคำพูดของเด็กผู้หญิงคนนั้น รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง

ดังนั้นโอหยางจวิ้นนั่งรถข้างเธอ เหมือนกับที่เคยผ่านมา กินไอศกรีมด้วยกัน แล้วค่อยกินป็อบคอร์น

แต่ว่าสือจินหว่านกลับรู้สึกสับสนในใจ เหมือนก้อนไหมพรมที่ถูกแมวเล่นจนมั่ว จะแกะยังไงก็แกะไม่ออก

ดังนั้นทั้ง ๆ ที่เป็นหนังตลก เธอกลับดูอย่างมึนงง ในตอนที่ควรหัวเราะก็ไม่หัวเราะ ตอนที่ไม่ควรหัวเราะ เธอกลับหัวเราะ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ป๊อปคอร์นในถังเกือบจะหมดแล้ว

สือจินหง่านเห็นป๊อบคอร์นเม็ดสุดท้าย ก็เหมือนอยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง เธอหยิบมันขึ้นมา ป้อนไปที่ข้างปากของโอหยางจวิ้น

เขากินป๊อบคอร์นจากมือของเธออย่างเป็นธรรมชาติ แต่ว่า เพราะเธอดึงมือกลับช้าไปหน่อย ดังนั้นริมฝีปากของเขาสัมผัสปลายนิ้วมือของเธอเบา ๆ

หน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นในทันที สือจินหว่านรีบชักมือกลับ จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปที่หน้าจออีกครั้ง

ทำไมเธอถึงได้ตื่นเต้น? เรื่องพวกนี้ที่ผ่านมาปกติมาก ช่วงนี้กลับทำให้เธอตื่นเต้นบ่อย ๆ

เธอรู้สึกกลัวความรู้สึกแบบนี้นิดหน่อย ราวกับเด็กที่ทำอะไรผิด รู้สึกตื่นตระหนกหวาดกลัว

โอหยางจวิ้นที่อยู่ด้านข้างกลับไม่รู้อะไรสักนิด เขายื่นหน้าเข้ามา พูดข้างหูเธอ “หวันหว่าน นี่ถือว่าตลกแบบเยือกเย็น?”

เธอได้ยินคำพูดของเขา แต่เธอกลับสนใจระยะห่างระหว่างพวกเขามากกว่า

เธอพบว่าหัวใจของเธอสับสนมากกว่าเดิม อยากจะหนีไป แต่กลับขยับไม่ได้

จนกระทั่งหนังจบ ผู้คนหัวเราะคุยกันถึงหนัง สือจินหว่านกลับเหมือนคนไร้วิญญาณ เกือบจะมองไม่เห็นบันได

โอหยางจวิ้นยื่นมือออกมาจับมือเธอ ถึงได้ไม่ล้มลง

จุดสนใจของเธอทั้งหมดมองไปที่มือของพวกเขาที่จับหันไว้อยู่ รู้สึกว่าความวุ่นวายทั้งหมดมีที่พึ่ง ในตอนนี้สิ่งที่อยากได้ก็มีเพียงแค่นี้”

ทั้งสองคนเดินเที่ยวกันอีกสักครู่ ถึงได้กลับบ้าน

เครื่องบินของโอหยางจวิ้นคือเที่ยงวันต่อมา วันนั้นสือจินหว่านนั่งรถของสือมูเฉินไปส่งเขาที่สนามบิน

ในตอนที่โอหยางจวิ้นโบกมือบอกลาเธอ แล้วเดินไปถึงด่านตรวจ เธอพบว่าตัวเองแทบอยากจะพุ่งตัวเข้าไปหาเขา

แต่ว่าเธอรู้ว่าถ้าหากตัวเองไป บางทีหลาย ๆ อย่างอาจจะไม่เหมือนเดิม

ดังนั้นเธอยืนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นที่เดิม ใช้สายตาส่งเขา ก็เหมือนกับตอนปกติ

แผ่นหลังของเขาหายไปจากสายตา เสียงของสือมูเฉินดังเข้าหู “หวันหว่าน พวกเราควรกลับบ้านไปเก็บของแล้ว เตรียมตัวไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว!”

สือจินหว่านดึงสติกลับมา เธอพยักหน้าคล้องแขนสือมูเฉิน

เธอเงยหน้ามองเขา แล้วทำท่าทาง “พ่อคะ”

สือมูเฉินก้มหน้า แล้วพูดอย่างเอ็นดู “หือ? ทำไมเหรอหวันหว่าน?”

เธอพูดไม่ออกว่าในใจรู้สึกยังไง จึงยื่นแขนออกไปกอดสือมูเฉิน แนบหน้าลงกับหน้าอกของเขา เหมือนกับแมวที่คลอเคลียไปมา

สือมูเฉินยื่นมือออกมาลูบผมของสือจินหว่าน แล้วพูดอย่างรักใคร่ “โตขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงอ้อนเหมือนกับเด็กน้อยอีก?”

เธอไม่ได้ตอบ ผ่านไปพักใหญ่ เธอเงยหน้าจากอกของสือมูเฉิน มองเขา แล้วทำท่าทางอย่างจริงจัง “พ่อคะ หนูอยากผ่าตัดเส้นเสียง”

สือมูเฉินตะลึง “หวันหว่าน หมอบอกว่า อายุสิบสามผ่าตัดจะดีที่สุด”

“พ่อคะ หนูอยากจะผ่าตัดตอนนี้” สือจินหว่านเขย่าแขนของมูเฉิน แล้วทำท่าทาง “พรุ่งนี้พ่อพาหนูไปตรวจหน่อยได้ไหมคะ ถ้าหากหมอบอกว่าต้องหลังสิบสามปีขึ้นไป งั้นหนูก็ค่อยรออีกสักสองปี ถ้าหากหมอบอกว่าตอนนี้สามารถผ่านัดได้ งั้นหลังกลับจากเที่ยวพวกเราก็ผ่าตัดกัน?”

สือมูเฉินมองแสงสว่างในดวงตาของลูกสาว ความเจ็บปวดทิ่มแทงหัวฝจของเขาเป็นพัก ๆ

เธอคือเลือดเนื้อของเขา เห็นเธอไม่สามารถหัวเราะสนุกสนานเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน ไม่สามารถเรียกพ่อแม่ได้จากปาก อันที่จริงเค

ขาเสียใจยิ่งกว่าใคร

เขาจึงพยักหน้า “ตกลง งั้นวันนี้พ่อจะติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ รอให้พวกเขาจัดแจงเวลาเสร็จ พ่อจะพาหนูไปตรวจดู แต่ว่าพวกเราต้องฟังคุณหมอ ห้ามปล่อยไปตามความอันตราย!”

สือจินหว่านดวงตาเป็นประกาย “ค่ะ! ขอบคุณค่ะคุณพ่อ หนูรักพ่อที่สุดเลยค่ะ!”

บ่ายวันนั้น สือมูเฉินพาสือจินหว่านไปโรงพยาบาล

ไปโรงพยาบาลครั้งที่แล้ว สาวน้อยคนนี้ยังเด็กอยู่ เดิมทีก็ไม่เข้าใจอะไรเลย ถึงแม้ว่าจะกลัวหมอเล็กน้อย แต่เวลานี้ไม่มีอารมณ์มาวิตกกังวลต่อผลได้ผลเสียอะไรทั้งนั้น

ตอนนี้สือจินหว่านเดินเข้าไปที่ห้องตรวจ เมื่อล้มตัวลงนอนตามความประสงค์ของหมอแล้ว มือก็อดไม่ได้ที่จะจับราวจับทั้งสองข้างไว้แน่น

เธอไม่อยากพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิต ที่ผ่านมา ครอบครัวของเธอปกป้องดูแลเธอดีเหลือเกิน และดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยเจออุปสรรคใดๆเลย

แต่วันนั้นที่ไปสวนสาธารณะด้วยกันกับโอหยางจวิ้น เขาเพียงแค่ไปเข้าห้องน้ำ คาดไม่ถึงว่าเธอจะเกิดปัญหาขึ้น……

เธอไม่อยากให้ตนเองเป็นภาระของคนอื่นตลอดไป ไม่อยากทำให้ญาติพี่น้องต้องเดือดร้อน เธออยากพูดได้เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป หัวเราะได้ ร้องเพลงได้ และใช้น้ำเสียงแสดงความคิดเห็นออกมาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ……

เพียงแค่ 10 กว่านาที สือจินหว่านก็รู้สึกว่าตนเองเหงื่อออกชุ่มไปทั้งตัว

หมอนำเครื่องมือออกมา แล้วพูดกับเธอว่า : “ตรวจเสร็จแล้วค่ะ”

ขณะนี้ คาดไม่ถึงว่าเธอจะกลัวจนฟังอะไรไม่ออก

ไม่นานหมอก็ให้สือมูเฉินเข้ามา จากนั้นก็พูดกับทั้งสองคนว่า : “คุณสือคะ เส้นเสียงของคุณหนูสือเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แล้ว สามารถทำการผ่าตัดได้ และหลังจากอายุ 13 ปีไปแล้ว ก็จะมีผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน”

หัวใจของสือมูเฉินเป็นกังวลขึ้นมาอย่างฉับพลัน : “ก็คือว่า ตอนนี้สามารถผ่าตัดได้แล้วใช่ไหมครับ? แล้วอัตราการประสบความสำเร็จล่ะ?”

“ค่ะ การผ่าตัดตอนนี้กับอีกสองปีข้างหน้า มีอัตราการประสบความสำเร็จเท่ากัน” หมอกล่าวว่า : “การผ่าตัดในตอนที่เด็กเจริญเติบโตมากขึ้นนี้ จึงมีอัตราการประสบความสำเร็จมากถึง 90%ขึ้นไป”

สือจินหว่านกลั้นหายใจไว้ตลอด เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าเธออยากจะยิ้ม แต่น้ำตาก็อดไม่ได้ที่จะไหลออกมา

เธอโผเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของสือมูเฉิน เขาตบหลังเธอเบาๆ : “หวันหว่าน อย่างนั้นเราก็จัดการเรื่องการผ่าตัดให้เร็วที่สุดเลยดีไหม!”

เธอพยักหน้าอย่างตื่นเต้น มือทั้งสองข้างกอดเอวสือมูเฉินไว้แน่น

“หวันหว่าน ไม่ต้องกลัวนะ การผ่าตัดของคุณจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!” สือมูเฉินพูดจบ ก็อุ้มลูกสาวให้ยืนตรงขึ้นมา

และพบว่าเธอสูงขึ้นมากแล้ว เขาอดที่จะหัวเราะไม่ได้ : “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว คุณดูสิ หมอจะหัวเราะคุณแล้วนะ!”

สือจินหว่านรีบนำศีรษะไปวางบนไหล่ของสือมูเฉิน กอดคอของเขาไว้ แล้วนำตนเองไปหลบซ่อนไม่ให้ใครเห็น

หมอยิ้มแล้วพูดว่า : “คุณหนูสือคะ คุณอย่ากังวลเลยค่ะ ฉันจะดำเนินการผ่าตัดให้เอง อาทิตย์หน้าอาจารย์ของฉันจะกลับมา ถึงเวลานั้นเขาจะทำการผ่าตัดด้วยตนเอง การผ่าตัดของคุณหนูสือจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนค่ะ!”

สือมูเฉินพยักหน้า : “อย่างนั้นก็ฝากด้วยนะครับ ฉันจะได้พาลูกสาวของฉันกลับบ้านเลย แล้วช่วงนี้มีอะไรที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษไหมครับ?”

หมอกล่าวว่า : “ควรทานอาหารรสชาติอ่อนๆ อย่าทานอาหารเผ็ดๆรสชาติจัดจ้าน แล้วก็อย่าให้เป็นหวัดค่ะ”

“โอเคครับ” สือมูเฉินอุ้มสือจินหว่านออกไป

เมื่อเดินไปถึงหน้าลิฟต์ สือจินหว่านก็ได้สติกลับมา ตนเองโตขนาดนี้แล้วยังถูกสือมูเฉินอุ้มอยู่เลย คนรอบๆข้างจะต้องหัวเราะเยาะเธออย่างแน่นอน!

เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของสือมูเฉิน แล้วแอบมองไปรอบๆ เป็นไปอย่างที่คิดไว้ ทุกๆคนกำลังมองเธออยู่

เธอเขย่าไหล่ของสือมูเฉิน แสดงเจตนาว่าให้วางเธอลง

แต่เขากลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วอุ้มเธอเข้าไปในลิฟต์แบบนั้น

ด้วยเหตุนี้สือจินหว่านจึงจนปัญญา ได้แต่มุดหน้าลงเหมือนนกกระจอกเทศต่อไป

จนกระทั่งมาถึงโรงจอดรถชั้นใต้ดิน สือมูเฉินจึงวางลูกสาวลง

เธอหน้าแดงไปหมด แล้วแสดงท่าทางอย่างหงุดหงิดใจว่า : “พวกเขาต้องหัวเราะฉันแน่ๆเลย!”

สือมูเฉินหยุดเดิน แล้วจับไหล่ของสือจินหว่าน : “หวันหว่าน อันที่จริงเราไม่ต้องสนใจสายตาของคนอื่นมากเกินไปก็ได้นะ คุณเป็นลูกสาวของฉัน ฉันจะรักใคร่เอ็นดูอย่างไร เมื่อคนอื่นเห็น ก็สายเกินไปแล้วที่จะอิจฉา! คุณดูสิ คุณอายุ 11 ปีแล้ว ผ่านไป 11 ปี คุณไม่สามารถพูดได้ แน่นอนว่าจะต้องมีคนโดยรอบรอคอยนินทาอยู่ไม่น้อย ถ้าคอยฟังแต่คำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นอยู่ตลอด ตนเองจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ?”

ในฉับพลันเธอก็ตระหนักได้ว่า ที่ผ่านมาเธอเชื่อมั่นในตนเองมาตลอด แต่ตอนนี้กลับสนใจคำวิจารณ์ของคนอื่นมากขึ้น

สือมูเฉินพูดต่ออีกว่า : “หวันหว่าน อันที่จริงสำหรับคนแปลกหน้าเหล่านั้นพูดได้ว่า คุณเพียงแค่เดินผ่านไปก็จะถูกลืมไปในชั่วพริบตาแล้ว แต่สำหรับตัวคุณเอง คุณคือทั้งหมดทุกอย่างของตัวคุณเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลกับสายตาและการประเมินค่าของคนอื่น ความสุขของตนเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”

สือจินหว่านพยักหน้า แล้วแสดงท่าทางว่า : “พ่อ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ว่าการผ่าตัดจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ฉันก็จะไม่เป็นกังวล ฉันจะพยายามทำตัวเองให้ดียิ่งขึ้น”

สือมูเฉินลูบหัวของลูกสาว : “ตนเองชอบทำอะไร ขอเพียงแต่ไม่ไปทำลายผลประโยชน์ของคนอื่น จงไปทำอย่างกล้าหาญ และรับผิดชอบต่อหัวใจของตัวเอง ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่ดี พ่อกับแม่จะช่วยสนับสนุนคุณทุกอย่าง”

เธอพยักหน้า และโผเข้าไปในอ้อมกอดของสือมูเฉิน และออดอ้อนไปมา

ในคืนนั้น สือมูเฉินได้รับโทรศัพท์ ว่าการผ่าตัดของสือจินหว่านมีกำหนดการอีกสองสัปดาห์ เขาจึงนำข่าวนี้ไปบอกกับหลานเสี่ยวถาง หลานเสี่ยวถางก็อดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเล็กน้อย

เพียงแต่อารมณ์ที่ตึงเครียดของทุกคน ก็ผ่อนคลายลงเพราะการรวมตัวกันไปเที่ยวอีกครั้ง

หาได้ยากที่สือมูเฉิน ฟู่สีเกอ หยานชิงเจ๋อช่วงนี้ตลอดหนึ่งสัปดาห์จะมีเวลาว่าง ฉะนั้นการวางแผนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวกันทั้งสามครอบครัวจึงได้ถูกนำมาใช้ในที่สุด

ทุกๆคนเดินทางไปยังประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้

หลังจากที่บินมาเป็นเวลานาน ในที่สุดทุกๆคนก็มาถึงประเทศที่มีความอบอุ่นตลอดทั้งปีแห่งนี้

เมื่อออกมาจากสนามบิน ทุกคนมาถึงท่าเรือ นั่งเรือที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ และเดินทางมาถึงเกาะเล็กๆลูกหนึ่งที่ได้จองเอาไว้ล่วงหน้า

โรงแรมบนเกาะคือโครงการที่Times Groupเพิ่งเริ่มพัฒนาเมื่อสองปีที่แล้ว ขณะนี้เจ้านายได้พาคนเข้ามา เป็นธรรมดาที่วิลล่าสามหลังและบริเวณใกล้เคียงจะถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี

เดิมทีตามลำดับคือสือมูเฉิน ฟู่สีเกอ หยานชิงเจ๋อ สุดท้าย หยานโม่หานโวยวายอยากจะอยู่ใกล้สือจินหว่าน ดังนั้น เขาจึงต้องเปลี่ยนวิลล่าหลังของเขากับฟู่สีเกอ

ทุกคนจัดการกระเป๋าเดินทางเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่ก็อยากจะให้บรรดาเด็กๆที่นั่งเครื่องบินมาเหนื่อยได้พักผ่อนสักเล็กน้อย แต่เด็กๆเหนื่อยซะที่ไหนกัน ทั้งหมดต่างตื่นเต้นดีใจจนตาเป็นประกาย อดใจไม่ไหวที่จะกระโดดลงทะเลทันที

สือจินหว่านเคยเรียนว่ายน้ำ แต่หลานเสี่ยวถางไม่วางใจ ยังให้เธอสวมเสื้อชูชีพให้ดี ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การนำของเธอ กลุ่มเด็กๆจึงมาถึงริมทะเลด้วยกัน แล้วพายเรือเล่นก่อน

เรือยางจอดอยู่บนชายหาด เด็กๆทั้งหลายพยายามลากมันไปยังริมน้ำ เรือหนึ่งลำบรรทุกได้สองคน

ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงแบ่งเป็นกลุ่มละสองคน: สือจินหว่านกับหยานโม่หาน ฟู่อวี้เฉินกับฟู่หยู่ปิง

และสุดท้าย สือจิ่งเหยียนเห็นหยานมู่จิ่นน้องสาวที่ค่อนข้างเด็กกว่าตนเองมาก ก็แทบจะหมดหนทาง ดูเหมือนว่า พวกเขาได้ถูกลิขิตให้แพ้แล้วใช่ไหม?

เพียงแต่ อันที่จริงเด็กๆประเมินตัวเองสูงเกินไป เพราะเพียงแค่ขึ้นเรือก็ต้องเจออุปสรรคนานัปการแล้ว

ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดสือจินหว่านก็ขึ้นนั่งบนเรือได้ จึงเริ่มออกสตาร์ตก่อน และหยานมู่จิ่น เธอถูกสือจิ่งเหยียนประคองขึ้นไปก่อน แต่เมื่อสือจิ่งเหยียนปีนขึ้นไปจากด้านข้าง เธอก็ตกใจจนร้องไห้โฮ

ทางด้านฟู่อวี้เฉินเห็นเช่นนั้นแล้วก็หัวเราะยกใหญ่ แล้วพูดว่าไม่กลัวคู่ต่อสู้ที่เป็นเทพเจ้าหรอก แต่กลัวเพื่อนร่วมทีมที่เป็นหมูต่างหาก

คาดไม่ถึงว่าเมื่อหยานมู่จิ่นได้ยินว่าตนเองถูกว่าเป็นหมู ก็ไม่ยินยอมในทันที เธอมองสือจิ่งเหยียนด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า: “พี่เหยียน ไอ้บ้าฟู่อวี้เฉินรังแกฉัน!”

สือจิ่งเหยียนกลัวการร้องไห้นี้ของหยานมู่จิ่นเป็นที่สุด เขาจนปัญญาที่จะกล่าวปลอบโยน: “งั้นคุณก็ต้องกล้าหาญสักหน่อย ปีนขึ้นไปอีกด้านหนึ่งของเรือแล้วคว้าขอบเอาไว้ หลังจากที่ฉันขึ้นไปแล้ว พวกเราแซงหน้าพวกเขาได้ คุณก็สามารถหัวเราะเยาะว่าเขาเป็นหมูได้แล้ว”

เพียงหยานมู่จิ่นได้ฟัง ดวงตาก็เป็นประกาย อดทนต่อความกลัว แล้วปีนขึ้นไปอีกด้านหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อยว่า: “พี่เหยียน รีบขึ้นมาเร็วเข้า ฉันจะนั่งไม่อยู่แล้ว!”

สือจิ่งเหยียนรีบปีนขึ้นเรือ จากนั้นก็มายังตรงกลางอย่างรวดเร็ว แล้วดึงหยานมู่จิ่นที่อยู่บนขอบด้วยความตกใจเข้ามา: “เอาล่ะ พวกเราเริ่มกันได้แล้ว!”

เวลานี้ ฟู่อวี้เฉินก็ได้เริ่มสตาร์ตแล้ว เรือทั้งสามลำ นอกจากสือจินหว่านที่ค่อนข้างจะนำหน้าไปแล้ว ทั้งสองลำของสือจิ่งเหยียนและฟู่อวี้เฉิน ก็แทบจะเสมอกัน

บนฝั่ง บรรดาผู้ใหญ่เห็นฉากนี้แล้ว ในทันใดก็ทอดถอนใจเล็กน้อย

สือมูเฉินกล่าวกับหลานเสี่ยวถางว่า: “จำได้ว่าครั้งที่แล้วที่พวกเรารวมตัวกัน เป็นตอนที่อยู่มาเลเซียใช่ไหม?”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า: “ใช่ค่ะ ตอนนั้น ในบรรดาพวกเรา ก็มีสือจิ่นที่ไม่ได้มา

นึกถึงในตอนนั้นแล้ว ฟู่สีเกอก็เข้ามาใกล้ข้างหูของเฉียวโยวโยว: “นั่นเป็นครั้งแรกของพวกเราจริงๆ”

เฉียวโยวโยวรู้สึกว่าแก้มร้อนผ่าว ครั้งนั้น ถือว่าเมาเละเทะจริงๆ

เธอทำท่าจุ๊ปาก: “ห้ามบอกพวกเขานะ!”

หลานเสี่ยวถางเห็นคนทั้งสองกระซิบกระซาบ จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วกล่าวว่า: “โยวโยว ครั้งนั้นฉันคาดไม่ถึงจริงๆว่า คุณกับฟู่สีเกอจะเดินทางมาถึงจุดนี้ด้วยกัน…..เพียงแต่ตอนนี้เห็นแล้ว ก็รู้สึกมหัศจรรย์จริงๆ พวกเด็กๆโตขนาดนี้แล้ว…..”

เฉียวโยวโยวยังไม่ได้พูดอะไร แต่ซูสือจิ่นก็มีปฏิกิริยาเข้ามาก่อน เขย่าแขนของหยานชิงเจ๋อแล้วกล่าวว่า: “ชิงเจ๋อ ฉันแก่แล้วใช่ไหม?”

หยานชิงเจ๋อชำเลืองตามองเธอ: “แล้วคุณคิดว่าฉันแก่ไหม?”

ซูสือจิ่นเงยหน้าขึ้น มองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ

หลังผ่านการตกตะกอนของวันเวลาแล้ว หน้าตาที่งดงามแต่เดิมของเขา ได้เปลี่ยนจากความงดงามเป็นผู้ใหญ่ที่สุกงอม การตกตะกอนแบบนั้น ไม่เพียงทำให้คนไม่รู้สึกว่าแก่ แต่กลับยิ่งมีรสชาติ

เธอส่ายหน้า: “ไม่เลยค่ะ ยังหล่ออยู่เลย!”

หยานชิงเจ๋อหยิกใบหน้าของเธอเล็กน้อย: “คุณอายุน้อยกว่าฉันตั้งหลายปี ฉันยังไม่แก่เลย แล้วคุณจะแก่ได้ยังไง?”

เวลานี้ สือมูเฉินได้รินเหล้า แล้วกล่าวกับทุกคนว่า: “มา ฉลองให้อนาคตด้วยกันสักแก้วเถอะ!”

ทุกคนเงยหน้าขึ้น นำเหล้าดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

จะว่าไปแล้ว หลานเสี่ยวถางและเฉียวโยวโยวก็รู้จักทุกคนมาได้สิบกว่าปีแล้ว และสือมูเฉินกับพวกเขาสองสามคน ก็รู้จักกันมายาวนานมาก

ว่ากันว่าคนที่พอจะรู้ใจสนิทสนมกัน ยากที่เพื่อนทุกคนจะเดินทางผ่านลมฝนมาด้วยกันตั้งหลายปีขนาดนี้ ยามว่างยังสามารถพาครอบครัวออกไปสังสรรค์ด้วยกัน ช่างเป็นการมอบของขวัญแห่งกาลเวลาที่ซาบซึ้งใจ

จากที่ไกลๆ บรรดาเด็กๆพายเรือกันอย่างครึกครื้นรื่นเริง เพราะต่างก็ไม่กล้าออกไปไกล ดังนั้น จึงไม่สามารถแยกการจัดอันดับได้อีก แต่เปลี่ยนเป็นการแข่งขันเรือบั๊มพ์แทน

หยานมู่จิ่นกลัวตกน้ำ จึงร้องไห้โฮด้วยความตกใจ สือจิ่งเหยียนปลอบโยนเธอ บอกว่าจะพาเธอกลับไป แต่สาวน้อยยิ่งกลัวก็ยิ่งอยากเล่น โน้มน้าวยังไงก็ไม่ยอมไป

ทางด้านนั้น ฟู่หยู่ปิงนอนหงายหน้าอยู่ที่หัวเรือ ดูเย็นชาอย่างมาก ก็ไม่รู้ว่าได้รับยีนแฝงมาจากฟู่สีเกอหรือว่าเฉียวโยวโยว

แต่ฟู่อวี้เฉิน ชัดเจนว่าเป็นพิมพ์เดียวกันกับฟู่สีเกอ ในบรรดาทั้งหมดเขามีชีวิตชีวาอย่างมาก และเก่งที่สุดในเกม

ในการแข่งขันทั้งหมดแทบจะเป็นเขาที่เลือกขึ้นมาทั้งนั้น และบนตัวของทุกคน ล้วนเต็มไปด้วยน้ำที่เขาสาดใส่

แน่นอนว่า การกระทำแบบนี้ดึงดูดความแค้นเคืองร่วมของมวลชน ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงร่วมกันจัดการเขา ในทันใดที่เรือพลิกคว่ำ ฟู่หยู่ปิงก็ถูกเขาพัวพันจนตกทะเลไปด้วย

เพียงแต่ทุกคนสวมเสื้อชูชีพ ตกลงไปในน้ำก็ไม่กลัว ฟู่อวี้เฉินกลับรู้สึกว่า แบบนี้ยิ่งสนุก ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงเล่นกันอย่างสนุกสนาน

วันนี้ เป็นวันสุดท้ายก่อนที่สือจินหว่านจะปิดเทอมฤดูร้อน

เธอสอบเสร็จออกมา โอหยางจวิ้นก็รอเธออยู่หน้าประตูโรงเรียนแล้ว

สายตาของเธอมองไปที่ขาของเขา : “อาจวิ้น คุณเพิ่งจะดีขึ้น ทำไมถึงออกมาแล้วล่ะคะ? ฉันโตแล้ว กลับบ้านด้วยตนเองได้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันหายแล้ว” เขาพูดจบ ก็กำลังจะเข้าไปจับมือเธอเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่เด็กๆแล้ว

เขาชักมือกลับมา หยิบตั๋วหนังสองใบออกจากกระเป๋า แล้วกล่าวกับเธอว่า : “หวันหว่าน วันนี้เลิกเรียนเร็ว เราไปดูหนังกันก่อนแล้วค่อยกลับบ้านนะ”

ดวงตาของสือจินหว่านเป็นประกาย : “ว้าว เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณนะคะอาจวิ้น!”

เขาเห็นเธอตาเป็นประกาย ก็ยิ้มแล้วพูดว่า : “ชอบดูหนังขนาดนี้เลยเหรอ?”

เธอพยักหน้า แล้วพูดกับเขาว่า : “พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปแล้ว ขอบคุณนะคะอาจวิ้นที่มอบของขวัญอำลานี้ให้แก่ฉัน!”

เขาหัวเราะเบาๆ : “ต่อไปถ้าชอบ ฉันมีเวลาก็จะไปเป็นเพื่อนคุณนะ!”

ได้ยินเขาพูดประโยคนี้ จู่ๆเธอก็นึกถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจ เขาไม่ไปกับคุณน้ามู่เหรอ?

เพียงแต่สือจินหว่านไม่ได้ถามออกไป ทั้งสองคนขึ้นรถไปด้วยกัน ไม่นานก็มาถึงโรงหนังแล้ว

เพราะว่ายังเช้าอยู่ ทั้งสองคนจึงไปซื้อป๊อปคอร์นกับไอศกรีมที่หน้าประตูทางเข้า นั่งรอสักพัก จึงเดินเข้าไปที่โรงหนัง

ถึงอย่างไรสือจินหว่านก็เป็นเด็กผู้หญิง จึงชอบกินขนมเป็นพิเศษ กินไอศกรีมเสร็จแล้ว ก็เริ่มกินป๊อปคอร์นต่อเลย

กำลังกินอย่างเพลิดเพลิน เห็นโอหยางจวิ้นนั่งยืดตัวตรงจัดระเบียบเสื้อผ้าอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อสาวน้อยหันมาเห็น จึงหยิบป๊อปคอร์นขึ้นมาป้อนใส่ปากโอหยางจวิ้นไป

เขาตกตะลึง หันไปมองเธอ

แสงในโรงหนังค่อนข้างสลัว แต่แววตาของเธอกลับสดใสสว่างไสวเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าโอหยางจวิ้นจะไม่ชอบทานของประเภทนี้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจของสือจินหว่านได้ จึงอ้าปากแต่โดยดี

เธอนำป๊อปคอร์นป้อนใส่ปากเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา

รสชาติหอมหวานของป๊อปคอร์นกระจายไปทั่วทั้งปาก ทำให้โอหยางจวิ้นนึกถึงความรู้สึกที่สือจินหว่านมีให้เขาในตอนเด็กๆ

แต่เจ้าเด็กน้อยในตอนนั้น คาดไม่ถึงว่าจะเติบโตขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาทอดถอนใจเล็กน้อยกับความมหัศจรรย์ของเวลา

และเวลานี้ ในปากก็มีป๊อปคอร์นที่สือจินหว่านป้อนเข้ามาให้เรื่อยๆ

โอหยางจวิ้นอดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วอ้าปากต่อไป

เธอเห็นว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธที่จะกินขนมอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้จึงกอดถังป๊อปคอร์นแล้วเขยิบไปนั่งใกล้ๆโอหยางจวิ้นมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ทานด้วยกันกับเธออย่างสะดวกๆ

โฆษณาก่อนหนังจะเริ่มได้จบลงแล้ว กำลังจะเริ่มฉายหนังอย่างเป็นทางการ

นี่เป็นหนังรักสงคราม พูดถึงทหารนักรบ ก่อนออกเดินทาง ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่บ้านเกิดคนหนึ่ง และพอดีว่าหญิงสาวคนนั้นก็ตกหลุมรักเขาเช่นกัน

ในตอนแรก เป็นฉากที่ดูสดใสสวยงาม สือจินหว่านพิงแขนของโอหยางจวิ้น มีความสุขกับการกินไปด้วย และป้อนโอหยางจวิ้นไปด้วย

แต่เมื่อฉากหนังเปลี่ยนไป พระเอกก็ได้รับแจ้งว่าเขาจะต้องไปสนามรบ เป็นธรรมดาที่คู่รักคู่นั้นจะต้องเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์ ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดฉากที่เร่าร้อนขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เห็นคนทั้งสองจูบกันอยู่ สือจินหว่านก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นมา กำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จู่ๆก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งมาปิดตาของเธอไว้

ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าเธอก็หายไปในทันที และความมืดก็ได้เข้ามาแทนที่

แต่เพราะความมืดมิดอย่างนี้ บางทีการได้ยินก็กลับถูกเน้นหนักขึ้นมาแทน

เพราะเช่นนี้สือจินหว่านจึงได้ยินแต่เสียงจูบ

เธอรู้สึกได้ว่าหน้าของตนเองแดงก่ำ และใบหูก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา

ดูเหมือนว่าโอหยางจวิ้นจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงนำสือจินหว่านมากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้มือปิดหูของเธอไว้

เมื่อเขาปฏิบัติแบบนี้ มันทำให้เธอกลายเป็นเด็กอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อความอบอุ่นตกมาอยู่บนหน้าอกของเขา ในชั่วพริบตาเขาก็รู้สึกได้ว่า หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา!

เขากำลังทำอะไรอยู่นะ? เขาหงุดหงิดและตำหนิตัวเองเล็กน้อย แต่ก็หาวิธีแก้ไขที่ดีกว่านี้ไม่ได้เลย

สือจินหว่านก็รู้สึกเขินอายอย่างมาก และเวลานี้ที่เธอพิงอยู่กับหน้าอกของโอหยางจวิ้น มันกลับทำให้เธอนึกถึงฉากเมื่อกี้นี้ขึ้นมา

ในภาพยนตร์ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าจะเอนตัวพิงหน้าอกของแฟนอย่างนี้……

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สือจินหว่านก็รู้สึกว่าในสมองของตนเองมีเสียงดังหึ่งๆขึ้นมา และตรงแก้มของเธอที่แนบชิดกับหน้าอกของโอหยางจวิ้นก็ร้อนผ่าวเป็นพิเศษ

หัวใจของเธอเต้นเร็ว รู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวรุ่มร้อนเหมือนพละกำลังถูกสูบฉีดขึ้นมา และการเต้นของหัวใจเขา ที่ตกลงบนแก้วหูของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า มันราวกับกระทบไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเธอเลย

เธอกระสับกระส่ายเล็กน้อย ความรู้สึกเช่นนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดเหลือเกิน ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ด้วยเหตุนี้จึงยื่นมือออกมา ต้องการจะหาความสมดุลเล็กน้อย

แต่มือของเธอนั้นอยู่ในความมืด ไม่ทันระวังจึงจับไปที่แขนของเขา เธอรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งเล็กน้อยของเขา จนกระทั่งคนทั้งสองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ฉากในภาพยนตร์ยังคงดำเนินต่อไป เพราะโอหยางจวิ้นเอามือของตนเองออกจากหูของสือจินหว่านโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเสียงของพระเอกนางเอกจึงดังชัดเจนยิ่งขึ้น

“I love you Jack……” เสียงของนางเอก เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่ง

“I love you too” เสียงของพระเอก ก็เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และความน่าสงสาร

เสียงปลดเปลื้องเสื้อผ้าดังอยู่ในหูของสือจินหว่าน

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนจะรู้ว่าสองคนนั้นต้องการจะทำอะไรกัน ชั่วขณะก็ยิ่งไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไรดี

เวลานี้โอหยางจวิ้นก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด เขาเห็นว่าเป็นหนังสงครามจึงพาสือจินหว่านมา อีกทั้งก่อนหน้าที่จะมา เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นป้ายคำเตือนที่บอกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 16ปีห้ามดู ภายในใจไม่ได้คิดถึงจุดนี้โดยสิ้นเชิง

เขายื่นมือไปโอบกอดสือจินหว่านเอาไว้ รู้สึกเพียงว่าฉากแบบนี้ สำหรับเขาแล้วดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความโหดร้ายทารุณอย่างหนึ่ง

จนกระทั่ง ความอบอุ่นในอ้อมกอด ทำให้เขานึกถึงวันนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาได้รับบาดเจ็บ ภาพที่เธอนอนเคียงข้างกับเขาเพื่อหลบซ่อน…..

ลำคอของโอหยางจวิ้นขยับเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่า เลือดของตนเองจะสูบฉีดขึ้นมาเล็กน้อยอย่างจนปัญญาที่จะระงับไว้ได้

เขาอยากจะดึงมือของตัวเองออกอย่างมาก เขามีความคิดที่ไม่ควรจะมีกับหลานสาวของตัวเองได้อย่างไรกัน?

หวันหว่านคือคนที่เขาเลี้ยงดูมาจนโต เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?!

โชคดีที่ ในภาพยนตร์จำกัดฉากที่คนทั้งสองไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แล้วหยุดลงในทันที

โอหยางจวิ้นจึงโล่งอก ตบเบาๆที่ไหล่ของหวันหว่านแล้วกล่าวว่า : “หวันหว่าน ดูได้แล้ว”

สือจินหว่านออกมาจากอ้อมกอดของเขา ทั้งแก้มและใบหูล้วนแดงระเรื่อ

เธอกอดถังป๊อปคอร์นในมือเอาไว้แน่น ใช้ของกินเพื่อมากลบเกลื่อนอารมณ์ในเวลานี้ของตนเองที่แทบจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย

เวลานี้ เดิมทีความผ่อนคลายของภาพยนตร์ได้ถูกแทนที่ และย้อมไปด้วย ความหนักหน่วงที่แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะสงครามไม่มีความแน่นอน ถึงแม้พระเอกจะชอบผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่กล้าที่จะให้คำมั่นสัญญาใดๆกับเธอ จึงได้เข้าสนามรบไปแบบนั้น

หลังจากนั้น ล้วนเป็นฉากนองเลือด

บางครั้งตอนเห็นฉากที่ตึงเครียด สือจินหว่านก็กอดแขนของโอหยางจวิ้นโดยไม่รู้ตัว

เขาเห็นเธอหวาดกลัวเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ จึงยื่นมือไปนำเธอมาไว้ในอ้อมกอด จนกระทั่งสงครามที่โหดเหี้ยมจบสิ้นลง

พระเอกผ่านความเป็นความตายในสนามรบมาหลายครั้งหลายหน สุดท้ายตอนที่ลากขาข้างหนึ่งที่กะเผลกเล็กน้อยกลับมา กลับพบว่า ผู้หญิงที่เขารัก ได้แต่งงานไปแล้ว

เขาเศร้าโศกเสียใจ รู้สึกเหมือนกับว่าถูกคนที่รักหักหลัง

แต่สุดท้าย เมื่อเขาได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายหญิงสาว ภาพมากมายก็ผ่านเข้ามายังตรงหน้า

ที่แท้ ที่เขาสามารถรอดจากการเฉียดตายจากในสงครามมาได้ ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากสามีของหญิงสาว

และทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเป็นสิ่งที่หญิงสาวใช้ความรักและการแต่งงานแลกมา…….

ภาพยนตร์ดำเนินมาถึงตรงนี้ ก็ใกล้จะถึงตอนจบแล้ว พระเอกนางเอกได้พบกันที่นาข้าวยามเย็น มีคำพูดที่อัดอั้นอยู่เต็มหัวใจ แต่กลับพูดได้เพียงประโยคเดียวว่า ไม่เจอกันนานเลยนะ

และสือจินหว่าน แรกเริ่มที่หวาดกลัวเพราะฉากโหดร้ายทารุณ ถึงเวลานี้ กลับถูกครอบงำด้วยความรักที่ฝังใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

จนกระทั่ง ภาพยนตร์จบลง เมื่อเธอและโอหยางจวิ้นออกมาด้วยกัน จิตใจของเธอก็รู้สึกเศร้าสลดเล็กน้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอนึกถึงว่าพรุ่งนี้จะต้องกลับบ้านแล้ว เป็นเวลาสองเดือนที่ไม่ได้เจอโอหยางจวิ้น ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้จิตใจของเธอหดหู่ลงไปทันที

“หวันหว่าน ไม่สนุกใช่ไหม?” ตอนที่โอหยางจวิ้นเลือกภาพยนตร์ ไม่ได้รู้ว่าตอนจบจะเศร้าแบบนี้ เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงจูงมือของสือจินหว่าน : “หวันหว่าน อยากทานอะไรล่ะ ฉันจะพาคุณไปทาน?”

สือจินหว่านดึงสติกลับมา แล้วรีบส่ายหน้ากับโอหยางจวิ้น เธอกล่าวว่า : “ฉันไม่ได้เป็นไรค่ะ แค่เมื่อกี้ดูภาพยนตร์แล้วรู้สึกสลดใจเล็กน้อย”

เขายิ้มพลางลูบหัวของเธอ : “สาวน้อยยังเด็กแบบนี้ รู้แล้วเหรอว่าอะไรคือความสลดใจ?”

เธอรู้สึกได้ถึงการสัมผัสจากมือใหญ่ๆของเขาที่อยู่บนศีรษะ ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆฉากบางฉากในภาพยนตร์เมื่อกี้ก็ลอยขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง

ในฉาก พระเอกจูงมือนางเอก เดินเล่นอยู่ในป่าไม้

ตอนที่จะจากไป พระเอกจับเอวของนางเอกเอาไว้ โอบกอดเธอแล้วจูบ……

ในความฝันของนางเอก ฝ่ามือของพระเอกวางลงบนดวงตาของนางเอก แล้วกล่าวกับเธอว่า : “ที่รัก ลืมตาเถอะ ฉันกลับมาแล้ว……”

ไม่รู้ทำไม ใบหน้าของพระเอกที่อยู่ในฉากจึงค่อยๆเลือนรางไป จากนั้น ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้าของโอหยางจวิ้น

“คุณอาจวิ้น…..” สือจินหว่านเปล่งเสียงออกมา

“หืม?” โอหยางจวิ้นเห็นรูปร่างริมฝีปากของเธอแล้ว ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย

แต่สือจินหว่านตอบสนองกลับมาทันที คุณพระ เมื่อกี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย! เขาเป็นคุณอาของเธอนะ!

เธอรีบส่ายหน้า แก้มแดงราวกับแอปเปิลขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่กล้ามองเขา ด้วยเหตุนี้จึงก้มศีรษะแล้วเดินไปข้างหน้า

โอหยางจวิ้นไม่รู้ว่าสือจินหว่านกำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุนี้ จึงรีบตามไป

พลบค่ำแล้ว ไฟบนท้องถนนโดยรอบก็สว่างขึ้นแล้ว

สือจินหว่านเห็นว่า ภาพเงาของเธอและโอหยางจวิ้นถูกไฟบนท้องถนนดึงให้ยาวขึ้น

ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามยืดตัวแล้ว แต่ก็ยังคงสูงได้แค่ไหล่ของเขา

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความรู้สึกของผู้ใหญ่จูงเด็กน้อยเหมือนในอดีตแล้ว

มุมปากของเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย ชั่วพริบตาหัวใจก็หวานชื่นขึ้นมา จนตัวเธอเองแทบจะไม่มีทางที่จะคาดเดาได้

วันรุ่งขึ้น โอหยางจวิ้นช่วยสือจินหว่านเตรียมข้าวของกลับบ้านเสร็จแล้ว เธอใส่ของจนเต็มกระเป๋าหนึ่งใบ จากนั้น ก็นั่งรถของตระกูลเพอร์เซลล์มาที่สนามบิน

“หวันหว่าน ดูแลตัวเองให้ดีนะ ฉันจะรอคุณกลับมา” โอหยางจวิ้นยืนอยู่หน้าประตูจุดตรวจ

นี่เป็นครั้งแรกที่สือจินหว่านนั่งเครื่องบินกลับบ้านเอง อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วง แต่สาวน้อยยืนกราน เขาจึงทำได้เพียงประนีประนอม

“คุณอาจวิ้น รอฉันกลับมานะ” สือจินหว่านพูดพลาง ดึงกระเป๋าเดินทางแล้วเดินเข้าไป

ตรวจเช็กความปลอดภัยเสร็จ สือจินหว่านก็นั่งที่ห้องรอขึ้นเครื่อง รอการแจ้งให้ขึ้นเครื่อง

แต่เวลานี้ จู่ๆก็มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นมา!

เธอตื่นตกใจ ดึงกระเป๋าเดินทางแล้วลุกขึ้นยืน เมื่อกลุ่มผู้โดยสารลุกขึ้นยืนอย่างเป็นกังวลใจ จู่ๆก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด!

วันนี้ เป็นวันสุดท้ายก่อนที่สือจินหว่านจะปิดเทอมฤดูร้อน

เธอสอบเสร็จออกมา โอหยางจวิ้นก็รอเธออยู่หน้าประตูโรงเรียนแล้ว

สายตาของเธอมองไปที่ขาของเขา : “อาจวิ้น คุณเพิ่งจะดีขึ้น ทำไมถึงออกมาแล้วล่ะคะ? ฉันโตแล้ว กลับบ้านด้วยตนเองได้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันหายแล้ว” เขาพูดจบ ก็กำลังจะเข้าไปจับมือเธอเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่เด็กๆแล้ว

เขาชักมือกลับมา หยิบตั๋วหนังสองใบออกจากกระเป๋า แล้วกล่าวกับเธอว่า : “หวันหว่าน วันนี้เลิกเรียนเร็ว เราไปดูหนังกันก่อนแล้วค่อยกลับบ้านนะ”

ดวงตาของสือจินหว่านเป็นประกาย : “ว้าว เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณนะคะอาจวิ้น!”

เขาเห็นเธอตาเป็นประกาย ก็ยิ้มแล้วพูดว่า : “ชอบดูหนังขนาดนี้เลยเหรอ?”

เธอพยักหน้า แล้วพูดกับเขาว่า : “พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปแล้ว ขอบคุณนะคะอาจวิ้นที่มอบของขวัญอำลานี้ให้แก่ฉัน!”

เขาหัวเราะเบาๆ : “ต่อไปถ้าชอบ ฉันมีเวลาก็จะไปเป็นเพื่อนคุณนะ!”

ได้ยินเขาพูดประโยคนี้ จู่ๆเธอก็นึกถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจ เขาไม่ไปกับคุณน้ามู่เหรอ?

เพียงแต่สือจินหว่านไม่ได้ถามออกไป ทั้งสองคนขึ้นรถไปด้วยกัน ไม่นานก็มาถึงโรงหนังแล้ว

เพราะว่ายังเช้าอยู่ ทั้งสองคนจึงไปซื้อป๊อปคอร์นกับไอศกรีมที่หน้าประตูทางเข้า นั่งรอสักพัก จึงเดินเข้าไปที่โรงหนัง

ถึงอย่างไรสือจินหว่านก็เป็นเด็กผู้หญิง จึงชอบกินขนมเป็นพิเศษ กินไอศกรีมเสร็จแล้ว ก็เริ่มกินป๊อปคอร์นต่อเลย

กำลังกินอย่างเพลิดเพลิน เห็นโอหยางจวิ้นนั่งยืดตัวตรงจัดระเบียบเสื้อผ้าอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อสาวน้อยหันมาเห็น จึงหยิบป๊อปคอร์นขึ้นมาป้อนใส่ปากโอหยางจวิ้นไป

เขาตกตะลึง หันไปมองเธอ

แสงในโรงหนังค่อนข้างสลัว แต่แววตาของเธอกลับสดใสสว่างไสวเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าโอหยางจวิ้นจะไม่ชอบทานของประเภทนี้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจของสือจินหว่านได้ จึงอ้าปากแต่โดยดี

เธอนำป๊อปคอร์นป้อนใส่ปากเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา

รสชาติหอมหวานของป๊อปคอร์นกระจายไปทั่วทั้งปาก ทำให้โอหยางจวิ้นนึกถึงความรู้สึกที่สือจินหว่านมีให้เขาในตอนเด็กๆ

แต่เจ้าเด็กน้อยในตอนนั้น คาดไม่ถึงว่าจะเติบโตขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาทอดถอนใจเล็กน้อยกับความมหัศจรรย์ของเวลา

และเวลานี้ ในปากก็มีป๊อปคอร์นที่สือจินหว่านป้อนเข้ามาให้เรื่อยๆ

โอหยางจวิ้นอดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วอ้าปากต่อไป

เธอเห็นว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธที่จะกินขนมอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้จึงกอดถังป๊อปคอร์นแล้วเขยิบไปนั่งใกล้ๆโอหยางจวิ้นมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ทานด้วยกันกับเธออย่างสะดวกๆ

โฆษณาก่อนหนังจะเริ่มได้จบลงแล้ว กำลังจะเริ่มฉายหนังอย่างเป็นทางการ

นี่เป็นหนังรักสงคราม พูดถึงทหารนักรบ ก่อนออกเดินทาง ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่บ้านเกิดคนหนึ่ง และพอดีว่าหญิงสาวคนนั้นก็ตกหลุมรักเขาเช่นกัน

ในตอนแรก เป็นฉากที่ดูสดใสสวยงาม สือจินหว่านพิงแขนของโอหยางจวิ้น มีความสุขกับการกินไปด้วย และป้อนโอหยางจวิ้นไปด้วย

แต่เมื่อฉากหนังเปลี่ยนไป พระเอกก็ได้รับแจ้งว่าเขาจะต้องไปสนามรบ เป็นธรรมดาที่คู่รักคู่นั้นจะต้องเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์ ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดฉากที่เร่าร้อนขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เห็นคนทั้งสองจูบกันอยู่ สือจินหว่านก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นมา กำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จู่ๆก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งมาปิดตาของเธอไว้

ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าเธอก็หายไปในทันที และความมืดก็ได้เข้ามาแทนที่

แต่เพราะความมืดมิดอย่างนี้ บางทีการได้ยินก็กลับถูกเน้นหนักขึ้นมาแทน

เพราะเช่นนี้สือจินหว่านจึงได้ยินแต่เสียงจูบ

เธอรู้สึกได้ว่าหน้าของตนเองแดงก่ำ และใบหูก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา

ดูเหมือนว่าโอหยางจวิ้นจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงนำสือจินหว่านมากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้มือปิดหูของเธอไว้

เมื่อเขาปฏิบัติแบบนี้ มันทำให้เธอกลายเป็นเด็กอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อความอบอุ่นตกมาอยู่บนหน้าอกของเขา ในชั่วพริบตาเขาก็รู้สึกได้ว่า หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา!

เขากำลังทำอะไรอยู่นะ? เขาหงุดหงิดและตำหนิตัวเองเล็กน้อย แต่ก็หาวิธีแก้ไขที่ดีกว่านี้ไม่ได้เลย

สือจินหว่านก็รู้สึกเขินอายอย่างมาก และเวลานี้ที่เธอพิงอยู่กับหน้าอกของโอหยางจวิ้น มันกลับทำให้เธอนึกถึงฉากเมื่อกี้นี้ขึ้นมา

ในภาพยนตร์ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าจะเอนตัวพิงหน้าอกของแฟนอย่างนี้……

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สือจินหว่านก็รู้สึกว่าในสมองของตนเองมีเสียงดังหึ่งๆขึ้นมา และตรงแก้มของเธอที่แนบชิดกับหน้าอกของโอหยางจวิ้นก็ร้อนผ่าวเป็นพิเศษ

หัวใจของเธอเต้นเร็ว รู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวรุ่มร้อนเหมือนพละกำลังถูกสูบฉีดขึ้นมา และการเต้นของหัวใจเขา ที่ตกลงบนแก้วหูของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า มันราวกับกระทบไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเธอเลย

เธอกระสับกระส่ายเล็กน้อย ความรู้สึกเช่นนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดเหลือเกิน ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ด้วยเหตุนี้จึงยื่นมือออกมา ต้องการจะหาความสมดุลเล็กน้อย

แต่มือของเธอนั้นอยู่ในความมืด ไม่ทันระวังจึงจับไปที่แขนของเขา เธอรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งเล็กน้อยของเขา จนกระทั่งคนทั้งสองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ฉากในภาพยนตร์ยังคงดำเนินต่อไป เพราะโอหยางจวิ้นเอามือของตนเองออกจากหูของสือจินหว่านโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเสียงของพระเอกนางเอกจึงดังชัดเจนยิ่งขึ้น

“I love you Jack……” เสียงของนางเอก เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่ง

“I love you too” เสียงของพระเอก ก็เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และความน่าสงสาร

เสียงปลดเปลื้องเสื้อผ้าดังอยู่ในหูของสือจินหว่าน

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนจะรู้ว่าสองคนนั้นต้องการจะทำอะไรกัน ชั่วขณะก็ยิ่งไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไรดี

เวลานี้โอหยางจวิ้นก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด เขาเห็นว่าเป็นหนังสงครามจึงพาสือจินหว่านมา อีกทั้งก่อนหน้าที่จะมา เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นป้ายคำเตือนที่บอกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 16ปีห้ามดู ภายในใจไม่ได้คิดถึงจุดนี้โดยสิ้นเชิง

เขายื่นมือไปโอบกอดสือจินหว่านเอาไว้ รู้สึกเพียงว่าฉากแบบนี้ สำหรับเขาแล้วดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความโหดร้ายทารุณอย่างหนึ่ง

จนกระทั่ง ความอบอุ่นในอ้อมกอด ทำให้เขานึกถึงวันนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาได้รับบาดเจ็บ ภาพที่เธอนอนเคียงข้างกับเขาเพื่อหลบซ่อน…..

ลำคอของโอหยางจวิ้นขยับเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่า เลือดของตนเองจะสูบฉีดขึ้นมาเล็กน้อยอย่างจนปัญญาที่จะระงับไว้ได้

เขาอยากจะดึงมือของตัวเองออกอย่างมาก เขามีความคิดที่ไม่ควรจะมีกับหลานสาวของตัวเองได้อย่างไรกัน?

หวันหว่านคือคนที่เขาเลี้ยงดูมาจนโต เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?!

โชคดีที่ ในภาพยนตร์จำกัดฉากที่คนทั้งสองไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แล้วหยุดลงในทันที

โอหยางจวิ้นจึงโล่งอก ตบเบาๆที่ไหล่ของหวันหว่านแล้วกล่าวว่า : “หวันหว่าน ดูได้แล้ว”

สือจินหว่านออกมาจากอ้อมกอดของเขา ทั้งแก้มและใบหูล้วนแดงระเรื่อ

เธอกอดถังป๊อปคอร์นในมือเอาไว้แน่น ใช้ของกินเพื่อมากลบเกลื่อนอารมณ์ในเวลานี้ของตนเองที่แทบจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย

เวลานี้ เดิมทีความผ่อนคลายของภาพยนตร์ได้ถูกแทนที่ และย้อมไปด้วย ความหนักหน่วงที่แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะสงครามไม่มีความแน่นอน ถึงแม้พระเอกจะชอบผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่กล้าที่จะให้คำมั่นสัญญาใดๆกับเธอ จึงได้เข้าสนามรบไปแบบนั้น

หลังจากนั้น ล้วนเป็นฉากนองเลือด

บางครั้งตอนเห็นฉากที่ตึงเครียด สือจินหว่านก็กอดแขนของโอหยางจวิ้นโดยไม่รู้ตัว

เขาเห็นเธอหวาดกลัวเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ จึงยื่นมือไปนำเธอมาไว้ในอ้อมกอด จนกระทั่งสงครามที่โหดเหี้ยมจบสิ้นลง

พระเอกผ่านความเป็นความตายในสนามรบมาหลายครั้งหลายหน สุดท้ายตอนที่ลากขาข้างหนึ่งที่กะเผลกเล็กน้อยกลับมา กลับพบว่า ผู้หญิงที่เขารัก ได้แต่งงานไปแล้ว

เขาเศร้าโศกเสียใจ รู้สึกเหมือนกับว่าถูกคนที่รักหักหลัง

แต่สุดท้าย เมื่อเขาได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายหญิงสาว ภาพมากมายก็ผ่านเข้ามายังตรงหน้า

ที่แท้ ที่เขาสามารถรอดจากการเฉียดตายจากในสงครามมาได้ ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากสามีของหญิงสาว

และทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเป็นสิ่งที่หญิงสาวใช้ความรักและการแต่งงานแลกมา…….

ภาพยนตร์ดำเนินมาถึงตรงนี้ ก็ใกล้จะถึงตอนจบแล้ว พระเอกนางเอกได้พบกันที่นาข้าวยามเย็น มีคำพูดที่อัดอั้นอยู่เต็มหัวใจ แต่กลับพูดได้เพียงประโยคเดียวว่า ไม่เจอกันนานเลยนะ

และสือจินหว่าน แรกเริ่มที่หวาดกลัวเพราะฉากโหดร้ายทารุณ ถึงเวลานี้ กลับถูกครอบงำด้วยความรักที่ฝังใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

จนกระทั่ง ภาพยนตร์จบลง เมื่อเธอและโอหยางจวิ้นออกมาด้วยกัน จิตใจของเธอก็รู้สึกเศร้าสลดเล็กน้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอนึกถึงว่าพรุ่งนี้จะต้องกลับบ้านแล้ว เป็นเวลาสองเดือนที่ไม่ได้เจอโอหยางจวิ้น ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้จิตใจของเธอหดหู่ลงไปทันที

“หวันหว่าน ไม่สนุกใช่ไหม?” ตอนที่โอหยางจวิ้นเลือกภาพยนตร์ ไม่ได้รู้ว่าตอนจบจะเศร้าแบบนี้ เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงจูงมือของสือจินหว่าน : “หวันหว่าน อยากทานอะไรล่ะ ฉันจะพาคุณไปทาน?”

สือจินหว่านดึงสติกลับมา แล้วรีบส่ายหน้ากับโอหยางจวิ้น เธอกล่าวว่า : “ฉันไม่ได้เป็นไรค่ะ แค่เมื่อกี้ดูภาพยนตร์แล้วรู้สึกสลดใจเล็กน้อย”

เขายิ้มพลางลูบหัวของเธอ : “สาวน้อยยังเด็กแบบนี้ รู้แล้วเหรอว่าอะไรคือความสลดใจ?”

เธอรู้สึกได้ถึงการสัมผัสจากมือใหญ่ๆของเขาที่อยู่บนศีรษะ ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆฉากบางฉากในภาพยนตร์เมื่อกี้ก็ลอยขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง

ในฉาก พระเอกจูงมือนางเอก เดินเล่นอยู่ในป่าไม้

ตอนที่จะจากไป พระเอกจับเอวของนางเอกเอาไว้ โอบกอดเธอแล้วจูบ……

ในความฝันของนางเอก ฝ่ามือของพระเอกวางลงบนดวงตาของนางเอก แล้วกล่าวกับเธอว่า : “ที่รัก ลืมตาเถอะ ฉันกลับมาแล้ว……”

ไม่รู้ทำไม ใบหน้าของพระเอกที่อยู่ในฉากจึงค่อยๆเลือนรางไป จากนั้น ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้าของโอหยางจวิ้น

“คุณอาจวิ้น…..” สือจินหว่านเปล่งเสียงออกมา

“หืม?” โอหยางจวิ้นเห็นรูปร่างริมฝีปากของเธอแล้ว ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย

แต่สือจินหว่านตอบสนองกลับมาทันที คุณพระ เมื่อกี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย! เขาเป็นคุณอาของเธอนะ!

เธอรีบส่ายหน้า แก้มแดงราวกับแอปเปิลขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่กล้ามองเขา ด้วยเหตุนี้จึงก้มศีรษะแล้วเดินไปข้างหน้า

โอหยางจวิ้นไม่รู้ว่าสือจินหว่านกำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุนี้ จึงรีบตามไป

พลบค่ำแล้ว ไฟบนท้องถนนโดยรอบก็สว่างขึ้นแล้ว

สือจินหว่านเห็นว่า ภาพเงาของเธอและโอหยางจวิ้นถูกไฟบนท้องถนนดึงให้ยาวขึ้น

ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามยืดตัวแล้ว แต่ก็ยังคงสูงได้แค่ไหล่ของเขา

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความรู้สึกของผู้ใหญ่จูงเด็กน้อยเหมือนในอดีตแล้ว

มุมปากของเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย ชั่วพริบตาหัวใจก็หวานชื่นขึ้นมา จนตัวเธอเองแทบจะไม่มีทางที่จะคาดเดาได้

วันรุ่งขึ้น โอหยางจวิ้นช่วยสือจินหว่านเตรียมข้าวของกลับบ้านเสร็จแล้ว เธอใส่ของจนเต็มกระเป๋าหนึ่งใบ จากนั้น ก็นั่งรถของตระกูลเพอร์เซลล์มาที่สนามบิน

“หวันหว่าน ดูแลตัวเองให้ดีนะ ฉันจะรอคุณกลับมา” โอหยางจวิ้นยืนอยู่หน้าประตูจุดตรวจ

นี่เป็นครั้งแรกที่สือจินหว่านนั่งเครื่องบินกลับบ้านเอง อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วง แต่สาวน้อยยืนกราน เขาจึงทำได้เพียงประนีประนอม

“คุณอาจวิ้น รอฉันกลับมานะ” สือจินหว่านพูดพลาง ดึงกระเป๋าเดินทางแล้วเดินเข้าไป

ตรวจเช็กความปลอดภัยเสร็จ สือจินหว่านก็นั่งที่ห้องรอขึ้นเครื่อง รอการแจ้งให้ขึ้นเครื่อง

แต่เวลานี้ จู่ๆก็มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นมา!

เธอตื่นตกใจ ดึงกระเป๋าเดินทางแล้วลุกขึ้นยืน เมื่อกลุ่มผู้โดยสารลุกขึ้นยืนอย่างเป็นกังวลใจ จู่ๆก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด!

สือจินหว่านเย็บเสื้อที่ฉีกขาดเสร็จ ลุกขึ้นเดินไปที่ชายหาดเพื่อล้างเลือดที่เปื้อนเสื้อ จากนั้นก็เดินกลับมาและแขวนเสื้อตากไว้ที่กิ่งไม้

เมื่อเห็นว่ายังเช้าอยู่ เธอจึงนอนลงข้างๆโอหยางจวิ้นอีกครั้ง บังคับตัวเองให้หลับตา พักผ่อนลดการออกแรงกาย และลดความกระหายน้ำ

เธอรู้สึกเริ่มง่วงอีกครั้ง

ในขณะที่ในหัวของเธอสับสน เธอก็รู้สึกว่ามือของตัวเองถูกมือใหญ่จับ เขาโอบกอดเธอ แล้วพูดเบาๆ: “หวันหว่าน…”

ดูเหมือนเขาจะพูดอะไร แต่ถูกลมทะเลพัดปลิวหายไป

สือจินหว่านค่อยๆหลับสนิท จนกระทั่งแสงและเงาของดวงอาทิตย์ขึ้น ทำให้ชายหาดทุกตารางนิ้วร้อนอบอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว

เธอรู้สึกถึงบางอย่าง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าเธอกำลังพิงแขนของโอหยางจวิ้น เขายกมือขึ้น ช่วยบังแสงแดดที่สาดส่องลงมา เพื่อให้เธอได้นอนต่อนานขึ้น

“อาจวิ้น ตื่นแล้วเหรอ?” เธอทำท่าทางให้เขา: “ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นบ้างหรือยัง? ยังเจ็บขาอยู่ไหม?”

เขาส่ายหัว: “หายแล้ว หวันหว่านไม่ต้องกังวล”

เธอพยักหน้า แล้วทำท่าทาง: “อาจวิ้น หิวหรือยัง?”

เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม: “หวันหว่าน เมื่อก่อนเป็นอาที่ดูแลหนู แต่ตอนนี้กลับเป็นหนูที่ดูแลอา รู้สึกไม่ค่อยชินเลย”

เธอทำท่าทางภูมิใจมาก: “หนูโตแล้ว”

ใช่ เธอโตแล้ว เวลาล่วงรีบสุดจะนับ วัยหนุ่มสาวหายวับไปกับตา

ตอนนั้นยังเป็นเด็กทารก แต่ตอนนี้โตขนาดนี้แล้ว

โอหยางจวิ้นมองไปที่สือจินหว่าน: “หวันหว่าน หนูโตแล้ว อาเองก็แก่แล้วใช่ไหม?”

สือจินหว่านตะลึง ส่ายหัวและทำท่าทาง: “ทำไมอาถึงพูดอย่างนั้น?! อาจวิ้น ยังเป็นหนุ่ม!”

“จะไม่แก่ได้อย่างไร?” เขายิ้ม: “เมื่อหนูโตขึ้นอีก อาก็คงไม่กล้านึกถึงอายุของตัวเอง”

เธอยังคงส่ายหัว: “อาจวิ้น หนูพูดจริงๆ อายังดูหนุ่มมาก หนูไม่ได้โกหก ถ้าไม่เชื่อลองถามเชียวซือสิ!”

โอหยางจวิ้นมองดูความจริงใจในสายตาของสือจินหว่าน และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า:“จริงเหรอ?”

“จริงค่ะ!” เธอพยักหน้าอย่างมั่นใจ: “ต่อให้หนูโตขึ้นอีก อาก็ไม่แก่”

เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเธอเบาๆ เหมือนตอนที่เธอยังเป็นเด็ก

อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกนุ่มนวลที่ไม่เคยสัมผัส จู่ๆก็ปรากฏชัดขึ้นในทันใด

โอหยางจวิ้นพูดกับสือจินหว่าน: “หวันหว่าน อีกสักพักน้ำจะลงอีกแล้ว อาเคลื่อนไหวไม่สะดวก เดี๋ยวหนูไปเก็บหอยอีกนะ”

เธอพยักหน้าทันที: “โอเค”

แม้ว่าจะมีความรู้สึกกินหอยจนอยากอ้วก แต่ก็รับมือกับมันได้

แดดเริ่มแรง อุณหภูมิร้อนจัด ทั้งสองได้แต่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มไม้ เพื่อรอให้ผู้คนที่ผ่านไปมาหรือนักท่องเที่ยวผ่านมาเห็น

โชคดีที่ในตอนเย็นทั้งสองเจอคนอังกฤษผ่านมาแถวนี้

สือจินหว่านขอยืมโทรศัพท์จากเขา และโทรไปที่เพอร์เซลล์ หลังจากโทรแล้ว เธอรู้สึกมีความหวังอีกครั้ง

ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง เฮลิคอปเตอร์ลงจอดบนเกาะ ไม่นานคนของเพอร์เซลล์ก็พบสือจินหว่านและโอหยางจวิ้น

ทั้งสองขึ้นเครื่องและบินออกจากเกาะ โอหยางจวิ้นนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองไปยังชายหาดด้านล่าง และทันใดนั้น เขาก็นึกถึงฉากที่สือจินหว่านช่วยเขาเย็บเสื้อภายใต้แสงจันทร์

ใจเขาเต้นแรงและหันไปมองสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ

ดูเหมือนเธอก็นึกถึงอะไรบางอย่างและหันมามองเขาเช่นกัน

ทั้งสองสบตากัน ไม่รู้ว่าทำไม สือจินหว่านพบว่าหัวใจของเธอหยุดเต้นกะทันหัน

เธอจ้องเขาจนลืมสิ่งที่อยากจะพูด

เขามองดูเธออย่างงุนงง ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นแรง ร่างกายของเขาตอบสนองก่อนที่สมองของเขาจะมีปฏิกิริยา

สือจินหว่านไม่ตอบสนองใดๆ จนกระถั่งมีสัมผัสที่นุ่มนวลบนหน้าผาก โอหยางจวิ้นจูบหน้าผากของเธอเบาๆ

มันก็เหมือนกับที่ผ่านมา ผู้ใหญ่จูบเด็กน้อย แต่เธอกลับรู้สึกประหม่าโดยไม่มีเหตุผล

เพื่อคลายความประหม่า เธอจึงรีบเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

“อาจวิ้น อาคงไม่กินหอยกับปูอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?” เธอถามเขา แต่หูของเธอเขินแดงเล็กน้อย

เขาหัวเราะ: “อาอาจจะยิ่งชอบ เพราะหนูเป็นคนทำ”

หลังจากพูดจบ เขาก็ตระหนักได้ว่าพูดอะไรไป

เมื่อก่อน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยพูดเช่นนั้น ทุกครั้งก็พูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

แต่วันนี้ พูดด้วยน้ำเสียงเดียวกัน โอหยางจวิ้นกลับรู้สึกว่ามีความแตกต่าง

ความรู้สึกแปลกๆนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และมีความคิดลึกๆในใจของเขา แต่ก่อนที่ความคิดจะโผล่ออกมา เขาก็รีบบีบมันกลับเข้าไป

ความรู้สึกหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเขาเหนื่อยมากจึงค่อยๆหลับตาลงอีกครั้ง

ดูเหมือนเธอจะเหนื่อยกว่าเขา เธอเองก็ผล็อยหลับไปเหมือนกัน

ไหล่ของเขาทรุดลง เพราะเธอพิงไหล่ของเขาและนอนหลับอย่างสบาย

นี่เป็นฉากที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง เขาโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน เธอรู้สึกสบาย ผล็อยหลับไปโดยพิงหน้าอกของเขา

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ โอหยางจวิ้นรู้สึกหายใจลำบาก แต่กลับผ่อนคลาย

เขาได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยที่ปลายจมูกของเขา และสัมผัสอันนุ่มนวลบนแขนของเขา

จู่ๆก็มีความคิดผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา เขาอยากให้การเดินทางยาวนานกว่านี้

อย่างไรก็ตาม ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงเพอร์เซลล์

เมื่อแดเนียลเห็นทั้งสองคน ดวงตาของเขาแดงก่ำ

แม้ว่าโอหยางจวิ้นจะได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดีที่ไม่สาหัส เพียงแค่รักษาครึ่งเดือนก็คงหาย แต่อาจจะทิ้งรอยแผลเป็น

เมื่อโอหยางจวิ้นตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ก็เห็นข่าว

มู่ยวี๋ฮั่นฟื้นแล้วหลังจากอยู่ในอาการโคม่า4ปี!

ดังนั้น ตระกูลเพอร์เซลล์จึงส่งผู้เชี่ยวชาญไปดู หลังจากตรวจร่างกายแล้ว หมอบอกว่ามู่ยวี๋ฮั่นอยู่ในสภาพร่างกายที่ดี การทำงานของร่างกายไม่ได้รับความเสียหาย ตราบใดที่ดูแลดีๆ เธอจะค่อยๆฟื้นตัว

ยิ่งไปกว่านั้น แดเนียลยังถามเจาะจงว่าจะส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์หรือไม่

ผลที่ได้คือ หมอสรุปว่าการมีลูกหลังจากหนึ่งปีนี้จะไม่ส่งผลใดๆ ตราบใดที่โภชนาการเหมาะสม

ด้วยเหตุนี้ โอหยางจวิ้นจึงไม่ต้องนัดบอดใหม่ ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

ในอีกเดือนหนึ่ง จะเป็นวันหยุดฤดูร้อนของสือจินหว่าน ทุกๆวันหยุดฤดูร้อน เธอจะกลับไปหาพ่อกับแม่ที่หนิงเฉิง

ในวันนี้ ขาของโอหยางจวิ้นยังไม่หายดี และมู่ยวี๋ฮั่นก็ยังคงรักษาตัว

สือจินหว่านอยู่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์ เมื่อนึกขึ้นว่าตัวเองจะจากไปเป็นเวลาสองเดือน รู้สึกลังเลเล็กน้อย เธอจึงไปที่ห้องครัว

ในอดีต เธอเคยเรียนทำอาหารกับแจ็ค และแอบทำให้โอหยางจวิ้นกินหลายครั้ง

ทุกครั้งเธอทำเสร็จแล้วจะวางไว้ในห้องครัว จากนั้นให้คนใช้ยกออกไป

เธอนั่งตรงข้ามเขา ดูเขากินอย่างเอร็ดอร่อย แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเธอเป็นคนทำ แต่เธอก็รู้สึกพอใจ

วันนี้ เธอทำกับข้าวแบบเดิมอีกครั้ง ขณะที่เธอกำลังจะกลับห้อง คนใช้ก็เรียกเธอ: “คุณหนูหวันหว่าน เหมือนครั้งก่อนใช่ไหมคะ?”

สือจินหว่านพยักหน้า: “อืม เดี๋ยวหนูก็จะลงมากินเหมือนกัน”

ไม่นานหลังจากนั้น คนใช้พยุงโอหยางจวิ้นลงมา เขานั่งตรงข้ามกับเธอและเห็นอาหารบนโต๊ะ ทันใดนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจ: “หืม เชฟเฮรี่มีธุระ ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”

สือจินหว่านตะลึง: “ห้ะ?”

โอหยางจวิ้นอธิบายว่า: “มีเพียงเชฟเฮนรี่เท่านั้นที่ทำอาหารจานนี้ได้” ขณะที่เขาพูด เขาหยิบชิ้นหนึ่งแล้วเอาเข้าไปในปากของเขา

รสชาติที่คุ้นเคยแผ่ซ่านไปทั่วปาก รู้ได้อย่างชัดเจนว่าทำจากฝีมือของคนๆเดียวกัน

ตรงกันข้าม สือจินหว่านเงียบ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยกมือขึ้นและกินเนื้อสันในพริกไทยดำ

ในขณะที่เธอยกมือขึ้น โอหยางจวิ้นก็เห็นรอยเปื้อนสีดำใต้วงแขนเล็กๆของเธอ

เขาจับแขนเธอ เธอมองเขาอย่างสงสัย

เมื่อเขาเห็นว่ามันคืออะไร ตาของเขาก็หรี่ลง!

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคราบน้ำมันที่เปื้อนจากการทำอาหาร! หรือว่าเธอจะเคยไปที่ห้องครัว?

ถ้างั้นอาหารจานนี้…

ทันใดนั้น โอหยางจวิ้นก็นึกถึงตอนที่เขาพาสือจินหว่านไปที่บ้านของแจ็ค อีกอย่าง ทั้งๆที่มันเป็นสูตรลับ ทำไมเฮนรี่ถึงรู้…

หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น และจ้องเข้าไปในดวงตาของสือจินหว่าน: “หวันหว่าน อารู้ว่าหนูเป็นคนทำ”

สือจินหว่านตกตะลึงและมองโอหยางจวิ้นด้วยความตกใจ

เขาเห็นการยืนยันในดวงตาของเธอ และเขารู้สึกสับสนเล็กน้อยในทันที

เขาจำได้ว่าเคยมีครั้งหนึ่งที่เขาล้มเหลวจากการคุยธุรกิจ

วันนั้นเขาอารมณ์ไม่ดี นั่งอยู่ในห้องทำงานคนเดียว คนใช้มาเรียกให้เขาไปกินข้าวแต่เขาก็ไม่อยากอาหาร

แต่เธอปรากฏตัวที่หน้าห้องทำงานของเขา พร้อมถืออาหารและของว่างในมือ

เขาไม่เคยดุเธอเลย แม้ว่าเขาจะไม่อยากกิน แต่ก็ให้เธอวางไว้บนโต๊ะ

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับตะเกียบ เธอจึงคีบชิ้นหนึ่งแล้วป้อนเขา

นั่นเป็นครั้งแรกที่เขากินอาหารที่เธอทำ แม้ว่ารสชาติจะอ่อนกว่าเล็กน้อย แต่เขาก็กินจนหมด

เธอบอกเขาว่าเฮนรี่เป็นคนทำอาหารจานนี้ และยังถามเขาว่ารู้สึกดีขึ้นไหมหลังจากได้กินของอร่อย

เขารู้สึกดีขึ้นหลังจากที่เธอใส่ใจเขา เขาจึงพยักหน้าและบอกให้เธอไปเล่นที่สนามเด็กเล่นข้างล่าง

ตอนนั้นสาวน้อยจูงมือเขาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วกระโดดโลดเต้นข้างๆเขา แต่อีกข้างเอาซ่อนไว้ข้างหลัง

เมื่อนึกย้อนกลับไป บางทีมือของเธออาจได้รับบาดเจ็บในวันนั้นเพราะเป็นครั้งแรกของเธอในการทำอาหาร ดังนั้นเธอจึงซ่อนบาดแผลไม่ให้เขาเห็น

เป็นเพราะเธอกลัวว่าถ้าเขารู้ เขาจะไม่ยอมให้เธอทำอาหารให้เขาอีก เธอจึงโกหกว่าเฮนรี่เป็นคนทำ

ผู้หญิงแบบนี้จะไม่คู่ควรกับเขาได้อย่างไร?

โอหยางจวิ้นใจเต้นแรง เรียกสือจินหว่าน:“หวันหว่าน มานี่สิ”

สือจินหว่านวางตะเกียบลงแล้วเดินไปข้างหน้าเขา

จู่ๆเขาก็ยื่นแขนออกมาและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ใจเต้นแรงและถามอย่างอารมณ์ดี: “หวันหว่าน หนูดีกับทุกคนแบบนี้ไหม?”

สือจินหว่านไม่ค่อยเข้าใจความหมายของโอหยางจวิ้น ดังนั้นเธอจึงทำท่าทาง: “อาจวิ้น หนูไม่เคยทำอะไรให้คนอื่น!”

โอหยางจวิ้นรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยกับอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นของเขา

ทำไมเขาถึงเริ่มรู้สึกอิจฉาคนที่จะอยู่กับเธอตลอดชีวิตในอนาคต?

เขาคิดว่า เธอก็คงจะทำอาหารให้คนนั้น และซ่อนบาดแผลด้วยเหตุผลที่บีบคั้นหัวใจ เพื่อไม่ให้คนที่ห่วงใยเธอต้องกังวล?

วันนี้ เป็นวันสุดท้ายก่อนที่สือจินหว่านจะปิดเทอมฤดูร้อน

เธอสอบเสร็จออกมา โอหยางจวิ้นก็รอเธออยู่หน้าประตูโรงเรียนแล้ว

สายตาของเธอมองไปที่ขาของเขา : “อาจวิ้น คุณเพิ่งจะดีขึ้น ทำไมถึงออกมาแล้วล่ะคะ? ฉันโตแล้ว กลับบ้านด้วยตนเองได้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันหายแล้ว” เขาพูดจบ ก็กำลังจะเข้าไปจับมือเธอเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่ใช่เด็กๆแล้ว

เขาชักมือกลับมา หยิบตั๋วหนังสองใบออกจากกระเป๋า แล้วกล่าวกับเธอว่า : “หวันหว่าน วันนี้เลิกเรียนเร็ว เราไปดูหนังกันก่อนแล้วค่อยกลับบ้านนะ”

ดวงตาของสือจินหว่านเป็นประกาย : “ว้าว เยี่ยมไปเลย! ขอบคุณนะคะอาจวิ้น!”

เขาเห็นเธอตาเป็นประกาย ก็ยิ้มแล้วพูดว่า : “ชอบดูหนังขนาดนี้เลยเหรอ?”

เธอพยักหน้า แล้วพูดกับเขาว่า : “พรุ่งนี้ฉันต้องกลับไปแล้ว ขอบคุณนะคะอาจวิ้นที่มอบของขวัญอำลานี้ให้แก่ฉัน!”

เขาหัวเราะเบาๆ : “ต่อไปถ้าชอบ ฉันมีเวลาก็จะไปเป็นเพื่อนคุณนะ!”

ได้ยินเขาพูดประโยคนี้ จู่ๆเธอก็นึกถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจ เขาไม่ไปกับคุณน้ามู่เหรอ?

เพียงแต่สือจินหว่านไม่ได้ถามออกไป ทั้งสองคนขึ้นรถไปด้วยกัน ไม่นานก็มาถึงโรงหนังแล้ว

เพราะว่ายังเช้าอยู่ ทั้งสองคนจึงไปซื้อป๊อปคอร์นกับไอศกรีมที่หน้าประตูทางเข้า นั่งรอสักพัก จึงเดินเข้าไปที่โรงหนัง

ถึงอย่างไรสือจินหว่านก็เป็นเด็กผู้หญิง จึงชอบกินขนมเป็นพิเศษ กินไอศกรีมเสร็จแล้ว ก็เริ่มกินป๊อปคอร์นต่อเลย

กำลังกินอย่างเพลิดเพลิน เห็นโอหยางจวิ้นนั่งยืดตัวตรงจัดระเบียบเสื้อผ้าอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อสาวน้อยหันมาเห็น จึงหยิบป๊อปคอร์นขึ้นมาป้อนใส่ปากโอหยางจวิ้นไป

เขาตกตะลึง หันไปมองเธอ

แสงในโรงหนังค่อนข้างสลัว แต่แววตาของเธอกลับสดใสสว่างไสวเป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าโอหยางจวิ้นจะไม่ชอบทานของประเภทนี้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธน้ำใจของสือจินหว่านได้ จึงอ้าปากแต่โดยดี

เธอนำป๊อปคอร์นป้อนใส่ปากเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา

รสชาติหอมหวานของป๊อปคอร์นกระจายไปทั่วทั้งปาก ทำให้โอหยางจวิ้นนึกถึงความรู้สึกที่สือจินหว่านมีให้เขาในตอนเด็กๆ

แต่เจ้าเด็กน้อยในตอนนั้น คาดไม่ถึงว่าจะเติบโตขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาทอดถอนใจเล็กน้อยกับความมหัศจรรย์ของเวลา

และเวลานี้ ในปากก็มีป๊อปคอร์นที่สือจินหว่านป้อนเข้ามาให้เรื่อยๆ

โอหยางจวิ้นอดไม่ได้ที่จะยิ้ม แล้วอ้าปากต่อไป

เธอเห็นว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธที่จะกินขนมอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้จึงกอดถังป๊อปคอร์นแล้วเขยิบไปนั่งใกล้ๆโอหยางจวิ้นมากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้ทานด้วยกันกับเธออย่างสะดวกๆ

โฆษณาก่อนหนังจะเริ่มได้จบลงแล้ว กำลังจะเริ่มฉายหนังอย่างเป็นทางการ

นี่เป็นหนังรักสงคราม พูดถึงทหารนักรบ ก่อนออกเดินทาง ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่บ้านเกิดคนหนึ่ง และพอดีว่าหญิงสาวคนนั้นก็ตกหลุมรักเขาเช่นกัน

ในตอนแรก เป็นฉากที่ดูสดใสสวยงาม สือจินหว่านพิงแขนของโอหยางจวิ้น มีความสุขกับการกินไปด้วย และป้อนโอหยางจวิ้นไปด้วย

แต่เมื่อฉากหนังเปลี่ยนไป พระเอกก็ได้รับแจ้งว่าเขาจะต้องไปสนามรบ เป็นธรรมดาที่คู่รักคู่นั้นจะต้องเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์ ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดฉากที่เร่าร้อนขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เห็นคนทั้งสองจูบกันอยู่ สือจินหว่านก็หน้าร้อนผ่าวขึ้นมา กำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จู่ๆก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งมาปิดตาของเธอไว้

ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าเธอก็หายไปในทันที และความมืดก็ได้เข้ามาแทนที่

แต่เพราะความมืดมิดอย่างนี้ บางทีการได้ยินก็กลับถูกเน้นหนักขึ้นมาแทน

เพราะเช่นนี้สือจินหว่านจึงได้ยินแต่เสียงจูบ

เธอรู้สึกได้ว่าหน้าของตนเองแดงก่ำ และใบหูก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา

ดูเหมือนว่าโอหยางจวิ้นจะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาจึงนำสือจินหว่านมากอดไว้ในอ้อมแขน แล้วใช้มือปิดหูของเธอไว้

เมื่อเขาปฏิบัติแบบนี้ มันทำให้เธอกลายเป็นเด็กอย่างสมบูรณ์ แต่เมื่อความอบอุ่นตกมาอยู่บนหน้าอกของเขา ในชั่วพริบตาเขาก็รู้สึกได้ว่า หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา!

เขากำลังทำอะไรอยู่นะ? เขาหงุดหงิดและตำหนิตัวเองเล็กน้อย แต่ก็หาวิธีแก้ไขที่ดีกว่านี้ไม่ได้เลย

สือจินหว่านก็รู้สึกเขินอายอย่างมาก และเวลานี้ที่เธอพิงอยู่กับหน้าอกของโอหยางจวิ้น มันกลับทำให้เธอนึกถึงฉากเมื่อกี้นี้ขึ้นมา

ในภาพยนตร์ ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนว่าจะเอนตัวพิงหน้าอกของแฟนอย่างนี้……

เมื่อนึกถึงตรงนี้ สือจินหว่านก็รู้สึกว่าในสมองของตนเองมีเสียงดังหึ่งๆขึ้นมา และตรงแก้มของเธอที่แนบชิดกับหน้าอกของโอหยางจวิ้นก็ร้อนผ่าวเป็นพิเศษ

หัวใจของเธอเต้นเร็ว รู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวรุ่มร้อนเหมือนพละกำลังถูกสูบฉีดขึ้นมา และการเต้นของหัวใจเขา ที่ตกลงบนแก้วหูของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า มันราวกับกระทบไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเธอเลย

เธอกระสับกระส่ายเล็กน้อย ความรู้สึกเช่นนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดเหลือเกิน ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ด้วยเหตุนี้จึงยื่นมือออกมา ต้องการจะหาความสมดุลเล็กน้อย

แต่มือของเธอนั้นอยู่ในความมืด ไม่ทันระวังจึงจับไปที่แขนของเขา เธอรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งเล็กน้อยของเขา จนกระทั่งคนทั้งสองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ฉากในภาพยนตร์ยังคงดำเนินต่อไป เพราะโอหยางจวิ้นเอามือของตนเองออกจากหูของสือจินหว่านโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นเสียงของพระเอกนางเอกจึงดังชัดเจนยิ่งขึ้น

“I love you Jack……” เสียงของนางเอก เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่ง

“I love you too” เสียงของพระเอก ก็เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์และความน่าสงสาร

เสียงปลดเปลื้องเสื้อผ้าดังอยู่ในหูของสือจินหว่าน

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนจะรู้ว่าสองคนนั้นต้องการจะทำอะไรกัน ชั่วขณะก็ยิ่งไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไรดี

เวลานี้โอหยางจวิ้นก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นที่สุด เขาเห็นว่าเป็นหนังสงครามจึงพาสือจินหว่านมา อีกทั้งก่อนหน้าที่จะมา เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นป้ายคำเตือนที่บอกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 16ปีห้ามดู ภายในใจไม่ได้คิดถึงจุดนี้โดยสิ้นเชิง

เขายื่นมือไปโอบกอดสือจินหว่านเอาไว้ รู้สึกเพียงว่าฉากแบบนี้ สำหรับเขาแล้วดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความโหดร้ายทารุณอย่างหนึ่ง

จนกระทั่ง ความอบอุ่นในอ้อมกอด ทำให้เขานึกถึงวันนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาได้รับบาดเจ็บ ภาพที่เธอนอนเคียงข้างกับเขาเพื่อหลบซ่อน…..

ลำคอของโอหยางจวิ้นขยับเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่า เลือดของตนเองจะสูบฉีดขึ้นมาเล็กน้อยอย่างจนปัญญาที่จะระงับไว้ได้

เขาอยากจะดึงมือของตัวเองออกอย่างมาก เขามีความคิดที่ไม่ควรจะมีกับหลานสาวของตัวเองได้อย่างไรกัน?

หวันหว่านคือคนที่เขาเลี้ยงดูมาจนโต เขาเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?!

โชคดีที่ ในภาพยนตร์จำกัดฉากที่คนทั้งสองไม่ได้ใส่เสื้อผ้า แล้วหยุดลงในทันที

โอหยางจวิ้นจึงโล่งอก ตบเบาๆที่ไหล่ของหวันหว่านแล้วกล่าวว่า : “หวันหว่าน ดูได้แล้ว”

สือจินหว่านออกมาจากอ้อมกอดของเขา ทั้งแก้มและใบหูล้วนแดงระเรื่อ

เธอกอดถังป๊อปคอร์นในมือเอาไว้แน่น ใช้ของกินเพื่อมากลบเกลื่อนอารมณ์ในเวลานี้ของตนเองที่แทบจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย

เวลานี้ เดิมทีความผ่อนคลายของภาพยนตร์ได้ถูกแทนที่ และย้อมไปด้วย ความหนักหน่วงที่แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

แต่เพราะสงครามไม่มีความแน่นอน ถึงแม้พระเอกจะชอบผู้หญิงคนนั้น ก็ไม่กล้าที่จะให้คำมั่นสัญญาใดๆกับเธอ จึงได้เข้าสนามรบไปแบบนั้น

หลังจากนั้น ล้วนเป็นฉากนองเลือด

บางครั้งตอนเห็นฉากที่ตึงเครียด สือจินหว่านก็กอดแขนของโอหยางจวิ้นโดยไม่รู้ตัว

เขาเห็นเธอหวาดกลัวเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ จึงยื่นมือไปนำเธอมาไว้ในอ้อมกอด จนกระทั่งสงครามที่โหดเหี้ยมจบสิ้นลง

พระเอกผ่านความเป็นความตายในสนามรบมาหลายครั้งหลายหน สุดท้ายตอนที่ลากขาข้างหนึ่งที่กะเผลกเล็กน้อยกลับมา กลับพบว่า ผู้หญิงที่เขารัก ได้แต่งงานไปแล้ว

เขาเศร้าโศกเสียใจ รู้สึกเหมือนกับว่าถูกคนที่รักหักหลัง

แต่สุดท้าย เมื่อเขาได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายหญิงสาว ภาพมากมายก็ผ่านเข้ามายังตรงหน้า

ที่แท้ ที่เขาสามารถรอดจากการเฉียดตายจากในสงครามมาได้ ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือจากสามีของหญิงสาว

และทั้งหมดทั้งมวล ล้วนเป็นสิ่งที่หญิงสาวใช้ความรักและการแต่งงานแลกมา…….

ภาพยนตร์ดำเนินมาถึงตรงนี้ ก็ใกล้จะถึงตอนจบแล้ว พระเอกนางเอกได้พบกันที่นาข้าวยามเย็น มีคำพูดที่อัดอั้นอยู่เต็มหัวใจ แต่กลับพูดได้เพียงประโยคเดียวว่า ไม่เจอกันนานเลยนะ

และสือจินหว่าน แรกเริ่มที่หวาดกลัวเพราะฉากโหดร้ายทารุณ ถึงเวลานี้ กลับถูกครอบงำด้วยความรักที่ฝังใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

จนกระทั่ง ภาพยนตร์จบลง เมื่อเธอและโอหยางจวิ้นออกมาด้วยกัน จิตใจของเธอก็รู้สึกเศร้าสลดเล็กน้อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอนึกถึงว่าพรุ่งนี้จะต้องกลับบ้านแล้ว เป็นเวลาสองเดือนที่ไม่ได้เจอโอหยางจวิ้น ความรู้สึกแบบนี้ ทำให้จิตใจของเธอหดหู่ลงไปทันที

“หวันหว่าน ไม่สนุกใช่ไหม?” ตอนที่โอหยางจวิ้นเลือกภาพยนตร์ ไม่ได้รู้ว่าตอนจบจะเศร้าแบบนี้ เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงจูงมือของสือจินหว่าน : “หวันหว่าน อยากทานอะไรล่ะ ฉันจะพาคุณไปทาน?”

สือจินหว่านดึงสติกลับมา แล้วรีบส่ายหน้ากับโอหยางจวิ้น เธอกล่าวว่า : “ฉันไม่ได้เป็นไรค่ะ แค่เมื่อกี้ดูภาพยนตร์แล้วรู้สึกสลดใจเล็กน้อย”

เขายิ้มพลางลูบหัวของเธอ : “สาวน้อยยังเด็กแบบนี้ รู้แล้วเหรอว่าอะไรคือความสลดใจ?”

เธอรู้สึกได้ถึงการสัมผัสจากมือใหญ่ๆของเขาที่อยู่บนศีรษะ ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆฉากบางฉากในภาพยนตร์เมื่อกี้ก็ลอยขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง

ในฉาก พระเอกจูงมือนางเอก เดินเล่นอยู่ในป่าไม้

ตอนที่จะจากไป พระเอกจับเอวของนางเอกเอาไว้ โอบกอดเธอแล้วจูบ……

ในความฝันของนางเอก ฝ่ามือของพระเอกวางลงบนดวงตาของนางเอก แล้วกล่าวกับเธอว่า : “ที่รัก ลืมตาเถอะ ฉันกลับมาแล้ว……”

ไม่รู้ทำไม ใบหน้าของพระเอกที่อยู่ในฉากจึงค่อยๆเลือนรางไป จากนั้น ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้าของโอหยางจวิ้น

“คุณอาจวิ้น…..” สือจินหว่านเปล่งเสียงออกมา

“หืม?” โอหยางจวิ้นเห็นรูปร่างริมฝีปากของเธอแล้ว ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย

แต่สือจินหว่านตอบสนองกลับมาทันที คุณพระ เมื่อกี้เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย! เขาเป็นคุณอาของเธอนะ!

เธอรีบส่ายหน้า แก้มแดงราวกับแอปเปิลขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่กล้ามองเขา ด้วยเหตุนี้จึงก้มศีรษะแล้วเดินไปข้างหน้า

โอหยางจวิ้นไม่รู้ว่าสือจินหว่านกำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุนี้ จึงรีบตามไป

พลบค่ำแล้ว ไฟบนท้องถนนโดยรอบก็สว่างขึ้นแล้ว

สือจินหว่านเห็นว่า ภาพเงาของเธอและโอหยางจวิ้นถูกไฟบนท้องถนนดึงให้ยาวขึ้น

ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามยืดตัวแล้ว แต่ก็ยังคงสูงได้แค่ไหล่ของเขา

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความรู้สึกของผู้ใหญ่จูงเด็กน้อยเหมือนในอดีตแล้ว

มุมปากของเธอโค้งขึ้นเล็กน้อย ชั่วพริบตาหัวใจก็หวานชื่นขึ้นมา จนตัวเธอเองแทบจะไม่มีทางที่จะคาดเดาได้

วันรุ่งขึ้น โอหยางจวิ้นช่วยสือจินหว่านเตรียมข้าวของกลับบ้านเสร็จแล้ว เธอใส่ของจนเต็มกระเป๋าหนึ่งใบ จากนั้น ก็นั่งรถของตระกูลเพอร์เซลล์มาที่สนามบิน

“หวันหว่าน ดูแลตัวเองให้ดีนะ ฉันจะรอคุณกลับมา” โอหยางจวิ้นยืนอยู่หน้าประตูจุดตรวจ

นี่เป็นครั้งแรกที่สือจินหว่านนั่งเครื่องบินกลับบ้านเอง อันที่จริงไม่ใช่ว่าเขาไม่เป็นห่วง แต่สาวน้อยยืนกราน เขาจึงทำได้เพียงประนีประนอม

“คุณอาจวิ้น รอฉันกลับมานะ” สือจินหว่านพูดพลาง ดึงกระเป๋าเดินทางแล้วเดินเข้าไป

ตรวจเช็กความปลอดภัยเสร็จ สือจินหว่านก็นั่งที่ห้องรอขึ้นเครื่อง รอการแจ้งให้ขึ้นเครื่อง

แต่เวลานี้ จู่ๆก็มีเสียงหวีดแหลมดังขึ้นมา!

เธอตื่นตกใจ ดึงกระเป๋าเดินทางแล้วลุกขึ้นยืน เมื่อกลุ่มผู้โดยสารลุกขึ้นยืนอย่างเป็นกังวลใจ จู่ๆก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด!

การตระหนักถึงตรงนี้ ทำให้โอหยางจวิ้นค่อนข้างที่จะรับไม่ได้

เขาปล่อยสือจินหว่าน แล้วส่งยิ้มให้เธอเล็กน้อย : “โอเค แต่ต่อไปก็ต้องระวังด้วยนะ อย่าให้ตนเองได้รับบาดเจ็บอีก”

พูดจบ ในใจก็รู้สึกเป็นกังวล ด้วยเหตุนี้จึงพูดอีกว่า : “หวันหว่าน ต่อไปคุณก็ต้องหาคนที่ปฏิบัติดีต่อตัวคุณเองนะ เป็นเด็กผู้หญิงก็ต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตนเอง ไม่ใช่ว่าตนเองจะทุ่มเทอยู่แค่ฝ่ายเดียว”

สือจินหว่านไม่ใช่เด็กๆแล้ว เป็นธรรมดาที่จะเข้าใจความหมายของโอหยางจวิ้น ชัดเจนว่าเขาเอาใจใส่คำพูดของเธอ แต่จู่ๆเธอกลับรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วพูดว่า : “อาจวิ้น คุณจะต้องแต่งงานกับคุณน้ามู่แล้วใช่ไหม?”

มือของเขาที่วางอยู่ใต้โต๊ะก็กำแน่นขึ้นมาทันที สักพักจึงผ่อนคลายลง แล้วพยักหน้า : “ใช่ ตอนนี้คุณน้ามู่ของคุณกำลังฟื้นฟูร่างกายอยู่ อีกอย่างฉันกับเธอก็ได้หมั้นหมายกันไว้แล้ว รอให้เธอหายดี ก็จะแต่งงานอย่างแน่นอน”

ภายในใจรู้สึกเหมือนกับว่าคนข้างกายถูกแย่งชิงไป ในทันทีที่มันมากระทบจิตใจ จู่ๆสือจินหว่านก็รู้สึกทุกข์ใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา

เธอระงับความรู้สึกไม่สบายใจนั้นไว้ พยักหน้าให้เขา แสดงเจตนาว่าเข้าใจแล้ว

เธอกลับมานั่งที่เดิม เห็นได้ชัดว่าอาหารอร่อยมาก แต่จู่ๆกลับไม่เจริญอาหารขึ้นมาซะงั้น

เธอไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้เลย อาจวิ้นจะแต่งงานแล้ว เขากำลังจะมีความสุข เธอก็ควรจะดีใจกับเขาถึงจะถูกสิ แต่ทำไมเธอกลับไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิด?

หรือว่าหลายปีมานี้เขาใช้เวลากับเธอมากเกินไป ปฏิบัติดีกับเธอ ตามใจเธอ จึงทำให้เธอคิดอยากจะครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียวใช่ไหม? เธอกลายเป็นเด็กผู้หญิงใจแคบไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

ชั่วขณะทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ทานอาหารกันไปอย่างเงียบๆ

สือจินหว่านทานไปไม่มาก แต่โอหยางจวิ้นก็นำผัดผักจานนั้นของเธอมาทานจนหมดเกลี้ยง

เมื่อทานข้าวเสร็จแล้ว เธอก็บอกกับเขาว่า : “อาจวิ้นคะ ฉันไปทำการบ้านก่อนนะคะ”

เขาพยักหน้า มองเธอที่จากไป ฉับพลันในใจก็รู้สึกแปลกๆและรู้สึกอ้างว้างอยู่ลึกๆ

สือจินหว่านกลับไปที่ห้องของตนเอง แล้วเปิดหนังสือเรียน แต่กลับพบว่าตนเองไม่มีกะจิตกะใจอ่านหนังสือเลยสักนิด

เธอพลิกหนังสือไปมา แต่ความคิดล่องลอยออกไปไกลแล้ว

จนกระทั่งมือถือสั่นขึ้นมา เธอจึงหยิบมาดู เป็นเฉียวซือส่งข้อความมา : “หวันหว่าน ปิดเทอมฤดูร้อนคุณก็จะกลับหนิงเฉิงเลยใช่ไหม?”

เธอตอบกลับไปว่า : “ใช่แล้ว”

ด้วยเหตุนี้เขาจึงพูดว่า : “อาทิตย์หน้าฉันไม่ได้ฝึกซ้อม ฉันจะกลับมาหาคุณนะ”

เธอตอบตกลง : “โอเค อย่างนั้นก่อนที่ฉันจะไปก็มาสังสรรค์ด้วยกันก่อน”

เมื่อเก็บมือถือแล้ว จู่ๆสือจินหว่านก็นึกอะไรขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้จึงรีบวิ่งไปที่ห้องของโอหยางจวิ้นทันที

เขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ คิดว่าคนรับใช้เข้ามา จึงไม่ได้หลบเลี่ยงอะไร พูดไปทางหน้าประตูว่า : “อืม ช่วยเอาเสื้อผ้าออกมาให้ฉันหน่อยสิ!”

สือจินหว่านคิดว่าเขาพูดกับตนเอง จึงทำตามคำสั่งแล้วก็เดินเข้าไป แต่เธอพบว่า โอหยางจวิ้นใส่แค่กางเกงชั้นในตัวเดียวเท่านั้น

ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นทันที ตะลีตะลานต้องการจะวิ่งออกมา

แต่เพราะว่ารีบร้อนเกินไป ไม่รู้ว่าเท้าไปเตะเข้ากับอะไร จึงล้มลงไปทางด้านหน้าทันที

ทางด้านหน้า เป็นมุมตู้พอดิบพอดี ถ้าหากว่าล้มลงไป ก็จะต้องบาดเจ็บอย่างแน่นอน โอหยางจวิ้นไม่ได้คำนึกถึงความเจ็บปวดที่ขาเลย เขารีบก้าวไปข้างหน้า แล้วเอื้อมมือไปดึงสือจินหว่านไว้

เพราะขาของเขาเจ็บอยู่ เมื่อถูกเธอกระแทกเข้ามาจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ยังคงกอดเธอไว้แน่น ดังนั้นคนทั้งสองจึงไม่ล้มลงไป

สือจินหว่านตกใจอย่างมาก เมื่อได้สติกลับมา จึงพบว่าใบหน้าของตนเองนั้นซบอยู่ที่ไหล่ของโอหยางจวิ้น และมือของเธอก็โอบกอดด้านหลังของเขาไว้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ครึ่งบนร่างกายของเขาไม่ได้สวมใส่อะไรเลย ดังนั้นความรู้สึกของมือที่ได้สัมผัสจึงร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างชัดเจน มันทำให้สมองของเธอแทบจะระเบิดออกมา!

หัวใจเต้นอย่างรวดเร็วในทันทีทันใด เธอปล่อยเขาอย่างตื่นตระหนก แล้วไม่กล้ามองหน้าเขาเลย เพียงแค่พูดว่า ‘ขอบคุณค่ะอาจวิ้น’ กับเขาเท่านั้น

ความรู้สึกนุ่มนวลในอ้อมกอดหายไปในทันที โอหยางจวิ้นเกิดอาการใจลอยเล็กน้อย และเมื่อเขาเห็นติ่งหูที่แดงก่ำของสือจินหว่าน ลูกกระเดือกก็กลิ้งไปมาอย่างควบคุมไม่ได้

จนกระทั่งนึกถึงการสัมผัสเมื่อกี้นี้แล้ว เขาก็พบว่าเลือดลมของตนเองเหมือนกำลังสูบฉีดขึ้นมา

แต่สิ่งเหล่านี้ก็ถูกสติสัมปชัญญะดับมอดลงไปในชั่วพริบตา เขาจะเกิดความคิดเสน่หาทำนองนี้กับเธอได้อย่างไร? เขาบ้าไปแล้วเหรอ?!

เมื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ โอหยางจวิ้นจึงกลับสู่ภาวะสงบดังเดิม : “หวันหว่าน ที่คุณเข้ามา……”

สือจินหว่านนึกถึงเรื่องเมื่อกี้นี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้หัวใจจะยังเต้นรัวอยู่ แต่เธอยังคงหลับตาแล้วพูดว่า : “อาจวิ้นคะ เมื่อฉันกลับบ้าน คุณก็จะแต่งงานกับคุณน้ามู่เลยใช่ไหม?”

เขาตกตะลึง หัวใจรู้สึกขมขื่นขึ้นมาทันที

เธอยังอาลัยอาวรณ์อยู่ใช่ไหม? เขาไม่สามารถทนเห็นเธอทุกข์ใจได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอาของเธอ สิ่งเดียวที่จะให้เธอได้ ก็มีแค่ความรักทะนุถนอมของผู้ใหญ่เท่านั้น

เขาไม่แต่งงานไม่ได้ และเธอก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่แต่งงาน รอเธอเข้าใจดีแล้ว ก็จะค่อยๆลืมที่พึ่งพิงในวัยเยาว์เช่นนี้ไป สามารถยืนด้วยตัวเองได้ และแสวงหาการดำเนินชีวิตของตนเองได้อย่างอิสระ

แต่ก่อนเขาเคยได้ยินมาว่า เมื่อลูกสาวออกเรือนไปพ่อแม่ก็จะร้องห่มร้องไห้

เวลานี้ตอนนี้ เธอกับเขาที่รู้สึกไม่สบายใจ อารมณ์ก็น่าจะคล้ายๆกันใช่ไหม?

ด้วยเหตุนี้ โอหยางจวิ้นจึงรีบไปสวมชุดคลุมอาบน้ำ จากนั้นก็พูดว่า : “เอาล่ะ หวันหว่าน ฉันสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว”

เห็นเธอลืมตา เขาก็โน้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อให้สายตาของตนเองอยู่ในระดับเดียวกันกับเธอ: “หวันหว่าน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ อาจวิ้นจะเลือกช่วงเวลาที่คุณไม่อยู่ในงานได้ยังไงล่ะ?”

เธอเงยหน้าขึ้น หัวใจสดใสอย่างมาก แต่เมื่อคิดว่าเธอจะได้เห็นเขาแต่งงานด้วยตาของตัวเอง คาดไม่ถึงว่า จะยิ่งรู้สึกเจ็บปวดใจ

ทำไมเธอถึงเอาแต่ใจแบบนี้นะ เมื่อก่อนคุณน้ามู่ก็ปฏิบัติดีกับเธออย่างมาก ทำไมเธอถึงได้นิสัยแย่ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ปรารถนาให้พวกเขาแต่งงานกัน?

เป็นครั้งแรกที่สือจินหว่านมีความคิดที่จะพึ่งพาอาศัยผู้อื่นเพื่อตนเองแบบนี้ จึงรู้สึกละอายเล็กน้อย

เพื่อไม่ให้ตนเองกลายเป็นคนที่น่าอับอายขายขี้หน้า ดังนั้น สือจินหว่านจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำให้ตัวเองดูผ่อนคลายและมีความสุข เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “โอเคค่ะ ถึงเวลานั้น ต้องให้ฉันเป็นสักขีพยานด้วยนะ!”

เขาพยักหน้า เหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่เธอยังเป็นเด็ก ลูบหัวของเธอเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “โอเค เชื่อฟังนะ อ่านหนังสือเสร็จแล้วอาบน้ำเข้านอนให้เร็วหน่อยนะ”

เธอพยักหน้า แล้วกล่าวกับเขาว่า: “ฝันดีค่ะ”

เนื่องจากเฉียวซืออยู่ภายใต้การดูแลของทางการทหารตั้งแต่เขาอายุได้10ขวบ เรียนก็ต้องเข้าเรียนในกองทัพทหารจริงๆ ดังนั้น ในช่วงสองปีมานี้จึงไม่ค่อยมีเวลาได้เจอสือจินหว่านเลยจริงๆ

เมื่อถึงสุดสัปดาห์ที่สอง ในที่สุดเขาก็มีเวลาว่างสองวัน ด้วยเหตุนี้ จึงกลับมาที่ตระกูลเพอร์เซลล์

เฉียวซือมีเชื้อสายอเมริกันแท้ ถึงแม้ว่าอายุจะยังไม่ถึง12ปี แต่ก็สูงถึง175เซนติเมตรแล้ว

เขาเดินมาถึงตรงหน้าของสือจินหว่าน โอบกอดเธอเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า: “ทำไมถึงเหมือนกับเด็กที่ไม่โตเลยล่ะ? ไม่ค่อยทานข้าวใช่ไหม?”

สือจินหว่านรู้สึกถึงความไม่ชอบธรรม ไม่ใช่ว่าเธอไม่โต เขาต่างหากที่โตเร็วเกินไป เธอจึงตามไม่ทัน!

เธอยิ้มแล้วกล่าวว่า: “ถ้าหากคุณโตขึ้นอีก ระวังเถอะต่อไปคงจะเป็นได้แค่นักกีฬา!”

เฉียวซือโบกไม้โบกมือ: “ฉันชอบเป็นทหารมากกว่า!” เหมือนกันกับพ่อของเขา

คนทั้งสองไม่ได้เจอกันนาน เป็นธรรมดาที่จะมีหัวข้อสนทนากันไม่น้อย

เฉียวซือเล่าสิ่งที่เขาได้พบเจอในกองทัพทหาร และสือจินหว่าน ก็เป็นฝ่ายที่คอยฟังอยู่ข้างๆโดยตลอด

เมื่อถึงเวลาทานอาหาร เฉียวซือก็มายังห้องอาหาร เมื่อเห็นโอหยางจวิ้นเดินเข้ามาอย่างลำบากเล็กน้อย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม: “คุณอาจวิ้น คุณเป็นอะไรเหรอครับ?”

“ไม่เป็นไรหรอก พอดีตอนออกไปข้างนอกได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยน่ะ” โอหยางจวิ้นพูดอย่างหลีกเลี่ยง

สือจินหว่านก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องในวันนั้น แต่ต่อมาภายหลังได้รู้คร่าวๆว่า โอหยางจวิ้นจัดการพวกสองสามคนนั้น รวมถึงคนที่เสนอว่าจะจัดการพวกเขาในตอนนั้นก็ล้มเลิกไปทั้งหมด

เฉียวซือไม่ได้คิดมาก เขานั่งลงข้างๆสือจินหว่าน ด้วยไฟที่สว่างไสวในห้องอาหาร เพียงเขาหันไป คาดไม่ถึงว่าจะเห็นบาดแผลเล็กๆที่บริเวณลำคอของเธอ!

รูม่านตาสีฟ้าของเขาหดแคบลงทันที เข้าไปใกล้แล้วกล่าวว่า: “หวันหว่าน ทำไมคอของคุณถึงได้รับบาดเจ็บล่ะ?!”

สือจินหว่านฉีกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า: “ไม่เป็นไรหรอก พอดีวันนั้นออกไปข้างนอกแล้วเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยน่ะ หายดีแล้วล่ะ คุณดูสิ สะเก็ดแผลหลุดออกหมดแล้ว อีกหน่อย รอยแผลก็จะหายไปแล้ว”

“หวันหว่าน ต่อไปคุณออกจากบ้านก็ต้องระมัดระวังหน่อยนะ” เฉียวซือพูดพลาง ตบเบาๆที่หน้าอก: “ต่อไป ฉันจะปกป้องคุณเอง!”

สือจินหว่านอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า: “โอเค รับทราบ เอ่อคุณผู้ใหญ่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคิดว่าแก่กว่าฉันแค่ไหนเหรอ!”

“แก่กว่าคุณครึ่งปีกว่า!” เฉียวซือพูดพลาง มองไปยังโอหยางจวิ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าวว่า: “จะว่าไปแล้ว คุณเคยรับปากเอาไว้ว่าถ้าโตแล้วจะอยู่ด้วยกันกับฉัน!”

สือจินหว่านแสดงออกถึงความคาดไม่ถึง เธอมองไปยังเฉียวซือ เป็นเวลานานจึงนึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนเธอยังเด็ก ดูเหมือนว่าจะเคยให้คำสัญญาอะไรกับเขาไว้จริงๆ

นั่นไม่ใช่เกมที่เด็กเล่นเหรอ?

เธออดไม่ได้ที่จะหันไปมองโอหยางจวิ้น

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้มีท่าทีตอบสนองมากนัก มีเพียงแค่หยุดชะงักการคีบอาหารไป

“เฉียวซือ นั่นคือคำพูดเล่นตอนเด็กๆน่ะ!” สือจินหว่านกล่าว: “แต่ไหนแต่ไรเราก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว คุณก็คือพี่น้องที่ดีของฉัน!”

แต่เฉียวซือส่ายหน้า กล่าวอย่างจริงจังขึ้นมาทันทีว่า: “หวันหว่าน พวกเราโตขนาดนี้แล้ว คุณก็คงเข้าใจความหมายของฉันดี ฉันชอบที่จะอยู่ด้วยกันกับคุณ ต้องการให้คุณเป็นแฟนของฉัน!”

ตะเกียบของสือจินหว่าน แทบจะตกลงพื้น

ในทันทีที่ถูกสารภาพ เธอก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อย

ที่สำคัญคือ ยังอยู่ตรงหน้าโอหยางจวิ้น จู่ๆภายในใจของเธอก็มีความรู้สึกถึงการทรยศขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

เพียงแต่พอความรู้สึกนี้ปรากฏขึ้นมา เธอไม่ทันได้ระงับเอาไว้ ก็ถูกความรู้สึกไม่สบายใจเข้ามาแทนที่แล้ว

เธอมองดวงตาสีฟ้าของเฉียวซืออย่างจริงจัง แล้วกล่าวกับเขาว่า: “เฉียวซือ ฉันเข้าใจความหมายของคุณ เพียงแต่ ตอนนี้ฉันไม่มีความคิดที่จะไปไตร่ตรองถึงปัญหาด้านนี้หรอก อีกอย่าง ฉันคิดว่าพวกเราควรจะตั้งใจเรียนเป็นหลักนะ!”

“เพราะคุณอาจวิ้นไม่เห็นด้วยใช่ไหม?” เฉียวซือหันหน้ากลับ มองไปยังโอหยางจวิ้นอย่างขอความช่วยเหลือ

โอหยางจวิ้นวางตะเกียบลง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งว่า: “เฉียวซือ เรื่องแบบนี้ ควรจะเป็นพ่อแม่ของหวันหว่านที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ฉันไม่ใช่ผู้ปกครองของเธอ อีกอย่าง ท่าทีของหวันหว่านเมื่อกี้ก็แสดงออกชัดเจนแล้วนะ…..”

เฉียวซือห่อเหี่ยวเล็กน้อย เพียงแต่ กลับมาสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว: “ไม่เป็นไร หวันหว่าน ฉันจะรอคุณ”

ถึงอย่างไร เขาก็รอมาตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่สนใจหรอกว่าจะต้องรอต่อไปอีกกี่ปี!

หัวข้อสนทนาหนึ่ง ได้จบสิ้นลงแล้ว และหลังจากนั้น เฉียวซือก็ไม่เอ่ยขึ้นมาอีก สือจินหว่านก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

เพียงแต่ช่วงเวลาสุดสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉียวซือกลับมาถึงกองทัพทหาร ส่วนสือจินหว่านก็ใกล้ถึงวันที่จะเดินทางกลับประเทศแล้ว

เธอกำลังมองเขาที่กลับมาปลอบประโลมเธอกลับเสียอย่างนั้น ทันใดนั้นเองหัวใจก็รู้สึกแย่มากขึ้นไปกว่าเดิม แต่ทว่า กลับกันนั้นเองก็ทำได้เพียงแค่ยกมือของตนเองขึ้นมา ก่อนจะไปช่วยเช็ดหยาดเหงื่อที่หน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบา

โอหยางจวิ้นพันแผลให้กับตนเองเสร็จแล้ว ก่อนนั่งทิ้งตัวลงบนหาดทราย บนร่างทุกที่นั่นแทบจะเต็มไปความเจ็บปวดที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องอยู่เลยก็ไม่ปาน สมองกลับเป็นเพราะว่าแสงอาทิตย์เช่นนี้กลับทำให้รู้สึกง่วงงุนเลือนรางจนอยากที่จะหลับไป

เขาถามว่า “หวันหว่าน ตอนนี้มีของอะไรที่สามารถใช้การได้หรือเปล่า?”

สือจินหว่านทำไม้ทำมือก่อนจะเอ่ยว่า “หนูจะรีบไปดูค่ะ!”

เธอรีบวิ่งไปดู ก่อนจะหยิบกล่องเครื่องมือมากล่องหนึ่ง ด้านในมีมีดเล่มเล็กอยู่ มีไฟแช็กหนึ่งอัน อีกทั้งยังมีเชือกอีกสองสามเส้นด้วย

หลังจากนั้น ทางด้านข้างยังมีเสื้อผ้าสองสามชุดที่ยังไม่ได้ถูกเผาหมด มีร่มหนึ่งคัน กับอาหารที่เหลือน้อยมากหนึ่งส่วน และขวดน้ำแร่อีกหลายขวด

เธอนำสิ่งของใส่ในกระเป๋าเดินทางที่ไม่ไหม้อีกครึ่งหนึ่งใบนั้น ก่อนจะอุ้มกระเป๋าเดินทางแล้วกลับมาหา หลังจากนั้นก็กางร่ม

ทันใดนั้นเอง ด้านบนศีรษะของโอหยางจวิ้นก็มีความร่มรื่นเป็นวงกว้าง รู้สึกว่าสบายใจขึ้นมาแล้วเล็กน้อย

สือจินหว่านปักก้านร่มเอาไว้บนชายหาด หลังจากนั้น ก็หันไปวาดไม้วาดมือกับโอหยางจวิ้น “คุณอาจวิ้นคะ ฉันจะไปทำน้ำมานะคะ”

เขาพยักหน้า มองเธอถือเสื้อที่ทำมาจากฝ้ายแล้ววิ่งไปทางทะเล ทำให้เปียกก่อนจะบิดให้แห้ง ตามต่อมาด้วยวิ่งกลับมาที่ข้างกายของเขา

เธอคุกเข่าลง ก่อนจะช่วยเขาเช็ดเหงื่อ

สือจินหว่านมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว บนใบหน้าของโอหยางจวิ้นไม่มีบาดแผล มีรอยเลือดในริมฝีปากและจมูกที่ไหลออกมา

ดังนั้นแล้ว เธอเช็ดใบหน้าของเขาด้วยน้ำทะเลอย่างคลายใจลง ภายในหัวใจกำลังคิด พวกเราไม่มีเครื่องมีติดต่อสื่อสารเลย กุญแจของเครื่องบินก็ถูกไฟเผาไปแล้ว อยากที่จะกลับบ้าน อีกทั้งก็ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานมากแค่ไหน

ถ้าอย่างนั้นแล้ว น้ำจืดในขวดน้ำแร่เหล่านั้น ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก

“หวันหว่าน ฉันไม่เป็นไร หนูพักสักหน่อยเถอะ” โอหยางจวิ้นมองเห็นว่าที่หน้าผากของสือจินหว่านนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงกดมือเธอให้หยุดเอาไว้

เธอหันไปส่ายหน้ากับเขา แสดงออกว่าตนเองไม่เป็นไร โอหยางจวิ้นเห็น ริมฝีปากของสาวน้อยนั้นกัดเม้มเข้าหากันแน่น ท่าทางแทบจะร้องไห้ออกมาแล้วแต่ว่าก็ยังคงฝืนอดทนเอาไว้อยู่ ดูน่าเวทนาจนทำให้คนใจเจ็บ

ยังดีที่เธอไม่เป็นไร เขาเป็นผู้ชาย บาดเจ็บเล็กน้อยเองก็ไม่เป็นไรหรอก

ในวินาทีต่อมา แทบจะเป็นเพราะว่าน้ำทะเลในเส้นผมนั่นเข้าไปยังบาดแผลที่ลำคอ จู่ ๆ สือจินหว่านก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แรง ๆ หนึ่งหน

“หวันหว่าน ให้ฉันดูหน่อย!” โอหยางจวิ้นรีบกุลีกุจอเอ่ยขึ้นมา

เธอเบือนหน้า ไม่ได้สนใจความเจ็บปวด ใช้เส้นผมบดบังบาดแผลเอาไว้มากขึ้น

จู่ ๆ น้ำเสียงของเขาก็หนักเพิ่มขึ้นมาหลายส่วนในทันที “เชื่อฟังนะ!”

เธอสบตามองสายตาจริงจังของเขา หลังจากนั้นถึงจะค่อย ๆ ปัดเส้นผมออก เผยให้เห็นบาดแผลนั่นของตนเอง

โอหยางจวิ้นเห็นแล้ว บาดแผลนั้นไม่ถือว่าตื้นมาก แต่ทว่าตอนนี้ก็เกิดการแข็งตัวขึ้นแล้ว บนผิวหนังของเด็กสาวที่ขาวเนียนไม่เคยต้องแสงแดดมาก่อน มันกลับเป็นรอยที่ดึงดูดสายตาได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป ก่อนจะวางทาบทับไปบนใบหน้าด้านข้างของเธอ หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างอบอุ่นว่า “หวันหว่าน เจ็บมากไหม?”

เธอส่ายหน้า ก่อนจะหันไปวาดมือกับเขาว่า “คุณอาจวิ้นคะ ในตอนนั้นทำไมอาต้องให้พวกเขาตีด้วยละคะ? พวกเขาไม่กล้าที่จะฆ่าฉันจริง ๆ หรอกค่ะ”

เธอไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้สงบเยือกเย็นลงแล้ววิเคราะห์ขึ้นมา ฝั่งตรงข้ามนั้นแม้กระทั่งโอหยางจวิ้นก็ล้วนแล้วแต่ไม่กล้าที่จะลงมือจนตาย นั่นก็เป็นหลักฐานได้เลย ว่าจริง ๆ แล้วนั้นก็คือการรับเงินมาเพื่อสั่งสอนเขาครั้งหนึ่ง

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมต้องไม่ทำอะไรต่อเธอจริง ๆ อย่างแน่นอน

โอหยางจวิ้นถอนหายใจ “หวันหว่าน ฉันไม่กล้าเอาหนูไปเสี่ยงอันตรายหรอก แม้แต่นิดเดียวก็ไม่กล้าที่จะเอาไปพนัน”

สือจินหว่านได้ยินคำพูดของเขา จู่ ๆ ก็รู้สึกสับสนขึ้นมาในทันที

ในตอนนี้ สัมผัสที่ปลายนิ้ว แทบจะแปรเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นมาแล้ว

ความรู้สึกลุ่มลึกมากเช่นนั้น ราวกับว่าเป็นคนที่ในยามปกตินั้นมีความสัมผัสใกล้ชิดกันมาก จู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบการคบค้าสมาคมเล็กน้อยเช่นนั้น ทำให้ในตอนที่เธอคิดอยากที่จะศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง ก็ราวกับว่าสัมผัสได้ไม่ถึงแทน

เธอช่วยเขาเช็ดรอยเลือดจนสะอาด แต่ทว่า เมื่อได้มองเห็นใบหน้าหล่อเหล่าของเขาที่ยังคงมีจุดช้ำเป็นจ้ำสีเขียวและบวมเบ่งเป็นก้อนอีกหลายก้อนนั้นแล้ว หัวใจก็เริ่มที่จะรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเสียแล้ว

โอหยางจวิ้นเห็นว่าสีหน้าของหวันหว่านไม่ถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงเอ่ยถามว่า “เป็นอะไรไปน่ะ?”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอส่ายหน้า ก่อนจะหันไปวาดมือกับเขา “คุณอาจวิ้นคะ อาหล่อมากเลยค่ะ!”

เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้ว หลังจากนั้นก็ให้เธอนั่งลง แต่เธอกลับยื่นมือไปช่วยพยุงเขา “คุณอาจวิ้นคะ ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะค่ะ!”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า ภายใต้การช่วยพยุงให้ลุกขึ้นนั่งของสือจินหว่าน หลังจากนั้นก็ดื่มน้ำแร่เล็กน้อย

เขาเห็นว่าเธอไม่ดื่ม จู่ ๆ ก็สัมผัสอะไรขึ้นมาได้ในทันที “หวันหว่าน พวกเรายังเหลือน้ำอีกกี่ขวด?”

หัวใจของสือจินหว่านกระตุกในทันที ก่อนจะวาดมือออกไปห้า

หัวใจของโอหยางจวิ้นผ่อนคลายตัวลงเล็กน้อย เกาะนี้ถึงแม้จะเป็นเกาะส่วนตัว โดยปกติแล้วคนที่สามารถมานั้นน้อยมาก แต่ทว่าถ้าหากว่าเหลือน้ำอีกห้าขวดแล้วละก็ ก็ยังสามารถที่จะประคับประคองไปจนถึงตอนที่จะมีคนมาช่วยพาพวกเขากลับไปได้

“หวันหว่าน ที่นี่ร้อนนิดหน่อย หนูเองก็เหนื่อยแล้ว กางร่มเอาไว้ตรงนี้ก็พอแล้วล่ะ หนูไปพักผ่อนที่ใต้ต้นไม้ทางฝั่งนั้นสักหน่อยเถอะ” เขาเห็นว่าร่มนั้นไม่ได้ใหญ่มาก เขาเอนตัวลงนอน เธอเพื่อที่จะบังให้เขา ร่างทั้งร่างของเธอนั้นแทบจะส่องโดนแดดแล้วเต็ม ๆ เลย

ในความเป็นจริงนั้นมันร้อนนิดหน่อยจริง ๆ อีกอย่างหนึ่ง บวกเข้ากับตากแดดเต็ม ๆ เช่นนี้อีก ประเดี๋ยวน้ำในร่างกายนั้นต้องระเหยออกไปแน่ นั่นจะยิ่งทำให้ต้องการน้ำมากยิ่งขึ้น

สือจินหว่านคิดมาจนถึงตรงนี้แล้ว คิดอยากที่จะฟังคำพูดของโอหยางจวิ้น แต่ทว่า ก็กลัวว่าเขาคนเดียวนั้นจะเป็นอะไรไป ในตอนที่กำลังลังเลอยู่นั้นเอง จู่ ๆ ก็มีความคิดความคิดหนึ่งไหลฉบับพลันเข้ามาทันที

เธอเองก็เอนตัวนอนลง ก่อนจะนอนอยู่ทางด้านข้างของโอหยางจวิ้น หลังจากนั้นก็หดร่างกายจนกลมดิก

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เงาของร่มนั้นจึงสามารถปกคลุมร่างกายโดยส่วนมากของเธอได้

“คุณอาจวิ้นคะ แบบนี้ก็ถือว่าโอเคแล้วหรือยังคะ?” สือจินหว่านหันศีรษะกลับมาด้วยความปีติ ก่อนจะหันไปวาดมือใส่โอหยางจวิ้น

เขาหัวเราะออกมาอย่างหมดคำจะกล่าวเล็กน้อย “โอเค”

กลัวว่าเส้นผมของเธอนั้นจะไปกระทบเข้ากับบาดแผลอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงยื่นมือออกไปช่วยเธอปัดออก

แต่ว่า ในตอนที่ยื่นมือออกไปแล้วนั้นเอง ไม่ทันได้ระวังจึงไปแตะโดนลำคอของเธอเข้าให้เสียแล้ว สัมผัสเกลี้ยงเกลานั้นแล่นเข้าสู่ปลายนิ้วในทันที

จิตใจของโอหยางจวิ้นสั่นไหวเล็กน้อย เมื่อหันสายตากลับมามองดูอีกครั้ง ก็ค้นพบว่าพวกเขานั้นนานกันใกล้มาก แม้กระทั่งเขานั้นก็ยังสามารถมองเป็นเส้นขนเล็ก ๆ บนแก้มของเธอได้เลยทีเดียว

ใบหน้าของเธอนั้นขาวใสละเอียด เดิมก็มองไม่เห็นรูขุมขน เหมือนราวกับที่เขาเคยสังเกตในระยะใกล้ ๆ มาแล้วหลายครั้ง

แต่ทว่า ในตอนนี้องศาที่นอนกันเช่นนี้นั้น กลับเป็นครั้งแรก

“คุณอาจวิ้นคะ?” สือจินหว่านจู่ ๆ ก็เห็นว่าโอหยางจวิ้นนั้นไม่เคลื่อนไหว อดไม่ได้ที่จะสบตามองเขาอย่างสงสัย

มีลมหายใจแผ่วเบาตกกระทบบนใบหน้าของเขา ที่จมูก กระทั่งยังได้กลิ่นหอมของเด็กสาวลอยเข้ามาในทันที

โอหยางจวิ้นจู่ ๆ ก็หลุดออกจากภวังค์อย่างรวดเร็ว ค้นพบว่ามือของตนเองตอนนี้นั้นหยุดอยู่ที่ลำคอของสือจินหว่าน ดังนั้นจึงรีบกุลีกุจอยกมือขึ้น ก่อนจะจัดแจงเส้นผมให้เธอใหม่อีกครั้ง

แต่ทว่า ในตอนที่ประสานสายตาไปเมื่อครู่นี้นั้นเอง จู่ ๆ หัวใจกลับเต้นระรัวมากขึ้น

เพียงแต่ว่า มันกลับไม่ได้รุนแรงมาก ดังนั้นเดิมจึงทำให้คนไม่ได้รู้สึกสนใจอะไร

สือจินหว่านกลับไม่รับรู้เลยว่าจิตใจของโอหยางจวิ้นสั่นไหวไปเมื่อครู่นี้ เธอขยับกายเข้าหาก่อนจะวาดมือกับเขา “คุณอาจวิ้นคะ คุณอาหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่งสิคะ ประเดี๋ยวตื่นขึ้นมาแล้ว พวกเราจะได้ทานอาหารแห้งกันอีกครั้ง”

เขาหยักหน้าหงึกหงัก จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าขนตาของสาวน้อยนั้นยาวมาก ทำให้เขาหวนนึกไปถึงเมื่อตอนที่รับราชการทหาร มีครั้งหนึ่งที่ไปประจำการที่ชนเผ่าดั้งเดิม ก็ได้พบเห็นเข้ากับผีเสื้อชนิดหนึ่งที่มีปีกสีดำโดยบังเอิญ

เธอเห็นเขามองเธอ ทันใดนั้นก็รีบยกยิ้มน้อย ๆ ให้กับเขาในทันที นัยน์ตาล้วนแล้วแต่เป็นประกาย

โอหยางจวิ้นกลับเห็นเงาของตนเองที่ตกอยู่ในดวงตาของเธอ มันล้วนแล้วแต่สดใสน่ามองมากกว่าตอนไหน ๆ

แม่สาวน้อยของเขา นับวันก็ยิ่งสวยขึ้นแล้ว

ท้ายที่สุดแล้วเขานั้นก็เป็นเพราะว่าร่างกายทั้งร่างเจ็บปวดไปทั่ว เรี่ยวแรงประคับประคองต่อไปไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงปิดเปลือกตาลงและหลับไปแล้ว

ได้ยินเสียงลมหายใจก่อนเข้าออกอย่างสม่ำเสมอดังขึ้นที่ข้างใบหู สือจินหว่านถึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

เธอมองดูอาหารที่พวกเขามีอยู่ทั้งหมด คำนวณอยู่ครู่หนึ่งว่าถ้าหากต้องอยู่ที่นี่สามวัน จำนวนที่สามารถบริโภคได้ในทุกวันนั้นแล้ว หัวใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

ตอนนี้โอหยางจวิ้นได้รับบาดเจ็บ จำเป็นที่จะต้องรับประทานอาหารอะไรสักหน่อยเพื่อบำรุงร่างกายและระดับน้ำ ถ้าหากว่าสามวันนั้นล้วนแล้วแต่ไม่พบคนผ่านมาเลย ถ้าอย่างนั้นแล้ว……

สือจินหว่านเดินไปตามฝั่งทะเลอีกหน เห็นว่าตอนนี้ระดับน้ำเริ่มลดลงไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงหยิบกระเป๋าเดินทางชำรุดลอยขึ้นฟ้า หลังจากนั้น รอให้เก็บเปลือกหอยในทะเลมา

ค่อย ๆ ดำเนินมาอย่างเชื่องช้า พระอาทิตย์เริ่มตกแล้ว ระดับน้ำทะเลที่ลดลงไปก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น บนหาดทราย ตอนนี้มีหอยสังข์และปูออกมาแล้ว

สือจินหว่านเหยียบหลังเท้าไปสัมผัสเข้ากับน้ำทะเล ก่อนจะค่อย ๆ เก็บขึ้นมาทีละอัน เมื่อเห็นว่ามีเนื้อแล้ว หลังจากนั้นจึงวางมันเข้าไปในกระเป๋าเดินทางที่ชำรุด

ตามต่อมาด้วยเธอใช้เวลาหาทางด้านข้างของทะเลมาชั่วโมงหนึ่งแล้ว กระเป๋าเดินทางของเธอนั้นบรรจุจนเต็มแล้วจริง ๆ

ในตอนนี้เอง พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปเรียบร้อยแล้ว บนหายทรายนั้นยังคงมีแสงอาทิตย์หลงเหลืออยู่ แต่ทว่ากลับไม่สาดส่องมาแล้ว

สือจินหว่านอุ้มกระเป๋าเดินทางเอาไว้ ก่อนจะหาสถานที่ที่สามารถที่จะจุดไฟได้ หลังจากนั้นก็วางกระเป๋าเดินทางลง ในลำดับต่อมา ก็ไปยังสถานที่ที่มีต้นไม้อีกครั้ง ก่อนจะเก็บกิ่งไม้แห้งมาเป็นจำนวนไม่น้อย

เธอนั้นไม่เคยจุดไฟด้วยตนเองมาก่อนเลย อีกทั้งก็ไม่รู้ด้วยว่าจะสามารถต้มของกินจนสุขได้หรือไม่ แต่ทว่า กลับไม่มีหนทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ทดลองดูเท่านั้นแล้ว

ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าหม้อพับของพวกเขานั้นจะถูกเผาไปแล้ว แต่ทว่า ในเมื่อเป็นสเตนเลส ถึงแม้ว่าสีนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วแต่ทว่าก็ยังคงสามารถที่จะใช้งานได้อยู่

สือจินหว่านทำความสะอาดหม้อ ก่อนจะวางหินเพื่อประคองเอาไว้อย่างดี ก่อนจะตัดใจอย่างเจ็บปวดเป็นอย่างมากเพื่อเปิดขวดน้ำแร่ออกมาขวดหนึ่ง หลังจากนั้นก็นำหอยสังข์ เปลือกหอยและปูใส่ลงไป

ถึงแม้ว่าเปลือกหอยนั้นจำเป็นที่จะต้องแช่ในน้ำจืดก่อนเพื่อที่จะให้คายทรายออกมาถึงจะสามารถรับประทานได้ แต่ทว่า ตอนนี้เงื่อนไขที่มีอยู่นั้นยากลำบากมาก เธอเองจึงทำอะไรไม่ได้มากขนาดนั้น

กว่าจะติดไฟได้ขึ้นมานั้นไม่ง่ายเลย เป็นเพราะกลัวว่าปูนั้นจะปีนหนีออกมา สือจินหว่านจึงใช้หินกดฝาหม้อเอาไว้อยู่ตลอดเวลา

แต่ทว่า ในตอนที่น้ำนั้นค่อย ๆ ร้อนขึ้นมาแล้ว อีกทั้งกลับเผอิญมีปูตัวหนึ่งที่ใช้กล้ามเปิดฝาหม้อเพื่อที่จะปีนหนีออกมาแล้วจริง ๆ

เธอจึงรีบยื่นมือออกไปรับ แต่ประจวบเหมาะเข้ากับถูกอีกฝั่งกระโดดออกมาจนสะเก็ดไปกระเด็นใส่ ทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดก็พรั่งพรูขึ้นมาในทันที

สือจินหว่านเจ็บจนหดมือกลับในทันที ยกขึ้นมาดูหนหนึ่ง บนมือนั้นมีรอยแดงเพิ่มขึ้นมาสามรอยเรียบร้อยแล้ว ไม่นานนัก ก็ขึ้นตุ่มน้ำในทันที

หยาดน้ำตาคลออยู่เต็มดวงตา แต่ทว่า ในตอนที่มองเห็นร่างของคนที่กำลังหลับลึกที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบเมตรนั้นแล้ว เธอจึงกดข่มความเจ็บอีกครั้ง ก่อนจะนำปูใส่เข้าไปในหม้อ ใช้หินกดทับเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งกดเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตายด้วย

ค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ น้ำในหม้อเดือดแล้ว เธอผ่อนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะมองดูมือของตนเองที่ขึ้นตุ่มน้ำ

แทบจะ เป็นเพราะว่าไฟนั้นเปลี่ยนไปเป็นเล็กลงอีกครั้งหนึ่งแล้ว สือจินหว่านกลัวว่าของจะไม่สุก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงรีบไปหากิ่งไม้มาอีกครั้ง

รอให้กิ่งไม้ทั้งหมดนั้นเผาไหม้หมดแล้ว ที่จมูก ตอนนี้ก็เริ่มมีกลิ่นหอมพัดโชยเข้ามาแล้ว

เธอนั้นราวกับว่าหิวขึ้นมาเป็นอย่างมากแล้วเล็กน้อย

เธอรีบวิ่งกลับไปที่ทางด้านข้างของโอหยางจวิ้น บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ

“หวันหว่าน ท้องฟ้าจะมืดแล้วอย่างนั้นหรือ?” โอหยางจวิ้นสับสนเล็กน้อย “ฉันนอนไปตลอดบ่ายเลยหรือ?”

สือจินหว่านพยักหน้า “คุณอาจวิ้นคะ ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างคะ ดีขึ้นหน่อยแล้วหรือยังคะ?”

“ดีขึ้นแล้วล่ะ” โอหยางจวิ้นถึงแม้ว่าจะพูดออกมาเช่นนี้แล้ว แต่ทว่า ก็ยังคงรู้สึกว่าร่างกายบางเบา หัวใจของเขารู้สึกไม่สงบเล็กน้อย เขา แทบจะเป็นไข้แล้ว……

“คุณอาจวิ้นคะ ตรงนี้ห่างจากทะเลใกล้มากเกินไปแล้วค่ะ หนูกลัวว่าน้ำจะสูงขึ้นในตอนกลางคืน” หวันหว่านวาดมือไป “พวกเราไปกันที่ฝั่งนั้นดีไหมคะ คุณอาสามารถเดินได้หรือเปล่าคะ?”

“ลองดูกันเถอะ” โอหยางจวิ้นพูดไป ก่อนจะประคองตัวลุกขึ้นนั่ง

สือจินหว่านเดินมาที่ด้านข้างของเขา ก่อนจะใช้ไหล่รับแขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ หลังจากนั้น จึงออกแรงเพื่อพยุงเขาขึ้นมา

นับตั้งแต่ที่ได้เรียนรู้การทำอาหารจานนั้นจากภรรยาของแจ็ค หวันหว่านก็มองหาโอกาสที่จะทำอาหารให้โอหยางจวิ้นทานอยู่ตลอดเวลา

แต่เมื่อเธอกลับมาที่บ้านตระกูลเพอร์เซลล์ก็มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

ตั้งแต่ที่มู่ยวี๋ฮั่นหมั้นหมาย เธอได้ทำงานเป็นแพทย์ในค่ายทหารอเมริกันอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อเธอไปปฏิบัติภารกิจก็ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างกะทันหัน ได้รับบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไป

เมื่อทุกคนทราบข่าวก็รีบไปโรงพยาบาลในทันที แต่มู่ยวี๋ฮั่นยังคงอยู่ในห้องฉุกเฉิน

เมื่อเห็นทุกคนเดินไปมาอย่างกังวล หวันหว่านก็อดไม่ได้ที่จะถามโอหยางจวิ้น “อามู่จะออกมาเมื่อไหร่คะ?”

โอหยางจวิ้นตบไหล่หวันหว่านแล้วพูดกับเธอเบาๆ “หวันหว่าน ไม่ต้องกังวลนะ อามู่แข็งแรงมาก อีกสักพักคงได้ออกมาแต่ตอนนี้ดึกมากแล้วหนูกับเฉียวซือกลับบ้านไปก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมอามู่โอเคไหมคะ?”

แม้ว่าหวันหว่านจะเป็นห่วงมู่ยวี๋ฮั่นมาก แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ไม่ดี เธอจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นคนขับรถก็พาเธอกับเฉียวซือกลับบ้าน

แต่ฝันร้ายที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือศีรษะของมู่ยวี๋ฮั่นได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสและการรับรู้ของเธอต่ำมาก แพทย์ได้ออกมาแจ้งอาการเจ็บป่วยอย่างร้ายแรงหลายครั้งติดต่อกัน

ในตอนกลางคืนเมื่อหวันหว่านกับเฉียวซืออยู่ในบ้าน พวกเขารู้สึกถึงบรรยากาศที่แตกต่างมันดูเงียบสงัดมาก

เฉียวซือคิดถึงพ่อของเขา แม้ว่าพ่อจะจากไปเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว แต่สถานการณ์ในวันนี้ก็ดูคล้ายกับสถานการณ์ตอนนั้นมาก

เขาจับมือของหวันหว่านแล้วพูดว่า “หวันหว่านไม่ต้องกังวล ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอตลอดไป!”

เด็กสองคนนอนอยู่บนโซฟาแล้วผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่คนใช้ได้อุ้มพวกเขาไปนอนบนเตียงแล้ว

ไม่กี่วันต่อมาก็มีรถพยาบาลขับมาที่บ้านตระกูลเพอร์เซลล์ มีคนช่วยยกมู่ยวี๋ฮั่นลงมาอย่างระมัดระวังแล้วส่งไปที่ห้องพยาบาลที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

ก่อนที่จะเข้าไปในห้องพยาบาลต้องผ่านการฆ่าเชื้อก่อน ดังนั้นหวันหว่านจึงทำได้เพียงมองผ่านประตูกระจก เธอถามโอหยางจวิ้นด้วยความสงสัย “คุณอาคะ ทำไมอามู่ยังไม่ฟื้นอีกล่ะค่ะ?”

เขามองดูเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักหน่วง “หมอบอกว่าอามู่อาจกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเป็นเวลานาน หนูอย่ารบกวนเธอนะ เธอเหนื่อยกับการทำงานมากเกินไป จึงนอนได้นานโดยไม่ตื่นขึ้นมา!”

หวันหว่านพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องเผชิญกับความตายและความเจ็บป่วยในระยะใกล้ขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากในชั่วข้ามคืน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือการนอนแบบนี้จะคงอยู่มานานถึงสามปี

ตระกูลเพอร์เซลล์เริ่มนั่งไม่ติด รู้สึกว่าการแต่งงานของโอหยางจวิ้นล่าช้าเกินไป และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ลูกๆ หลานๆ จะต้องเป็นโสดไปตลอดชีวิตงั้นหรือ? !

ดังนั้นการหาคู่จึงถูกนำเข้าสู่วาระการประชุมของตระกูล

สือจินหว่านซึ่งตอนนี้อายุครบสิบเอ็ดขวบ ได้โตเป็นสาวสวยที่หุ่นดีและผอมเพรียว

เพราะสือมูเฉินเป็นคนตัวสูง เธอจึงสืบทอดยีนนั้นไปแล้ว โดยสูงถึงร้อยหกสิบสองเซนติเมตร แต่เมื่ออยู่ในสังคมของฝรั่งเธอยังดูเด็กมากๆ

อาจเป็นเพราะเธอเห็นโอหยางจวิ้นขับเครื่องบินตั้งแต่เธอยังเด็ก เมื่อตอนที่เธออายุสิบขวบเธอจึงขอร้องให้เขาสอนเธอ

ในวันนี้เธอกำลังขับเฮลิคอปเตอร์ของตระกูลเพอร์เซลล์โดยมีโอหยางจวิ้นนั่งอยู่ข้างๆ เธอ ทั้งสองออกเดินทางจากบ้านตระกูลเพอร์เซลล์มุ่งหน้าไปยังเกาะเล็กๆ ทางตอนใต้

เครื่องบินบินอย่างราบรื่นและมั่นคงในอากาศ หวันหว่านคิดว่าในอีกสองปีเมื่อเธอได้รับการผ่าตัดทุกอย่างจะต้องดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

เฉียวซือตั้งแต่เขาอายุสิบขวบก็ได้สมัครเข้ารับการฝึกวิชาทหารในช่วงสุดสัปดาห์ ตอนนี้ได้ยินมาว่าเขายิงปืนค่อนข้างดีเลยทีเดียว

เครื่องบินลงจอดบนเกาะ โอหยางจวิ้นได้หยิบเอากล่องที่มีล้อลากสองกล่องออกมาแล้วพูดว่า “หวันหว่าน ไปกันเถอะ ไปเลือกที่สำหรับกางเต็นท์กัน เสร็จแล้วเตรียมทำอะไรอร่อยๆ กินกันนะ!”

สือจินหว่านพยักหน้าแล้วถือกระเป๋าของตัวเองไปพร้อมกับโอหยางจวิ้น เดินมาสักพักก็ได้พบชายหาดที่พื้นค่อนข้างเรียบ เธอใช้ภาษามือพูดกับเขา“ตรงนี้โอเคไหมคะ?”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า จากนั้นทั้งสองก็กางเต็นท์ด้วยกันเพื่อป้องกันแสงแดดอันเจิดจ้า

“คุณอาเตรียมจุดไฟเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปดูที่ชายหาดว่ามีปูหรือเปล่า” สือจินหว่านทำท่าโบกมือแล้วเดินออกจากเต็นท์ไปที่ชายหาด

ในขณะนี้มีผู้ชายหลายคนรวมตัวกัน “คนสวย มาว่ายน้ำด้วยกันไหมจ๊ะ!”

สือจินหว่านขมวดคิ้วแล้วถอยกลับด้วยความตื่นใจ

แต่มีชายคนหนึ่งมาคว้าข้อมือเธอไว้แล้วลากเธอลงไปในน้ำ

สือจินหว่านตกใจกลัวมาก แม้ว่าเธอจะว่ายน้ำได้ แต่ก็ว่ายได้ไม่ดีนัก ตอนนี้เธอต้องการเรียกโอหยางจวิ้นแต่เธอไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้

เมื่อโดนลากลงไปในน้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงใช้ภาษามือกับชายเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจ

ชายอีกคนหนึ่งพูดจาลวนลามเธอ”ทำในน้ำสบายกว่าเยอะ! สาวน้อย พี่จะสอนน้องเอง!”

ระดับน้ำถึงคอแล้ว ทุกครั้งที่คลื่นมาน้ำได้เข้าไปในจมูกของเธอเต็มๆ สือจินหว่านรู้สึกสิ้นหวังมากขึ้น ชายคนนี้เริ่มถอดเสื้อผ้าของเธอ!

เธอตกใจและดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง เธอได้กลืนน้ำทะเลเข้าไปเยอะมาก!

ในขณะนี้เสียงสังหารก็ดังขึ้น โอหยางจวิ้นเดินก้าวเข้ามา “ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้นะ!”

ชายหลายคนบนฝั่งมองหน้ากัน แล้วเข้าล้อมตัวของโอหยางจวิ้นไว้ในทันที

โอหยางจวิ้นจ้องมองพวกเขา “พวกนายไม่สามารถจัดการกับฉันได้หรอก!”

“งั้นถ้าเพิ่มเขามาอีกคนล่ะ?” ชายหนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา โอหยางจวิ้นเห็นว่าคนที่อยู่ในน้ำได้เอาดาบสั้นจี้ตรงคอของหวันหว่านแล้ว!

เขาตกตะลึง แน่ใจได้ในทันทีว่าคนเหล่านี้มุ่งเป้ามาที่เขาโดยตรง!

“พวกแกเป็นใคร?” เขานึกคิดรายชื่อบุคคลที่มีความเป็นไปได้ในใจ

“แกไม่จำเป็นต้องสนใจว่าพวกเราเป็นใคร เพราะแกทำให้บางคนขุ่นเคืองใจ เขาเลยจ้างพวกเรามาจัดการแกยังไงล่ะ!” ชายที่อยู่ในน้ำพูดพร้อมกับกดดาบสั้นลงกับคอของสือจินหว่านแน่นขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปที่โอหยางจวิ้นแล้วพูดว่า “ยกมือขึ้นแล้วคุกเข่าลง!”

โอหยางจวิ้นเห็นว่าภายใต้แสงแดดที่สาดส่องมีรอยแดงปรากฏขึ้นบนคอขาวสะอาดของสือจินหว่าน

เขาไม่ลังเลอีกต่อไป เขายกมือขึ้นแล้วคุกเข่าลง

ขณะที่เขาเห็นเขาคุกเข่าลง ดวงตาของสือจินหว่านก็เบิกกว้างขึ้นในทันที เธอต้องการให้เขาไม่ต้องสนใจเธอ แต่เธอไม่สามารถเปล่งเสียงได้ ร่างกายของเธอถูกคุมขังจึงไม่สามารถใช้ภาษามือได้

“ซ้อมให้เกือบตายเลย!” ชายที่เป็นเหมือนหัวหน้าสั่งการ “แต่อย่าให้ตายจริงๆ ไม่เช่นนั้นตระกูลเพอร์เซลล์จะตามหาพวกเราเจอได้”

เมื่อลูกน้องได้รับคำสั่งก็เข้าล้อมเขาทันที มีคนเจอดาบสั้นในกระเป๋าของโอหยางจวิ้น จากนั้นพวกเขาก็โยนมันทิ้งและพวกเขาก็เริ่มต่อยและเตะเขา

สือจินหว่านเคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนที่ไหนกัน เธอรู้สึกว่าการที่เขาโดนซ้อมดูเหมือนจะกระทบเข้ากับหัวใจของเธอ

เธอดิ้นรน แต่ชายที่อยู่ข้างหลังเธอจับเธอไว้แน่น เธอรู้สึกได้ว่ามีเลือดออกที่คอของเธอ ดูเหมือนว่าถ้าลึกลงไปอีกอาจจะโดนหลอดลมของเธอได้

เธอเริ่มน้ำตาคลอเบ้าแต่เธอสามารถเปล่งเสียงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเห็นว่าโอหยางจวิ้นถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคน เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอถูกคว้าหัวใจออกมา!

นี่คือคุณอาจวิ้นของเธอไง เขาเคยโดนปฏิบัติแบบนี้ด้วยเหรอ?

ตอนนี้เขาคงเจ็บปวดมาก ทำไมเธอถึงพูดไม่ได้และสู้คนอื่นไม่ได้ เธอเป็นตัวถ่วงของเขา? !

“หวันหว่าน อย่าร้องไห้” โอหยางจวิ้นมองดูสาวน้อยของเขาที่กำลังร้องไห้เหมือนหัวใจที่แตกสลาย เขารู้สึกว่าเจ็บปวดในใจยิ่งกว่าเจ็บร่างกายซะอีก“อย่าดิ้นแรง ระวังตัวเองจะได้รับบาดเจ็บเอา!”

“WOW แกไม่เหมือนโอหยางจวิ้นอย่างในข่าวลือเลย! แกรักเด็กผู้หญิงคนนี้มากเลยหรือ?” ชายคนนั้นหัวเราะแบบยั่วโมโห “งั้นฉันจะนอนกับเธอต่อหน้าของแกตอนนี้เลยดีไหม?”

นัยน์ตาของโอหยางจวิ้นลึกขึ้น พายุมรสุมก่อตัวขึ้นในดวงตาของเขา เต็มไปด้วยพลังแห่งการสังหาร “ก็ลองดูสิ ฉันรับประกันได้เลยว่าไม่ว่าจะเป็นเพอร์เซลล์หรือhonor แกจะโดนแล่เนื้อออกมาทีละชิ้น ทรมานอยากจะตายแต่ก็ไม่ตาย อยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ไม่ได้แล้ว

ชายคนนั้นมองดวงตาที่อาฆาตของโอหยางจวิ้น และทันใดนั้นก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที

เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่มีความคิดริเริ่มที่ลงมือ แต่ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกหนาวๆ ที่ฝ่าเท้า

ทันใดนั้นเขาก็เริ่มคิดว่ามันคุ้มไหมที่ต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงกับเงินหลายล้านดอลลาร์?

เมื่อนึกได้เช่นนี้เขาไม่กล้ารอช้าอีกต่อไป

ดังนั้นเขาจึงสั่งลูกน้องอีกหลายคนว่า “พวกเราเตรียมตัวกลับ หักขาของมัน อย่าให้มันวิ่งตามทัน!”

ชายหนึ่งในนั้นหยิบดาบสั้นขึ้นมาแล้วแทงไปที่ขาของโอหยางจวิ้น เขากระแทกมันลงไปอีกครั้ง จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไป

โอหยางจวิ้นอยากจะลุกขึ้น แต่ขาซ้ายของเขาเจ็บมากจนไม่สามารถขยับได้ชั่วขณะหนึ่ง

เมื่อชายที่อยู่ในน้ำเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงรีบผลักเธอออกไปแล้วรีบวิ่งหนีไป

สือจินหว่านขึ้นมาจากน้ำก็รีบวิ่งไปทางโอหยางจวิ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าน้ำตาจะทำให้สายตาพร่ามัว แต่เธอก็สามารถเห็นเลือดสีแดงสดเต็มขาของเขาได้

“ไม่ร้องไห้นะคะ อาไม่เป็นไรแล้ว” ริมฝีปากของโอหยางจวิ้นเต็มไปด้วยเลือด

สือจินหว่านกัดฟันมองดูอาการบาดเจ็บที่น่องของโอหยางจวิ้น เธอเอามือไปห้ามเลือดไม่ให้ไหล

เขาส่ายหัวให้เธอ “หนูจับไม่ได้ ไปที่เต็นท์ของเราแล้วหาผ้ามาห่อ”

สือจินหว่านพยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วรีบวิ่งไปที่เต็นท์

เมื่อมองเข้าไปก็เห็นเต็นท์ล้อมรอบไปด้วยเปลวไฟซึ่งทำเอาหัวใจของเธอจมดิ่งลงในทันที

หลังจากรีบวิ่งไปดูเธอก็พบว่าสิ่งของที่นำมาส่วนใหญ่นั้นถูกไฟเผาไปหมดแล้ว รวมทั้งโทรศัพท์มือถือของเธอและโอหยางจวิ้น ตลอดจนของกินและของใช้มากมาย

เธอรู้สึกสิ้นหวังมาก แต่เมื่อคิดได้เธอทำได้เพียงหันหลังกลับแล้วถอดเสื้อกันแสงแดดออก

“หวันหว่าน ทำไมหนูไม่เอาของมาล่ะ?” โอหยางจวิ้นถาม เมื่อเขาหันศีรษะไปมองก็ได้เจอกับเปลวไฟในระยะไกล เขาเข้าใจทุกอย่างได้ในทันใด

ชายเหล่านี้มีเป้าหมายคือพวกเขาจริงๆ ต้องโทษเขาที่ประมาทปล่อยให้เธอไปเก็บปูเพียงลำพัง ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือแล้ว แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี?

ในขณะนี้สือจินหว่านกำลังนั่งยองๆ มองดูบาดแผลของโอหยางจวิ้น เธอรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก เธอตัวสั่นบีบมือของตัวเองแล้วเริ่มพันแผลให้เขา

“หวันหว่าน เดี๋ยวอาทำเอง” โอหยางจวิ้นหยิบเสื้อกันแสงแดดของเธอมาพันแผลเอาไว้ “ไม่ต้องกลัว เมื่อตอนที่อารับราชการทหารได้รับบาดเจ็บมากกว่านี้อีก แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก!”

ช่วงสองเดือนที่หวันหว่านอยู่ในประเทศจีนสือมูเฉินได้จ้างคนมาสอนเธอวาดภาพอย่างเป็นระบบ

เฉียวซือที่อยู่ข้างๆ หวันหว่านรู้สึกว่าตัวเองควรเรียนภาษาจีน ดังนั้นเขาจึงพยายามคุยกับคนรับใช้ในบ้าน ไม่ว่าจะเห็นสิ่งของอะไรก็จะถามไปหมด ส่งผลให้เขาได้ค่อยๆ ได้เรียนรู้คำศัพท์มากมาย

หยานโม่หานมาเธอทุกวัน ตัวแทบจะติดกับหวันหว่านทุกวัน

หลายครั้งที่เล่นจนเหนื่อยก็จะนอนพักที่บ้านสือมูเฉิน แทบไม่ได้กลับบ้านด้วยซ้ำ

โรงเรียนประถมศึกษาในเครือเพอร์เซลล์ได้เริ่มเปิดเรียนแล้ว หวันหว่านและเฉียวซือได้สือมูเฉินและโอหยางจวิ้นมาส่งเข้าโรงเรียนวันแรก

ดูเหมือนชีวิตบทใหม่จะได้เริ่มขึ้นแล้ว ทั้งแปลกใหม่และไม่คุ้นเคย

หวันหว่านพูดไม่ได้ คุณครูรู้ถึงจุดนี้มาก่อนสักพักแล้ว

เฉียวซือไม่มีพ่อแม่ ดังนั้นทั้งสองจึงได้นั่งที่โต๊ะเดียวกัน

โรงเรียนประถมจะต้องไปรับไปส่งในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่บางครั้งเมื่อไปรับมู่ยวี๋ฮั่นก็จะไปด้วย

ดูเหมือนว่าชีวิตของผู้ใหญ่จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เว้นแต่ว่าวันเวลาที่ผ่านไป วันแต่งงานของโอหยางจวิ้นและมู่ยวี๋ฮั่นก็ใกล้เข้ามาทุกที

ในวันนี้ตระกูลเพอร์เซลล์ได้ลงนามในคำสั่งซื้อจำนวนมาก เนื่องจากผลกำไรสูง ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้

โอหยางจวิ้นเห็นว่าหวันหว่านเบื่อหน่ายกับการเรียนทุกวัน ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะไปตรวจงานและถือโอกาสพาเธอไปพักผ่อนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย

จริงๆ แล้วเฉียวซือก็ต้องไปด้วย แต่เขาดันมีอาการท้องเสีย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพักผ่อนอยู่บ้าน

ในคืนวันศุกร์โอหยางจวิ้นและหวันหว่านขึ้นเครื่องบินไปยังเมืองทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา

เนื่องจากมีการพบการขุดเพชรจำนวนมากในเมืองเล็กๆ ดังนั้นทั้งสองจึงต้องนั่งรถออฟโรดอีกคันในเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึงเมืองเล็กๆ นั้นด้วยกัน

เขาทั้งสองพักในโรงแรมเล็กๆ ของท้องถิ่น โอหยางจวิ้นติดต่อผู้รับผิดชอบของที่เมืองนี้ไว้แล้ว เขาวางแผนไว้ว่าจะไปดูเหมือง หลังจากนั้นจะพาหวันหว่านไปยังจุดชมวิวธรรมชาติที่มีชื่อเสียงในบริเวณใกล้เคียง

ใช้เวลาไม่นานผู้รับผิดชอบก็มารับทั้งสองคนไปที่เหมือง หลังจากการตรวจสอบโอหยางจวิ้นได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้รับผิดชอบของที่นี่ จากนั้นก็พาหวันหว่านไปยังจุดชมวิวแห่งนั้น

บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียว โอหยางจวิ้นจับมือหวันหว่านเดินไปเรื่อยๆ ขณะที่เดินไปนั้นเขาได้พบมุมที่เหมาะกับการถ่ายรูป

หวันหว่านชอบสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์แบบนี้มาก ทั้งสองมานั่งพักผ่อนริมแม่น้ำ โอหยางจวิ้นก้มหน้าไปมองในแม่น้ำเพื่อดูว่ามีปลาหรือเปล่า แต่หวันหว่านนั้นนอนหงายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วเริ่มคำนวณว่าต้องทำการผ่าตัดอีกกี่ครั้งถึงจะพูดได้

เนื่องจากที่นี่มีนักท่องเที่ยวไม่มากนักในแม่น้ำจึงมีปลาจริงๆ

โอหยางจวิ้นหยิบขวดน้ำมาแล้วใส่แฮมลงไป รอคอยอย่างเงียบๆ และแล้วก็จับปลาตัวเล็กได้สองตัวจริงๆ

เขาหยิบปลาขึ้นมาแล้วมองไปที่หวันหว่าน“หวันหว่าน อามีอะไรจะให้!”

ดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยเป็นประกาย เธอรีบลุกขึ้นมารับไว้ เธอมองดูปลาตัวน้อยที่มีความยาวเพียงสามเซนติเมตร ทำเอาเธอถึงกับยิ้มจนตาหยี

เมื่อเดินไปตามแม่น้ำ ถนนข้างหน้าก็เริ่มชันขึ้น โอหยางจวิ้นกอดหวันหว่านแล้วพูดกับเธอว่า“เมื่อเราไปถึงยอดเขา อาจะพาหนูไปเจอเพื่อนคนหนึ่ง เราจะพักที่บ้านของพวกเขา เพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้เช้า”

หวันหว่านรู้สึกตื่นเต้นในทันที เธอเคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเล แต่ที่ภูเขาเธอไม่เคยเห็นมาก่อน

ภูเขาลูกนี้ไม่สูงมากนัก หลังจากสามชั่วโมงผ่านไปทั้งสองก็มาถึงบ้านบนยอดเขา

เพื่อนของโอหยางจวิ้นเป็นทหารผ่านศึก เมื่อเขาเห็นว่าโอหยางจวิ้นพาเด็กมาด้วยเขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดแซว “ไม่ได้เจอนายแค่ไม่กี่ปี มีลูกโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย?!”

โอหยางจวิ้นยิ้ม“เธอถือว่าเป็นหลานสาวของฉันน่ะ! ฉันเพิ่งหมั้น ฉันจะมีลูกได้ยังไงล่ะ!”

ทหารผ่านศึกแจ็คปีนี้อายุเพิ่งครบห้าสิบปีกว่าๆ เขาเดินทางไปหลายสถานที่พร้อมกับภรรยา แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่อย่างสันโดษ

ทั้งสองไม่มีลูกเมื่อเจอหวันหว่านก็รู้สึกชอบในทันที พวกเขาได้เตรียมอาหารมื้อใหญ่ไว้รอต้อนรับเรียบร้อยแล้ว

ในตอนเย็นทุกคนร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน โอหยางจวิ้นและแจ็คไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว ส่วนหวันหว่านเดินไปหาภรรยาของแจ็คแล้วชี้ไปที่จานอาหารและหม้อ

ภรรยาของแจ็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หวันหว่านอยากเรียนทำอาหารจานนี้ใช่ไหมจ๊ะ?”

หวันหว่านพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

ภรรยาของแจ็คมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อายุไม่เกินเจ็ดขวบ เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “ทำไมหนูถึงอยากทำอาหารล่ะ? หนูยังเด็กมากเลยนะ!”

หวันหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเริ่มเขียนว่า “เพราะเซฟที่บ้านทำไม่ได้ค่ะ แต่หนูคิดว่าอาจวิ้นชอบกินเมนูนี้มากเลยค่ะ!”

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะยิ้ม”ช่างเป็นเด็กดีและฉลาดอะไรเยี่ยงนี้ มาสิจ๊ะ ป้าจะสอนหนูเอง!”

หวันหว่านมองดูภรรยาของแจ็คเตรียมวัตถุดิบและเครื่องปรุงรส หวันหว่านจึงตั้งใจจดชื่อเครื่องปรุงและขั้นตอนการทำ สุดท้ายเธอยืนบนเก้าอี้นั่งเล็กๆ เฝ้ามองดูภรรยาของแจ็คนำเครื่องปรุงและวัตถุดิบลงในหม้อ

“พอจะเข้าใจบ้างไหมจ๊ะ?” ภรรยาของแจ็คยิ้มหวาน “ป้าเคยเป็นแม่ครัวในค่ายทหาร มีหลายคนมาขอเรียนทำอาหารกับป้า แต่หนูเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด!”

หวันหว่านยิ้ม คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขียนข้อความลงกระดาษ“อย่าบอกคุณอานะคะ”

“อยากเซอร์ไพรส์เขาใช่ไหมจ๊ะ?” ภรรยาของแจ็คตบไหล่เธอเบาๆ “ได้สิจ๊ะ นี่เป็นความลับระหว่างเรา เราจะไม่บอกใครอย่างแน่นอน!”

เนื่องจากบ้านของแจ็คเป็นบ้านที่สร้างเองจึงมีเพียงสองห้องนอนเท่านั้น หวันหว่านยังเด็กอยู่ ภรรยาของแจ็คจึงนำผ้าห่มมาให้อีกผืนแล้วพูดว่า “แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่กลางคืนก็หนาวมากและจำเป็นต้องห่มไว้สักหน่อย ดีกว่าปล่อยให้เด็กเป็นหวัด!”

โอหยางจวิ้นพยักหน้าแล้วนอนลงบนเตียงที่กว้างเพียง1.5 เมตรพร้อมกับหวันหว่าน

เนื่องจากบ้านตระกูลเพอร์เซลล์นั้นมีพื้นที่กว้างขวางมาก หวันหว่านจึงมีห้องนอนเป็นของตัวเองตั้งแต่ยังเด็กมากๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้นอนห้องเดียวกับโอหยางจวิ้น

เธอรู้สึกแปลกๆ เธอจึงใช้ภาษามือคุยกับโอหยางจวิ้น “คุณอา ช่วยเล่านิทานให้หนูฟังหน่อยได้ไหม?”

โอหยางจวิ้นพยักหน้าและนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้เล่านิทานก่อนนอนให้เธอฟังมาเป็นเวลานานแล้ว

เขากำลังจะเริ่มเล่า แต่เธอก็ขัดจังหวะเขา “คุณอาคะ พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมปลุกหนูนะคะ หนูกลัวตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทันค่ะ”

“ไม่ต้องกังวลนะ อาต้องปลุกหนูอยู่แล้ว!” โอหยางจวิ้นจูบหน้าผากของเธอ“นอนได้แล้วนะ”

“อืม” เธอพยักหน้าและใช้ภาษามือกับเขา “คุณอาชอบอาหารเย็นของวันนี้ไหมคะ?”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า “อาเคยกินในค่ายทหารมาหลายครั้งแล้ว รสชาติไม่เลวเลย อาอยากกินรสชาตินี้อยู่ตลอด!”

หวันหว่านคิดว่ารอให้เธอโตก่อนแล้วแอบทำให้เขาทานสักครั้งเขาจะดีใจไหมนะ?

โอหยางจวิ้นเริ่มเล่านิทาน แต่สักพักหวันหว่านก็ผล็อยหลับไป เพราะเธอง่วงนอนเกินไปในช่วงเวลากลางวัน

เมื่อได้ยินการหายใจที่หลับลึกของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ข้างเขา เสียงเล่านิทานของโอหยางจวิ้นก็ค่อยๆ เบาลง “ในที่สุดพวกเขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข…… ”

เพราะการเล่านิทานครั้งแรกของเขาไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นเขาจึงซื้อหนังสือนิทานและเรียนรู้เรื่องราวของเจ้าชายและเจ้าหญิงในนั้น ตอนนี้จึงสามารถเล่าได้ดีขึ้นมาก

เขาช่วยหวันหว่านห่มผ้าห่ม เธอหลับตานอนไปอย่างเงียบๆ ขนตายาวอย่างละเอียดอ่อนของเธอสวยงามราวกับตุ๊กตาตั้งโชว์

“ราตรีสวัสดิ์นะคะ เจ้าหญิงตัวน้อยของอา” เขาพูดจบก็ปิดไฟนอน

ในตอนกลางคืนบนภูเขาอุณหภูมิต่ำกว่าในตอนกลางวันมาก หวันหว่านรู้สึกหนาวขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงหาที่ที่อบอุ่นโดยสัญชาตญาณ

ในความฝันเธอเห็นหมีตัวใหญ่น่ารัก หมีตัวใหญ่เต็มใจที่จะเป็นหมอนข้างให้เธอ ดังนั้นเธอจึงกอดเข้าไปที่หมีตัวนั้น

โอหยางจวิ้นรู้สึกสัมผัสถึงความนุ่มนวล จิตสำนึกที่เลือนรางของเขามีปฏิกิริยาต่อหวันหว่าน ดังนั้นเขาจึงกางแขนออกแล้วดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขนของเขา

เธอรู้สึกอบอุ่นและผล็อยหลับไปในทันที พร้อมกับยิ้มเล็กน้อยที่มุมริมฝีปากของเธอ

วันรุ่งขึ้นเมื่อหวันหว่านได้ยินเสียงปลุก เธอลืมตาขึ้นก็พบกับดวงตาของโอหยางจวิ้น

เขายิ้มให้เธอ “หวันหว่าน พร้อมจะลุกขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือยังคะ!”

ดวงตาของเธอเป็นประกาย ความง่วงนอนของเธอหายไปในทันที เธอจึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ระวัง ข้างนอกมันหนาว ใส่เสื้อผ้าหนาค่อยออกไป!” โอหยางจวิ้นสวมใส่เสื้อคลุมให้หวันหว่าน แต่เขารู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงรูดซิปเสื้อคลุมออกแล้วดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขนของเขา

ความอบอุ่นและความเอาใจใส่ทำให้หวันหว่านรู้สึกสบายใจ เธออยู่ในอ้อมแขนของโอหยางจวิ้นมองเห็นเพียงใบหน้าของเธอเท่านั้น

เขาพาเธอไปยังที่ที่ดีที่สุดสำหรับการดูพระอาทิตย์ขึ้น ในขณะนี้ท้องฟ้ายังมืดอยู่เล็กน้อยและดูเหมือนว่าพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น

“ใกล้จะขึ้นแล้ว ถ้าหนูรู้สึกแสบตาก็หันไปทางอื่นก่อนนะ” ไม่นานหลังจากที่โอหยางจวิ้นพูดจบ ท้องฟ้าโดยรอบก็เริ่มสว่างขึ้น

ผ่านไปสักพักแสงสีส้มอันอบอุ่นได้ส่องผ่านก้อนเมฆ

“ใกล้จะออกมาแล้ว!” โอหยางจวิ้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป

ทันทีที่เขาพูดจบดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ ออกมา

ราวกับว่าดวงอาทิตย์ค่อยๆ ระเบิดออกมาจากเปลือก มันออกมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว

หวันหว่านปรบมืออย่างตื่นเต้น แล้วยื่นมือออกไปตรงกล้องพอดี ซึ่งโอหยางจวิ้นจับภาพไว้ทัน

ใครก็ตามที่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นย่อมรู้ดีว่าในเวลาไม่ถึงห้านาทีดวงอาทิตย์ได้ขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว เต็มไปด้วยแสงเจิดจ้า

โอหยางจวิ้นเพูดขึ้นว่า “มานี่สิ เดี๋ยวอาจะถ่ายรูปให้!”

เขาใช้แสงและเงาในการถ่ายรูปให้สวยสองสามรูปแล้วยื่นโทรศัพท์ให้เธอดู”หนูชอบไหม”

เธอพยักหน้า รับโทรศัพท์มาแล้วยกขึ้นถ่ายรูปให้โอหยางจวิ้นอย่างตั้งใจ

แจ็คเดินเข้ามาพูดคุยกับทั้งสองคนว่า “มา เดี๋ยวฉันถ่ายรูปคู่ให้!”

แต่แล้วหน้าจอโทรศัพท์ก็ค้าง

เพราะตอนเย็นหวันหว่านต้องกลับไปโรงเรียน หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จทั้งสองก็บอกลาแจ็คและภรรยาของเขา แล้วเดินจูงมือกันอย่างช้าๆ ลงจากยอดเขา

เมื่อกลับไปถึงโรงเรียนก็ดึกมากแล้ว

หวันหว่านเห็นเหมือนมีใครบางคนอยู่ที่หน้าประตูอาคารหอพัก เธอกำลังจะถามโอหยางจวิ้น แต่เห็นเฉียวซือเดินเข้ามาหาพวกเขาพอดี

เขามองหวันหว่านไปมาแล้วพูดว่า “หวันหว่าน ฉันรอเธออยู่ตลอดเลยนะ”

เธอยิ้มให้เขา แล้วหันไปบอกลาโอหยางจวิ้น”คุณอา เจอกันสัปดาห์หน้านะคะ!”

เมื่อเด็กสองคนเดินเข้าไปในอาคารหอพักเรียบร้อยแล้ว โอหยางจวิ้นก็เดินหันหลังกลับบ้าน

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบทสนทนาระหว่างเขากับแจ็คในตอนเย็นของเมื่อวาน

แจ็คบอกเขาว่าปีนี้เขาอายุ 30 ปีแล้ว เขาควรจะแต่งงานและมีลูกแล้วไม่ใช่หรือ?

เขาบอกว่าเขาหมั้นแล้ว และจะแต่งงานในอีกสองเดือนข้างหน้า ส่วนเรื่องมีลูกก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน!

เหมือนแจ็คจะมองเห็นอะไรบางอย่างจากคำพูดของเขา แจ็คลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามเขาว่า นายรักคู่หมั้นของนายหรือไม่?

เขากลับเงียบ ตอบอะไรไม่ได้

แจ็คบอกว่าต้องเป็นแบบเขากับภรรยาแบบนี้ถึงเรียกว่าความรัก ถ้าไม่ใช่นายจะรู้สึกเสียใจกับมันไหม?

สำหรับคำถามนี้สือมูเฉินก็เคยถามเขามาก่อนแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเขาพบว่าเขามีความประทับใจที่ดีต่อมู่ยวี๋ฮั่น แต่มันก็เหมือนเป็นมิตรภาพระหว่างสหายที่ร่วมรบด้วยกันเท่านั้น

สิ่งที่เขาต้องการคือความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ส่วนความรักนั้นมีหรือไม่มีก็ได้ไม่ใช่เหรอ?

โอหยางจวิ้นยืนอยู่ที่ชั้นล่างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จัดการกับความคิดที่ซับซ้อนแล้วเดินออกไป

ต่างก็เป็นเด็กกันทั้งนั้น หวันหว่านก็เลยไม่ได้คิดอะไร แล้วก็คิดว่าตัวเองกำลังกินอยู่ แต่น้องชายและเฉียวซือยังไม่ได้กินเลย ดังนั้นหลังจากที่ตัวเองกินไปแล้วหนึ่งคำ จากนั้นก็ดึงเด็กทั้งสองไปเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบกิน

เด็กทั้งสามก็เล่นด้วยกันอย่างมีความสุขมากๆ หลังจากกินมื้อเที่ยงแล้ว สือจิ่งเหยียนก็ส่งเสียงเอะอะโวยวายจะอยู่นอนกลางวันกับพี่สาว ดังนั้น ทั้งสองคนก็นอนอยู่บนเตียงแล้วก็เล่นของเล่นด้วยกัน และผ่านไปสักพักกว่าจะหลับ

คราวนี้ที่หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินมา ก็ตั้งใจจะมาพักสักสองวัน จากนั้นก็จะพาหวันหว่านกลับไปที่หนิงเฉิงเพื่อไปพักผ่อนในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน

ในตอนเย็น พอทุกคนกินข้าวกันเสร็จแล้ว หลานเสี่ยวถางก็จูงหวันหว่านไปเดินเล่นแถวริมทะเลสาบ

เมื่อหวันหว่านออก ก็มีเพื่อนตัวน้อยสองคนตามออกอย่างเป็นธรรมชาติ ดังนั้นริมทะเลสาบก็กลายเป็นสวรรค์ของเด็กๆ

เป็นเพราะว่าหลานเสี่ยวถางได้บอกกับหวันหว่านเกี่ยวกับเรื่องที่พาเธอกลับไปที่หนิงเฉินแล้ว ดังนั้นเธอจึงคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำท่าทางบอกกับเฉียวซือว่า : “ เฉียวซือ ฉันจะกลับไปพักอยู่ที่หนิงเฉิงกับพ่อแม่สองเดือน นายจะไปด้วยกันกับฉันไหม ?”

เฉียวซือรู้สึกเสียใจ เนื่องจากเขาเพิ่งจะปรับตัวเข้ากับที่เพอร์เซลล์ได้ แล้วนี้ก็ต้องย้ายไปอีกที่แล้วหรอ ?

ความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัยในใจของเด็กที่มีมาตั้งแต่เกิด ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคว้ามือของหวันหว่านเอาไว้ : “ หวันหว่าน เธอไม่ไปได้ไหม ? อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนฉันนะ ”

หวันหว่านก็รีบอธิบายให้เขา : “ หลังจากไปเที่ยวสองเดือน ฉันก็กลับมาแล้ว นายดูสิ นายรู้จักทั้งฉันและจิ่งเหยียน พวกเราไปด้วยกัน นายไม่ต้องกังวล คุณพ่อคุณแม่ต่างก็ชอบนายมากๆ !”

ขนตายาวของเด็กชายห้อยลงมา และดวงตาสีฟ้าของเขาก็แฝงด้วยอารมณ์แห่งความทุกข์เล็กน้อย ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกของชีวิตที่ได้รับความรู้สึกถึงที่จะต้องพึ่งพาอาศัยอยู่กับคนอื่น

ผ่านไปสักพัก เขาก็พยักหน้าให้หวันหว่านและพูดว่า : “ โอเค หวันหว่าน ฉันจะไปด้วยกันกับเธอ ”

“ เยี่ยมไปเลย !” หวันหว่านก็ปรบมือด้วยความดีใจ จากนั้นก็บอกสือจิ่งเหยียนว่า : “ แก พี่เฉียวซือก็ไปเล่นด้วยกันกับพวกเรา ”

สือจิ่งเหยียนพูดกับเฉียวซืออย่างเข้าท่าว่า : “ ยินดีด้วยที่พี่ได้มาเป็นสมาชิกของพวกเรา !”

ในคืนนั้น เฉียวซือก็ยังคงมีความเงียบเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไร หวันหว่านและสือจิ่งเหยียนก็ลากเขามาเล่นด้วยกัน แล้วมันก็ค่อยๆทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นทีละน้อย

และโอหยางจวิ้นที่ยุ่งมาตลอดทั้งวัน หลังจากที่ทักทายแขกที่มากลุ่มสุดท้ายเสร็จแล้ว ในที่สุดก็มีเวลาว่าง

เขาออกมาจากห้อง และมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเงาตัวเล็กเลย เมื่อคิดย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าตลอดวันนี้หวันหว่านจะไม่ได้ตัวติดอยู่กับเขาเลย

คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีความรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยที่อยู่ในใจและรู้สึกไม่ค่อยชิน

เมื่อเดินไปยังทะเลสาบ ก็เจอเข้ากับสือมูเฉินและคนอื่นๆพอดี และเมื่อเห็นเขาก็ได้เอ่ยปากพูดว่า‘ยินดีด้วยนะ’

โอหยางจวิ้นก็ยิ้มและก้มลงมาหวันหว่าน ดังนั้นเขาจึงยื่นแขนออกไปอุ้มสาวน้อยขึ้นมา : “ หวันหว่าน วันนี้เล่นอะไรบ้างเอ่ย ?”

หวันหว่านก็ได้ลืมอารมณ์ที่ไม่มีความสุขของก่อนหน้านี้ไป แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องของตัวเองในวันนี้ และท้ายที่สุดก็บอกกับโอหยางจวิ้นว่า : “ อาจวิ้นคะ หลังจากนี้คุณอาจะไม่มีเวลามาเล่นกับหวันหว่านแล้วใช่ไหมคะ ?”

โอหยางจวิ้นก็รู้สึกตะลึง : “ ทำไมถึงได้พูดแบบนี้ละ ?”

“ พอแต่งงานแล้ว ก็ต้องไปอยู่ด้วยกันกับอีกคน ” หวันหว่านก็ทำท่าทางบอกว่า : “ นอกจากนี้คุณอาและคุณน้ามู่ก็ต้องมีลูก พอถึงตอนนั้น ก็จะไม่อยู่กับหนู……”

“ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ?” โอหยางจวิ้นก็มองไปยังผิวที่เนียนนุ่มของสาวน้อย : “ อย่างไรก็ตาม หวันหว่านก็ยังคงเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของอาจวิ้นตลอดไปดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่อยู่กับหนู เชื่ออานะ !”

เธอก็เบิกตากว้างมองเขาและมองเห็นความแน่นอนในแววตาของเขาอย่างชัดเจน ทันใดนั้น มุมปากของเธอก็ยกขึ้น เป็นเพราะว่ายิ้ม มันก็ทำให้ดวงตาของเธอโค้งลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว : “ โอเคค่ะ หวันหว่านเชื่ออาจวิ้นค่ะ !”

จากนั้นหลานเสี่ยวถางก็พาหวันหว่านกลับไปอยู่ที่ honor สองวัน ก่อนที่จะกลับไปหนิงเฉิงพร้อมกับเฉียวซือและสือจิ่งเหยียน

ครั้งล่าสุดที่กลับบ้านก็เป็นเมื่อครึ่งปีก่อน เมื่อหวันหว่านกลับมาถึงคฤหาสน์ก็พาเฉียวซือไปแนะนำ : “ นี่เป็นห้องของฉันเอง ห้องนี้ไม่มีใครอยู่ เฉียวซือ ถ้าอย่างนั้นนายก็อยู่ห้องนี้นะ !”

เมื่อหลานเสี่ยวถางเห็นท่าทางที่เข้าท่าของลูกสาว ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดกับสือมูเฉินว่า : “ คุณดูสิ ลูกสาวของพวกเราเริ่มรู้เรื่องมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว !”

หลังจากเจ็ตแล็กไปสองวัน สือมูเฉินก็ได้บอกข่าวที่หวันหว่านกลับมาให้กับเพื่อนสนิท ทันใดนั้น ภายในห้องก็คึกคักขึ้นมาในทันที

คนแรกที่มาถึงคือครอบครัวของฟู่สีเกอ ขณะนี้ ลูกแฝดของเขาก็อายุห้ามขวบแล้ว

ฟู่อวี้เฉินที่สดใสร่าเริงก็วิ่งเข้ามากอดหวันหว่านก่อน จากนั้นก็มองไปยังเฉียวซือที่อยู่ด้านหลังของหวันหว่านแล้วก็ถามว่า : “ ว้าว นี่มันพี่ชายสุดหล่อต่างชาติจากไหนกัน ?”

หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกตลก แล้วก็บอกกับเขาว่า : “ เขาชื่อเฉียวซือ เป็นเพื่อนสนิทของหวันหว่าน ! โชคดีที่เป็นผู้ชาย ถ้าไม่อย่างนั้น……”

“ เหอะ เมื่อคนที่โตแล้ว เขาจะไม่ถามผู้หญิงไปเรื่อยหรอกนะว่าแต่งงานแล้วหรือยัง !” ในขณะที่ฟู่อวี้เฉินพูดก็ดึงมือของเฉียวซือขึ้นมา : “ ไปเล่นด้วยกันเถอะ ? เข้าใจที่ฉันพูดไหม ?”

เฉียวซือส่ายหัว เขาพูดภาษาจีนไม่ค่อยเป็นจริงๆ ก่อนหน้าที่เคยยินหวันหว่านและโอหยางจวิ้นคุยกัน บางครั้งทั้งสองการใช้ภาษาอังกฤษ บางครั้งก็ใช้ภาษาจีน แต่ถึงอย่างไร มากสุดเขาก็เป็นเพียงแค่คำศัพท์ง่ายๆเท่านั้น

ทันใดนั้นหวันหว่านก็นึกอะไรขึ้นมา

มิน่าหล่ะที่เฉียวซือไม่อยากมา ที่แท้เป็นเพราะว่าฟังไม่ออก ?

ดังนั้น เธอก็เลยดึงไปสือจิ่งเหยียนมา และให้เขามาแปลให้

สือจิ่งเหยียนเป็นเพราะว่าถูกสือมูเฉินขอให้เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยเติบโตมาด้วยสองภาษา ดังนั้น การแปลจึงไม่มีปัญหาอะไร

และในเวลานี้ฟู่หยู่ปิงก็ได้เดินเข้ามาพูดกับฟู่อวี้เฉินว่า : “ พวกเราเคยเรียนวิชาภาษาอังกฤษมาก่อนไม่ใช่หรอ ? พอดีเลยมาคุยเขา เราก็จะสามารถฝึกไปด้วย !”

ดังนั้น เด็กๆก็ไปเล่นที่สนามหญ้าด้วยกัน โดยใช้สองภาษาและบวกกับภาษามือที่ปะปนกันแล้วเล่นด้วยกัน และก็ไม่ได้มีอุปสรรคในการสื่อสารมากขนาดนั้น

ไม่นานนัก หยานชิงเจ๋อและซูสือจิ่นก็มาพร้อมกับลูกทั้งสองคนของพวกเขา

เมื่อเห็นหยานโม่หานเห็นหวันหว่านอยู่ตรงสนามหญ้า ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกาย จากนั้นก็วิ่งไปหา

ซูสือจิ่นก็หันไปมองหยานชิงเจ๋อ แล้วก็พูดอย่างเอือมระอามากๆว่า : “ พี่ชิงเจ๋อ พี่คิดว่าโม่หานเหมือนใคร ? ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนกับว่าอุ้มผิดเลย ซึ่งมันดูเหมือนกับถอดแบบมาจากตระกูลสีเย็นเลยละ !”

ในขณะที่พูด เธอก็แบะปาก : “ สีเย็นตัวแสบ ในตอนนั้นสองพี่ชิงเจ๋อใช้กรรไกรผิด ผลสุดท้ายก็เลยตัดออกมาเหมือนเขาเป๊ะๆเลย !”

ในเวลานี้ฟู่สีเกอก็เดินออกมาพอดี แล้วก็ได้ยินว่าตัวเองถูกพูดถึงอยู่ ดังนั้นสายตาก็มองไปยังหยานมู่จิ่นที่อยู่ในข้อพับของซูสือจิ่น จากนั้นก็พูดอย่างมีความหมายที่ลึกซึ้งว่า : “ จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้นะ แล้วถ้าอย่างนั้นเจ้าหญิงตัวน้อยของเธอเหมือนใครกันละ ?”

เมื่อนึกถึงตอนนั้นที่ตัวเองตั้งใจล่อลวงให้หยานชิงเจ๋อนั้นติดกับ เพื่อที่ไม่ต้องการให้เขาใช้มาตรการที่จะมีหยานมู่จิ่น จากนั้นซูสือจิ่นก็รู้สึกว่าใบหน้านั้นร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย

เธอก็กระพริบตาปริบๆ : “ แน่นอนว่าเจ้าหญิงตัวน้อยของบ้านฉันก็จะต้องเหมือนกับฉัน ! เรียบร้อยอ่อนโยนแล้วก็น่ารักขนาดนี้ !”

หยานชิงเจ๋อที่ปกป้องภรรยาของตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และในเวลานี้เขาก็ได้เงยหน้ามองฟู่สีเกอแล้วก็พูดว่า : “ คนที่ไม่เชื่อฟังก็เหมือนผม คนที่เชื่อฟัง”

ฟู่สีเกอก็มองบนใส่และพูดว่า : “ โชคดีที่อวี้เฉินบ้านฉันไม่ได้ไปตามจีบมู่จิ่นของบ้านเธอ ถ้าไม่อย่างนั้นละก็ฉันก็คงจะกลัวแม่ยายในอนาคตของเขา !”

“ เฮ้ เย็นตัวแสบ นี่พี่จะบอกว่าแม่ยายในอนาคตของเขาไม่ดีอย่างนั้นหรอ ? !” ซูสือจิ่นไม่พอใจ

“ ฉันแค่บอกว่าแม่ยายของเขาในอนาคตไม่ได้หมายถึงเธอสักหน่อย !” ฟู่สีเกอยักคิ้ว : “ ความหมายของเธอคืออยากจะส่งมู่จิ่นน้อยของบ้านเธอมาเป็นลูกสะใภ้ของบ้านฉันอย่างนั้นหรอ ?”

“ เชอะ พี่อย่าฝันหวานไปเลย !” ซูสือจิ่นมองไปยังสือจิ่งเหยียนแล้วก็พูดว่า : “ ถ้าฉันจะส่งก็จะส่งมาที่บ้านของพี่เฉิน ถึงแม้ว่าจิ่งเหยียนบ้านเขาจะอายุน้อยกว่าอวี้เฉินบ้านพี่ก็ตาม แต่แค่ดูก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นเหมือนกับพี่เฉินในตอนนั้นอย่างเป๊ะๆ ฉันจะรีบส่งมู่จิ่นบ้านฉันมาสร้างความสัมพันธ์เร็วๆ !”

“ ฮ๊ะฮา มู่จิ่นบ้านเธออาจจะยังเคลียร์จิ่งเหยียนไม่เสร็จ แต่ทว่าโม่หานบ้านเธอ……” สายตาของฟู่สีเกอก็ลอยไปยังทางสนามหญ้า

ในเวลานี้ หยานโม่หานกำลังดึงมือของหวันหว่านมาแล้วก็พูดกับเธอว่า : “ พี่หวันหว่าน พวกเราไปเล่นด้วยกันที่บ้านผมเถอะ ! บ้านผมมีของเล่นที่สนุกมากๆเลยนะ ผมจะเอาออกมาให้พี่เล่นทั้งหมดเลย !”

หวันหว่านก็ทำท่าทางบอกว่า : “ พวกเราก็อยู่ที่นี่แหละ เพราะว่ายังน้องชายน้องสาวและเฉียวซือด้วย !”

แต่ทว่าหยานโม่หานไม่เข้าใจภาษามือ ดังนั้นก็เลยดึงหวันหว่านเข้าไปในบ้านตัวเอง

แต่ทว่า เมื่อเฉียวซือเห็นว่าเขากำลังลากเพื่อนของตัวเองไป ทันใดนั้นก็ไปขวางหน้าของหยานโม่หาน : “ เธอไม่ไปนาย เธอจะอยู่เล่นกับพวกเราที่นี่ !”

หยานโม่หานก็มองไปยังเฉียวซือที่สูงกว่าตัวเอง ผ่านไปไม่กี่วินาที ก็พูดอย่างไม่พอใจว่า : “ ฉันไม่เชื่อ !”

หวันหว่านก็รีบท่าทางบอกว่า : “ เล่นด้วยกัน ”

“ ไม่ ฉันจะเล่นกับพี่หวันหว่าน ! นานๆทีพี่หวันหว่านจะกลับมารอบหนึ่ง !” หยานโม่หานดึงมือของหวันหว่านไว้ไม่ยอมปล่อย

หยานชิงเจ๋อก็ถึงกลับทำอะไรไม่ถูก รีบเข้าไปเพื่อพูดกับลูกชายว่า : “ หานโม่ ลูกดูสิมีเพื่อนตั้งเยอะแยะ ทุกคนเล่นด้วยกันดีแค่ไหน ไม่ใช่จะยึดพี่หวันหว่านไว้กับลูก ไหนยังจะมีอวี้เฉิน หยู่ปิงพวกเขาก็อยู่ด้วยกันได้……”

หยานโม่หานส่ายหัวแล้วก็พูดอย่างดื้อรั้น : “ ผมชอบเพียงแค่พี่หวันหว่าน แล้วก็อยากจะเล่นกับพี่เค้า !”

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฉียวซือก็รู้สึกว่าเพื่อนสนิทของตัวเองนั้นถูกคนแย่งไป และทันใดนั้นก็ดึงมือของหวันหว่านมาแล้วก็กุมเอาไว้แน่น

“ ถ้าอย่างนั้นเอางี้ หวันหว่าน หนูและหานโม่ แล้วก็เพื่อนคนนี้ไปเล่นที่บ้านของพวกเรา พวกหนูคิดว่ายังไงกัน ?” หยานชิงเจ๋อพูด : “ โม่หานผมช่วยประนีประนอมแล้วก้าวหนึ่ง ถ้าหากลูกยังโวยวายจะไม่มีใครสนใจแล้วนะ !”

หยานโม่หานรู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย ปากมุ่ย แต่ท้ายที่สุดก็ต้องยอมเห็นด้วย

ดังนั้น เด็กทั้งสามคนก็ไปเล่นด้วยกันที่บ้านหยานชิงเจ๋อ

จู่ๆก็หายไปสามคน ที่เหลือก็รู้สึกสนุกครึกครื้นไม่พอ ดังนั้น ก็วิ่งไปด้วยกันทั้งหมด

ภายในห้องนั้น หยานโม่หานก็ได้เอาของเล่นของตัวเองไปกองไว้ตรงหน้าของหวันหว่าน : “ พี่หวันหว่าน ทั้งหมดนี้ให้พี่เล่นครับ !”

หวันหว่านก็ยิ้มให้กับเขา จากนั้นตัวเองก็เลือกหนึ่งชิ้น แล้วก็ทำท่าทางบอกเฉียวซือที่อยู่ด้านข้างว่า : “ นายก็เลือกชิ้นหนึ่งสิ !”

เฉียวซือก็บ่ายหน้าหนี : “ ฉันไม่ชอบเขา แล้วฉันก็จะไม่เล่นของของเขา !”

หยานโม่หานฟังไม่ออก ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร เขาเพียงแค่ให้ความสนใจทั้งหมดไปอยู่บนตัวหวันหว่าน แล้วก็อธิบายให้เธอว่าทุกชิ้นมันเล่นยังไง

เมื่อเห็นว่าหวันหว่านเล่นรถบังคับวิทยุได้ไม่เลวเลย จู่ๆโม่หานน้อยก็เดินเข้าไปและพูดกับหวันหว่านว่า : “ นี่รางวัลครับพี่หวันหว่าน !”

เมื่อพูดจบ เขาก็เข้าใกล้ จากนั้นก็กอดและจุ๊บหวันหว่านไปหนึ่งที

หวันหว่านรู้สึกว่าน้องชายน่ารัก ดังนั้นก็เข้าไปใกล้และจุ๊บหยานโม่หานไปหนึ่งที

เฉียวซือที่นั่งอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นฉากแบบนั้น ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเลยในทันที

ที่แท้ เพื่อนของเขาพอกลับมาที่บ้านเกิดก็ไม่สนใจเขาแล้ว !

ในใจของเขาก็ยิ่งทุกข์ตรมมากขึ้น แล้วจู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองพูดภาษาจีนได้ ไม่รู้จักคนอื่น และดูเหมือนไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็จะเพียงแค่ส่วนเกิน

เขาลุกขึ้นแล้วก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ

แต่ทว่า เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูก็ถูกหวันหว่านนั้นเห็นเข้า

เธอก็รีบลุกขึ้นแล้วก็ไปดึงเฉียวซือไว้ จากนั้นก็ทำท่าทางบอกว่า : “ หานโม่เป็นน้องชาย พวกเราโตกว่าเขาก็ต้องยอมเขา ”

เป็นน้องเล็กอย่างนั้นหรอ ? นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวซือรู้สึกว่าน้องชายกับเพื่อนนั้นมีความหมายที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นก็เลยกลับมานั่ง

ขณะนี้ สือจิ่งเหยียนก็สี่ขวบแล้ว เมื่อเห็นพี่สาวก็รีบวิ่งเข้าไปเข้าพี่กอดพี่สาวในทันที : “ พี่ครับ ผมคิดถึงพี่จังเลย !”

หวันหว่านก็ทำท่าทางให้กับเขาว่า : “ พี่ก็คิดถึงคุณพ่อคุณแม่แล้วก็แกเหมือนกัน ”

ในขณะที่พูด เธอจูงมือสือจิ่งเหยียนออกมา จากนั้นก็โถมตัวเข้าใส่หลานเสี่ยวถางก่อน

หลานเสี่ยวถางก็อุ้มหวันหว่านขึ้นมา แล้วยิ้มให้สือมูเฉินพร้อมกับพูดว่า : “ ยังไงหวันหว่านก็สนิทกับแม่ที่สุดใช่ไหม ?”

หวันหว่านก็รีบทำท่าทางให้สือมูเฉินว่า : “ คุณพ่อก็สนิทเหมือนกันค่ะ !”

สือมูเฉินหัวเราะ จากนั้นก็อุ้มหวันหว่านรับมาจากข้อพับของหลานเสี่ยวถางแล้วก็ได้จุ๊บไปบนแก้มของเธอ : “ เจ้าหญิงตัวน้อยของพ่อสูงขึ้นอีกแล้ว !”

ในเวลานี้ ภายในห้องก็ดูเหมือนว่ามีเงาของคนคนหนึ่งที่แวบเข้ามา หวันหว่านที่อยู่ในข้อพับก็สังเกตเห็นอย่างชัดเจน จึงรีบทำท่าทางบอกว่า : “ พ่อคะ แม่คะ ยังมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่อยากจะแนะนำให้รู้จักค่ะ !”

“ ยังมีใครอีก ?” หลานเสี่ยวถางก็เหลือบมองไปยังรอบๆแต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใคร

หวันหว่านก็ออกมาจากอ้อมแขนของสือมูเฉิน แล้วก็เดินไปยังระเบียงทางเดิน ตามหาอยู่สักพักก็เจอเฉียวซือที่อยู่ตรงมุม

เธอไปดึงเขามาและทำท่าบอกกับเขาว่า : “ พ่อกับแม่ของฉันมาแล้ว พวกเราออกไปเจอด้วยกันสิ !”

เมื่อเฉียวซือได้ยินคำว่า‘พ่อแม่’รูม่านตาที่สีฟ้าก็หดตัว จากนั้นก็ก้มศีรษะและมองดูรองเท้าของตัวเอง

หลังจากที่ได้มาที่เพอร์เซลล์แล้ว เขาก็พูดจาน้อยลง ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีหวันหว่านอยู่ละก็ ในหนึ่งวันดูท่าแล้วก็คงจะไม่พูดอะไรเลยสักคำ

“ เฉียวซือ ขอโทษนะ……”หวันหว่านดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ก็เลยรีบทำท่าทางแล้วบอกว่า : “ ยังมีน้องชายด้วย เขาก็มาแล้ว พวกเราสามคนมาเล่นด้วยกันเถอะ ?”

เฉียวซือก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับหวันหว่านไว้แล้วก็เดินออกไปพร้อมกับเธอ

หวันหว่านก็แนะนำให้ทุกคนรู้จัก : “ นี่เพื่อนสนิทหนูค่ะ !”

เฉียวซือก็บอกชื่อของตัวเองให้รู้ แต่ทว่า เด็กผู้ชายที่ภายนอกดูร่าเริงสดใสในเมื่อก่อน ตอนนี้กลับดูเศร้าหมองเป็นอย่างมาก

สือจิ่งเหยียนก็พินิจพิเคราะห์ประมาณเฉียวซืออยู่สักพัก จากนั้นก็เอ่ยปากว่า : “ ขอบคุณนะครับที่พี่คอยเล่นอยู่กับพี่สาวของผม ! พี่เป็นเพื่อนสนิทของพี่สาวผม ถ้าอย่างนั้นพี่ก็เป็นเพื่อนสนิทของผมเหมือนกัน !”

ในขณะที่พูด เขาก็เดินไปแล้วก็ยื่นมือออกมาให้เฉียวซือ

เฉียวซือก็ยื่นออกมา และจับมือเด็กคนนี้ที่มีอายุน้อยกว่าตัวเองสองปีกว่า

โอหยางจวิ้นที่เดินมาจากทางนั้น ก็ถือโอกาสในตอนที่เด็กๆออกไปเล่นข้างนอกแล้ว อธิบายการมีอยู่ของเฉียวซือให้หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉิน และจากนั้นก็พูดว่า : “ อีกสักแป๊บงานหมั้นก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ผมต้องขอตัวไปก่อนนะ ”

สือมูเฉินก็พยักหน้า : “ อื้ม ในเมื่องานหมั้นก็จัดขึ้นแล้ว แล้วจะแต่งงานอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ ?”

“ อีกหนึ่งปี ” โอหยางจวิ้นก็พูดว่า : “ วันเกิดครบรอบสามสิบของผม มันก็เป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบแปดปีของเธอพอดี ”

เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินแบบนั้น ก็ทำปากมุ่ยพร้อมกับพูดว่า : “ คนหนุ่มสาวนี่มันดีจริงๆเลย !”

สือมูเฉินก็หันไปยิ้มให้เธอ : “ ไม่เป็นไร ภรรยาของผมก็ยังสาวอยู่ ตอนนี้ดูแล้วราวกับอายยุเพียงแค่สิบแปดเท่านั้น !”

โอหยางจวิ้นก็ยิ้มมุมปาก แล้วก็รีบเดินออกไป ถ้าไม่อย่างนั้นแค่ดูพวกเขาสวีทหวานกันก็คงจะอิ่มแล้ว !

สิบนาฬิกา งานหมั้นก็ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ

ด้วยความมั่งคั่งและฐานนะของตระกูลเพอร์เซลล์แล้ว แน่นอนว่าแขกที่มาจะต้องไม่ใช่น้อยๆ

และตระกูลมู่ยวี๋ฮั่น ถึงแม้ว่าความมั่งคั่งจะสู้ตระกูลเพอร์เซลล์ไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่ามีความเกี่ยวข้องกับhonor และหลายปีที่ผ่านมาธุรกิจก็มีแต่ความสำเร็จและเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการรวมกันของความแข็งแกร่ง

ในเวลานี้ หวันหว่านก็ถูกสือมูเฉินอุ้มไว้ในข้อพับ ส่วนหลานเสี่ยวถางก็อุ้มสือจิ่งเหยียน แล้วก็นั่งอยู่ตรงริมทะเลสาบ เพื่อเป็นสักขีพยานให้กับงานหมั้นที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้

เดิมที ยังมีเฉียวซือที่นั่งอยู่ข้างๆแต่จู่ๆก็กลับไม่หายแล้ว หวันหว่านรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย แล้วก็มองไปรอบๆ แต่ทว่างานหมั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว เธอก็เลยทำได้เพียงต้องมีสมาธิและใจจดใจจ่อกับพิธีการ

เมื่อเสียงเปียโนและไวโอลินที่ไพเราะดังขึ้น โอหยางจวิ้นและคุณปู่แดเนียลก็ได้เดินไปพร้อมกันยังกลางเวทีที่ตกแต่งด้วยดอกไม้สด

หวันหว่านมองไปที่โอหยางจวิ้น วันนี้เขาสวมชุดสูทที่เป็นทางการพร้อมกับผูกเน็คไทสีฟ้า และเขาก็ดูหล่อเหลาและสูง บวกกับความเป็นลูกครึ่งที่มีใบหน้าสามมิติที่ไร้ที่ติ ซึ่งมันทำให้คนไม่สามารถละสายตาได้

แดเนียลก็หยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูด แล้วบอกว่ารู้สึกเขาปลาบปลื้มใจมากๆที่หลานชายของตัวเองกำลังจะได้เป็นสักขีพยานถึงช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิต

เมื่อหวันหว่านได้ยินมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย เธอจึงหันไปทำท่าทางเพื่อถามสือมูเฉินว่า : “ พ่อคะ หลังจากที่อาจวิ้นแต่งงานแล้ว ก็จะไม่มีเวลามาอยู่กับหวันหว่าน แต่จะไปอยู่กับภรรยาของคุณอาแทนใช่ไหมคะ ?”

สือมูเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จากนั้นก็พูดกระซิบที่หูของลูกสาวว่า : “ แน่นอนสิ ส่วน

หวันหว่านก็จะโตขึ้นเหมือนกัน แล้วก็จะมีเพื่อนของตัวเองและก็จะแต่งงานเหมือนกัน ดังนั้นแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่มีจะผู้ใหญ่คอยอยู่ข้างกายตลอดเวลา ”

ในเวลานี้ หวันหว่านรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ที่แท้การแต่งงานก็คือการที่อยู่ด้วยกันสองคน ส่วนเธอก็ไม่สามารถที่จะไปรบกวนได้เหรอ ?

และดูเหมือนว่าถ้าแต่งงานกันแล้วก็จะมีลูก และต่อไปถ้าอาจวิ้นมีลูกแล้ว ก็ไม่จะเอาเธอแล้วใช่หรือเปล่า ?

เมื่อกำลังคิดถึงตรงนี้ เจ้าสาวก็ได้เดินผ่านซุ้มดอกไม้ไปพร้อมกับครอบครัวฝ่ายหญิงแล้ว และก็เดินไปยังตรงหน้าของโอหยางจวิ้นทีละก้าว

หลังจากที่ครอบครัวฝ่ายหญิงพูดไปแล้วไม่กี่ประโยค มือของมู่ยวี๋ฮั่นก็ได้วางลงบนมือของโอหยางจวิ้น โดยบ่งบอกว่ากำลังจะนำตัวลูกสาวส่งมอบให้เขาเป็นคนดูแล

เมื่อเห็นโอหยางจวิ้นจูงมือของมู่ยวี๋ฮั่นแล้ว ในใจของหวันหว่านก็รู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้น

หลังจากนั้นพวกเขาก็จะมีลูกแล้ว และก็จะไม่มีเวลามาเล่นกับเธอแล้ว !

เธอรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าเฉียวซือก็ตัวคนเดียว ดังนั้นเธอก็เลยรีบทำท่าทางบอกสือมูเฉินและวิ่งไปหาเฉียวซือ

ลำดับต่อมาก็เป็นการขั้นตอนของการแลกแหวน

โอหยางจวิ้นที่ถือแหวนแล้วก็กำลังยกมือของมู่ยวี๋ฮั่นขึ้นมาเพื่อจะสวมแหวน แต่ก็กลับเห็นว่าหวันหว่านลงมาจากอ้อมแขนของสือมูเฉินแล้วก็กำลังวิ่งไปอีกทางหนึ่ง

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อย ด้วยสัญชาตญาณแล้วก็อยากจะวิ่งไป

แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในโอกาสสำคัญ และพ่อแม่ของหวันหว่านก็อยู่ คงจะไม่มีปัญหาไรหรอก ดังนั้น เขาก็เลยข่มความรู้สึกเป็นห่วงเอาไว้ในใจ จากนั้นก็สวมแหวนให้มู่ยวี๋ฮั่น

เธอก็ยกมือของเขาขึ้นมาเหมือนกัน จากนั่นก็สวมแหวนหมั้นให้กับเขา

ทุกอย่างก็ได้เสร็จสิ้น ดังนั้น เสียงบรรเลงเพลงก็ค่อยดังขึ้น เวทีที่อยู่ข้างๆก็ได้ลอยขึ้นมา ตามที่ได้จัดวางเอาไว้ โอหยางจวิ้นและมู่ยวี๋ฮั่นจะต้องมาเต้นรำเปิดฟลอร์แรก

ในขณะนี้ หวันหว่านก็หาเฉียวซือเจอที่ริมทะเลสาบ

เธอเห็นว่าเขากำลังนั่งอยู่ตรงริมทะเลสาบคนเดียว ก็เลยอดไม่ได้ที่จะไปดึงมือของเขา

เขาดิ้นรนอยู่สักแป๊บ แต่ก็ถูกเธอดึงขึ้นมา หวันหว่านก็คิดว่าจะพาเขากลับไปยังงานหมั้น

ดอกไม้ที่อยู่บนเวทีก็ได้บานสะพรั่ง เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็กำลังเต้นรำอยู่ด้านบน โดยที่ท่าเต้นนั้นเข้ากันได้ดีอย่างมาก

เฉียวซือที่ค่อยๆมองอย่างเหม่อลอย

จนกระทั่งโอหยางจวิ้นและมู่ยวี๋ฮั่นเต้นเสร็จ เฉียวซือก็ได้ละสายตาจากความคึกครื้นที่มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อเห็นว่าเขาเงียบ ดังนั้นหวันหว่านก็เลยทำท่าทางที่บอกว่า : “เฉียวซือ อันที่จริงแล้วฉันก็ไม่ดีใจเหมือนกัน เป็นเพราะว่าอาจวิ้นแต่งงานแล้ว และต่อไปถ้าหากพวกเขามีลูกแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะมาเล่นกับฉันได้ตลอดแน่ๆเลย !”

เมื่อเฉียวซือเห็นสิ่งเธอบอก แล้วก็พูดไตร่ตรองว่า : “ ถ้าอย่างนั้นฉันจะอยู่ข้างเธอ ! และฉันจะอยู่เล่นกับเธอเอง !”

หวันหว่านก็ยิ้มในทันที : “ ดีเลย !”

การเต้นรำเปิดฟลอร์แรกที่อยู่ข้างหน้าก็ได้จบลง และแขกผู้มีเกียรติก็ถูกเชื้อเชิญให้ทยอยขึ้นมาเต้นรำบนเวที และบรรยากาศที่มีอยู่ก็ได้อบอุ่นขึ้นมา

เฉียวซือที่มองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ถามหวันหว่านว่า : “ ถ้าแต่งงานกันแล้วก็จะอยู่ด้วยกันทุกวันเลยหรอ ?”

หวันหว่านพวักหน้า : “ คุณพ่อและปู่ทวดเดเนียลดูเหมือนจะหมายความอย่างนั้นนะ ”

“ ถ้างั้นฉันในอนาคต ก็จะแต่งงานกับเธอ ” ในขณะที่เฉียวซือพูดนั้น สายตาก็ได้มองไปยังหวันหว่านอย่างจริงจัง : “ หวันหว่าน ถ้าเธอโตขึ้นแล้ว แต่งงานกับฉันนะ ?”

เห็นได้ชัดว่าหวันหว่านไม่ได้เอาเรื่องการแต่งงานมาเกี่ยวข้องกับตัวเองแม้แต่นิดเลย และเธอก็ถามด้วยความงุนงง : “ ทำไม ?”

“ เป็นเพราะว่าฉันอยากจะอยู่ข้างเธอไปตลอด ” แววตาของเฉียวซือก็เป็นประกาย แต่บนแก้มของเขาก็ยังคงมีเศร้าเล็กน้อยและความไม่สบายใจเกี่ยวกับอนาคต

“ พวกเราเป็นเพื่อนสนิท มันแน่นอนอยู่แล้วว่าฉันจะอยู่ข้างนายไปตลอด !” หวันหว่านทำท่าทางบอก

“ แต่ถ้าเกิดว่าในอนาคตเธอไปแต่งงานกับคนอื่น หรือว่าฉันไปแต่งงานกับคนอื่น เธอก็ไม่สามารถที่จะอยู่ข้างฉันได้ ” เฉียวซือก็พูด : “ ถ้าเกิดว่าพวกเราแต่งงานด้วยกัน ก็จะสามารถอยู่ข้างอีกฝ่ายไปได้ตลอด ”

หวันหว่านลองคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แต่มันก็ยังเป็นเหตุผลนี้จริงๆ

แต่ทว่าเธอยังเด็กอยู่เลย แล้วก็ยังไม่ถึงเจ็ดขวบเลย ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องของอนาคต……

เมื่อเห็นว่าแสงในแววตาของเฉียวชือนั้นยิ่งอยู่ก็ยิ่งมืดสลัวมากขึ้น แล้วก็นึกถึงเขาที่เพิ่งจะเสียญาติพี่น้องไป หวันหว่านก็รู้สึกเห็นใจเล็กน้อย ดังนั้นก็รีบทำท่าทางบอกว่า : “ ได้สิ งั้นรอให้ฉันโตก่อนนะ !”

“ ได้เลย งั้นฉันจะรอเธอโต !” ในขณะที่เฉียวซือพูด ก็ได้ยื่นนิ้วออกไปเพื่อที่จะเกี่ยวก้อยกับหวันหว่าน

สาวน้อยรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังยื่นนิ้วออกไปเพื่อเกี่ยวก้อย

ดังนั้น ความรู้สึกภายใจของเฉียวซือก็ดีขึ้นมากๆ จากนั้นก็จูงมือของหวันหว่านแล้วก็วิ่งไปยังสนามหญ้าที่อยู่อีกด้านด้วยกัน

ในเวลานี้ ทางด้านนั้นก็วางเต็มไปด้วยอาหาร มีทั้งผลไม้และของหวาน แล้วก็ยังมีอาหารบุฟเฟต์อีกด้วย

สือจิ่งเหยียนตามหาพี่สาวอยู่ตลอด เมื่อเห็นหวันหว่านออกมา ทันใดนั้นก็ดีใจแล้วก็ดึง

หวันหว่านมาพร้อมกับพูดว่า : “ พี่ครับ อันนี้อร่อยที่สุด !”

ในขณะที่พูดนั้น ก็ได้หยิบจานขึ้นมาอย่างงกๆเงิ่นๆแล้วก็ยื่นให้หวันหว่าน

และในเวลานี้ ในงานเลี้ยงก็ยังมีเด็กคนอื่นที่มาด้วยเหมือนกัน หนึ่งในนั้นที่เห็นก็อายุราวๆประมาณห้าหกขวบ และดูเหมือนว่าอยากจะกินของหวานที่อยู่ในจาน ดังนั้น ก็เลยแย่งไปจากมือของสือจิ่งเหยียน

สือจิ่นเหยียนดวงตาก็เบิกกว้างในทันที เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ เขาก็เลยหันไปมอง หัวใจก็เต้นแรง แกล้งทำตกใจ : “ หมี !”

เด็กผู้ชายคนนั้นก็รีบหันกลับมามองมีหมีอยู่ตรงไหน

เป็นเพราะว่าถูกดึงดูดความสนใจ สือจิ่งเหยียนก็รีบไปแย่งจานที่อยู่ในมือของเขามาในทันที รอบนี้ เขาก็ได้ยัดให้เฉียวซือโดยตรง แล้วก็เอ่ยปากพูดว่า : “ ช่วยพี่สาวรักษาเอาไว้ !”

เด็กผู้ชายคนนั้นเมื่อพบว่าถูกหลอก ก็หันกลับไปมอง แล้วก็กลับเห็นว่าจานนั้นได้ไปอยู่ในมือของเด็กผู้ชายอีกคนซึ่งโตกว่าตัวเอง

เขาจะไปแย่ง แต่ทว่า เฉียวซือก็ได้ใช้สายตาคุกคาม ทันใดนั้นปากของเขาก็บูดและร้องได้ออกมา

เฉียวซือยื่นจานให้หวันหว่าน : “ หวันหว่าน ไม่ต้องสนใจเขา กินเถอะ !”

หวันหว่านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามันตลก จากนั้นก็หยิบช้อนที่สือจิ่งเหยียนยื่นมาให้ แล้วก็ตักของหวานกินไปหนึ่งคำ

ที่แท้ ของที่น้องชายและเพื่อนของตัวเองแย่งมาให้ มันอร่อยกว่าอันอื่นๆ !

ในเวลานี้ เมื่อมีผู้ใหญ่ได้ยินเด็กผู้ชายร้องไห้ ก็รีบเข้ามาถามว่าเป็นไร

เด็กผู้ชายคนนั้นก็ชี้ไปยังสือจิ่งเหยียน : “ เขาแย่งของของผมไป ฮือฮือ……”

สือจิ่งเหยียนก็แบมือออก นัยน์ตาสีดำที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาก็พูดว่า : “ ฉันอายุน้อยกว่านาย ฉันจะแย่งนายไหวได้อย่างไร ? แล้วเคยได้ฟังนิทาน《เด็กเลี้ยงแกะ》หรือเปล่า ? เป็นเด็กห้ามพูดโกหก !”

เด็กผู้ชายคนนั้นก็เงียบจนพูดอะไรไม่ออก แล้วก็ร้องไห้เสียใจหนักกว่าเดิมด้วย ผู้ใหญ่ก็จนปัญญา จากนั้นก็อุ้มเขาแล้วจากไป : “ ไม่ร้องนะ เราไปเอาอย่างอื่นที่อร่อยกัน ยังมีอีกเยอะเลยนะ !”

หวันหว่านก็กินไปด้วยแล้วก็แอบหัวเราะไปด้วย

และเมื่อเฉียวซือเห็นว่าหวันหว่านกำลังกินอยู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเวลาที่เธอกำลังกินมันช่างน่ารักมากๆเลยจริงๆ ดังนั้น เขาก็เข้าไปใกล้แล้วก็จุ๊บไปบนแก้มของเธอหนึ่งที

หวันหว่านก็ถึงกลับตะลึง ในปากก็ยังมีของหวานอยู่ด้วย และริมฝีปากที่เปื้อนเนยก็มองไปยังเฉียวซือ

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเลยที่รู้สึกเขินอาย แต่เมื่อเห็นความตลกขบขันของสาวน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าสองสามวันมานี้เมฆแห่งความทุกข์ที่ทำให้ฟ้ามืด ที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจ ก็ดูเหมือนว่าจะถูกแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาทำให้หายไปบ้าง

เขาก็ยิ้มให้เธอพร้อมกับพูดว่า : “ จู่ๆก็อยากจะจุ๊บเธอ !”

ข้อเท้าของหวันหว่านหายดีแล้ว โอหยางจวิ้นจึงไปส่งเธอที่โรงเรียน

พวกเขาบอกลากันที่ประตูโรงเรียน เขาลูบผมที่อ่อนนุ่มของเธอ “หวันหว่าน รอวันศุกร์ อาจวิ้นจะมารับหนูนะ”

หวันหว่านพยักหน้า ทำท่าทาง “คุณน้ามู่จะมาด้วยไหม?”

“หวันหว่านชอบน้ามู่ไหม?” โอหยางจวิ้นถาม

หวันหว่านพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ชอบค่ะ” คุณน้าคนนี้ดีกว่าคุณน้าคนก่อนเยอะ เป็นมิตรกับเธอ และไม่พูดว่าทำไมเธอถึงพูดไม่ได้

“งั้นถ้าอาจวิ้นคบกับเธอ หวันหว่านยินยอมไหม?” โอหยางจวิ้นถามอีก

หวันหว่านครุ่นคิด แล้วก็ทำท่าทางตอบ “ดีค่ะ แบบนี้พวกเราก็จะได้ออกไปเที่ยวด้วยกันแล้ว!”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า “ตกลง งั้นอาจวิ้นจะบอกปู่ของหนูเดี๋ยวนี้!”

ดังนั้นทุก ๆ สุดสัปดาห์ มีคนมาเล่นเป็นเพื่อนหวันหว่านเพิ่มอีกคน

หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินรู้ถึงการมีตัวตนของมู่ยวี๋ฮั่นหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน

ตอนที่โทรวิดีโอ เธอยั่วแหย่โอหยางจวิ้น “ในที่สุดก็สละโสดแล้วเหรอ?”

โอหยางจวิ้นหัวเราะแล้วพูด “อันที่จริงผมรู้สึกเหมือนว่าเพื่อที่จะหาเพื่อนให้หวันหว่าน! ก่อนที่ผมจะตอบรับ ยังขอคำแนะนำจากเธอเลย”

หลานเสี่ยวถางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “งั้นคุณชอบคุณมู่ไหม?”

โอหยางจวิ้นครุ่นคิด ภายใต้ดวงตารู้สึกสับสน “อันที่จริง ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกคุณพูดว่ารู้สึกชอบคืออะไร แค่รู้สึกว่าทุกคนอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ ผ่านไปไม่นานรู้สึกเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปี ไม่มีการยกเว้นต่อกันแค่นั้น”

สือมูเฉินโผล่หน้าเข้ามา พูดแทงใจ “จูบกันแล้วยัง? มีอะไรกันแล้วยัง?”

หลานเสี่ยวถางได้ยินก็ยื่นมือออกไปตีเขา

อีกด้าน โอหยางจวิ้นส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ยัง รู้สึกเหมือนเพื่อนรักกัน จูบกันค่อนข้างเก้กังนะ?”

สือมูเฉินพูดโดยตรง “งั้นก็แสดงว่าคุณไม่ได้รักเขา”

ขณะที่พูด เขาก็หันมาจูบหลานเสี่ยวถาง แล้วพูดกับโอหยางจวิ้น “เห็นแล้วยัง นี่ถึงเรียกว่าความรัก”

โอหยางจวิ้นไม่ทันได้เตรียมตัวกับการแสดงความรักของทั้งคู่ เขาปวดฟันจี๊ดขึ้นมาทันที เขาโบกมือแล้วพูด “Jarvis ผมว่าพวกเรามาคุยกันต่อถึงเรื่องการร่วมมือกันทางธุรกิจเถอะ ยังมีอีกหลายจุด ที่ต้องปรึกษาหารือกัน…”

หลานเสี่ยวถางหัวเราะ “มูเฉิน คุณดูเขาเหมือนจะอายแล้วนะ”

สือมูเฉินสายตาเหน็บแนมแล้วพูดขึ้น “เขาอายซะที่ไหน เขายังไม่เปิดโลกด้วยซ้ำ แม้แต่อายก็ยังไม่รู้จัก!”

“เฮ้ พวกคุณทำแบบนี้ ไม่กลัวจะทำให้ผมโมโห แล้วรังแกหวันหว่านเหรอ?” โอหยางจวิ้นไม่พอใจ

ด้านหลัง หวันหว่านที่อั้นฉี่จนตื่นในตอนดึก ขยี้ตาแล้วเปิดประตูห้องของโอหยางจวิ้น คำพูดเมื่อครู่ เธอได้ยินคร่าว ๆ แล้ว

จึงทำท่าทางน้อยใจใส่โอหยางจวิ้น “อาจวิ้นจะรังแกหวันหว่านเหรอ?”

โอหยางจวิ้นหันหน้ามา ก็ประสานสายตาที่แทบจะร้องไห้ออกมาของหวันหว่าน จึงยอมจำนนในทันที “หวันหว่าน อาจวิ้นล้อเล่นนะ! รักหนูแทบจะไม่ทัน! รีบมานี่เร็ว ทักทายปะป๊ามะม๊า!”

หวันหว่านดีใจในทันที รีบโบกมือให้หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉิน ทำท่าทางหนึ่งบอกว่า “หนูคิดถึงพวกคุณ”

“หวันหว่าน แม่ก็คิดถึงหนูแล้ว” หลานเสี่ยวถางพูด “แม่กับพ่อรอให้หนูปิดเทอม ก็ไปอยู่ที่อเมริกาสักสองสัปดาห์ อยู่เล่นกับหนูดีไหม?”

สาวน้อยได้ยิน ก็ดีใจในทันที เธอปรบมือ ไม่รู้จะแสดงออกยังไง จึงกระโดดโลดเต้นอยู่ในห้อง

เวลามักจะผ่านไปไว พริบตาเดียวก็ผ่านไปสองปีแล้ว

หวันหว่านจะจบช่วงเวลาของการเรียนอนุบาล แล้วเตรียมตัวเข้าโรงเรียนประถมภายใต้การบริหารของเพอร์เซลล์ส่วนโอหยางจวิ้นก็ตัดสินใจหมั้นกับมู่ยวี๋ฮั่น

วันนั้น โรงเรียนอนุบาลจัดงานเลี้ยงบัณฑิต หวันหว่านขึ้นไปเต้นรำเพลงหนึ่ง ส่วนเฉียวซือร้องเพลงประกอบอยู่ด้านข้าง เพื่อนร่วมชั้นใช้เครื่องดนตรีที่ตัวเองเล่นเป็นประกอบจังหวะ

ถึงแม้ทุกคนแสดงร่วมกันจะยุ่งเหยิงนิดหน่อย แต่ว่ายังไงซะก็เป็นการแสดงของพวกเด็ก ๆ ทุกคนดีใจเป็นอย่างมาก

ในตอนที่งานเลี้ยงเลิกรา เตรียมตัวจะนอนในวันที่สองก็ต้องอำลาโรงเรียนอนุบาลอย่างแท้จริง จู่ ๆ กลับเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง

พ่อของเฉียวซือเกณฑ์ทหารอยู่ในกองทัพ ในวันที่เขาออกไปทำภารกิจ ก็ได้เสียชีวิตในหน้าที่การงานแล้ว

ส่วนแม่ของเขา ในตอนที่เขาสองขวบก็ได้หย่ากับพ่อของเขา แล้วแต่งงานกับคนอิตาลี สองปีมานี้ไม่เคยติดต่อมาเลย

ทางด้านโรงเรียนอนุบาลเพิ่งจะรู้ข่าวนี้ในตอนกลางคืน ตอนนี้เฉียวซือได้หลับไปแล้ว ดังนั้นคุณครูยังไม่บอกฝันร้ายนี้กับเขา

เช้าวันต่อมา โอหยางจวิ้นมารับหวันหว่านแต่เช้า

เขาเห็นหวันหว่านกับเฉียวซือออกมาด้วยกัน ทั้งสองโบกมือลากัน จู่ ๆ ก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงหันมาพูดเสียงเบากับหวันหว่าน “หวันหว่าน พ่อของเฉียวซือเพื่อนสนิทของหนูเสียชีวิตในหน้าที่การงานแล้ว ในครอบครัวเหลือเขาเพียงคนเดียวแล้ว กองทัพอาจจะมารับเลี้ยงเขา”

หวันหว่านตะลึง ตอบสนองอยู่หลายวินาที ถึงได้ถามขึ้น “ไม่มีทั้งพ่อทั้งแม่เลยเหรอคะ?”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า “แม่ของเขาไม่รู้ไปไหนหลายปีแล้ว พ่อของเขาเสียชีวิต จะกลับมามีชีวิตไม่ได้อีกแล้ว”

สาวน้อยน้ำตาคลอเบ้าในทันที เธอหันไปมองเฉียวซือที่ยังยิ้มให้เธออย่างสดใส จู่ ๆ ก็ใจสั่น “อาจวิ้น พวกเราให้เฉียวซือกลับไปที่เพอร์เซลล์พร้อมกับพวกเราได้ไหมคะ? ในกองทัพมีแต่คนที่เขาไม่รู้จัก เขาจะรู้สึกกลัว!”

โอหยางจวิ้นคิดไม่ถึงว่าหวันหว่านจะขอความต้องการแบบนี้ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น “หวันหว่าน หนูจริงจังไหม? ถ้าหากเขาไปที่เพอร์เซลล์ ต่อไปหนูต้องรับผิดชอบชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต พวกเราจะทิ้งเขากลางคันไม่ได้”

หวันหว่านพยักหน้า “เขาคือเพื่อนรักของหนู หนูไม่อยากให้เขาตัวคนเดียว”

“ก็ได้ วั้นหนูรอก่อน อาไปคุยกับคุณครู แล้วค่อยโทรหาผู้รับผิดชอบของฝ่ายทหาร” ขณะที่โอหยางจวิ้นพูด ก็วางหวันหว่านลง

หวันหว่านรีบวิ่งไปด้านหน้าเฉียวซือ อยากจะพูดปลอบใจเขา แต่ว่าเมื่อคิดได้ว่าพ่อแม่ของเขาไม่อยู่แล้ว ตัวเองก็เสียใจก่อนแล้ว น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลออกมา

เฉียวซือเห็นหวันหว่านร้องไห้ จึงรีบพูดปลอบ “หวันหว่าน เป็นอะไรเหรอ?”

ขณะที่พูด เขายื่นมาออกมา จะช่วยเธอเช็ดน้ำตา

หวันหว่านมองดูเฉียวซือที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น น้ำตาไหลออกมาเยอะยิ่งกว่าเดิม

“หวันหว่าน ไม่ร้อง อาของเธอมารับเธอแล้วไม่ใช่เหรอ?” เฉียวซือเห็นหวันหว่านร้องไห้ จึงพูดขึ้น “พวกเราคุยกันไว้แล้ว ว่าจะเป็นเด็กชายเข้มแข็ง ทำไมเธอถึงร้องไห้เหมือนผู้หญิง?”

หวันหว่านสูดจมูกไม่ให้ร้องไห้แล้ว ถึงได้มองเฉียวซือ แล้วทำท่าทางใส่เขา “งั้นนายก็ห้ามร้อง!”

เฉียวซือมองเธออย่างงุนงง “ทำไมฉันต้องร้องไห้ ฉันเข้มแข็งมากนะ!”

ตอนนี้เองโอหยางจวิ้นได้คุยกับคุณครูแล้ว แล้วก็โทรหาฝ่ายทหารเรียบร้อยแล้ว ด้านนู้นบอกว่าเพียงแค่เฉียวซือตกลง ก็ให้เขาไปที่เพอร์เซลล์

เขาจึงเดินเข้ามา พูดกับเฉียวซือ “เฉียวซือ ที่บ้านนายมีเรื่องนิดหน่อย วันนี้ไม่มีคนมารับนายแล้ว ไม่อย่างงั้นไปที่เพอร์เซลล์กับฉันก่อน?”

หวันหว่านได้ยิน ก็รีบทำท่าทาง “เฉียวซือ พวกเราไปเล่นด้วยกันนะ?”

หนุ่มน้อยอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าพูดกับโอหยางจวิ้น “ที่บ้านผมทำไมเหรอครับ? ก่อนหน้านี้พ่อของผมบอกไว้แล้วว่าจะมารับผม”

โอหยางจวิ้นมองดวงตาสดใสของหนุ่มน้อย อดใจไม่ได้นิดหน่อย “ฉันพานายไปดูเขานะ!”

เฉียวซือฟังน้ำเสียงที่ผิดปกติของเขาออก ในใจรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี แต่ว่าเด็กน้อยจะคิดเยอะขนาดนั้นได้ยังไง?

เขาคิดเพียงว่า แม่ของเขาไม่ต้องการเขากับพ่อก็เลยจากไป หรือว่าพ่อก็ไม่ต้องเขาแล้ว?

แต่ว่า เขาเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งและเป็นเด็กดี พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่ต้องการตัวเองหรอกนะ?

นั่งบนรถของโอหยางจวิ้น เป็นครั้งแรกที่เด็กสองคนเงียบขรึม

ผ่านไปไม่นาน โอหยางจวิ้นพาเฉียวซือไปที่เขตทหาร

เมื่อก่อนเฉียวซือเคยมากับพ่อ พ่อของเขาเป็นพันโท เพราะว่าชอบช่วยเหลือคน ในกองทัพมนุษยสัมพันธ์ดีมาตลอด

ทั้งสามเดินเข้าไปข้างในพร้อมกัน มีคนเข้ามาทักทายโอหยางจวิ้น แล้วพาพวกเขาไปที่ห้องโถงใหญ่

ตอนนี้งานไว้อาลัยพ่อของเฉียวซือได้เริ่มขึ้นแล้ว

ในห้องโถงเงียบสงัดมา มีความเศร้าโศกปกคลุมหัวใจของทุกคน

หัวหน้า เพื่อนร่วมรบ และลูกน้องของพ่อของเฉียวซือ เดินเข้าไปคำนับไว้อาลัยหน้าภาพศพตามลำดับ

ในตอนที่เฉียวซือจูงมือหวันหว่านเข้าไป เห็นรูปถ่ายของพ่อติดอยู่ในกรอบรูป ด้านบนยังมีดอกไม้สีขาว

เขายืนตะลึงอยู่ตรงนั้น สมองว่างเปล่าอยู่พักใหญ่

เหมือนผ่านไปนานมาก เขาถึงนึกได้ ว่าตัวเองเคยเข้าร่วมงานรำลึกแบบนี้ เหมือนกับเป็นคนที่ตายแล้ว จะถูกวางไว้ในกรอบรูปแบบนี้

หลาย ๆ คนเห็นการมาถึงของพวกเขา จึงค่อย ๆ หันหน้ามา มองเด็กชายที่ใบหน้าคลับคล้ายกับคนในกรอบรูป ก็รู้ถึงสถานะของเขาในทันที!

“อาจวิ้น นี่ทำอะไรกันอยู่ครับ?” เฉียวซือมองด้านใน ในใจมีความรู้สึกที่สับสน แต่กลับไปกล้าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง

โอหยางจวิ้นรู้สึกโหดร้ายอีกครั้ง แต่ว่าบางอย่าง กลับให้เจ้าตัวไม่เผชิญหน้าด้วยตนเองไม่ได้

เขาชี้ไปที่โลงศพ แล้วพูดขึ้น “เฉียวซือ ไปดูหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ!”

ขณะที่พูด เขาก็อุ้มเฉียวซือขึ้น พาเขาเดินเข้าไปตรงกลาง

ใบหน้าที่สดใสในความทรงจำ ถูกแทนที่ด้วยการนอนหลับไม่ตื่น

เฉียวซือไม่ได้ออกเสียงใด ๆ สักนิด เพียงแค่จ้องมองไปที่พ่อที่ถูกล็อกอยู่ในโลงศพ

โอหยางจวิ้นยื่นมือออกไปลูบหลังเขาเบา ๆ “อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ!”

เสียงร้องขาดใจของเด็กน้อยก็ดังขึ้นในทันที เสียงดังกังวานทั่วทั้งห้องโถง ส่วนพ่อของเขาที่ทำคุณงามความดี ไม่มีทางลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว

หวันหว่านยื่นมือออกมา จับมือของเฉียวซือไว้ เธออยากพูดปลอบใจเขา แต่ว่าเธอส่งเสียงออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงทำท่าทางกับเขาไม่หยุด

เฉียวซือ ต่อไปให้พวกเราดูแลนาย

วันนั้นเฉียวซือร้องจนแทบจะเป็นลมไป สุดท้ายก็ถูกโอหยางจวิ้นอุ้มขึ้นรถไปได้ไม่นานก็หลับไป

คืนนั้นเขามาที่ตระกูลเพอร์เซลล์ที่มีชื่อเสียงแต่กลับไม่คุ้นเคยเป็นครั้งแรก เขาอยู่ห้องข้าง ๆ หวันหว่าน

ผ่านไปสองวัน ก็จะเป็นงานหมั้นของโอหยางจวิ้นและมู่ยวี๋ฮั่นแล้ว ส่วนสถานที่งานหมั้น จัดขึ้นที่คฤหาสน์ข้างริมแม่น้ำของตระกูลเพอร์เซลล์

งานหมั้นของโอหยางจวิ้น หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินก็มาด้วย แล้วก็พาสือจิ่งเหยียนมาด้วย ถือโอกาสนี้รวมตัวครอบครัวกัน

วันนั้นหวันหว่านตื่นมากำลังล้างหน้าแปรงฟัน ก็ได้ยินเสียงของสือจิ่งเหยียน ดวงตาเป็นประกายในทันที ไม่ได้เช็ดหน้าก็วิ่งออกมาในทันที

“หวันหว่านไม่อยู่เป็นเพื่อนอาจวิ้นแล้วเหรอ?” เขาถามเธอ

หวันหว่านคิดได้ว่าปะป๊ากับมะม๊ามีลูกสองคนแล้ว จึงพูดขึ้น “หวันหว่านคนเดียวน้อยเกินไป อาจวิ้นแต่งงาน มีเด็กคนอื่น แบบนี้ทุกคนอยู่ด้วยกันจะครึกครื้นกว่าเดิม”

โอหยางจวิ้นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพยักหน้า “อื้ม อาจจะไปนัดดูตัวอีก แต่ยังไม่มีคนที่เหมาะสมเป็นพิเศษชั่วคราว”

หนูน้อยพยักหน้า ในหัวเริ่มคิดถึงหญิงสาววัยรุ่น

แต่ว่าเธอขุดความทรงจำจนหมด เหมือนกับหาคนที่ควรอยู่ข้างโอหยางจวิ้นไม่ได้ จึงเบะปากอย่างเศร้าใจ

โอหยางจวิ้นเห็นท่าทางกลุ้มใจของเธอ จึงอดหัวเราะไม่ได้ “ทำไมเหรอ หวันหว่านอายุน้อยขนาดนี้ จะเป็นแม่สื่อแล้วเหรอ? ไม่เป็นไรนะ อาจวิ้นยังวัยรุ่น ตอนนี้ด้านของตระกูลก็ไม่รีบร้อน รอให้อนาคตครบ30 ก็คงจะถึงวาระแหละ!”

หวันหว่านหัวเราะในทันที เธอพยักหน้า “ดีค่ะ!”

ไม่พูดไม่ได้ว่า เวลามักผ่านไปเร็วมาก พริบตาเดียว หวันหว่านก็จะขึ้นอนุบาลสามแล้ว

ที่ผ่านมาหนึ่งปี เธอเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย แล้วก็รู้จักเพื่อนเยอะแยะ

เด็กที่อยู่โรงเรียนอนุบาล ชั้นเรียนสูงสุด จะเรียนจบแล้ว ก่อนที่จะจบไป ทุกคนจัดงานเลี้ยงอำลากัน

ในงานเลี้ยง การแสดงของหวันหว่านคือเต้นรำ หลังจากเรียนมาเกือบสองปี การเต้นของเธอไม่ใช่การแสดงท่าทางง่ายๆ อีกต่อไป

ในฐานะที่โอหยางจวิ้นเป็นผู้ปกครอง ดูสาวน้อยยืนหมุนอยู่กลางเวที มีความรู้สึกเหมือนลูกของตัวเองเติบโตขึ้น

เขาใช้โทรศัพท์มือถืออัดวิดีโอเธออยู่ตลอด ในตอนที่เธอเต้นเสร็จแล้วลงมาจากเวที เพราะว่ากระโปรงยาวลากพื้นนิดหน่อย เธอมองเห็นไม่ชัดเมื่อลงบันได จึงหกล้มลงมาในทันที

โอหยางจวิ้นใจกระตุก รีบวิ่งเข้าไป ในตอนนี้เอง เด็กที่นั่งอยู่แถวหน้ามีคนล้อมวงเข้าไปแล้ว

“หวันหว่าน ล้มโดนตรงไหนไหม?” เฉียวซือ ยื่นมือออกไปหาเธอ จะพยุงเธอขึ้นมา

หวันหว่านเจ็บข้อเท้านิดหน่อย เธอยื่นมือไปให้เฉียวซือ จากนั้นก็ออกแรงจับไว้ เตรียมจะลุกขึ้น

“หวันหว่าน!” โอหยางจวิ้นตามมาทันแล้ว เขาอุ้มหวันหว่านขึ้น พูดกับคุณครูที่ล้อมเข้ามา “ห้องพยาบาลอยู่ไหนครับ?”

“อาจวิ้น หนูไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องเป็นกังวล” หวันหว่านทำท่าทางอยู่ในอ้อมอกเขา

แต่ว่า ยังไงเขาก็ไม่วางใจเธอ รีบอุ้มเธอไปที่ห้องพยาบาล

หมอตรวจดูรอบหนึ่ง พบว่าข้อเท้าแพลงเล็กน้อย สองวันนี้ระวังอย่าลงพื้น ห้ามออกกำลังหนัก ๆ ภายในหนึ่งสัปดาห์

ขณะที่พูดหมอจ่ายยาทาภายนอก โอหยางจวิ้นยกขาน้อย ๆ ของหวันหว่านขึ้น ในตอนที่นวดให้เธอ เฉียวซือที่อยู่ด้านข้างก้มตัวลงเป่าให้หวันหว่าน เขาเป่าไปด้วย ให้กำลังใจไปด้วย “หวันหว่านกล้าหาญ เหมือนกับเรา เหมือนเด็กผู้ชายที่แข็งแกร่ง!”

หวันหว่านยิ้มกับเขาเล็กน้อย แล้วก็ทำท่าทางหนึ่ง “จ้า พวกเราเป็นเด็กชายที่กล้าหาญแข็งแกร่ง!”

เพราะว่าข้อเท้าบาดเจ็บ ดังนั้นโอหยางจวิ้นจึงลาหยุดให้หวันหว่านหนึ่งสัปดาห์ เขาอุ้มเธอขึ้น ให้เธอนั่งบนข้อแขน แล้วเดินออกจากโรงเรียน

จู่ ๆ หวันหว่านก็คิดขึ้นมาได้ ครั้งสุดท้ายที่เขาอุ้มเธอ หลายเดือนมาแล้ว?

ตอนนั้น เธอครบสี่ขวบ รู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กโตแล้ว จึงไม่ให้โอหยางจวิ้นอุ้ม พวกเขาออกไปข้างนอกด้วยกัน ถ้าหากเหนื่อยเธอก็ให้เขาจูงมือ เธออดทนกัดฟันไว้

ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนอีกครั้ง หวันหว่านยื่นมือออกไปจับแขนของโอหยางจวิ้น จากนั้นก็พูดกับเขา “อาจวิ้น กำยำขึ้นอีกแล้ว”

เขาอดหัวเราะไม่ได้ “ดูออกได้ยังไง?”

หวันหว่านยื่นมือน้อย ๆ ออกไป ตบหน้าอกของโอหยางจวิ้น “ตรงนี้ก็ดูหนาขึ้น อาจวิ้นไม่ใช่ว่าอาอ้วนแล้วจะลดน้ำหนักนะ?”

เขาจะยิ้มก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง “หวันหว่าน มันไม่ได้นุ่ม ไม่ใช่ไขมัน มันคือกล้ามเนื้อ”

หวั่นหว่านได้ยิน ก้มหน้ามองดูหน้าอกเล็กกับแขนเล็ก ๆ ตัวเอง แล้วเศร้าใจนิดหน่อย “หวันหว่านไม่มีกล้ามเนื้อ”

“หนูเป็นผู้หญิง ไม่ต้องมีกล้ามเนื้อ” โอหยางจวิ้นพูด “พวกเราที่เป็นผู้ชายต้องการให้เนื้อแน่น แบบนี้ถึงจะปกป้องคนที่ตัวเองรักได้”

เธอฟังเหมือนจะเข้าใจแต่ไม่เข้าใจชัดเจน เธอเงียบอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ถามเขา “อาจวิ้น งั้นหวันหว่านคือคนที่อารักไหมรัก?”

เขาพยักหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ “แน่นอน อาจวิ้นรักหวันหว่านมากมาโดยตลอด!”

เธอยิ้มในทันที ในดวงตาเป็นประกายสวยงาม

เขาอดไม่ได้ จึงก้มหน้าลมไปหอมแก้มขาวผ่องของเธอ

เธอยิ้มแล้วก้มหน้า จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้แล้วหอมแก้มเขา

เพียงแต่ตอนนี้เธอโตแล้ว น้ำลายไม่ไหลแล้ว ดังนั้นสัมผัสนุ่ม ๆ กลับมีเพียงความชุ่มชื้นเท่านั้น

โอหยางจวิ้นกลืนน้ำลาย จู่ ๆ ก็คิดขึ้น ว่าเขาควรจะหาแฟนแล้วใช่ไหม?

ถูกสาวน้อยหอมยังรู้สึกดีขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นหญิงสาวล่ะ?”

ผลปรากฏว่าตอนที่เขารับหวันหว่านกลับไปที่ตระกูล พอดีกับที่ตระกูลจัดการนัดดูตัวให้เขา

ผู้หญิงเป็นคนจีนแท้ๆ เป็นคนรุ่นหลัง ญาติภรรยาของเย่ซีโจว

ก่อนหน้านี้อยู่ในประเทศตลอด ช่วงครึ่งปีหลังนี้ ถึงจะย้ายถิ่นฐานมา

หญิงสาวชื่อมู่ยวี๋ฮั่น จบจากโรงเรียนทหาร เรียน

แพทย์ทหาร อีกอย่างเพราะว่าเกี่ยวข้องกับตระกูล เคยใช้ปืนจริง ฝีมือการยิงปืนไม่เลว

ดูข้อมูลของหญิงสาว ตอนเย็นโอหยางจวิ้นก็ได้เจอตัวจริง

ในตอนนี้ เขาอุ้มหวันหวั่นพาเธอสูดอากาศอยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง เมื่อหันหลังไปก็เห็นผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งไม่สูงไม่เตี้ย รูปร่างค่อนข้างผอม แต่ใบหน้ากลับมีเสน่ห์

“สวัสดีค่ะ” เธอเดินเข้ามาอย่างมั่นใจ “ฉันชื่อมู่ยวี๋ฮั่น ที่บ้านจัดการให้มาอยู่ที่นี่สองสามวัน แต่อันที่จริงคือมาดูตัวกับคุณ”

หวันหว่านรู้ความหมายของคำว่านัดดูตัวตั้งนานแล้ว เธอจึงมองสาววัยรุ่นตรงหน้า ครุ่นคิดว่าต่อไปมีเธออยู่ ก็จะอยู่เป็นเพื่อนอาจวิ้นบ่อย ๆ

“สวัสดีครับ” โอหยางจวิ้นเดินเข้าไป ใช้มือข้างที่ว่างจับมือทักทายกับมู่ยวี๋ฮั่น แล้วพูดอย่าสุภาพ “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“หนูคือหวันหว่านใช่ไหม? ฉันเคยได้ยินมา” ขณะที่มู่ยวี๋ฮั่นพูด ก็เอาของเล่นออกมาจากมือ “หวันหว่าน ให้หนูจ้ะ!”

หวันหว่านเหลือบมองโอหยางจวิ้น เห็นเขาพยักหน้า เธอถึงยื่นมือออกไปรับ ยิ้มกับมู่ยวี๋ฮั่นแล้วทำท่าทาง “ขอบคุณค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจจ้า!” มู่ยวี๋ฮั่นพูด แล้วมองไปยังรองเท้าแตะที่หวันหว่านสวมใส่ “บาดเจ็บเหรอ?”

โอหยางจวิ้นพยักหน้า “ครับ ก่อนหน้านี้ข้อเท้าแพลง หมอบอกว่าต้องพักผ่อนหนึ่งสัปดาห์”

“ถ้าหากเชื่อใจฉัน ฉันช่วยดูให้ได้นะ ฉันเรียนหมอ” มู่ยวี๋ฮั่นพูด

โอหยางจวิ้นก้มหน้าเจรจากับหวันหว่าน “หวันหว่าน ให้น้ามู่ดูได้ไหม?”

หวันหว่านมองหญิงสาวที่มีความสามารถตรงหน้า มีความไว้วางใจบางอย่าง จึงพยักหน้า

ทั้งสองพาหวันหว่านไปในห้อง หลังจากที่มู่ยวี๋ฮั่นดูเสร็จก็พูดขึ้น “ยังบวมอยู่นิดหน่อย พอดีกับที่ฉันมีนิสัยชอบพกยาติดตัว ฉันไปหยิบมาให้นะ”

ในไม่ช้าเธอหยิบน้ำมันเก๊กฮวยมาขวดหนึ่ง เทลงบนฝ่ามือ จากนั้นก็ค่อย ๆ ถูให้อุ่น แล้วนวดลงเบา ๆ บนข้อเท้าที่บาดเจ็บของหวันหว่าน

“ยาประเภทนี้สรรพคุณไม่เลว เป็นสูตรลับของตระกูลของฉัน” มู่ยวี๋ฮั่นกะพริบตา “นอนหลับตื่นทา รับรองว่าหายบวมแน่นอน!” ขณะที่พูด ก็กดจุดบริเวณโดยรอบให้หวันหว่านอีก

“เหรอ?” โอหยางจวิ้นพูด “บรรพบุรุษถ่ายทอดมา งั้นก็ไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยสูตรใช่ไหม?”

“แน่นอนอยู่แล้ว!” มู่ยวี๋ฮั่นพูด จู่ ๆ ก็นึกอะไรออก แล้วมองโอหยางจวิ้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“แน่นอนว่า ถ้าหากการแต่งงานของพวกเราสำเร็จ พวกเราสามารถแบ่งปันความลับกันได้”

โอหยางจวิ้นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ดูท่าแล้วเพื่อสูตรลับนี้ ผมคงต้องพยายามดูหน่อยแล้ว! ในเมื่อตระกูลเพอร์เซลล์ มีการกระทบกระแทกเป็นเรื่องปกติ ต้องการสูตรลับนี่จริง ๆ!”

ตอนค่ำ โอหยางจวิ้นอุ้มหวันหว่านขึ้นชั้นบน ส่วนมู่ยวี๋ฮั่นไปที่ห้องพักแขก

เช้าวันต่อมา หวันหว่านลืมตาขึ้น สาวน้อยลืมเรื่องที่ตัวเองบาดเจ็บไปตั้งนานแล้ว เธอพลิกตัวจะลงจากเตียง

คนรับใช้ที่อยู่ด้านข้างตกใจอย่างมาก “คุณหนูหวันหว่าน เท้าของคุณยังไม่หายดีนะคะ คุณจะลงจากเตียงเหรอคะ พวกเราอุ้มคุณเองค่ะ!”

หวันหว่านถึงได้ก้มหน้า มองไปทางข้อเท้าของตัวเอง

แต่ว่าตรงข้อเท้าไม่บวมไม่เจ็บแล้ว มีแค่รอยฟกช้ำจาง ๆ เล็กน้อย บ่งบอกให้เห็นว่าเคยบาดเจ็บมาก่อน

เธอทำท่าทาง “เท้าของหนูหายแล้ว!”

แต่คนรับใช้วางใจได้ที่ไหน? พวกเธออุ้มหวันหว่านขึ้น กำลังจะเดินออกไปด้านนอก ก็เจอเข้ากับโอหยางจวิ้น

หวันหว่านรีบทำท่าทางกับโอหยางจวิ้น “อาจวิ้น เท้าของหนูหายแล้ว ไม่เจ็บแล้ว”

เขาอึ้งนิดหน่อย แล้วก้มหน้าดู เท้าของหวันหว่านดีขึ้นเยอะแล้วจริง ๆ จึงรับหวันหว่านทาจากคนรับใช้ จากนั้นก็อุ้มเธอลงไปด้านล่างให้มู่ยวี๋ฮั่นดู

“ไม่เป็นไรแล้วจริง ๆ ฉันบอกแล้ว สูตรลับของตระกูลฉัน ข้อเท้าแพลงปกติ วันที่สองก็หาย!” ขณะที่พูด เธอจูงมือหวันหว่าน “หวันหว่านลองออกแรงเบา ๆ เดินดูว่าเจ็บไหม?”

หวันหว่านเดินอย่างระวัง ไม่เจ็บแล้วจริง ๆ จึงทำท่าทางกับมู่ยวี๋ฮั่น “ขอบคุณนะคะคุณน้า หวันหว่านหายแล้ว!”

โอหยางจวิ้นเป็นล่ามแปลอยู่ด้านข้าว มู่ยวี๋ฮั่นจึงทำมือตอบกลับ “ก่อนหน้านี้ที่ฉันอยู่ที่ค่ายทหารเคยเรียนภาษามือ ท่าทางของเธอฉันเข้าใจทั้งหมด”

ถึงแม้หวันหว่านจะเดินแล้วไม่เจ็บเท้าแล้ว แต่ว่าโอหยางจวิ้นตัดสินใจรอให้แข็งแรงกว่าเดิมสักหน่อย วันที่สองยังไม่ให้หวันหว่านลงพื้น

วันที่สาม เขากับมู่ยวี๋ฮั่นพาหวันหว่านไปที่ห้างสรรพสินค้า ถือว่าพาเด็กน้อยไปสูดอากาศ

ผ่านร้านเสื้อผ้า มู่ยวี๋ฮั่นชอบเสื้อผ้าตัวหนึ่งจึงไปลองเสื้อผ้า โอหยางจวิ้นจึงอุ้มหวันหว่านรออยู่ด้านนอก

มู่ยวี๋ฮั่นเปลี่ยนชุดแล้วเดินออกมา ชุดลำลองทั้งตัว ดูเพิ่มความสดใสขึ้น

พนักงานขายที่อยู่ด้านข้าง อดไม่ได้ที่จะชม “คุณผู้หญิงสวมชุดนี้ดูดีมากจริง ๆ ค่ะ! นี่คือลูกสาวของพวกคุณใช่ไหมคะ? ดูไม่ค่อยออกว่าเป็นลูกครึ่ง รู้สึกเหมือนคุณแม่มากกว่าหน่อย!”

มู่ยวี๋ฮั่นหัวเราะ “ไม่ใช่ค่ะ เธอคือหลานสาวของพวกเรา”

“ถึงว่า ฉันดูพวกคุณอายุยังน้อย ยังอิจฉาที่พวกคุณยังวัยรุ่นขนาดนี้ ก็มีบูกที่โตขนาดนี้แล้ว!” พนักงานขายยิ้ม

“ไม่เป็นไรค่ะ!” มู่ยวี๋ฮั่นพูด “ชุดนี้ฉันซื้อเลยค่ะ!”

พลบค่ำ ทั้งสามกลับบ้านด้วยกัน โอหยางจวิ้นอุ้มหวันหว่าน ถือของทุกอย่างไว้ มู่ยวี๋ฮั่นกลับมือเปล่า

เธอเกรงใจเล็กน้อย “ขอบคุณนะคะ ช่วยฉันถือตลอดทางเลย”

โอหยางจวิ้นพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “สบายมากครับ”

“คุณเป็นคนอบอุ่มแบบนี้ตลอดเลยเหรอคะ?” มู่ยวี๋ฮั่นพูดขึ้นอย่างสงสัย “ก่อนหน้านี้ดูข้อมูลของคุณ คนอื่นแสดงความคิดเห็นต่อคุณเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนี้!”

“เหรอครับ?” โอหยางจวิ้นมองสาวน้อยในอ้อมแขน “อาจจะเป็นเพราะเธอครับ!”

เป็นเธอ เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นคนที่ตัวเองไม่เคยคิดมาก่อน

ภายใต้แววตาที่ใจจดใจจ่อของหวันหว่าน ปลาหลายตัวนั้นถูกปล่อยคืนสู่ทะเล ตบที่หางปลา หายลับตาไปอย่างรวดเร็ว

หวันหว่านมองพวกมันว่ายไป บนใบหน้ามีรอยยิ้มในทันที เธอโบกมือให้พวกปลา ทำท่าทาง “พวกเธอต้องกลับบ้านอย่างปลอดภัยนะ”

“หวันหว่าน แต่ถ้าหากอาจวิ้นตกปลาตัวใหญ่ได้ละก็ พวกเราปล่อยมันกลับไม่ได้นะ”โอหยางจวิ้นพูด“ปลาใหญ่พวกนั้นต่างกินปลาเล็ก และพวกเราไม่ได้เอาของกินมา อีกเดี๋ยวหวันหว่านก็หิวแล้ว”

เขาพูดแบบนี้ เธออดไม่ได้ที่จะลูบท้องเล็กๆของตัวเอง อย่างดังคาด รู้สึกหิวหน่อยๆแล้ว

ดังนั้น เธอพยักหน้า ทำท่าสู้ๆให้โอหยางจวิ้น

ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ ทันใดนั้นคันเบ็ดของโอหยางจวิ้นก็จมลงไป

เขาจ้องตาเขม็ง รีบลุกขึ้นยืน พร้อมดึงสาย

คันเบ็ดถูกดึงจนง้อ โอหยางจวิ้นเก็บสายค่อนข้างลำบาก

“หวันหว่าน น่าจะเป็นปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่ง”เขาหมุนสายเบ็ดไปพลาง พูดไปพลาง “เห็นทีเราไม่ต้องทนหิวแล้ว”

อย่างที่คิด เวลาที่ปลาถูกดึงขึ้นมา หวันหว่านถึงกับตกใจ

ปากโตๆ และในปากยังมีฟันแหลม ดูแล้วสูงกว่าเธอครึ่งตัว สีแดงๆสวยงามมาก

“ดีจริงๆ เป็นปลาเก๋าแดง”โอหยางจวิ้นพูด “ซาชิมิกับการตุ๋นซุปก็ดีทั้งนั้น”

พูดอยู่ เขาใช้ถุงมือเอาปลาออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วเก็บคันเบ็ด

เนื้อปลาใช้มาซาชิมิ หัวปลากับหางปลามาตุ๋นซุป โอหยางจวิ้นทำด้วยท่าทางชำนาญ ไม่นานก็เตรียมส่วนผสมเสร็จแล้ว

บนเรือยอชต์มีครบทุกอย่าง เขาให้หวันหว่านนั่งอยู่ข้างเขา ดูเขาแล่ปลา

มีดคมมาก เขาแล่เป็นชิ้นบางๆ ตอนจัดวางบนจาน เนื้อปลาดูใสราวคริสทัล

“หวันหว่านยังเด็ก กินปลาดิบมากไม่ได้ เรากินไม่กี่ชิ้นก็พอ”โอหยางจวิ้นพูด“อีกเดี๋ยวซุปเนื้อปลาที่ตุ๋นมาก็อร่อยเหมือนกัน โดยเฉพาะข้างบนหนังปลา มีคอลลาเจนและโปรตีน เด็กผู้หญิงกินแล้วยิ่งดีต่อผิว”

หวันหว่านไม่เข้าใจอะไรคือคอลลาเจนและโปรตีน แต่เธอเชื่อฟังเขา กินปลาดิบแค่ 4 ชิ้น ความเผ็ดของวาซาบิทำให้มีน้ำตา

ปลาสดมาก บวกกับเต้าหู้และต้นหอม ยิ่งเย้ายวน

ไม่นาน ซุปปลาสีขาวๆก็ออกจากเตา หวันหว่านได้กลิ่น น้ำลายสอทันที

“หวันหว่าน ซุปปลาเพิ่งเดือดร้อนมาก อาจวิ้นช่วยหนูตัก”โอหยางจวิ้นพูดอยู่ ตักน้ำซุปถ้วยหนึ่งให้หวันหว่าน อีกจานหนึ่งคีบปลาให้เธอ ยังตักข้าวสวยหนึ่งถ้วยและสลัดผักให้

“ระวังร้อน”เขาเห็นท่าทางทนรอไม่ไหวที่อยากจะกินของสาวน้อย อดยิ้มไม่ได้

“อร่อย”หวันหว่านใช้มือทำท่าทาง แล้วกัดหนังปลาเก๋าแดง

หนังปลาหนามาก ด้านในเต็มไปด้วยคอลลาเจน กัดแล้วเด้งๆ หวันหว่านเดิมที่หิวอยู่แล้ว อุทานอยากพอใจทันที

จนกระทั่งท้องเล็กๆเติมไปครึ่งหนึ่ง หวันหว่านมองโอหยางจวิ้นที่อยู่ตรงข้าม เขากำลังกินอย่างช้าๆ การกระทำสง่างาม

เธอกะพริบตาโตอย่างห้ามไม่ได้ ก้มดูเม็ดขาวหลายเม็ดที่เลอะตรงหน้าตัวเอง แล้วเกาหัวน้อยๆอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไร เป็นอาจวิ้นที่ตกปลาได้ช้า ทำให้หวันหว่านของเราหิว”โอหยางจวิ้นเห็นท่าทางเกรงใจของสาวน้อย ดังนั้นเลยพูดปลอบโยน

เธอพยักหน้า คิดแล้วคิดอีก พูดพร้อมประกอบท่าทาง“คุณอาจวิ้นทำกับข้าวอร่อย รอหวันหว่านโตแล้ว จะทำกับข้าวให้คุณอากินเหมือนกัน”

เดิมเขาอยากพูดกับเธอว่าไม่ต้องทำกับข้าว จะลำบากแต่ตอนสบตาที่แวววาวของสาวน้อย โอหยางจวิ้นไม่กล้าขัดความตั้งใจของหวันหว่าน ยิ้มและพยักหน้า “ตกลง”

ด้วยเหตุนี้ หวันหว่านยิ่งกระปรี้กระเปร่า คาดหวังวันนั้นที่ตัวเองทำกับข้าวเป็น

ภาคเรียนหนึ่ง ในการใช้ชีวิตแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าจะผ่านไปเร็วมาก

ในบ้านที่หวันหว่านอาศัยมีที่สติกเกอร์ส่วนสูงแปะอยู่ ทุกครั้งที่เธอกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็จะเดินเข้าไปวัดส่วนสูงตัวเอง

สติกเกอร์ส่วนสูงมีลายเส้นที่เธอเป็นคนวาดเองอย่างช้าๆ เธอเห็นว่า เส้นแนวนอนสูงขึ้นเรื่อย ๆ เธอโตขึ้นทุกวันจริงๆ

ในคืนนี้ เธอวิดีโอคอลกับพ่อแม่

แต่กลับเห็น เด็กทารกน้อยหนึ่งคนในกล้อง

ทารกน้อยละเอียดอ่อนเป็นพิเศษ ดวงตาโตแต่ดูคม ขนตายาว ผิวที่บอบบาง เหมือนของเล่นเสมือนจริง

ดังนั้นเธอทำท่าทางให้หลานเสี่ยวถาง “คุณแม่ เด็กน้อยมาจากไหน ใช่น้องสาวหนูไหม?”

“เป็นน้องสาวของลูก เป็นลูกแม่บุญธรรมของลูก ชื่อหยานมู่จิ่น ชื่อเล่นว่าเหมิงเหมิง”หลานเสี่ยวถางพูด“ชอบน้องไหม?”

กำลังจะพูด ซูสือจิ่นกับหยานชิงเจ๋อเข้าใกล้กล้อง จับมือมู่จิ่นน้อยโบกให้หวันหว่าน“หวันหว่าน หนูดู เหมิงเหมิงน้องสาวทักทายหนู”

หวันหว่านคิดๆ ส่งจุ๊บไปให้มู่จิ่นน้อย

“จริงด้วย”หลานเสี่ยวถางพูดต่อ“ป้าชิงชิงลูกยังจำได้ไหม?ครอบครัวพวกเขามีลูกชายหนึ่งคน”

พูดถึงทางฮั่วชิงชิงก็ตลก คิดเหมือนกับซูสือจิ่น เดิมคิดว่าเป็นเด็กผู้หญิง แต่คลอดออกมากลับเป็นเด็กผู้ชาย ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ที่บ้านเตรียมแต่ของสีชมพู เพราะสร้างบรรยากาศล่วงหน้า3เดือน ดังนั้นจะเปลี่ยนก็ลำบาก

แต่เด็กผู้ชายหน้าตาน่ารัก คนส่วนใหญ่เห็นแล้ว ต่างคิดว่าเป็นลูกสาว

เรื่องฮั่วชิงชิงป่วยและเรื่องหันจื่ออี้บริจาคไตให้ หลานเสี่ยวถางรู้เข้าอย่างไม่ตั้งใจ รู้สึกคลอดเด็กผู้ชายก็ดี วันหลังงานในบ้าน เด็กผู้ชายถึงสามารถช่วยแบ่งเบา

แม้ว่า ตอนนี้ตอนนี้เหมือนไม่ต้องการแรงงานมากเท่าไหร่ แต่หากมีละก็ เด็กผู้ชายดีกว่ามาก

มู่จิ่นน้อยของบ้านซูสือจิ่นเพิ่ง 2 ขวบ ดังนั้นมองกล้องแค่ไม่กี่วินาที เด็กน้อยก็สนใจสิ่งอื่นแล้ว

มู่จิ่นน้อยเพิ่งคลานไป หยานโม่หานกลับวิ่งเข้าไป

เขาแย่งมือถือจากมือผู้ใหญ่มา ตอนเห็นหวันหว่าน จุ๊บหลายทีส่งให้หวันหว่านอย่างกระตือรือร้น

ซูสือจิ่นข้างๆ ยิ้มอย่างจนใจ ลูกชายของเธอ ทำไมถึงชอบพี่หวันหว่านขนาดนี้?

และหยานชิงเจ๋อ กลับพูดกับสือมูเฉินที่อยู่ข้างๆ“พี่เฉิน พี่ดูลูกชายผมชอบเจ้าหญิงน้อยบ้านพี่ขนาดนี้ พวกเราจับเด็กๆหมั้นหมายกันไว้ดีไหม”

ซูสือจิ่นได้ยิน รู้สึกไม่เลว

เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนช่างเลือก ถ้าหากลูกชายขอลูกสาวบ้านอื่น เธอกลับลูกสะใภ้คนนั้นเข้ากันไม่ได้จะทำยังไง?

สือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางรู้ดีแต่ไม่พูด ความสัมพันธ์ดีต่อกันขนาดนี้ หวันหว่านยังเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนแบบนี้ แม้ว่าจะแก่กว่าหยานโม่หาน 2 ปี แต่ไม่เป็นไร ความรักแบบผู้หญิงแก่กว่าผู้ชายยิ่งตื่นเต้นรู้ไหม

เธอเห็นด้วยทันที“ก็ดีนะ ฉันอยากได้หวันหว่านมาเป็นลูกสะใภ้บ้านฉัน”

พูดอยู่ กอดแขนหลานเสี่ยวถางไว้“ได้ไหมพี่สะใภ้? ให้หวันหว่านกับโม่หานหมั้นหมายกันไว้แต่เด็ก”

สือมูเฉินที่อยู่ข้างๆยิ้ม“พวกเราไม่ขัด แต่เธอมั่นใจไหมว่าพวกเด็กๆโตมาจะยอมแต่ง?”

ซูสือจิ่นยกลูกชายขึ้นจากพื้นทันที แล้วกอดไว้ที่หน้าอก พูดกับเขา“โม่หาน ลูกอยากให้พี่หวันหว่านมาเป็นเจ้าสาวของลูกไหม?”

แม้ว่าหยานโม่หานไม่มีแนวคิดเรื่องแต่งงานอะไร แต่เคยเล่นเกมพ่อแม่ลูกอยู่

ดวงตาเขาเปล่งแสงทันที พยักหน้าอยากดีใจ รู้สึกสุขใจ แล้วเรียกหวันหว่านในมือถือด้วยเสียงหวานๆไม่หยุด

ซูสือจิ่นเห็นแวว ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “หวันหว่าน หนูยอมไหม? ถ้าหากยอมละก็ พวกเราก็ตกลงตามนี้”

หวันหว่านรู้ว่าลูกสะใภ้หมายถึงอะไร แต่เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ เห็นเด็กน้อยบนจอที่อ่อนกว่าตัวเอง รู้สึกหวั่นๆ

“ฮ่าๆ ทำไมหวันหว่านทำท่าทางเหมือนไม่ยอมอย่างนั้น”สือมูเฉินตบไปที่ไหล่ของหยานชิงเจ๋อ “เห็นทีโม่หานบ้านนายยังต้องพยายามต่อไป”

“โม่หานน้อย สู้ๆ”หยานชิงเจ๋อพูดด้วยความสนุก

มู่จิ่นน้อยเหมือนรับรู้ว่าไม่มีคนสนใจเธอ ร้องไห้แงๆทันที

ซูสือจิ่นอุ้มเธอขึ้นจากเตียง “โอ้ๆ ทำไมเหมิงเหมิงของเราถึงร้องไห้ หิวแล้วใช่ไหม?”

พูดอยู่ รีบอุ้มเธอไปป้อนนมข้างใน

พูดถึง2 เดือนก่อนที่หยานมู่จิ่นเพิ่งคลอด เธอกังวลมากจริงๆ

ลูกคนที่ 2แล้ว ถ้าหากยังเป็นลูกชาย เธอต้องร้องไห้จนล้มกำแพงเมืองจีนพังแน่ ๆ

โดยเฉพาะ ตอนเห็นฮั่วชิงชิงเดิมที่คิดว่าเป็นลูกสาว ตอนคลอดออกมากลับเป็นลูกชาย ในใจตอนนั้นของซูสือจิ่นอย่าให้พูดถึงว่าแย่แค่ไหน

ดีตรงที่ สวรรค์ไม่ได้เล่นตลกกับเธอเป็นครั้งที่ 2

ลูกคนที่ 2คลอดง่ายขึ้นมาก และเป็นลูกสาว เธอร้องไห้ออกมาอยากดีใจทันที รู้สึกว่าสมบูรณ์แบบแล้ว

มีบางครั้งผู้หญิงก็ต้องริเริ่มก่อนจริงๆ วันนั้นยั่วหยานชิงเจ๋อสำเร็จ ในที่สุดก็ได้เจ้าหญิงน้อยสมใจอยาก

ตอนนี้ดูแล้ว เจ้าหญิงน้อยได้ยีนเด่นของหยานชิงเจ๋อ แค่สองเดือนก็งดงามจนคนอดไม่ได้ที่จะหอมแก้ม ซูสือจิ่นป้อนนมไปพลาง ยิ้มไปพลาง เต็มไปด้วยความสุข

ทางด้าน หวันหว่านคุยกับทุกคนสักพัก หลานเสี่ยวถางไม่อยากให้เธอมองหน้าจอมากจะเสียสายตา ถึงวางสายไป

หวันหว่านเอามือถือยื่นให้โอหยางจวิ้น แล้วถามข้อสงสัยของเธอกับโอหยางจวิ้น

“คุณอาโอหยาง การหมั้นหมายคืออะไร พวกเขาบอกว่าให้หนูหมั้นหมายกับน้องโม่หาน” หวันหว่านทำท่าหมั้นหมายไม่เป็น ด้วยเหตุนี้ เลยดึงมือโอหยางจวิ้นขึ้น เขียนเสียงอ่านในมือของเขา

โอหยางจวิ้นนิ่งไปหลายวินาที แล้วค้นหาในอินเทอร์เน็ตครู่หนึ่ง ถึงรู้ว่าหมายถึงอะไร

เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “อนาคตพวกเขาอยากให้เธอกับหยานโม่หานแต่งงาน แต่งให้กับเขา”

หวันหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง จินตนาการถึงฉากเกี้ยวเจ้าสาวและสวมชุดแต่งงานสีขาวในทีวี

เห็นหวันหว่านเงียบไม่พูด โอหยางจวิ้นอดที่จะสนใจไม่ได้ “หวันหว่าน แล้วหนูยอมไหม?”

แต่งกับเด็กน้อยคนนั้น?หวันหว่านส่ายหน้า “เขาเด็กเกินไป ทำอะไรก็ไม่เป็น”

โอหยางจวิ้นยิ้ม พูดว่า“หวันหว่านเติบโตได้ น้องโม่หานก็เติบโตได้เหมือนกับหนู”

เธอนิ่งไป เหมือนเมื่อกี้ไม่ได้คิดถึงปัญหานี้ ดังนั้นพูดพร้อมประกอบท่าทาง “หวันหว่านไม่รู้ เพราะไม่รู้ว่าน้องโม่หานโตมาจะเป็นยังไง”

พูดจบ นึกอะไรได้ เธอพูดเสริม“ถ้าหากเหมือนคุณอาจวิ้น งั้นก็ได้”

โอหยางจวิ้นยิ้ม พูดว่า “อืม หวันหว่านโตแล้ว ต้องหาผู้ชายที่ตามใจหนู เหมือนที่อาตามใจหนู”

เธอพยักหน้า จู่ ๆนึกถึงวิดีโอคอลเมื่อครู่ ฉากที่คึกคัก ดังนั้นมองโอหยางจวิ้นหลายนาที ทำท่าทางและพูดว่า“คุณอาจวิ้น ทำไมคุณอายังไม่มีลูก?”

โอหยางจวิ้นหัวเราะไม่ออก “อาจวิ้นยังไม่ได้แต่งงาน ไม่มีภรรยา จะมีลูกได้ยังไง?”

หวันหว่านเข้าใจทันที ดังนั้นเลยทำท่า“งั้นคุณอาจวิ้นเถอะ ไม่อย่างงั้นไม่มีเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนคุณอา คุณอาจะเหงาไหม?”

“เจ้าโง่โยวขึ้นมานั่ง ไม่เข้าใจรึไง ”ฟู่สีเกอพูดขึ้น

เฉียวโยวโยวตอบรับไป กำลังจะทำตามแต่คิดได้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงนะ

“ผู้หญิงไม่ทำแบบนี้” เฉียวโยวโยวนวดศีรษะที่กำลังมึนๆ “ให้ฉันคิดก่อน…”

รอเธอคิด เขาถูกเธอทำให้ไฟติดใกล้จะระเบิดแล้ว

ฟู่สีเกอเปิดปาก“ให้เวลาคุณ5วินาที ถ้าหากคุณไม่รู้จะทำยังไง ก็แสดงว่าคุณไม่ได้เรื่อง”พูดอยู่ก็เริ่มนับถอยหลัง

เป็นผู้หญิง เกลียดที่สุดก็คือผู้ชายบอกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง

ผู้ชายใต้ร่างกลับกล้าดูถูกเธอ?!

เฉียวโยวโยวไม่พอใจ เห็นธงท่อนล่างของฟู่สีเกอตั้งขึ้น จู่ ๆก็รู้สึกคุ้นตานิดๆ

เธอเข้าไปใกล้ บีบๆแล้วลูบคลำไปสองที ยิ่งรู้สึกว่าเคยเห็นที่ไหน ด้วยเหตุนี้ หน้าเรียวไข่แดงๆเข้าไปใกล้ ยังสูดดม

ลมอุ่นๆพ่นอยู่ข้างบน ฟู่สีเกอรู้สึกว่าตัวเองจะบ้าทันที

ใครกำหนดให้เขารอเธอมาจัดการเขาข้างเดียว นี่ไม่ใช่การทรมานเขาให้คลั่งรึไง?!

ตอนที่เขาจะเปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำเป็นฝ่ายกระทำ เฉียวโยวโยวมึนงงอยู่ จู่ ๆก็นึกถึงฉากหนึ่งขึ้น เหมือนของสิ่งนี้ยังใช้มานั่งได้…

ความรู้สึกที่ถูกปิดล้อมกะทันหัน ทำให้ฟู่สีเกออุทานออกมาอย่างพอใจ เขากำลังจะจุ๊บให้รางวัลเฉียวโยวโยวไปหนึ่งจุ๊บ เธอก้มตัวลงไปแล้ว จูบเขาอย่างรุนแรง

คิดไม่ถึงว่าฤทธิ์เหล้าจะแรงขนาดนี้ เธอที่เป็นแบบนี้ 10ปีก็ยากจะพบเจอจริงๆ

ฟู่สีเกอทำตัวเหมือนคนตัวเล็กๆ รอความสุขจากพี่โยวโยว

แต่เพื่อเพลิดเพลินกับการบริการของสาวน้อยเมาเหล้า ฟู่สีเกอตัดสินใจ อะไรก็ยอม

เพียงแต่ ท้ายที่สุดด้วยกำลังที่มีจำกัดของเธอ ตอนที่เฉียวโยวโยวพูดออกมาด้วยความเอาแต่ใจ “ฉันเหนื่อยแล้ว จะนอนแล้ว”ฟู่สีเกออุ้มเธอไว้ทันที แล้ววางเธอลงบนโซฟาใกล้ๆ แล้วทับลงไป…

วันรุ่งขึ้น ทุกคนต่างตื่นสาย ถึงขนาดตอนตื่นขึ้นมา หวันหว่านช่วยน้องชายน้องสาวแต่งตัวเสร็จแล้ว

ซูสือจิ่นเห็นหวันหว่านเป็นเด็กฉลาด ฝ่ามืออดไม่ได้ที่จะลูบท้องน้อยของตัวเอง

เมื่อคืนวานนี้ เธอกับหยานชิงเจ๋อทำกันหลายครั้ง ผลสุดท้าย เธอทนความเหนื่อยไว้ ยังเอาหมอนใบหนึ่งมารองที่เอวไว้โดยเฉพาะ ก็ไม่รู้ว่าจะท้องไหม

สิ่งสำคัญก็คือ ครั้งนี้เธอเอาแต่ภาวนาให้เป็นเด็กผู้หญิง น่าจะเป็นเธอผู้หญิงนะ

หยานชิงเจ๋อกลับไม่รู้ถึงความคิดเธอ แค่คิดว่ากินยาคุมมันไม่ดี ดังนั้นเลยอารมณ์เสียกับการกระทำเมื่อคืนของตัวเอง

การควบคุมที่เขามี ทำไมอยู่ต่อหน้าเธอก็เหมือนกระดาษบางๆ(ไร้ประโยชน์)แบบนั้น?

ถ้าหากท้อง เธอต้องลำบากมากอีกครั้ง

แต่ตอนเห็นหวันหว่านจูงน้องชายน้องสาวออกมา จู่ ๆหยานชิงเจ๋อก็รู้สึก มีลูกสาวคนหนึ่ง อันที่จริงเป็นเรื่องที่ดีมาก

หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินกินข้าวเที่ยงเสร็จ ส่งหยานชิงเจ๋อและคนอื่นๆกลับ ด้วยเหตุนี้เลยขับรถไปที่เขตทหาร

เวลาส่วนใหญ่ตอนนี้เย่เหลียนอีอยู่เป็นเพื่อนหลานเซี่ยวเฉิง ทั้งสองคนติดกันเหมือนเงา เหมือนชดเชยเวลาที่เสียไปทั้งหมดกลับมา

เห็นหวันหว่านและสือจิ่งเหยียน นัยน์ตาทั้งสองมีแต่ความหลงใหล ต่างคนต่างอุ้มหนึ่งคน ทำให้มือหลานเสี่ยวถางกับ

สือมูเฉินว่างเปล่าไป

หวันหว่านเอาภาพในมือยื่นให้คุณตาคุณยาย พูดพร้อมประกบท่าทาง “ขออวยพรให้คุณตาคุณยายมีสุขสันต์ใน

วันตรุษจีน”

ทั้งสองเห็นเธอเป็นเด็กฉลาดอย่างนี้ สะอึกในใจ หยิบอั่งเปาที่เตรียมไว้แต่เช้าออกมาจากในห้อง ยื่นให้

หวันหว่านกับสือจิ่งเหยียน

“ขอให้หวันหว่านกับจิ่งเหยียนฉลาดและแข็งแรงยิ่งๆขึ้นไป”

“ขอบคุณครับ คุณตาคุณยาย”สือจิ่งเหยียนรับมาอย่างดีใจ เอาของตัวเองให้หวันหว่าน“ให้พี่สาว”

ทุกคนพูดอย่างมึนงง “จิ่งเหยียน ของพี่สาวก็มี ทำไมเอาของตัวเองให้พี่สาวล่ะ?”

สือจิ่งเหยียนคิดๆ“พี่สาวพาน้องซื้อของ”

ทุกคนหัวเราะ“ไม่เป็นไร จิ่งเหยียนเก็บของตัวเองไว้ให้ดี หลังจากนี้เงินตัวเอง ตัวเองเป็นคนเก็บ อยากซื้ออะไรก็เอาจากในนั้น”

ตอนนี้เด็กน้อยยังไม่สามารถเข้าใจเรื่องซับซ้อนอย่างนี้ ด้วยเหตุนี้เล่นอั่งเปาตัวเองเดี๋ยวเดียว ก็เอามันยื่นให้

หลานเสี่ยวถางไป

ในสายตาของเขา รถยนต์คันเล็กสนุกกว่าอั่งเปาปึกหนึ่งมาก

เด็กทั้งสองนั่งเล่นของเล่นบนพรม หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินเริ่มพูดเรื่องหวันหว่านอยู่กับทางเพอร์เซลล์

ถึงเวลามื้อเย็น หวันหว่านยืนกรานจะตักข้างเอง ด้วยเหตุนี้ไม่แค่ตักข้าวให้ตัวเอง ยังตักให้สือจิ่งเหยียน

เด็กน้อยเห็นพี่สาวตักข้าวเอง ดังนั้นเลยอยากตักให้ผู้ใหญ่เหมือนกัน เขาถูกสือมูเฉินกอดไว้ ใช้มือหยิบช้อนอย่างลำบาก ตักมาครึ่งช้อน เกือบจะตกบนพื้น

พวกผู้ใหญ่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก “จิ่งเหยียน รอหนูโตกว่านี้หน่อย สูงพอๆกับพี่สาว ก็ตักให้ตัวเองได้แล้ว”

ด้วยเหตุนี้ ความฝันเด็กน้อยก็กลายเป็นรีบสูงให้เท่าพี่สาว คืนนั้น มีบางครั้งเขาที่เป็นคนกินยากหน่อยๆ กินไปเต็มๆหนึ่งถ้วย

เวลาวันหยุดผ่านไปค่อนข้างเร็ว วันหยุดฤดูหนาวนี้ของหวันหว่านเหมือนไปมาระหว่างบ้านตัวเองกับบ้านคุณตาคุณยาย

และมีเพื่อนมากมาย แม้ว่าจะเด็กกว่าเธอ แต่คนเยอะถึงเล่นสนุก นอกจากหยานโม่หานเอาแต่ตามก้นเธอเหมือนแมลง เรียกพี่สาวๆ ไม่หยุด

วันหยุดจบลง เป็นธรรมดาที่ต้องกลับไปตระกูลเพอร์เซลล์

เพียงแต่ครั้งนี้ โอหยางจวิ้นมาเจรจาธุรกิจทางตอนใต้ของประเทศจีนพอดี ดังนั้นหลังเจรจาเสร็จ ก็นั่งเครื่องมาที่

เมืองหนิงเฉิง

หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินอุ้มน้องชายบอกลาหวันหว่าน ต่างเดินไปถึงปากประตูศุลกากร จู่ ๆหวันหว่านหมุนตัวมา ใช้มือทำท่าทางมอบให้ทุกคน

หวันหว่านถูกโอหยางจวิ้นอุ้มผ่านเดินถึงประตูศุลกากร มีคนเห็นผู้ชายลูกครึ่งอย่างเขาอุ้มเด็กผู้หญิงเหมือนจะเป็น

ลูกครึ่งจีน อดถามไม่ได้ “เธอเป็นอะไรกับคุณ…น่ารักจังเลย”

“ผม…”โอหยางจวิ้นจู่ ๆก็รู้สึกว่า เขาแทนตัวเองว่าอาจวิ้นต่อหน้าหวันหว่านมาโดยตลอด แต่เธอไม่ถือว่าเป็นหลานสาวเขามั้ง

“หลานสาวใช่ไหม?”อีกฝ่ายเห็นว่าสำเนียงจีน เขาไม่ค่อยดี นึกว่าเขาพูดศัพท์บางคำไม่เป็น

“อืม”เขาพยักหน้า เอาอย่างนี้ไปก่อนแล้วกัน

เครื่องบิน บินขึ้นอีกครั้ง หวันหว่านคิดๆ รอเธอกลับบ้านครั้งหน้า ก็โตขึ้นอีกปี

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อากาศค่อยๆอุ่นขึ้น หวันหว่านเหมือนได้ภาษามือเกือบหมดแล้ว

เธอเรียนค่อนข้างเร็ว เลื่อนขึ้นอนุบาล 2 ตามลำดับ ที่เลื่อนชั้นไปด้วยกันกับเธอ ยังมีเฉียวซือที่นั่งโต๊ะเดียวกัน

เขาแก่กว่าเธอครึ่งเดือน อาจเพราะกินเก่ง ครึ่งปีนี้สูงขึ้นไม่น้อย ดูสูงกว่าหวันหว่านมาก

เพราะต้นฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นโรงเรียนอนุบาล กลับมาออกกำลังกายตอนเช้าทุกวันเหมือนเดิม

หวันหว่านเคยเรียนเต้น ร่างกายค่อนข้างอ่อน ดังนั้น ทำท่าเตะขึ้นดูดีกว่าเฉียวซือ

ด้วยเหตุนี้ ทุกเช้าในสนามกีฬาจะมีเสียงหัวเราะของพวกเด็กๆ

เวลาแบบนี้ช่างผ่านไปไว ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ โอหยางจวิ้นก็จะปรากฏตัวหน้าประตูโรงเรียนอย่างตรงเวลา

เขาเจอหวันหว่านแล้ว ตอนนี้เริ่มใช้ภาษามือถามเธอ 5 วันนี้เรียนและเล่นอะไรบ้าง เธอใช้ภาษามือบอกเขาเหมือนกัน เธอกับพวกเพื่อนเล่นกันสนุกสนาน คุณครูยังชมว่าเธอวาดภาพสวย เอาภาพวาดเธอไปแขวนบนกระดานหลังห้องเรียน

ปกติโอหยางจวิ้นจะยุ่งมาก แต่เหมือนทำตัวให้ว่างในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

เพราะอากาศอุ่นแล้ว ด้วยเหตุนี้ เขาคุยกับทางครอบครัวแล้ว จะขับเรือยอชต์พาหวันหว่านออกทะเล

ตั้งแต่จำความได้เป็นครั้งแรกที่ใกล้ท้องฟ้าสีครามและทะเลสีมรกต หวันหว่านตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

ตอนเรือยอชต์จอด เธอกับโอหยางจวิ้นไปบนดาดฟ้าด้วยกัน เตรียมจะตกปลา

โอหยางจวิ้นเตรียมเบ็ดให้เธอ ด้านบนผูกสายเบ็ดสองเส้น แขวนเหยื่อปลอมไว้ล่วงหน้าแล้ว แล้วช่วยหวันหว่านโยนลงไป รอปลาทะเลกินเหยื่อ

เขาเองเลือกใช้คันเบ็ดตกปลาทะเล โยนไปใต้ท้องเรือ มองคันเบ็ดหมุนไม่หยุด ปล่อยไปราว ๆ 40-50เมตร

ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว เขาอุ้มหวันหว่านไว้ สังเกตความเคลื่อนไหวคันเบ็ดของตัวเองไปพลาง กุมมือเล็กของหวันหว่านไปพลาง สัมผัสว่าสายเบ็ดในมือเธอขยับรึเปล่า

ทันใดนั้น ก็รู้สึกมีอะไรดึงเบาๆ ตามมาด้วยสายเบ็ดถูกดึงลงไปแรงอย่างรวดเร็ว

โอหยางจวิ้นตาเป็นประกาย พูดกับหวันหว่าน “หวันหว่าน ปลากินเบ็ดของหนูแล้ว”

พูดอยู่ เขาใช้แรงยกขึ้น แล้วเริ่มเก็บสาย

หลังจากหมุนไปหลายรอบ สาวน้อยก็เห็นปลาตัวเล็กสีฟ้าเขียวขึ้นมาบนน้ำ แล้วโดนโอหยางจวิ้นจับมาตรงหน้า

เขายิ้มให้เธอ พูดว่า “หวันหว่าน หนูดูเธอตกปลากะรังขึ้นมา หวันหว่านเก่งจังเลย ”

ตอนนี้นัยน์ตาของสาวน้อยเป็นประกาย ดีใจอยากไปจับ แต่ก็กลัว ด้วยเหตุนี้ รอโอหยางจวิ้นเอาปลาออกมา วางเข้าไปในถังที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้

ปลาเล็กหนักราว100กรัม ว่ายน้ำอย่างว่องไวในถัง หวันหว่านเฝ้ามองสักพัก แล้วเริ่มตกปลา ภายใต้การช่วยเหลือของโอหยางจวิ้น

อาจเพราะตรงนี้ปลาเล็กเยอะ คันเบ็ดของเธอมีปลากินเหยื่อบ่อยๆ แต่มีบางครั้งที่ดึงขึ้นได้ แต่ส่วนใหญ่รอตอนสาวน้อยดึงสายขึ้นมา ปลาเล็กก็หนีไปไม่เห็นแม้เงา

แต่แม้จะเป็นแบบนั้น ตอนเห็นปลาเล็ก4-5ตัวกระโดดอย่างมีชีวิตชีวาในถังตัวเอง หวันหว่านรู้สึกพอใจมากๆ

เธอดึงสายจนเหนื่อยแล้ว ด้วยเหตุนี้พลางมองปลาเล็ก รอโอหยางจวิ้นตกปลาใหญ่ไปพลาง

เพียงแต่ดูไปสักพัก เธอก็เห็นว่าปลาตัวที่ตกขึ้นมาก่อนเริ่มไม่ค่อยดิ้นแล้ว

เธอสังเกตสักพัก ถึงลุกขึ้นดึงเสื้อของโอหยางจวิ้น ชี้ไปที่ปลาตัวนั้น เริ่มทำท่าทาง “คุณอาจวิ้น มันใกล้ตายแล้วใช่ไหม?มันไม่สบายเหรอ?”

โอหยางจวิ้นพูดกับเธอ “เปล่า มันแค่จากทะเลมา น้ำในถังมีไม่พอ มันขาดออกซิเจนไปอย่างช้าๆ”

หวันหว่านรู้สึกปลาเล็กช่างน่าสงสาร ดังนั้นเลยพูดประกอบท่าทาง “หนูไม่อยากกินมัน คุณอาจวิ้นเราปล่อยมันลงทะเลได้ไหม?”

โอหยางจวิ้นเคยเข้าเกณฑ์ทหาร บวกกับทางเพอร์เซลล์ มักจะร่วมมือกับกองกำลังทหาร ดังนั้นเขาเคยชินกลับความเป็นความตายมานานแล้ว

ถึงขนาด ตอนเข้าเกณฑ์ใหม่ๆ เคยถูกคนลั่นไกปืนใส่

แต่ตอนนี้เห็นใบหน้าใจดีและอดไม่ได้ของเด็กสาวตัวน้อย จู่ ๆ เขาก็เกิดความสงสารขึ้นเล็กน้อย

ด้วยเหตุนี้เลยพยักหน้า“ได้ เราปล่อยพวกมันกลับทะเล”

แต่ทว่า ภายใต้การทำงานของแอลกอฮอล์ เธอนั้นจึงมีความกล้ามากกว่าในยามปกติเป็นอย่างมาก

ซูสือจิ่นพุ่งเข้าไปอาบน้ำแล้วสวมใส่ชุดนอน หลังจากนั้น ก็รอหยานชิงเจ๋ออยู่บนเตียง

เขาเองนั้นไม่นานมากนักก็ออกมาแล้ว เมื่อเห็นว่าเธอยังไม่นอน ดังนั้นจึงตลบผ้าห่มออกแล้วเอนตัวนอนลง หลังจากนั้นก็ดึงเธอเข้ามาสวมกอดในอ้อมกอดตามความเคยชิน “เสี่ยวจิ่น ยังไม่นอนหรือไง?”

เธอขยับตัวเข้าไปแนบตัวอยู่ในอ้อมกอดเขามากขึ้น “ไม่มีพี่ฉันนอนไม่หลับ”

หยานชิงเจ๋อหัวเราะออกมาอย่างรักใคร่ “เอาละ เด็กดี ตอนนี้ฉันก็ไม่ได้กอดเธออยู่หรือไง?”

พูดไป เขาก็ปิดไฟที่หัวเตียง ก่อนจะก้มศีรษะลงไปประทับจูบเข้าที่หน้าผากของซูสือจิ่น

เขาโดยปกตินั้นเวลาออกจากบ้านไปไหนมักจะไม่ได้ตระเตรียมถุงยางเอาไว้ สามารถบอกได้อีกอย่างหนึ่งว่า คิดอยากที่จะตั้งครรภ์แล้วละก็ วันนี้ก็คือโอกาสที่ดีเป็นอย่างมากอย่างไรล่ะ!

บวกเข้ากับ ช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงตกไข่ของเธอด้วย จะต้องพลาดไม่ได้เด็ดขาด!

ดังนั้นแล้ว มือของซูสือจิ่น ค่อย ๆ เคลื่อนลงไปจากลำคอของหยานชิงเจ๋ออย่างเชื่องช้า ลงไปถึงบริเวณทรวงอกของเขาแล้ว

หยานชิงเจ๋อถูกทำจนรู้สึกจั๊กจี้ ลูกกระเดือกขยับไปมา ก่อนจะคว้าจับมือของซูสือจิ่นเอาไว้ “เด็กดี นอนแล้วนะ”

ซูสือจิ่นรู้สึกเกลียดจนคันฟัน บิดตัวไปมาในอ้อมกอดของหยานชิงเจ๋อ ในหัวใจกลับกำลังคิดว่า ทำไมเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรเลยล่ะ ถ้าว่าเสน่ห์ของเธอนั้นลดลงไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

เพียงแต่ว่าเมื่อความคิดนี้ปรากฏตัวขึ้นมา เธอก็รู้สึกว่าตนเองนั้นถูกตรึงเอาไว้อยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเอง หัวใจก็เป็นประกายในทันที

ดูท่าแล้ว เขานั้นยังคงมีปฏิกิริยากับเธออยู่!

“เสี่ยวจิ่น เด็กดี” หยานชิงเจ๋อในตอนนี้ น้ำเสียงพูดออกมานั้นล้วนแล้วแต่แหบพร่าเล็กน้อย

เขาคิดอยากที่จะได้เธอมา แต่ทว่าวันนี้ออกมาไม่ได้พกถุงยางมากด้วย ถ้าหากว่ามีขึ้นมาแล้วจริง ๆ เธอนั้นก็จะลำบากไปอีกสิบเดือนอีกครั้ง

ประเด็นสำคัญเลยก็คือ ภาพในตอนแรกที่เธอคลอดเจ้าตัวน้อยออกมานั้นมันฝังลึกเข้าไปในความทรงจำเป็นอย่างมาก เขาไม่อยากให้เธอมีความเจ็บปวดที่ทุกข์ทรมานแบบนั้นอีกแล้ว

“พี่ชิงเจ๋อคะ——” ร่างกายของซูสือจิ่นแนบชิดเข้าหาร่างกายของหยานชิงเจ๋ออีกครั้ง ปลายนิ้วก็ลากไล่ไปตามส่วนที่อ่อนไหวอย่าง ‘ไม่ได้ตั้งใจ’ ต่ออีกครั้ง

มันไล่ลงไปจากแผ่นอกของเขา ผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้อง หลังจากนั้น ราวกับว่าขาของเธอนั้นมีจุดไหนที่รู้สึกคันยุบยิบเลยก็ไม่ปาน จึงยื่นมือออกไปเกาดู แต่ทว่า ปลายนิ้วมีกลับปะทะเข้ากับความแข็งขืนของเขาครั้งหนึ่งเสียแล้ว ไม่นานนักก็ยกมันออกไปอีกครั้ง

“เสี่ยวจิ่น เป็นอะไรไปน่ะ?” หยานชิงเจ๋อนั้นอดทนอย่างทุกข์ทรมาน หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อหมดแล้ว

“ฉันคันขา” ซูสือจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างคนไร้ความผิด

พูดไป ก็ทำเช่นนั้นต่อไป

ทันใดนั้นเอง หลังมือของเธอ ก็ถูกความแข็งขืนของเขาอีกครั้งหนึ่ง

“อ๊ะ มันนิสัยไม่ดีเลย!” ซูสือจิ่นเอ่ยขึ้นเสียงเบา พูดไป ก็ราวกับว่าจงใจลงโทษมันเลยก็ไม่ปาน ดังนั้นแล้วจึงยื่นมือออกไปหยอกล้อกับมันอีกครั้ง

นัยน์ตาของหยานชิงเจ๋อหกเกร็งตัวในทันที รู้สึกเพียงแค่ว่าตอนนี้สมองระเบิดไปแล้ว

ในตอนที่แทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใด ๆ เลยนั้นเอง สัญชาตญาณของเขานั้นก็พุ่งเข้าไปกดเธอเอาไว้เหนือศีรษะแล้ว

หัวใจของซูสือจิ่นลอบยิ้ม ก่อนจะรับแนบชิดร่างกายต้อนรับโดยทันที

หยานชิงเจ๋อไม่ได้ค้นพบการกระทำเล็ก ๆ ของเธอเลย อีกทั้งเป็นเพราะว่าการสอดประสานแนบชิดแบบนี้ ทำให้รู้สึกได้ถึงเลือดในกายที่กำลังร้องเรียก

เขากดซูสือจิ่นเอาไว้แน่น ร่างกายกดตัวทาบทับไปมาอยู่บนร่างของเธอ

วันนี้ ส่วนอ่อนไหวของเธอนั้นราวกับว่าชื้นแฉะแล้ว มันเลอะบนร่างกายของเขา โอบกอดเข้าเอาไว้

ในตอนที่เขามีปฏิกิริยาตอบกลับมาแล้วนั้นเอง มือก็อยู่บนร่างของเธอเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะบีบคลึงเข้าที่ขาของเธอไปพลาง และก้มศีรษะลงไปประกบจูบเธอไปพลาง

ในช่องปากของเธอ ยังคงมีกลิ่นของแอลกอฮอล์อยู่ รสชาติบางเบา แต่ทว่ากลับจุดไฟให้มีอุณหภูมิขึ้นมาได้ในทันที

อีกอย่างหนึ่ง ขาของเธอเองนั้นก็แนบขึ้นมาบนร่างของเขา ดังนั้นแล้ว จึงบีบนวดลงไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนแข็งขืนของเขา ตอนนี้ก็เข้าถึงจุดอ่อนไหวของเธอเรียบร้อยแล้ว

เขาอยากที่จะผละออกไป แต่ทว่า รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าสมองของเขาในตอนนี้กำลังสั่งการให้มีการกระทำผละออกไป แต่ร่างกายกลับพุ่งไปทางด้านหน้าแทน

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงสอดใส่เข้าไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ในตอนที่เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกโอบล้อมอันคุ้นเคยนั้นเอง สติสัมปชัญญะทั้งหมดก็ไม่รู้ว่าบินลอยหายไปไหนแล้ว

หยานชิงเจ๋อยังคงค่อย ๆ สอดใส่เข้าไปอย่างเชื่องช้า ก่อนจะส่งเสียงครางต่ำ ๆ ออกมา

“พี่ชิงเจ๋อคะ——” น้ำเสียงเร่าร้อนของซูสือจิ่นดังขึ้นที่กกหูของเขา ลมหายใจอุ่นร้อนแฝงไปด้วยกระแสไฟฟ้าขนาดใหญ่ ท้ายที่สุดแล้วก็ตีความอดทนสุดท้ายของเขาจนแตกละเอียด

ทันใดนั้นเอง เขากลับลืมเลือนทุกสิ่งอย่าง ก่อนจะเข้าไปในร่างกายของเธอ แม้กระทั่งเป็นเพราะว่าเธอเองนั้นก็เชื้อเชิญเองด้วย การเคลื่อนไหวของเขานั้น มันยังรุนแรงกว่าครั้งที่ผ่านมากเสียอีก

ห้องทางด้านข้าง หลานเสี่ยวถางกำลังเอนตัวพิงอยู่ในอ้อมกอดของสือมูเฉิน ส่งเสียงถอนหายใจเบา ๆ ออกมา “ไม่ได้พบเจอกันพึ่งจะครึ่งปีเอง หวันหว่านรู้ความมากกว่าเมื่อก่อนอีกค่ะ”

สือมูเฉินพยักหน้า “ใช่ครับ มีบางครั้ง พ่อแม่นั้นมักจะหวังว่าลูกจะรู้ความมาก ๆ แต่ทว่าก็กังวลว่าเธอจะรู้ความมากจนเกินไป แต่ว่านะครับ พวกเราจะพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอ อีกอย่างผมเองก็มองออกแล้ว โอหยางจวิ้นเองก็ดูแลเธอเป็นอย่างดีด้วย”

หลานเสี่ยวถางเอ่ย “ค่ะ อันที่จริงแล้วฉันเองก็วางใจลงไปมาแล้วล่ะค่ะ เพียงแค่คิดว่าอีกตั้งสิบปีกว่าเธอจะสามารถไปเข้ารับการผ่าตัดนั้นได้ ก็เลยรู้สึกว่ามันยาวนานเล็กน้อย”

“สิบปีบางครั้งก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วมากนะครับ” สือมูเฉินสบตามองหลานเสี่ยวถาง “ตอนนี้ลูกเติบโตเร็วมาก หากผ่านไปอีกสิบปี หวันหว่านอาจจะโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว จิ่งเหยียนเองก็อาจจะสูงกว่าคุณแล้วด้วยนะ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงจะแก่แล้วใช่ไหมคะ?” หลานเสี่ยวถางมุ่ยริมฝีปากไปมา

“ที่ไหนกันล่ะครับ พวกเราอยู่ด้วยกันแล้ว ผมรู้สึกว่าคุณยิ่งเด็กขึ้นทุกวันเลยนะครับ” สือมูเฉินก้มศีรษะลงไปประกบจูบเธอครั้งหนึ่ง “เห็นคุณตอนนี้แล้ว ราวกับว่าพึ่งจะเรียนจบมหาวิทยาลัยเลย”

“จริงหรือคะ?” ใครที่ถูกยกยอว่ายังวัยรุ่นอยู่ก็ย่อมที่จะยินยอมอยู่แล้ว หลานเสี่ยวถางเองก็ย่อมไม่มีข้อยกเว้น

“ครับ” สือมูเฉินหัวเราะก่อนจะสบตามองเธอ “ผมยังคงจำได้นะครับ ครั้งแรกที่ได้พบคุณน่ะ นั่นยังคงเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่สูงเทียมหน้าอกของผมอยู่เลย ตอนนั้นก็รู้สึกว่าคุณเจอผมก็สมควรที่จะเรียกว่าคุณลุงแล้วจริง ๆ นั่นแหละ”

“คุณแค่อายุมากกว่าฉันห้าปีเท่านั้นเองนะคะ จะให้ฉันเรียกคุณว่าคุณลุงอย่างนั้นหรือ?” หลานเสี่ยวถางยื่นมือออกไปจั๊กจี้เนื้อขอสือมูเฉิน “มีคุณลุงที่ไหนยังหนุ่มมากขนาดนี้กันคะ?”

“แต่ว่านะครับ ในตอนนั้นคุณสะดุดล้ม ผมอุ้มคุณเอาไว้ รู้สึกว่าคุณเบามากเลย เหมือนกับอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งเลยจริง ๆ” สือมูเฉินถอนหายใจ “ในตอนนั้นคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าเด็กน้อยคนนั้น จะมาเป็นภรรยาของผมจริง ๆ”

หลานเสี่ยวถางเองก็รู้สึกสงสัย “ใช่ค่ะ ในตอนนั้นฉันเห็นคุณมาที่บ้านของฉัน รู้สึกว่าคุณหล่อดี ฉันก็เลยเขินอาย ในทุกครั้งที่เจอคุณก็มันจะหลบเลี่ยงตลอดเลย”

“คุณคงไม่ได้แอบรักผมข้างเดียวในตอนนั้นใช่ไหมครับ?” สือมูเฉินหรี่ตาลง “เด็กหื่นหรือ?”

“ฉันไม่ใช่เสียหน่อย!” หลานเสี่ยวถางยืนเอวตรงก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันไม่ใช่เด็กหื่นนะ!”

“ครับ? ไม่ใช่จริง ๆ หรือ?” สือมูเฉินก้มศีรษะลง ก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของเธอ

ไม่รู้ว่าทำไม เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าแต่งงานกันมาหลายปีแล้ว ลูกก็มีตั้งสองคนแล้ว ในทุกครั้งที่เขาจูบเธอ เธอนั้นยังคงมีความรู้สึกเหมือนเป็นจูบแรกเสมอเลย

เธอส่งเสียงออกมาเบา ๆ ในวินาทีต่อมา จู่ ๆ ก็เบิกตากว้าง

เจ้าคนคนนี้กำลังทำอะไรอยู่น่ะ?!

เธอรู้สึกเพียงแค่ว่ากระโปรงชุดนอนถูกแหวกออกแล้ว หลังจากนั้น มือของเขาก็ยื่นเข้ามาที่ระหว่างขาของเธอ ก่อนจะนวดคลึงเบา ๆ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คว้าจับเธอเอาไว้แน่น ทำให้เธอไร้หนทางที่จะหยุดการเคลื่อนไหวของเขาได้

มือของสือมูเฉินนั้นมีอุณหภูมิร้อนเป็นอย่างมาก พอเหมาะกับเรี่ยวแรงพอดี ทำให้หลานเสี่ยวถางรู้สึกได้ถึงไฟร้อนรุ่มที่อยู่ทางด้านล่าง ร่างกายอ่อนระทวย และจูบกับเขาลึกมากขึ้นไปอีกโดยไม่รู้ตัว

ผ่านไปครู่หนึ่ง สือมูเฉินถึงค่อย ๆ ปล่อยเธออย่างเชื่องช้า หลังจากนั้นก็โชว์ปลายนิ้วมือที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำให้หลานเสี่ยวถางดู ก่อนจะเอ่ยขึ้นทีเล่นทีจริงว่า “ยังจะบอกว่าไม่ใช่เด็กหื่นอีกอย่างนั้นหรือครับ?”

“อ๊ะ!” เป็นเขาที่ทำมันทั้งหมด สุดท้ายแล้วก็ยังมาพูดว่าเธอเป็นผู้หญิงหื่นอีก!

หลานเสี่ยวถางบันดาลโทสะ ต้องการที่จะคิดบัญชีกับสือมูเฉิน แต่ทว่า เขากลับอาศัยจังหวะแล้วกดร่างของเธอเอาไว้ “เด็กหื่น สามีจะช่วยเติมเต็มคุณเอง!”

เธอกำลังพูดว่าไม่เอา แต่ทว่า ร่างกายกลับซื่อตรงจนทำให้คนหน้าแดงซ่าน แม้กระทั่งในตอนที่เขาจงใจไม่เข้ามานั้นเอง เธอนั้นก็อ่อนระทวยจนกัดฟันแน่น ทั้งบันดาลโทสะกับตนเองทั้งร้องขอให้เขาเข้ามาอย่างน่าขายหน้า

“เสี่ยวถางครับ ผมรู้สึกว่า ข้างห้องนั้นทำกันเสียงดังกว่าพวกเราอีกนะครับ……” ในตอนที่สือมูเฉินเข้าไป เขาก็เอ่ยพูดที่ข้างกกหูของหลานเสี่ยวถาง

ไม่ผิดแล้ว ฟู่สีเกอกับเฉียวโยวโยวที่อยู่ด้านข้างนั้นเคลื่อนไหวรุนแรงมากกว่าเดิมอีก

เป็นเพราะว่า เดิมทั้งสองคนนั้นกำลังจะนอนกันแล้ว ผลลัพธ์คือ จู่ ๆ ฟู่สีเกอกับหวนนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ราวกับว่าเป็นวันระลึกอย่างเป็นทางการของพวกเขาด้วยกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงหยิบไวน์มาหนึ่งขวด ก่อนจะดื่มกันกับเฉียวโยวโยว

หวนนึกถึงครั้งแรกในตอนนั้น อีกทั้งยังครั้งที่อยู่ที่มาเลเซียอีก

ตอนนั้นพวกเขานั้นก็เมามายกันหมดแล้ว เขามองเห็นสร้อยคอของเธอ รู้สึกสับสนงุนงงเล็กน้อย ภายในการทำงานของแอลกอฮอล์ ดังนั้นจึงเกิดความสัมพันธ์กับเธอแล้ว

ในตอนนั้นเอง เขานั้นไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริง ๆ ว่าระหว่างพวกเขานั้นจะลงเอยกันเช่นนี้

ทั้งหมดนั้น อีกทั้งยังมีในตอนที่เฉียวโยวโยวช่วยหลานเสี่ยวถางโดยไม่สนใจร่างกายตอนเองนั้นอีก เขาถึงให้ความสนใจกับผู้หญิงซุ่มซ่ามนั่นเป็นอย่างมาก อันที่จริงแล้วกลับเป็นผู้หญิงที่จริงใจที่สามารถเสียสละตนเองเพื่อช่วยเพื่อนได้

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เพราะความปรารถนาของชายหญิงที่มีเข้าด้วยกัน สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมด ก็ไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างในตอนแรกได้อีกต่อไปแล้ว

แต่ทว่า ในตอนนี้พวกเขาแต่งงานกันแล้ว บางครั้งก็มีปะทะฝีปากกันบ้าง แต่ทว่าความรักที่มีต่อกันนั้นก็ยิ่งดีมากขึ้น ทำให้เขาในทุก ๆ วันนั้นหัวใจล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความสุขอันปีติ

ในตอนนี้เอง ทั้งสองคนดื่มจนเมามากขึ้นแล้วเล็กน้อย

โดยเฉพาะเฉียวโยวโยว เป็นเพราะว่าตั้งครรภ์เจ้าตัวน้อย ดังนั้นแล้ว แทบจะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์มาสองปีแล้ว

วันนี้ ความคอแข็งนั้นถดถอยลงเล็กน้อย ดังนั้นแล้ว ครึ่งขวดลงมา เธอนั้นก็แทบจะลืมเลือนเพศของตนเองไปทั้งหมดแล้ว

เธอยื่นแขนไปวางลงบนหัวไหล่ของฟู่สีเกอ ก่อนจะเอ่ยกับเขาว่า “สหาย อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้สิ่งที่ไม่น่าดูมากที่สุดเลยก็คือท่าทางเจ้าชู้ประตูดินของพวกนายนั่นแหละ! เชื่อถือไม่ได้เลย!”

ฟู่สีเกอได้ยินคำเรียกของเธอแล้ว รู้สึกสับสนงุนงงเล็กน้อย แต่ทว่า ก็ยังคงเอ่ยตามน้ำไปว่า “มีอะไรเชื่อถือไม่ได้กัน ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ จะแต่งงานก็ต้องแต่งงานให้ได้แบบผมนี่ ขึ้นเตียงไหวลงทำงานก็ดี! คุณโยวคนโง่ ทุกอย่างของคุณนั้นโง่งมมาก ๆ เลยนะ แต่ทว่า สายตาถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ที่เลือกผม!”

“นี่ นายพูดว่าฉันโง่ได้อย่างไรกัน?” เฉียวโยวโยวไม่เอาแล้ว

“นี่ คุณฟังรู้เรื่องไหมเนี่ย! จุดสำคัญก็คือ คุณสายตาดีไง!” ฟู่สีเกอยื่นมือออกไป ก่อนจะบีบเข้าที่ใบหน้ารูปไข่ของเฉียวโยวโยว

เธอปัดมือของเขาออก “กล้าที่จะถอนขนเสือ สหาย นายคิดว่านายเป็นบู๊ซ้งหรือไงกัน?!”

“สหายอะไรกัน?” ฟู่สีเกอคว้าจับเข้าที่ทรวงอกของเฉียวโยวโยว “คุณเป็นภรรยาของผม!” เขา ยังคงมีสติชัดเจนหลงเหลืออยู่

“เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่านายเป็นภรรยาของฉัน!” เฉียวโยวโยวเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล “ไม่เชื่อหรือว่าฉันทำนายน่ะ?!”

ฟู่สีเกอขมวดคิ้ว “ก็มาสิ! ผมเห็นว่าคุณก็ไม่ได้มีของแข็งอะไร จะทำอะไรผมได้อย่างไรกัน?!”

เขากล้าที่จะเหยียดหยามเธอหรือ?!

เฉียวโยวโยวไม่ยอม ยื่นขวดไวน์ในมือไปวางลง ทันใดนั้นเอง ก็พุ่งร่างไปกดฟู่สีเกอเอาไว้กับพื้นแล้ว

บนพื้นนั้นอบอุ่น กลับกันไม่เย็นเลยสักนิด ฟู่สีเกอสบตามองหญิงสาวตัวน้อยที่ดุดันในตอนนี้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างคาดหวังเป็นอย่างมาก “ต่อสิ ผมรออยู่นะ!”

เฉียวโยวโยวหรี่ดวงตาลง เสือไม่แสดงอำนาจคิดว่าเธอเป็นแมวป่วยหรือไง?!

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เธอจึงลงมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะฉีกทึ้งชุดนอนของฟู่สีเกอออกไปอย่างบ้าคลั่ง!

“เก่งแล้วนี่! คุณโยวคนโง่!” ฟู่สีเกอตื่นเต้นเต็มตา “รีบ ๆ มาทำผมเร็ว ๆ เลยสิครับ!”

“วางใจเถอะ ตัวฉันจะไม่ทำตัวไม่ยุติธรรมกับนายอย่างแน่นอน!” เฉียวโยวโยวตบไปมาที่ทรวงอกอวบอิ่มของตนเอง

พูดไป เธอก็สอดประสานเข้ากับฟู่สีเกอ ก่อนจะจัดแจงปลดเปลื้องเขาในทันที

หลังจากที่จัดการเขาเสร็จแล้ว เธอก็ถอดเสื้อผ้าออกจนตนเองเปลือยเปล่าหมดจด หลังจากนั้น ทุ่มสุดกำลังเพื่อเบิกดวงตาที่เลือนรางทั้งสองข้างของตนเองขึ้น เนิ่นนานราวกับครึ่งวันถึงจะมองตรงไปยังบนเรือนร่างของฟู่สีเกอ

จะว่าไปแล้ว เธอนั้นราวกับว่าไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นักในจังหวะจะโคนของผู้ชาย ทำไมถึงไม่รู้ล่ะว่าจะต้องเริ่มอย่างไร?

เมื่อเห็นเฉียวโยวโยวเริ่มเลอะเลือนแล้ว คนที่รอคอยอย่างแข็งขืนมาโดยตลอดอย่างฟู่สีเกอนั้นก็ร้อนรนกระวนกระวายในทันที!

ฮั่วชิงชิงถูกจูบจนไม่เหลือเรี่ยวแรงอะไรแล้ว อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปคว้าแผ่นหลังของหันจื่ออี้มากอดเอาไว้ คิดอยากที่จะหาจุดถ่วงรองรับน้ำหนักสักเล็กน้อย

มือ อดไม่ได้ที่จะสัมผัสเข้ากับแผลเป็นนั้นของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจไปเสียแล้ว

เขาเองก็แทบจะรับรู้สึกได้แล้ว ร่างทั้งร่างสับสนเล็กน้อยหลายวินาที แต่ทว่า จูบนั้นกลับแปลเปลี่ยนเป็นร้อนแรงมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

เขาเข้าไปในช่วงเวลานั้น จู่ ๆ ฮั่วชิงชิงก็รู้สึกได้ว่าตนเองนั้นก็มีแผลเป็นอยู่ที่บริเวณเดียวกันกับที่ตำแหน่งทางด้านล่าง ไตของที่อยู่ในร่างกายของเธอมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น ทำให้ร่างทั้งร่างของเธอนั้นรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

เขาขยับตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก้มหน้าลงไปสบตามองเธอ “ชิงชิง รู้สึกไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่าครับ?”

ฮั่วชิงชิงกัดริมฝีปาก ส่ายหน้าที่กำลังแดงก่ำ “ไม่ค่ะ”

หันจื่ออี้เอนตัวลงไป ร่างกายตะแคงเล็กน้อย ไม่ให้ตนเองนั้นกดทับท้องของฮั่วชิงชิงเลยแม้แต่ครึ่งเดียว ก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าไป แล้วประทับจูบเข้าที่กกหูของเธอ

เธอรู้สึกว่าขนทั่วทั้งร่างลุกชันขึ้นมากันหมดแล้ว หน้าท้องก็ถูกจูบจนอดไม่ได้ที่จะต้องหดเกร็ง

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าตัวน้อยในท้องเองก็เริ่มที่จะขยับตัวเล็กน้อยแล้ว

“อ๊ะ ไม่ไหวแล้วค่ะ เจ้าตัวน้อยเตะฉัน” ฮั่วชิงชิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับผ่อนลมหายใจ

“เธอแค่กำลังทักทายปะป๊าน่ะ” น้ำเสียงของหันจื่ออี้เต็มไปด้วยอารมณ์อย่างแหบพร่ามากขึ้นหลายส่วน มันดังระเบิดอยู่ที่ข้างใบหูของฮั่วชิงชิง “วางใจเถอะครับ ผมไม่ทิ่มเธอหรอก”

“คุณ——” ฮั่วชิงชิงสบตามองหันจื่ออี้อย่างไม่สบอารมณ์ครั้งหนึ่ง

มีคำบอกไว้ว่าทางด้านนี้ของผู้ชาย ราวกับว่าไม่ต้องมีอาจารย์สอนก็สามารถช่ำชองได้ใช่ไหม?

ในตอนแรกเริ่ม เธอยังรู้สึกว่าเขานั้นสุภาพเรียบร้อยเป็นอย่างมาก แต่ทว่ามาจนถึงตอนหลังแล้ว เขาก็เริ่มมีท่าทางเจ้าเล่ห์มากมาย ทำให้เธอนั้นตกตะลึงจนรู้สึกว่าเขานั้นไม่ได้ตั้งใจซื้อภาพอะไรมาเพื่อศึกษาใช่ไหม

แต่ทว่า ในตอนแรกเริ่ม ฮั่วชิงชิงนั้นยังสามารถครุ่นคิดได้ จนมาถึงช่วงหลัง ร่างทั้งร่างนั้นถูกฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง ทำให้การหายใจของเธอนั้นแปรเปลี่ยนเป็นถี่รัวมากขึ้น ร่างกาย กลับราวกับว่าจากที่อ่อนนุ่มก็แปรเปลี่ยนเป็นน้ำแข็งแล้ว

หันจื่ออี้ก้มศีรษะลง สบตามองใบหน้าแดงซ่านของฮั่วชิงชิง อีกทั้งยังมีนัยน์ตาที่เป็นไปด้วยม่านน้ำตาอีก ภายในหัวใจกระตุกทันที “ชิงชิงครับ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราเปลี่ยนท่ากันหน่อยดีไหมครับ?”

“ท่าอะไรคะ?” ฮั่วชิงชิงถูกเขากระแทกชนเข้าจนใกล้จะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อแล้ว

“คุณอยู่ด้านบน” หันจื่ออี้พูดไป ก่อนจะอุ้มเธอขึ้นมา “ผมกลัวว่าคุณจะไหลตกลงไปจากโซฟาครับ พวกเราไปที่ห้องนอนกันดีกว่า”

เขาไม่รอให้เธอตอบตกลง ก็อุ้มเธอเข้าไปในห้องนอนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น เขาก็เอนตัวนอนลง ก่อนจะหันไปเชื้อเชิญเธอ “มานั่งด้านบนสิครับ”

ฮั่วชิงชิงไม่ขยับ หันจื่ออี้หรี่ตาลง “ไม่มาจริง ๆ หรือครับ?”

ราวกับว่า ในทุกครั้งของเรื่องแบบนี้ เขานั้นจะดื้อดึงมากกว่าปกติเล็กน้อยเสมอ ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย มิฉะนั้นแล้ว ครั้งต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะทำนานแค่ไหนน่ะสิ……

ฮั่วชิงชิงไร้ทางเลือก ทำได้เพียงแค่กระทืบเท้าเข้าไปหา หลังจากนั้น ก็นั่งลงไปที่ด้านบน

“ฉันมีเจ้าตัวน้อยอยู่ ไม่สามารถขยับได้ค่ะ” เธอนั้นแทบจะพูดทั้งประโยคออกมาไม่หมด

“ไม่เป็นไรครับ ผมทำเอง” หันจื่ออี้พูดไป ก่อนจะสวมกอดเอวของเธอไปพลาง แล้วเริ่มขยับตัวไปพลาง

อีกทั้งเขายังยืดตัวครึ่งหนึ่ง และเริ่มจูบเธออีกด้วย

บนไหปลาร้า ค่อย ๆ เริ่มมีรอยดวงดาวไฟเล็ก ๆ อ่อนนุ่ม ทำให้ฮั่วชิงชิงรู้สึกว่าตนเองนั้นราวกับว่าถูกจังหวะของเขาตีจนจุดไฟติดขึ้นมาเลยก็ไม่ปาน

ตามต่อมาด้วยหันจื่ออี้ที่ไล่จูบลงไปไม่หยุด สุดท้ายแล้ว ก็หยุดลงบนหน้าอกอวบอิ่มของเธอ

เธอแทบจะร้องออกมาเลยทีเดียว แต่เขากลับยิ้มร้ายออกมา “ชิงชิงครับ อันที่จริงแล้วสามารถร้องดังกว่านี้หน่อยก็ได้นะครับ”

จนมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว เธอกลับลืมเลือนทุกอย่าง แม้กระทั่งก็ยังรู้สึกไม่ได้ว่ามีเจ้าตัวน้อยอยู่ด้วย แต่กลับสอดประสานและเต้นระบำไปกับจังหวะของเขาทั้งหมด จนกระทั่งท้ายที่สุดแล้วก็ปลดปล่อยออกมา

“ชิงชิง ขอบคุณนะครับ ผมรู้สึกเสียวมากเลยล่ะ” หันจื่ออี้พูดไป ก่อนจะออกมาจากร่างกายของฮั่วชิงชิง หลังจากนั้น ก็ก้มลงไปประทับจูบลงที่หน้าท้องของเธออีกครั้ง “เจ้าตัวน้อย ลูกอยู่ในนั้นสามารถหลับได้แล้วนะครับ”

ฮั่วชิงชิงเองก็พึ่งจะหลุดออกจากอารมณ์ ลมหายใจแทบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว ก่อนจะชกหมัดเข้าที่หันจื่ออี้ “เจ้าตัวน้อยต้องหัวเราะพวกเราแน่เลย!”

เขาคว้าจับหมัดของเธอเอาไว้ “เจ้าตัวน้อยต้องกำลังคิดว่า ปะป๊ารักมะม๊ามาก ๆ แน่ ๆ”

เดิมฮั่วชิงชิงคิดอยากที่จะหยอกล้อ แต่ทว่าในตอนที่ได้ยินประโยคนี้ของหันจื่ออี้ที่กำลังเยอะเย้ยอย่างชัดเจนนี้แล้ว กลับรู้สึกสับสนเล็กน้อยแทน

เมื่อครู่นี้ความรู้สึกที่ปลายนิ้วของเธอ ในตอนนี้มันกลับชัดเจนขึ้นมาอีกแล้ว

หันจื่ออี้เห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ถูกต้อง จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “ชิงชิง เป็นอะไรไปครับ?”

บางทีอาจจะเป็นเพราะความรู้สึกของผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มันจะบอกว่าลมเป็นฝน ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ หยาดน้ำตาของฮั่วชิงชิงก็พรั่งพรูออกมาทันที

หันจื่ออี้นึกว่าไม่สบาย สีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันที “หรือว่าเมื่อกี้นี้ผมทำคุณเจ็บหรือครับ? ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ? พวกเราเรียกหมอดีไหม?”

“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่——” เธอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของเขา รู้สึกเพียงแค่ว่าความลับที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจมาเนิ่นนาน ในตอนนี้ก็แทบจะไร้หนทางที่จะกักเก็บกดทับฝังมันลงไปอีกแล้ว

ฮั่วชิงชิงสวมกอดหันจื่ออี้เอาไว้ นิ้วมือตกลงไปที่รอยแผลเป็นของเขา “จื่ออี้คะ อันที่จริงแล้วฉันนั้นติดค้างคำพูดขอบคุณจากปากของฉันเองกับคุณมาโดยตลอดเลย”

ทันใดนั้นเองหันจื่ออี้ก็เข้าใจได้ทันที อีกทั้งยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเล็กน้อย “ชิงชิงครับ คุณรู้หมดแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เธอพยักหน้า ไม่สนใจเลยว่าทั้งสองคนในตอนนี้นั้นจะซื่อตรงต่อกัน ซบเข้ากับอ้อมกอดของเขาอยู่อย่างนั้น หยาดน้ำตาล้วนแล้วตกกระทบลงบนทรวงอกของเขา “ในตอนนั้นฉันก็ยังทำแบบนั้นกับคุณอีก ขอโทษจริง ๆ นะคะ!”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” หันจื่ออี้ตบเบา ๆ เข้าที่แผ่นหลังของเธอ “ไตข้างเดียวก็พอแล้วล่ะ สามารถช่วยคุณได้ก็ดีแล้วครับ”

“ในตอนนั้นคุณจะต้องเจ็บมากแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ?” เธอสบตามองเขา “แล้วก็ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างคุณด้วย หลังจากนั้นมา ฉันเห็นว่าคุณผอมลง ภายในหัวใจก็รู้สึกแย่มาโดยตลอดเลยค่ะ เป็นเพราะว่า คุณในความทรงจำของฉัน ไหล่ผึ่งผายเป็นอย่างมาก แผ่นอกเองก็หนาแน่นมาก ๆ ทำให้คนรู้สึกเต็มไปด้วยความปลอดภัย”

“นั่นเป็นเพราะว่าในตอนนั้นผมทำการผ่าตัดเสร็จแล้วงานก็ยุ่งมาก ไม่มีเวลารักษาตัวให้ดีครับ” หันจื่ออี้พูดไป ก่อนจะจับมือของฮั่วชิงชิงขึ้นมา แล้ววางมันลงบนแผ่นอกของตนเอง “คุณดูสิครับ ตอนนี้ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นอย่างเดิมแล้วไม่ใช่หรือครับ?”

เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ช่วงนี้ร่างกายของเขานั้นราวกับว่าดีขึ้นอย่างชัดเจนไม่น้อยเลย แต่ทว่าเมื่อหวนนึกถึงในตอนแรกนั้น ฮั่วชิงชิงก็ยังคงหลุบตาลงต่ำอีกครั้ง

เธอยื่นใบหน้าเข้าไปหา ก่อนจะก้มศีรษะลงไปประทับจูบที่รอยแผลเป็นของหันจื่ออี้

เขารู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย “ชิงชิงครับ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป หลังจากนี้ เพื่อผม ต้องดูแลร่างกายให้ดี ๆ ปกป้องรักษาไตข้างนั้นเอาไว้ด้วยนะครับ”

“ค่ะ” เธอพยักหน้า

“คุณรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” หันจื่ออี้เอ่ยถาม “เป็นครั้งนั้นที่คุณกลับหนิงเฉิงหรือเปล่าครับ?”

“ค่ะ” ฮั่วชิงชิงพยักหน้า “แต่ว่าในตอนนั้นฉันไม่ได้บอกคุณ เป็นเพราะว่ากลัวว่าคุณจะรู้สึกว่า ฉันกับคุณอยู่ด้วยกันก็เป็นเพราะว่าตอบแทนบุญคุณ”

เขายกยิ้มขึ้นอย่างหมดคำจะกล่าวเล็กน้อย “ดังนั้นแล้ว จอมขี้แย คุณเองก็กักเก็บมันมาตั้งนานมากขนาดนั้นเลยหรือครับ? มีบางครั้งนะครับที่ผมก็รู้สึกว่า คุณน่ะราวกับว่ารู้แล้วเลย แล้วก็มีบางครั้งที่รู้สึกอีกว่าตัวเองนั้นเดาผิดไปแล้ว”

“ขอโทษนะคะ” ฮั่วชิงชิงพูดไป ก่อนจะประทับจูบลงบนรอยแผลเป็นของหันจื่ออี้อีกหนหนึ่ง ราวกับว่าคิดอยากที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของเขาในตอนแรกผ่านจูบเลยก็ไม่ปาน

“ทำไมถึงยังขอโทษอยู่อีกล่ะครับ?” หันจื่ออี้ถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าคุณจูบอีก ผมเกรงว่าผมจะยั้งตัวเองเอาไว้ไม่อยู่แล้วนะครับ……”

ที่เขาพูดนั้นไม่ได้โกหกเลย เป็นเพราะว่าเธอตั้งครรภ์ ในทุกครั้งที่เขาทำนั้นก็ล้วนแล้วแต่ระมัดระวังเป็นอย่างมาก ระยะเวลาก็ไม่กล้าที่จะทำนานมากนัก ดังนั้นแล้ว มักจะรู้สึกว่ากินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มอยู่เสมอ

ตอนนี้เธอกลับจูบแบบนั้นอีก ทันใดนั้นเอง เลือดในกายของเขาก็เริ่มที่จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นแล้ว แม้กระทั่งร่างกายก็เริ่มที่จะแปรเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งเสียแล้ว

ฮั่วชิงชิงนึกว่าหันจื่ออี้นั้นล้อเล่น รอให้เธอหมุนกายกลับมาดูแล้ว ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ดวงตาก็เบิกกว้างในทันที

นี่เขากลับ——

เธอทั้งอับอายทั้งหงุดหงิด “ฉันจะไปอาบน้ำแล้วค่ะ”

หันจื่ออี้สบตามองจุดที่แปรเปลี่ยนเป็นผงาดขึ้นมาอีกครั้งของตนเองอย่างปวดหัว ก่อนจะนวดคลึงเข้าที่ขมับไปพลาง “ครับ พวกเราไปพร้อมกัน พื้นในห้องน้ำมันลื่น ระวังล้มนะครับ”

เขาตามเข้าไป บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอนั้นรีบร้อนเดิน ดังนั้นจึงลื่นแล้วจริง ๆ ทำให้หันจื่ออี้นั้นตกใจจนรีบเข้ามาสวมกอดเธอเอาไว้แน่น

ร่างกายเปลือยเปล่าแนบชิดกันแน่น ร่างของเขานั้นหดเกร็งอย่างรุนแรง แทบจะเป็นสัญชาตญาณเลยก็ไม่ปาน หันจื่ออี้คว้าจับเข้าที่เอวของฮั่วชิงชิงเอาไว้ ก่อนจะก้มศีรษะลงไปประกบจูบเธอ

มือที่จะผลักเพื่อปฏิเสธของเธอถูกเขาจับชูขึ้นเหนือศีรษะ เขาค้นพบแล้วว่าเขาในวันนี้นั้นราวกับว่าไม่ว่าจะต้องการอย่างไรก็ไม่พอเสียทีเลยก็ไม่ปาน ร่างกายนั้นซื่อตรงตามความคิด ในตอนที่มีปฏิกิริยากลับมานั้นเอง ก็อุ้มฮั่วชิงชิงขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะวางลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือด้านบน

เธอตื่นตะลึง เขาพุ่งเข้าไปปิดริมฝีปากของเธอทันที ฝ่ามือวางอยู่ในจุดที่ติดไฟบนร่างกายของเธอ จนกระทั่งเธอเองก็ถูกดูดจนไร้เรี่ยวแรงแล้ว เขาถึงยกขาของเธอขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสอดใส่เข้าไปในส่วนลึกอีกหน

“คุณ——” ฮั่วชิงชิงทุบตีเขาออกอย่างร้อนรน หันจื่ออี้เองก็ยกยิ้มอย่างขมขื่น “ชิงชิงครับ ล้วนแล้วแต่คงต้องโทษหลายปีมานี้แล้วล่ะครับ ที่ผมนั้นอดทนมานานขนาดนั้น……”

พูดไป เขาก็สวมกอดและกดเข้าที่เอวและแผ่นหลังของเธอ ในทุก ๆ ครั้ง ล้วนแล้วแต่เข้าไปจนถึงจุดที่ลึกที่สุดของเธอเลย

บนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือเองก็ไม่รู้ว่าถูกอะไรตีตกลงเข้าให้แล้ว ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงของความสุขสันต์ดังลอยขึ้นมา ภายในตัวห้องก็ยิ่งงดงามเร่าร้อนขึ้นมาทั้งหมดทันที

ฮั่วชิงชิงเงยหน้าขึ้น มองเห็นเพดานด้านบนมีคนทั้งสองคนกำลังอยู่ในท่วงท่าสอดประสานกันอยู่ ดังนั้นจึงรู้สึกเพียงแค่ว่าร่างทั้งร่างนั้นล้วนเต็มไปด้วยไฟทั้งหมดแล้ว

กระจกนั่นเป็นเธอก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะติดเอาไว้ ในตอนนี้ กลับกลายเป็นตัวเร่งร่างกายไปเสียนี่

เธอถูกเข้าเคลื่อนไหวไปมาใส่ไม่หยุด เสียงสุขสมก็อดไม่ได้ที่จะดังลอดออกมาจากลำคอ เสียงที่เปล่งออกมานั้นดังขึ้นดังขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ

สุดท้ายแล้ว เขาเองก็ปลดปล่อยภายในร่างกายของเธอ เนิ่นนานราวครึ่งวัน ลมหายใจจึงกลับมาเป็นปกติ ก่อนจะก้มศีรษะมองดูใบหน้าที่แดงซ่านเป็นชั้นของเธอ แล้วเอ่ยกับเธอว่า “ชิงชิงครับ ผมจะรอให้คุณคลอดเจ้าตัวน้อยให้เสร็จก่อนนะ”

ร่างทั้งร่างของฮั่วชิงชิงแข็งค้างในทันที ความหมายของเขาก็คือ……

ทำไมเธอถึงรู้สึกว่า หลังจากนี้เวลาจะนอนนั้นมันจะล้วนแล้วแต่ยากลำบากขึ้นมาเล็กน้อยแล้วกันนะ?

ในตอนนั้นเอง คฤหาสน์ของสือมูเฉินเองก็ยังคงเต็มไปด้วยความครึกครื้น

หยานโม่หานนั้นชื่นชอบหวันหว่านมากจริง ๆ เวลาก็ล่วงเลยมาถึงสี่ทุ่มแล้ว เขาในยามปกติที่มักจะนอนเร็ว ในตอนนี้นั้น กลับยังคงตัวติดกับหวันหว่าน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับซูสือจิ่นว่า “คุณแม่ครับ หานหานจะนอนกับพี่สาวครับ!”

ซูสือจิ่นจะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก ก่อนจะหันไปมองหยานชิงเจ๋อ “พี่ชิงเจ๋อคะ ถ้าอย่างนั้น……”

“ก็ให้พวกเขานอนด้วยกันเลยก็แล้วกัน พวกเราเองก็อยู่ที่บ้านพี่เฉินด้วยก็แล้วกัน กลับกันก็อยู่กันพอนี่เนอะ!” หยานชิงเจ๋อพูดไป ก่อนจะก้มหน้าลงไปจุ๊บหยานโม่หานหนึ่งหน “ถ้าอย่างนั้นแล้วคืนนี้ก็นอนอย่างเป็นเด็กดีนะครับ อย่าไปเตะพี่หวันหว่านเขาล่ะ!”

เจ้าตัวน้อยนัยน์ตาเป็นประกายทันที “ครับ”

ซูสือจิ่นรู้สึกว่าขายหน้าแล้ว……

ส่วนบ้านของฟู่สีเกอที่มีเด็กชายหนึ่งคนเด็กหญิงหนึ่งคนนั้น ในตอนกลางวันพวกเขาก็เสียงดังวุ่นวายมาก ดังนั้นแล้ว เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนกับสือจิ่งเหยียนอยู่ด้วยกัน ในตอนนี้ก็หลับไปพบกับโจวกงเรียบร้อยแล้ว

พวกผู้ใหญ่เองก็จัดเก็บเด็ก ๆ เรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงออกมาพูดคุยกัน

เป็นเพราะว่าล้วนแล้วแต่เป็นพ่อแม่กันหมดแล้ว ดังนั้นแล้ว ก็พูดถึงเรื่องของเด็ก ๆ อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

ทุกคนนั้นแทบจะพูดกันไปในทิศทางเดียวกันเลย หวันหว่านนั้นเฉลียวฉลาดรู้ความ อีกทั้งยังเป็นเด็กหญิงที่เชื่อฟังอีกด้วย

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ซูสือจิ่นก็คิดถึงความดื้อรั้นของตนเองขึ้นมาได้อีกครั้ง

วันนี้ แม้กระทั่งฮั่วชิงชิงเองก็บอกว่าลูกในท้องของเธอนั้นเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ส่วนเธอนั้นไม่มีลูกสาวเลย รู้สึกแย่มาก รู้สึกแย่มาก ๆ!

แล้วก็ไม่รู้เลยว่าเป็นเพราะว่าดื่มไวน์แดงเข้าไปมากหน่อยแล้วหรือเปล่า เธอนั้นมีอาการของคนที่เหล้าเข้าปากแล้วมีความกล้า ดังนั้นจึงคิดที่จะทำเรื่องอะไรเสียหน่อย!

ตอนนี้บาดแผลที่แผ่นหลังของเธอนั้นได้รับการรักษาจนดีขึ้นทั้งหมดแล้ว เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นดื่มไวน์เข้าไปอาจจะยังไม่พอ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงแอบเข้าไปที่ตู้เก็บไวน์ในบ้านของสือมูเฉิน ก่อนจะเปิดไวน์แดงที่ยังดื่มไม่หมดขวดนั้น กระดกดื่มเข้าไปหลายอึก ตามต่อมาด้วย เดินหลับไปหาหยานชิงเจ๋อ

“พี่ชิงเจ๋อคะ ฉันง่วงนอนแล้ว” ซูสือจิ่นเอ่ยขึ้นพร้อมกับหาวด้วย

“ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราไปนอนกันก่อนเถอะ!” หยานชิงเจ๋อลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับสือมูเฉิน หลังจากนั้นก็ตามซูสือจิ่นเข้าไปในห้องนอนแล้ว

“พี่ชิงเจ๋อคะ พี่ไม่รู้สึกบ้างหรือคะ ว่าห้องในบ้านของพี่เฉินมันอบอุ่นมากกว่าบ้านของพวกเราอีก?” ซูสือจิ่นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

หยานชิงเจ๋อเอ่ยขึ้นอย่างงุนงง “ไม่นะ พวกเราก็อยู่ในเขตคฤหาสน์เดียวกันนี่ เป็นจุดศูนย์รวมที่อบอุ่นดีออก”

เจ้าคนคนนี้ ความคิดยามปกตินั่นหายไปไหนเสียแล้ว?! ซูสือจิ่นหงุดหงิด

เวลานี้ ก็มีคุณครูเข้ามาอธิบาย : “เราให้หวันหว่านรออยู่ในห้องเรียน แต่เธอไม่ฟัง เธอยืนกรานที่จะอยู่ข้างนอก เราไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเธอได้เลย……”

เจ็บปวดใจอย่างยิ่ง ฉับพลันโอหยางจวิ้นก็รู้สึกว่า ทำไมเขาต้องกลับไปลงนามมอบอำนาจอันนั้นด้วยนะ?

เมื่อเทียบกับสาวน้อยของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าการลงนามมอบอำนาจก็ไม่ได้สำคัญเลย!

จนกระทั่งหลายปีต่อมา เขายังคงจำได้ว่า สาวน้อยของเขา รอคอยเขาอยู่ท่ามกลางหิมะ ทำให้เขารู้สึกว่า ต่อไปนี้เขาจะไม่ให้เธอมีช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวเช่นนั้นอีกแล้ว

เขาอุ้มเธอมาไว้ในอ้อมแขน ให้ความอบอุ่นกับใบหน้ารูปไข่และมือเล็กๆของเธอ จู่ๆระหว่างนั้น เขาก็ย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เขาลักพาตัวหลานเสี่ยวถางไปในปีนั้น คำพูดที่พูดกับหลานเสี่ยวถาง

เวลานั้น เขาบอกว่า สิ่งของที่เขาต้องการ มีแค่ความสำเร็จเท่านั้น เมื่อเทียบกับผลประโยชน์แล้ว แม้แต่ความรักก็สามารถเสียสละได้!

ถึงอย่างไรตั้งแต่เด็กจนโต ในพจนานุกรมของเขา ก็คือการสร้างประวัติศาสตร์ความรุ่งโรจน์ให้ตระกูลเพอร์เซลล์ สานต่อความรุ่งเรืองให้ตระกูลเพอร์เซลล์

ความมั่งคั่ง ฐานะ เกียรติยศ เหล่านี้คือสิ่งที่ไม่มีวันตาย!

แต่ทำไมเวลานี้เห็นภาพที่สาวน้อยรอคอยเขาอยู่ เขาก็เริ่มรู้สึกผิด จนถึงขั้นรู้สึกว่าเขาควรจะละทิ้งเอกสารสัญญานั้นไปใช่ไหม เพียงเพื่อจะได้ไม่ผิดสัญญาต่อหน้าเธอ?

หวันหว่านถูกโอหยางจวิ้นอุ้มเข้าไปในรถ เปิดเครื่องทำความร้อน ชั่วขณะก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก

เขายังคงให้เธอนั่งอยู่ในอ้อมกอดของตนเอง และก้มลงไปพูดกับเธอว่า : “หวันหว่าน ขอโทษนะ ที่ครั้งนี้อาจวิ้นมาสาย แต่ต่อไปนี้จะไม่มาสายอีกแล้ว!”

เธอพยักหน้า เข้าใจและทำภาษามือกับเขาว่า : “ไม่เป็นไร”

เนื่องจากไม่นานก็จะเป็นวันปีใหม่แล้ว หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินจึงนั่งเครื่องบินบินมาจากหนิงเฉิง

เกี่ยวกับความแตกต่างของเวลา เมื่อทั้งสองคนมาถึงตระกูลเพอร์เซลล์ ก็เป็นเวลาเช้าตรู่ของประเทศอเมริกาพอดี

เมื่อหวันหว่านตื่นขึ้นมา ก็ได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆมาจากข้างนอก ซึ่งดูเหมือนว่าจะค่อนข้างคุ้นเคย

ตอนไปโรงเรียน เธอก็เรียนรู้ที่จะตื่นเองแต่งตัวเอง ด้วยเหตุนี้เธอจึงรีบแต่งตัว หลังจากนั้นก็เปิดประตูออกมา

น้ำเสียงชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือพ่อแม่ของเธอ!

ดวงตาเธอเป็นประกาย รีบวิ่งออกไป จนไม่รู้ว่าสวมรองเท้าแตะสลับข้างกัน

ห้องโถงด้านนอกสว่างมาก เมื่อหวันหว่านวิ่งเข้ามา ก็เห็นพ่อแม่และน้องชายของตนเองที่โตขึ้นมากแล้ว

“หวันหว่าน!” เดิมทีหลานเสี่ยวถางไม่อยากจะร้องไห้ แต่เมื่อได้เห็นลูกสาวของตนเอง ขอบตาก็แดงขึ้นมาทันที

เธอวิ่งเข้าไปอุ้มหวันหว่านมาไว้ในอ้อมกอด ชั่วขณะก็สะอื้นไห้จนพูดอะไรไม่ออก

หวันหว่านรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดีใจมากกว่า เมื่อออกมาจากในอ้อมกอดของหลานเสี่ยวถางอย่างมีความสุขแล้ว ก็โผเข้าไปหาสือมูเฉินทันที

สือมูเฉินอุ้มเธอขึ้นมาวางไว้บนไหล่ของตนเอง

เธอขี่คอของเขา แล้วตบมืออย่างมีความสุข

ที่ด้านล่าง สือจิ่งเหยียนเห็นพ่อยกพี่สาวขึ้นไปนั่งที่สูงๆ ชั่วขณะก็รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก กอดขาของสือมูเฉินแล้วงอแงไม่หยุด

ในที่สุดหลานเสี่ยวถางก็เช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า : “จิ่งเหยียน พี่สาวไม่ได้เจอพ่อมานานมาก ให้เธอเล่นกับพ่อสักพักได้ไหม?”

สือจิ่งเหยียนเบ้ปาก ยังอยากจะให้ยกขึ้นไปนั่งที่สูงๆบ้าง แต่ก็มีความอดทนไม่งอแงแล้ว

เวลานี้โอหยางจวิ้นเดินเข้ามา จึงอุ้มสือจิ่งเหยียนขึ้นมาวางไว้บนไหล่ของตนเอง

ในฉับพลัน เด็กชายตัวน้อยก็ยิ้มได้ : “คุณอาสวัสดีครับ!”

ตอนนี้เขาสามารถพูดได้แล้ว ถึงแม้ว่าเสียงยังคงเป็นเด็กแต่ก็ถือว่าชัดเจนมาก

ดังนั้นชายทั้งสองจึงอุ้มเด็กทั้งสองคน เดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง

และทุกๆครั้งที่จะชนกัน สือจิ่งเหยียนก็จะยื่นมือน้อยๆไปแตะกับพี่สาวของตนเอง ในห้องจึงมีเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังขึ้นมา

เมื่อถึงเวลาทานอาหารกลางวัน หลานเสี่ยวถางก็ถามโอหยางจวิ้นว่า : “ใช่สิ ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าคุณถูกจัดหาคู่ให้ แล้วต่อมาทำไมมันถึงจบลงง่ายๆล่ะ?”

โอหยางจวิ้นหัวเราะ : “ก็ไม่ชอบ”

“คุณจะไม่อยู่แบบนี้ตลอดไปใช่ไหม?” เธอมองหวันหว่านที่ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับโอหยางจวิ้นเป็นอย่างดี ก็อดไม่ได้ที่จะถาม : “หวันหว่านอยู่ทางด้านนี้ ทำให้เสียเวลาคุณมากเลยใช่ไหม?”

“ไม่มีปัญหาเลย บางครั้งเด็กก็มองเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าผู้ใหญ่เสียอีก” โอหยางจวิ้นพูดว่า : “ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต อีกอย่างฉันเป็นผู้ชาย และตอนนี้ก็อายุยังน้อย ไม่ควรไปกังวลเรื่องการหาลูกสะใภ้หรอก!”

ได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว หลานเสี่ยวถางก็โล่งใจ ถึงอย่างไร ลูกของตนเองใช้เวลาว่างกับอีกฝ่ายมากเกินไป ถ้าทำให้เขาเสียเวลา ก็จะรู้สึกผิดอย่างมาก!

เพราะหลานเซี่ยวเฉิงคิดถึงหวันหว่านมาก ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินพักอยู่ที่อเมริกาสองสามวัน จากนั้นก็รับหวันหว่านกลับไปที่หนิงเฉิง ไปอยู่ทางด้านนั้นประมาณหนึ่งเดือนแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อ

ก่อนออกเดินทาง โอหยางจวิ้นก็เตรียมกระดาษวาดภาพไว้ให้หวันหว่านจำนวนมาก เมื่อเห็นว่าเธอจากไปพร้อมกับหลานเสี่ยวถาง จู่ๆหัวใจก็รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว เหมือนกับว่าขาดอะไรไป

ยังดีที่สือจิ่งเหยียนขึ้นเครื่องบินก็หลับเลย เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ถึงน่านฟ้าของประเทศจีนแล้ว

หวันหว่านที่อยู่ข้างๆเขา จึงมองออกไปยังโลกภายนอกผ่านทางหน้าต่าง

เมืองด้านล่าง ค่อยๆเปลี่ยนจากสีขาวโพลนเป็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จู่ๆเธอก็นึกถึงภาพที่โอหยางจวิ้นพาเธอขับเครื่องบินเล่น

เธอรู้สึกว่า ตนเองคิดถึงเขาแล้ว

กลับมาถึงคฤหาสน์ของหนิงเฉิง สือมูเฉินจึงโทรมาบอกฟู่สีเกอและคนอื่นๆว่าหวันหว่านกลับมาแล้ว ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เจ็ตแลกอยู่สองวัน ทุกๆคนก็มารวมตัวกันแล้วจัดงานปาร์ตี้

ตอนนี้ ท้องของฮั่วชิงชิงใหญ่ขึ้นมากแล้ว หลังจากได้รับโทรศัพท์ เธอก็มางานปาร์ตี้กับหันจื่ออี้ด้วย ชั่วขณะในคฤหาสน์ก็สนุกครึกครื้นขึ้นมา

หวันหว่านโตที่สุดในบรรดาเด็กๆ ถึงแม้ว่าจะพูดไม่ได้ แต่ภาษามือของเธอนั้นพวกเด็กๆก็สามารถเข้าใจได้เกือบทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การนำของเธอ บรรดาเด็กๆก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว

หยานโม่หานที่ชอบหวันหว่านมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าผ่านมาเกือบครึ่งปีแล้ว เขาแทบจะจำรูปร่างหน้าตาของหวันหว่านไม่ได้แล้ว แต่เวลานี้ เพียงได้เจอเธอ เขาก็โผเข้าไปทันที แล้วเรียก “พี่สาว พี่สาว” ไม่หยุด

และฟู่อวี้เฉิน เวลานี้ได้เดินมาถึงตรงหน้าฮั่วชิงชิง เห็นท้องเธอที่นูนขึ้นมา จึงอยากที่จะลูบ แต่ก็มองฮั่วชิงชิงอย่างลังเลใจเล็กน้อย

“หรงฉิว ลูบเถอะ ไม่เป็นไร ข้างในมีน้องสาวตัวน้อยนะ คุณทักทายกับเธอสักหน่อยสิ!” ฮั่วชิงชิงกล่าว

ฟู่อวี้เฉินตาเป็นประกาย รีบเข้าไปลูบ แล้วกล่าวอย่างมีจินตนาการว่า: “ฉันรู้สึกว่าน้องกำลังเตะฉัน!”

“ฉันก็อยากลูบ!” ฟู่หยู่ปิงรีบเดินมา แล้วยื่นมือเข้าไป

และเวลานี้ ซูสือจิ่นที่ได้ยินคำพูดของฮั่วชิงชิง สายตาจึงมองออกมาทันที

ทำไม ครอบครัวคนอื่นถึงมีลูกสาวกันหมดเลยนะ?

เธออยากมีลูกสาว อยากมีลูกสาว รอไม่ไหวแล้ว!

วันนั้น บรรดาเด็กน้อยก็นั่งล้อมโต๊ะกัน หวันหว่านโตสุด จึงแจกอาหารให้เด็กคนอื่นๆ

ฟู่หยู่ปิงที่เดิมทีเวลาทานข้าวต้องป้อน เวลานี้เห็นทุกคนล้วนหยิบถ้วยทานเอง ด้วยเหตุนี้ จึงลังเลใจเล็กน้อย นั่งลงบนที่นั่งตัวเองดีแล้ว จึงเริ่มทานข้าวด้วยตัวเอง

มื้ออาหารจบลง บรรดาเด็กน้อยก็ทานกันไว้จนแก้มเลอะเหมือนลายแมว มีเพียงหวันหว่านเท่านั้นที่ดูแล้วสะอาดสะอ้าน

เธอลุกขึ้นไปหยิบทิชชูเปียก ส่งให้บรรดาน้องชายน้องสาวคนละแผ่น

“หวันหว่านรู้เรื่องจริงๆเลย!” หันจื่ออี้กล่าวอย่างทอดถอนใจกับฮั่วชิงชิง: “หวังว่าต่อไปลูกสาวของพวกเราจะรู้เรื่องแบบนี้บ้างนะ”

ฮั่วชิงชิงยิ้มแล้วกล่าว: “ตอนพวกเราทั้งสองเด็กๆก็เป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอ? ฉันคิดว่าลูกของพวกเราก็จะต้องว่านอนสอนง่ายอย่างแน่นอน!”

ไม่ ตอนเด็กๆเขาแทบจะมีเรื่องชกต่อยอยู่ตลอด เหมือนกับว่า จะไม่ได้ว่านอนสอนง่ายเหมือนที่กล่าวมาเลย? หันจื่ออี้ยิ้มๆ: “อืม เหมือนคุณก็ดีแล้ว”

เย็นวันนั้น ถึงแม้ว่าสือมูเฉินจะให้ทุกคนพักค้างคืน เพียงแต่ฮั่วชิงชิงท้องอยู่ ตอนกลางคืนอยู่ที่บ้านตัวเองจะสะดวกกว่า ด้วยเหตุนี้ คนทั้งสองจึงขอตัวกลับก่อน

เมื่อขับรถมาถึงบ้าน หันจื่ออี้ก็ดูปฏิทินที่แขวนอยู่ที่ผนัง แล้วกล่าวว่า: “ชิงชิง อีกสองเดือนก็จะคลอดแล้ว พวกเรามาตั้งชื่อให้ลูกกันก่อนไหม?”

ฮั่วชิงชิงพยักหน้า: “ดีเลย เพียงแต่ตอนนี้มีชื่อซ้ำกันเยอะมาก ก่อนหน้านี้ฉันคิดเอาไว้สองสามชื่อ แต่พอเข้าอินเทอร์เน็ตแล้วพบว่า บนอินเทอร์เน็ตมีเด็กที่ชื่อกับแซ่ซ้ำกันจำนวนมาก!”

“ไม่เป็นไร ในประเทศมีประชากรเยอะขนาดนี้ เรื่องชื่อซ้ำกันเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้” หันจื่ออี้กล่าว: “ตั้งชื่อที่พวกเราชอบก็พอ”

เขาพูดพลาง หอบพจนานุกรมเล่มหนึ่งออกมาจากในห้อง แล้วนั่งลงข้างๆฮั่วชิงชิง: “พวกเราลองค้นหาดู ว่ามีคำไหนเป็นแรงบันดาลใจไหม”

“โอเคค่ะ” ฮั่วชิงชิงเปิดไปทีละหน้า ก็เห็นหมวดของlu จึงหันมายิ้มแล้วกล่าวว่า: “ตอนพวกเราเด็กๆ เหมือนกับว่าจะมีชื่อ’ลู่’เยอะเป็นพิเศษนะ…….”

พอดีกับที่หันจื่ออี้กำลังจะพูดว่า ตอนเด็กที่เขาเข้าเรียน มีผู้หญิงในชั้นชื่อจางลู่ ตัวใหญ่มาก มีครั้งหนึ่งผู้หญิงทะเลาะกับเขา ทั้งสองจึงชกต่อยกัน

พอเขาหันมา เธอก็กำลังเข้าไปใกล้พอดี ด้วยเหตุนี้ ริมฝีปากของเขาจึงไปโดนหน้าผากของฮั่วชิงชิงโดยไม่ได้ตั้งใจ

ลมหายใจของเธอ ตกกระทบที่ลูกกระเดือกของเขา

เขากลืนน้ำลายทันที เลือดอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“ชิงชิง——” เสียงของหันจื่ออี้ทุ้มลงอย่างมาก “ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวค่อยตั้งชื่อแล้วกัน……”

“หืม?” ฮั่วชิงชิงกำลังจะถามว่าทำไม คางก็ถูกมือของหันจื่ออี้เชยขึ้นมาแล้ว

เขาก้มหน้าลง จูบริมฝีปากของเธอ

เดิมทีก็ตั้งใจที่จะตั้งชื่อ จู่ๆถูกความอ่อนโยนแบบนี้เข้ามาแทนที่ พจนานุกรมในมือของฮั่วชิงชิงลื่นหลุดจากมือ เธอนั่งได้ไม่มั่นคง จึงล้มตัวลงนอนบนโซฟา

มือทั้งคู่ของหันจื่ออี้ ค้ำลงมาสองข้าง เพื่อปกป้องท้องของฮั่วชิงชิง

เธอหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็จนปัญญาที่จะต้านทานกระแสไฟที่เขานำมา ด้วยเหตุนี้ ร่างกายที่นอนอยู่บนโซฟา กลับเริ่มตอบสนองการจูบของเขาอย่างอ่อนโยน

เครื่องทำความร้อนภายในห้อง จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นอุ่นขึ้นอีกทันที หันจื่ออี้รู้สึกร้อนขึ้นเล็กน้อย กระทั่งต้องถอดเสื้อกันหนาวออก

ฮั่วชิงชิงอายุครรภ์มากแล้ว ดังนั้น จึงค่อนข้างกลัวหนาว เวลานี้จึงสวมกางเกงเลกกิ้งและกระโปรงเสวตเตอร์สำหรับคนท้อง

มือของเขา หากระดุมเลกกิ้งกันหนาวของเธอเจออย่างรวดเร็ว เมื่อคลำเข้าไป ก็รู้สึกได้ว่าลูกในท้องของเธอคล้ายกับดิ้นเล็กน้อย

“ชิงชิง ดูเหมือนว่าลูกจะเตะฉันนะ” หันจื่ออี้ยิ้มแล้วกล่าว

“แล้วใครใช้ให้คุณรังแกแม่ของเธอล่ะ!” ฮั่วชิงชิงกล่าวด้วยหน้าที่แดงระเรื่อ

“ฉันรังแกที่ไหนกัน?” หันจื่ออี้ใจเต้นรัว: “งั้นจะรังแกจริงๆแล้วนะ?”

เขาพูดพลาง เริ่มก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของเธอ ผ่านมาที่ลำคอ ลงมาถึงกระดูกไหปลาร้า…..

ฮั่วชิงชิงถูกจูบจนไร้เรี่ยวแรง เสียงที่ขอให้ยกโทษให้ก็แฝงไปด้วยความออดอ้อนอย่างมาก

หันจื่ออี้ถือโอกาสเปิดกระโปรงของเธอออก จากนั้น ก็จูบลงไปบนหน้าท้องของฮั่วชิงชิง

เธอรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ในทันใดก็ร้องเบาๆในลำคอ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

“ที่นี่คือโซฟานะ……” เธอสูดลมหายใจเข้า

“ชิงชิง ลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ซื้อโซฟามา คุณบอกว่าต้องการโซฟาที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่เหรอ?” หันจื่ออี้ยิ้มเบาๆ แล้วกดเปิดสวิตช์ที่อยู่บนที่พักแขนของโซฟา

ทันใดนั้น ด้านล่างของโซฟาก็ยกขึ้นเพื่อรองรับ ด้านหลังของโซฟาเอียงไป120องศา และพื้นผิวของโซฟาก็กว้างไม่น้อย

“ฉันจะทำให้เบาที่สุดนะ” หันจื่ออี้พูดจบ ก็จูบไปพลาง ปลดสิ่งกีดขวางบนตัวของคนทั้งสองไปพลาง

ฮั่วชิงชิงตอบตกลง วางสายแล้วเดินกลับมา จากนั้นก็เห็นมือถือของหันจื่ออี้ที่อยู่บนพื้นสว่างขึ้น

เดิมทีเธอไม่ได้คิดที่จะดู แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าของพวกเขากระจัดกระจายอยู่บนพื้น ด้วยเหตุนี้ จึงก้มลงไปเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา

แต่เมื่อเธอหยิบมือถือของหันจื่ออี้ ไม่ทันระวังมือจึงไปสัมผัสกับปุ่มสแกนลายนิ้วมือของเขา ชั่วขณะหน้าจอก็สว่างขึ้น

ระหว่างนั้น ด้านบนก็มีข้อความวีแชตข้อความหนึ่ง คนที่ส่งมาคือเซียวหลิน

ฮั่วชิงชิงรู้ว่าการแอบดูข้อความของคนอื่นไม่ใช่เรื่องดี แต่เธอก็ยังคงชำเลืองไปมองอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะสายตาก็แข็งค้าง!

เซียวหลินบอกว่า : “พี่จื่ออี้ ฉันว่าเราเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่า ฉะนั้นเราเลิกกันเถอะ! ถ้ามีเวลาก็ออกมานั่งคุยเรื่องนี้กันนะ!”

ฮั่วชิงชิงอ่านเนื้อหาในวีแชตอยู่หลายรอบ หลังจากนั้น ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เดิมทีเธอยังกลัวการทำลายของเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนอุปสรรคทุกสิ่งทุกอย่าง ได้หายไปหมดแล้ว!

มุมปากของเธอยกยิ้มขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะมองไปยังหันจื่ออี้ที่ยังคงหลับใหลอยู่

ใช่สิ เมื่อคืนเขาน่าจะไม่ได้ทานอะไรเลย เช้านี้ตื่นขึ้นมา จะต้องหิวมากแน่ๆ

ตอนที่ฮั่วชิงชิงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับหันจื่ออี้ก็รู้ดีว่า เขาไม่ชอบทานอาหารบุฟเฟ่ต์ของโรงแรม ชอบทานอาหารพื้นบ้านทั่วๆไปอย่างเช่น น้ำเต้าหู้ โจ๊กฟักทอง โรตีต้นหอม

แต่ที่โรงแรมไม่มีห้องครัว ดังนั้นเมื่อฮั่วชิงชิงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็หยิบคีย์การ์ดประตูห้องของหันจื่ออี้ แล้วออกไปซื้ออาหารให้เขา

เธอเรียกแท็กซี่ตรงทางเข้าของโรงแรม ไปที่ร้านอาหารเช้าร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ สั่งของที่หันจื่ออี้ชอบ และซื้อให้ตัวเองอีกชุดหนึ่ง

นึกถึงว่าอีกสักครู่จะได้ทานอาหารเช้ากับเขา เธอก็รู้สึกมีความสุข

ฮั่วชิงชิงถึงขั้นกับคิดจินตนาการไปว่า อีกสักครู่หลังจากที่ได้เจอเขา เธอก็จะบอกเขาว่า จริงๆแล้วที่ผ่านมาเธอไม่เคยลืมเขาเลย แล้วก็ไม่อยากหย่ากับเขาด้วย ขอเพียงแค่เขายินดี ต่อไปนี้พวกเขาจะละทิ้งเรื่องราวในอดีต แล้วเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง

รอหลังจากที่พวกเขาคืนดีกันแล้ว เธอจะบอกกับเขาอีกครั้ง อันที่จริงเธอรู้เรื่องที่เขาบริจาคไตให้เธอแล้ว

แต่เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะให้เขารู้สึกว่าตนเองกลับมาเพื่อตอบแทนบุญคุณ และไม่ใช่เพราะความรัก ฉะนั้นวันนี้เธอจึงไม่อยากพูดเรื่องนี้ออกไป

ทุกๆอย่าง วางแผนการไว้เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว

ฮั่วชิงชิงถืออาหารออกมาจากในร้าน กำลังจะเรียกรถแท็กซี่ ฉับพลันก็ได้กลิ่นน้ำมันที่รุนแรงออกมาจากรถคันหนึ่ง

เธอรู้สึกคลื่นไส้ทันที จนอยากจะอาเจียนออกมา

แต่เพราะว่าไม่ได้ทานอะไรเลย ฉะนั้นเวลาอาเจียนจึงไม่มีอะไรออกมา

แต่จู่ๆฮั่วชิงชิงก็หยุดฝีเท้าลง

เธอฉุกคิดขึ้นได้ว่า ตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งถึงตอนนี้ เธอไม่ได้เข้าห้องน้ำเลย หรือว่า……

ราวกับถูกน้ำแข็งหนึ่งอ่างเทรดลงมาอย่างฉับพลัน ฮั่วชิงชิงนึกถึงตอนนั้น เธอปัสสาวะน้อย หลังจากนั้นก็เบื่ออาหาร สุดท้ายก็อาเจียน ปัสสาวะที่ออกมาก็เป็นสีชา และได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นภาวะไตวาย

เมื่อกี้ที่เธออยากจะอาเจียน หรือว่าจะมีปัญหาจริงๆ?

นึกถึงตรงนี้ หัวใจของเธอก็เหมือนกับถูกขุดเป็นหลุมขนาดใหญ่ เธอยืนใจลอยอยู่กับที่ เดิมทีก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี!

บังเอิญว่ามีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาอย่างรวดเร็วมาก ฮั่วชิงชิงจึงหลบไปข้างๆ แต่ถุงอาหารในมือถูกเกี่ยวเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ ทันใดนั้นถุงพลาสติกถูกฉีกขาด และอาหารเช้าก็หกเต็มพื้นถนน!

แต่มอเตอร์ไซค์กลับไม่ได้สนใจเลย ยังคงขับออกไปอย่างองอาจ

ฮั่วชิงชิงเห็นของเหล่านั้นสกปรกไปหมดแล้ว จึงเก็บพวกมันขึ้นมาแล้วโยนทิ้งถังขยะไป

กำลังคิดว่าจะกลับไปซื้ออีกชุดดีไหม แต่ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา

ถ้าหากว่าภาวะไตวายของเธอกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง เช่นนั้นควรจะทำอย่างไรดี?

หรือว่าจะให้หันจื่ออี้ทนรับความเจ็บปวดจากการที่ต้องดูเธอตายอีกครั้ง แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย?

ถึงอย่างไรเขาก็มีไตแค่สองข้าง บริจาคให้เธอหนึ่งข้าง ถ้าเธอไม่สามารถเก็บรักษาสิ่งนั้นที่เขาให้เธอไว้ได้ เขาเห็นแล้วจะต้องทุกข์ใจมากๆเลยใช่ไหม?

ฮั่วชิงชิงรู้สึกกังวล จนเกือบจะสิ้นหวัง จากนั้นก็เรียกรถแท็กซี่ไปที่โรงพยาบาล

เธอไปที่แผนกระบบทางเดินปัสสาวะ ทำการเจาะเลือด และนั่งรอผลอยู่ตรงนั้น

กำลังรอผลอยู่ จู่ๆมือถือของเธอก็ดังขึ้นมา ฮั่วชิงชิงหยิบมาดู ก็เห็นว่าเป็นหันจื่ออี้โทรมา

หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง จนกระทั่งเธอปรับอารมณ์ได้แล้ว จึงแสร้งทำเป็นรับสายอย่างสงบนิ่ง

หันจื่ออี้ก็เพิ่งจะตื่นได้ไม่นาน

ภาพในความทรงจำยังคงเป็นการไปดื่มเหล้าที่บาร์เมื่อคืนนี้ เพราะเรื่องของแม่เขาจึงรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างมาก ดื่มเหล้าจนท้ายที่สุดก็ไม่ได้สติ

ฉะนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าตนเองกลับมาที่โรงแรมมาได้อย่างไร เขาจำได้แค่ว่า เขาเหมือนจะฝันเห็นฮั่วชิงชิง

อีกทั้งเขายังฝันเห็นเขากับฮั่วชิงชิงมีอะไรกัน และทำไปด้วยความรัก อีกอย่าง ในระหว่างนั้นไม่เพียงแต่เธอไม่ต่อต้านแล้ว ยังตอบสนองเขาอย่างเร่าร้อนอีกด้วย

ฉะนั้น ความรู้สึกเช่นนั้นมันจึงผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันทำให้เขามีความสุขมาก และนอนหลับสบายตลอดทั้งคืน

แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็เข้าใจในทันทีเลยว่า นั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน

เพราะว่าถึงแม้เธอจะไม่ได้เกลียดเขาแล้ว แต่จะสามารถตอบสนองเขากลับได้อย่างไร?

เขารู้จักเธอดี บางครั้งเธอก็ดื้อรั้น มีหลักการของตนเอง แต่กลับเป็นคนขี้อายอย่างมาก

ทุกครั้งที่เขาจูบเธอ เธอมักจะเขินอายหลบหลีกตลอด แต่ทำไมถึงสามารถตอบรับเขาบนเตียงแบบนั้นได้ล่ะ?

เพียงแต่ เมื่อหันจื่ออี้ไปอาบน้ำกลับมา ตอนที่สายตามองไปยังผ้าปูที่นอน ก็เห็นร่องรอยบางอย่าง

ร่องรอยสีขาวเหล่านั้นที่เหือดแห้งไปแล้ว เตือนสติเขาได้อย่างชัดเจนว่า นั่นคือสิ่งที่เขาหลั่งออกมา

แต่เมื่อมองดูโดยรอบแล้ว กลับไม่มีร่องรอยของฮั่วชิงชิงเลย หรือว่า เรื่องที่เขาทำเมื่อคืนจะเป็นเพียงเรื่องที่เคยทำในวัยเด็ก? คาดไม่ถึงว่าเพราะฝันหวานชั่วขณะหนึ่งจะทำให้……..

เขามองมือถือมีไฟกะพริบข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน ด้วยเหตุนี้ จึงหยิบขึ้นมาอ่านเล็กน้อย

ทันใดนั้น ข้อความที่เซียวหลินส่งเข้ามาก็ปรากฏต่อสายตาทันที

หันจื่ออี้อ่านจนจบด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเปิดบันทึกการโทร

ในนั้นมีสายของผู้ช่วยหวังโทรเข้ามาหลายสาย แล้วก็มีสายของเซียวหลินโทรเข้ามาสองสามสาย เขาโทรกลับไปหาเซียวหลินก่อน

เธอรับสายอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงมีชีวิตชีวา: “พี่จื่ออี้!”

หันจื่ออี้กล่าว: “เซียวหลิน ฉันเห็นข้อความที่คุณส่งมาให้แล้ว”

“อืม” เสียงของเซียวหลินก็กลุ้มใจในทันที: “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะคะ?”

หันจื่ออี้กล่าว: “ฉันเห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณ งั้นจากนี้ไปพวกเราก็จะเป็นเพื่อนกันปกติ”

ทางด้านคู่สาย เงียบไปสองสามวินาที จึงมีเสียงผู้หญิงดังเข้ามา แฝงไปด้วยอารมณ์หัวเราะเยาะ: “หรือว่าคุณไม่รู้ บางทีที่ผู้หญิงบอกว่าจะเลิก มันเป็นเพียงแค่อารมณ์โอดครวญหรือขอให้ปลอบใจ? ทำไมคุณถึงไม่ถามฉันบ้างล่ะว่าทำไม? หรือไม่ก็เหนี่ยวรั้งฉันสักสองสามคำ!”

หันจื่ออี้นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จึงพบว่าคาดไม่ถึงว่าตนเองไม่เคยคิดเรื่องที่จะเหนี่ยวรั้งโดยสิ้นเชิง

เหมือนกับว่า พอเธอบอกว่าจะไม่ไปต่อ งั้นก็ไม่ไปต่อ ถึงอย่างไร เขาจะไปต่อหรือไม่ไปต่อก็ได้ทั้งนั้น

เห็นหันจื่ออี้ไม่ตอบ เซียวหลินจึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง: “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่ล้อเล่นกับคุณน่ะ! เอาล่ะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้ชอบฉัน ฉันเป็นพวกที่ชอบความสมบูรณ์แบบ คู่รักที่ฉันมองหา จะต้องเป็นคนที่ชอบฉันมากแน่ๆ!”

หันจื่ออี้จนปัญญาที่จะปฏิเสธความคิดของตนเองกับเซียวหลิน ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวยอมรับว่า: “ขอโทษนะ จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ฉันแค่อยากจะลองดู แต่ว่า…..”

“โอเค! พอ! ขืนพูดอีกก็จะเป็นการโจมตีฉัน!” เซียวหลินกล่าวอย่างหยอกล้อว่า: “งั้นต่อไปหากคุณหาคนที่ชอบเจอแล้ว จะต้องบอกฉันด้วยนะ ฉันอยากรู้จริงๆว่า สุดท้ายแล้วคนแบบไหนที่เข้าตาคุณ!”

“โอเค” หันจื่ออี้ก็ผ่อนคลายลงอย่างมาก

วางสายแล้ว เขาก็โทรกลับไปหาผู้ช่วยหวัง: “เมื่อคืนโทรหาฉันมีธุระอะไร?”

“ประธานหันของฉัน ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว!” ผู้ช่วยหวังกล่าวอย่างทอดถอนใจ: “เมื่อคืนฉันตามหาคุณตั้งแต่ 6โมงกว่า โทรไปก็ไม่มีคนรับ ฉันเป็นห่วง ตามหาอยู่หลายที่ แล้วก็โทรศัพท์ไปหาเซียวหลินและคุณฮั่ว สุดท้ายก็เป็นคุณฮั่วที่หาคุณเจอ แล้วยังบอกอีกด้วยว่าคุณดื่มเหล้า……”

หันจื่ออี้หรี่ตาขึ้นมาทันที: “คุณฮั่วไหนกัน?!”

“นอกจากคุณฮั่วคนนั้นของคุณแล้วยังจะมีแซ่ฮั่วคนไหนอีกล่ะ!” ผู้ช่วยหวังพูดจบ จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่าน้ำเสียงของตนเองฮึกเหิมเกินไป จึงรีบกล่าวว่า: “ประธานหัน คุณฮั่วไปเจอคุณที่บาร์เหล้า จากนั้นก็พาคุณไปตรวจที่โรงพยาบาล หลังจากไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ประคองคุณกลับมายังห้อง!”

พูดถึงตรงนี้ ผู้ช่วยหวังก็ไม่สบายใจเป็นพิเศษ

เมื่อคืน คงจะเกิดเรื่องอะไรที่ไม่สามารถบรรยายด้วยคำพูดได้เป็นแน่! เพียงแต่ ต่อให้เขาไม่สบายใจ ก็ไม่สามารถยุ่งเรื่องของเจ้านายตนเองได้ ดังนั้น เขาจึงบังคับตัวเองไม่ให้มาดูห้องข้างๆ!

“เธอมาส่งฉันเหรอ?” หันจื่ออี้คล้ายกับฟังแล้วไม่เข้าใจ จึงกล่าวถามอีกรอบหนึ่ง

“ใช่ครับ!” ผู้ช่วยหวังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย: “ประธานหัน คุณจำไม่ได้เลยเหรอ?”

การตอบสนองนี้ทำให้ผู้ช่วยหวังดีใจเป็นพิเศษ ดูท่า เมื่อคืนน่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น!

แต่หันจื่ออี้ไม่ได้ตอบกลับคำถามของผู้ช่วยหวังโดยสิ้นเชิง วางสายไปโดยตรง แล้วโทรไปหาฮั่วชิงชิง

เสียงสัญญาณดังอยู่หลายครั้ง เธอจึงรับสาย

หัวใจของหันจื่ออี้เป็นกังวลเล็กน้อย: “ชิงชิง เมื่อคืนคุณมาส่งฉันกลับโรงแรมเหรอ?”

ฮั่วชิงชิงยิ่งตึงเครียด เธอกำมือถือแน่น: “อืม”

“งั้นเมื่อคืนนี้….” หันจื่ออี้นึกถึงสัมผัสและอุณหภูมิที่เหมือนความจริงเหล่านั้น สายตามองลงไปยังร่องรอยนั้นที่อยู่บนผ้าปูที่นอน จึงกล่าวถามว่า: “เมื่อคืนพวกเรามี……..”

เขาถามเธอจริงๆ!

ฮั่วชิงชิงกำมือถือแน่น ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร

และเวลานี้ เธอก็ได้ยินแผนกการตรวจ กำลังเรียกชื่อของเธอ

“คุณรอสักครู่นะ เดี๋ยวมา” ฮั่วชิงชิงรีบพูดกับหันจื่ออี้ประโยคหนึ่ง จากนั้น ก็รีบก้าวเท้าไปยังแผนกตรวจ

“ใบรายงานผลของฮั่วชิงชิง” ช่องเคาน์เตอร์ส่งใบรายงานผลใบหนึ่งให้

ฮั่วชิงชิงรีบรับแล้วมองไปยังผลตรวจ

ทันใดนั้น ใบรายงานผลในมือก็ปลิวร่วงลงบนพื้น!

เป็นเวลานาน จนกระทั่งได้ยินเสียงแว่วๆว่ามีคนเรียกเธอ เธอจึงได้สติกลับมาว่า หันจื่ออี้กำลังคุยสายกับเธออยู่

เธอนำมือถือแนบเข้าที่หูอย่างทึ่มทื่อ: “อะไรนะ?”

“ชิงชิง เมื่อคืนคุณอยู่ที่นี่ พวกเราอยู่ด้วยกัน ใช่ไหม?” หันจื่ออี้กล่าวอย่างคล้ายๆกับแน่ใจ

ฮั่วชิงชิงรู้สึกเพียงว่า หัวใจถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วนทันที เธออยากจะบอกเขาอย่างมากว่า เมื่อคืนคนที่ปลอบใจเขาก็คือเธอ แต่สายตาของเธอ ก็มองไปยังใบรายงานผลใบนั้น

ครั้งนี้ เธอจะต้องตายแน่ๆ

น้ำตาไหลรินลงมาทีละหยดๆ แต่เสียงของเธอ กลับสงบนิ่งเป็นพิเศษ: “จื่ออี้ คุณกำลังพูดอะไร ทำไมฉันไม่เข้าใจเลย? เมื่อคืนฉันส่งคุณกลับแล้ว ก็นั่งอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าคุณน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว จึงออกไป!”

ฮั่วชิงชิงตกใจกับการกระทำที่ไม่คาดคิดของหันจื่ออี้จนทำให้ทั้งตัวนั้นถึงกลับแข็งทื่อ นอกจากนี้ สัมผัสที่เขาได้พาดแขนไว้บนตัวของเธอนั้นความรู้สึกมันก็ชัดเจนขึ้นมาในทันที

เธออยากจะขยับ แต่ก็กลัวเขาจะตกใจตื่น ดังนั้นตัวเธอก็แข็งทื่ออยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ขยับเขยื้อน

และเขาดูเหมือนว่ายังอยู่ในความรู้สึกที่ขมุกขมัว และได้สัมผัสกับอะไรบางอย่างที่ทำนองเดียวกันกับหมอนข้าง ดังนั้น ก็เลยยื่นมือออกไปดึงฮั่วชิงชิงเข้ามา

ฮั่วชิงชิงจากที่นั่งอยู่ข้างๆก็ถูกหันจื่ออี้ดึงลงไป ทันใดนั้นก็ทำให้สูญเสียบาลานซ์ตัวและล้มลงไปอยู่บนเตียง

ดังนั้น เขาก็เลยฉวยโอกาสกอดเธอไว้เต็มอ้อมกอด และต่อไปเขาก็ยังคงกอดเธอไว้ในอ้อมกอดแน่นขึ้น จากนั้นยังยกขาขึ้นมาพาดฮั่วชิงชิงเพื่อล้อมเอาไว้อย่างเต็มรูปแบบ

ทันใดก็เกิดเหตุไม่คาดคิด ทำให้ฮั่วชิงชิงไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไง และปลายจมูกที่มีกลิ่นอายที่คุ้นเคยก็ได้รุกเข้ามายังปราสาทรับกลิ่น และมันก็ทำให้คนตกอยู่ในภวังค์ทันที

เธอรู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังเต้นอยู่ตรงทรวงอกของตัวเอง และลมหายใจของเขาก็อยู่ตรงหน้าผากของเธอ ทำให้ผมของเธอบินแล้วก็รู้สึกคันเล็กน้อย

ถึงแม้ว่าอ้อมกอดแบบนี้จะทำให้คนรู้สึกอยากได้มากๆ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้หันจื่ออี้ก็ยังไม่รู้สึกตัว ถ้าหากว่าเขาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเธอ เขาจะมีท่าทีโต้ตอบอย่างไร ?

เขาอุตส่าห์ยอมให้เธอเอาทะเบียนไปจัดการเรื่องหย่า แล้วเธอยังจะมาอยู่บนเตียงของเขาอีก มันเหมือนกับว่า……

เมื่อฮั่วชิงชิงคิดถึงจุดนี้ ก็ได้สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็กำลังจะออกมาจากอ้อมกอดของหันจื่ออี้

ถึงอย่างไร เธอก็อยากจะคุยกับเขาอย่างจริงจัง ก็ไม่ควรที่จะอยู่ในสภาพที่เขาไม่รู้สึกตัวแบบนี้

แต่ทว่าเมื่อเธอกำลังจะยกแขนของเขาออก เขาก็ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็น

ดวงตาของเขายังคงปิดสนิท แต่เขายังขมวดคิ้วเล็กน้อย และแขนของเขาก็ได้โอบเธออีกครั้ง จากนั้นก็พูดพึมพำราวกับกำลังละเมอออกมา : “ อย่าไปนะ……”

ฮั่วชิงชิงก็ดูเหมือนว่าจะหยุดชะงักในทันที เธอเบิกตากว้างมองเขา แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าเขาไม่อยากให้ใครไปกันแน่

“ อย่าไปจากฉันเลยนะ…..” ในน้ำเสียงของหันจื่ออี้นำพามาซึ่งความเจ็บปวดและความโศกเศร้าเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ดูเหมือนว่าจะล้วนทำให้เธอนั้นรู้สึกเศร้าโศกไปด้วยเล็กน้อย

ฮั่วชิงชิงเคยเห็นเขาแบบนี้ที่ไหนกันนะ ? ทันใดนั้น เธอก็ไม่ขยับ แล้วก็ในใจก็เหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ค่อยๆไหลล้นออกมา และมันก็ทำให้พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลโดยที่ไม่รู้ตัว : “ โอเค ฉันไม่ไป แล้วฉันก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่ข้างๆคุณที่นี่ ”

แขนของเขาก็โอบแน่นขึ้นเล็ก จากนั้น ฝ่ามือของเขาก็ได้ไถลไปตามหลังของฮั่วชิงชิง

ถึงแม้จะรู้ว่ากันหันจื่ออี้นั้นไม่รู้สึกตัว แต่ทว่าสัมผัสแบบนี้ มันดูคล้ายกับจุดไฟในตัวของฮั่วชิงชิง

ความร้อนผ่าวนี้ก็ก่ายขึ้นมายังหน้าแก้มของเธอ และปริมานเลือดในสมองก็เพิ่มขึ้น จนทำให้รู้สึกถึงการวิงเวียนของศีรษะ

เธอซ่อนอยู่ในอ้อมกอดของเขา และเห็นว่าว่าคิ้วของเขาก็ยังคงดูไม่ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ ดังนั้นก็เลยยกมือขึ้นมาอีกครั้งและคลึงไปที่คิ้วของเขาเบาๆ

เขาก็ค่อยๆผ่อนคลายลงจากการสัมผัสของเธอ แต่ด้วยความสัญชาตญาณแล้วเขาก็เอื้อมมือไปจับมือของเธอไว้

เธอตกใจไปทั้งตัวจนไม่กล้าจะหายใจไปสักแป๊บ

และเขาที่หยุดไปชั่วขณะ ก็ได้ก้มศีรษะลงไปจูบเธอ

ฮั่วชิงชิงตกใจมาก แต่ทว่าหันจื่ออี้ก็ยังหลับตาอยู่ ดูเหมือนกับว่าไม่รู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์แบบ แล้วก็ไหลไปตามน้ำแบบนั้น จากนั้นก็จูบไปยังหน้าผากและจูบลงมาเรื่อยๆ

จูบของเขาที่ละเอียดอ่อนก็ได้เริ่มจากคิ้วตา จมูก สุดท้ายก็มาหยุดอยู่บนริมฝีปากของเธอ

ทันใดนั้น เธอก็ดูเหมือนกับถูกโจมตีด้วยกระแสไฟขนาดใหญ่ ทำให้ริมฝีปากสั่นเทาและทั้งตัวก็ถึงกลับแข็งทื่อไปเลย

การจูบแบบนี้ นานมากๆแล้วที่ไม่เคยมี

บางที หันจื่ออี้อาจจะตกอยู่ในภวังค์ที่ขมุกขมัวเล็กน้อย ดังนั้นทำให้เขาหยุดไปหลายวินาที จากนั้นก็ใช้มือลูบเบาๆตรงริมฝีปากของเธอ

หัวใจก็ดูประหนึ่งลำน้ำที่แห้งขอด แล้วจู่ๆก็มีแหล่งน้ำธรรมชาติเข้ามาเติมเต็ม ฮั่วชิงชิงรับจูบที่นุ่มนวลของเขาโดยที่ไม่ขยับเลย จนกระทั่ง หันจื่ออี้แลบปลายลิ้นออกมาจากนั้นก็แหย่เข้าไปในระหว่างฟันของเธอ

หัวใจของเธอแทบจะพุ่งออกมาจากลำคอ ฮั่วชิงชิงไม่สามารถขยับตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างไรร่างกายของเธอก็ได้เริ่มอ่อนระทวยไปกับการจูบแบบนี้

แขนที่เขาโอบก็ได้แน่นขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็ยังคงจูบเธออย่างต่อเนื่อง

มือของเขาก็ได้สอดเข้าไปในผมของเธอ มีความรู้สึกจั๊กจี้แต่ก็ได้กลิ่นอายของความปกป้อง

ฮั่วชิงชิงถูกอารมณ์แบบนี้คล้อยตาม ทำให้ความรู้สึกลึกๆในใจที่ถูกซ่อนไว้ก็ได้ถูกฉุดดึงออกมา และมันก็ได้ทะลักออกมา

มือของเธอก็อดไม่ได้ที่จะล้อมไปยังด้านหลังของหันจื่ออี้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาและเริ่มตอบรับกับการจูบของเขา

ระหว่างริมฝีปากและฟัน มีกลิ่นอายของเขา และกลิ่นหอมของไวน์ มันมาซึ่งลมหายใจของคนเมา ทำให้ดึงความระมัดระวังและสติที่มีอยู่แต่เดิมทิ้งไป และฮั่วชิงชิงก็ได้เริ่มตอบรับกลับไปด้วยความเร้าร้อนมากยิ่งขึ้น

อันที่จริงแล้ว เธอก็ยังคงไม่ชำนาญมากๆ แต่บางสิ่งที่เกิดจากสัญชาตญาณของมนุษย์เอง โดยเฉพาะเมื่อความรู้สึกนั้นได้ทุ่มเทเป็นพิเศษ มันก็จะสามารถปลุกระดมความชำนาญมากมาย ที่แม้กระทั่งจะกระตุ้นอารมณ์ก็ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้

ฮั่วชิงชิงรู้สึกว่าร่างกายของเธอนั้นยังคงมีเหงื่อ แต่ทว่าก็มีความรู้สึกว่างเปล่าบางอย่าง ทำให้เธอระงับอารมณ์ไม่อยู่แล้วอยากจะแนบชิดติดกับเขา และอยากจะได้มากกว่านี้

และด้วยสถานการณ์เธอก็เป็นฝ่ายรุกเข้าไปใกล้ ซึ่งเธอก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด สัมผัสที่แข็งแกร่งที่ต่อต้านเธออย่างดื้อรั้น อันตรายและยั่วยวน

บรรยากาศในห้องก็ยิ่งคลุมเครือมากขึ้นเรื่อยๆ เตียงขนาดใหญ่ที่อ่อนนุ่มของโรงแรม ทำให้กลิ่นอายของอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเดิมที่มีอยู่ก็ฟุ้งไปด้วยความอบอุ่นมากขึ้น

ฮั่วชิงชิงรู้ร้อนมากขึ้น ในขณะที่หันจื่ออี้ก็ยังคงหลับตาอยู่ และเริ่มถลกสิ่งที่ขัดขวางอยู่บนร่างของเธออก

เสื้อผ้าของพวกเขากระจัดกระจายอยู่รอบๆเตียงขนาดใหญ่ ไปจนกระทั่งเปลือยกาย

เขาทับเธอที่อยู่ใต้ร่างกาย แล้วก็จับหน้าของเธอเงยขึ้น จากนั้นก็ยังคงหลับตาและจูบเธออย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่เธอตอนรับก็ได้ไปยังกอดร่างกายของเขาเอาไว้ และปลายของเธอก็ได้ตกไปอยู่บริเวณบาดแผลของเขา

สัมผัสที่รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย มันก็ทำให้หันจื่ออี้ค่อยๆลืมตาขึ้นมา

แต่ทว่า สายตาของเขายังคงเบลอเล็กน้อย ทั้งๆที่กำลังมองฮั่วชิงชิงอยู่แต่ก็ดูเหมือนว่ามองไม่เห็นอะไร

ท่ามกลางความขมุกขมัว เขารู้ว่าเป็นเธอ แต่กลับไม่รู้เลยว่าวันนี้เป็นวันอะไร ราวกับเมื่อสองปีก่อน และราวกับว่า……

ลมหายใจและสัมผัสที่คุ้นเคยแบบนี้ มันทำให้เขาไม่สามารถยับยั้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไปจนกระทั่งอยากจะเข้าใกล้ด้วยความใจร้อน

ความตระหนักของเขาแทบจะเลือนราง ดังนั้น มันทำให้พวกเขาลืมไปอย่างโดยอย่างสิ้นเชิง และความทรงจำของพวกเขาก็หยุดอยู่ในช่วงเวลาที่แต่งงานกันเท่านั้น

เขากอดเธอไว้แน่น แล้วก็จูบไปยังลำคอของเธอ จากนั้นก็ล็อกเอวของไว้แล้วก็ดันมันไปเข้า

เหมือนกับความรู้สึกที่แน่นแฟ้นที่อยู่ในความทรงจำ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ เขาเหมือนจะจำได้ว่าเธอกลัวเจ็บ ดังนั้นก็เลยหยุดไปสักแป๊บและถึงได้เริ่มขยับต่อ

แต่ทว่า เธอที่อยู่ภายใต้ร่างของวันนี้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะแตกต่างออกไปจากเมื่อก่อน

คิดไม่ถึงว่าเธอจะคล้อยตามไปจนกระทั่งยังสามารถตอบรับได้อีก

ด้วยเหตุนี้ มันนำมาซึ่งความรู้สึกบ้าคลั่งที่คลื่นได้กัดเซาะกระดูก ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมเป็นอย่างมาก

เขาได้ลืมความกังวลที่มีอยู่ในก่อนนี้ไปชั่วคราว ลืมมันไปทุกอย่าง แต่ก็ยังคงเข้าๆออกๆร่างกายของเธออย่างต่อเนื่อง โดนผ่านจังหวะการขยับเดิม และรับรู้ถึงความรู้สึกที่อบอุ่นของซึ่งกันและกัน

ทันใดนั้นฮั่วชิงชิงก็ได้ตื่นขึ้นมาจากความหลงใหลในขณะที่หันจื่ออี้กำลังเข้าไป

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นสามีภรรยากันมานานแล้ว แต่จำนวนครั้งที่มีอะไรกันจริงๆนับได้เลยไม่เกินสิบครั้ง

แต่ก็มีความทรงอยู่ไม่มีกี่ครั้งที่เธอที่ไม่ยินยอม ด้งนั้น ทุกครั้งก็จะมีความรู้สึกยากที่จะทน เป็นเพราะว่าเธอรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่อับอาย

แต่ในเวลานี้ ได้ปล่อยวางทุกอย่างในอดีตลง และเธอก็รู้สึกตัวเองดูเหมือนว่าจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเขา เธอตอบรับ เขาตื่นเต้นดีใจ ฉะนั้นด้วยเหตุนี้มันทำให้เธอรู้สึกว่ามีความสุข

มือของเธอกอดหันจื่ออี้เอาไว้แน่น แล้วเขาก็โอบล้อมเธอเอาไว้แน่นเหมือนกัน พวกเขาพัวพันกันอย่างสมบูรณ์แบบ และมีทั้งลมหายใจที่มีเสียงดังห้าวและน้ำเสียงที่นุ่มนวลเปล่งออกมาอยู่ตลอด

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของเขาที่หรี่ตา ก็ได้มีเหงื่อออกอยู่ตรงหน้าผา

หยาดเหงื่อที่อยู่ตรงหน้าผากก็ไหลลงมารวมกันอยู่ตรงปลายจมูก กลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ และราวกับว่ามันจะหยดลงไปกับพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขาทุกเมื่อ

เธออดไม่ได้ที่จะแลบออกและใช้ลิ้นเลียไปสักแป๊บ

เขาก็ถึงกับตกใจไปทั้งตัว และการกระทำก็ยิ่งทุ่มเทพลังมากขึ้น

จิตสำนึกและความสามารถในการคิดก็ได้ค่อยๆหายไป ฮั่วชิงชิงคล้อยไปตามสัญชาตญาณและตอบรับหันจื่ออี้อย่างสมบูรณ์แบบ

จนกระทั่งผ่านไปสักพัก เธอก็รู้สึกว่ามีแสงสีขาวแวบเข้ามาในหัว และมันทำให้ไม่สามารถควบคุมการหดตัวของร่างกายของเธอได้ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกกระตุ้นโดยสิ่งเร้าดังกล่าวและทำให้เขาร้องคร่ำครวญออกมาเช่นกัน

ต่อมา เธอก็รู้สึกว่าส่วนลึกของร่างกายดูเหมือนจะมีอะไรหนืดๆทะลักออกมา จากนั้น เขาและเธอก็มีอาการกระตุกพร้อมกัน หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ และริมฝีปากที่มีรอยยิ้มผลิบานจนไม่สามารถควบคุมได้

ผ่านไปนานสักพัก เขาถึงเพิ่งจะออกมาจากร่างกายของเธอ จากนั้นก็หมดแรงและนอนลงข้างเธอ

สติของเธอก็ค่อยๆกลับมา และเมื่อรู้ตัวว่าพวกเขาได้ทำอะไรลงไปบ้างนั้น แก้มของฮั่วก็ร้อนผ่าวขึ้นมาจนไม่สามารถจะร้อนได้อีกแล้ว

แต่เมื่อเธอมองไปยังเขาที่อยู่ข้างๆก็กลับรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง

หลังจากที่ร่างกายได้สัมผัสกับความสบายอกสบายใจของความรักแล้ว ก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากๆ แต่เมื่อฮั่วชิงชิงเห็นว่าบนผ้าปูที่นอนนั้นมีอะไรบางอย่าง ดังนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาอย่าลำบากและหยิบกระดาษทิชชูไปเช็ดมันออก

และเมื่อเธอขยับ หันจื่ออี้ที่อยู่ข้างๆก็ดูเหมือนว่าจะสังเกตเห็น

เขาพลิกตัวมาแล้วก็กอดเธอเข้ามาในอ้อมกอด และพูดพึมพำว่า : “ อย่าไปนะ ”

ทันใดนั้นก็ความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจของเธอ ถึงแม้กลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่ไม่อยากได้ยินก็ตาม แต่เธอก็ยังคงถามเขาว่า : “ ฉันคือชิงชิง ฮั่วชิงชิง ”

เมื่อหันจื่ออี้ได้ยินก็ตอบเพียงคำเดียวว่า‘อื้ม’จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

ดังนั้น เขารู้อย่างนั้นหรอ ?

ฮั่วชิงชิงเต็มไปด้วยความดีใจและประหลาดใจ เขาไม่ได้เห็นเธอเป็นผู้หญิงอีกคนใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้น มันก็ชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าในก้นบึ้งหัวใจของเขานั้นมีเธอ ? !

หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฮั่วชิงชิงก็ได้รวบรวมความกล้า เพื่อที่จะถามเขาด้วยความตื่นเต้นว่า เขายินยอมที่จะยอมรับเธอใหม่อีกครั้งไหม และยินยอมที่จะอยู่กับเธอในฐานะสามีและภรรยาไปตลอดชีวิตหรือไหม

แต่ในเวลานี้ หันจื่ออี้ก็ได้เป็นคนเอ่ยปากพูดก่อน

เขาพูดอย่างพึมพำว่า : “ ชิงชิง คุณบอกผมหน่อยสิว่าแม่ของผมจะโทษผมหรือเปล่า ?”

ฮั่วชิงชิงก็รู้สึกงุนงง : “ อะไรนะ ?”

“ เป็นไปได้ไหมว่าอันที่จริงแล้วแม่ของผมไม่ได้อยากจะแก้แค้น ?” หันจื่ออี้ก็ถามอีกครั้ง

แต่นี่เป็นเพราะว่าเขาดื่มจนเมา เวลาพูดก็เลยไม่ค่อยชัด บวกกับน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ ฮั่วชิงชิงก็เลยฟังไม่ชัด

ดังนั้น เธอก็เลยถามอีกครั้ง : “ จื่ออี้ คุณพูดว่าอะไรนะ ?”

จากนั้น ลมหายใจของหันจื่ออี้ก็ยิ่งคงที่มากขึ้นเรื่อยๆและมันก็ทำให้เขาผล็อยหลับไปอีกครั้ง

ฮั่วชิงชิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาก็ค่อยๆเริ่มง่วงจนผล็อยหลับไปด้วยความสบายใจ

และเสื้อนอกของหันจื่ออี้ที่ตกอยู่ด้านล่างเตียงนั้นก็มีโทรศัพท์ตกออกมาจากกระเป๋า โดยมีแสงสว่างอย่างต่อเนื่อง ในบนหน้าจอก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นมาสองตัว : เซียวหลิน

เช้าวันรุ่งในวันที่สอง เมื่อฮั่วชิงชิงก็ลืมตาขึ้น ก็มีใบหน้าของหันจื่ออี้ที่นอนหลับอย่างสงบสะท้อนเข้ามาในม่านตาของเธอ

เขาที่หลับตาสนิท และคิ้วที่ขมวดของเขาก็ได้ผ่อนคลายลงแล้ว ดูเหมือนว่าความรู้สึกภายในจิตใจจะผ่อนคลายลงมากๆ

ฮั่วชิงชิงมองดูเขาอย่างละเอียด และในสายตาก็เต็มไปด้วยแสงแห่งความอบอุ่น

ในเวลานี้ โทรศัพท์ของเธอก็มีเสียงดังขึ้น เธอกลัวว่ามันจะรบกวนเขาจนทำให้เขาตื่น ดังนั้นก็เลยค่อยๆรีบออกจากอ้อมกอดของเขา จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ที่มีแสงขึ้นมาจากพื้นทางเดิน แล้วก็เดินไปด้านข้างเพื่อรับสายฮั่วเหมียวเหมี่ยว

ฮั่วเหมียวเหมี่ยวบอกว่าสุดสัปดาห์นี้เธอจะกลับบ้าน พอถึงตอนนั้นก็จะเอาสมุดทะเบียนบ้านส่งไปให้ฮั่วชิงชิงด้วย

ผ่านไปนานสักพัก ชายคนนั้นก็เริ่มเอ่ยปาก : “ ผมเคยเห็นแม่ของคุณ แล้วก็เจอผ่านพี่ฮั่ว ในตอนที่เห็นแวบแรก ผมก็รู้สึกว่าสวยจนน่าตกใจ ดังนั้นมันเลยทำให้รู้สึกประทับใจมาก ”

“ ในตอนนั้น แม่ของคุณและพี่ฮั่วเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองคนมีความคิดเห็นที่เหมือนกันไม่ใช่น้อย พวกเรารู้สึกว่าพวกเขาดูเหมาะสมกันมากๆ ”

“ จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนที่พี่ฮั่วมาทำงานที่หนิงเฉิง พวกน้องชายดื่มค่อนข้างหนัก ก็เลยถามพี่ฮั่วว่ามีใจให้แม่ของคุณใช่หรือเปล่า ”

“ ในตอนนั้น เขาพยักหน้าในทันที แล้วก็บอกว่าถ้าไม่มีใจจะหาโอกาสบ่อยๆมาที่หนิงเฉิงทำไมกัน ? แต่แม่ของคุณนั้นหัวแข็งมาก ตั้งแต่ที่เธอรู้ว่าพี่ฮั่วมีครอบครัวมีลูกแล้ว เธอก็บอกว่าหลังจากนี้ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก ดังนั้น พี่ฮั่วจึงทำได้แค่บอกว่า อันที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ที่เขาบอกใบ้กับเธอนั้นเป็นเพียงแค่คำพูดตอนเมา แล้วก็สัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่พูดถึงมันอีก หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้คืนความสัมพันธ์และติดต่อกันเป็นครั้งเป็นคราว ”

“ แต่ต่อมาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย พวกเราถามพี่ฮั่ว แต่เขาก็ไม่บอก ”

“ ต่อมาภายหลัง ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ฮั่วกับภรรยาของเจาก็ยิ่งอยู่ยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็แทบจะแยกกันอยู่อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว จากนั้น พวกเราต่างก็คิดว่าเขาสามารถจัดการเรื่องครอบครัวได้เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อเขากลับหาแม่ของคุณอีกครั้ง มันก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น !”

เมื่อหันจื่ออี้ได้ฟังถึงจุดนี้ เขาก็มองไปยังชายคนนั้น : “ ไอ้อุบัติเหตุที่คุณพูดถึง มันเกิดจากคนที่คุณเรียกว่าเพื่อนไง ! เขาส่งคนไปทำให้พ่อของผมตกหลุมพราง เพื่อที่อยากจะบังคับให้แม่ของผมนั้นจนตรอกและจำใจต้องตกเป็นคนรักของเขา แต่ในระหว่างที่โต้เถียงกันก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น แม่ของผมได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ในระหว่างที่นำตัวส่งโรงพยาบาลนั้น มันก็สายเกินไปแล้ว……”

ชายคนนั้นถอยหลังไปสองก้าว : “ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงกัน ? มิน่าหล่ะ ในตอนนั้นเขาเมาหนักไปตั้งสามวัน พอตื่นขึ้นมา ก็มาร้องไห้และพูดกับผมว่า ทั้งชีวิตนี้ของเขาไม่มีหน้าที่จะไปเจอกับแม่ของคุณแล้ว ก็เลยให้ผมนำช่อดอกกุหลาบมาวางไว้ในทุกๆปีของวันนี้ !”

หันจื่ออี้มองไปยังดอกกุหลาบที่วางไว้หน้าหลุมฝังศพ รู้สึกเพียงแค่ว่าสีดำของป้ายหลุมศพและสีแดงสดของดอกกุหลาบนั้น มันดูเหมือนจะแสบตายจนรู้สึกปวดตา

แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้เขารับไม่ได้มากที่สุดก็คือ คิดไม่ถึงเลยว่าแม่ของเขาจะเคยชอบฮั่วเฉิงเลี่ยงคนที่ทำให้เธอต้องตาย !

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอุบัติเหตุ แต่มันก็เป็นที่คร่าชีวิตแม่ไป ! ทำลายความหวังของแม่ทั้งหมด ! ตั้งแต่นั้นมามันทำให้โชคชะตาของเขาโค่นล้มลงมาอย่างถึงที่สุด !

หันจื่ออี้ไม่รู้ว่าตัวเองออกจากสุสานได้อย่างไร และเขาก็ได้ขับรถไปตามท้องถนนของ

หนิงเฉิงอย่างไร้จุดหมาย ในหัวสมองของเขายังคงปรากฏรูปถ่ายที่แม่ของเขาถ่ายคู่กับฮั่วเฉิงเลี่ยงอย่างไม่หยุดยั้ง !

เขาไม่สามารถที่จะรับได้ ในเวลานี้ ไม่รู้เลยว่าเขาควรที่จะไปเกลียดใครดี

จนกระทั่ง เขาขับรถด้วยความเร็วเข้าสู่บริเวณบาร์เหล้า เขาก็ค่อยๆจอดรถอย่างช้าๆ พอเจอบาร์เหล้าร้านหนึ่ง เขาก็ได้เดินเข้าไป

เป็นเวลาสองปีแล้วที่เขาไม่ดื่มเหล้าเลยเป็นเพราะว่าห่วงสุขภาพ

แต่ทว่าในเวลานี้เขาคิดเพียงแค่อยากจะดื่มให้เมามากๆ

ในตอนที่หันจื่ออี้เดินเข้าไป เวลานี้ยังค่อนข้างเช้า ลูกค้าในร้านก็เลยยังมีไม่มากนัก

เขานั่งบริเวณใกล้หน้าต่าง แล้วก็สั่งไวน์อะไรก็ได้มาสองสามขวด

ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ไวน์แดง แต่ทว่า เมื่อกลิ่นแอลกอฮอล์นั้นเตะจมูก มันก็ยังคงให้ความรู้สึกที่เมากริ่มเล็กน้อย อีกทั้งยังทำให้การตอบสนองของสมองคนนั้นเริ่มค่อยๆเลอะเลือน

อย่างไรก็ตาม เมื่อดื่มไวน์ลงท้องไปครึ่งขวด สมองก็เลอะเลือน จากนั้นภาพตรงหน้าค่อยๆมีภาพของรูปถ่ายใบนั้นปรากฏขึ้นมา

สภาพจิตใจของเขาก็เริ่มแปรปรวนขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นก็เลยดื่มต่อ……

และผู้ช่วยหวังก็ได้เริ่มตามหาหันจื่ออี้ตั้งแต่หกโมงเย็น แต่ก็ไม่หาเจอ พอโทรไปก็ไม่มีคนรับ เมื่อไปที่โรงแรม ฟรอนของโรงแรมก็บอกไม่เคยกลับมาเลย และโทรไปถามที่บริษัทก็ไม่อยู่อีก

ดังนั้น เขาก็เลยติดต่อเซียวหลินไป แต่เซียวหลินกลับบอกว่าหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จหันจื่ออี้ก็บอกว่าไม่ว่างมีธุระที่ต้องไปทำ

ในใจของผู้ช่วยหวังรู้สึกว่าคาดเดาไม่ได้เลย ดังนั้นก็เลยทำให้ลังเลใจครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เลยโทรไปหาฮั่วชิงชิงน่าจะดีกว่า

เมื่อฮั่วชิงชิงได้รับสายของผู้ช่วยหวัง ในใจก็รู้สึกหน่วงๆ

เป็นไปได้ไหมว่า หันจื่ออี้จะให้เขามาเร่งเรื่องสมุดทะเบียนบ้าน ?

รอไปประมาณหลายวินาทีกว่าเธอจะรับสาย : “ สวัสดีค่ะ——”

“ ผมเองครับ หวังเฉา ” ผู้ช่วยหวังก็พูดว่า : “ คุณฮั่วครับ ประธานหันอยู่กับคุณหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าอยู่ รบกวนบอกให้เขาช่วยรับโทรศัพท์ผมทีครับ ผมมีเรื่องงานจะคุยเขาครับ ”

ฮั่วชิงชิงก็รู้สึกตกใจ : “ ทำไมหรอคะ จื่ออี้หายไปหรอ ? เขาไม่เคยมาหาฉันเลย ฉันไม่รู้นะ !”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ชัดเจนของฮั่วชิงชิงว่าไม่ได้โกหก ผู้ช่วยหวังก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย : “ แล้ววันนี้เขาได้ติดต่อไปหาคุณบ้างไหมครับ ? ตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมก็หาเขาไม่เจอเลย !”

ฮั่วชิงชิงก็อดไม่ได้ที่จะกังวลใจขึ้นมา : “ เขาไม่เคยติดต่อฉันมานะคะ ? สถานที่ที่เขาชอบไปคุณเคยไปหาหรือยังคะ ?”

“ ไม่ว่าจะบริษัทโรงแรมผมไปหาหมดแล้วครับ ” ผู้ช่วยหวังพูด : “ แล้วคุณคิดว่าเขาอาจจะไปไหนอีกบ้างไหมครับ ?”

ฮั่วชิงชิงคิดไปคิดมา แล้วก็มองไปยังปฏิทิน และดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นวันพิเศษอะไรของคุณพ่อคุณแม่ของหันจื่ออี้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงลังเลอยู่สักแป๊บแล้วก็พูดว่า : “ แล้วที่สุสานของคุณพ่อคุณแม่ของเขาคุณเคยไปมาแล้วหรือยัง ?”

ผู้ช่วยหวังก็รู้สึกดีใจขึ้นมา : “ โอเคครับ ผมรู้แล้ว ผมจะไปหาเขาตอนนี้เลย !”

ของฮั่วชิงชิงที่รู้สึกกังวลใจก็ได้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดว่า : “ ฉันจะลองออกไปหาที่อื่นดูเผื่อโชคดี ยังไงพวกเราก็ต้องติดต่อกันตลอดนะคะ !”

“ ได้ครับ ” จนถึงตอนนี้ ผู้ช่วยหวังก็จำใจต้องละทิ้งความอคติไป

ฮั่วชิงชิงก็ออกมาและโบกรถตรงใต้ตึกพร้อมพูดกับคนขับว่า : “ ขับรถวนไปเรื่อยๆเลยค่ะ ”

เมื่อคนขับได้ยินว่าน้ำเสียงของฮั่วชิงชิงไม่ใช่สำเนียงท้องถิ่น ก็เลยคิดว่าเธอเป็นนักท่องเที่ยว ดังนั้นก็เลยพาเธอไปยังวนในสถานที่ที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในเมือง

เพียงแต่ว่าไปมาแล้วหลายที่แต่ก็ยังไม่เจอหันจื่ออี้

เมื่อคนขับเห็นว่าด้านหน้าของสองข้างทางเป็นบาร์เหล้า ดังนั้นก็เลยขับห่านไปและแนะนำให้ฮั่วชิงชิง : “ ค็อกเทลของทางนี้ค่อนข้างจะเป็นที่ขึ้นชื่อ ลูกชายผมก็ได้เปิดร้านอยู่ตรงนั้น เขาเป็นบาร์เทนเดอร์……”

ฮั่วชิงชิงคิด เห็นได้ชัดเลยว่านี่เขากำลังหาลูกค้าให้กับลูกชายของเขา ?

แต่ทว่า เมื่อเธอเผลอมองไปด้านนอก ก็กลับเห็นเงาของคนที่คุ้นเคย !

“ จอดค่ะ !” ฮั่วชิงชิงพูดด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

เธอก็จ่ายค่าโดยสารด้วยแล้วก็ลงจากรถด้วยความรีบร้อน แต่ในขณะที่เดินเข้าไปหาหันจื่ออี้ก็ได้ชะลอฝีเท้าในการเดินลง

เขากำลังพิงอยู่ตรงหน้าต่าง ในมือก็ถือขวดไวน์ที่แทบจะว่างเปล่าอยู่พร้อมกับดวงตาที่ตาสะลึมสะลือ แล้วก็ได้ยับยั้งอารมณ์ทั้งหมดที่มี แต่ถึงอย่างไรมันก็มีความหนักใจอย่างหนึ่งที่มันยากจะอธิบาย แผ่กระจายออกมาจากตัวของเขา

หัวใจของฮั่วชิงชิงก็บีบรัดแน่นขึ้น และรู้สึกเพียงแค่เริ่มหายใจลำบากขึ้นในชั่วขณะ

เธอไม่เคยที่จะเห็นว่าหันจื่ออี้จะมีอาการที่หนักใจแบบนี้ ? ราวกับว่ากำลังปล่อยให้ตัวเองนั้นตกต่ำและกำลังเกลียดตัวเองอยู่ !

เธอค่อยๆเดินไปตรงหน้าของเขา แต่เขากลับไม่มีท่าทีโต้ตอบเลย ดังนั้นก็เลยหยุดไปชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยปากพูดว่า : “ จื่ออี้ ?”

เขาก็ไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบ

ดังนั้นเธอก็ได้เพิ่มเสียงให้ดังขึ้นเล็กน้อยและเรียกชื่อของเขาอีกรอบ

เขาก็ขยับตัวเล็กน้อย แต่ทว่าจุดโฟกัสของสายตาไม่ได้อยู่บนตัวเธอเลย

ฮั่วชิงชิงมองไปยังขวดไวน์ ซึ่งที่นั่นได้มีขวดไวน์แดงวางอยู่สามขวด ถึงแม้จะมีเพียงแค่สิบเจ็ดองศา แต่มันก็ถือว่าปริมาณของผู้ชายปกติ และในบางทีก็อาจจะเมาไปนานแล้ว

และเขาก็ได้บริจาคไตข้างหนึ่งให้กับเธอ แล้วปกติเขาเลิกเหล้าไปแล้ว แต่ในตอนนี้กลับมาดื่มเยอะขนาดนี้ !

เธอไม่กล้าคิดต่อไปเลย ดังนั้น เธอก็เลยรีบเรียกหาพนักงานของบาร์เหล้าพร้อมกับพูดว่า : “ คุณผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนของฉันเอง ฉันจะเช็คบิลของเขาในตอนนี้ คุณช่วยดูเขาไว้สักแป๊บนะคะ ฉันเรียกรถพยาบาล !”

ในขณะที่พูด ฮั่วชิงชิงก็ได้โทรหา 120 จากนั้นก็ยืนรออยู่หน้าร้านบาร์เหล้าด้วยความวิตกกังวล

ในไม่ช้า รถพยาบาลก็มาถึง เธอรีบพาคุณหมอเข้าไป จากนั้น หันจื่ออี้ที่ยังพอมีสติเล็กน้อยก็ถูกพยุงขึ้นไปบนเปลหาม

บางที 120อาจจะเจอกับเคสที่มีอาการและสภาพหนักกว่านี้ก็เป็นได้ เพราะเขาบอกว่าหันจื่ออี้เพียงแค่ดื่มมากไปเท่านั้น พอไปถึงโรงพยาบาลก็ได้ทำการตรวจ เขาก็บอกไตไม่ได้มีอาการผิดปกติอะไร และร่างกายก็ไม่ได้มีภาวะแทรกซ้อนอะไร หลังจากที่ให้น้ำเกลือไป ก็แนะนำให้ฮั่วชิงชิงไปทำเรื่องให้เรื่องหันจื่ออี้ออกจากโรงพยาบาล

แต่ทว่าหันจื่ออี้ยังคงอยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยได้สติ ฮั่วชิงชิงก็เลยทำได้แค่ขอให้ผู้ช่วยพยาบาลมาช่วยประคองเขาขึ้นรถ จากนั้นก็เรียกรถและพาหันจื่ออี้กลับไปที่โรงแรมของเขา

เธอก็ได้แจ้งให้ผู้ช่วยหวังนั้นสบายใจ แล้วก็ประคองหันจื่ออี้ขึ้นไปนอนบนเตียง และช่วยเขาถอดรอบเท้าและเสื้อเสื้อนอก แล้วก็ห่มผ้าให้เขา

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว เธอถึงได้กล้ามองเขา

วันนั้น ถึงแม้ว่าจะใกล้มาก แต่เธอไม่สามารถที่จะทำตามอำเภอใจและคาดหวังในตัวเขาเหมือนกับวันนี้ได้อีก

ในเวลานี้ เธอนั่งอยู่ตรงขอบเตียง สายตาของเธอมองไปยังบนใบหน้าของเขา แล้วก็ไล่ไปตามดวงตาและคิ้วของเขา และมองจมูกที่สูงโด่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองไปที่ริมฝีปากบางๆ และคางกลมที่ชัดเจน

มือของเธออดไม่ได้ที่จะแตะเบาๆไปบนริมฝีปากของเขา

ในความรู้สึกที่อบอุ่นและยืดหยุ่นนั้น ฮั่วชิงชิงก็ดูคล้ายกับไฟช็อต ก็ได้รีบเก็บมือกลับมาในทันที

หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก และแก้มก็เต็มไปด้วยความร้อนผ่าว

โชคดีที่ว่าเขาหลับลึกมากได้อย่างสบายโดยที่ไม่รู้สัมผัสของเธอเลยแม้แต่นิด

ลมหายใจของเขาหนักและคงที่มาก ดูเหมือนว่าจะจมดิ่งไปกับนอนหลับ ความใจกล้าอย่างหนึ่งก็ได้ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของฮั่วชิงชิง เธออยากจะเห็นบาดแผลที่อยู่ตรงเอวด้านหลังของเขา !

เธอค่อยๆเปิดผ้าห่มออก เป็นเพราะหันจื่ออี้นอนราบอยู่ เธอก็เลยทำได้แค่ต้องออกแรงขยับให้เขาหันไปด้านข้างเพื่อที่จะได้เห็นบริเวณที่เป็นบาดแผล

ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเขาก็พลิกตัวและหันด้านหลังให้กับเธอ

ฮั่วชิงชิงพบว่าหัวใจของตัวเองก็ได้เต้นปะทะกับทรวงอกอีกครั้ง ความถี่ในการปะทะแต่ละครั้งมันทำให้ร่างกายและจิตใจของเธอเริ่มมีอาการชา

มือที่สั่นของเธอก็ได้เปิดเสื้อเชิ้ตของหันจื่ออี้ออก

มีรอยแผลเป็นประมาณหกถึงเจ็ดเซนติเมตรที่เด่นชัดเป็นพิเศษอยู่ด้านหลังเอวของเขา

ยิ่งไปกว่านั้น ฮั่วชิงชิงเห็นว่านอกจากรอยแผลเป็นบนร่างกายของเขาแล้ว ก็ยังมีบาดแผลบางส่วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอีกด้วย ซึ่งมันก็จางลงจนเกือบจะเป็นสีเดียวกับผิวหนัง และถ้าไม่ได้สังเกตดีๆก็แทบจะไม่เห็นเลย

จู่ๆเธอก็นึกขึ้นได้ว่า แต่ก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่งในตอนที่เขาปลอบเธอ เขาได้พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า อันที่จริงในช่วงวัยเด็กของเขานั้นมันไม่ดีมากๆแล้วก็มักได้รับบาดเจ็บ

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ แล้วถูกหลานเสี่ยวถางพากลับบ้านไปทำแผลด้วยความระมัดระวัง มันก็เลยทำให้เขาชอบผู้หญิงที่ใจดีคนนั้น และไม่สามารถที่จะตัดใจได้

ที่แท้ สิ่งที่เขาพูดเป็นเพียงแค่ประโยคคร่าวๆในอดีตเท่านั้น แต่กลับแบกเอาไว้ด้วยบาดแผลที่ยาวนาน

พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่เคยสนิทสนมกันมาก่อน แต่นอกจากคืนแต่งงานที่ได้เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาในครั้งนั้นที่เปิดไฟ นอกเหนือจากนั้นก็มืดตลอดเวลา

แต่ในคืนที่แต่งงาน เธออายเลยไม่ได้มองเขา หลังจากที่นอนด้วยกัน ซึ่งเธอก็ไม่เคยสังเกตร่างกายของเขาอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่รู้เลยจริงๆว่าประโยคเดียวที่เขาบอกว่าตอนเด็กไม่ดีเลยนั้น คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะไม่ดีขนาดนี้ !

มือที่สั่นของฮั่วชิงชิงก็ได้ลูบไปยังบาดแผลพวกนั้นของหันจื่ออี้ ราวกับหวังว่าการสัมผัสที่อ่อนโยนเช่นนี้ มันจะสามารถบรรเทาความเจ็บปวดบางส่วนของเขาลงได้

สุดท้าย เธอก็ได้ลูบรอยแผลบริเวณที่ผ่าตัดที่อยู่ตรงเอวด้านหลัง

ในตำแหน่งที่เดียวกัน ฮั่วชิงชิงรู้สึกเพียงแค่ว่าบาดแผลของตัวเองในเวลานี้ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดนั้นจะบางเบา

จากนั้นก็มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเธออย่างมาก เธอพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา : “ จื่ออี้ ขอโทษนะ สองปีแล้ว ที่ฉันใช้ชีวิตที่คุณให้มาอย่างสบายใจ แล้วก็ยังเกลียดคุณอีก ฉันขอโทษ……”

และในเวลานี้ ดูเหมือนว่าหันจื่ออี้จะรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย ก็เลยทำให้เขาขยับตัวเล็กน้อย จากนั้น จู่ๆเขาก็พลิกตัว และมืออีกข้างก็ได้ยกขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติแล้วก็กอดฮั่วชิงชิงเอาไว้ !

ต่อมา ด้านหนึ่งเขาใช้ประโยชน์จากเธอ เข้าใกล้ฮั่วเฉิงเลี่ยง อีกด้านหนึ่ง ก็รู้สึกว่าเธอเป็นคนจิตใจดีมากๆ ตอนคบกันก็ผ่อนคลายแล้วมีความสุข

เพราะฉะนั้น หลังจากหันจื่ออี้ออกโรงพยาบาล ก็ขอเธอเป็นแฟนเขา

มีบางเรื่อง ผ่านไปนานแล้ว กลับอยู่ในชั่วเวลาหนึ่ง เพราะรายละเอียดบางอย่างกลับชัดเจนขึ้น

ต่างพูดว่าตอนฮั่วชิงชิงป่วย เขาดูแลเธอเป็นอย่างดี

ที่จริงตอนนั้นที่เขานอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลยังขยับไม่ได้ เป็นเธอที่ทำให้เขารู้สึกถึงถูกคนเอาใจใส่ดูแลอย่างอ่อนโยนเป็นครั้งแรก

เหมือนความรักของแม่ที่หายไปกลับมาอีกครั้ง แต่มันไม่เป็นแบบนั้น

เพราะเขาแขนหัก มือข้างซ้ายคีบกับข้างตกตลอด ดังนั้นเธอจะใช้ช้อนป้อนข้าวให้เขา

ตอนที่เขายิ้มให้เธอ เธอจะหน้าแดงลามไปถึงหู

ยังมีอีก เสื้อผ้าเขา เธอไม่ได้เอากลับตระกูลฮั่ว แต่ซักให้เขาทีละตัวในห้องนอนที่โรงพยาบาล แล้วตากที่ระเบียงห้องคนไข้

ตอนนั้น พวกหมอและพยาบาลเห็นแล้ว ต่างหยอกล้อเขาว่า ภรรยาเขามีน้ำใจจริงๆ

เมื่อไรก็ตามที่ถึงเวลานั้น เธอก็วิ่งหายออกจากห้องคนไข้ไป ทิ้งเขานอนบนเตียง ยิ้มให้ทุกคน “ยังไม่ได้จดทะเบียนเลย”

แต่วันถัดไปเธอยังคงซักเสื้อผ้าที่เขาใช้แล้วเหมือนเดิม เพราะบอกว่าพยาบาลในโรงพยาบาลซักไม่สะอาด

เพียงแต่วันนั้นเขาไม่ระวัง เขาลืมเอากางเกงในออกจากในเสื้อผ้า

หลังจากนั้นเห็นตอนเธอออกมาจากห้องน้ำ หน้าแดงๆ เขาพูดกับเธอ เธอยังถลึงตาใส่เขา ทำให้เขาแปลกใจ

ตอนนั้น ในใจเขาจู่ ๆก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมา ก็คือไม่ว่ายังไง เขาจะไม่ทำร้ายเธอ ในอนาคตก็จะดูแลเธอไปตลอดชีวิตเหมือนกัน

เขาไม่รู้ นั้นใช่มีใจรึเปล่า ใช่รักไหม แต่เพราะรายละเอียดพวกนั้น รู้สึกเคยมีความสุขและอบอุ่นจริงๆ

นึกถึงอดีต หันจื่ออี้ก็เหม่อไป

เขาหยิบกล่องนม พูดกับฮั่วชิงชิง “คุณยังจำได้?”

เธอพยักหน้า เงยหน้ามองเขา “จำไว้ว่าอุ่นร้อนแล้วค่อยกิน”

เมื่อก่อน เธอคงไม่ย้ำ แต่เห็นเขาผอมลงมาก หัวใจเธอเจ็บจี๊ด

“อืม”หันจื่ออี้พยักหน้า

เธอเหมือนไม่มีท่าว่าจะอยู่ต่อ

แม้ว่า เธอคิดจะลองใจเขาหน่อย แต่วันนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดี

ฮั่วชิงชิงหยิบกระเป๋าตัวเอง “งั้นฉันไปนะ”

“อืม”หันจื่ออี้เดินตามเธอออกจากโรงแรม“ผมรอคุณขึ้นรถก่อน”

ทั้งสองคนโบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง หันจื่ออี้จำป้ายรถไว้ พูดกับฮั่วชิงชิง“ถึงแล้วบอกด้วย ชื่อวีแชตของผมเป็นตัวสะกดชื่อเต็มของตัวเอง เพิ่มเลข 09ต่อท้าย”

“อืม”ฮั่วชิงชิงพยักหน้า ขึ้นรถโบกมือให้หันจื่ออี้“ลาก่อน”

รถแท็กซี่สตาร์ทรถ ฮั่วชิงชิงอดไม่ได้ที่จะหันกลับไป มองทางที่หันจื่ออี้ยื่นอยู่

เขายังไม่ไป ยืนอยู่ที่เดิมมองรถของเธอจากไป

วินาทีนั้น เธอถึงขนาดมีแรงกระตุ้นหนึ่ง คิดอยากจะลงไปบอกเขา เธอยังรักเขา

เพียงแต่ เธอไม่มั่นใจว่าเขารักคนอื่นแล้วหรือเปล่า ถ้าหากเป็นแบบนั้นละก็ คำพูดของเธอจะทำเขากลัดกลุ้มรึเปล่า?

โดยเฉพาะ เขาที่รู้สึกผิดกับเธอก่อนหน้านี้ ยอมทิ้งความสุขที่เขาอยากได้ที่สุดไปรึเปล่า?

คืนนั้น ฮั่วชิงชิงนอนบนเตียง หลับตาลง ทั้งใจและความคิดเต็มไปด้วยการกอดหน้าลิฟต์นั้นของหันจื่ออี้

เธอหันไปมองรอบทิศทั่วห้อง เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปจาก2 ปีก่อน สภาพเหมือนตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน

หลังจากที่แยกกับเขา เธอเหมือนไม่เคยมาหนิงเฉิงเลย ยิ่งไม่ไปบ้านที่พวกเขาเคยอยู่

ตอนนี้นอนอยู่บนเตียงกว้าง จู่ ๆก็ฉากนั้นที่เขากอดเธอไว้ แล้วนอนด้วยกัน

เริ่มอึดอัดที่หัวใจ ฮั่วชิงชิงเลยลุกขึ้นนั่ง แล้วดูรูปไม่กี่ใบพวกนั้นในมือถือ

หนังสือยินยอมบริจาคไตมีหลายหน้า ตอนนั้นเธอไม่ทันอ่านให้ละเอียด ตอนนี้อ่านทีละแถว ถึงรู้ว่า ที่แท้มีความเสี่ยงมากมายแค่ไหน

แต่ตอนนั้นเขากลับเซ็นอย่างไม่ลังเลเลย

ฮั่วชิงชิงจับมือถือแน่น มองลายเซ็นของหันจื่ออี้ในนั้น พูดพึมพำ“จื่ออี้ ขอบคุณ”

ดึกมากกว่าเธอหลับไป วันรุ่งขึ้น ติดต่อให้ฮั่วเหมียวเหมี่ยวเอาทะเบียนบ้านส่งพัสดุด่วนมาตามที่อยู่คอนโดมิเนียมของเธอ

ในเกือบ 2 ปีหลังการแยกกัน ตอนแรกเพราะเธอเกลียดเขา เร่งเขาจัดการเรื่องหย่าหลายครั้งจริงๆ

แต่ถึงตอนหลัง หัวใจที่เกลียดของเธอค่อยๆจางไป จิตใต้สำนึกที่อาลัยอาวรณ์ผุดขึ้นมา ดังนั้นเธอเลยไม่ไปหา

หันจื่ออี้

บางที เธออาจหวังอยู่ หวังว่าพวกเขาจะไม่ต้องไปรับใบหย่านั้นตลอดไป ทุกอย่างเป็นเหมือนตอนนี้ แม้ว่าไม่เจอหน้าก็ถือว่ามีความสัมพันธ์กันอยู่

ดังนั้น ฮั่วเหมียวเหมี่ยวในสายถามว่าจัดส่งด่วนแบบไหน รีบใช้ไหม ฮั่วชิงชิงบอกว่า ไม่รีบ เธอว่างค่อยทำ

เธอรู้ว่าตัวเองกำลังเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะหลังจากรู้ว่าหันจื่ออี้ช่วยเธอ ยังไม่ยอมให้อิสระกับเขา

แต่เธอกลับห้ามตัวเองไม่ได้ ไม่ทำอย่างนี้ไม่ได้

และหันจื่ออี้ คืนนั้นก็นอนไม่ค่อยหลับ ดังนั้นวันรุ่งขึ้น เขาตื่นสายนิดหน่อย ตอนกลางวัน ทำงานบางส่วน ถึงตอนเย็นเซียวหลินโทรมา เขาบอกว่าตัวเองยุ่ง แต่กลับขับรถไปสุสานของแม่

เขาถือช่อดอกไม้หนึ่ง มาถึงก็วางอย่างเบามือหน้าหลุม แล้วก้มตัวไปถอนหญ้ารอบๆสุสาน เช็ดทำความสะอาดป้ายหลุมฝังศพ

ป้ายหลุมฝันศพสีดำ เพราะผ่านมาหลายปีแล้ว ตัวหนังสือสีทองข้างบนก็สึกหรอเล็กน้อย

หันจื่ออี้ยืนอยู่หน้าหลุม ค่อยๆเปิดปาก“แม่ ผมมาเยี่ยมแม่อีกแล้ว…”

“แม่ยังจำก่อนหน้านี้ที่ผมพูดกับแม่ว่า เพราะล้างแค้น ผมทำร้ายผู้หญิงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่คนหนึ่ง เธอยังเป็นภรรยาผมได้ไหม?”

หันจื่ออี้พูดถึงตรงนี้ ริมฝีปากค่อยๆยกขึ้น ท่าทีเหมือนปล่อยวาง“เมื่อวาน เธอบอกกับผมว่า เธอยกโทษให้ผมแล้ว”

สองปีมานี้ ความเกลียดตอนนั้นของฮั่วชิงชิง เหมือนเป็นพันธนาการหนึ่ง ขังหัวใจเขาไว้ ทำให้เขาหลับตาก็เห็นภาพเธอที่กระโดดลงจากตึกสูงด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง

แม้ว่าเขาจะช่วยเธอ แต่ฟ้ารู้ ว่าเขาหวังให้เธออภัยให้เขามากแค่ไหน

เขาไม่อยากใช้เรื่องที่เขาช่วยเธอมาแลกเปลี่ยน เพียงแค่หวังจากใจจริง เธอจะไม่เกลียดเขาเพราะเขาใช้ประโยชน์จากการแต่งงานกับเธอ

ถึงอย่างไร ส่วนลึกของเขาไม่อยากทำร้ายผู้หญิงที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่คนหนึ่ง ขวางความสุขทั้งชีวิตของเธอ

ตอนนี้มีลมพัดมาเบาๆ ต้นไม้รอบป้ายหลุมศพสั่นไหว เหมือนกำลังตอบกลับอย่างไร้เสียง

หันจื่ออี้มองที่ป้าย ตาเป็นประกาย“คุณแม่ แม่ดีใจไปกับผมใช่ไหม?ในที่สุดผมก็ไม่ต้องถูกมโนธรรมตราหน้าอีก”

ใบหน้าเขาค่อยๆสว่างขึ้น สุดท้ายคนทั้งคนเหมือนมีพลังชีวิตขึ้น

หันจื่ออี้โค้งคำนับหน้าป้ายหลุมศพของแม่ กำลังหมุนตัวจากไป ก็เห็นผู้ชายอายุประมาณ50ปี ถือไม้เท้าในมือถือดอกกุหลาบเดินเข้ามาทางนี้

ผู้ชายคนนั้น สุดท้ายมาถึงหน้าหลุมของแม่หันจื่ออี้

หันจื่ออี้นิ่ง มองผู้ชายคนนั้น

เขาจำไม่ได้ ว่าแม่ตัวเองมีเพื่อนหน้าตาแบบนี้

“พี่สะใภ้ ผมมาเยี่ยมพี่แล้ว” ชายหนุ่มพูดวางดอกกุหลาบลง แล้วลุกยืนอีกครั้ง โค้งคำนับป้ายหลุมศพ

หันจื่ออี้ได้ยินเขาเรียก“พี่สะใภ้” ในใจยิ่งสงสัย ด้วยเหตุนี้หันไปถาม“คุณ ขอเรียนถามคุณเป็น?”

ชายคนนั้นถึงหันมา มองทางหันจื่ออี้ แต่นัยน์ตากลับไร้แวว

หันจื่ออี้ตกใจ ปรากฏว่าเขาเป็นคนตาบอด

“มองออกใช่ไหม? ผมมองไม่เห็น” ชายคนนั้นอธิบาย“คุณคือลูกชายชิวหย่าเจี๋ยใช่ไหม?”

“ผมเอง”หันจื่ออี้พูด“แล้วคุณ…”

“ผมเป็นเพื่อนของเพื่อนเธอ”ชายคนนั้นพูด“หลายปีนี้ ผมจะมาเยี่ยมแม่ของคุณแทนเขา ในวันที่พวกเขารู้จักกัน”

หัวใจหันจื่ออี้เต้นเร็วขึ้น“หมายความว่าไง?”

ชายคนนั้นอธิบาย “เพื่อนผมชื่อฮั่วเฉิงเลี่ยง เขารู้จักกับแม่คุณ แต่ฟังจากเขามา เขาเคยทำเรื่องที่ไม่มีหน้ามาพบแม่คุณ ดังนั้นวานผมให้มาเยี่ยมสุสานเธอทุกปี อย่างที่คุณเห็น ผมมองไม่เห็น แต่ที่นี่ผมมาหลายสิบครั้งแล้ว ไม่ต้องให้คนพามาตั้งนานแล้ว”

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฮั่วเฉิงเลี่ยง?!

มือของหันจื่ออี้ กำเป็นหมัดแน่น หน้าอกเขากระเพื่อม “เขาทำให้แม่ผมตาย”

ชายคนนั้นอึ้ง แล้วส่ายหน้า “เป็นไปได้ไง?เขาชอบแม่คุณขนาดนั้น และแม่คุณก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเขา”

“แม่ผมจะชอบเขาได้ยังไง?!” หากไม่ใช่ว่าผู้ชายตรงหน้าแก่กว่า และตายังมองไม่เห็น หันจื่ออี้ได้ยินคำพูดให้ร้ายแม่ตัวเอง เขาต้องต่อยมันแน่ ๆ

“พ่อหนุ่ม อย่าตื่นเต้น”ชายคนนั้นรีบพูด“ผมบอกว่าแม่คุณชอบเขา ไม่ได้หมายถึง ระหว่างแม่คุณกับเพื่อนผม มีอะไรกันจริงๆ พวกเขาแค่เป็นเพื่อนกันอย่างบริสุทธิ์ใจ”

พูดอยู่ เขาลูบไปที่กระเป๋าตัวเอง หยิบกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งออกมายื่นให้หันจื่ออี้“ในนี้ ยังมีรูปถ่ายใบหนึ่ง ที่แม่คุณถ่ายคู่กับเพื่อนผม คุณดูก็จะเข้าใจ”

หันจื่ออี้รับไป เปิดกระเป๋าสตางค์และเห็นรูปถ่ายสีสันคู่ใบหนึ่งที่เริ่มเหลืองแล้ว

ตอนนั้นเหมือนเพิ่งเริ่มมีรูปสีไม่นาน สีดูเกินจริงไปหน่อย แต่แม้เป็นอย่างนั้น ก็ดูออกว่าทั้งสองคนในรูปอารมณ์ดีมาก

พวกเขายืนด้วยกัน แม้ตรงกลางจะมีระยะประมาณ20เซนติเมตร แต่กลับทำให้คนรู้สึกชัดเจน ทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สนิทสนมกลมเกลียวกัน

หันจื่ออี้รู้สึกเหมือนมีอะไรทุ่มมาแรงๆ ทุบบนหัวใจของเขา

เขารู้น้อยมากที่แม่จะยิ้ม แม่ในความทรงจำ เหมือนมีแต่แอบร้องไห้

แต่ลักษณะในรูปถ่าย ไม่ใช่ลักษณะแม่ในสายตาเขา

เธออ่อนเยาว์ กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา และรอยยิ้ม เหมือนมุ่งมั่นอะไรอยู่

เพราะฉะนั้น แม้หัวใจจะไม่อยากเชื่อ หันจื่ออี้ไม่ยอมรับไม่ได้ แม่ตัวเองเคยมีใจให้ผู้ชายคนนั้น

หน้าสุสาน เหลือแต่ความเงียบ

ที่ผ่านมา เธอฟื้นจากอาการโคม่า เห็นบรรยากาศรอบๆเปลี่ยนไปหมด และข้างตัวฟู่สีเกอมีแฟนสาวอยู่ เธอเลือกจะไม่รบกวน

เพราะเธอเป็นอดีตของเขาไปแล้ว แม้ว่าสำหรับเธอ ผลของมันจะมาอย่างกะทันหัน

และตอนนี้ หันจื่ออี้ก็เหมือนมีคนที่ชอบแล้ว เธอกลายเป็นส่วนเกินอีกครั้ง

ตามหลัก เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรรบกวนเขา

แต่บนความรัก เธออาลัยอาวรณ์เหมือนทำไม่ได้

ที่แท้ในระหว่างพวกเขาคบกันไม่ถึง 1 ปี คิดไม่ถึงว่าจะทิ้งร่องรอยลึกขนาดนี้ในชีวิตของเธอ

ฮั่วชิงชิงพิงอยู่ในอ้อมกอดของหันจื่ออี้ อาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป

หันจื่ออี้รู้สึกหดหู่ไม่ต่างกัน

พวกเขาเคยเป็นสามีภรรยาที่รักกัน ผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยสัมผัสก็มีแค่เธอ

เขาเคยวาดฝันว่าจะอยู่กับเธอไปชั่วชีวิต มีลูกสาวที่น่ารัก 2 คน มอบความอบอุ่นให้กันและกัน ฟันฝ่าอุปสรรคในชีวิต

เพียงแต่โชคชะตามักเล่นตลก สองปีมานี้ เขาเหมือนค่อยๆเริ่มเปิดใจ

ชีวิตสั้นๆไม่กี่สิบปี ไม่ใช่ของตัวเอง ไม่ต้องดึงดัน อยู่กับปัจจุบันก็พอแล้ว

เขาลูบหลังฮั่วชิงชิงเบาๆ น้ำเสียงมีความผ่อนคลายและเย้าแหย่ “มุดหน้าอกผมอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าถูกรังแกจากข้างนอก แล้วมาร้องไห้ที่ผมนะ”

ฮั่วชิงชิงใจสั่น

เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนเธอยังไม่ได้หลงรักเขา มีหลายครั้งที่พิงหน้าอกเขาร้องไห้หลายครั้งจริงๆ เขาลูบปลอบเธอเบาๆ

เพียงแต่ต่อมา ไม่รู้ตอนไหน เธอเอาหัวใจตัวเองไปอยู่ที่เขา

ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว เขาให้ไตข้างหนึ่งกับเธอ ดังนั้นสองปีนี้ของเธอ ตอนดึกเหมือนฝันถึงเขาวนไปวนมา

ทุกอย่างถึงอยู่ในความไม่รู้ตัว กลายเป็นยากที่จะตัดขาดแบบนี้

ดังนั้นตอนได้ยินหันจื่ออี้พูดคำนั้น ฮั่วชิงชิงควบคุมหัวใจที่ทรมานไม่ได้ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่บอกกล่าว

เธอดูแลHuo Groupมา1ปีกว่า ในตลาดธุรกิจเจอเรื่องทำใจลำบากและไม่ยุติธรรมมากมาย เธอเหมือนไม่ได้ร้องไห้ออกมาสักหยด

ถึงขนาดในสายตาคนมากมาย โดยเฉพาะในสายตาของคู่แข่ง ต่างพูดว่าภายนอกเธอดูเป็นคนอ่อนแอ ภายในเป็น

ผู้หญิงแกร่ง

แต่ตอนนี้ หันจื่ออี้แค่พูดประโยคง่ายๆ ก็ทำให้เธอห้ามน้ำตาจากความเศร้าไม่อยู่

หันจื่ออี้เห็นไหล่ฮั่วชิงชิงกำลังสั่น อดไม่ได้ที่จะผลักเธอออกมาเล็กน้อย ภายใต้แสงไฟ บนแก้มของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาจริงๆ

เธอเหมือนเกรงใจ เขาก็แค่มองเธอครู่เดียว เธอก็มุดหน้าในอ้อมกอดเขาทันที ทำเสื้อเขาชื้นต่อ

หันจื่ออี้ถาม“อยู่ข้างนอกโดนคนรังแกเหรอ?”เห็นไหล่เธอสั่นนิดๆ ท่าทางอดทนไม่ออกเสียง หัวใจเขาเกิดความเวทนาอีกครั้ง

ฮั่วชิงชิงส่ายหน้า

“งั้นทำไมถึงร้องไห้?”เขาคิดไม่ออกจริงๆ อดไม่ได้จะลูบหลังฮั่วชิงชิงเบาๆ แล้วพูดอย่างจนใจ “อยู่Huo Group พวกเขาเรียกคุณประธานฮั่วแล้ว ทำไมยังเป็นยัยขี้แยอีก?”

ยัยขี้แย

เขายังจำได้เหรอ?

ฮั่วชิงชิงกอดหลังหันจื่ออี้แน่น น้ำตาไหลพราก

เธอเคยมีโอกาสเป็นยัยขี้แยตลอดชีวิตของเขา แต่ว่า…

แต่แม้ว่าตอนนี้จะเสียใจแค่ไหน ย้อนคิดกลับไป เธอก็เข้าใจ เธอในตอนนั้นแม้ว่าจะให้เลือกอีกครั้ง ยังเป็นเงื่อนตายที่แก้ไม่ได้เหมือนเดิม

หันจื่ออี้เห็นฮั่วชิงชิงเศร้า เขาใช้ความคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดเหมือนปรึกษา“ชิงชิงหยุดร้องไห้ได้แล้ว ร้องไห้ไปเดี๋ยวจะ

ตาบวม เรากลับห้องดีกว่าไหม คุณเล่าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าหากผมช่วยคุณได้ จะช่วยคุณอย่างเต็มที่ ที่นี่อีกเดี๋ยวอาจจะมีคนเดินผ่าน คุณอยากให้คนอื่นเห็นเหรอ?”

ในที่สุดฮั่วชิงชิงก็พยักหน้า

ด้วยเหตุนี้ หันจื่ออี้เลยพาเธอกลับห้อง

ฮั่วชิงชิงนั่งบนโซฟา เพราะร้องไห้อยู่นาน ยังสะอึกสะอื้นอยู่นิดๆ

หันจื่ออี้นั่งอยู่ข้างเธอ ยื่นกระดาษให้เธอ

ฮั่วชิงชิงรับมา เช็ดๆหน้าแล้วกัดริมฝีปากไม่ยอมพูด

ในห้องค่อนข้างเงียบ หันจื่ออี้ดูเวลา เหมือนจะไม่ทันเวลาที่นัดกับเซียวหลินแล้ว

เขาคิดครู่หนึ่ง พูดกับฮั่วชิงชิง “ผมไปห้องผู้ช่วยหวังแป๊บหนึ่ง ชิงชิงคุณอยู่ตรงนี้รอผม”

พูดอยู่เขาลุกขึ้นไปห้องข้างๆ กำลังจะเคาะประตู ผู้ช่วยหวังก็เปิดประตูมาแล้ว

เห็นเขา ผู้ช่วยหวังพูด“ประธานหัน จะออกเดินทางแล้ว?”

“ทางชิงชิงมีเรื่อง คุณยกเลิกร้านอาหารเถอะ”หันจื่ออี้พูด“เดี๋ยวผมโทรไปอธิบายกับเซียวหลินก่อน”

“ประธานหัน”ผู้ช่วยหวังไม่บ่อยที่จะยุ่งเรื่องหันจื่ออี้ แต่ตอนนี้อดพูดไม่ได้“ประธานหัน คุณกับคุณฮั่วทำดีที่สุดแล้ว ตอนนี้ไม่ง่ายที่จะเจอแฟนสาวที่รู้สึกเข้ากันได้ ไม่ควรทำแบบนี้…”

หันจื่ออี้ยิ้ม “ดูคุณร้อนรนกว่าผมอีก ผมก็แค่เห็นชิงชิงอาการไม่ค่อยดี ดังนั้น…”

พูดอยู่ เขาเดินเข้าห้องผู้ช่วยหวัง กดโทรหาเซียวหลิน

“พี่จื่ออี้”เสียงเซียวหลินแฝงความดีใจนิดๆ

หันจื่ออี้พูดด้วยความเสียใจ “เซียวหลินขอโทษ ทางผมมีเรื่องนิดหน่อย คงไปหาคุณไม่ได้แล้ว”

ผู้ช่วยหวังที่อยู่ข้างๆได้ยิน ถอนหายใจเศร้าๆ ต่อว่าฮั่วชิงชิงในใจ

“อ้อ แบบนี้เอง…”เซียวหลินยิ้ม “ไม่เป็นไร งั้นฉันออกไปเดินเล่นเองก็ได้ พี่ไปทำงานเถอะ”

“อืม ขอโทษจริงๆ”หันจื่ออี้พูดต่อ

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”เซียวหลินวางสาย

“ประธานหัน ดังนั้นคืนนี้คุณจะกินมื้อเย็นด้วยกันกับคุณฮั่วเหรอ?”ผู้ช่วยหวังพูดแค้นๆ

หันจื่ออี้พูด“ต่อจากนี้ผมกับชิงชิงก็แค่เพื่อนกัน มื้อเย็นไม่ต้องพิเศษ อีกเดี๋ยวกินใต้ตึกโรงแรมนิดหน่อยก็พอ”

“ประธานหัน ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องของผม แต่ผมอยากถามคุณคำหนึ่ง คุณยังมีรู้สึกต่อคุณฮั่วใช่ไหม?”ผู้ช่วยหวังพูดอย่างใคร่ครวญ

“ผม”รูม่านตาหันจื่ออี้หดลงช้าๆ เขานึกถึงความรู้สึกที่กอดเธอเมื่อครู่ ไม่ได้พูดอะไร

ผู้ช่วยหวังจู่ ๆรู้สึก ตัวเองเป็นผู้ช่วยคนหนึ่งแท้ๆ ตอนนี้กลับเหมือนเป็นสาวใช้ที่เป็นกังวลคนหนึ่ง

เขาถอนหายใจ ส่ายหน้า“ประธานหัน งั้นผมไปจองที่นั่งให้คุณ”

ถ้าหาก เจ้านายเขารักภรรยาคนก่อนจริงๆ เขาร้อนรนแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์

“อืม”หันจื่ออี้พยักหน้า กลับไปถึงห้องตัวเอง

ตอนนี้ ฮั่วชิงชิงปรับอารมณ์ได้แล้ว เธอเคยคิด เธอควรพยายามเพื่ออนาคตของตัวเองสักครั้ง

ถ้าหาก หันจื่ออี้ไม่รักเธอจริงๆ ถ้างั้นแม้ว่าจะอาลัยอาวรณ์ ก็ต้องให้อิสระเขา

แต่ถ้าหากเขารู้สึกดีๆกับเธอแม้เพียงนิดเดียว งั้นเธอจะพยายามสักตั้ง

เพราะเขาให้ชีวิตกับเธออีกครั้ง เธอควรใช้ชีวิตที่เหลือ มาอยู่เคียงข้างเขา ดูแลเขา ตอบแทนเขา

เพราะบนโลกนี้ ไม่มีอะไรทำให้ตัวเองสบายใจ ได้เท่ากับการลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว

เขาไม่ให้ผู้ช่วยบอกคนอื่นว่าสภาพร่างกายเขาเป็นไง บางที ผู้หญิงคนนั้นที่เขาโทรหาเมื่อครู่ก็ไม่รู้ ถ้าเกิดอนาคตเขาไม่สบายตรงไหน คนใกล้ตัวไม่รู้สภาพร่างกายเขาจะทำยังไง?

ตอนที่ฮั่วชิงชิงพะวง หันจื่ออี้กลับมาแล้ว พูดกับเธอ“ชิงชิง ผมว่างแล้ว คุณบอกผมมาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

ฮั่วชิงชิงตกใจ “เมื่อกี้คุณไปเลื่อนนัด?”

หันจื่ออี้พยักหน้า “ไม่เป็นไร เธอเป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลคนหนึ่ง รอเจอกันครั้งหน้า ผมค่อยอธิบายกับเธอก็พอ”

เดิมที่ดีใจ ตอนได้ยินหันจื่ออี้พูดถึงผู้หญิงคนอื่น ครู่เดียวก็ตกลงไปในเหวลึก

แค่รอยยิ้มฮั่วชิงชิงยังเค้นออกมายาก เพียงแค่เงยหน้าพูดกับหันจื่ออี้“ฉันไม่เป็นไร เมื่อกี้ฉันเสียมารยาทไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรจริงๆใช่ไหม?”หันจื่ออี้คิดแล้วคิดอีก ถามว่า“ครั้งนี้คุณมาเมืองหนิงเฉิงเพราะ…”

“มาเซ็นสัญญาฉบับหนึ่ง ถือโอกาสดูงานบริษัทที่ร่วมงาน”ฮั่วชิงชิงพูด

“บริษัทยังราบรื่นดีนะ?”หันจื่ออี้ถาม

“อืม มีติดขัดบ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าใช้ได้”ฮั่วชิงชิงพูด“ตอนนี้ เวลาส่วนใหญ่คุณอยู่ที่อังกฤษใช่ไหม?งั้นอนาคตคุณวางแผนจะปักหลักที่ไหนเหรอ?”

หันจื่ออี้พูด“เกินครึ่งอยู่ที่อังกฤษ ผมไม่รับผิดชอบบริษัทซอฟต์แวร์ในประเทศแล้ว ตอนนี้ผมกลับมาแค่ในวันพิเศษๆเท่านั้น”

วันพิเศษที่เขาพูดคือ วันครบรอบวันตายของพ่อแม่

ฮั่วชิงชิงเข้าใจเหมือนกัน ชั่วครู่ทั้งสองคนต่างเงียบไปเล็กน้อย

“จริงด้วย เหมียวเหมี่ยวเป็นยังไงบ้าง?”หันจื่ออี้เปลี่ยนเรื่อง“อีกปีกว่าก็จะจบแล้วมั้ง?”

ฮั่วชิงชิงพยักหน้า“ตอนนี้เธอสบายดี มีแฟนแล้วด้วย หลังจบคงจะกลับHuo Group”

“ใช้ได้”หันจื่ออี้อุทาน“ตอนนั้นยังเพิ่งเริ่มเป็นสาว ตอนนี้มีแฟนแล้ว”

เขานึกถึงคำถามเมื่อกี้ของผู้ช่วยหวัง อดไม่ได้ที่จะถาม“จริงด้วย ชิงชิง 2 ปีนี้ไม่เจอคนที่ชอบเลยเหรอ?”

คนที่เธอชอบ คือเขามาโดยตลอด…ฮั่วชิงชิงส่ายหน้า“ไม่มี”

พลันบรรยากาศกลับไปเงียบอีกครั้ง

หันจื่ออี้ดูเวลา “เราลงไปกินข้าวข้างล่างเถอะ”

ฮั่วชิงชิงพยักหน้า เดินตามหันจื่ออี้ไป

พวกเขานั่งลงในห้องอาหาร หันจื่ออี้ยื่นเมนูให้ฮั่วชิงชิง“ดูก่อนว่าอยากกินอะไร?”

ฮั่วชิงชิงดันเมนูกลับไป“ฉันอะไรก็ได้”

“งั้นผมสั่งอะไรที่จืดๆหน่อยแล้วกัน”หันจื่ออี้รู้ว่าฮั่วชิงชิงชอบจืดๆ และตอนนี้เขาก็พยายามเปลี่ยนนิสัยอาหารการกิน

ฮั่วชิงชิงดูที่เขาสั่ง เหมือนเป็นของโปรดเธอทั้งนั้น

เธอมองเขาภายใต้แสงไฟคริสทัล หัวใจว้าวุ่นอีกครั้ง

ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน พูดคุยกันเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายปี เพียงแต่ วันเวลาพวกนั้นถูกฝังอย่างจงใจ ต่างเลือกจะปิดปากไม่พูด

หลังจบมื้ออาหาร ฮั่วชิงชิงเรียกหันจื่ออี้ให้รอเดี๋ยว แล้วเธอเดินไปที่ตลาดหน้าประตูซื้อนมมา 1 กล่อง ยื่นให้หันจื่ออี้ “ฉันเห็นนมในโรงแรมคุณหมดแล้ว”

หันจื่ออี้นิ่งอึ้งไป

เขามีนิสัยอย่างหนึ่ง ก็คือก่อนหน้าต้องดื่มนมผสมน้ำผึ้ง 1 แก้วมาโดยตลอด

วันนี้ เดิมคิดจะให้ผู้ช่วยหวังช่วยเขาซื้อ ปรากฏว่าเพราะฮั่วชิงชิงมา ดังนั้นเลยลืมเรื่องนี้ไป กลับคิดไม่ถึงว่าเธอกลับสังเกตเห็น

จู่ ๆเขาคิดได้ เดตครั้งหนึ่งเขาและเธอไปบ่อน้ำร้อนด้วยกัน เธอถูกอันธพาลกลุ่มหนึ่งตามรังควาน เขาโมโหมาก รีบเข้าไปตีกับพวกนั้น

แม้ว่าเขาจะต่อยตีเก่ง แต่สองหมัดสู้สี่มือไม่ได้ ถูกตีจนบาดเจ็บ นอนพักที่โรงพยาบาลหลายวัน

เวลานั้น เธออยู่โรงพยาบาลดูแลเขาไม่ห่าง

และก็เป็นตอนนั้น จู่ ๆเขาคิด อันที่จริง เขาควรเรียนรู้ที่จะปล่อยวางหลานเสี่ยวถาง แล้วมองทิวทัศน์รอบๆได้แล้ว

หัวใจของฮั่วชิงชิงทรุดลง: “คุณกำลังจะแต่งงานเหรอ?”

เพราะงั้น เขาเลยกลับมา เพื่อรีบทำเรื่องดำเนินการกับเธอ?

หันจื่ออี้ยิ้ม: “เกือบจะ30แล้ว เพื่อนในวัยของผมมีลูกกันหมดแล้ว! แต่ผมไม่ชอบชาวต่างชาติ ดังนั้นตอนที่ผมเดินทางไปทำธุรกิจที่ยูนนาน เพื่อนของผมเลยแนะนำให้รู้จักกับผู้หญิงในประเทศ ”

ขณะที่เขาพูด เขามองเธอ: “แล้วคุณล่ะ? มีความรักครั้งใหม่หรือยัง?”

ฮั่วชิงชิงค่อยๆซ่อนมือไว้ข้างหลัง เธอบีบโซฟาอย่างเงียบๆ บังคับตัวเองไม่ให้แสดงอาการออก

“ฉันไม่มี ฉันไม่มีเวลา!” ฮั่วชิงชิงรู้สึกอึดอัดมาก

“งานก็คืองาน อย่าให้มันมาถ่วงชีวิต” หันจื่ออี้พูดกับเธอ: “อันที่จริงคุณควรหาใครสักคนที่จะอยู่เคียงข้างคุณ”

เมื่อเธอได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของเธอก็บวมขึ้น ฮั่วชิงชิงแทบจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเธอได้

เธอลุกขึ้น: “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

พูดจบ เธอก็เดินไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่เธอปิดประตู น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาอีกครั้ง

ครั้งหนึ่ง เขาเคยพูดมากกว่าหนึ่งครั้งว่าเขาจะดูแลเธอตลอดไป อย่างไรก็ตาม เธอเฉยเมย ไล่เขาออกไป และตัดความสัมพันธ์ด้วยคำพูดที่โหดร้าย

ในขณะนี้ มีคนอื่นอยู่เคียงข้างตัวเขา และเขายังแนะนำให้เธอหาใครสักคน!

ฮั่วชิงชิงกัดฟัน ไม่ส่งเสียงออกมา

เธอพยายามควบคุมอารมณ์ กลั้นน้ำตาที่ไหลไม่หยุด

เธอไม่ใช่เด็กขี้แยของเขาอีกต่อไป แม้ว่าจะมีส่วนหนึ่งของเขาอยู่ในร่างกายของเธอก็ตาม!

หลังจากนั้นไม่นาน ฮั่วชิงชิงก็ควบคุมอารมณ์ของเธอได้ในที่สุด เธอมองเข้าไปในกระจกและตรวจดูให้แน่ใจว่าตาของเธอไม่แดงแล้ว จากนั้นเปิดประตูและเดินออกไป

หันจื่ออี้เห็นเธอเข้าไปนาน อดไม่ได้ที่จะถาม: “ชิงชิง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”

เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูเหมือนเขาห่วงใยเธอ หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้นอีกครั้ง : “เปล่า เหมือนจะกินของไม่ดี ทำให้ท้องเสียนิดหน่อย”

“ร่างกายของคุณอ่อนแอ ต้องกินอาหารอุ่นๆนะ” หันจื่ออี้พูดอย่างเป็นกันเอง

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หัวใจเต้นแรง เต้นแรงจนควบคุมไม่ได้ ริมฝีปากของฮั่วชิงชิงสั่น: “คุณ–”

เขามองเธออย่างอ่อนโยน รอให้เธอพูดต่ออย่างอดทน

“ช่วงสองปีที่ผ่านมา สุขภาพของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?” ฮั่วชิงชิงรู้สึกประหม่าเหมือนนักเรียนที่กำลังจะนำเสนอหน้าชั้นเรียน: “ฉันเห็นคุณดูผอมลง ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

การแสดงออกของหันจื่ออี้ตกตะลึงครู่หนึ่ง และจากนั้นเขาก็ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ: “เปล่า ช่วงนี้ยุ่งๆ”

ถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่พูด ยังหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญ!

มือของฮั่วชิงชิงกำแน่น กำลังจะบอกหันจื่ออี้ แต่ทันใดนั้นเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น

“รอสักครู่” หันจื่ออี้ลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตู

เป็นผู้ช่วยหวัง เขามองเข้าไปข้างในและเห็นฮั่วชิงชิงอย่างที่คาดไว้

เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านั้น และกังวลเกี่ยวกับความรักครั้งเก่าที่หันจื่ออี้มีต่อฮั่วชิงชิง เขามาที่นี่ เพียงเพื่อตั้งใจที่จะทำลายมัน!

ฮั่วชิงชิงนั้นเป็นเหมือนหายนะ ทำให้เจ้านายของเขาเป็นแบบนี้ เขาจะปล่อยให้ฮั่วชิงชิงมีโอกาสทำเช่นนั้นอีกได้อย่างไร?!

เขายื่นเอกสารในมือให้หันจื่ออี้ หลังจากนั้นพูดธุระอื่น เขากล่าวว่า: “ประธานหัน คืนนี้คุณจะไปออกเดทกับคุณเซียวไหม? ต้องการให้ผมจองที่นั่งล่วงหน้าหรือไม่? ได้ยินมาว่าภาพยนตร์ของ ลุก แบซง ‘วาเลเรียน พลิกจักรวาล’ รอบฉายวันนี้อาจจะแน่น”

“อืม โอเค จองเลย!” หันจื่ออี้กล่าว: “จองร้านอาหารใกล้ๆโรงภาพยนต์ด้วย”

“รับทราบ ผมจะจองเดี๋ยวนี้!” ผู้ช่วยหวังตอบอย่างมีความสุข

ฮั่วชิงชิงได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวตลก

เขามีแฟนแล้ว วันนี้เธอรีบมา เพื่อรื้อฟื้นอะไร?

แต่ถ้าเธอจากไปแบบนี้ เธอทนไม่ได้จริงๆ

เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดและเงยหน้าขึ้นมองหันจื่ออี้: “จื่ออี้ คุณชอบแฟนของคุณไหม?”

อันที่จริง ในช่วงเกือบสองปีของการจากกัน แม้ว่าเธอจะไม่ตั้งใจที่จะคิดถึงเขา แต่เธอก็มักจะคิดถึงเขาด้วยความงุนงง ตอนที่เขากระโดดลงจากตึกเพื่อช่วยเธอ เขาบอกว่า ‘ผมรักคุณ’ มาจากใจจริงหรือเปล่า?

เขาเคยรักเธอจริงๆไหม?

เธอรู้ว่าเขาแต่งงานกับเธอ เพราะเขาต้องการเข้าใกล้เธอและหาทางแก้แค้นพ่อของเธอ

แต่หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกัน พวกเขาก็มีช่วงเวลาที่อบอุ่นเช่นกัน

นอกจากเขาจะไม่แตะต้องเธอแล้ว เขายังดูแลเธออย่างดี เขาพาเธอไปที่สวนสาธารณะ ถ่ายรูปให้เธอ และจูงมือเธอไปดูหนังด้วยกัน

พวกเขาเคยมีช่วงเวลาโรแมนติกด้วยกันมากมาย เธอได้เข้าไปในใจของเขาจริงๆไหม?

เขาบริจาคไตให้กับเธอ เพราะเขาชอบเธอหรือเพราะเขาต้องการชดเชยหลังจากใช้ประโยชน์จากการแต่งงานของเธอ?

เธออยากรู้จริงๆ ต่อให้กลัวที่จะได้ยินคำตอบที่น่าผิดหวัง แต่เธอก็อยากรู้!

“ก็โอเค เธอเป็นคนดี” หันจื่ออี้ยิ้มและกล่าวว่า: “คนเราอยู่คนเดียวตลอดไปไม่ได้ ดังนั้น…”

คำตอบของเขาคือ เขาชอบผู้หญิงคนนั้น?

หัวใจของฮั่วชิงชิงตื่นตระหนก

ทำไมเธอถึงรู้ความจริงช้าขนาดนี้? ถ้าหาก หันจื่ออี้ยังไม่รู้สึกกับคนอื่น เธอยังสามารถรื้อฟื้นมันได้ แต่ตอนนี้…

เธอยิ้มให้เขา: “ถ้างั้นฉัน—”

“ชิงชิง คุณนำทะเบียนบ้านมาด้วยหรือเปล่า?” หันจื่ออี้ถาม

“ไม่” ฮั่วชิงชิงตอบตามความจริง โดยทั่วไปแล้วมีเพียงบัตรประชาชนเท่านั้นที่พกติดตัว ใครจะพกสมุดทะเบียนบ้าน?

“ไม่เป็นไร ไว้คุณสะดวก” หันจื่ออี้พูดอีกครั้ง

“รออีกสองวัน รอให้เหมียวเหมี่ยวกลับบ้าน ฉันจะให้เธอส่งมาให้” ฮั่วชิงชิงกล่าว

“โอเค” หันจื่ออี้พยักหน้า

“งั้นฉันไปก่อนนะ” แม้ว่าฮั่วชิงชิงจะพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ขยับ

ในใจลึกๆเธออยากให้เขารั้งเธอไว้

อย่างไรก็ตาม หันจื่ออี้ลุกขึ้นยืน: “เดี๋ยวผมไปส่ง”

เธอต้องยืนขึ้นพร้อมเขาและเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ

“ผมจะส่งคุณไปที่ลิฟต์” หันจื่ออี้กล่าว

ฮั่วชิงชิงกระสับกระส่าย เธอจึงไม่สังเกตเห็นความไม่สม่ำเสมอของพรมที่ประตู ดังนั้นเธอจึงสะดุด และล้มไปข้างหน้า

หันจื่ออี้ได้ยินการเคลื่อนไหว จึงหันกลับมา

ฮั่วชิงชิงล้มลงในอ้อมแขนของเขา เขาเอื้อมมือออกไปคว้าตัวเธอ มองลงมาที่เธอ: “เป็นอะไรไหม?”

ฮั่วชิงชิงเงยหน้าขึ้น มองปลายจมูกของเขา มีลมหายใจที่ห่างไกลแต่คุ้นเคย ซึ่งทำให้มึนงงมากยิ่งขึ้น

ผ่านไปนาน เธอได้สติ ส่ายหัวแล้วพูดว่า: “ไม่เป็นไร”

เขาปล่อยเธอ เธอรู้สึกว่างเปล่าทั้งหัวใจ และตอนนี้อากาศหนาวมาก

หันจื่ออี้ไปถึงที่ลิฟต์พร้อมฮั่วชิงชิง เขากดลิฟต์ลง จากนั้นทั้งคู่ก็เงียบไป

ฮั่วชิงชิงคิดถึงสัมผัสที่เธออยู่ในอ้อมแขนของเขาเมื่อกี้ ดูเหมือนว่าเขาจะผอมลงจริงๆ ทันทีที่ลิฟต์มาถึง เธอพูดอีกครั้งว่า: “จื่ออี้——”

“หือ?” หันจื่ออี้หันไปมองฮั่วชิงชิง

ภายใต้แสงไฟอันนุ่มนวลหน้าลิฟต์ แก้มของเธอขาวและบอบบางราวกับถูกเคลือบด้วยชั้นแสงอันนุ่มนวล

หน้าเธอไม่ซีดเหมือนแต่ก่อน ยิ่งกว่านั้น เมื่อกี้ที่เขาช่วยเธอ เขารู้สึกว่าเธอมีน้ำมีนวลกว่าเดิม แม้ว่าเธอจะยังดูผอมลง แต่เธอก็ดูดีขึ้นมาก

ดีมาก ดูเหมือนร่างกายของเธอจะฟื้นตัวดี เขาไม่ต้องกังวลอีกต่อไป และเขาจะได้ไม่รู้สึกผิดอีก! หันจื่ออี้อดทนรอให้ฮั่วชิงชิงพูดต่อ

“ตอนนี้ Huo Group ดำเนินการได้ดีมาก ขอบคุณคุณและเพื่อนๆของคุณสำหรับความช่วยเหลือในเวลานั้น” ฮั่วชิงชิงกล่าว

“ยินดี” หันจื่ออี้พูดอย่างอ่อนโยน: “ผมเคยบอกแล้วว่าตราบใดที่คุณพยายาม ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ ตอนนี้คุณดูแลบริษัทได้อย่างดีใช่ไหม?”

ไม่ สิ่งที่เธอต้องการจะพูดไม่ใช่สิ่งนี้… ฮั่วชิงชิงพยายามปลอบตัวเองในใจ เธอพูดอีกครั้ง: “ในตอนนั้น เพราะฉันโกรธ ฉันจึงพูดคำที่ไม่ดี ตอนนี้นึกขึ้น ฉันอยากจะขอโทษคุณ”

หันจื่ออี้ชะงักไปครู่หนึ่ง เขามองที่เธอสักครู่แล้วยิ้มอย่างโล่งอก :“ไม่เป็นไร! ยิ่งไปกว่านั้น ผมคิดจากมุมมองของคุณ ถ้าผมถูกเอาเปรียบและสูญเสียพ่อไป ผมเองก็คงให้อภัยไม่ได้เช่นกัน ”

ไม่ เธอไม่ใช่ให้อภัยไม่ได้ แต่…

ในเวลานี้ ประตูลิฟต์เปิดออกเป็นเวลานาน แล้วปิดโดยอัตโนมัติ

หันจื่ออี้กล่าวว่า: “ชิงชิง คุณมีรถไหม? ผมเรียกแท็กซี่ให้ไหม?”

ฮั่วชิงชิงเห็นหันจื่ออี้สวมเสื้อเพียงตัวเดียว ข้างนอกค่อนข้างหนาว ดังนั้นเธอจึงส่ายหัว: “ไม่เป็นไร ฉันเรียกเอง คุณเองก็ไม่ได้สวมเสื้อกันหนาว”

หากเป็นเมื่อก่อน หันจื่ออี้จะยืนกราน แต่ตอนนี้ เขาก็กลัวเป็นหวัดเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า: “โอเค งั้นผมส่งถึงแค่ตรงนี้นะ”

ดูเหมือนมีคนกดลิฟต์ลงไปที่ชั้นล่างเพราะว่าก่อนหน้านี้ฮั่วชิงชิงไม่เข้าไปในลิฟต์

ฮั่วชิงชิงรู้สึกเขินเล็กน้อยและยิ้มให้หันจื่ออี้

เขาเห็นรอยยิ้มของเธอ หัวใจของเขาสั่นเล็กน้อย และพูดว่า: “ชิงชิง ถือว่าเราให้อภัยกันแล้ว? คุณยังเกลียดผมอยู่หรือเปล่า”

ไม่ ไม่

เมื่อรู้ว่าเขาได้ช่วยเธอขนาดนั้น ความเกลียดชังทั้งหมดกลายเป็นความเสียใจ ตอนนี้เหลือแต่ความรัก

บางทีก็ควรพูดว่าทุกสิ่งในโลกมักจะวิเศษมาก ทำให้คนค่อยๆลืมความเกลียดชังและจดจำความทรงจำที่งดงาม

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ความเกลียดชังที่เธอมีต่อเขา หายไปนานแล้ว ในทางกลับกัน สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เคยทำด้วยกัน พยายามจะลืม แต่กลับนึกขึ้นไม่ลืมเลือน

ฮั่วชิงชิงพยักหน้า แล้วส่ายหัว: “ไม่เกลียด”

หันจื่ออี้ถอนหายใจยาว ทันใดนั้นก็หันกลับมา เหยียดแขนออกและกอดฮั่วชิงชิงไว้ในอ้อมแขนของเขา

เธอตะลึงไปครู่หนึ่ง ร่างกายของเธอแข็งทื่อ แต่หัวใจของเธอเต้นแรงจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“หลังจากนี้ เราเป็นเพื่อนกันนะ” หันจื่ออี้กล่าวเหนือหัวของเธอ

เธอเอื้อมมือออกมาช้าๆ และโอบกอดเขา

เธอสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจของเขา เลือดของเธอที่นิ่งมาเป็นเวลานานก็เริ่มอุ่นขึ้นและเดือดพล่าน

ปลายจมูกของเธอเต็มไปด้วยสัมผัสที่คุ้นเคย ทำให้เธออยากร้องไห้ แต่เธอก็อดทนไว้ ฮั่วชิงชิงต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจ

“แน่นอนว่าคุณไม่รู้” หมอกล่าว: “เขาบอกว่าถ้าคุณรู้ล่วงหน้า คุณจะไม่รับการบริจาคของเขาแน่นอน ดังนั้น เขาขอให้พวกเราทุกคนช่วยกันปกปิดไว้ ต่อมาพบว่าร่างกายของคุณผิดปกติ อาจจะถึงตายได้ ทันทีที่เขารู้ เขาก็ดึงเข็มทั้งหมดออกและไปหาคุณ แต่คุณไม่แม้แต่จะพูดปลอบโยนเขา แถมยังปล่อยให้เขาเดินออกไป และเป็นลมอยู่หน้าห้อง!”

เมื่อฮั่วชิงชิงได้ยินเช่นนี้ เธอรู้สึกเสียใจมาก: “ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง ถ้า…”

เธอกำลังคิด ถ้าตอนนั้นเธอรู้…

ด้วยความคิดดังกล่าว เธอก็เข้าใจความพยายามของหันจื่ออี้

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาในตอนนั้น ถ้าเธอรู้ว่าไตที่จะนำมาปลูกถ่ายให้เธอเป็นของเขา เธอยอมตายดีกว่าที่จะรับมัน

ดังนั้น เรื่องทั้งหมดดูเหมือนจะถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว

แต่ ทำไมเธอถึงเพิ่งรู้ตอนนี้?

“หลังจากที่เขาเป็นลมและตื่นขึ้น สิ่งเดียวที่เขาบอกเราคือให้ดูแลคุณต่อไป” หมอกล่าวถึงตรงนี้ และมองไปที่ฮั่วชิงชิง: “คนคนหนึ่งปฏิบัติกับคุณดีขนาดนี้ มันมีเรื่องอะไรกันแน่ที่คุณไม่อาจยกโทษให้เขาได้?”

ฮั่วชิงชิงส่ายหัว ไม่ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เธอมักจะคิดเรื่องนี้ในคืนที่นอนไม่หลับ สิ่งที่เขาพูดนั้นถูก

ตระกูลฮั่วของเราเป็นหนี้เขา

อย่างไรก็ตาม ฮั่วเฉิงเลี่ยงเป็นพ่อของเธอ และในตอนนั้นเธอไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงเช่นนั้นได้ เหตุผลก็เหมือนกัน

มันเป็นปมระหว่างพวกเขา บางทีถ้ามีลูกอาจจะช่วยได้ แต่ไม่มี…

และตอนนี้–

ฮั่วชิงชิงเอื้อมมือไปแตะเอวของเธอ รู้สึกเลือดไหลเวียนอยู่ใต้ผิวหนังของเธอ หัวใจของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

ปรากฏว่าอวัยวะของเขาอยู่ในร่างกายของเธอ อยู่กับเธอมาตลอดสองปี!

“คุณหมอ ขอบคุณนะ!” ฮั่วชิงชิงปาดน้ำตาของเธอและมองไปที่หมอ: “คุณพูดถูก ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้”

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ เขาได้ช่วยชีวิตเธอถึงสามครั้ง

ครั้งแรก พวกเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้า เขาคอยสนับสนุนเธออยู่ห่างๆเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่ทุกคนถอดใจกับเธอ แต่เขากลับมีความหวังในตัวเธอ

ครั้งที่สอง เธอต้องการจะจากโลกนี้ไปเพราะเขา เขาพยายามช่วยเธอ และเกือบจะตกลงจากตึกสูงไปด้วย

ครั้งที่สาม เขายอมเจ็บปวดเพื่อช่วยเธอ บริจาคอวัยวะในร่างกายของเขาให้กับเธอ!

แม้ว่าการตายของฮั่วเฉิงเลี่ยงจะเป็นปมในใจของเธอ แต่ในขณะนี้ เธออยากเจอเขามาก

เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเมื่อเจอเขา แต่แค่อยากจะเจอ!

ฮั่วชิงชิงมองไปที่เอกสารการบริจาค ถ่ายรูปสองสามรูป จากนั้น บอกลาหมอและออกจากโรงพยาบาล

เธอรีบกลับไปที่ร้านอาหาร หันจื่ออี้จากไปนานแล้ว เธอจึงรีบไปที่ Latitude Technology

แต่ผู้คนที่อยู่ Latitude กล่าวว่าผู้ดูแลเขตภายในประเทศตอนนี้เป็นคนอังกฤษ และพวกเขาไม่รู้ว่าหันจื่ออี้กลับมาแล้ว

ดังนั้นเขาไม่ได้กลับไปที่ Latitude ถ้างั้น…

ฮั่วชิงชิงนึกถึงบ้านของพวกเขา เขาโอนบ้านให้เธอ เขาไม่เหลืออะไรแล้วในหนิงเฉิง

เธออดไม่ได้ที่จะเปิดสมุดรายชื่อ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และโทรหาหันจื่ออี้

อย่างไรก็ตาม มีเสียงดังขึ้นจากอีกด้านของโทรศัพท์ โดยบอกว่าหมายเลขที่กำลังโทรนั้นว่างเปล่า

ฮั่วชิงชิงมองไปที่วีแชทของเธอ ในนี้ เธอไม่มีข้อมูลติดต่อของเขานานแล้ว

หมดหนทางแล้ว ทำได้เพียงโทรหาผู้ช่วยหวัง

เธอกำลังจะกด ก็มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ ฮั่วชิงชิงจึงรับสาย

ไม่คาดคิด ปรากฏว่าเป็นผู้ช่วยหวังที่โทรมา

ทางโทรศัพท์ น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังคุยธุรกิจ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผสมกับอารมณ์ความไม่พอใจ

เขาพูดก่อน: “ไม่ทราบว่านี่ใช่ฮั่วชิงชิงไหม?”

หัวใจของฮั่วชิงชิงเต้นแรง ทำไมเขาถึงโทรหาเธอ? เธอตอบว่า: “ฉันเอง”

“ผมคือหวังเฉา ผู้ช่วยของประธานหัน” ผู้ช่วยหวังกล่าว: “ประธานหันอยากถามคุณว่าพรุ่งนี้เช้าคุณว่างหรือเปล่า? ถ้าสะดวก มาพบกันที่หนิงเฉิงได้ไหม?”

เขานัดเจอเธอ…

ฮั่วชิงชิงรีบตอบอย่างรวดเร็ว:”ตอนนี้ฉันอยู่หนิงเฉิง”

ผู้ช่วยหวังแปลกใจเล็กน้อย เขาหันศีรษะและกระซิบกับหันจื่ออี้: “ประธานหัน ตอนนี้คุณฮั่วอยู่หนิงเฉิง”

“โอเค ถามเธอว่าพรุ่งนี้เช้า 9โมง เธอสะดวกหรือเปล่า” หันจื่ออี้กล่าว

ผู้ช่วยหวังพยักหน้าและพูดกับอีกฝ่าย: “คุณฮั่ว ประธานหันถามว่าพรุ่งนี้เช้า9โมงคุณว่างไหม? ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง”

“ฉันว่าง” ฮั่วชิงชิงนึกคิดในใจ แต่ก็ไม่อยากพยายามคิดต่อ จึงถามว่า:“มีอะไรหรือเปล่า?”

“บอกเธอว่า นายจะไปรับเธอตอน9โมงเช้า” หันจื่ออี้กล่าว และเดินเข้าไปในโรงแรม

“คุณฮั่ว ผมจะไปรับคุณที่บ้านตอน9โมง” ผู้ช่วยหวังกล่าว: “ไม่ทราบว่าที่อยู่ของคุณ?”

“ไม่ต้องมารับฉัน” ฮั่วชิงชิงตอนนี้ แทบรอไม่ไหวที่จะได้พบหันจื่ออี้ เธอหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า: “ฉันอยากถามว่า ตอนนี้ประธานหันยู่ที่หนิงเฉิงหรือเปล่า? เขาอยู่ที่ไหน?”

ผู้ช่วยหวังไม่คิดว่าเธอจะถามเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า: “ประธานหันอยู่ที่โรงแรม kempinski”

“ฉันจะไปหาเขาตอนนี้” ฮั่วชิงชิงกล่าว: “หมายเลขห้องเท่าไหร่?”

ผู้ช่วยหวังไม่สามารถบอกได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปข้างในและพูดกับหันจื่ออี้: “ประธานหัน คุณฮั่วบอกว่าเธอจะมาหาคุณตอนนี้”

“บอกเลขห้องกับเธอ” หันจื่ออี้พูดอย่างสบายๆ

“ประธานหันอยู่ห้อง 1801” ผู้ช่วยหวังกล่าว

“โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!” ฮั่วชิงชิงวางสายและเรียกแท็กซี่ที่ทางเข้าโรงพยาบาล

อยู่ใจกลางเมือง จึงใช้เวลาเพียง20นาทีในการไปถึงที่หมาย

ฮั่วชิงชิงเดินเข้าไปในลิฟต์และมองเข้าไปในกระจก พบว่าตัวเองในตอนนี้ดูน่าเกลียดมาก

ผมของเธอยุ่งมาก และค่อนข้างชี้ฟู

และเพิ่งร้องไห้ เปลือกตาของเธอยังคงแดงและบวม

เครื่องสำอางของเธอหลุดหมดนานแล้ว

เธอจึงออกจากลิฟต์ และรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำชั้นหนึ่ง

โชคดีที่มีหวีอยู่ในกระเป๋า ฮั่วชิงชิงหวีผมของเธอให้เรียบร้อย จากนั้นเปิดก๊อกน้ำ ล้างหน้าล้างตา

หลังจากล้างหน้า ใบหน้าดูสดใสขึ้นเล็กน้อย

หลังจากทำทั้งหมด เธอส่องกระจกอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ดูน่าเกลียด แล้วจึงขึ้นลิฟต์อีกครั้ง

ตัวเลขบนหน้าจอ LED เปลี่ยนเรื่อยๆ หัวใจของฮั่วชิงชิงค่อยๆเต้นแรงขึ้น จนกระทั่งเธอได้ยินเสียง ‘ติ๊ง’ หัวใจของเธอเกือบจะร่วงไปอยู่ตาตุ่ม

เธอจับกระเป๋าแน่นโดยไม่รู้ตัว หลังจากดูป้ายแล้ว เธอเดินไปตามทางเดินด้านขวา

1801 อยู่ห้องในสุด เธอมาถึงที่ประตูแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนยกมือขึ้น

เธอพบว่าไม่ว่าเธอจะเตรียมใจมาเท่าไหร่ ขณะที่เธอกำลังจะกดกริ่ง มือของเธอยังคงสั่นสะท้าน และฝ่ามือของเธอก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก

ในไม่ช้า ดูเหมือนมีเสียงเดิน แล้วประตูก็เปิดออก

ในขณะที่หันจื่ออี้ปรากฎตัวตรงหน้า ฮั่วชิงชิงเกือบจะลืมหายใจ ยืนนิ่งไม่ขยับ

เมื่อเทียบกับความตึงเครียดของเธอ ดูเหมือนว่าเขาจะผ่อนคลายมาก: “มาแล้วเหรอ? เข้ามาสิ”

ฮั่วชิงชิงยังคงปลอบตัวเองไม่ให้ประหม่า แต่เธอพบว่าเมื่อเธอเดินเข้าไปกับหันจื่ออี้ สมองของเธอยังคงวุ่นวายไม่รู้ตัว

“คุณอยากดื่มอะไร?” หันจื่ออี้ถามอย่างเป็นกันเอง

“อะไรก็ได้” ฮั่วชิงชิงตอบ สักพักหนึ่ง เธอไม่รู้ว่าควรจะวางมือและเท้าไว้ที่ไหน

“งั้นเป็นน้ำผลไม้อุ่นๆละกัน” หันจื่ออี้พูดพร้อมถือแก้วแล้วไปเทน้ำผลไม้ให้ฮั่วชิงชิง

ฮั่วชิงชิงมองที่แผ่นหลังของเขา ตอนนี้เขาอยู่ใกล้ เธอพบว่าเขาผอมลง ดังนั้น ดูเหมือนราวกับว่าเขาดูสูงกว่าเมื่อก่อน

เมื่อเขาหันกลับไปและไปที่ไมโครเวฟเพื่อทำให้อุ่นขึ้น เธอเห็นโครงร่างของเขา ซึ่งดูเหมือนจะชัดเจนกว่าเมื่อก่อนมาก

ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเธอเริ่มเจ็บปวด แต่แผลที่เอวของเธอเริ่มร้อนรุ่มขึ้น

หันจื่ออี้ถือน้ำผลไม้อุ่นมา แล้วยื่นให้ฮั่วชิงชิง

เมื่อเห็นเธอนิ่งอยู่ เขาชี้ไปที่โซฟา ยิ้มแล้วพูดว่า:“ทำไมไม่นั่งล่ะ?”

ฮั่วชิงชิงนั่งลงอย่างแข็งทื่อ ราวกับว่าเพิ่งตอบสนอง

หันจื่ออี้นั่งลงตรงข้ามกับเธอ และเห็นว่าเธอดูอึดอัด เขาจึงพูดว่า: “ชิงชิง ขอโทษด้วยนะ ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยกลับมาประเทศจีน เมื่อคุณออกจากโรงพยาบาลแล้ว นัดให้ผมไปทำเรื่องของเราให้จบ แต่ผมก็ไม่อยู่ ”

ฮั่วชิงชิงบีบกระเป๋าของเธอและเกิดความคิดที่ไม่ดีในใจ

ได้ยินหันจื่ออี้พูดขึ้นอีกครั้ง: “แต่หลังจากนั้น คุณไม่นัดผมอีก ผมไม่ค่อยได้กลับมาประเทศจีน เรื่องนี้จึงล่าช้ามาจนถึงตอนนี้…”

ตอนนี้เขานัดเธอมาเพราะ…

ฮั่วชิงชิงขัดจังหวะหันจื่ออี้: “ไม่เป็นไร ที่จริง—”

เธอมองหน้าเขา ไม่เจอเขามาเกือบสองปี เขายังเหมือนเดิม แต่ผิวของเขาดูขาวขึ้นกว่าเดิม เพราะเมื่อก่อนเขามักจะออกไปเล่นบาสเกตบอล ตอนนี้ไม่ได้เล่นแล้ว?

“วันนี้ผมให้ผู้ช่วยหวังโทรหาคุณ เดิมทีผมต้องการนัดคุณไปทำเรื่องให้จบพร้อมผม” หันจื่ออี้ยิ้ม: “ผ่านมาเกือบสองปีแล้ว ตามกฏหมายก็ถือว่าคุณโสดอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ดูเหมือนต้องไปขึ้นศาล ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่คิดแล้วคงจะวุ่นวาย…”

ฮั่วชิงชิงเงยหน้ามองเขา เธอรู้สึกว่าริมฝีปากของเธอสั่น คอของเธอแห้ง ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้

“ฉัน จริงๆแล้วฉัน…” ฮั่วชิงชิงมองที่เอวของหันจื่ออี้ สูดหายใจเข้าลึกๆและกำลังจะบอกสิ่งที่เธอรู้

แต่ในเวลานี้ เขาริเริ่มพูดถึงมันเป็นครั้งแรก เธอตระหนักว่าเธอไม่อยากยุติความสัมพันธ์กับเขาเลย!

“มีอะไรเหรอ?” หันจื่ออี้ถาม

ฮั่วชิงชิงกำลังเรียบเรียงคำพูด ในขณะนี้ มีเสียงดนตรีดังขึ้นในห้อง

“ขอโทษนะ ผมขอรับโทรศัพท์ก่อน” หันจื่ออี้พูดและลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ จากนั้นเดินไปที่หน้าต่างสูง: “เซียวหลิน?”

ในห้องของโรงแรม ไม่ได้ใหญ่มากอยู่แล้ว และหันจื่ออี้ก็พูดอย่างไม่หลีกเลี่ยง ดังนั้นฮั่วชิงชิงจึงได้ยินเขาก็เรียกชื่อผู้หญิง

“โอเค ผมจะไปรับคุณตอน6โมง” หันจื่ออี้กล่าว

หลังจากนั้น ทั้งสองก็พูดอีกสองสามคำ และหันจื่ออี้ก็วางสาย

เขากลับไปที่โซฟาและนั่งลง: “ขอโทษด้วยนะ”

ฮั่วชิงชิงมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขา และความอยากรู้ตัวตนของผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป: “เพื่อนของคุณเหรอ? คุณมีธุระต่อ?”

หันจื่ออี้พยักหน้า: “อืม รู้จักกันผ่านการนัดบอด”

ประธานเซิิินไม่ได้บังคับเมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากพูดจริงๆ ถึงอย่างไรLatitude ก็เป็นบริษัทขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงสามารถร่วมมือกันได้โดยไม่ต้องกังวล นอกจากนี้หันจื่ออี้ไม่ได้จงที่จะหักหน้าเขา ดังนั้นเหตุการณ์นี้จึงถูกปล่อยผ่าน

เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมา “เอาล่ะ ถ้างั้นก็ดื่มชาแทนเหล้า ผมหวังว่าเราจะร่วมมือกันอย่างมีความสุข!”

ทุกคนพูดคุยกันอีกสองสามคำ หันจื่ออี้จึงพูดขึ้นว่า “ประธานเซิน ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ”

เมื่อฮั่วชิงชิงได้ยินแบบนี้ เธอกลัวมากจนต้องรีบหาที่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมข้างๆ

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เธอก็ได้ยินเสียงประตูห้องวีไอพีถูกเปิดออก

จนกระทั่งหันจื่ออี้เดินออกไปเป็นเวลาหลายวินาทีเธอถึงค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อนตัว เห็นเพียงด้านหลังของเขากำลังเลี้ยวไปตรงหัวมุมเพื่อเข้าห้องน้ำ

หลังจากผ่านช่วงอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ฮั่วชิงชิงก็ไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เธอจึงถือกระเป๋าเดินออกไปจากที่นี่

จู่ๆ ก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้นมาในห้อง “ผู้ช่วยพิเศษหวัง ประธานหันได้รับการผ่าตัดอะไรเหรอ? แม้แต่ดื่มเหล้านิดเดียวยังไม่ได้เหรอ? และดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะเลิกสูบบุหรี่แล้ว”

ผู้ช่วยพิเศษหวังดื่มเหล้านิดหน่อย เดิมทีเขาไม่พอใจมากเป็นพิเศษกับการช่วยชีวิตฮั่วชิงชิงของหันจื่ออี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ตอนนี้เขาไม่แตะเหล้ากับบุหรี่เลย ใช้ชีวิตแบบผู้ชายดีๆ คนหนึ่งเลย!”

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ประธานเซินอยากซุบซิบ “ผมคิดว่าเขาดูไม่เต็มใจที่จะพูดถึงมัน”

“มันก็เกี่ยวกับการบริจาคไตให้กับผู้หญิงที่ทรยศ!” ผู้ช่วยพิเศษหวังหยุดพูดถึงตรงนี้ ก่อนหยิบเหล้าขึ้นมาดื่ม “บริจาคมาเกือบสองปีแล้ว! จริงๆ มันจะไม่เป็นแบบนี้ แต่บาดแผลของเขายังไม่หายดี ก็รีบไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วเป็นไข้สูง ต่อมาร่างกายก็อ่อนแอลง ปีที่แล้วไปพักฟื้นที่อังกฤษ! แต่เขากลับกลายเป็นคนบ้างานอีก ทั้งเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล เขาไปทำงานทุกวัน ส่งผลให้……”

“บริจาคไตให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง?!” ประธานเซินขมวดคิ้ว “ผู้หญิงอะไร? ผมไม่เคยได้ยินว่าประธานหันแต่งงานหรือมีแฟนแล้ว?”

“ช่างมันไปเถอะ เขาไม่ให้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นยังไม่รู้เหมือนกัน งั้นก็ปล่อยมันเป็นแบบนี้เถอะ!” ผู้ช่วยพิเศษหวังถอนหายใจ “ยังไงก็ตามนะประธานเซิน ประธานหันของพวกเราดื่มเหล้าไม่ได้ ถ้ามีโอกาสดื่มเหล้ากันที่ไหนก็ตามผมจะดื่มแทนเขาเอง ขอโทษด้วยนะครับ!”

“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจแล้ว!” ประธานเซินพูด

เมื่อฮั่วชิงชิงได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสองจากด้านนอก ทำเอาเธอแทบทรุดลงกับพื้น!

ผู้ช่วยพิเศษหวังพูดว่าหันจื่ออี้บริจาคไตให้กับผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว!

ในเวลานั้นเธอเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะถูกแทงที่เอว และวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาเขาก็ไปเยี่ยมเธอ ใบหน้าของเขาซีดเผือด……

และหลังจากที่เขาออกจากห้องพักฟื้นของเธอ เธอก็ได้ยินพยาบาลข้างนอกร้องเรียกชื่อเขาว่ามีคนเป็นลม

หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย!

ราวกับว่าความลับบางอย่างกำลังจะเปิดเผย ฮั่วชิงชิงรู้สึกว่าการหายใจของเธอเริ่มยากขึ้น เธอกลัวว่าหันจื่ออี้จะกลับมาจากห้องน้ำดังนั้นเธอจึงรีบไปที่ลิฟต์

จนกระทั่งเธอออกไปข้างนอกและลมเย็นพัดมาที่แก้มเธอ ทำให้เธอได้สติในทันที

เธอกวักมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง เมื่อเธอขึ้นรถเธอเริ่มค้นหาข้อมูลทันทีเพื่อค้นหาอาการไตวายและกระบวนการปลูกถ่ายไต

ยิ่งดูยิ่งหน้าซีด

อาการข้างต้นพวกนั้นไม่ใช่อย่างที่เธอเคยเป็นมาก่อน? !

ไม่น่าแปลกใจที่หมอให้เธอกินยาพวกนั้นไปตลอดชีวิต และแม้กระทั่งตอนนี้ก็กำหนดการส่งยาให้เธอเป็นประจำ เพราะกลัวว่าเธอจะรู้ผลที่แท้จริงของยาพวกนั้น! มันจะมีเนื้องอกชนิดใดที่ต้องกินยาไปตลอดชีวิต? !

ในขณะนี้เธอเกือบจะแน่ใจแล้วว่าเธอไม่เคยตั้งครรภ์เลย และเนื้องอกก็เช่นกัน แต่มีภาวะไตวายต่างหาก!

และเขาเป็นคนที่ช่วยเธอถึงสองครั้ง!

น้ำตาของเธอร่วงหล่นลงมาจนไม่สามารถควบคุมได้ ดูเหมือนคนขับจะสังเกตเห็นว่าฮั่วชิงชิงอารมณ์ไม่ดี และอดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณผู้หญิง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ไปที่โรงแรมแล้วค่ะ เปลี่ยนไปไปโรงพยาบาลแทนนะคะ!”

คนขับรถแท็กซี่คิดว่าการแสดงออกของฮั่วชิงชิงผิดปกติในตอนแรกเพราะเธอรู้สึกไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงรีบขับรถตรงไปที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

หลังจากลงจากรถฮั่วชิงชิงรีบไปที่อาคารที่คุ้นเคยโดยไม่รับเงินทอน

เธอนอนอยู่ที่นั่นนานกว่าครึ่งเดือน ต่อมาเพราะเธอคิดว่าจะรับช่วงต่อธุรกิจของHuo Group เธอจึงเรียนรู้ธุรกิจระหว่างที่พักฟื้นในโรงพยาบาล

เธอออกจากโรงพยาบาลหลังจากอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งเดือน เธอจึงคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างดี

ฮั่วชิงชิงเดินเข้าไปในลิฟต์และกดไปแผนกผู้ป่วยในชั้น16

ในลิฟต์คนเยอะมาก เธอเห็นคนไข้นั่งรถเข็นขึ้นไปหลายคน สักพักเธอก็อารมณ์หดหู่ลง

บางทีในโลกนี้สิ่งเดียวที่เงินซื้อไม่ได้ก็คือร่างกายที่แข็งแรงใช่ไหม?

ในที่สุดลิฟต์ก็หยุดที่ชั้น16 และทันทีที่ฮั่วชิงชิงเดินออกไปก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปที่ห้องพักฟื้นที่คุ้นเคย

เธอเห็นคนหลายครอบครัวพยุงผู้ป่วยเดินพูดคุยกันที่ทางเดิน เมื่อฮั่วชิงชิงเดินผ่านเธอได้ยินคำว่า การเปลี่ยนไต

แม้ว่าของเธอจะคาดคิดไว้อยู่แล้ว แต่หัวใจของเธอกลับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง!

เมื่อเห็นพยาบาลเดินผ่านมา ฮั่วชิงชิงก็รีบหยุดพยาบาลคนหนึ่งแล้วถามว่า “สวัสดีค่ะ ขอรบกวนนิดหนึ่งนะคะที่นี่แผนกอะไรคะ?”

“ห้องทำงานหมอไม่ใช่มีเขียนไว้หรือ?” พยาบาลมีความอดทนต่ำ

ฮั่วชิงชิงพยักหน้าแล้วเดินไปอย่างรวดเร็ว

ในห้องทำงานยังเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย เป็นหมอที่รักษาเธอ!

ฮั่วชิงชิงเงยหน้าขึ้นมองป้ายแผนกที่แขวนอยู่ก็ต้องตกตะลึง!

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่มีชื่ออะไรติดไว้เลย แต่ในขณะนี้ติดป้ายไว้ว่าระบบทางเดินปัสสาวะด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่…

เธอมีความสงสัยอยู่ในใจ เธอกำลังจะถามคนอื่นๆ แต่หมอก็เห็นเธอเข้าพอดี!

ฮั่วชิงชิงหยุดชะงัก จากนั้นก็รวบรวมความกล้าเดินเข้าไป

“คุณฮั่ว คุณมาทำอะไรที่นี่?” หมอยังคงจำเธอได้อย่างแม่นยำ

ฮั่วชิงชิงจ้องมองไปที่ดวงตาของหมอ “หมอบอกฉันทีว่าฉันเป็นโรคไตวายเฉียบพลันใช่หรือไม่?”

หมอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เมื่อฮั่วชิงชิงถามคำถามนี้ เธอคงรู้ทุกอย่างแล้วเลยพยักหน้า “ใช่ครับ”

ฮั่วชิงชิงก้าวถอยหลังสองก้าวแล้วถามว่า “แล้วการผ่าตัดของฉันในเวลานั้นคือการผ่าตัดปลูกถ่ายไตใช่ไหมคะ?”

หมอพยักหน้า

ไม่แปลกใจเลยที่อาการจะเหมือนกับที่อธิบายไว้ในอินเทอร์เน็ตทุกประการ ไม่แปลกใจเลยที่เธอรู้สึกไม่สบายตัวในตอนนั้น และเข้าห้องน้ำทุกวันก่อนการผ่าตัด……

“แล้วที่มาของไต” ฮั่วชิงชิงหยุดพูด แล้วมองตรงเข้าไปในดวงตาของหมอ “คือหันจื่ออี้ใช่หรือไม่คะ?”

หมอมองมาที่เธอแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “ในเมื่อรู้แล้วจะถามไปทำไมครับ?”

ฮั่วชิงชิงตัวสั่น “หมอคะ ขอฉันดูหนังสือบริจาคในตอนนั้นได้ไหมคะ?”

หมอหรี่ตาลง“คุณฮั่ว ผู้บริจาคขอให้เราเก็บเป็นความลับ แต่ในเมื่อคุณเดาถูก ผมก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง อย่างไรก็ตามการเปิดดูหนังสือการบริจาคนั้นไม่ถูกต้องตามกฎ”

“ฉันขอร้องล่ะ ฉันขอดูหน่อยได้ไหม?” ฮั่วชิงชิงกลั้นน้ำตา นึกถึงที่หันจื่ออี้ไปพบเธอด้วยใบหน้าซีดเซียวในวันนั้น

“ให้เธอดูเถอะ” ในขณะนั้นหัวหน้าแผนกก็เข้ามาแล้วพูดว่า “มันคือความพยายามอันอุตสาหะของสามีของเธอ”

“งั้นก็ได้ครับ” หมอพูดกับฮั่วชิงชิง “คุณตามผมไปที่ห้องเก็บเอกสารนะครับ”

เมื่อทั้งสองมาถึงห้องเก็บเอกสารฮั่วชิงชิงรออยู่ที่ประตู หลังจากนั้นไม่กี่นาทีหมอก็พบเอกสารลายเซ็นต้นฉบับแล้วส่งให้ฮั่วชิงชิง

ฮั่วชิงชิงรับเอกสารแล้วเปิดไปที่หน้าสุดท้ายทันที

ลายเซ็นในเอกสารเป็นลายเซ็นที่สง่างาม และลายเซ็นก็เหมือนกับลายเซ็นในหนังสือโอนหุ้นที่หันจื่ออี้ขอให้เธอเซ็นร่วม!

หันจื่ออี้

เมื่อเห็นชื่อนี้ความสงสัยในตอนนั้นก็หายไปในควัน!

เขาบริจาคไตให้กับเธอจริงๆ และช่วยชีวิตเธอได้อีกครั้ง!

ฮั่วชิงชิงตัวสั่นอย่างรุนแรงขณะถือเอกสารไว้ในมือ

หมอที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางของเธอก็นึกถึงตอนจุดเริ่มต้น แต่ก็ยังรู้สึกโกรธเล็กน้อย “คุณรู้ไหมว่าพยาบาลทั่วทั้งแผนกของเราอิจฉาคุณมากแค่ไหน? สามีที่หล่อเหลา อ่อนโยน พิถีพิถันและมีน้ำใจ ใช้เวลาดูแลคุณอย่างดี!”

“แต่คุณยังคงเฉยเมยต่อเขา”

“เมื่อเราเห็นเขาคุยกับคุณ คุณแทบไม่มองหน้าเขา รู้ไหมผมอยากเข้าไปเตือนสติคุณแค่ไหน!”

แถมเขายังบอกอีกว่าขอโทษกับสิ่งที่เคยทำพลาดต่อคุณไปก่อนหน้านี้ จริงๆ แล้วคุณดีมาก ให้เราดูแลคุณเมื่อเขาไม่อยู่! ”

หมอชี้ไปที่หมายเลขประตูนอกแผนก “เขาบอกว่าคุณอารมณ์ไม่ดีและคิดเล็กคิดน้อย จึงเกลี้ยกล่อมให้บอกว่าคุณท้อง อยากให้คุณมีชีวิตที่แข็งแกร่งเพื่อลูกในท้องของคุณ”

“ดังนั้นป้ายทั้งหมดที่แขวนอยู่ทั้งหมดของเราจึงถูกถอดออก ไม่มีคำไหนที่เกี่ยวกับไตเลย”

“หมอและพยาบาลของเราถูกเขาควบคุมไว้หมดแล้ว ไม่สามารถบอกคุณเกี่ยวกับภาวะไตวายเฉียบพลันของคุณได้!”

หลังจากนั้นก็พบว่าการจับคู่ของเขาสามารถจับคู่กับคุณได้ เขาจึงเซ็นชื่อทันทีโดยไม่พูดอะไรเลย การแสดงออกของเขาดูมีความสุขมาก

จริงอยู่ว่าถึงแม้จะมีไตอีกข้างจะทำให้คนคนหนึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ได้ดีมาก แต่ร่างกายของเขาจะดูอ่อนแอง่ายกว่าเมื่อก่อนหลังจากที่บริจาคไตไปแล้ว คุณรู้ไหม? ! ”

เมื่อฮั่วชิงชิงได้ยินสิ่งนี้ เธอก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

เป็นเธอเองที่ผิด เธอไม่รู้อะไรเลย พูดทำร้ายจิตใจเขามากมายหลังจากที่เขาฟื้นจากการผ่าตัด!

เขาเป็นลมข้างนอก และได้ยินผู้ช่วยพิเศษหวังพูดว่าเขายังไม่หายไข้ ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้นวันนี้เธอเห็นจากด้านหลังของเขา เขาดูผอมลงกว่าเมื่อก่อนจริงๆ

จำได้ว่าตอนที่เขาอุ้มเธอ เธอยังคงคิดว่าไหล่ของเขากว้างมาก และกล้ามเนื้อหน้าอกของเขาก็แน่นมากเช่นกัน เธอพิงหน้าอกของเขาเธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอพบที่พักพิงในที่สุด!

เห็นได้ชัดว่าหมอยังคงบ่นไม่หยุดแบบไม่สามารถควบคุมได้ “การผ่าตัดในวันนั้นอยู่ในห้องผ่าตัดสองห้องที่เชื่อมต่อกัน เขาผ่าตัดออกและนำไปใส่ในร่างกายของคุณทันที หลังจากนั้นเขาตื่นขึ้นมาประโยคแรกที่ถามคือคุณเป็นอย่างไรบ้าง แต่รู้ไหมว่าตอนเขาอยู่ในอาการโคม่านั้นไม่มีใครถามเขาเลยสักคำ!”

“ฉันไม่รู้……” ฮั่วชิงชิงพูดพึมพำ “มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่รู้อะไรเลย……”

“ทำไมคุณไม่ไปเต้นรำล่ะ?” สือเพ่ยหลินถามหลานเสี่ยวถาง

“ฉันเพิ่งอยู่ไฟเสร็จไม่นาน มันfดูอ้วนนิดหน่อย” หลานเสี่ยวถางหัวเราะ “ฉันกลัวว่าซิปกางเกงจะแตกน่ะ!”

เมื่อเห็นเธอดูผ่อนคลายต่อหน้าของเขา ทุกอย่างดูเหมือนจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้น ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เหมือนเป็นแค่คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย มันคงเป็นเรื่องธรรมชาติ

สือเพ่ยหลินไม่สามารถพูดอะไรในใจได้ แต่เขาทำได้เพียงยิ้มให้เธอ “ผมไม่เคยไปดูลูกของคุณเลย ผมได้ยินมาว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย ใช้นามสกุลเดียวกับผม งั้นผมขอเรียกเขาว่าน้องชายแล้วกัน!”

หลานเสี่ยวถางยิ้ม “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คุณจะได้ดูเป็นวัยรุ่นใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว!” สือเพ่ยหลินพูด “ตั้งชื่อว่าอะไรเหรอ? ได้ชื่อหรือยัง?”

“ชื่อว่าสือจิ่งเหยียน ไม่มีชื่อเล่น เรามักจะเรียกเขาว่าจิ่งเหยียน”

“น่าอิจฉา ได้ทั้งลูกสาวทั้งลูกชาย” ขณะที่พูดสือเพ่ยหลินรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในหัวใจ

“แล้วคุณล่ะ?” หลานเสี่ยวถางถาม “คุณได้ตรวจสอบในภายหลังไหม?”

“ตรวจสอบแล้ว ผลออกมาเหมือนกับโรงพยาบาลแถวhonor” สือเพ่ยหลินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหัวเราะเบาๆ ประชดชีวิต “ไม่เป็นไร อันที่จริงพวกเราได้คุยกันแล้ว ถ้าไม่มีจริงๆ เราจะรอจนกระทั่งเธออายุ 28 ปี แล้วไปรับมาเลี้ยง”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “อืม จริงๆ ก็เหมือนกันหมด ถ้าเขาได้รับการศึกษาดีๆ ไปรับมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมก็มีความกตัญญูเหมือนกัน!”

ขณะที่พูดเธอคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ “ใช่แล้ว ฉันลืมอวยพรให้คุณมีความสุขในชีวิตการแต่งงานใหม่! เจ้าสาวสวยมาก ดูแลรักษาไว้ดีๆ นะ!”

เขาพยักหน้าแล้วจ้องมองที่เธอ “อืม ผมจะเต็มที่ที่สุด”

หลังจากนั้นเขาก็บอกลาเธอแล้วเดินออกไป เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าจะไม่ได้พบกันอีกในอนาคต

หลานเสี่ยวถางกลับไปก่อนโดยไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงตอนเที่ยง เพราะเธอต้องไปป้อนข้าวสือจิ่งเหยียน

ไม่รู้ว่าหิมะตกลงมาเมื่อไร เธอพูดกับสือมูเฉินอย่างอารมณ์ดี “มูเฉิน ถ้าคืนนี้หิมะตกลงมาเต็มพื้น หวันหว่านต้องงอแงขอปั้นตุ๊กตาหิมะในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน!”

ทั้งสองคนพูดคุยกันเดินออกไปจากโรงแรม พวกเขาเดินผ่านฮั่วชิงชิงซึ่งกำลังเดินทางไปทำธุรกิจที่หนิงเฉิง

*

Huo Groupในเมืองเมืองไห่หลินได้รับการดูแลโดยเพื่อนของหันจื่ออี้ก่อนที่ฮั่วชิงชิงจะออกจากโรงพยาบาล

เพื่อนของเขาเป็นหญิงวัยกลางคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน หลังจากที่ฮั่วชิงชิงกลับมาเธอก็ค่อยๆ มอบงานทั้งหมดให้กับเธอทีละเล็กทีละน้อย

บางทีอาจเป็นเพราะได้ค้นพบวิธีจัดการบริษัทที่พ่อของเธอทิ้งไว้ให้ ฮั่วชิงชิงจึงได้ศึกษาอย่างจริงจัง

ไม่กี่เดือนต่อมาทุกอย่างก็ดูเรียบร้อยขึ้นเรื่อยๆ

ร่างกายของเธอก็ค่อยๆ ฟื้นตัว แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับตอนเป็นวัยรุ่น แต่ไข้และอาการหวัดของเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้นและทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ

แต่มีเพียงบางครั้งในตอนกลางคืนเธอได้เห็นฟู่สีเกอโพสต์รูปของลูกๆ ของเขาลงวีแชท ทำให้เธอจำได้ว่าเคยเดินผ่านเด็กน่ารักคนนี้

ในเวลานั้นเธออดไม่ได้ที่จะแตะหน้าท้องส่วนล่างของเธอ ในความงุนงงจำได้ว่ายังมีมือใหญ่อบอุ่นคู่หนึ่งลูบอยู่ที่ท้องส่วนล่างของเธอ ปลอบโยนเธออย่างอบอุ่น “ชิงชิง ลูกและผมจะอยู่กับคุณตลอดไป”

ฮั่วชิงชิงบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเรื่องพวกนั้น ดังนั้นเธอจึงเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มในลิ้นชัก

อย่างไรก็ตามบางทีอาจเป็นเพราะเธอยังอยู่ในอาการเหม่อลอย เธอจึงเปิดลิ้นชักผิด และเมื่อเธอมองลงมาเรื่อยๆ ทำให้เธอเห็นข้อตกลงการหย่าร้าง

เธออยู่ในอาการเหม่อลอย

ในตอนแรกหลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาล เธอได้ติดต่อผู้ช่วยพิเศษของหันจื่ออี้แล้วถามเขาว่าจะสะดวกเมื่อไหร่ เธอจะขอนัดหันจื่ออี้ไปดำเนินการร่วมกัน

แต่ผู้ช่วยพิเศษของหันจื่ออี้อารมณ์เสียมากแล้วพูดว่าหันจื่ออี้ป่วยและไม่สะดวก ดังนั้นจะพูดถึงเรื่องนี้ในภายหลัง

ฮั่วชิงชิงจำได้ว่าหันจื่ออี้เป็นคนมีสุขภาพแข็งแรง ในเมื่อเขาป่วยเธอก็ไม่กล้าไปพบเขา

ดังนั้นเธอจึงกังวลเล็กน้อย แต่หลังจากที่โทรไปหาผู้ช่วยพิเศษหวังหลายครั้ง ความกังกลมันก็หายไป

หลังจากนั้นเธอกลับไปที่เมืองไห่หลิน ไปถามเพื่อนของหันจื่ออี้พวกเขาบอกว่าช่วงนี้หันจื่ออี้ไม่ค่อยสบาย เขาไปอังกฤษและอาจจะไม่กลับมาในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้

เธอถามอีกว่าทำไมเขาจู่ๆ ถึงไม่สบาย แต่เพื่อนของเขาบอกว่าเขาน่าจะบินไปมาระหว่างสองที่เป็นเวลานาน อาจจะรู้สึกเหนื่อย ดังนั้นอาจจะไม่มีเวลาสำหรับช่วงนี้

ด้วยเหตุนี้ผ่านไปเป็นเวลากว่าหนึ่งปีโดยไม่รู้ตัว

เธอไม่เคยเข้าพบเขาอีกเลย และดูเหมือนว่าเขาจะจางหายไปจากโลกของเธอไปตลอดกาล

Huo Group ภายใต้การบริหารอย่างรอบคอบของเธอ การพัฒนาธุรกิจก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นกัน เมื่อคนรอบข้างเห็นเธอพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะแซว โดยบอกว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าผู้หญิงที่ดูอ่อนแอจะกลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง

ตามกฎหมายของจีนหากสามีและภรรยาได้ลงนามในข้อตกลงหย่าร้างและแยกกันอยู่เป็นเวลาสองปีจะถือว่าหย่าร้างกันจริงๆ

ฮั่วชิงชิงปล่อยวาง เธอและหันจื่ออี้ควรนับเข้าเป็นหมวดหมู่ดังกล่าวนี้จริงๆ ใช่ไหม?

เธอรู้สึกว่างเปล่าเล็กน้อยในใจ แต่ทุกครั้งที่เธอเห็นห้องสมุดของพ่อที่บ้านของเธอในเมืองไห่หลิน อารมณ์ทั้งหมดของเธอถูกระงับไว้ทันที

เธอเข้าใจดีว่านี่คือพรหมลิขิตของพวกเขา ซึ่งถูกกำหนดไว้เมื่อหลายปีก่อนและไม่อาจหนีพ้นได้

ในวันนี้ฮั่วชิงชิงเดินทางมาที่เมืองหนิิงเฉิงโดยเครื่องบินเพื่อคุยธุรกิจบางอย่าง

เธอทานอาหารกับฟู่สีเกอ ระหว่างทานอาหารฟู่สีเกอได้ถามว่าเธอกับหันจื่ออี้เป็นอย่างไรบ้าง เธอแค่พูดเบาๆ ว่าเธอกับเขาหย่ากันมาสองปีแล้ว

ด้วยเหตุผลนี้ไม่ว่าฟู่สีเกอจะถามอะไร เธอก็ไม่ตอบอะไรแล้ว

เมื่อเห็นความดื้อรั้นของเธอ ฟู่สีเกออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้รับผิดชอบLatitude Technology ในประเทศจีนมีการเปลี่ยนแปลงมานานกว่าหนึ่งปี จริงๆ แล้วมันเป็นอย่างนี้นี่เอง…… ”

หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ฮั่วชิงชิงถึงรู้ว่าชายคนนั้นได้หายตัวไปโดยสิ้นเชิง

นึกไม่ถึงว่าที่พวกเขาเจอหน้ากันที่ห้องผู้ป่วยของเธอวันนั้นจะกลายเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน!

จู่ๆ อารมณ์ของเธอก็หดหู่ลง และเธอก็ไม่มีกะจิตกะใจคิดเรื่องอื่นอีกเลย

ดังนั้นเธอจึงบอกลาฟู่สีเกอด้วยการอ้างเหตุผลบางอย่างในบริษัท โดยบอกว่าเลขาของเธอกำลังรอเธออยู่แล้วเดินออกจากห้องวีไอพี

แต่หลังจากฮั่วชิงชิงออกมาจากห้องวีไอพี เธอไม่ได้ไปไหนแต่มาที่ห้องน้ำคนเดียว

เธอตบหน้าของเธอด้วยน้ำเย็น ทำให้อารมณ์ค่อนข้างซับซ้อนของเธอสงบลง จากนั้นเธอก็เดินออกมาอย่างช้าๆ

เธอยืนอยู่ที่ทางเดินครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และเห็นว่าฮั่วเหมี่ยวเหมี่ยวกำลังโทรมา ดังนั้นเธอจึงเลื่อนเพื่อรับสาย

เสียงของฮั่วเหมียวเหมียวยังคงน่ารักเหมือนเดิม “พี่สาว! ทายสิ วันนี้ฉันเจอใครอยู่ที่นอกโรงเรียน?”

ฮั่วชิงชิงรู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อยแล้วถามว่า “ใคร?”

“ก่อนหน้าเพื่อนร่วมชั้นของพี่ที่ชื่อว่าเฉินเจ๋อ พี่ยังจำได้ไหม? เขาเคยตามจีบพี่ด้วย!” ฮั่วเหมี่ยวเหมี่ยวพูดอย่างตื่นเต้น “เขายังจำพี่ได้! เขาถามฉันเกี่ยวกับสถานการณ์ของพี่ และฉันก็บอกว่าพี่โสดเขาดีใจมาก เขาเอาแต่พูดว่าให้ฉันนัดพี่ออกมา!”

ฮั่วชิงชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “บอกเขาว่าพี่ยุ่งและไม่มีเวลา!”

“พี่คะ” ฮั่วเหมียวเหมี่ยวพูดออดอ้อน“อย่าเป็นแบบนี้สิ เขาดีมากและหน้าตาดูไม่เลวเลย! ตอนนี้เขาเปิดบริษัทในเมืองที่โรงเรียนของฉันตั้งอยู่ เขาก็ทำได้ดีมาก พี่สาว ตอนนี้พี่ก็ไม่มีใคร ทำไมพี่ไม่ลองคิดดูบ้างล่ะ”

ฮั่วชิงชิงบีบโทรศัพท์ “เหมียวเหมี่ยว พี่เคยพูดแล้วนะว่าเรื่องของพี่เธออย่ามายุ่ง!”

“พี่สาว ปีนี้พี่อายุ 28 ปีแล้ว และรออีกสองปีถึงจะอายุ 30 ปีแล้ว พี่ไม่สามารถผัดวันประกันพรุ่งได้……” ฮั่วเหมี่ยวเหมี่ยวพูดลองใจ “พี่ยังลืมเขาไม่ได้…….”

ฮั่วชิงชิงหรี่ตาลง พูดขัดจังหวะคำพูดของฮั่วเหมียวเหมี่ยว “เหมียวเหมี่ยว พี่มีเรื่องต้องทำ ค่อยคุยกันภายหลัง”

พูดเสร็จก็วางสายไป

ในช่วงสองปีที่ผ่านมาฮั่วเหมียวเหมี่ยวยังคงถามถึงสถานการณ์ของหันจื่ออี้ ต่อมาเมื่อเห็นว่าหันจื่ออี้ไม่ปรากฏตัวอีกเลย น้องสาวตัวน้อยที่กระตือรือร้นของเธอก็เริ่มหาคู่ให้เธอ

แต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอไม่มีอารมณ์จะตกหลุมรักใครอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยเจอผู้ชายดีๆ สักคน แต่ไม่มีใครได้ใจเธอไปสักคน

ฮั่วชิงชิงเดินไปขึ้นลิฟต์

แต่เมื่อเธอเดินผ่านห้องวีไอพีห้องหนึ่ง เธอได้ยินเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของเธอว่า “คุณหัน เป็นเรื่องยากที่คุณจะกลับมาที่เมืองหนิงเฉิง มาดื่มแก้วนี้ฉลองกันซะหน่อยนะครับ!”

จากนั้นฮั่วชิงชิงก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยอีกเสียงหนึ่ง “ท่านประธานหันดื่มไม่ได้จริงๆ ค่ะ!”

ฝีเท้าของเธอหยุดกะทันหัน คนที่เพิ่งพูดคือผู้ช่วยพิเศษของหันจื่ออี้!

เขาอยู่ในห้องวีไอพีเหรอ? เขากลับมาแล้ว? !

เธอรู้สึกว่าเลือดของเธอกำลังพุ่งไปที่หัวของเธออย่างบ้าคลั่ง และครู่หนึ่งเท้าของเธอดูเหมือนจะแข็งจนขยับไม่ได้!

ในห้องวีไอพียังเสียงพูดตามมาว่า “ทำไมคุณดื่มไม่ได้ล่ะ ท่านประธานหัน? เราจำได้ว่าท่านประธานเคยดื่มเหล้ามาแล้ว ดื่มเก่งกว่าผมอีก!”

“ตอนนี้ผมดื่มไม่ได้จริงๆ ขอโทษด้วยครับ” ครั้งนี้เป็นเสียงของหันจื่ออี้ ซึ่งเหมือนกับในความทรงจำของเธอ แต่เสียงฟังดูต่ำลงเล็กน้อย

ฮั่วชิงชิงรู้สึกว่าหัวใจของเธอแทบจะพุ่งออกมาจากลำคอ ทำไมเขาถึงดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ล่ะ?

เธอยืนนิ่ง กลั้นหายใจ และตั้งสมาธิ ต้องการฟังเพิ่มเติมจากหันจื่ออี้

บางทีก็ถูกปฏิเสธหลายครั้งติดต่อกัน และชายในห้องวีไอพีก็โกรธเล็กน้อย “คุณหัน คุณไม่ไว้หน้าและไม่ให้เกียรติผมเลย! คุณบอกทีว่าธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ คุณยังไม่ยอมดื่มกับผมแม้เพียงจิบนิดเดียว งั้นสัญญานี้ก็……. ”

เขาไม่ได้พูดต่อ

อย่างไรก็ตามฮั่วชิงชิงไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยในอดีต เธอยังเข้าใจด้วยว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะโกรธจริงๆ และหากหันจื่ออี้ยังคงยืนกรานไม่ไว้หน้าเขา เกรงว่าจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำจริงๆ

ดังนั้นผู้ช่วยพิเศษหวังที่อยู่ข้างๆ หันจื่ออี้ไม่รู้จะทำยังไง จึงเริ่มอธิบายว่า “ขอโทษนะครับประธานหันไม่ใช่ไม่ให้เกียรติหรือไม่ไว้หน้านะครับ แต่เพราะได้รับการผ่าตัด……”

“หยุดพูดได้แล้ว!” หันจื่ออี้จู่ๆ ก็อารมณ์หุนหัน

ด้านนอกห้องวีไอพี หัวใจของฮั่วชิงชิงก็สั่นเมื่อได้ยินเรื่องนี้

เขาทำผ่าตัดอะไร?

เธอต้องการที่จะมองเข้าไปข้างใน แต่ช่องว่างในประตูห้องวีไอพีนั้นเล็กเกินไปสำหรับฮั่วชิงชิงที่จะเห็นว่าข้างในเป็นอย่างไร

“ประธานหัน เข้ารับการผ่าตัดจริงๆ เหรอ? ” ประธานเซินในห้องวีไอพีมองมาที่หันจื่ออี้แล้วขมวดคิ้ว “มันเป็นเรื่องจริง มองดูใกล้ๆ คุณดูผอมลงกว่าเมื่อก่อนมาก คุณไปทำอะไรมา?”

“ไม่เป็นไร” หันจื่ออี้เห็นได้ชัดว่าไม่เต็มใจที่จะพูด

“ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ? คนอื่นคลอดลูกผู้หญิงถึงร้องไห้ คลอดลูกชายแล้วร้องไห้มีที่ไหนกัน?” หมอรีบเช็ดตัวให้เด็กจนสะอาด จากนั้นก็อุ้มมาด้านหน้าซูสือจิ่น “ดูสิ เป็นเด็กชายที่สวยมากนะ!”

“แต่ว่าฉันคิดว่าถ้าเป็นเด็กผู้หญิงต้องสวยกว่าแน่…” ซูสือจิ่นมองหยานชิงเจ๋อน้ำตาอาบแก้ม “พี่หยานชิง ฉันอยากได้ลูกผู้หญิงทำยังไงดี?”

หมอเพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก อดหัวเราะไม่ได้ “งั้นก็รออีกสองปีค่อยมีอีกคน!”

“ไม่เอา คลอดลูกเจ็บมาก…” ซูสือจิ่นพูดอย่างอ่อนแรง

“ไม่เป็นไร ท้องสองไม่เจ็บมาก” หมอพูด “เมื่อกี้พวกเราดูแล้ว หลานเสี่ยวถางที่มาพร้อมกับเธอ เธอคลอดเสร็จตั้งหลายชั่วโมงแล้ว”

“หา?!” ซูสือจิ่นกะพริบตา “เธอคลอดเด็กชายหรือว่าเด็กหญิง?”

“เด็กผู้ชาย” หมอยิ้มแล้วพูด “ช่วงนี้เด็กผู้ชายเกาะกลุ่มกัน ช่วงนี้พวกเราเจอแต่เด็กผู้ชาย!”

พยาบาลอีกคนพยักหน้า “ใช่ค่ะ กลุ่มเดียวกันเป็นเพศเดียวกันหมดมักจะเป็นแบบนี้บ่อย ๆ เดือนที่แล้ว เหมือนว่าสัปดาห์หนึ่ง เป็นเพศหญิงหมด น่าอัศจรรย์มาก!”

“หมอคะ ที่คุณหมอพูดว่าท้องสองไม่ค่อยเจ็บ ใช่ไหมคะ?” ซูสือจิ่นถามอย่างอ่อนแรง

หมอพยักหน้า “อืม ดีกว่าเยอะ ท้องสองถ้าหากไม่ตัดฝีเย็บ วันที่สองก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้”

“แต่ว่า ถ้าหากท้องสองเป็นเด็กผู้ชายอีกจะทำยังไง?” ซูสือจิ่นลังเล

หยานชิงเจ๋อที่อยู่ด้านข้างพูดปลอบ “เสี่ยวจิ่น พวกเราไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้นก่อน รอให้ลูกโตก่อน ค่อยคิดเรื่องอื่น ร่างกายของคุณสำคัญ รักษาร่างกายให้แข็งแรงก่อน”

ได้ยินคำพูดอ่อนโยนของหยานชิงเจ๋อ ความไม่ยุติธรรมในหัวใจของซูสือจิ่นก็ดีขึ้น เธอมองดูลูกอย่างละเอียด ดูเหมือนจะดีกว่าตอนที่หรงฉิวเพิ่งเกิดมาแล้วมีรอยย่นนิดหน่อย

“เสี่ยวจิ่น เด็กผู้ชายก็ดี ต่อไปโตแล้ว ก็มีคนปกป้องเธอเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง” หยานชิงเจ๋อทัดไรผมตรงหน้าผากที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อไปที่หลังหูของซูสือจิ่นอย่างรอบคอบ

“ก็ได้ งั้นพวกเราตั้งชื่อให้เขากันเถอะ…” ซูสือจิ่นครุ่นคิด เดิมทีเด็กผู้หญิงจะให้ชื่อหยานมู่จิ่น ตอนนี้เป็นเด็กผู้ชายชื่อนี้เหมือนกับไม่ค่อยดี หรือว่า ในอนาคตจะต้องคลอดลูกคนที่สองเหรอ? ลังเลมาก”

หยานชิงเจ๋อพูด “เสี่ยวจิ่น เรื่องตั้งชื่อพวกเราค่อยเป็นค่อยไป เมื่อกี้คุณลำบากเลย พักผ่อนให้พอ ถ้าง่วงก็นอนสักพัก ตื่นขึ้นมาแล้วพวกเราค่อยคิดชื่อกัน”

ใช่ ก่อนหน้านี้เธอเหนื่อยแทบแย่ เมื่อกี้ถ้าหากไม่พูดว่าเพศของลูกเปลี่ยนไป เกรงว่าคงจะหมดแรงไปตั้งนานแล้ว ซูสือจิ่นได้ยินหยานชิงเจ๋อพูดแบบนี้ จึงพยักหน้า “ตกลง ฉันนอนก่อนนะ ลูกจะกินนมแล้วค่อยปลุกฉัน”

ตอนนี้หมอจัดการสายสะดือของเด็กเสร็จ แล้วก็ช่วยซูสือจิ่นเช็ดร่างกายจนสะอาด จากนั้นก็วางเด็กลงข้างซูสือจิ่น ทุกคนเข็นเธอเข้าห้องพักด้วยกัน

ห้องข้างๆ หลานเสี่ยวถางตื่นนอนแล้ว

หนุ่มน้อยก็เหมือนจะหิวแล้ว เขาหลับตา ร้องไห้เสียงดังกังวาน

ได้ยินลูกชายตัวน้อยร้อง สือมูเฉินมองไปทางหวันหว่านที่อยู่ในอ้อมแขน รู้สึกปวดใจ

ที่แท้ เสียงร้องของเด็กก็คือเสียงธรรมชาติแบบนี้ เสียดายที่ตอนนั้นเขากับหลานเสี่ยวถางเพิ่งเป็นพ่อแม่คนครั้งแรกไม่มีประสบการณ์อะไร คิดเพียงแค่หวันหว่านไม่ร้องก็เพราะเป็นเด็กดี!

ใจสื่อถึงกัน ในตอนที่หลานเสี่ยวถางได้ยินลูกชายร้อง ดวงตาร้อนผ่าวในทันที

เธอยื่นแขนอุ้มลูกขึ้นมา จากนั้นก็วางในอ้อมแขน ให้นมลูกกิน

เป็นสัญชาตญาณ ที่ไม่ต้องมีคนสอน

ดังนั้นเมื่อลูกหานมเจอก็เริ่มดูดในทันที

ส่วนในตอนนี้ หวันหว่านที่อยู่ในอ้อมกอดของสือมูเฉินเห็นน้องชายกำลังกินนม เหมือนรำลึกความทรงจำขึ้นมาได้

เธอเงยหน้ามองปะป๋า ท่าทางน้อยใจ จากนั้นก็ชี้ไปทางน้องชาย ในดวงตากลมโตคือความเสียใจที่แม่ของตัวเองถูกยึดไป

สือมูเฉินเข้าใจ จึงกอดหวันหว่านแล้วรีบอธิบาย “หวันหว่าน เขาเป็นน้องชายของลูกไง ลูกลืมแล้วเหรอ น้องชายที่อยู่ในท้องมะม๊าเมื่อก่อน ตอนนี้น้องออกมาจากท้องมะม๊าแล้ว น้องหิวแล้วก็ต้องกินนม เหมือนกับหวันหว่านตอนเล็ก ๆ แต่ว่าหวันหว่านโตแล้ว ไม่ต้องกินนมแล้ว พวกเราให้น้องกินดีไหม?”

หวันหว่านครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่พักใหญ่ ถึงได้พยักหน้า แล้วมองไปทางน้องชายที่อยู่ในอ้อมกอดของหลานเสี่ยวถางอีกครั้ง

เธอชี้ไปทางนั้น เหมือนอยากจะให้สือมูเฉินอุ้มเธอเข้าไป

สือมูเฉินพาเธอเข้าไปใกล้ ๆ เธอมองน้องชายอย่างสงสัย แล้วมองไปทางท้องที่แบนเรียบของหลานเสี่ยวถาง เธอหัวเราะขึ้นในทันที

เฉียวโยวโยวที่อยู่ด้านข้างเห็นช่วงเวลาที่อบอุ่นแบบนี้ จึงอดหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปรวมครอบครัวสี่คนไม่ได้

หลานเสี่ยวถางกับซูสือจิ่นคลอดธรรมชาติ ดังนั้นออกจากโรงพยาบาลค่อนข้างเร็ว

วันที่สามที่ออกจากโรงพยาบาล สือมูเฉินมาถึงTimes Group ก็ได้รับบัตรเชิญใบหนึ่งที่พี่ใหญ่สือมูชิงเป็นคนส่งมา

เขาเปิดบัตรเชิญออก ดูข้อความด้านบน จึงส่งข้อความไปหาหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถาง เพ่ยหลินจะแต่งงานแล้ว”

“หา? กะทันหันขนาดนี้เลย?!” หลานเสี่ยวถางพูด “เมื่อไหร่?”

“กลางเดือนหน้า” สือมูเฉินพูด “พอดีกับที่ถึงเวลาคุณก็ออกจากการอยู่ไฟแล้ว”

อันที่จริงหลานเสี่ยวถางไม่ชอบการอยู่ไฟ เวลาหนึ่งเดือน แม้แต่โทรศัพท์ก็ไม่ค่อยให้เธอดู นอกจากให้นมลูกแล้วก็ให้นมลูกอีก

กว่าที่การอยู่ไฟจะสิ้นสุด เธอรู้สึกเหมือนได้รับการปล่อยตัวหลังจากรับโทษ

วันนี้เป็นงานแต่งงานของสือเพ่ยหลิน สือมูเฉินกับคนอื่น ๆ เป็นคนในครอบครัวของด้านสือเพ่ยหลิน จึงไปต้อนรับแขกที่งานแต่งตั้งแต่เช้า

เพราะเป็นฤดูหนาว งานแต่งจึงจัดในโรงแรมใหญ่ที่หนิงเฉิง

เพราะหลานเสี่ยวถางต้องให้นมลูก ดังนั้นในตอนที่มาถึง งานแต่งได้เริ่มขึ้นแล้ว

ห่างจากครั้งที่แล้ว นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอสือเพ่ยหลิน

ก่อนหน้านี้ เขาเอาหุ้นส่วนหนึ่งในTimes Group ของตัวเองขายให้สือมูเฉิน อีกส่วนให้ตลาด ตั้งบริษัทจัดเลี้ยงแบบครบวงจรของตัวเอง ตอนนี้บริษัทเป็นชิ้นเป็นอันดี

ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่มาก นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะจดทะเบียนตลาดหุ้น

ดังนั้นในงานหลายคนเป็นเพื่อนธุรกิจของสือเพ่ยหลิน หลานเสี่ยวถางไม่รู้จักเยอะมาก หลังจากที่มาถึง ก็ไปอยู่ข้างสือมูเฉินโดยตรง

งานแต่งเริ่มขึ้นแล้ว เพื่อนเจ้าบ่าวที่อยู่ข้างสือเพ่ยหลินก็คือผู้ช่วยพิเศษของเขา บางทีอาจเป็นเพราะในงานแต่งงานเจ้าบ่าวแต่งหน้า หลานเสี่ยวถางเห็นสือเพ่ยหลินกลับไปเป็นเหมือนก่อนที่จะไม่สบายเมื่อหลายปีก่อน

ด้านหลังของเขา เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่คุ้นหน้ามากๆ ภายใต้การประคองของเพื่อนเจ้าสาว ค่อย ๆ เดินไปทางเขา

หลานเสี่ยวถางดูแล้ว เด็กสาวน่าจะอายุยี่สิบสองยี่สิบสาม หน้าตาค่อนข้างสดใส ไม่มีจุดเด่นอะไรมากนัก

เธอเดินมาข้างสือเพ่ยหลิน หันหน้ามามองเขา ในดวงตาเผยรอยยิ้ม

หลานเสี่ยวถางอึ้งในทันที เธอเหมือนเห็นตัวเองเมื่อหลายปีก่อน

อายุราว ๆ นี้ รอคอยการแต่งงานที่สวยงาม เพียงแต่ทุกอย่างในภายหลัง หลังจากที่สือเพ่ยหลินประสบอุบัติเหตุ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด

เพียงแต่ทุกอย่างยังดีอยู่ ในที่สุดเธอก็ได้พบกับผู้เป็นที่รักที่จะอยู่กับเธอตลอดชีวิต

และเขาเหมือนจะได้พบเจอเด็กผู้หญิงที่ใสซื่อที่สามารถคู่ครองกันได้

หลาย ๆ เรื่องในชีวิต เดาได้ถึงตอนแรก แต่กลับเดาตอนจบไม่ถูก

เพียงแต่ หวังว่าครั้งนี้สือเพ่ยหลินจะไม่ทำร้ายเด็กสาวถึงจะ…

จากนั้น พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายพูดบรรยาย พ่อแม่ของเด็กสาวส่งมอบลูกสาวตัวเองถึงมือสือเพ่ยหลิน

บาทหลวงถามคำถามท่อนนั้นในคัมภีร์

บนเวที สือเพ่ยหลินมองดูหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า ในภวังค์ ราวกับได้เห็นหลานเสี่ยวถางในอดีตอีกครั้ง

เพียงแต่ตอนนั้นที่พวกเขาคบกัน แม้แต่งานแต่งงานก็ไม่ได้จัด เขาก็นอนอยู่ถึงสองปี จากนั้นเพราะความบิดเบือนในใจของเขา สุดท้ายพวกเขาก็แยกทางกัน

เขารู้สึกเจ็บแปล๊บในใจ แต่เสียงกลับนุ่มนวลน่าฟัง “ผมยินยอม”

คำถามเดียวกัน เด็กสาวตรงหน้ากลับดูจริงจังเป็นพิเศษ “ฉันยินยอมค่ะ”

“เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้”

หลังจากที่คำพูดนี้จบลง โซนของแขกที่อยู่ด้านล่าง ก็ส่งเสียงเชียร์พร้อมกัน

สือเพ่ยหลินกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นหลานเสี่ยวถางที่อยู่หน้ากลุ่มคน

เธอกำลังมองดูเขาอยู่ ในดวงตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม เต็มไปด้วยคำอวยพร

เหมือนกับว่าที่ผ่านมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมองเขาอย่างจริงจัง

ในหัวสมองของเขา เพียงแวบเดียว ก็มีภาพมากมายผ่านไป

เขานึกภาพที่ได้เจอเธอครั้งแรก นึกถึงนัดเดทครั้งแรกของพวกเขา นึกถึงทะเบียนสมรสที่มีตราประทับ นึกถึงการดูแลเอาใจใส่ของเธอในสองปีนั้น…

แต่ว่า ที่นึกมากกว่า ก็คือเขาตั้งใจมีชู้กับเฉินจื่อรั่วเพื่อทำร้ายเธอ นึกถึงตอนที่เธอนอนจมกองเลือดแล้วเขาไม่ช่วยเธอ นึกถึงตอนที่เขาฤทธิ์ยาเสพติดกำเริบ ที่เกือบจะจูบเธอ…

เธอเปลี่ยนเขาจากเด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง จนกลายเป็นชายชั่ว

แล้วก็เป็นเธอ เปลี่ยนจากผู้ชายที่ชั่วจนชั่วไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เปลี่ยนเป็นคนดีคนใหม่

เพียงแต่ คนที่อยู่ด้านข้าง ไม่ใช่เธอที่ยิ้มให้เขาภายใต้แสงสว่างคนนั้นอีกแล้ว…

เขาหันมามองหญิงสาวตรงหน้า ภรรยาคนใหม่ของเขา

เขาคิดถึงเขาจะไม่รักเธอ แต่ก็จะรับผิดชอบเธอตลอดชีวิต ไม่นอกใจ ไม่ทำเรื่องผิดกับเธอ ยิ่งไม่มีทางทำร้ายจิตใจเธอเหมือนกับคนบ้า

เพราะว่ามีคนหนึ่ง ใช้บทเรียนที่ลืมไม่ลง สอนให้เขารู้จักรัก…

เขาก้มหน้า ประคองใบหน้าหญิงสาวตรงหน้า แล้วจูบลง

เขาแบกไม่ออกว่าเขากำลังจูบใคร แม้กระทั่ง ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเขากำลังจูบใคร ตอนนั้น ความกระตือรือร้นทั้งหมดในชีวิตดูเหมือนถูกแผดเผา พุ่งไปหาแสงสว่างของชีวิต เพื่อบอกลา และเพื่อเริ่มใหม่

โซนของแขก มีเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้น บรรยากาศในงานแทบจะระเบิด

เป็นเวลานาน ทั้งสองถึงแยกออกจากกัน เจ้าสาวถูกจูบจนหน้าแดง น้ำตาคลอเบ้า มองสือเพ่ยหลินอย่างเขินอาย แทบอยากจะหลบออกไป

ส่วนสือเพ่ยหลิน บังอยู่ด้านหน้าเธอ จากนั้นก็มองไปทางแขกที่อยู่ด้านล่าง ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เจ้าสาวขี้อาย ทุกคนอื่นหยุดหัวเราะพวกเราได้แล้ว!”

เสียงดนตรีดังขึ้น ลานเต้นรำแสงเปลี่ยนไป ทั้งสองเดินไปตรงกลางลานเต้นรำ

ด้านล่าง หลานเสี่ยวถางยิ้มพูดกับสือมูเฉิน “เมื่อกี้เห็นเขาร้อนแรงอยู่ เดาว่าน่าจะชอบสาวคนนั้นนะ”

สือมูเฉินนึกถึงสายตาที่สือเพ่ยหลินมองหลานเสี่ยวถางก่อนหน้านี้ พูดอย่างลึกซึ้ง “ไม่ใช่ก็ต้องใช่”

หลานเสี่ยวถางเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเขา พอดีกับที่ มีคนมายั่วยวนสือมูเฉิน เธอทิ้งคำถามไว้ข้างหลัง

บนเวที ทั้งสองเต้นรำได้เข้าขากันอย่างมาก บรรยากาศก็ค่อย ๆ คึกคักขึ้น มีหลายคนเริ่มเข้าไปในลานเต้นรำ ส่วนสือเพ่ยหลิน หลังจากที่เต้นจบหนึ่งเพลง ก็เดินลงมา แล้วเดินไปทางที่หลานเสี่ยวถางนั่งอยู่

ตอนกลางวันหลานเสี่ยวถาง เฉียวโยวโยวและซูสือจิ่น พาเด็กสามคนเล่นด้วยกัน

หวันหว่านก็ชอบน้องชายน้องสาวมาก ในฐานะที่เธอเป็นพี่ เธอเดินสะเปะสะปะไปมาได้แล้ว จึงช่วยน้อง ๆ หยิบของเล่นอยู่บ่อย ๆ เธอยุ่งเป็นอย่างมาก

เวลางดงามยิ่งกว่าเดิม ท้องของหลานเสี่ยวถางกับซูสือจิ่นก็โตขึ้นขึ้นทุกวัน

วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์พอดี หลานเสี่ยวถางกับซูสือจิ่นถ่ายรูปกันอยู่ที่สนามหญ้า ส่วนเฉียวโยวโยวคือตากล้องของพวกเธอ

หลานเสี่ยวถางเพิ่งได้รับข่าวว่า เพื่อนร่วมสาขาของมหาลัยสมัยก่อนส่งข่าวมา ผู้หญิงชื่อเถาอวี่มั่ว เธอบอกว่าเธอหมั้นกับมั่วหลิงชวนแล้ว กำลังจะแต่งงาน

พอดีกับช่วงที่หลานเสี่ยงถางตั้งท้อง ได้ศึกษาโปรแกรมของมั่วหลิงชวน ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเพิ่งจะศึกษาส่วนท้ายเสร็จ แถมยังวางแผนไว้ว่าจะเอาไปให้เขาอยู่!

สือมูเฉินมีเพื่อนที่ทำงานด้านรถยนต์ เธอส่งโปรแกรมไปให้ วางในตลาด เพื่อเป็นของขวัญแต่งงานให้กับมั่วหลิงชวนเหมาะสมเป็นอย่างมาก!

เธเก็บโทรศัพท์ลง หลานเสี่ยวถางคล้องแขนซูสือจิ่น ทั้งสองทำท่าทาง เฉียวโยวโยวกดปุ่มชัตเตอร์

เธอมองดูทั้งสองบนหน้าจอ LED หัวเราะพูดขึ้น “สือจิ่น ทำไมฉันรู้สึกว่าท้องของเธอใหญ่กว่าเสี่ยวถางนะ?”

“ใหญ่กว่าเหรอ?” ซูสือจิ่นก้มหน้ามองท้องตัวเอง แล้วมองหลานเสี่ยวถางที่อยู่ด้านข้าง กำลังจะพูดว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่าท้องของหลานเสี่ยวถางใหญ่กว่า จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดท้องเป็นระยะ

หลานเสี่ยวถางที่อยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าของซูสือจิ่นไม่ดี จึงพูดขึ้น “เป็นอะไรเหรอสือจิ่น?”

“แย่แล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะคลอดแล้วหรือเปล่า!” ซูสือจิ่นกุมท้อง สีหน้าวิตกกังวล “ปวดท้อง…”

“จะคลอดเหรอ? ฉันโทรศัพท์เดี๋ยวนี้!” เฉียวโยวโยววางกล้องลง แล้วรีบโทรหาหยานชิงเจ๋อ

เวลานี้หยวนชิงเจ๋อกำลังอ่านหนังสือการเลี้ยงลูกอยู่ที่ห้องหนังสือ เห็นเฉียวโยวโยวโทรมา ก็วิตกในทันที “ทำไมเหรอ?”

“พี่ชิงเจ๋อ สือจิ่นของพี่ปวดท้อง เหมือนว่าจะคลอดแล้ว! พวกเราอยู่ที่สนามหญ้า พี่รีบมาเร็ว!” เฉียวโยวโยวพูด

“ตกลง ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!” หยานชิงเจ๋อวางโทรศัพท์ แล้วลุกขึ้นยืนในทันที เพราะว่าเคลื่อนไหวเร็วไปหน่อย เข่าชนมุมโต๊ะเขียนหนังสือตรงหน้า เขาปวดแปล๊บในทันที

เขารอให้ความเจ็บปวดบรรเทาไม่ทัน จึงรีบเดินออกไปอย่างเร็ว เขาเดินไปด้วย พูดกับแม่บ้านไปด้วย “คุณผู้หญิงน่าจะใกล้คลอดแล้ว เธอรีบเตรียมตัวเร็วเข้า!”

“ค่ะ!” แม่บ้านเคยผ่านมาก่อน เมื่อได้ยินคำพูดของหยานชิงเจ๋อ จึงรีบไปเตรียมตัว

หยานชิงเจ๋อเดินเร็วไปที่สนาม เห็นซูสือจิ่นกุมท้อง ยืนอยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับเขยื้อน จึงพูดขึ้นอย่างกังวล “เสี่ยวจิ่น ปวดท้องมากเหรอ? จะคลอดแล้วใช่ไหม? ฉันอุ้มเธอ?”

“พี่ชิงเจ๋อ…” ซูสือจิ่นเห็นหยานชิงเจ๋อ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรงในทันที เธอซบอกหยานชิงเจ๋อ พูดอย่างน่าสงสาร “จู่ ๆ ก็ปวดมาก ฉันขยับไม่ได้แล้ว…”

“ไม่เป็นไร สามีอุ้มนะ! พวกเราไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้!” เดิมที่หยานชิงเจ๋อวางแผนจะให้ซูสือจิ่นไปอยู่ที่โรงพยาบาลวันจันทร์ แต่ว่าอีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะครบกำหนดคลอด เขาคิดไม่ถึงว่าซูสือจิ่นจะเร็วขนาดนี้

เขาอุ้มซูสือจิ่นขึ้น จากนั้นก็เดินไปลานจอดรถอย่างรวดเร็ว

หลานเสี่ยวถางที่อยู่ด้านหลังกำลังจะพูดว่าให้พวกเขาไปโรงพยาบาลก่อน เดี๋ยวเธอกับสือมูเฉินตามไป จู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าท้องของตัวเองหดตัวเป็นระยะ

ความเจ็บปวดแบบนี้สำหรับเธอแล้วเธอคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ดังนั้นการเจ็บท้องเป็นระยะเริ่มขึ้น เธอรู้แล้วว่า เธอก็จะคลอดแล้ว! คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้!

เฉียวโยวโยวคาดไม่ถึงว่าหลานเสี่ยวถางก็คลอดก่อนกำหนด เธอรีบพยุงหลานเสี่ยวถาง จากนั้นก็โทรหาสือมูเฉินในทันที

ที่คฤหาสน์ สือมูเฉินได้ยินหวันหว่านตื่นแล้ว เขากำลังจะไปอุ้มลูกสาว ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

เมื่อเห็นเฉียวโยวโยวโทรมา เขาจึงอุ้มหวันหว่านไปด้วย ฟังไปด้วย “โยวโยว?”

“พี่สือ เสี่ยงถางจะคลอดแล้ว!” เฉียวโยวโยวพูด “พวกเราอยู่ที่สนามหญ้าด้านนี้ จะกลับไปเดี๋ยวนี้ค่ะ!”

“พวกเธออยู่ที่สนามหญ้าแหละ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!” สือมูเฉินพูด แล้วให้แม่บ้านดูแลหวันหว่าน เขาหยิบกุญแจรถรีบวิ่งออกไป

เพราะว่านี่คือท้องสองของหลานเสี่ยวถางแล้ว เธอจึงสงบกว่าซูสือจิ่น ตอนนี้เธอทนความเจ็บไปด้วย ให้เฉียวโยวโยวพยุงเธอเดินกลับไปที่บ้านไปด้วย

ไม่ช้า สือมูเฉินก็มาถึงแล้ว เขายื่นแขนจะอุ้มหลานเสี่ยวถาง แต่เธอกลับส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเก็บแรงไว้อุ้มลูก!”

ขณะที่กำลังพูด หลานเสี่ยวถางก้มหน้า ก็เห็นสือมูเฉินยังสวมรองเท้าแตะ จึงอดหัวเราะไม่ได้ “มูเฉิน คุณกลับไปเปลี่ยนรองเท้าที่บ้านก่อนไหมคะ?”

ถึงแม้จะไม่ได้เป็นกังวล แต่ว่าความเจ็บปวดไม่มีทางลดลงเพราะความผ่อนคลายของหลานเสี่ยวถาง เธอเพิ่งพูดประโยคนั้นจบ ท้องก็เริ่มหดตัวอย่างแรง เธออดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน

“ใส่รองเท้าแตะก็รองเท้าแตะเถอะ” สือมูเฉินอุ้มหลานเสี่ยวถางขึ้น แล้วจ้ำอ้าวเดินไปทางที่จอดรถ

เพราะว่าเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน หยานชิงเจ๋อกับสือมูเฉินไม่มีเวลาเรียกคนขับรถ ส่วนฟู่สีเกอ หลังจากได้รับสายจากเฉียวโยวโยว ก็รีบตามมา

เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าหยานชิงเจ๋ออาจจะจัดการซูสือจิ่นไม่ได้ จึงเป็นคนขับรถให้หยานชิงเจ๋อ ส่วนเฉียวโยวโยว ไปกับหลานเสี่ยวถางและสือมูเฉิน นั่งรถอีกคันไปโรงพยาบาล

ฟู่สีเกอขับรถ หยานชิงเจ๋อนั่งด้านหลัง จับมือของซูสือจิ่นไว้ “เสี่ยวจิ่น ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว อดทนหน่อยนะ!”

“พี่ชิงเจ๋อ ฉันปวดท้องมาก ฮือ ๆ…” ซูสือจิ่นซบอกหยานชิงเจ๋อ “ที่แท้ก็เจ็บขนาดนี้ ฉันไม่เอาลูกคนที่สองแล้ว! เจ้าหญิงน้อยคนเดียวก็ดีแล้ว!”

ก่อนหน้านี้ พวกเขาตรวจอัลตราซาวด์ หมอบอกว่าเป็นเจ้าหญิงน้อย

“ตกลง ไม่เอาก็ไม่เอา มีคนเดียวก็พอ!” หยานชิงเจ๋อตอบรับ

“พี่สีเย็น พี่ห้ามหัวเราะเยาะฉัน!” ซูสือจิ่นพิงหยานชิงเจ๋อ แต่ว่ากลับเห็นฟู่สีเกอในกระจกมองหลังเหมือนกับกำลังแอบขำอยู่ จึงพูดโมโห “ลูกแฝดชายหญิงของพี่แล้วยังไง เป็นเพราะโยวโยวเก่ง ไม่เกี่ยวกับพี่เลย!”

ฟู่สีเกอกระตุกมุมปาก “ปวดท้องแล้วยังพูดได้เยอะขนาดนี้ ดูท่าจะแกล้งปวด!”

“ไม่เจ็บได้ยังไง พี่มาลองดูไหม?!” ซูสือจิ่นตัดพ้อ เงยหน้ามองไปทางหยานชิงเจ๋อ “พี่ชิงเจ๋อ เขารังแกฉัน!”

หยานชิงเจ๋อพูดกับฟู่สีเกอในทันที “สีเกอ เสี่ยวจิ่นจะคลอดลูกอยู่แล้ว ทำไมยังยั่วโมโหเธอ? รีบขอโทษเธอเร็ว!”

เรื่องแบบนี้ ฟู่สีเกอเคยชินตั้งนานแล้ว จึงพูดขึ้น “ก็ได้ เป็นเพราะฉันไม่ดี ไม่ควรว่าคุณหนูซูที่สวยที่สุดของพวกเรา คุณหนูซูเก่งที่สุด! คุณหนูซูอายุยืน!”

“พี่ชิงเจ๋อ เขาทำแบบขอไปที…” ซูสือจิ่นถูไถหัวกับร่างกายของหยานชิงเจ๋อ จู่ ๆ ก็ปวดท้องเป็นระยะอีก เธอกุมท้องที่นูนขึ้น เธอหมดแรงพูดในทันที

“สีเกอ ขับเร็วหน่อย!” หยานชิงเจ๋อพูดจบ ก็เปลี่ยนน้ำเสียง พูดกับซูสือจิ่นอย่างอ่อนโยนในทันที “เสี่ยวจิ่น ไม่ต้องกลัว ฉันจะอยู่กับเธอตลอด…”

ฟู่สีเกอที่อยู่ด้านหน้ากลอกตามองบน…

ส่วนในรถอีกคันที่สือมูเฉินเป็นคนขับ บรรยากาศปรองดองอย่างมาก

หลานเสี่ยวถางกับเฉียวโยวโยวอยู่ด้านหลัง เฉียวโยวโยวเล่าเรื่องตลกของถางเป่ากับหรงฉิวให้หลานเสี่ยวถางฟังเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ

หลานเสี่ยวถางเจ็บมาก แต่ก็อดทนไว้ ฟังคำพูดของเฉียวโยวโยว ความคิดกระจัดกระเจิงไปเยอะมาก

ผ่านไปสิบนาที ทุกคนมาถึงโรงพยาบาลกันติด ๆ

สือมูเฉินให้เฉียวโยวโยวไปจอดรถ ตัวเองกับแม่บ้านที่นั่งอยู่ด้านหน้า พาหลานเสี่ยวถางไปที่แผนกสูตินรีเวช

ขณะเดียวกัน หยานชิงเจ๋อก็อุ้มซูสือจิ่นมา ทั้งสองมองตากัน ก็ยิ้มให้กัน

หลานเสี่ยวถางกับซูสือจิ่นแยกกันไปคนละห้อง เพราะว่าตอนนี้สามีสามารถเป็นเพื่อนคลอดได้ ดังนั้นสือมูเฉินกับหยานชิงเจ๋อก็เข้าไปด้วย

บนเตียงคลอด สือมูเฉินจับมือของหลานเสี่ยวถางไว้ ใช้มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่เช็ดเหงื่อให้เธอ

เป็นเพราะท้องสอง ดังนั้นปากมดลูกของเธอจึงเปิดเร็วมาก หลังจากที่เจ็บปวดอยู่หนึ่งชั่วโมง ปากมดลูกก็เปิดสามเซนแล้ว

สือมูเฉินมองดูภรรยาที่เหงื่อท่วมตัวบนเตียงคลอด จึงอดคิดถึงตอนที่เธอคลอดหวั่นหวานไม่ได้

ตอนนั้นหลานเสี่ยวถางถูกตระกูลเพอร์เซลล์กักตัวไว้ เขาไปเจอเธอไม่ทัน ตอนนั้นเธออยู่บนเตียงคลอดคนเดียว ต้องรู้สึกไร้ที่พึ่งมากใช่ไหม?

เขาเริ่มเจ็บปวดหัวใจ มองดูความลำบากของหลานเสี่ยวถาง แทบอยากจะสลับตัวกับเธอ

“เสี่ยวถาง ผมรักคุณ” สือมูเฉินพูด แล้วก้มจูบหน้าผากของหลานเสี่ยวถาง

หยาดเหงื่อติดริมฝีปาก รสชาติเค็ม ๆ

หลานเสี่ยวถางยิ้มกับสือมูเฉินอย่างยากลำบาก “ฉันก็รักคุณค่ะ”

“เสี่ยวถาง ผมเล่าเรื่องให้คุณฟัง!” สือมูเฉินเริ่มเล่าเรื่องเมื่อก่อนที่เขาเริ่มสร้างบริษัท เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนสมาธิของเธอ

วิธีนี้เหมือนจะได้ผลจริง ๆ หลานเสี่ยวถางถูกเขาดึงดูดความสนใจ เวลาผ่านไปปากมดลูกเปิดถึงเจ็ดเซ็นแล้ว

หมอมาตรวจดู เฝ้าดูสถานการณ์ของหลานเสี่ยวถางตลอดเวลา

เวลาผ่านไปทีละนิด ในที่สุดก็เปิดครบสิบเซน

“เห็นหัวเด็กแล้ว…” ได้ยินประโยคนี้ของหมอ ในที่สุดหลานเสี่ยวถางก็โล่งอก จากนั้นก็รวมพลังอีกครั้ง รอช่วงเวลาการคลอดที่จะมาถึง

หมอตรวจดูครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น “ไม่ต้องตัดฝีเย็บ ระวังตัว ผู้คลอดเริ่มออกแรงได้เบ่งได้แล้ว…”

เป็นเพราะการคลอดครั้งที่สอง เทียบกับครั้งแรกที่เจ็บจนแทบจะเป็นลมอยู่บนเตียงคลอด ครั้งนี้ผ่อนคลายกว่าเยอะ

หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าจู่ ๆ มีอะไรบางอย่างไหลออกมาอย่างแรง แล้วรู้สึกเบาสบายในทันที

ในตอนนี้เอง เสียงร้องไห้ดังขึ้น ดังกังวานทั่วห้องคลอด

สือมูเฉินมองเห็นลูกชายที่ตัวเปอะเปื้อน แถมยังมีเลือดติดอยู่ถูกอุ้มออกมา ดวงตารู้สึกร้อนผ่าวในทันที

เขาก้มจูบหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถาง พวกเรามีลูกชายลูกสามครบแล้ว ขอบคุณนะ ลำบากคุณเลย!”

เพียงแต่ในห้องคลอดอีกห้องหนึ่ง ซูสือจิ่นปากมดลูกเพิ่งจะเริ่มเปิด

เธอเจ็บจนโอดครวญ หยานชิงเจ๋อที่เป็นพ่อคนครั้งแรกไม่รู้จะทำยังไง ทำได้เพียงกุมมือของซูสือจิ่นไว้ แล้วปลอบเธอไม่หยุด

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในตอนที่ซูสือจิ่นพูดว่าเจ็บจนทนไม่ไหวจะผ่าคลอด หมอก็พูดขึ้นในที่สุด ว่าให้เริ่มออกแรงเบ่งได้แล้ว

ซูสือจิ่นรู้สึกว่าได้ผ่านการทรมานมาอย่างยาวนาน ในที่สุดในตอนที่ได้ยินเสียงร้องดังกังวานของลูก เธอก็ร้องไห้ตาม “เจ็บมาก ฮือๆ ฉันไม่อยากคลอดลูกอีกแล้ว!”

หยานชิงเจ๋อที่อยู่ด้านข้างกุมมือเธอไว้แน่นอยู่ตลอด พูดกล่อมเธอ “ตกลง พวกเราไม่เอาแล้ว เสี่ยวจิ่นไม่ร้องนะ ต่อไปจะไม่เจ็บอีกแล้ว”

เพียงแต่ประโยคหนึ่งของหมอกลับทำลายบรรยากาศในห้อง “เอ๋ ก่อนหน้านี้ที่ตรวจอัลตราซาวด์เป็นเด็กผู้หญิง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย!”

ซูสือจิ่นตะลึงอย่างถึงที่สุด จนลืมความเจ็บไปเลย “อะไรนะ?!” ของทุกอย่าง เตรียมไว้ให้เด็กผู้หญิงทั้งหมด!

อีกอย่างเธออยากได้เจ้าหญิงตัวน้อยที่สวยงามนะ…

คิดแบบนี้ น้ำตาเธอก็ไหลออกมาอีกแล้ว เต็มไปด้วยความกล้ำกลืน “พี่ชิงเจ๋อ ลูกสาวของฉันทำไมถึงกลายเป็นลูกชายแล้ว ฉันไม่ยอม…”

สือมูเฉินเข้าใจความหมายของหมอในทันที แต่ทว่า เมื่อคิดถึงว่าลูกสาวของตนเองนั้นจะพูดไม่ได้เป็นสิบปี คิดอยากจะพูดก็ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ ทันใดนั้นเองหัวใจก็เริ่มรู้สึกอากาศขาดห้วง

เขาหันไปเอ่ยกับหมอว่า “สามารถคุยกับแบบเป็นการส่วนตัวสองคนหน่อยได้ไหมครับ?”

แพทย์พยักหน้า ก่อนจะนำสือมูเฉินเข้าไปในห้อง

สือมูเฉินเอ่ยถามว่า “ในตอนแรกก่อนหน้าที่ภรรยาของผมจะตั้งครรภ์ เคยถูกคนบีบบังคับให้ทานยาคุมระยะยาวครับ หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์เธอก็ตั้งครรภ์แล้ว ดังนั้น ตอนแรกที่ตั้งครรภ์พวกเราก็ลังเลว่าจะเอาเด็กกันดีไหม แต่ทว่าสุดท้ายแล้วก็ตัดใจไม่ได้ บวกเข้ากับไม่มีหลักฐานทางการรักษาไหนเลยที่จะสามารถรับประกันว่ายาคุมนั้นจะส่งผลกระทบและปัญหาต่อครรภ์ ดังนั้นพวกเราก็เลยเลือกที่จะเก็บเด็กเอาไว้ครับ ตอนนี้เสียงของเธอมีปัญหาแบบนี้แล้ว เป็นเพราะว่าเรื่องก่อนหน้านี้ที่มีความเกี่ยวข้องกันด้วยหรือเปล่าครับ?”

แพทย์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “สถานการณ์เช่นนี้ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นในบันทึกมาก่อน แต่ทว่า ก็ไม่สามารถลบเหตุผลอย่างอื่นไปด้วยนะครับ ดังนั้นแล้ว ไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้โดยทันทีหรอกนะครับ”

สือมูเฉินพยักหน้า “ครับผม ขอบคุณนะครับ ถ้าอย่างนั้นแล้ว วันนี้พวกเราควรที่จะทำอย่างไรหรือครับ?”

หมอเอ่ยว่า “เป็นเพราะว่าเด็กไม่สามารถพูดได้ ถ้าหากว่าในอนาคตอยู่ร่วมกันกับเด็กคนอื่น ๆ อาจจะเกิดสถานการณ์ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือว่าจะปิดกั้นตนเองประมาณนั้นได้ครับ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่เป็นเพื่อนกับเธอให้มาก ๆ ช่วยให้เธอเป็นไม้ที่เชื่อมั่นในตนเอง แล้วก็บอกกับเธอด้วยว่า เธอก็เพียงแค่ไม่สามารถพูดคุยได้ชั่วคราวก็เท่านั้น”

ตั้งแต่ที่ออกมาจากโรงพยาบาล หัวใจของทุกคนล้วนแล้วแต่หนักอึ้งกันเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานเสี่ยวถาง สบตามองเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน รู้สึกว่าหัวใจรวดร้าวในทันที

ทางด้านข้าง สือมูเฉินบีบมือของเธอเอาไว้พลางเอ่ยว่า “เสี่ยวถาง อย่าเศร้าเสียใจไปเลยนะครับ หมอเองก็บอกแล้ว หลังจากที่อายุสิบสามแล้ว ก็สามารถเข้าทำการผ่าตัดได้ เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว หวันหว่านก็จะสามารถพูดคุยได้เหมือนเด็กคนอื่น ๆ แล้วนะครับ แล้วก็จะสามารถเรียกพวกเราว่าปะป๊ามะม๊าได้อีกด้วย”

“แต่ว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วตั้งแต่ตอนนี้จนไปถึงอายุสิบสามปี อีกทั้งตอนช่วงอายุยี่สิบปี……”หลานเสี่ยวถางคิดมาจนถึงตรงนี้ จู่ ๆ หัวใจก็บีบรัดตัวในทันที

“หมอบอกว่า พวกเราจะต้องใช้เวลากับเธอมากขึ้น เจ้าตัวน้อยจะรู้สึกได้ถึงความรักและการคอยอยู่เคียงข้างของผู้ใหญ่ สามารถช่วยทำให้เธอนั้นมีความเชื่อมั่นที่เป็นดั่งต้นไม้ได้อย่างชัดเจน” สือมูเฉินยื่นปลายนิ้วไปสัมผัสเข้าที่ใบหน้าของหวันหว่านอย่างแผ่วเบา “เธอจะต้องเติบโตมาเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดรู้เรื่องคนหนึ่งอย่างแน่นอนครับ!”

ทางที่นั่งด้านหน้า โอหยางจวิ้นเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมกลับมีความคิดเห็นหนึ่งนะ”

หลานเสี่ยวถางช้อนสายตาขึ้น “อะไรคะ?”

โอหยางจวิ้นเอ่ย “ในกองทัพ มักจะสามารถทำให้คนนั้นรักตนเองและมีความรับผิดชอบต่อตนเองได้มากขึ้น ดังนั้นแล้ว ผมแนะนำให้หลังจากที่หวันหว่านอายุเจ็ดขวบไปแล้ว ใช้เวลากับผมหรือไม่ก็พวกน้า ๆ ของพวกเธอมากขึ้นหน่อย รับรู้ถึงชีวิตในกองทัพ ให้เธอได้เชื่อมั่นในตนเองเล็กน้อย พวกคุณคิดว่าไงครับ?”

หลานเสี่ยวถางลังเลอยู่เล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหันศีรษะไปมองสือมูเฉิน

สือมูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ครับ ขอเพียงแค่เพื่อเธอก็พอแล้ว พวกเราสามารถทำอะไรก็ได้ครับ”

ตอนกลางคืน หวันหว่านเล่นเหนื่อยจนหลับไปแล้ว หลานเสี่ยวถางกลับนอนพลิกตัวไปมานอนไม่หลับอยู่บนเตียง

เดิมสือมูเฉินวันนี้จะต้องไปที่บริษัทเทคโนโลยีรายย่อย ผลสุดท้ายเป็นเพราะว่าเรื่องของหวันหว่าน ดังนั้นก็เลยอยู่เป็นเพื่อนสองแม่ลูกอีกสองสามวัน

เขารู้สึกได้ว่าหลานเสี่ยวถางยังไม่หลับ ดังนั้นแล้ว จึงหันไปเอ่ยกับเธอว่า “เสี่ยวถางครับ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราไปเดินเล่นกันที่ชั้นล่างหน่อยไหมครับ?”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “ค่ะ”

ภายใต้แสงจันทร์ ทั้งสองคนเดินอยู่ที่ข้างทะเลสาบ ท้ายที่สุดแล้วหลานเสี่ยวถางก็ควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่จนน้ำตาไหลลงมาแล้ว “มูเฉินคะ ทำไมพระเจ้าถึงไม่ยุติธรรมเลยละคะ ทำไมต้องให้เด็กหญิงตัวเล็กอย่างหวันหว่านต้องรับอะไรมากขนาดนั้นด้วยละคะ?”

“ความทุกข์ทรมานของมนุษย์ ไม่มีทางที่จะไม่มีครับ บางทีนะ มีความทุกข์ก็เพื่อที่จะให้คนคนนั้นสามารถรักษาของทั้งหมดที่มีอยู่ก็ได้นะครับ” สือมูเฉินพูดไป หยุดฝีเท้าลง เขาสบตามองหยาดน้ำตาบนใบหน้าและแก้มของหลานเสี่ยวถาง ก่อนจะเช็ดเบา ๆ เอ่ยว่า “เสี่ยวถาง อันที่จริงแล้วมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งครับ ที่ผมไม่ได้บอกคุณ”

“เรื่องอะไรคะ?” ลมหายใจของหลานเสี่ยวถางบีบรัดตัวแน่น

“แม่ของผม อันที่จริงแล้วหลังจากที่หวันหว่านคลอดออกมาได้ไม่กี่วัน ก็จากไปแล้วละครับ” สือมูเฉินเอ่ย

“คะ?” หลานเสี่ยวถางรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

อันที่จริงแล้ว เรื่องของโจวเหวินซิ่ว โดยปกติแล้วพวกเขามักจะหลบเลี่ยงอย่างถึงที่สุด

เป็นเพราะว่า โจวเหวินซิ่วในความทรงจำของหลานเสี่ยวถางนั้น กลับเป็นความทรงจำที่ไม่ได้งดงามมากขนาดนั้นเลยจริง ๆ

เธอมีใจคิดอยากที่จะทำให้พวกเขาแยกจากกัน ทำเรื่องราวสร้างความทุกข์ให้กับคนมากมาย อีกทั้งยังให้เธอทานยาคุมระยะยาวอีกด้วย……

จู่ ๆ นัยน์ตาของหลานเสี่ยวถางก็หดเกร็งตัวลงทันที หรือว่า เสียงของหวันหว่านที่เป็นปัญหา จะเป็นเพราะว่า——

สือมูเฉินเห็นสีหน้าของเธอแล้ว โดยส่วนมากก็คาดเดาได้แล้ว

เขาเอ่ยปากขึ้นมาว่า “เสี่ยวถางครับ อาจจะมีส่วนจริง ๆ ว่าที่หวันหว่านป่วยเป็นโรคนั้นจะเป็นเพราะเธอ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับได้โดยตรงครับ แต่ว่านะครับ ในตอนแรกเธอทำเรื่องเหล่านั้นกับคุณ อาจจะไม่สามารถระงับความโกรธได้จริง ๆ นั่นแหละ”

เขาพูดไป จู่ ๆ ก็หันไปก้มศีรษะเอ่ยขอโทษหลานเสี่ยวถาง “เสี่ยวถาง ขอโทษนะครับ”

จู่ ๆ หลานเสี่ยวถางก็ถูกการกระทำของสือมูเฉินจนทำให้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธอรีบพยุงเขาขึ้นมาทันที ก่อนจะส่ายหน้า “มูเฉิน นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณนะคะ! ทุกคนไม่สามารถเลือกที่จะเกิดได้หรอก ไม่สามารถเลือกพ่อแม่ของตัวเองได้ ดังนั้นแล้ว คุณอย่าโทษตัวเองเลยค่ะ แล้วก็ยิ่งไม่ต้องเป็นเพราะว่าการกระทำของเธอแล้วให้ตนเองมารับผิดชอบแทนหรอกนะคะ……”

“แต่ว่าวันเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่สร้างความลำบากให้คุณแล้วจริง ๆ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวดว่า “อีกทั้งยังทำร้ายหวันหว่านด้วย……”

“มูเฉินคะ ฉันรู้ค่ะ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้ว คุณนั้นจะรู้สึกทุกข์มากกว่าฉันอีก” หลานเสี่ยวถางบีบมือของสือมูเฉินแน่น “ฉันก็เพียงแค่รู้สึกแย่แทนหวันหว่านก็เท่านั้นเองค่ะ ส่วนคุณ ไม่เพียงแค่เป็นห่วงหวันหว่าน อีกทั้งยังโทษตัวเองอีกด้วย”

เธอดึงมือของเขามานั่งลงที่ข้างทะเลสาบ “บางทีคุณอาจจะพูดถูกก็ได้นะคะ เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ที่ทำให้คนได้เติบโต มันก็เหมือนกับฉันที่พลัดพรากกับพ่อแม่แท้ ๆ มาตั้งแต่เด็ก ๆ มันก็เหมือนกับการที่คุณพ่อคุณแม่แยกจากกันไปหลายปีค่ะ พวกเราเป็นมนุษย์ ไม่สามารถราบรื่นไปได้ตลอดรอดฝั่งหรอกนะคะ แต่ทว่า ในเมื่อหมอบอกว่าแล้วหวันหว่านในอนาคตนั้นเข้ารับการผ่าตัดก็จะหายแล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้ว พวกเราก็มารอให้ถึงวันนั้นกันเถอะค่ะ!”

สือมูเฉินยื่นแขนออกไป ก่อนจะสวมกอดหลานเสี่ยวถางเข้ามาในอ้อมแขน “ครับ พวกเราจะอยู่เป็นเพื่อนหวันหว่านด้วยกัน แล้วรอจนถึงวันที่เธอจะสามารถพูดได้! อันที่จริงแล้วเวลาวันผ่านไปเร็วมากเลยนะครับ สิบปี บางทีเวลาก็ผ่านไปแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นแม่ของคุณ——” หลานเสี่ยวถางชะงักเล็กน้อย “หลังจากนี้คุณได้ไปเยี่ยมเธอไหมคะ?”

สือมูเฉินเอ่ย “ในวันเกิดของเธอ เคยไปครั้งหนึ่งครับ” เขาพูดไป ก่อนจะเล่าเรื่องราวของหลานเล่อซินในตอนแรกออกมาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า “นึกไม่ถึงเลยครับ เธอกับหลานเล่อซินจะจากกันไปพร้อมกันแล้ว”

“แม้กระทั่งหลานเล่อซินเองก็ไม่อยู่แล้วหรือคะ……” จู่ ๆ หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกเศร้าโศกเล็กน้อย เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลหลานตอนนั้น อีกทั้งยังมีคุณนายหลานก่อนหน้าที่จะจากไปแล้วจับมือของเธอเอาไว้ กำชับกับเธอ เธอเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า “อันที่จริงแล้ว ฉันนั้นหวังว่าพวกเขานั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีกันได้ทั้งหมด แต่ทว่ากลับนึกไม่ถึงเลยว่า……”

“เสี่ยวถางครับ คุณสามารถทำเพื่อพวกเขาได้นะ ตอนนี้ก็ทำไปเรียบร้อยแล้วด้วย” สือมูเฉินเอ่ย “ไม่ต้องรู้สึกแย่ข้างในหัวใจอะไรแล้วครับ คุณต้องเข้าใจนะ เรื่องที่คุณทำทั้งหมดนั้น มันล้วนแล้วแต่ไม่ต้องรู้สึกแย่แล้ว”

หลานเสี่ยวถางพิงเข้าที่ไหล่ของเขา “ใช่ค่ะ ฉันไม่รู้สึกทุกข์แล้ว”

สายลมเบา ๆ พัดมา มันพัดเส้นผมของหลานเสี่ยวถางไปเข้าใบหน้าของสือมูเฉิน เขาสูดดมมันเข้าปอด ก่อนจะโอบกอดเธอเอาไว้แน่นขึ้นไปอีก

ทันใดนั้นเอง ทั้งสองคนกลับไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อแล้ว

ส่วนหลานเสี่ยวถาง กำลังคำนวณว่ายังจะต้องอยู่ที่เพอร์เซลล์ทางด้านนี้ไปอีกนานแค่ไหน จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งเข้ามาในสมองแล้ว!

เธอ ควรที่จะมีประจำเดือนได้แล้ว แต่ทว่า ครั้งนี้มันช้าไปสามวันแล้ว!

ในสถานการณ์ปกติ ประจำเดือนของเธอนั้นล้วนมาตรงเวลาเป็นอย่างมาก ส่วนครั้งนี้ ไม่เพียงแค่มาช้า อีกทั้งไม่มีกระทั่งความรู้สึกว่าประจำเดือนจะมานั่นก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีด้วย!

สือมูเฉินสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของหลานเสี่ยวถางไม่ถูกต้อง อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปเอ่ยถามเธอ ริมฝีปากประทับลงบนหน้าผากใส “เสี่ยวถาง เป็นอะไรไปครับ?”

“มูเฉิน——” หลานเสี่ยวถางกระวนกระวายใจ “ประจำเดือนของฉันไม่มาค่ะ ไม่รู้ว่าจะมีแล้วหรือเปล่า……”

หัวใจของสือมูเฉินแข็งค้างในทันที “ช้ามากี่วันแล้วครับ?”

หลานเสี่ยวถางเอ่ย “สามวันค่ะ……ฉันคำนวณดูแล้ว วันนั้นพวกเรากลับหนิงเฉิงกัน ก็ถือว่าทำกันในช่วงปลอดภัยนะคะ หรือว่าจะ……”

“ตอนนี้เกรงว่าหมอคงจะนอนกันหมดแล้ว พรุ่งนี้พวกเราค่อยตรวจดูแล้วกันนะครับ” สือมูเฉินเอ่ย

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า “โดยปกติแล้วต้องรอให้หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปก่อนถึงจะโอเค แต่ว่าพรุ่งนี้ก็สามารถลองดูก่อนได้ค่ะ”

เธอมีความกังวลเล็กน้อย “มูเฉินคะ คุณว่าถ้าหากว่ามีแล้วจริง ๆ มันจะถือว่าเป็นเรื่องดีหรือว่าไม่ดีคะ?”

“เสี่ยวถางครับ อันที่จริงมีแล้วก็ดีมากนะครับ” สือมูเฉินเอ่ย “เรื่องของหวันหว่าน กลับกันตอนนี้พวกเราก็ยังไม่สามารถตัดสินอะไรได้ กลับกันถ้าหากว่ามีเจ้าตัวน้อยอีกคนหนึ่งแล้ว เป็นเด็กผู้หญิง ก็จะสามารถเป็นเพื่อนกับหวันหว่านด้วยกันได้ ให้เธอมีเพื่อนสักคน ถ้าหากเป็นผู้ชาย ก็จะสามารถที่จะสอนให้เขาปกป้องพี่สาว แบบนี้เมื่อคิดขึ้นมาแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดีทั้งนั้นครับ”

หลานเสี่ยวถางคิดได้ดังนั้นแล้ว ทันใดนั้นหัวใจก็คลายตัวลงมากขึ้นหลายส่วน “ใช่ค่ะ ในเมื่อผู้ใหญ่อย่างพวกเรานั้นสามารถที่จะกำหนดให้เด็ก ๆ ได้ แต่ทว่าไม่สามารถเอาช่วงเวลาพูดคุยและคบหากันของเด็ก ๆ ของพวกเขามาได้นี่เนอะ”

“ครับ” สือมูเฉินพยักหน้า ก่อนจะคว้าจับเข้าที่หัวไหล่ของหลานเสี่ยวถาง อุณหภูมิอบอุ่นของมือใหญ่ค่อย ๆ ทาบทับลงเบา ๆ ที่หน้าท้องของหลานเสี่ยวถาง “ขอเพียงแค่ถ้าหากเป็นแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องลำบากคุณจริง ๆ แล้วนะครับ”

“อันที่จริงยังได้อยู่นะคะ ไม่ถือว่าลำบากมากหรอกค่ะ” หลานเสี่ยวถางเอ่ย

“ครั้งที่แล้วที่คุณคลอดเจ้าตัวน้อย ผมไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างคุณ มักรู้สึกเสียดายมาโดยตลอดเลยครับ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง “เสี่ยวถางครับ ถ้าหากว่ามีแล้วจริง ๆ ผมจะต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณอย่างแน่นอน”

วันที่สอง หลานเสี่ยวถางให้แพทย์ของตระกูลเพอร์เซลล์มาเจาะเลือดของตนเองไปตรวจ เป็นดังคาด เปอร์เซ็นต์ตั้งครรภ์สูงมาก สองวันหลังจากนั้น เธอตรวจดูอีกครั้ง ก็ยืนยันแล้วว่าตั้งครรภ์จริง ๆ

เมื่อมีข่าวออกไป สีหน้าของโอหยางจวิ้นนั้นซับซ้อนจนถึงขีดสุด เนิ่นนานราวกับครึ่งวัน ถึงเอ่ยบ่นพึมพำออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วมีลูกอีกก็อย่าลืมหวันหว่านนะครับ”

“ย่อมไม่ลืมแน่นอนครับ” สือมูเฉินจุ๊บแก้มของหวันหว่านไปมา “หวันหว่านจะเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยที่ผมกับเสี่ยวถางจะรักใคร่ตลอดไปครับ”

เป็นเพราะว่าหลานเสี่ยวถางตั้งครรภ์ ช่วงสามเดือนจึงยังไม่คงที่ดีนัก ไม่เหมาะสำหรับการนั่งเครื่องบินระยะยาว ดังนั้นแล้ว หลังจากที่สือมูเฉินกับเธอหารือกันไปครู่หนึ่งแล้ว ก็ตัดสินใจว่าจะรอเดือนที่สี่แล้วค่อยกับหนิงเฉิงอีกครั้ง

แบบนี้ กลับไปเจ้าตัวน้อยก็จะคลอดที่หนิงเฉิง ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งตระกูลเพอร์เซลล์เองก็ยินยอมหลังจากที่เจ้าตัวน้อยของหลานเสี่ยวถางหย่านมแล้ว ค่อยให้เธอพาหวันหว่านไปเพอร์เซลล์

หลังจากนั้นสองสามวัน สือมูเฉินคอยอยู่เป็นเพื่อนหลานเสี่ยวถาง ทั้งสองคนเห็นท่าทางสนุกสนานสดใสในทุก ๆ วันของหวันหว่าน ก็ค่อย ๆ เริ่มวางใจลงแล้ว

ในเมื่อ มันคือช่วงเวลาของความเป็นไปได้ในอนาคต มันถือว่าเป็นเรื่องราวที่ดีกว่าครอบครัวที่ไม่มีความหวังเลยแม้แต่น้อยเยอะมาก

ดีที่หลานเสี่ยวถางตั้งครรภ์ก่อนแล้วแต่อาการแพ้กลับไม่ปรากฏเยอะมากนัก ทางเรื่องของฝั่งบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยก็บีบเข้ามาแล้ว ดังนั้น สือมูเฉินนั้นแทบจะวิ่งไปมาสองที่เลยทีเดียว

ส่วนหลานเสี่ยวถาง นอกจากตอนช่วงกลางวันจะใช้เวลาเป็นส่วนมากไปกับหวันหว่านแล้ว จะไม่ให้ตนเองนั้นเหนื่อย เพียงแค่ถ้าหากมีเวลาเหลือ เธอเองก็จะศึกษาโปรแกรมที่มั่วหลิงชวนส่งมาให้อันนั้นด้วย

ทันใดนั้นเอง ผ่านไปไม่รู้ตัวก็ผ่านไปกว่าสามเดือนแล้ว หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินเองก็กำลังเตรียมตัวกลับจีนแล้ว

ทางด้านนั้น ซูสือจิ่นเองก็ตั้งครรภ์แล้ว เป็นเพราะว่าพวกเขานั้นซื้อบ้านจำเป็นที่จะต้องตกแต่ง ดังนั้นแล้ว จึงพักอยู่ที่บ้านของสือมูเฉินชั่วคราว

ในคฤหาสน์ มีหนึ่งคุณแม่ที่กำลังให้นมลูก สองคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์บวกเข้ากับเจ้าตัวน้อยสามคน ทันใดนั้นเอง บรรยากาศกลับครึกครื้นขึ้นมาเสียนี่

ส่วนหลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินนั้น หลังจากที่เข้าร่วมงานแต่งงานของวันที่สองแล้ว ก็นั่งเครื่องบินกลับอเมริกาไปแล้ว

เมื่อลงจากเครื่องบิน ทั้งสองคนตรงไปนั่งในรถของตระกูลเพอร์เซลล์ทันที เพื่อจะไปพบกับหวันหว่าน

หวันหว่านในตอนนี้พึ่งจะนั่งเครื่องบินกลับมาพร้อมกับโอหยางจวิ้น ใบหน้าเล็กขึ้นสีแดงก่ำ ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เธอชอบนั่งเครื่องบินเป็นอย่างมาก เห็นได้อย่างชัดเจนเลย เดิมเจ้าตัวน้อยนั้นไม่รู้อะไรเลย ในตอนแรกที่ตนเองนั่งเครื่องบินนั้นเกือบจะจมหายไปหลุมอากาศแล้ว

อีกทั้งสองสามวันมานี้ โอหยางจวิ้นไปทำงานเองก็พาเธอไปด้วย

ในห้องทำงานของเขานั้น มีเตียงของเด็กทารกอย่างดีสีชมพูอยู่โดยเฉพาะ มันกลับขัดกับสไตล์หรูหราสีขาวดำของตัวห้อง เผยให้เห็นถึงความสดใสที่แตกต่างอย่างชัดเจน

ดังนั้นแล้วคนทางฝั่งของเพอร์เซลล์ ต่างก็พากันเห็นกันจนชิดตาแล้ว เป็นเพราะว่า ในตอนที่จู่ ๆ โอหยางจวิ้นนั้นเปิดประชุมได้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ก็บอกว่าหยุดก่อนสองสามนาที แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับตรวจสอบผ้าอ้อมของหวันหว่าน

ถึงแม้ว่าตอนนี้หวันหว่านนั้นใกล้จะหนึ่งขวบแล้ว น้อยครั้งนักที่จะทำให้ตนเองเปียกก็ตาม

ในตอนนี้ แสงอาทิตย์ของช่วงบ่ายสาดส่องใบหน้า หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินเดินเข้าไปหาหวันหว่าน เห็นใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยที่โอหยางจวิ้นกำลังอุ้มอยู่ หลังจากนั้น เขายื่นหน้าเข้าไปจุ๊บหนึ่งหน

ในแสงอาทิตย์ รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งสองคนนั้นสดใสบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก

สือมูเฉินเริ่มหึงหวงขึ้นมาแล้ว

ลูกสาวของเขา กลับเป็นฝ่ายไปจุ๊บผู้ชายคนอื่นเสียแล้วเสียนี่!

แต่ทว่า เขากลับไม่ได้แสดงออกไป ดังนั้นแล้ว หัวใจจึงกระตุกเบา ๆ กำลังครุ่นคิดคำนวณว่าหวันหว่านนั้นยังคงต้องอยู่ที่ทางฝั่งตระกูลเพอร์เซลล์นี้อีกนานเท่าไหร่

“หวันหว่าน!” หลานเสี่ยวถางรีบสาวเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยื่นแขนออกไป “คิดถึงมะม๊าไหมคะ?”

เด็กหญิงตัวน้อยเห็นมารดาแล้ว ความน้อยใจภายในหัวใจก็ถูกแขวนเอาไว้ทันที ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา บทจะมาก็มา

“โอ๋ หวันหว่านไม่ร้องนะ มะม๊าก็ไม่ได้ไม่กลับมานี่นา?” หลานเสี่ยวถางตบเบา ๆ เข้าที่แผ่นหลังของเธอเป็นการปลอบใจ “ปะป๊า มะม๊ารักหวันหว่านมากเลยนะคะ ไม่ได้จะไม่เอาหวันหว่านหรอก!”

พูดไป เธอก็พุ่งเข้าไปหา ก่อนจะจุ๊บเข้าที่ใบหน้ารูปไข่ของเด็กหญิงตัวน้อย ข้างละหน

สือมูเฉินเองก็ยื่นมือเข้าไป ก่อนจะเข้าไปรับหวันหว่านมาจากอ้อมแขนของหลานเสี่ยวถาง หลังจากนั้น ก็ประทับริมฝีปากแล้วจุ๊บไปมา “เจ้าตัวน้อย ปะป๊ามีขอเล่นมาให้หนูด้วยนะ!”

หวันหว่านได้ยินดังนั้นแล้ว ดวงตาเป็นประกายสดใสทันที รอคอยอย่างสนใจ

สือมูเฉินราวกับว่าแปรเปลี่ยนเกมเลยก็ไม่ปาน ก่อนจะหยิบตุ๊กตาของเล่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วส่งให้หวันหว่าน

เป็นไปตามคาดเลย เด็กหญิงตัวน้อยชื่นชอบเป็นอย่างมาก ก่อนเข้าไปรับมาอย่างดีใจ หลังจากนั้น คว้ากอดเข้ากับลำคอของสือมูเฉินเอาไว้ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหา แล้วจุ๊บปะป๊าหนึ่งหน!

สือมูเฉินปีติ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางฝั่งของโอหยางจวิ้น

เป็นไปตามคาด โอหยางจวิ้นนั้นเห็นฉากทุกอย่างนี้หมดแล้ว คิ้วเรียวขมวดติดกันแน่น ใบหน้าแสดงความไม่สบอารมณ์

ถึงจะไม่สบอารมณ์ ลูกสาวก็นามสกุลสืออยู่ดี! สือมูเฉินคิดไป ความปีติภายในหัวใจก็พรั่งพรูออกมามากกว่าเดิม หลังจากนั้น เขากับหลานเสี่ยวถางจึงหันไปพูดคุยกับหวันหว่าน ถึงแม้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยยังไม่สามารถพูดได้ก็ตาม

ในตอนนั้นเอง ประจวบเหมาะกับว่าเครื่องบินทหารของเพอร์เซลล์ลำหนึ่งบินขึ้น หวันหว่านได้ยินเสียงดังวุ่นวาย ดังนั้นจึงหันศีรษะไปมองด้วยความตื่นเต้น

ในตอนที่มองเห็นเครื่องบินออกตัวขึ้นบินนั้นเอง เด็กหญิงตัวน้อยตื่นเต้นดีใจจนหันไปหาหลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินแล้วชี้ไม้ชี้มือ ชี้มาที่ตนเอง ก่อนจะชี้ไปทางเครื่องบินอีกครั้ง สุดท้าย ก็ชี้ไปทางโอหยางจวิ้นที่อยู่ทางด้านข้าง

สือมูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หวันหว่านจะบอกว่า ให้คุณลุงจวิ้นพาหนูขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินเหรอคะ?”

เด็กหญิงตัวน้อยได้ยินดังนั้นแล้วก็ราวกับว่าสือมูเฉินเข้าในความหมายของเธอเลยก็ไม่ปาน ดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะเตะเท้าไปมาในอ้อมแขนของสือมูเฉิน หลังจากนั้น ก็ชี้ไปที่เครื่องบินอีกครั้ง ก่อนจะชี้ไปยังโอหยางจวิ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยท่าทางของความคาดหวังทั้งหมด

“หวันหว่านยังอยากที่จะนั่งเครื่องบินอีกหรือคะ?” สือมูเฉินเอ่ยถามอีกครั้ง

ทันใดนั้นเอง เด็กหญิงตัวน้อยก็พยักหน้าหงึกหงักไม่หยุด อีกทั้งยังตบมืออีกด้วย

หลานเสี่ยวถางได้ยินดังนั้นแล้ว ไฟโทสะในหัวใจก่อตัวขึ้นมาในทันที เธอเดินเข้าไปหาโอหยางจวิ้นทางด้านหน้า “คุณยังเป็นเด็กอยู่หรือไงคะ? คุณลืมไปแล้วหรือไงคะเรื่องก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้นตอนพวกเราขึ้นเครื่องบินกันน่ะ?!”

โอหยางจวิ้นหันไปแลบลิ้นใส่หวันหว่าน

ที่แท้เด็กน้อยก็ไม่สามารถกักเก็บความลับได้สินะ นี่มัน ถูกค้นพบแล้วใช่ไหมเนี่ย?

เขาหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “ครั้งนั้นก็เพียงแค่พบเข้ากับสภาพอากาศไม่ดีก็เท่านั้นเองนะครับ ดังนั้นก็เลยเกิดเรื่องขึ้นมา ทางฝั่งเพอร์เซลล์เองก็มีการบำรุงรักษาเครื่องบินทุกครั้งเป็นอย่างดี อีกอย่างนะครับ ก่อนขึ้นบินเองก็ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่ผิดพลาดแน่ คำนวณขึ้นมาแล้ว อันที่จริงแล้วเครื่องบินนั้นปลอดภัยมากกว่ารถยนต์แล้วก็เรืออีกนะครับ!”

หลานเสี่ยวถางไม่ฟังคำอธิบายเหล่านี้ ในตอนแรก อุบัติเหตุของเธอกับหวันหว่านในครั้งนั้น มันฝังลึกลงในความทรงจำมากจริง ๆ ทำให้ในทุกครั้งที่เธอหวนกลับมานึกขึ้น ล้วนแล้วแต่มีความทรงจำไม่ดีต่อเครื่องบินทันที

“หวันหว่านถึงแม้ว่าจะถูกตระกูลเพอร์เซลล์บันทึกลงในแผนผังวงศ์ตระกูลแล้ว แต่ทว่า เธอเองก็เป็นลูกสาวของฉันนะคะ ฉันกับมูเฉินมีสิทธิ์ที่จะดูแลนะ ดังนั้น ถ้าหากว่าคุณยังนำชีวิตของเธอมาล้อเล่นต่ออีกละก็ ฉันไม่ถือนะคะที่พวกเราจะมาจับเข่านั่งคุยกันใหม่ แล้วพูดคุยกันเรื่องข้อตกลงของสัญญาน่ะ!” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน

“ต่างก็บอกกันว่าแม่ในตอนที่ปกป้องเรื่องของลูกแล้วนั้น ถึงแม้ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งเกร็งที่สุด ก็ล้วนแล้วแต่ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาเลย!” โอหยางจวิ้นถอนหายใจก่อนจะเอ่ยว่า “เอาเถอะครับ ในเมื่อคุณพูดมาขนาดนี้แล้ว หลังจากนี้ผมจะระมัดระวัง”

หลานเสี่ยวถางนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้าอ่อนข้อประนีประนอมมากขนาดนี้ หลังจากที่ชะงักไปหลายวินาทีแล้ว มองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหวันหว่าน หัวใจของเธอก็กระตุก เอ่ยว่า “แต่ว่านะคะ มันก็ต้องว่ากันเป็นเรื่อง ๆ ไปนี่นะ โอหยางจวิ้น ขอบคุณนะคะที่คุณดูแลหวันหว่าน!”

“เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้วครับ” โอหยางจวิ้นตอบรับไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะสบตามองสือมูเฉินและหวันหว่านที่มีท่าทางต่อกันอยู่ รู้สึกเพียงแค่ว่าลูกน้อยของตนเองนั้นราวกับว่าถูกแย้งไปแล้วก็ไม่ปาน หัวใจรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงเอ่ยว่าจะกลับไปทำงานแล้ว หลังจากนั้นก็หมุนกายแล้วเดินจากไป

หลังจากนั้น สือมูเฉินก็อยู่เป็นเพื่อนหวันหว่านทั้งวัน เป็นเพราะว่าบริษัทเทคโนโลยีรายย่อยนั้นยังมีเรื่องราวมากมายที่จะต้องจัดการ ดังนั้นแล้ว จึงไปกล่าวลากับแม่ลูกทั้งสองคน

ในตอนที่เขากำลังจะจากไปแล้วนั้นเอง จู่ ๆ หวันหว่านที่กำลังเล่นอยู่กลับร้องไห้ขึ้นมาทันที

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้ใหญ่สองสามคนจึงพุ่งเข้าไปหาทันทีอย่างกุลีกุจอ

เห็นเพียงแค่มือของเด็กหญิงตัวน้อยนั้นถูกของเล่นทับเข้าจนเป็นแผลรอยหนึ่ง แต่ทว่ามันมีเลือดไหลออกมาแล้ว

โอหยางจวิ้นเห็นดังนั้นแล้ว ก็รีบให้ไปตามหมอที่ที่ชั้นหนึ่งขึ้นมาทำแผลทันที

หมอนั้นเป็นแพทย์ที่ทางฝั่งตระกูลเพอร์เซลล์พึ่งจะเชิญตัวมา เธอหยิบแอลกอฮอล์มาฆ่าเชื้อโรคให้กับหวันหว่าน “หนูน้อยจ๊ะ อาจจะเจ็บนิดหนึ่งนะจ๊ะ อดทนหน่อยนะ อีกประเดี๋ยวก็เสร็จแล้วจ้ะ……”

พูดกำลังปลอดประโลม แต่ทว่ากลับเห็นเพียงหวันหว่านที่มีหยาดน้ำตาไหลลงมา กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลยสักนิด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย

รอให้จัดการบาดแผลเสร็จแล้ว หมอจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้คุณหนูตัวน้อยชอบที่จะร้องไห้งอแงไหมคะ?”

หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า “อย่างมากที่สุดเธอก็แค่สะอึกสะอื้นออกมาครู่หนึ่งค่ะ แทบจะไม่เคยแผดเสียงร้องไห้ดัง ๆ ออกมาเลยค่ะ”

โอหยางจวิ้นเองก็เอ่ยว่า “หวันหว่านเป็นเด็กดีมากครับ ถึงแม้ว่าจะไม่สบาย ก็น้ำตาไปสองสามหยดเท่านั้น ไม่เคยร้องไห้งอแงเลย”

หมอสงสัยหนักขึ้นไปอีก “แม้กระทั่งตอนที่เธอเกิดมา ก็ไม่เคยร้องไห้เสียงดังเลยหรือคะ?”

หลานเสี่ยวถางเอ่ย “ในตอนที่คลอด ส่งเสียงร้องสะอื้นออกมาครู่นี้ค่ะ ค่อนข้างดังอยู่ ยามปกติแล้ว ร้องไห้เองก็จะเป็นเพียงแค่การสะอึกสะอื้นเท่านั้นค่ะ ไม่เคยร้องเสียงดังมาก่อนเลย”

สือมูเฉินเห็นว่าสีหน้าของหมอนั้นไม่ถูกต้อง หัวใจจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกเล็กน้อย “มีจุดไหนที่ไม่ถูกต้องหรือเปล่าครับ?”

หมอเอ่ยว่า “ฉันเคยทำแผลให้กับเด็ก ๆ มาเยอะค่ะ โดยปกติแล้วเมื่อแผลโดนแอลกอฮอล์ เด็กก็ล้วนแล้วแต่จะส่งเสียงร้องออกมา แต่ทว่า ฉันเห็นเธอน้ำตาไหลแต่ทว่ากลับไม่ส่งเสียงร้อง บวกเข้ากับที่พวกคุณบอกว่าเธอนั้นไม่เคยร้องไห้งอแงมาก่อนเลย ดังนั้นแล้ว ฉันจึงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ว่าเสียงเธออาจจะมีปัญหา……”

หลานเสี่ยวถางได้ยินคำพูดของหมอดังนั้นแล้ว จู่ ๆ หัวใจทั้งดวงก็หนักอึ้งในทันที “เสียงมีปัญหาหรือคะ?”

จู่ ๆ เธอก็คิดอะไรขึ้นมาได้ บ้านของเฉียวโยวโยวมีเจ้าตัวน้อยกันอยู่สองคน ในทุกครั้งที่หิวก็มักจะร้องไห้งอแงเสียงดัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่พวกเขาคลอดออกมาวันนั้น เด็กทั้งสองคนร้องไห้พร้อมกัน ดังนั้นแล้ว จึงต้องให้เธอช่วยให้นมแก่ถางเป่าทานหน่อย เป็นเพราะว่า ภายในตัวห้องพักผู้ป่วยนั้นเสียงดังจนไม่ไหวแล้ว

ส่วนหวันหว่าน ตั้งแต่หลังจากที่คลอดออกมา ราวกับว่าเสียงสะอื้นเล็ก ๆ บางครั้ง นอกจากนั้นก็มีเพียงแค่น้ำตาไหลแต่ไม่ส่งเสียเลย!

สือมูเฉินเองก็แทบจะคิดถึงตรงนี้ได้แล้ว รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจนั้นมีเกล็ดน้ำแข็งคลุมเอาไว้ชั้นหนึ่ง

ในตอนแรก โจวเหวินซิ่วให้หลานเสี่ยวถางทานยาคุมมานานมากขนาดนั้น ส่วนหวันหว่านนั้นก็มาหลังจากที่หยุดทานยาไปหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น หรือว่า มันจะมีผลกระทบแล้วจริง ๆ?!

เรื่องที่โจวเหวินซิ่วจากไปนั้น เขาเองก็ไม่เคยเอ่ยมันกับหลานเสี่ยวถางมาโดยตลอด หลัก ๆ เลยก็เป็นเพราะว่ากลัวว่าหลานเสี่ยวถางไม่ยอมความคิดถึงเรื่องไม่มีความสุขเหล่านั้น ดังนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะไปที่หลุมฝังศพ เขานั้นก็ล้วนแล้วแต่ไปด้วยตนเอง

ถ้าหากว่า เป็นเพราะว่าโจวเหวินซิ่วขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าหวันหว่านในตอนนี้……

หัวใจของสือมูเฉินมีความเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย

ในตอนนั้นเอง โอหยางจวิ้นก็หันไปเอ่ยกับหมอด้วยท่าทางจริงจังว่า “ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเราควรที่จะต้องตัดสินอย่างไรครับ ว่าหวันหว่านนั้นสุดท้ายแล้วเสียงจะมีปัญหาหรือเปล่า?”

หมอเอ่ยว่า “หมอประจำบ้านอย่างพวกเราสองสามคนนั้นย่อมไร้หนทางที่จะตัดสินค่ะ ดังนั้นแล้วทางที่ดีที่สุดก็คือคุณพาเธอไปพบแพทย์เฉพาะทางดู แต่ว่าเธอสามารถได้ยินเสียงได้ อีกทั้งก็ยังสามารถที่จะส่งเสียงออกมาเล็กน้อยได้ด้วย ตัวฉันเองก็เลยรู้สึกว่าปัญหานั้นไม่น่าจะใหญ่มากค่ะ”

โอหยางจวิ้นพยักหน้าขึ้นลง หลังจากนั้น หันไปเอ่ยกับสือมูเฉินว่า “คุณรอครู่หนึ่งนะครับ ผมจะรับติดต่อแพทย์เฉพาะทางของทางตระกูลเดี๋ยวนี้เลย!”

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ทุกคนก็อุ้มหวันหว่าน ก่อนจะไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทางที่อยู่ในเครือของตระกูลเพอร์เซลล์

หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงแค่หัวใจของตนเองนั้นไม่เคยมีความวิตกมากขนาดนี้มาก่อนเลย หวันหว่านเป็นแก้วตาดวงใจของเธอ ถ้าหากว่าเสียงของหวันหว่านนั้นมีปัญหาอะไรขึ้นมาจริง ๆ เด็กหญิงตัวน้อยน่ารักมากขนาดนี้ไม่สามารถพูดไป นั่นมันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเป็นอย่างมากแน่ ๆ!

หวังว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นเพียงแค่ทุกคนตื่นตูมไปเอง!

ในห้องรักษา หวันหว่านถูกหมอรับไปหา สัญชาตญาณของเด็กหญิงตัวน้อยนั้นรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย สบตามองหลานเสี่ยวถางด้วยสายตาที่น่าเวทนา ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยม่ายน้ำตา

หลานเสี่ยวถางทนดูไม่ได้ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามหมอว่า “หมอคะ ประเดี๋ยวตรวจสอบดูนี่จะเจ็บไหมคะ?”

หมอเอ่ยว่า “คุณผู้หญิงวางใจได้ครับ ไม่เจ็บเลย แต่ทว่าเพื่อให้เด็กให้ความร่วมมือ อาจจะจำเป็นต้องตีก้นสองสามที”

ในตอนที่หลานเสี่ยวถางถูกแยกออกมา ในตอนที่หมอทำการตรวจหวันหว่านเพียงคนเดียวนั้น ในที่สุดเด็กหญิงตัวน้อยก็อดทนไม่ไหวแล้ว ก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง

แต่ทว่า ไม่ว่าจะร้องหรือว่าถูกตีก้นอย่างไร เธอนั้นล้วนแล้วแต่เพียงแค่สะอื้นออกมาเท่านั้นจริง ๆ

สีหน้าของหมอนั้นมีความสงสัยอยู่หนักมาก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงให้หวันหว่านนั้นทานยาที่ไม่ได้ส่งผลทำร้ายต่อเด็กไปหนึ่งช้อน หลังจากที่เธอหลับไปแล้ว ก็เริ่มใช้เครื่องมือมาตรวจสอบเสียงของเธออย่างละเอียด

เนิ่นนาน ประตูห้องเปิดออกแล้ว หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินมองไปทางหมออย่าตื่นตระหนก

“เสียงของคุณหนูตัวน้อยมีปัญหาจริง ๆ ครับ ถือว่าเป็นปัญหาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด” หมอเอ่ยขึ้นอย่างเศร้าหมองเล็กน้อยว่า “โรคแบบนี้ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบครับ แต่ไม่ถือว่าบ่อยนัก ดังนั้นแล้ว สามารถทำการรักษาได้ครับ เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังคงไม่สามารถรักษาได้ก็เท่านั้นเอง”

ร่างกายของหลานเสี่ยวถางซวนเซเล็กน้อย ก่อนจะถูกสือมูเฉินคว้าจับเอาไว้

หัวใจของเขาบีบรัดตัว แต่ก็ยังคงเอ่ยถามออกไปอีกครั้งว่า “หมอครับ ถ้าอย่างนั้นแล้วจะสามารถทำการรักษาได้เมื่อไหร่ครับ? เปอร์เซ็นต์ในการรักษาเป็นอย่างไรครับ?”

หมอเอ่ยว่า “เป็นเพราะว่าเด็กยังอยู่ในช่วงของการพึ่งเกิดมาครับ รอให้ถึงวัยหนุ่มสาวก่อน เสียงก็จะเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นแล้ว ตอนนี้ถ้าหากว่าทำการผ่าตัดไป ในตอนที่ถึงช่วงวัยหนุ่มสาวแล้ว อาจจะสามารถเกิดปัญหาขึ้นมาได้อีกครั้ง ตอนนี้ในเคสของนานาชาติ ก็ล้วนแล้วแต่ทำการผ่าตัดกันในช่วงวัยหนุ่มสาวกันทั้งนั้นครับ เปอร์เซ็นต์ในการรักษาก็อยู่ที่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป”

“ถ้าอย่างนั้นแล้วก็จะบอกว่า เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ จนไปถึงวัยหนุ่มสาวของหวันหว่าน ก็จะไม่สามารถพูดได้หรือครับ?” โอหยางจวิ้นเอ่ยถาม

หมอพยักหน้า “ขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยครับ ตอนนี้เทคโนโลยีของพวกเรานั้น ก็ไม่สามารถทำการผ่าตัดให้กับเด็กเล็กมากขนาดนี้ได้เลยครับ เป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่องของในอนาคตทั้งชีวิต ดังนั้นแล้ว การผ่าตัดจำเป็นต้องรับประกันการผ่าตัดให้ได้ถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ถึงจะโอเคครับ”

“เอ๊ะ ซูสือจิ่นจะมาทำไมไม่โทรบอกก่อน?”ฟู่สีเกอเปิดประตู

“ไอ้บ้าสีเย็น ฉันมาคิดบัญชีกับแก”ซูสือจิ่นพูดอย่างดุดัน

ฟู่สีเกอกระโดดไปด้านหลัง พูดสบายๆ“คิดบัญชีอะไร? คงไม่ใช่ว่าชีวิตไม่ราบรื่นมาขอคำปรึกษาจากฉันหรอกนะ?งั้นก็มาหาถูกคนแล้ว”

“แกยังกล้าพูดอีก?”ซูสือจิ่นทิ้งกรรไกรลงบนพื้น “นายเป็นบอกให้พี่ชิงเจ๋อซื้อใช่ไหม?สอนเขาตัดอะไรที่ไม่ควรตัด”

ฟู่สีเกอมองกรรไกรบนพื้นครู่หนึ่ง คิดในใจ“นี่ซูสือจิ่น เธอรู้ได้ยังไง? ไม่ใช่ว่ามีแล้วหรอกนะ?”

เขาไม่พูดยังดี เขาพูดแล้ว ซูสือจิ่นก็โกรธขึ้นมา “แกรู้ไหมว่าแบบนี้มันไร้ความรับผิดชอบแค่ไหน แกให้เด็กเกิดมาแบบนี้ ถามฉันหรือยัง?”

ฟู่สีเกอเห็นซูสือจิ่นจริงจัง อดทึ่งไม่ได้ “มีจริงๆเหรอ ไวขนาดนี้เลย ชิงเจ๋อร้ายกาจจริงๆ”

ซูสือจิ่นถูกเขาจุดไฟ ยกกำปั้นจะต่อยคน ฟู่สีเกอรีบหลบ

ฟู่สีเกอวิ่งหนีอยู่ข้างหน้า ซูสือจิ่นไล่ตามหลัง

ข้างหลัง หยานชิงเจ๋อกลัวซูสือจิ่นล้ม วิ่งตามไปด้วย พูดไปด้วย “เสี่ยวจิ่น ระวังหน่อย”

ระหว่างพูด ก็พูดกับฟู่สีเกอ “สีเกอ นายหยุดวิ่งได้แล้ว ให้เธอตีสักทีสองที”

“ชิงเจ๋อ ไอ้ตัวดี ทิ้งเพื่อนเพราะเมีย”แม้ฟู่สีเกอจะพูดอย่างนั้น แต่ก็หยุดลง พูดกับซูสือจิ่น “แม่คุณทูนหัว ลงมือเบาหน่อย”

ซูสือจิ่นต่อยไปสองที หยานชิงเจ๋อรีบพูด“พอแล้ว เสี่ยวจิ่น ตีจนเจ็บมือแล้ว ให้ผัวช่วยตีดีกว่าไหม?”

ซูสือจิ่นถลึงตาใส่หยานชิงเจ๋อ “พี่กับเขาเป็นพวกเดียวกัน”

ฟู่สีเกอใช้โอกาสนี้ รีบหนีไป มาถึงห้องนอน

ตอนนี้ เฉียวโยวโยวเพิ่งป้อนนมเสร็จ กำลังจะนอนพักบนเตียง ฟู่สีเกอเข้าไป รีบเล่าเรื่องอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า “ยัยบื้อโยว คุณก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน บางอย่างคุณเป็นคนพูดดีกว่า รีบไปปลอบสาวน้อยข้างนอก ไม่งั้น อีกเดี๋ยวเธอต้องทำลายบ้านผมแน่ๆ”

เฉียวโยวโยวมองบนใส่เขา“ใครบอกคุณเป็นคนต้นคิด เดี๋ยวนะ…”พูดอยู่ เธอหรี่ตา “ว่าก็ว่าพวกเราตอนนั้น…คุณก็ทำเหมือนกันใช่ไหม?”

ฟู่สีเกอได้ยินก็ย่นคอ “เมียที่รัก คุณอย่าผสมโรงกับซูสือจิ่นเลย คุณรีบไปกล่อมเธอ ลูกจะได้ไม่ตื่นเพราะเสียงเธอ”

ตอนเฉียวโยวโยวเดินผ่านตัวฟู่สีเกอ หยิกเขาไปทีหนึ่ง “กลางคืนค่อยจัดการกับคุณ” ระหว่างที่พูดก็หยิบมือถือขึ้น เดินออกไป

ตอนนี้ ซูสือจิ่นเม้มปากยืนอยู่ในห้องรับแขกบ้านฟู่สีเกอ หยานชิงเจ๋อกลัวเธอไม่ระวังเดินชนอะไร ยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ห่าง

แต่เธอไม่สนใจเขา เขาพูดอะไรเธอก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน

เฉียวโยวโยวเข้ามา เห็นทั้งสองคนกำลังงอนกัน ดังนั้นเลยดึงมือซูสือจิ่น “สือจิ่น ไปเราไปเล่นกัน ไม่ต้องสนใจพวกเขา”

ซูสือจิ่นทำไม่ได้ที่จะไม่สนใจเฉียวโยวโยว ด้วยเหตุนี้เดินตามเธอเข้าไปในห้อง

เฉียวโยวโยวพาเธอมาห้องนอนของลูกทั้งสอง แล้วพูดว่า“ฉันเพิ่งกล่อมพวกเขาเสร็จ เธอว่าจัดแบบนี้ให้พวกเขาดีไหม?”

ซูสือจิ่นเห็นเด็กทั้งสองสวมชุดนอนน่ารัก หมวกบนหัวถูกเฉียวโยวโยวจัดแต่งออกมา และเฉียวโยวโยวยังวางผ้าขนหนูหลายผืนด้านล่าง ทำเป็นรูปร่างก้อนเมฆและยานอวกาศ อดทึ่งไม่ได้ “ว้าว น่ารักจังเลย”

“ฉันเรียนรู้จากรูปถ่ายสร้างสรรค์พวกนี้จากอินเทอร์เน็ต”เฉียวโยวโยวพูดอยู่ ก็หยิบมือถือขึ้นมาให้ซูสือจิ่นดู “เธอดู ก่อนหน้านี้ถ่ายเอาไว้ น่าสนใจใช่ไหม?”

ซูสือจิ่นเห็น มีแม่มดขี่ไม้กวาง และแพนด้าตัวน้อย ยังมีของน่าสนใจอีกมากมาย อดยิ้มไม่ได้ “งั้นวันหลังฉันก็จะทำแบบนี้เหมือนกัน”

เฉียวโยวโยวเห็นโอกาส เลยพูดว่า “เอาแบบนี้ เธอนอนลงไป ฉันช่วยเธอถ่ายรูป?”

“จะทำพวกเขาตื่นไหม?”ซูสือจิ่นพูดเสียงเบา

“ไม่เป็นไร พวกเขาหลับลึก บางครั้งปลุกยังปลุกไม่ตื่น”เฉียวโยวโยวพูดอยู่ เปิดมือถือ

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองเอาเด็กเป็นเครื่องมือ เซลฟีอยู่ในห้อง

“โยวโยว ส่งรูปทั้งหมดมาให้ฉันด้วย น่ารักไปหมดเลย”ซูสือจิ่นสนุกพอแล้ว นั่งพูดอยู่บนโซฟาข้างๆ

“ไม่มีปัญหา”เฉียวโยวโยวพูด “ตอนนี้ฉันมีประสบการณ์แล้ว ดังนั้นวันหลังเธอคลอดลูกแล้ว ให้ฉันไปช่วยเธอจัดก็ได้”

“ดีเลย”ซูสือจิ่นตอบ

เฉียวโยวโยวคิดได้ พูดว่า“ฉันได้ยินสีเย็นว่าเธอมีแล้ว?”

ซูสือจิ่นเม้มริมฝีปาก“เขาเป็นคนคิดแผนชั่วให้พี่ชิงเจ๋อ เหอะ”

“แต่เธอก็ชอบเด็กเหมือนกันไม่ใช่เหรอ มีก็เป็นเรื่องดีใช่ไหม?”เฉียวโยวโยวพูด “อันที่จริงไม่เหนือเลย โดยเฉพาะในบ้านมีแม่บ้าน ฉันแค่โดนปลุกทุกคืน นอนไม่ค่อยอิ่ม นอกจากเรื่องนี้ ก็ดีไปหมด”

ซูสือจิ่นส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้เตรียมใจจริงๆ แต่ในเมื่อมีแล้วแน่นอนต้องทำได้ เพียงแต่ฉันโกรธที่พวกเขารวมหัวหลอกฉัน”

“ที่จริงเป็นเพราะพี่ชิงเจ๋อรักเธอมาก”เฉียวโยวโยวถอนหายใจ พูดว่า “งานแต่งเมื่อวานของพวกเธอ ฉันเห็นตัวเลขพวกนั้นบนจอ อันที่จริงฉันอิจฉาพวกเธอมาก เธอก็รู้ เมื่อก่อนฉันเคยมีแฟนคนหนึ่ง ตอนนั้น ฉันนึกว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอด แต่สุดท้ายเพราะเขานอกใจ เลยเลิกกัน ต่อมาเจอสีเกอ ทั้งหมดถึงเริ่มดีขึ้น คิดไปแล้ว แบบเธอกับพี่ชิงเจ๋อ ถึงจะสมบูรณ์แบบที่สุด”

ซูสือจิ่นพยักหน้า “อืม เพียงแต่ ทำไมเขาอยากมีถึงไม่บอกฉันดีๆ ล่ะ?”

“อาจเพราะเคยบอก แต่เธอไม่ยอม เขาเลยร้อนใจ ก่อนหน้านี้พวกเธอเคยแยกกัน ดังนั้นเขาเลยกังวล”เฉียวโยวโยวพูด“บวกกับเรื่องที่เธอรู้อยู่แล้ว สีเย็นชอบอวด มีลูกแฝด เหมือนคนทั้งโลกต่างรู้กันหมด และหวันหว่านของบ้านพี่สือ ไม่นานก็จะเดินได้แล้ว เป็นธรรมดาที่พี่ชิงเจ๋อจะร้อนใจ”

“เธอพูดมาก็มีเหตุผล ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ก็แค่…”ซูสือจิ่นคิดๆ เหมือนเป็นเพราะเธอท้อง หรือเพราะสาเหตุอื่น เหมือนเจ้าอารมณ์ขึ้น ถึงได้โกรธ

“ไม่เป็นไร พวกเราไม่พูดถึงพวกเขาแล้ว” เฉียวโยวโยวพูด“เธอมีตรงไหนรู้สึกไม่ดีไหม?ฉันเคยผ่านมาแล้ว ดังนั้นเธอมีอะไรก็คุยกับฉันได้”

ภายในห้อง ทั้งสองคนยิ่งคุยก็ยิ่งสนุก

ถึงเวลามื้อเย็น ฟู่สีเกอเรียกกินข้าว เฉียวโยวโยวพาซูสือจิ่นออกมา

หยานชิงเจ๋อรออยู่หน้าประตูนานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าเข้าไป เห็นซูสือจิ่นออกมา เขารีบยิ้มประจบ “เสี่ยวจิ่น หิวหรือยัง พวกเรากินข้าวเสร็จค่อยกลับบ้าน”

แม้ในใจซูสือจิ่นจะรับได้แล้ว แต่ยังไม่สนใจเขาเหมือนเดิม

หยานชิงเจ๋อก็ไม่ว่า จับมือซูสือจิ่นไว้ ง้อไปด้วย พาไปที่โต๊ะด้วย

“เสี่ยวจิ่น นี่เป็นของโปรดเธอ”หยานชิงเจ๋อคีบกับข้าวให้ซูสือจิ่นเหมือนคนรับใช้

ฟู่สีเกอที่อยู่ตรงข้ามเห็น ก็รีบคีบให้เฉียวโยวโยวด้วย

ด้วยเหตุนี้ กับข้าวในถ้วยของหญิงสาวทั้งสองสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ซูสือจิ่นเดิมที่กินไม่เยอะอยู่แล้ว แม้ว่าจะท้อง แต่ช่วงนี้ไม่ควรเพิ่มการกิน ดังนั้นกินครึ่งหนึ่งก็กินไม่ลงแล้ว

แต่กินข้าวบ้านคนอื่นทำแบบนี้ไม่ดี เธอมองทางหยานชิงเจ๋อ พูดต่อว่า“เป็นเพราะพี่ คีบเยอะขนาดนี้ ฉันอิ่มจะตายแล้ว”

“ผัวช่วยกิน”หยานชิงเจ๋อพูดอยู่ ก็ยกถ้วยซูสือจิ่นไป กินอย่างเอร็ดอร่อย

ฟู่สีเกอที่อยู่ตรงข้ามยกนิ้วโป้งให้เขา

ในที่สุดก็กินเสร็จ เฉียวโยวโยวว่าอยากเดินเล่น ดังนั้นลากซูสือจิ่นไปด้วย เดินเล่นในหมู่บ้าน

ฟู่สีเกอคิดอะไรได้ พูดกับหยานชิงเจ๋อ “ชิงเจ๋อ ฉันกับพี่เฉินก็อยู่แถวนี้ ตอนนี้นายกับซูสือจิ่นก็มั่นคงแล้ว ไม่ค่อยได้ออกนอกสถานที่แล้ว ซื้อบ้านแถวนี้ดีกว่าไหม? ตอนลูกคลอดออกมา ทุกคนจะได้สะดวกหน่อย”

หยานชิงเจ๋อได้ยิน ความคิดนี้ใช้ได้

ถึงเวลานั้น เขางานยุ่ง หรือไปนอกสถานที่ ก็มีคนช่วยดูแลเสี่ยวจิ่นของเขา

“ในหมู่บ้านเหมือนเหลือคฤหาสน์ไม่กี่หลังที่ยังไม่ได้ขายออกไป คืนนี้ฉันลองถามพี่เฉิน”หยานชิงเจ๋อพูด“แต่คงยังตกแต่งไม่ได้ ในเมื่อเมียกับลูกต้องอาศัยอยู่…”

“จริงด้วย เหมือนตอนนี้พี่เฉินจะไม่อยู่ พวกนายพักที่เขาก่อนไหม?”ฟู่สีเกอเสนอ“ยังไงตอนนี้โยวโยวยังไม่ทำงาน กลางวันก็อยู่เป็นเพื่อนซูสือจิ่นได้”

“ได้ อีกเดี๋ยวฉันปรึกษาเธอก่อน”หยานชิงเจ๋อตอบ

เดินในหมู่บ้านอยู่สักพัก หยานชิงเจ๋อก็กลัวซูสือจิ่นจะเหนื่อย เลยบอกลาฟู่สีเกอ พาซูสือจิ่นกลับบ้าน

กลับถึงบ้าน เขาก็กอดเธอจากด้านหลัง ใช้น้ำเสียงแอ๊บแบ๊ว “เสี่ยวจิ่น หายกลัวผัวน้า หรือว่าเธอลงโทษอะไรก็ได้ อย่าไม่คุยกับฉันเลย”

ซูสือจิ่นทำเสียงเหอะออกมา เจ้าหมอนี้ ตอนนี้เหมือนลูกตื้ออะไรก็ทำเป็นหมด

เธอชี้รีโมตในห้องรับแขก“งั้นพี่ไปคุกเข่าบนรีโมต ครึ่งชั่วโมง ขอแค่ทีวีไม่เปลี่ยนช่อง ฉันก็ยกโทษให้”

หยานชิงเจ๋อทำหน้าสงสารมองไปที่เธอ แล้วพูดว่า“ก็ได้”

ระหว่างที่พูด ยังวางรีโมตบนพื้นมองแล้วคุกเข่าลงไป

ซูสือจิ่นอึ้งไป เธอแค่พูดไปเล่นๆ ไม่คิดว่าเขาจะทำจริง

เธอรักเขาขนาดนั้น จะทนเห็นให้เขาคุกเข่าบนรีโมตได้ยังไง? และ เขารักเธอ ถึงอยากมีลูกกับเธอ เหตุผลแบบนี้เธอก็เข้าใจ เพียงแต่ผู้หญิงบางครั้งก็อยากจะหาเรื่องบ้างเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เธอก้มท้อง“ฉันรู้สึกไม่สบาย”

หยานชิงเจ๋อได้ยิน รีบเดินเข้าไป ถามเสียงเครียด“เสี่ยวจิ่น ไม่สบายตรงไหน? ฉันไปเรียกหมอบ้าน”

ซูสือจิ่นเห็นเขาเครียด ความเคืองในใจหายไปทันที

เธอเงยหน้ามองเขา “หายแล้ว”

พูดอยู่ เขาพิงไปที่หน้าอกเขา“ผู้ชายตัวโตคนหนึ่ง มีอย่างที่ไหนไปคุกเข่าบนรีโมต ฉันแค่พูดเล่นแค่นั้น ทีหลังห้ามหลอกฉันอีก”

หยานชิงเจ๋อได้ยินก็โล่งใจ รีบรับประกันทันที “ตกลง วันหลังไม่ว่าเรื่องอะไร ฉันจะปรึกษาเมียก่อน จะไม่โกหกเมียเด็ดขาด”

พูดอยู่ เขาก้มไปจูบเธอ “ฉันคิดดูแล้ว พวกเราอยู่ไกลจากพวกพี่เฉินมาก แบบนี้ดีไหม ฉันไปซื้อห้องชุดที่โน่น พวกเราย้ายไป วันหลังเธอจะได้ไปหาพี่สะใภ้กับเล่นกับโยวโยวบ่อยๆ”

ซูสือจิ่นได้ยิน พยักหน้าทันที “ดีเลย”

หยานชิงเจ๋อพูดต่อ“ตอนนี้พี่เฉินไม่อยู่ พวกเราไปอาศัยที่นั่นก่อนสักพัก เธอคิดว่ายังไง?”

“ดีนะ ฉันจะได้ไปเล่นกับถางเป่าและหรงฉิว”ซูสือจิ่นพูดอยู่ เอารูปถ่ายในมือถือให้หยานชิงเจ๋อดู“วันหลังลูกของเราก็ทำแบบนี้”

หยานชิงเจ๋อได้ยินเธอเป็นคนพูดถึงเรื่องลูกพวกเขาด้วยตัวเอง ราวกับมีดอกไม้ไฟเป็นหมื่นเป็นพันขึ้นในใจ

เขาก้มหน้ามองเธอ พูดอย่างลึกซึ้ง“เสี่ยวจิ่น ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างฉันมาตลอด ทำให้ฉันรู้สึกชีวิตช่างสวยงาม”

ซูสือจิ่นทำตัวไม่ถูกเพราะน้ำเสียงอ่อนโยนของเขา แก้มแนบที่ไหล่ของหยานชิงเจ๋อ กัดริมฝีปาก“ทำไมถึงเลี่ยนแบบนี้”

หยานชิงเจ๋อยิ้ม เชยคางเธอขึ้น จูบเธอเบาๆ

เพียงแต่เพื่อไม่ให้ราคะไฟติด ไม่ไปอาบน้ำเย็นไม่ได้

ซูสือจิ่นได้ยินแทบจะเป็นลม หยิบบิลค่าตรวจออกมา หยานชิงเจ๋อเดินเข้ามา “เสี่ยวจิ่น คุณหมอว่าไงบ้าง?”

เธอพูดตามที่หมอบอกทุกคำ แล้วเอาบิลในมือยื่นให้หยานชิงเจ๋อ

เขารีบไปจ่ายค่ายา แล้วถึงจูงมือซูสือจิ่นกลับ

“คุณหมอว่า อายุครรภ์สองสัปดาห์แล้ว”ซูสือจิ่นหนักใจนิดๆ “วันนี้พี่ยังแตะต้องฉันอย่างนั้น…”

“ฉันผิดเอง ทีหลังฉันจะระวัง”หยานชิงเจ๋อรีบง้อ“เสี่ยวจิ่น รู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม?ตอนนี้เธอท้องแล้ว พวกเราทำอาหารกินเองที่บ้าน กลัวจะดูแลไม่ทั่วถึง ฉันจ้างนักโภชนาการมาดูแลเธอดีไหม?”

ตอนนี้ซูสือจิ่นถึงยอมรับความจริงที่ตัวเองท้อง เธอคิดแล้วคิดอีก ก็พยักหน้า

หยานชิงเจ๋อขับรถไปพลาง ใช้มือขวาที่ว่างอยู่กุมมือซ้ายของซูสือจิ่นไปด้วย ประสานมือกันไว้“เสี่ยวจิ่น วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตฉันวันหนึ่งจริงๆ เกิดเรื่องดีสองเรื่องพร้อมกัน”

ซูสือจิ่นยู่ปาก ไม่พูดอะไร

หยานชิงเจ๋อพูดต่อ “ฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกพวกพ่อแม่”

ซูสือจิ่นส่ายหน้า “ไม่ต้อง”

“ทำไม?”หยานชิงเจ๋อหันไปถามด้วยความงุนงง

“เพราะคุณหมอบอกว่าลูกยังไม่มั่นคง ดังนั้น…”ซูสือจิ่นกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นภายหลัง ทำให้คนแก่ที่บ้านดีใจเก้อ

“บอกแล้วพวกเขาจะได้ดูแลเธอยิ่งขึ้น”หยานชิงเจ๋อพูด“เวลาฉันไปทำงาน กลัวว่าบางครั้งจะดูแลไม่ทั่วถึง”

“ฉันไม่ให้บอก”ซูสือจิ่นส่ายหน้าเหมือนเดิม

หยานชิงเจ๋อยอมแพ้ “ก็ได้ งั้นเรายังไม่พูด รอมั่นคงแล้วค่อยพูดดีไหม?”

ตอนนี้เขาเหมือนอะไรก็ตามใจเธอ…ซูสือจิ่นหันไปมองหยานชิงเจ๋อ แล้วตอบ “อืม”

หยานชิงเจ๋อขับรถไปพลาง ยิ้มไปพลาง “เสี่ยวจิ่น เธอจะตั้งชื่อลูกว่าอะไร?”

“ยังไม่รู้เพศ จะตั้งชื่อได้ยังไง?”ซูสือจิ่นกัดริมฝีปาก “พี่ชอบลูกชายหรือลูกสาว?”

ครั้งนี้หยานชิงเจ๋อรู้คำตอบที่มาตรฐาน “ขอแค่เป็นลูกเรา ลูกชายลูกสาวฉันรักทั้งนั้น”

ซูสือจิ่นเดินคิดจะหาเรื่อง แต่พอได้ยินหยานชิงเจ๋อพูดแบบนี้ เหมือนไม่มีเหตุผลที่จะชวนทะเลาะ

เธอมองไปนอกหน้าต่าง พูดพึมพำ “ทำไมป้องกันแล้วยังท้องอีก?”

หยานชิงเจ๋อได้ยินคำพูดนี้ก็หวั่นใจ

แต่ พูดก็พูดหลักฐานก่อเหตุตอนนั้นหลังเสร็จกิจถูกเขาทำลายไปแล้ว เธอคงทายไม่ถูกหรอกนะ

เขาปลอบตัวเองอยู่ ขับรถมาถึงเรือนหอของพวกเขา

เขาอุ้มเธอลงจากรถ เดินตรงไปที่หน้าลิฟต์

ตอนดึกไม่มีใคร ซูสือจิ่นพิงในอ้อมกอดหยานชิงเจ๋ออย่างขี้เกียจ เพลิดเพลินไปกับการบริการของเขา

ทั้งสองคนไม่ช้าก็ถึงบ้าน หยานชิงเจ๋อวางซูสือจิ่นบนเตียง เทน้ำอุ่นหนึ่งแก้วให้เธอ ยื่นเม็ดยาโปรเจสเตอโรนบำรุงให้เธอ

ซูสือจิ่นกินเสร็จ ก้มมองท้องน้อยของตัวเอง

ตรงนั้นแบนราบ หากไม่ใช่เพราะไปผลตรวจวันนี้ เธอไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะท้อง

ในหัวเธอมีความคิดมากมาย มีกังวล มีลังเล แต่กลับมีความคาดหวังนิดๆ

ถึงยังไง วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวัน ตอนหยานชิงเจ๋อดึงมากอด ซูสือจิ่นก็หลับไปอย่างช้าๆ

หลับฝันดีตลอดคืน จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ตอนซูสือจิ่นตื่นขึ้น เห็นว่าในห้องไม่มีใคร เธอก็นอนแช่บนเตียงอีกพักหนึ่ง ถึงลุกขึ้น

เพิ่งออกไป ก็เห็นหยานชิงเจ๋อเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว ยิ้มให้เธอ พูดว่า “เสี่ยวจิ่น ไม่นอนต่ออีกหน่อยเหรอ?”

เธอใช้จมูกดมกลิ่น ได้กลิ่นของโปรดของตัวเอง ยิ้มให้หยานชิงเจ๋อ “ฉันหิวแล้ว”

“ตอนนี้เธอคนเดียวต้องกินอาหารของคนสองคน กินเยอะๆหน่อย”หยานชิงเจ๋อช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้เธอ ดูแลเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง

ซูสือจิ่นกินเสร็จ กำลังจะเก็บ หยานชิงเจ๋อก็แย่งถ้วยตะเกียบไปทันที “เสี่ยวจิ่น เธอนั่งพักก่อน ฉันทำเอง”

“อีกเดี๋ยวพี่ต้องไปทำงาน…”ซูสือจิ่นเตือน

“วันนี้ไม่ไปอยู่เป็นเพื่อนเธอที่บ้าน”หยานชิงเจ๋อพูด“ยังต้องจ้างนักโภชนาการท่านหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนพี่สะใภ้เธอท้องจ้างมาคนนั้นก็ใช้ได้ อีกเดี๋ยวฉันถามช่องทางติดต่อกับพี่เฉิน”

ซูสือจิ่นเห็นหยานชิงเจ๋อกลายเป็นพ่อบ้าน จู่ ๆก็รู้สึกท้องก็ดีเหมือนกัน เขาดูแลเหมือนเธอเหมือนเจ้าหญิงของเขาจริงๆ

เธอคิดได้ว่าตั้งท้องยังต้องเตรียมของบางอย่าง ดังนั้นกลับถึงห้องน้ำหยิบแท็บเล็ตในลิ้นชักบนหัวเตียงออกมา อยากจะจองของออนไลน์

แต่ตอนซูสือจิ่นหยิบคอมออกมา จู่ ๆก็เห็น ในมุมลิ้นชักมีกรรไกรเล็กเล่มหนึ่ง

เพราะพ่อเธอมีบางครั้งไปตกปลาที่แม่น้ำ ในบ้านเลยมีกรรไกรรูปตัวยู ดังนั้นซูสือจิ่นเห็นกรรไกรตัวยูเล่มนี้ ยังเอาออกมาดูโดยเฉพาะ

เวลาเธอออกแบบจะใช้แล็ปท็อป ใช้เครื่องมือวาดรูปโดยเฉพาะ ดังนั้นน้อยครั้งจะใช้แท็บเล็ต เธอเหมือนไม่ได้เปิด

ลิ้นชักมานาน จำได้เพียงเมื่อ 1 เดือนกว่าก่อนหน้านี้ ในบ้านเหมือนไม่มีกรรไกรเล่มนี้

ดังนั้นเธอหยิบขึ้นไปถามหยานชิงเจ๋อ “พี่ชิงเจ๋อมีแผนจะไปตกปลาเหรอ?พ่อฉันก็ใช้มันตัดสายเบ็ด ”

หยานชิงเจ๋อเพิ่งเก็บกวาดเสร็จ หันไปมองก็เห็นในมือซูสือจิ่นมีเครื่องมือที่เขาใช้ก่อเหตุตอนนั้น

แม้ว่ากรรไกรเล่มเดียว จะบอกอะไรไม่ได้ แต่หัวใจเขาก็ยังสั่น แล้วพูดว่า “อ้อ ซื้อมาแบบไม่ตั้งใจ”

ซูสือจิ่นเดิมก็แค่ถามเฉยๆ นึกเรื่องอื่นได้ก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปทันที

ตอนกลางวัน ซูสือจิ่นซื้อของบางอย่างบนอินเทอร์เน็ต เลยดูเว็บบอร์ดของคุณแม่นิดหน่อย

ในเว็บบอร์ด มีโพสต์หนึ่งชื่อว่า (เล่ามาหน่อยสิ เตรียมตัวตั้งท้องกันนานแค่ไหน?)

ซูสือจิ่นกดเปิดและเริ่มอ่าน

เธอเห็นมีคนจำนวนไม่น้อยเตรียมตัวเป็น1-2ปี มีที่เหมือนเธอ เป็นแบบไม่คาดฝัน

และแถวสุดท้าย ดึงความสนใจจากเธอได้ทันที

เห็นเขียนแค่ “ฉันกับแฟนหนุ่มสวมถุงยางตลอด เพราะฉันยังไม่มีแผนจะแต่งงาน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องลูก แต่จู่ๆวันหนึ่งก็รู้ว่าท้อง ต่อมาฉันถามเขา เขาถึงบอก เขาตัดถุงยางให้เป็นรู”

ด้านล่างมีคนมากมายตอบ เธอบรรยายต่อ “แน่นอนท้องแล้วต้องแต่ง แต่วิธีนี้ของเขาก็ชั่วร้ายจริงๆ ฉันก็ว่ามีอย่างที่ไหนสวมถุงยางแล้วยังท้อง ที่แท้เขาทำมันทุกครั้ง ตอนนี้เรามีลูกสาวหนึ่งคน ก็มีความสุขดี”

ซูสือจิ่นทำตาปริบๆเมื่ออ่านถึงตรงนี้

หัวใจเธอเริ่มเต้นเร็วขึ้น เกิดความสงสัยขึ้นในใจ

เธอร่วมรักกับหยานชิงเจ๋อ ก็สวมถุงยางทุกครั้ง มีแค่1-2ครั้ง แต่เป็นระยะปลอดภัย ความจริงพิสูจน์ให้เห็น ตอนนั้นเธอไม่ได้ท้องจริงๆ

แต่ครั้งนี้ คิดยังไง เหมือนเป็นระยะตกไข่ของเธอพอดี ถ้างั้น…

ก่อนหน้านี้ กรรไกรรูปตัวยูเล่มนั้นโผล่มาในลิ้นชัก

ซูสือจิ่นปิดคอม แล้วหยิบกรรไกรเล็กนั้นออกจากลิ้นชัก

ของสิ่งนี้บังเอิญเกินไป ดูก็รู้ปกติหยานชิงเจ๋อไม่ได้ใช้มัน และแม้ว่าเขาจะใช้ ทำไมวางมันไว้ในลิ้นชักหัวเตียง?

เธอหลับตา นึกย้อนฉากที่พวกเขาแนบชิดกันคืนนั้น

เหมือนมีหลายครั้งที่ลิ้นชักเปิดอยู่

ความสงสัยในใจเหมือนได้รับการยืนยัน ซูสือจิ่นหยิบกรรไกรเล็ก มาถึงหน้าห้องหนังสือของหยานชิงเจ๋อ

“เสี่ยวจิ่น?” หยานชิงเจ๋อเงยหน้า มองเธอด้วยความอ่อนโยน

“ชิงเจ๋อ พี่ไม่เคยโกหก หลอกลวงฉันเลยใช่ไหม?”ซูสือจิ่นเข้าไปใกล้ เอามือไขว้หลังแล้วถามออกมา

หยานชิงเจ๋อนิ่งอึ้งไป รีบพูดทันที “แน่นอนไม่เคย เสี่ยวจิ่น ฉันจะโกหกหลอกลวงเธอทำไม?”

ซูสือจิ่นเอากรรไกรด้านหลังออกมา มองตาหยานชิงเจ๋อ “เพราะฉะนั้น พี่ใช้มันทำอะไร เรื่องนี้ก็ห้ามหลอกฉัน”

หยานชิงเจ๋อกะพริบตา พูดเหมือนไม่รู้เรื่อง “เสี่ยวจิ่น มันก็แค่กรรไกรเล่มหนึ่งเอง”

“แต่มันใช้มาตัดถุงยาง ทำให้ฉันท้อง มันก็ไม่ใช่แค่กรรไกรเล่มหนึ่ง”ซูสือจิ่นทำหน้าจริงจัง

หยานชิงเจ๋อหนักใจทันที เธอจะฉลาดเกินไปแล้วมั้ง ยังทายเรื่องนี้ออก

เห็นหยานชิงเจ๋อไม่กล้ามองเธอ ในตาใสก็ประกายขึ้นแวบหนึ่ง ซูสือจิ่นรู้เลยว่าตัวเองทายถูก

ไม่รู้ทำไม ความน้อยใจพุ่งขึ้นทันที น้ำตาเธอเหมือนใจสั่ง ไหลพรากออกมา

“เรื่องใหญ่แบบนี้พี่ยังหลอกฉัน” เธอยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ “พี่นิสัยแย่จริงๆ คำพูดพี่หลังจากนี้ ฉันไม่กล้าเชื่อแล้ว ฮือๆฉันไม่อยากสนใจพี่อีกแล้ว”

หยานชิงเจ๋อเห็นซูสือจิ่นร้องไห้ รีบลุกขึ้นดึงเธอมากอดปลอบ “เสี่ยวจิ่น ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…ฉันแค่อยากให้เรามีลูก ก็เลย…”

“พี่ก็เลยหลอกฉัน”ซูสือจิ่นเช็ดน้ำตาที่หน้าอกหยานชิงเจ๋อ“ตอนนี้พี่มีแต่คำโกหก ฉันไม่อยากจะเชื่อพี่อีกแล้ว พี่ไม่ต่างจากผู้ชายเลวๆข้างถนนพวกนั้น ไม่ใช่พี่ชิงเจ๋อที่ฉันรู้จักตั้งแต่เด็กอีกแล้ว”

หยานชิงเจ๋อได้ยิน เสี่ยวจิ่นของเขาไม่เชื่อเขาแล้ว ควรทำยังไงดี?

ระหว่างเมียกับเพื่อน เขาเหมือนไม่ต้องลังเลใดๆ ก็เลือกได้แล้ว

ด้วยเหตุนี้ หยานชิงเจ๋อเช็ดน้ำตาให้ซูสือจิ่นไปพลาง พูดไปพลาง “เสี่ยวจิ่น เธอฟังฉันพูด เรื่องนี้ฉันไม่ได้เป็นคนคิดออกมา เป็นคนอื่นที่สอนฉัน”

ซูสือจิ่นเงยหน้า “ใคร?”

หยานชิงเจ๋อรีบบอก “สีเกอ”

เขาอีกแล้ว!

เมื่อวานหยานชิงเจ๋อพาเธอไปบนสะพานกระจก ฟู่สีเกอก็เป็นคนสอน ตอนนี้ถึงรู้ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

คิดไม่ถึงว่าฟู่สีเกอจะสอนหยานชิงเจ๋อ ให้ตัดถุงยาง ทำให้เธอท้อง

ซูสือจิ่นทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

เธอเงยหน้า พูดกับหยานชิงเจ๋อ “ฉันจะไปบ้านเขาไปคิดบัญชีกับเขา”

หยานชิงเจ๋อได้ยิน ก็รีบห้าม“เสี่ยวจิ่น ตอนนี้สีเกอเป็นพ่อคนเหมือนกัน ค่อนข้างยุ่งเรื่องนี้ก็อย่า…”

“ฉันไม่สน ฉันจะไปหาเขา”ซูสือจิ่นร้องไห้ “พวกพี่รวมหัวรังแกฉัน ฉันไม่ต้องการคนเลวแบบพวกพี่อีกแล้ว ฉันจะกลับสตูดิโอ ฉันจะย้ายไปต่างประเทศ”

หยานชิงเจ๋อได้ยินเธอจะไปต่างประเทศ ยอมแพ้ทันที “เสี่ยวจิ่นไม่ร้อง ฉันพาเธอไปหาสีเกอเดี๋ยวนี้เลย”

ขึ้นรถ ซูสือจิ่นยังพูดจาน้อยใจเหมือนเดิม

ทั้งสองคนมาถึงบ้านฟู่สีเกอ ซูสือจิ่นเคาะประตูด้วยความแค้น และหยานชิงเจ๋อรู้สึกกังวลในใจ

แม้ว่า คนต้นคิดจะเป็นฟู่สีเกอ แต่ยังไงเขาก็เป็นคนที่อยากมีลูก ฟู่สีเกอถึงสอนเขา ตอนนี้เขาพาเมียมา ความรู้สึกเหมือนถีบหัวส่งอย่างนั้น

แต่เมียน้ำตาไหลออกมา เขาก็ไม่มีทางเลือก

เขากัดฟันเดินตามหลังซูสือจิ่นไป

ในคืนวันนั้น ซูสือจิ่นกับหยานชิงเจ๋อกลับมาถึงเรือนหอแล้ว ทั้งสองคนค่อนข้างเหนื่อยเล็กน้อย

เพียงแต่ซูสือจิ่นผลักเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของพวกเขา ชั่วขณะก็ตะลึงงัน

เธอเงยหน้าขึ้นมองหยานชิงเจ๋อ : “ชิงเจ๋อ เป็นการตกแต่งของคุณเหรอ?” นี่ช่างเหมือนกับคืนส่งตัวเข้าหอของจีนโบราณจริงๆเลย!

องค์ประกอบในห้องเต็มไปด้วยสีแดงทั้งหมด ผ้าห่มสีแดงแปร๊ด ตัดกับหน้าต่างที่ยาวจรดพื้น……

สิ่งที่เหมาะที่สุด ก็คือเทียนสีแดงสองเล่มและภาชนะใส่เหล้าบนโต๊ะ

หยานชิงเจ๋อยิ้มให้เธอ หลังจากนั้นก็จูงเธอไปนั่งลงตรงโต๊ะด้านหน้า : “คุณภรรยา เดี๋ยวเรามาดื่มฉลองกันนะ!”

ซูสือจิ่นยิ้ม : “คาดไม่ถึงว่าคุณจะมีลูกเล่นเยอะขนาดนี้!”

เขาโน้มลงไปจูบเธอหนึ่งที : “จะแต่งภรรยาทั้งที แน่นอนว่าจะต้องใช้ฝีมือให้เต็มที่!”

ทั้งสองคนอาบน้ำเสร็จแล้ว หยานชิงเจ๋อก็เทเหล้าให้ เพราะซูสือจิ่นยังไม่สามารถดื่มเหล้าที่มีดีกรีสูงๆได้ ฉะนั้นด้านในจึงเป็นเหล้าสาเกที่มีดีกรีต่ำแทน

คล้องข้อมือของกันและกัน แล้วดื่มเหล้าในแก้วลงไป จากนั้นหยานชิงเจ๋อก็ก้มลงไปจูบที่แก้มของซูสือจิ่น : “เสี่ยวจิ่น มีความสุขในวันแต่งงานนะ!”

ภายใต้แสงเทียน ใบหน้าของเขายิ่งประณีตสวยงาม ซูสือจิ่นเห็นแล้วก็หน้าแดงใจสั่น รู้สึกได้ว่าบริเวณที่หยานชิงเจ๋อจูบลงไปเมื่อกี้นี้ ใบหน้าก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา ใบหูแดงไปหมด

เขาหยิบแก้วเหล้าในมือเธอออกไป จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นมา แล้วเดินตรงไปที่เตียงนอนสีแดงหลังใหญ่นั่น

ซูสือจิ่นเห็นอารมณ์ในแววตาของหยานชิงเจ๋อที่ไม่ได้ปิดบังเลยแม้แต่น้อย ก็ขาอ่อนแรงไปหมด : “เมื่อตอนกลางวัน ที่สะพานกระจกของบริษัทพวกคุณ……”

เธอเอ่ยถึงตรงนี้ก็โกรธขึ้นมา เขาคิดว่าเธอกลัวความสูง เดิมทีจึงไม่กล้าขยับเคลื่อนไหว ฉะนั้นจึงใช้ลูกไม้ต่างๆหลอกล่อมากมาย แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่ปลายนิ้ว

ในที่สุด เขายังแกล้งทำเป็นลากเธอขึ้นมา แต่ผลปรากฏว่าเพราะขาของเธออ่อนแรง เขาจึงได้อุ้มเธอกลับไป

โชคดีที่ตึกไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม และไม่ได้เปิดกล้องวงจรปิด จึงไม่มีใครเห็น

แต่เรื่องใจกล้าอย่างนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่เธอทำ ทั้งรู้สึกดีและไม่ดี!

“เสี่ยวจิ่น คืนนี้เป็นคืนส่งตัวเข้าหอของเรานะ หรือว่าคุณต้องการจะให้สามีของคุณอดอยาก?” หยานชิงเจ๋อพูดจบ ก็ก้มลงไปถอดรองเท้าให้ซูสือจิ่น

เธอมองเขาอย่างน้อยใจ : “คุณกลายเป็นคนกินจุไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

“ก็ตั้งแต่ถูกคุณค้นหาความสามารถเจอนั่นแหละ” หยานชิงเจ๋อพูดอย่างไม่รู้สึกผิดว่า : “เมื่อก่อนก็ไม่เคยลิ้มรส จึงไม่รู้ว่าคุณอร่อยขนาดนี้!”

พูดจบ เขาก็โผเข้าไปหา……

เสื้อผ้าที่ซ้อนกันอยู่ก็ร่วงหล่นลงมา เดิมทีซูสือจิ่นคิดจะต่อต้าน แต่หยานชิงเจ๋อดูเหมือนว่าจะมีเทคนิคดียิ่งขึ้น จึงทำให้ร่างกายของเธอค่อยๆเร่าร้อนขึ้นมา เคลิบเคลิ้มมากยิ่งขึ้น คาดไม่ถึงว่าอยากจะจูบกับเขาอย่างมาก

เมื่อเขาเข้าไปทุกๆครั้งก็จะกระทำอย่างอ่อนโยน ขยับไปพลาง จูบบริเวณที่อ่อนไหวของเธอไปด้วย

ในห้อง แสงเปลวเทียนสีแดงโดดเด่นขึ้นมา เกิดเงาที่สวยงามตกลงบนกำแพงผ่านม่านโปร่งแสง

อุณหภูมิของบรรยากาศสูงขึ้นเรื่อยๆ ในท้ายที่สุด ซูสือจิ่นก็เกือบลืมไปเลยว่าตนเองอยู่ที่ไหน และทำได้เพียงทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น ประสานกับจังหวะของกระแสน้ำ ทุกๆครั้งก็เหมือนกับคลื่นที่ไหลอย่างเชี่ยวกราก

ในที่สุดพวกเขาก็ถึงจุดสุดยอดพร้อมกัน เป็นเวลานานจึงค่อยๆได้สติกลับมา

ซูสือจิ่นหายใจหอบเหนื่อย มองชายที่อยู่บนร่าง ยื่นมือออกไปจิ้มที่หน้าอกของหยานชิงเจ๋อ : “คุณใช้อย่างฟุ่มเฟือยแบบนี้ มันจะเสื่อมเร็วหรือเปล่า?

หยานชิงเจ๋อจับมือของเธอไว้ : “นี่ไม่ได้เรียกว่าใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่เป็นความสมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทาน คุณภรรยา วางใจเถอะ ฉันจะทำให้คุณพอใจอย่างแน่นอน! อายุสี่สิบไปแล้วก็จะเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน!”

เธอทุบไปที่เขา จากนั้นก็เอื้อมมือไปโอบกอดเขา : “ฉันเดินไม่ไหวแล้ว คุณอุ้มฉันไปอาบน้ำหน่อยสิ!”

“รับทราบครับ!” หยานชิงเจ๋อยื่นมือออกไปอุ้มซูสือจิ่นขึ้นมา เพียงแต่เมื่อเห็นของเหลวระหว่างขาของเธอ ทันใดก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

ซูสือจิ่นสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ด้วยเหตุนี้จึงถามว่า : “ชิงเจ๋อ ทำไมเหรอ?”

“เสี่ยวจิ่น คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” หยานชิงเจ๋อพูดอย่างตึงเครียด : “ตรงนั้นทำไมถึงมีเลือดออกมาได้ล่ะ?”

ซูสือจิ่นได้ยินก็ตกใจ : “เลือดออกตรงไหนเหรอ?”

พูดจบ เธอก็ยื่นมือเข้าไปลูบๆดู ก็เห็นว่ามีเลือดออกเล็กน้อยจริงๆ

ถึงแม้ว่าจะไม่มาก แต่สีแดงๆบนของเหลวสีขาว ก็เด่นเป็นพิเศษ

“ฮือๆ พี่ชิงเจ๋อ ฉันได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?” ซูสือจิ่นตกใจกลัว ชั่วพริบตาก็มีน้ำตาคลอขึ้นมา : “เลือดออกมาจากมดลูกเหรอ? หรือว่าประจำเดือนมา?”

เธอพูดจบก็คิดคำนวณเล็กน้อย หลังจากนั้นสีหน้าก็แข็งทื่อ!

คำนวณดูแล้ว ประจำเดือนน่าจะมาตั้งแต่เมื่อ 5 วันก่อน แต่เพราะเรื่องงานแต่งงาน เธอจึงเคร่งเครียด และลืมไปเลยว่าประจำเดือนจะต้องมา!

ในสถานการณ์ตอนนี้ ท้ายที่สุดแล้วคือประจำเดือนหรือเปล่านะ?

“เสี่ยวจิ่น คุณอย่ากลัวไปเลย เราไปลองล้างดูก่อน ดูสิว่าเลือดจะหยุดไหลไหม?” หยานชิงเจ๋อกล่าว

“โอเค” ซูสือจิ่นก็หวั่นใจ ทั้งสองคนจึงไปห้องน้ำด้วยกัน

หลังจากที่ล้างออกไปแล้ว ซูสือจิ่นก็ไม่ได้มีเลือดไหลออกมาอีก เธอจึงรู้สึกแปลกใจ : “ไม่เหมือนประจำเดือนเลยนะ? ปกติไม่ใช่แบบนี้ที่จู่ๆก็ไหลออกมาไม่กี่หยดแล้วหยุดไป!”

“เสี่ยวจิ่น เราไปโรงพยาบาลกันเถอะ!”หยานชิงเจ๋อกล่าว

ด้วยเหตุนี้ คนทั้งสองสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว จึงไปโรงพยาบาลกลางดึก

ทำเรื่องเข้ารับการรักษาแผนกนรีเวชแล้ว ซูสือจิ่นก็เล่าถึงปัญหาของตนเองอย่างเขินอาย คุณหมอก็ได้ทำใบตรวจให้เธอโดยตรง: “ไปเจาะเลือดก่อน ดูว่าตั้งครรภ์หรือเปล่า!”

ซูสือจิ่นกะพริบตาปริบๆ: “ตั้งครรภ์?”

ตั้งครรภ์สามารถมีเลือดออกได้เหรอ?

เธอหยิบใบตรวจแล้วเดินออกมาอย่างช้าๆ ด้านนอก หยานชิงเจ๋อที่กำลังรอเธออยู่ เห็นการแสดงออกของเธอผิดปกติ จึงรีบเข้าไป: “เสี่ยวจิ่น หมอบอกว่ายังไงบ้าง?”

ซูสือจิ่นเงยหน้ามองเขา น้ำตาไหลรินออกมาในทันที: “หมอให้ฉันไปเจาะเลือดตรวจการตั้งครรภ์…..”

หยานชิงเจ๋อเห็นซูสือจิ่นร้องไห้ จึงรีบโอบกอดเธอเพื่อปลอบโยน: “ท้องก็ดีมากเลยสิ เสี่ยวจิ่น คุณชอบหวันหว่านกับลูกของฟู่สีเกอไม่ใช่เหรอ?”

“แต่ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมเลยนะ…..” ซูสือจิ่นกล่าวอย่างรู้สึกเสียใจ

“ไม่เป็นไร บางทีอาจจะไม่ได้ท้องก็ได้นะ!” ถึงแม้หยานชิงเจ๋อจะพูดแบบนี้ แต่ภายในใจก็เริ่มคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเอง

เขาทำตามวิธีที่ฟู่สีเกอบอก ซึ่งเป็นวิธีที่บอกกันมาปากต่อปาก หรือว่า มันจะได้ผลจริงๆ?

แต่เขาไม่สามารถแสดงออกมาได้ แต่แสร้งทำเป็นเคร่งขรึม แล้วจูงซูสือจิ่นไปยังแผนกเจาะเลือด

เจาะเลือดเสร็จอย่างรวดเร็ว คนทั้งสองรอผลอยู่ด้านนอก

ซูสือจิ่นรู้สึกเพียงว่าหัวใจสับสนวุ่นวาย เธอชอบเด็กก็จริง แต่เธอยังไม่ได้คิดว่าจะมีลูกเร็วขนาดนี้

เพื่อนร่วมชั้นของเธอไม่น้อยเลยที่ยังไม่ได้แต่งงาน และเหมือนกับว่าจะไม่มีใครมีลูกเลยสักคน ถ้าเธอท้อง เพื่อนๆก็คงจะหัวเราะเยาะเธอใช่ไหม?

อีกอย่าง เธอคิดว่าดูแลตัวเองก็เป็นเรื่องที่ลำบากแล้ว แล้วนี่ยังจะต้องดูแลชีวิตน้อยๆอีก…..

ภายในใจของเธอยิ่งเกิดความกังวล อิงหน้าอกของหยานชิงเจ๋อ ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า: “ชิงเจ๋อ ถ้าฉันท้องจริงๆ บางทีฉันอาจจะเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด……”

หยานชิงเจ๋อโอบกอดเธอเอาไว้แน่น: “เสี่ยวจิ่น ถ้ามีลูกแล้ว พวกเราจะเป็นเพื่อนเล่นกับเขา ฉันจะดูแลพวกคุณอย่างดี อีกอย่างตอนนี้พ่อแม่ของฉันก็ไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเขาสามารถเข้ามาช่วยดูแลลูกได้ ถ้าคุณคิดว่ายังไม่พอ พวกเรายังสามารถจ้างพี่เลี้ยงได้อีก ดังนั้น คุณไม่ต้องกังวลไปนะ มีเรื่องอะไรฉันสามารถตัดสินใจได้ทั้งนั้น……”

“คุณไม่รู้หรอก……” ซูสือจิ่นเบ้ปาก: “เพื่อนของฉันยังไม่มีใครมีลูกเลย”

“บางทีพวกเขาอาจจะอิจฉาคุณก็ได้นะ!” หยานชิงเจ๋อจูบลงบนขนตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาของซูสือจิ่น: “เสี่ยวจิ่น ถ้ามีลูกจริงๆ คุณก็จะได้เป็นแม่เร็วขึ้น จะร้องไห้ไปทำไมล่ะ?”

ซูสือจิ่นรู้สึกไม่สบายใจ เธอซื้ดจมูก แล้วซุกเข้าไปในอ้อมกอดของหยานชิงเจ๋อ: “ฉันจะดูแลลูกได้จริงๆเหรอ?”

“แม้แต่เว็บไซต์onlyoneคุณยังทำได้พิเศษขนาดนั้นเลย สามารถเปิดเผยความสามารถของตัวเองออกมาในห้องทำงานได้มากขนาดนั้น ทำไมถึงจะดูแลลูกให้ดีไม่ได้ล่ะ?” หยานชิงเจ๋อตบหลังเธอเบาๆ: “เสี่ยวจิ่น ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ”

เพียงแต่เวลาต่อมา ทางช่องเคาน์เตอร์ก็เรียกชื่อของซูสือจิ่น หัวใจเธอตึงเครียด: “ผลออกมาแล้ว พี่ชิงเจ๋อ ฉันไม่กล้าไป คุณไปรับให้หน่อยสิ!”

“โอเค คุณรอฉันอยู่ตรงนี้นะ” หยานชิงเจ๋อยิ้มปลอบโยนซูสือจิ่น จากนั้น ก็ลุกขึ้นไปรับผลตรวจ

สายตาของเขา ค้นหาคีย์เวิร์ดด้านบนอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นด้านบนแสดง’ผลบวก’อย่างชัดเจน เขาก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ทันที

ฉะนั้น เสี่ยวจิ่นของเขาก็ท้องแล้วใช่ไหม? เขาจะมีลูกของตัวเองแล้วใช่ไหม?!

เดิมทีการรอคอยและความสิ้นหวังที่มีมานาน คิดว่าชั่วชีวิตนี้เธอจะไม่กลับมาแล้ว แต่เธอไม่เพียงแค่กลับมา กลับยังให้อภัยเขา แต่งงานกับเขา อีกทั้งยังตั้งท้องลูกของเขาอีกด้วย?

หยานชิงเจ๋อรู้สึกเพียงว่าตนเองถูกเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่ ชั่วพริบตา ขอบตาก็ร้อนผ่าว

ทางด้านซูสือจิ่น เห็นหยานชิงเจ๋อยืนไม่ขยับเขยื้อน จึงอดไม่ได้ที่จะเรียกเขา: “พี่ชิงเจ๋อ ฉันเป็นโรคอะไรใช่ไหม?”

หยานชิงเจ๋อตอบสนองกลับมาทันที เขารีบเดินเข้าไปยังตรงหน้าของซูสือจิ่น พูดจาติดอ่างเล็กน้อย: “เสี่ยวจิ่น คุณ พวกเรามีลูกแล้ว!”

รูม่านตาของซูสือจิ่นขยายในทันที เธอถูกข่าวนี้ทำให้ช็อกไป พูดไม่ออกเป็นเวลานาน

หยานชิงเจ๋อนั่งลงข้างๆเธอ แล้วโอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด: “เสี่ยวจิ่น คุณจะได้เป็นแม่แล้ว! ฉันก็จะได้เป็นพ่อแล้ว!”

หัวใจของซูสือจิ่น เต้นกลับคืนมาทีละน้อยๆ

เธอพูดอย่างช้าๆว่า: “ฉันท้องแล้วจริงๆเหรอ?”

หยานชิงเจ๋อพยักหน้า: “อื้ม” เขาพูดพลาง นำมือไปกุมบนท้องน้อยของเธอ: “ในนี้ มีชีวิตน้อยๆหนึ่งชีวิต ที่เป็นผลงานของพวกเรา”

ซูสือจิ่นได้ฟังคำพูดของเขา ด้วยเหตุนี้จึงค่อยๆเคลื่อนมือเข้าไป

ราบเรียบขนาดนี้ ราวกับว่า ไม่มีอะไรเลย

แต่ภายในใจมีความรู้สึกหนึ่ง เหมือนกับว่า ทุกอย่างช่างแตกต่างกันจริงๆ

“เสี่ยวจิ่น ฉันจะไปเป็นเพื่อนคุณถามคุณหมอว่าต้องระมัดระวังอะไรบ้าง?” หยานชิงเจ๋อกล่าวปรึกษา

ซูสือจิ่นพยักหน้า: “อื้ม”

เขาประคองเธออย่างระมัดระวัง กลัวว่าเธอจะชนอะไร จนกระทั่ง มาถึงหน้าประตูแผนกนรีเวช

ที่นั่นผู้ชายห้ามเข้า หยานชิงเจ๋อจึงกล่าวกับซูสือจิ่นด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า: “เสี่ยวจิ่น คุณเอาใบรายงานผลให้คุณหมอดูนะ แล้วก็ถามเธอว่า ทำไมเมื่อกี้ถึงมีเลือดออก ฉันจะรอคุณอยู่ข้างนอก”

ซูสือจิ่นพยักหน้า ไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไร อาจเพราะสมองว่างเปล่า จากนั้นจึงเดินเข้าไป

เธอนำใบรายงานผลให้คุณหมอ คุณหมอรับไปแล้วกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติว่า: “ตั้งครรภ์แล้วค่ะ เพิ่งได้สองสัปดาห์ มีโอกาสแท้งคุกคามได้ ดังนั้นคุณจึงเห็นว่ามีเลือดออกเล็กน้อย เพียงแต่นี่เป็นสถานการณ์ปกติ มีคนจำนวนมากที่เป็น คุณไม่ต้องเป็นกังวล ฉันจ่ายยาให้คุณแล้ว ทานยาตรงเวลาก็จะดีเองค่ะ ครั้งหน้าคุณเข้ามา ให้มาที่แผนกสูตินรีเวชได้เลย เมื่อถึง12สัปดาห์ อย่าลืมมาทำประวัติด้วยนะคะ”

ที่ห้องโถงใหญ่ชั้นล่าง สือมูเฉินและคนอื่นๆกำลังทักทายแขก เพราะวันนี้มีเพื่อนจำนวนไม่น้อยที่ทำธุรกิจด้วยกัน ฉะนั้นเขาแทบจะยุ่งอยู่กับการเจรจาพูดคุยตลอด

และฟู่สีเกอ หลังจากจามหลายครั้งติดต่อกัน ในที่สุดเขาก็ดีขึ้นบ้างแล้ว

ขณะที่เขาช่วยหยานชิงเจ๋อทักทายแขกอยู่ ก็พูดอย่างสงสัยว่า : “ชิงเจ๋อไปไหนล่ะ?”

เฉียวโยวโยวส่ายหัว : “ไม่รู้สิ เมื่อกี้เพิ่งจะเห็นสือจิ่นเต้นรำกับลั่วฝานหวาอยู่ ชั่วพริบตาก็ไม่เห็นใครแล้ว?”

“พวกเขาเต้นรำด้วยกัน?” ฟู่สีเกอหรี่ตามอง แววตามีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ : “อย่างนั้นฉันรู้แล้วล่ะว่าชิงเจ๋อพาเธอไปไหน”

“ไปไหนเหรอ?” เฉียวโยวโยวประหลาดใจ

“สถานที่ที่อธิบายไม่ได้ และทำในสิ่งที่อธิบายไม่ได้” ฟู่สีเกอพูดด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง

เฉียวโยวโยวมองค้อน : “คุณคิดว่าทุกๆคนเป็นเหมือนกับคุณหมดหรือไง?!”

งานเลี้ยงตอนกลางวันสิ้นสุดลงแล้ว แต่สือมูเฉินก็จัดการเรื่องพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อ ส่วนฟู่สีเกอกับเฉียวโยวโยวก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองแล้ว อุ้มลูกทั้งสองคนแล้วขับรถออกไปด้วยกัน

วันนี้อากาศดี แสงแดดไม่มีลม ด้วยเหตุนี้เฉียวโยวโยวจึงพาลูกไปเล่นที่สวนสาธารณะ

ทั้งสี่คนสวมชุดสไตล์น่ารักเหมือนๆกัน ชั่วขณะก็ทำให้ดึงดูดสายตาของคนอื่นๆไม่น้อย

เมิ่งซินหรุ่ยที่เดิมตามหลังทั้งสี่คนมา ก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างมาก เธออดไม่ได้ที่จะพูดกับทุกคนที่มองด้วยความอิจฉาว่า พวกคุณดูสิ ลูกสะใภ้ฉันมีลูกแฝดชายหญิงด้วยนะ!

สนามหญ้าด้านหน้าออกใบใหม่แล้ว สีเขียวขจี ดูน่าสนใจอย่างมาก เฉียวโยวโยวจึงกล่าวว่า : “สีเย็น เราไปเล่นทางด้านนั้นกันเถอะ จะได้ปูผ้าให้เด็กๆกลิ้งเล่นได้!”

ฟู่สีเกอพยักหน้า ให้พี่เลี้ยงปูผ้าให้ดีๆ หลังจากนั้นก็วางเด็กๆลงไป

เด็กน้อยทั้งสองคนดูเหมือนว่าจะอยากลงมาเล่นนานแล้ว แต่พวกเขายังไม่สามารถคลานได้ ทำได้เพียงแค่นอนอยู่ตรงนั้น แล้วขยับแขนขาไปมา

เฉียวโยวโยวเห็นว่าน่าสนุกดี จึงเข้าไปเล่นหยอกล้อกับพวกเขา

เด็กทั้งสองคนชอบหัวเราะ ตลอดการเล่นหยอกล้อของเฉียวโยวโยว พวกเขาก็หัวเราะกันคิกคักไม่หยุด

ฟู่สีเกอเห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกสนุกขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงเด็ดหญ้าเขียวๆมาหนึ่งต้น เอาไปจั๊กจี้เด็กๆ

ชั่วขณะก็หัวเราะดังขึ้น

และเสียงหัวเราะนี้ ก็ดึงดูดความสนใจของผู้ชายคนหนึ่งที่จูงมือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอยู่

เมื่อเขาหันไป ก็เห็นภาพบุคคลที่คุ้นเคยอยู่บนสนามหญ้า ชั่วขณะก็ราวกับถูกมนตร์สะกดไว้

ตลอดหนึ่งปีมานี้ ไม่ใช่ฟู้เจียนปอจะไม่เคยคิดว่า การที่ได้เห็นเฉียวโยวโยวอีกครั้งจะเป็นอย่างไร

บางที ก็อาจจะเป็นการประชุมความร่วมมือของบริษัท เขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นเธอนั่งอยู่ท่ามกลางลูกค้า และพวกเขาก็พยักหน้าทักทายกัน

หรือบางที อาจจะเป็นการเดินอยู่บนถนน และพวกเขาก็เดินผ่านกันไป เธอไม่เห็นเขา แต่เขากลับมองภาพด้านหลังของเธออย่างอาลัยอาวรณ์อยู่เป็นเวลานาน

เขาเคยจินตนาการภาพต่างๆมากมาย แต่ไม่มีภาพที่ดูน่าสะเทือนใจเหมือนในเวลานี้

ที่ด้านหน้า เธอกำลังนั่งอยู่บนเสื่อ อยู่ด้วยกันกับผู้ชายคนนั้น หยอกล้ออยู่กับเด็กทั้งสองคน

เขาจำได้ว่า ผู้ชายคนนั้นชื่อฟู่สีเกอ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ชอบใส่เสื้อผ้าลำลองตามแฟชั่น หวีผมสไตล์เรียบๆ เหมือนกับพวกเพลย์บอย

แต่ตอนนี้ ฟู่สีเกอนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงหน้าเด็กทั้งสองคน ให้เด็กๆดึงผมของเขาจนยุ่งเหยิง และเขาก็หัวเราะอย่างมีความสุข

ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลออกไป แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความสุขของคนเหล่านั้นที่อยู่บนเสื่อ

ความสุขนั้นทำให้สะเทือนใจอย่างมาก จนเขารู้สึกหายใจลำบาก

นานแล้วที่ไม่ได้เจอเฉียวโยวโยวเลย ฟู้เจียนปอคิดว่า บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเพิ่งจะคลอดลูกมา เธอจึงอวบอิ่มขึ้นเล็กน้อย ผิวพรรณดีขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็สดใสมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าจะสดใสกว่าตอนนั้นที่พวกเขาอยู่ด้วยกันเสียอีก

เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะมีลูกเร็วขนาดนี้ อีกทั้งยังเป็นแฝดชายหญิงด้วย!

ชายหนึ่งคนหญิงหนึ่งคน ช่างเหมาะเจาะพอดี ราวกับเป็นการบรรยายชีวิตความเป็นจริงของเธอในเวลานี้

ฟู้เจียนปออดคิดไม่ได้ว่า ถ้าในตอนนั้นเขาไม่ได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดไป พวกเขาก็ไม่ต้องเลิกกัน ตอนนี้คนที่นอนอยู่บนเสื่อนั้น ก็อาจจะเป็นเขาใช่ไหม?

นึกถึงตรงนี้แล้ว จู่ๆหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบๆขึ้นมา

เดิมทีตลอดหนึ่งปีนี้สิ่งที่เขาพยายามจะลืมมันไป จนถึงกับว่าบางสิ่งที่ตนเองคิดว่าปล่อยวางได้แล้ว อันที่จริงมันไม่เคยห่างหายไปเลย

มันเป็นเพียงวิธีหนึ่ง ที่หยั่งรากลึกลงไปในก้นบึ้งหัวใจ ปกติแล้วจะไม่รู้สึกอะไร แต่บางช่วงเวลา มันก็เจ็บปวดกว่าครั้งก่อนๆหลายเท่า จนเขาแทบจะหายใจไม่ออก!

เขารู้สึกผิดและเสียใจสุดๆ แต่พยายามทำเป็นว่าเขาอยู่ตัวคนเดียวแล้วรู้สึกดีมาก แล้วก็พยายามห้ามตนเองว่าอย่าเข้าไปยุ่ง เพราะว่าไม่มีสิทธิ์และเหตุผลอะไรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกต่อไปแล้ว!

ที่ด้านข้าง เด็กผู้หญิงตัวน้อยดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของพ่อ ด้วยเหตุนี้จึงเขย่าๆมือของฟู้เจียนปอ ร้องเรียกด้วยเสียงเล็กๆว่า : “พ่อ!”

ฟู้เจียนปอก้มลงไปอุ้มเธอขึ้นมา

เขาระงับความเศร้าในใจ แล้วยิ้มพูดกับลูกสาวว่า : “หลัวหลัว มีอะไรเหรอ?”

เด็กผู้หญิงตัวน้อยชี้ไปที่สนามหญ้าทางด้านนั้น เธอมองไปที่ครอบครัวของเฉียวโยวโยว ด้วยสายตาที่ตื่นเต้นดีใจ เหมือนกับว่าอยากจะเข้าไปเล่นด้วย

ฟู้เจียนปอรู้สึกประหม่า ความรู้สึกละอายใจผุดขึ้นมา

เขาไม่อยากเห็นการอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาของครอบครัวคนอื่น เขาไม่อยากเสียหน้า แม้ว่าบางทีเฉียวโยวโยวอาจจะไม่ได้สนใจความรู้สึกของเขามานานแล้วก็ตาม!

“ที่นั่นไม่สนุกหรอก พ่อจะพาหลัวหลัวไปเล่นที่อื่นดีไหม?” ฟู้เจียนปอพูดหลอกล่อ

แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าทางด้านนั้นน่าสนุก มีเสื่อมีเด็ก และทุกๆคนก็หัวเราะกันอยู่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงบุ้ยปาก เอนตัวโผไปทางด้านนั้น ด้วยท่าทีร้อนใจ พูดอ้อแอ้ๆไม่หยุด

ดูเหมือนว่าการกระทำของพวกเขาจะค่อนข้างเสียงดัง จึงทำให้เฉียวโยวโยวและคนอื่นๆตกใจจนรู้สึกได้

เฉียวโยวโยวจึงหันมองไปตามเสียง

ชั่วขณะหนึ่งฟู้เจียนปอก็รู้สึก ราวกับว่าตนกำลังถูกแสงไฟสปอตไลต์แรงสูงสาดส่องเข้ามา ภายใต้แสงไฟอันเจิดจ้าความลับก็ถูกเปิดเผยออกมาโดยไม่สามารถเก็บซ่อนไว้ได้เลยแม้แต่น้อย

เขาหยุดหายใจ ไม่ขยับเคลื่อนไหว จนถึงขั้นพูดไม่ออก

แต่เฉียวโยวโยวเพียงแค่ชะงักเล็กน้อย ในทันใด ก็เคลื่อนสายตาออก ราวกับว่า เขาเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้า

ในเวลานี้ เขาอยากเห็นแม้กระทั่งความเกลียดชังหรืออะไรสักอย่างในสายตาของเธอ

แต่ก็ต้องล้มเหลว

ไม่ว่าจะมีเขาอยู่หรือไม่ ก็ไม่มีทางที่จะทำให้ระลอกคลื่นภายในหัวใจของเธอสาดกระเซ็นขึ้นมาได้เลย

เธอปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางแล้วโดยสิ้นเชิง

แต่เขา กลับไม่เคยปล่อยวางได้เลย กระทั่ง เพราะความสูญเสียที่เคยได้รับ ยิ่งกลายเป็นความรู้สึกลึกซึ้งที่ไม่มีวันลืมเลือน!

เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดเป็นกังวลอย่างชัดเจน เห็นพ่อไม่มีการตอบสนอง ในทันใด ก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมา

ฟู้เจียนปอยิ่งรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาปลอบโยนเธอ เธอยิ่งร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจ เขาจนปัญญา ทำได้เพียงอุ้มเธอไปยังสนามหญ้า

ในที่สุดเด็กน้อยก็หยุดร้องไห้ เมื่อเขาปล่อยเธอลง ก็เดินเตาะแตะเหมือนเด็กหัดเดิน มายังข้างๆเฉียวโยวโยว

“คุณน้า——” เธอเรียกด้วยน้ำเสียงของเด็กน้อย ฟู้เจียนปอยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกเพียงว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองถูกบดจนกลายเป็นโคลนไปแล้ว

“น่ารักจริงๆเลย!” เฉียวโยวโยวยิ้มให้หลัวหลัว: “อยากเล่นกับน้องชายและน้องสาวไหม?”

“ค่ะ” บนขนตาของหลัวหลัวยังแฝงไปด้วยคราบน้ำตา แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มที่เบ่งบาน เธอคลานเข้ามาบนผ้า เพื่อมาเล่นกับถางเป่าและหรงฉิว

ด้วยความบริสุทธิ์ของเด็ก จึงไม่รู้ถึงความรู้สึกภายในใจของผู้ใหญ่ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในอดีตแม้แต่น้อย

เฉียวโยวโยวชำเลืองมอง เห็นฟู้เจียนปอยังคงยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่ตรงนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากว่า: “ลูกสาวของคุณเหรอคะ?”

ฟู้เจียนปอพยักหน้า: “อืม”

มือของเขาที่อยู่ด้านหลัง กำแน่นจนกลายเป็นหมัด พยายามทำให้ตนเองดูสงบ ต้องการที่จะดึงศักดิ์ศรีกลับมา: “คุณมีลูกแฝดชายหญิงเหรอ?”

เฉียวโยวโยวพยักหน้า

และข้างๆ ฟู่สีเกอที่นำแขนวางไว้อยู่บนไหล่ของเฉียวโยวโยว ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักฟู้เจียนปอ แล้วกล่าวถามว่า: “คุณภรรยาที่รัก คุณรู้จักเขาด้วยเหรอ?”

เฉียวโยวโยวถูกการเรียกชื่อของเขาทำให้รู้สึกน้ำเน่า ในความน่าหัวเราะ ยังยิ้มให้ฟู่สีเกอแล้วกล่าวว่า: “อืม เมื่อก่อนเคยเจอกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยน่ะ”

เมื่อก่อนเคยเจอกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย……

ฟู้เจียนปอได้ฟังคำที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์แบบนี้แล้ว กระแสน้ำที่เพิ่มขึ้นภายในใจของเขา ก็แข็งตัวจนกลายเป็นน้ำแข็ง

นี่อาจจะเป็นคำจำกัดความของเขาที่อยู่ภายในใจเธอเวลานี้

ไม่ใช่เพื่อน แม้กระทั่งเพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ใช่ เป็นเพียงแค่คนเคยพบกัน

สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เธอ เหมือนกับหลายต่อหลายครั้ง ที่พวกเขายังเป็นแฟนกัน สายตาลึกซึ้งอย่างมาก: “อืม เคยเจอกัน”

ไม่ใช่แค่เคยเจอ แต่ยังเคยรักอีกด้วย

เขากล่าวเสริมในใจ แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยออกมา

ฟู่สีเกอได้ฟังคำพูดของเฉียวโยวโยวแล้ว ก็ยิ้มให้ฟู้เจียนปอ แล้วแสร้งทำเป็นทักทายว่า: “สวัสดีครับ! เมื่อก่อนตอนเฉียวโยวโยวของฉันอยู่มหาวิทยาลัยคงมีชื่อเสียงมากเลยใช่ไหมครับ? แล้วเคยไปคบกับแฟนหนุ่มคนไหนบ้างไหมนะ?”

เฉียวโยวโยวฟังถึงตรงนี้แล้ว ก็ใช้ข้อศอกกระแทกฟู่สีเกอเล็กน้อย

เขาแสร้งทำเป็นเจ็บ: “คุณภรรยา ฉันก็แค่ถามประวัติความรักของคุณเอง คุณลงไม้ลงมือแรงจัง!”

เมื่อเห็นคนทั้งสองเกี้ยวพาราสีกันเหมือนอยู่ตามลำพัง ฟู้เจียนปอก็ได้ยินเสียงเลือดภายในหัวใจ แต่เขาก็ยังคงจับจ้องเฉียวโยวโยวอยู่อย่างนั้น แล้วกล่าวว่า: “ฉันรู้ว่ามีคนหนึ่งที่เคยรักเธอ จนถึงตอนนี้ก็ยังรักอยู่ เพียงแต่ การรักข้างเดียวก็คงไม่สามารถนับว่าเป็นประวัติความรักได้หรอก!”

ฟู่สีเกอยิ้มมุมปาก: “มันแน่นอนอยู่แล้วครับ” เขาพูดพลาง โอบเฉียวโยวโยวมาไว้ในอ้อมกอด แล้วจูบประทับลงไปบนริมฝีปากของเธออย่างจริงใจ: “คุณภรรยา คาดไม่ถึงเลยว่าตอนคุณอยู่มหาวิทยาลัยจะได้รับความนิยมขนาดนี้!”

เฉียวโยวโยวถลึงตาใส่เขา เขายิ้มๆ แล้วยังไปจั๊กจี้เธออีก ในทันใด เฉียวโยวโยวก็ยอมจำนนอยู่ในอ้อมกอดเขา

ฟู่สีเกอคิดว่า ในที่สุดเขาก็ได้รับความทุกข์ในตอนนั้นกลับคืนไปทั้งหมด

หึ ในด้านความรัก เขาอาจจะเป็นคนใจแคบคนหนึ่ง ถึงแม้ตัวเองจะเป็นผู้ชนะ แต่ในปีนั้น คาดไม่ถึงว่าฟู้เจียนปอจะใช้ประโยชน์จากการป่วยของแม่ทำให้เฉียวโยวโยวเปลี่ยนใจ เรื่องนี้ จึงไม่สามารถอดทนได้!

หลัวหลัวและเจ้าตัวน้อยสองคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับฟู้เจียนปอแล้ว กลับยิ่งทรมาน

เวลานี้ มือถือของเขาดังขึ้น เสี่ยวหยุนโทรเข้ามา

เขาหยิบมือถือขึ้นมากดรับ: “เสี่ยวหยุน?”

หญิงสาวกล่าวถาม: “เจียนปอ ฉันกลับมาจากไปทำงานต่างจังหวัดแล้ว ตอนเย็นพวกเราจะทานข้าวที่บ้านหรือทานที่ไหนกันดี?”

“ได้หมด” ฟู้เจียนพูดจบ หัวใจก็ยิ่งรู้สึกหดหู่: “ที่บ้านแล้วกัน”

“โอเค งั้นตอนคุณกลับมา ซื้ออาหารกลับมาสักหน่อยนะ!”

“อืม” เขาตอบรับ

หญิงสาววางสายไป

ได้ยินเสียงตู๊ดๆที่ดังมาจากในสาย จู่ๆฟู้เจียนปอก็นึกขึ้นมาได้ทันที ถึงภาพเหตุการณ์ในตอนนั้นที่เขาอยู่ด้วยกันกับเสี่ยวหยุน

เพราะเธอชอบเขา จึงปฏิบัติดีต่อเขา ตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หวั่นไหว แต่ในความหยิ่งยโสของผู้ชายก็ยังทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ

เขาพูดโน้มน้าวตัวเองภายในใจว่า ถึงแม้ว่าจะไม่มีเฉียวโยวโยว เขาก็สามารถมีความสุขได้

แต่ต่อมา สิ่งที่จำเป็นในชีวิตและลูก ก็ได้ครอบครองช่องว่างของชีวิตไปถึง80% พวกเขาเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกัน นานวันก็เริ่มที่จะไม่พูดคุยกันมากขึ้น

กระทั่งเขาคิดว่า ถ้าไม่มีหลัวหลัว บางทีพวกเขาก็อาจจะเลิกกันไปนานแล้วก็ได้?

เวลานั้น เขาก็เริ่มเสียใจอย่างมาก จินตนาการว่าถ้าหากคนที่แต่งงานด้วยคือเฉียวโยวโยว จะเป็นภาพแบบไหนกัน

แต่เวลานี้ เขาได้เห็นครอบครัวของฟู่สีเกอแล้ว จึงได้เข้าใจ

ที่แท้ การแต่งงานกับคนที่รัก คาดไม่ถึงว่าจะมีความสุขขนาดนี้

เพียงแต่ กาลเวลาไม่สามารถย้อนกลับคืนไปได้แล้ว และในการดำรงชีวิต ก็ไม่มีคำว่าถ้าหากเช่นกัน…..

“นอกเหนือจากนี้ ยังต้องขอบคุณภรรยาของผม ที่เคียงข้างและสนับสนุนตลอดมา…”สือมูเฉินมองทางหลานเสี่ยวถาง “เมียจ้า ลำบากแล้ว…”

ด้านล่างเวที มีเสียงทำนอง wowเต็มไปหมด งานแต่งยังไม่ทันเริ่ม ก็ถูกโชว์หวานอย่างไม่ทันตั้งตัว

บนเวที สือมูเฉินไม่รู้กดปุ่มอะไร แสงไฟโซนแขกผู้มีเกียรติดับลง และจอใหญ่ทั้งสองข้างเวทีสว่างขึ้น เสียงดนตรีเปลี่ยนเป็นบรรเลงเสียงเบา

“ต่อไป ขอยกเวทีให้พระเอกในวันนี้ คุณหยานชิงเจ๋อกับคุณซูสือจิ่น”

สือมูเฉินระหว่างพูดก็จูงมือหลานเสี่ยวถาง เดินลงไปตรงที่นั่งแถวแรกข้างล่างเวที

ตอนนี้ บนจอซ้ายขวาด้านข้าง มีภาพและตัวหนังสือต่างกัน

ทางซ้าย “30ปีก่อน มือถือเคลื่อนที่เครื่องแรกของโลกถือกำเนิดขึ้น”

ทางขวา “30ปีก่อน ผมที่เป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกบนโลกใบนี้”

ทั้งทางซ้ายและขวาปรากฏออกมาไม่หยุด…

“24ปีก่อน มือถือGS.Mแบบแรกเกิดขึ้นบนโลก ปริมาตรของมือถือ ก็เปลี่ยนแปลงจากเดิมมาก กลายเป็นขนาดเล็กใหญ่เท่าฝ่ามือ”

“24ปีก่อน เธอเกิดบนโลกใบนี้ ผมเริ่มไม่โดดเดี่ยว”

“20 ปีก่อน มือถือพับได้แบบแรกออกมา”

“20ปีก่อน พวกเราพบกันครั้งแรก เธอสูงไม่เท่าหน้าอกของผม เงยหน้าเรียกผม พี่ชิงเจ๋อ”

“16ปีก่อน มือถือจอสีแบบแรกเข้าสู่ตลาด”

“16ปีก่อน เธอเรียนประถม ผมขึ้นมัธยมปีที่1 ผมไปส่งเธอที่โรงเรียนของเธอ เธอแนะนำเพื่อนร่วมชั้นทุกคน ผมเป็นพี่ชายของเธอ”

“12ปีก่อน สมาร์ตโฟนแบบแรกเกิดขึ้นบนโลก”

“12ปีก่อน เธอดื่มจนเมา จูบผม ผมถูกจูบนั้นทำให้ใจเต้นแรง นั่นเป็นจูบแรกของพวกเรา”

“10ปีก่อน มือถือทัชสกรีนแบบแรกเกิดขึ้น”

“10ปีก่อน ผมเรียนมหาวิทยาลัย พวกเราห่างกันครั้งแรก”

“8 ปีก่อน ATถือกำเนิดขึ้น ผมอดตาหลับขับตานอนเป็นครั้งแรก อยากจะพยายามสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยกันกับเพื่อนๆ”

“8 ปีก่อน เธอจบมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งแรกที่ผมพาเธอล่องเรือออกทะเล”

“5 ปีก่อน ATเติบโตขึ้นในตลาดมือถือ ในที่สุดก็มีจุดยืนในงานใหญ่ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”

“5 ปีก่อน เธอจงใจสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย ทิ้งเงื่อนไขดีๆในประเทศ เพียงเพื่อไปอเมริกาเป็นเพื่อนผม”

“1ปีก่อน ATได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือสามอันดับแรกของโลก เวลาเดียวกัน เริ่มให้ความสำคัญกลับตลาดในประเทศ 1 ปีก่อน onlyoneของเธอถือกำเนิดขึ้น คนมากมายเพื่อแย่งเครื่องประดับที่มีจำนวนจำกัด รีเฟรชอย่างไม่หลับไม่นอน”

“1 ปีก่อน ผมกลับประเทศมา เดิมพวกเราควรได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน กลับเพราะความเข้าใจผิดทำให้จากกัน”

ถึงตรงนี้ ฉากด้านหลังของทั้งสองเปลี่ยนไป กลายเป็นเนื้อหาที่เหมือนกัน

“หลังจากแยกจากกัน ผมถึงเข้าใจ ที่แท้ ที่ผมต้องการไม่ใช่น้องสาวคนหนึ่ง แต่เป็นภรรยาคนหนึ่ง”

“ซูสือจิ่น ผมรักคุณ”

ตอนนี้ซูสือจิ่น เห็นตัวหนังสือแถวสุดท้ายข้างบนค่อยๆขึ้นมา คนทั้งคนที่ยืนข้างหยานชิงเจ๋อ ปิดปากไว้ เหมือนถูกตรึงร่างไว้

ก็เห็นชายหนุ่มตรงหน้า จู่ ๆคุกเข่าข้างหนึ่ง แล้วในมือเขา ไม่ใช่แหวน แต่เป็นกิ๊บผมมงกุฎเพชรชิ้นหนึ่งทำจากแพลตตินั่มที่เธอเป็นคนออกแบบเอง

เขาเงยหน้ามองเธอ “เสี่ยวจิ่น เธอจะแต่งงานกับฉันไหม?”

ซูสือจิ่นมองชายหนุ่มตรงหน้าใบหน้าราวกับภาพวาด ใบหน้ายิ่ง สีหน้าเข้มขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรติดลำคอ เนิ่นนานกว่าจะพยักหน้า “ฉันแต่ง”

เขาลุกขึ้น ติดกิ๊บผมบนศีรษะของเธอ “เธอเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของฉันตลอดกาล”

ตอนนี้ แสงสว่างบนเวทีมืดลง สุดท้ายเหลือเพียงแสงวงกลมดวงหนึ่งส่องจากด้านบน หยานชิงเจ๋อยื่นมือออก “เสี่ยวจิ่น เต้นรำกับฉันได้ไหม?”

ซูสือจิ่นรู้สึกทั้งหมดเหมือนอยู่ในความฝัน แท้จริงแล้วตอนนี้บนเวที ดอกชบาลอยร่วงหล่นลงมาเต็มไปหมด ราวกับพวกเขากำลังเต้นรำอยู่ใต้ต้นไม้ ราวกับความฝัน

ด้านล่างเวที ทุกคนต่างเคลิ้มไปกับบรรยากาศนี้ หลังจากซูสือจิ่นกับหยานชิงเจ๋อเต้นเปิดฟลอร์เสร็จ ต่างก็ขึ้นมาบนเวทีเริ่มเต้นรำช้าๆ

เด็กน้อยสองคนของฟู่สีเกอก็ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น เพียงแต่พวกเขาปีนและเดินไม่ได้ ทำได้เพียงโบกมือเล็กไปมาอย่างตื่นเต้นในข้อพับแขนของฟู่สีเกอและเฉียวโยวโยว

ซูสือจิ่นและหยานชิงเจ๋อเต้นไปสองเพลง กำลังจะพัก ซูสือจิ่นก็เห็นลั่วฝานหวากับจินเยว่ฉีเดินเข้ามา

“สือจิ่น มีความสุขในวันแต่งงาน”ลั่วฝานหวาพูดกับซูสือจิ่น

“ขอบคุณ”ซูสือจิ่นยิ้ม พูดว่า “พูดก็พูดพวกคุณช้ากว่าแล้วนะ ทำไมต้องรออีก1เดือน?”

“เพราะอีกไม่กี่วันหลังจากนี้เยว่ฉีต้องไปติดต่องานหนึ่งที่ต่างประเทศ”ลั่วฝานหวาพูด“วันนี้คุณสวยมาก ขอคุณเต้นสักเพลงได้ไหม?”

หยานชิงเจ๋อหรี่ตา เสี่ยวจิ่นของเขาแต่งงานแล้ว ลั่วฝานหวานี่ยังจะแย่ง?!

เขากำลังจะพูดขวาง ซูสือจิ่นพยักหน้าไปแล้ว “ได้สิ”

ต่อมา หยานชิงเจ๋อมองไปที่จินเยว่ฉี หวังว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดห้ามการกระทำที่เลยเถิดของสามีเธอ

ใครจะรู้ จินเยว่ฉีไม่แสดงอาการคัดค้านเลยสักนิด กลับยืนข้างๆ มองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม

หยานชิงเจ๋อสติแตก ผู้หญิงคนนี้โง่รึไง?!

เพราะเหตุนี้ เพลงต่อมา เขาจ้องซูสือจิ่นกับลั่วฝานหวาอย่างไม่ละสายตา ตาคมของเขาสามารถสับมือลั่วฝานหวาที่วางบนเอว ซูสือจิ่นจนละเอียดแล้ว

แต่วันนี้เขาเป็นพระเอก การกระทำทุกอย่างของเขา มีดวงตาหลายคู่จ้องอยู่ ดังนั้นหยานชิงเจ๋อ กำหมัดไว้แน่น อย่างอดทน

เพียงแต่ในใจ ทักทายบรรพบุรุษและญาติของลั่วฝานหวาไปหมดแล้ว

ในที่สุดเพลงก็จบลง หยานชิงเจ๋อรีบร้อนขึ้นไปพาเสี่ยวจิ่นของเขาออกมา

มือเขากุมมือเธอไว้ จากจูงมือเปลี่ยนเป็นประสานมือกัน พาซูสือจิ่นผ่านผู้คน แล้วเดินไปหลังเวที

เดินออกจากหลังเวที เป็นดาดฟ้าหนึ่งของAT หยานชิงเจ๋อใช้ลายนิ้วมือเปิดประตูดาดฟ้า พาซูสือจิ่นเดินเข้าไป

“ชิงเจ๋อ พวกเรามาตรงนี้ทำไม?” ซูสือจิ่นประหลาดใจนิดๆ กำลังจะกอดอก หยานชิงเจ๋อก็ถอดสูท คลุมบนตัวเธอ

เขาดึงเธอมากอด เดินไปที่ลิฟต์ “พาเธอสถานที่สูงที่สุดของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”

เดินจากดาดฟ้า สามารถเห็นตึกใหญ่ด้านหลังนั้น ตึกนั้นมี30กว่าชั้น หยานชิงเจ๋อพาเธอตรงไปที่ชั้นสูงสุด

“ว้าว มองจากระเบียงตรงนี้ลงไป เห็นวิวทั้งหมดของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”ซูสือจิ่นอุทานอยู่ ไม่ได้เสียงพูดของหยานชิงเจ๋อที่อยู่ด้านหลัง เธอหันไปกำลังจะถามเขาว่าเป็นอะไรไป ก็ถูกปิดปากไว้ทันที

เขารัดเอวเธอไว้ ประทับจูบที่เร่าร้อนบนริมฝีปากเธอ ปิดเสียงทั้งหมดของเธอ

เธอหงายหลังไปอย่างห้ามไม่ได้ แต่ด้านหลังชนเข้ากับกำแพงกระจกแล้ว ไปไหนไม่ได้

เขายึดลมหายใจเธออย่างรุนแรง บังคับให้ลิ้นกับฟันเธอและเขาพันกัน แล้วรัดเธอไว้แน่น จูบไปพลาง เคลื่อนที่ไปพลาง

ซูสือจิ่นรู้สึกรอบตัวอากาศเย็นๆ พบว่าเขาพาเธอมาบนสะพานกระจกแห่งหนึ่ง

เดิมพวกเขาก็อยู่ชั้น39แล้ว ตอนนี้ สะพานกระจกอันนี้เหมือนชั้นสูงสุดที่เชื่อมสองตึกไว้ เพราะข้างล่างโปร่ง ดังนั้นพวกเขาเหมือนลอยอยู่ในอากาศที่สูง100เมตร

ซูสือจิ่นขาอ่อน ปิดตาคว้าหยานชิงเจ๋อมากอดแน่น

หยานชิงเจ๋อยิ้ม เขาพึงพอใจที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของสาวน้อย แต่เมื่อกี้เธอกล้าเต้นรำกับลั่วฝานหวา ดังนั้นต้องถูกลงโทษกันหน่อย!

อ้อ ไม่บางทีไม่เรียกลงโทษ แต่เป็น…

สวัสดิการ

กระเดือกเขาขึ้นลงหลายครั้ง ความสูงขนาดนี้ ไม่มีใครมองเห็นพวกเขาได้อยู่แล้ว และตอนนี้สาวน้อยไม่กล้าขยับ ให้เขาทำตามอำเภอใจได้ไม่ใช่หรือ?!

เขาสุขใจ ฝ่ามืออุ่นๆเริ่มท่องเที่ยวไปทั่วตัวของซูสือจิ่น

เธอเหมือนรู้สึกแปลกๆ ด้วยเหตุนี้ เลยแอบลืมตาขึ้นมานิดๆ แต่ตอนเห็นทั้งหมดใต้เท้าตัวเอง ก็ปิดตาลงทันที ยังเอาขาไปพันบนตัวของหยานชิงเจ๋อ

หยานชิงเจ๋อชอบการเสนอตัวอย่างนี้มาก ทำให้เขารู้สึกเลือดในตัวเผาไหม้ เริ่มต้นจูบที่ริมฝีปากของซูสือจิ่น แล้วเคลื่อนลงช้าๆ

ซูสือจิ่นรู้สึกว่ากระดูกไหปลาร้าตัวเองคันยุบยิบ ตามมาด้วยจูบที่พากระแสไฟมาด้วย ทำไมเธอลมหายใจของเธอเริ่มสะดุด

และมืออีกข้างของหยานชิงเจ๋อ เปิดกระโปรงเธอขึ้น แล้วลูบไล้ตรงระหว่างขาเธออย่างคล่องตัว

เธอลืมตาทันที รูม่านตาขยายใหญ่

ทั้งเขินและตื่นเต้นทำให้เธอลืมกลัวเรื่องความสูง ซูสือจิ่นจับเสื้อของหยานชิงเจ๋อไว้ พูดอย่างหงุดหงิด “ชิงเจ๋อ พวกเราอยู่ข้างนอก นายจะทำอะไร?!”

เขากลับทำเธอล้มลงไปตรงๆ ร่างกายนอนอยู่บนสูทของเขา “เต้นรำกับลั่วฝานหวา ผัวคุณหึงนะ หึงจนปวดกระเพาะ เพราะฉะนั้น ต้องการการปลอบใจจากเมียหน่อย”

เสียงเขาเอาแต่ใจนิดๆ ในตาที่กลมโตของเธอ กดทับลงไป

“เสี่ยวจิ่น เธอรู้ไหม ท่าทางเธอถลึงตาใส่ฉัน เหมือนกับลูกแมวตัวหนึ่ง?”หยานชิงเจ๋อยิ้ม พูดว่า “น่ารักขนาดนี้ จะเป็นเสือได้ยังไง?”

เธอยื่นมือผลักเขา เขากลับแนบบนตัวเธอ “เสี่ยวจิ่น ฉันก็กลัวความสูง ต้องจูบถึงจะหาย”

ระหว่างที่พูด เขาก็จูบเธอ จุดประกายไฟบนตัวเธอไม่หยุด

ต่อมา ซูสือจิ่นได้ยินเสียงปลดเข็มขัดหนัง

เธอหายใจถี่ มองเขาอย่างตกใจ “ชิงเจ๋อ นาย…นายมันชั่ว”

หยานชิงเจ๋อยิ้ม “เรียนมาจากพี่สีเกอ กลับไปเธอค่อยไปคิดบัญชีกับพี่เขา”

ซูสือจิ่นกัดฟันแน่น “ไอ้ บ้า สีเกอ”

ในห้องโถงใหญ่ ฟู่สีเกอจามต่อเนื่องกันหลายครั้ง

และบนสะพานกระจก ซูสือจิ่นถูกหยานชิงเจ๋อกินจนสะอาด

เขาขยับไปพลาง จูบเธอไปพลาง เห็นเธอหงุดหงิดจนหน้าแดง รู้สึกแค่เพียงกินยังไงก็ไม่อิ่ม

“เสี่ยวจิ่น เธอยังไม่เคยบอกเธอรักฉันเลย”หยานชิงเจ๋อเม้มกัดริมฝีปากซูสือจิ่น

ซูสือจิ่นจังหวะหัวใจเต้นช้าลงหนึ่งจังหวะ เธอเม้มริมฝีปาก กัดฟันแน่นไม่ยอมพูด

ไอ้บ้านี้ กลับมาเธอมาบนดาดฟ้าทำเรื่องแบบนี้ เลวมาก เลวมากๆ

“ไม่พูด?”หยานชิงเจ๋อหรี่ตา ชนเธอไปแรงๆ

เธอกรีดร้องออกมา มองไปรอบๆตามสัญชาตญาณ เห็นแค่นกบินผ่านศีรษะไป

“ไม่”ซูสือจิ่นตัดสินใจไม่ยอมแพ้

แต่หยานชิงเจ๋อกลับเจอบริเวณที่ทำให้เธอตื่นเต้น แล้วจู่โจมทันที

เธอรู้สึกเหมือนจะตายทุกครั้ง กัดฟันแน่น แต่เสียงที่ทำให้คนเขินอายก็ลอดออกจากฟันมาไม่หยุด

ด้านล่าง ละอองน้ำจากการกระทำรักครั้งนี้กระจายที่ตัวของซูสือจิ่น ภายใต้การจู่โจมครั้งสุดท้ายของหยานชิงเจ๋อ ไม่ยอมแพ้ไม่ได้ “ชิงเจ๋อ ฉันรักนาย”

เขากอดเธอแน่น กดลึกเข้าไปอย่างพอใจ “ฉันก็เหมือนกัน”

ในที่สุดก็ถึงกลางคืนที่รอคอย หลานเสี่ยวถางกอดแท็บเล็ตไว้ รอเวลาวิดีโอคอลกับหวันหว่าน

เวลาไม่นานทางโอหยางจวิ้นส่งคำเชิญวิดีโอคอลมา หลานเสี่ยวถางรับทันที

สือมูเฉินนั่งอยู่ข้างหลานเสี่ยวถาง ทั้งสองคนพิงอยู่ที่หัวเตียง เห็นว่าเชื่อมต่อแล้ว หลานเสี่ยวถางเรียกออกมา “หวันหว่าน”แล้วโบกมือทักทายโอหยางจวิ้น

เขาอุ้มหวันหว่านไว้ ให้เธอนั่งที่ตักตัวเอง แล้วจับมือเล็กของหวันหว่านโบกมือไปทางหน้าจอ “หวันหว่าน บอกพ่อแม่หน่อย วันนี้นอนฝันดีหรือเปล่า?”

เด็กน้อยเดิมรู้สึกว่าหน้าจอคอมน่าสนุก ผลคือ กลับเห็นว่าข้างในมีคนออกมา ดวงตาเป็นประกายทันที

เพียงแต่ ตอนเห็นชัดว่าข้างในจอเป็นพ่อกับแม่ หวันหว่านตัวน้อยยิ้มออกมาตามสัญชาตญาณ แล้วยื่นมือไปจับ จู่ๆตามมาด้วยปากเล็กๆแนบลงไป น้อยใจหลายวินาที หลังจากนั้นน้ำตาเม็ดเท่าถั่วเขียวก็ไหลออกมา

หลานเสี่ยวถางเห็นก็ร้อนใจ “หวันหว่านอย่าร้อง พ่อกับแม่อีกสองวันก็กลับบ้านแล้ว”

โอหยางจวิ้นอุ้มหวันหว่านเข้ามา ยื่นมือลูบหลังของเธอ พูดว่า“นัดกับอาจวิ้นแล้ว อีกเดี๋ยวเห็นพ่อแม่จะไม่ร้องไห้โวยวายไม่ใช่เหรอ? ทำไมลืมแล้ว พวกเราเกี่ยวก้อยสัญญาแล้วนะ”

เด็กน้อยเหมือนเชื่อฟังเขา ขนตาที่ยาวราวกับพัดด้านบนยังมีน้ำตาอยู่หลายหยด เม้มปากอย่างน้อยใจ ก็เหมือนอีโมติคอนที่น้อยใจในQQ

เธอไม่ร้องแล้ว แต่จ้องโอหยางจวิ้นด้วยใบหน้าที่เศร้า เหมือนกับเขาเป็นตัวการทำให้เธอกับพ่อแม่แยกกัน

โอหยางจวิ้นถูกมองจนทำตัวไม่ถูก ดังนั้นเข้าใกล้หอมใบหน้าเล็กของหวันหว่าน ปลอบเสียงเบา “อีกเดี๋ยวคุณอาไปหนูไปนั่งเครื่องบินดีไหม?”

เด็กน้อยได้ยิน ดวงตาเบิกกว้าง รู้สึกเหมือนใช้ได้

โอหยางจวิ้นเห็นว่าได้ผล ดังนั้น กระซิบกับเธอ “พวกเราขับเครื่องบิน บินสูงๆ มองข้างล่างดีไหม?”

ในที่สุดหวันหว่านก็ดีใจ หยุดร้องแล้วยิ้มออกมา

เพราะฉะนั้น โอหยางจวิ้นอุ้มเธออีกครั้ง วิดีโอคอลกับหลานเสี่ยวถางต่อ

หวันหว่านพูดไม่ได้ ดังนั้น โอหยางจวิ้นเล่าว่าเมื่อคืนเธอหลับไปได้ยังไง

หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินกังวลว่าเด็กน้อยหย่านมแล้วจะไม่ชิน กำชับเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง สุดท้ายทั้งสองคนต่างส่งจุ๊บๆไปให้หวันหว่านถึงจบการวิดีโอคอล

โอหยางจวิ้นปิดหน้าจอ เห็นหวันหว่านมีน้ำลายเกาะอยู่มุมปาก เลยแอบเข้าไปจุ๊บหนึ่งที แล้วบีบใบหน้าเล็กของเธอ พูดจูงใจ“เป็นเด็กดีอยู่กับคุณอา พวกเราไม่กลับบ้านดีไหม?”

เด็กสาวตัวน้อยกะพริบตา มองโอหยางจวิ้นอย่างงงๆ ในดวงตากลมโตมีแต่ความสับสน

โอหยางจวิ้นยื่นมือออกไป พูดจูงใจเหมือนหมาป่าเจ้าเล่ห์ “หวันหว่าน เราเกี่ยวก้อยกันนะ?”

วันต่อมา เป็นงานแต่งงานของซูสือจิ่นกับหยานชิงเจ๋อ

หลานเสี่ยวถางและเฉียวโยวโยวเป็นเพื่อนเจ้าสาว ทั้งสองคนตื่นแต่เช้า มาถึงบ้านของซูสือจิ่น

และฟู่สีเกอก็ไปด้วย แต่งตัวให้เจ้าบ่าวเจ้าสาว

อย่างไรก็ตามเฉียวโยวโยวเพิ่งคลอดลูกได้ไม่ถึง 2 เดือน รูปร่างยังไม่กลับมา เห็นเอวบางของหลานเสี่ยวถางกับซูสือจิ่น พูดด้วยความหดหู่ “ตาบ้าสีเย็น อีกเดี๋ยวห้ามถ่ายรูปฉัน ไม่งั้นฉันต้องขายหน้าแน่ ๆ”

“ไม่ๆ คุณไม่เห็นต้องอาย ถ้าผมเป็นคุณ จะต้องภูมิใจมากแน่ๆ”ฟู่สีเกอขยิบตา พูดว่า “หน้าอกของคุณใหญ่ที่สุด!”

“ไอ้บ้านี่ ฉันรู้อยู่แล้วคุณไม่มีทางพูดเหตุผลดีๆออกมาได้แน่” เฉียวโยวโยวระหว่างที่พูดก็วิ่งไล่ตีฟู่สีเกอ

เพราะว่าลูกทั้งสองยังต้องดื่มนม ดังนั้น แม่บ้านกับเมิ่งซินหรุ่ยต่างคนต่างอุ้มไว้หนึ่งคน

ด้วยเหตุนี้ บ้านซูสือจิ่นเกิดความวุ่นวายเพราะเด็กและเฉียวโยวโยวที่ไล่ตีฟู่สีเกอ

ในที่สุดก็แต่งหน้าเสร็จ ฟู่สีเกอไปหาหยานชิงเจ๋อ เฉียวโยวโยวก็ให้นมพวกลูกๆเรียบร้อย กล่อมลูกรักทั้งสองนอนหลับ ใกล้ถึงเวลา 9โมงเช้าแล้ว

ตอนนี้ ซูสือจิ่นนั่งอยู่บนเตียง ด้านข้างมีหลานเสี่ยวถางและเฉียวโยวโยว ทั้งสามคนกำลังคุยกัน ก็ได้ยินซูเผิงฮวาที่อยู่ด้านนอก พูดว่า “ชิงเจ๋อมาแล้ว”

เขามาตระกูลซู ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ก่อนหน้านี้เพื่อมาหาซูสือจิ่น มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง และตอนนี้ในที่สุดก็มาเป็นสามีเธออย่างถูกทำนองคลองธรรมแล้ว

ซูสือจิ่นใจลอยนิดๆ

ที่ผ่านมา เธอเป็นคนร่วมงานแต่งคนอื่น แม้ว่าตอนงานแต่งหลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉิน เธอจดทะเบียนกับหยานชิงเจ๋อแล้วแท้ๆ แต่เธอกลับไม่เคยสวมชุดแต่งงาน ก็เป็นเจ้าสาว

วันนี้ เธอสวมชุดเจ้าสาวที่ตัวเองเป็นออกแบบเอง รอชายหนุ่มที่รักมาหลายปี ความรู้สึกแบบนั้น ครู่เดี๋ยวก็ทำให้คนเริ่มรู้สึกใจหายขึ้นมา

ที่ประตู มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เฉียวโยวโยวเปิดปาก “ใคร?”

“ฉันเอง เสี่ยวจิ่นฉันมารับเธอแล้ว”หยานชิงเจ๋อที่อยู่ด้านนอก ก็ตื่นเต้นไม่ต่างกัน

“ตามประเพณี พูดประโยคที่ทำให้พวกเราเปิดประตู ต้องมีเหตุผลเพียงพอที่ทำให้พวกเราประทับใจ”หลานเสี่ยวถางพูด

“(เนื้อเพลง)กลิ่นอายยามฝนตก คือทางเดินที่กลับบ้าน บนถนนมีฉันไล่ตามรอยเท้าของเธอ รูปภาพเก่าๆเก็บรักษาไว้อยู่ในความอบอุ่นของวันวาน เธออุ้มฉัน ดั่งเช่นต้นไม้ใหญ่ที่อบอุ่น…”

ซูสือจิ่นเบิกตากว้างทันที ได้ยินเพลงที่เขาร้อง กาลเวลาเหมือนย้อนไปตอนพวกเขายังเด็ก

“(เนื้อเพลง)ดวงตาที่เคยร้องไห้ มองกาลเวลาได้ชัดเจน คิดถึงคนหนึ่ง น้ำตาก็หยด ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง หวนกลับไปในตอนบ่ายที่ฉันออกจากบ้าน เธอส่งฉัน นกนางแอ่นบนท้องฟ้าต่างพากันโบยบิน ”

เขาร้องต่อ ซูสือจิ่นจับกระโปรง ตกอยู่ในภวังค์ เป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เคยผ่านมา

และหลานเสี่ยวถางกับเฉียวโยวโยวที่อยู่ข้างๆ ในดวงตาก็เริ่มเคลิบเคลิ้มไปด้วย

ชั่วเวลาสั้นๆ พวกเขาต่างก็อิจฉาซูสือจิ่น เธอตกหลุมรักแค่หนึ่งคน สุดท้ายก็ได้แต่งกับเขา

พวกเขาเคียงข้างกันมา 20 ปี ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและเลือดของกันและกัน รู้จักกันตั้งแต่เด็กแบบนี้ บนโลกนี้จะมีสักเท่าไหร่?

ท้ายสุด ไม่ทันรู้ตัว หยานชิงเจ๋อก็ร้องมาถึงประโยคสุดท้าย“(เนื้อเพลง)แม้ว่าโดดเดี่ยว ฉันกลับไม่เหงา เพราะในใจ มีเธอเป็นเพื่อนฉันดูพระอาทิตย์ขึ้นทุกครั้ง”

หลานเสี่ยวถางรับรู้ เดินไปเปิดประตูให้หยานชิงเจ๋อด้วยตัวเอง

ซูสือจิ่นเงยหน้า เห็นเขาเหมือนปรากฏตัวหลายครั้งในความฝัน ปรากฏตัวตรงหน้าเธอ ใบหน้าที่หล่อเหลา ทำให้เธอไม่อาจละสายตา

เขาเดินมาทางเธอทีละก้าว ใบหน้ามีรอยยิ้ม แต่ฝีก้าวไม่เหมือนปกติ เห็นชัดว่าตื่นเต้นมากเหมือนกัน

“เสี่ยวจิ่น ฉันมารับเธอแล้ว” หยานชิงเจ๋อระหว่างที่พูด ก็ก้มตัวหอมที่ซูสือจิ่นหนึ่งที

“โรแมนติกจังเลย” เฉียวโยวโยวอุทานออกมา

ด้านหลังหยานชิงเจ๋อ ฟู่สีเกอเดินเข้าไปเคาะศีรษะเฉียวโยวโยวหนึ่งที “วันนั้นของพวกเราแย่กว่าเขารึไง?”

“วันนั้นของเรา ฉันลืมไปแล้ว…”เฉียวโยวโยวเพิ่งพูดจบ ก็ถูกฟู่สีเกอกอด “ได้ ผมไม่ถือที่จะทำให้คุณสัมผัสอีกครั้ง”

ระหว่างที่พูด เขาอุ้มเธอขึ้น แล้วยังจูบเธออย่างดูดดื่ม

วันนี้ ทุกคนเหมือนมาแย่งซีน เพราะสือมูเฉินก็สวมสูทเข้ามาอุ้มหลานเสี่ยวถางในท่าเจ้าหญิง “เมียจ้า ลำบากแล้วที่ต้องตื่นเช้า หลังจากนี้ผัวจะเป็นเครื่องมือในการเดินเอง”

หยานชิงเจ๋อคิ้วกระตุก คนหนึ่งเลี่ยนกว่าอีกคน มิตรภาพที่พูดกันไว้ล่ะ ทำไมกลายเป็นแข่งกันทำลายกัน?!

เขาอุ้มซูสือจิ่นขึ้น รีบเดินแซงหน้าฟู่สีเกอกับสือมูเฉิน แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

หลานเสี่ยวถางปิดปากหัวเราะ “มูเฉิน คุณดูชิงเจ๋อเหมือนกลัวเมียจะหนีไปแบบนั้น”

คนที่ได้รับการ์ดเชิญของซูสือจิ่นกับหยานชิงเจ๋อ ต่างคิดว่าตัวเองมาผิดงาน

เห็นแค่ที่อยู่ในงานแต่ง ไม่ใช่โบสถ์ ไม่ใช่โรงแรม และไม่ใช่คฤหาสน์ แต่เป็น… AllianceTechnology

2 ปีก่อนATก็เริ่มเตรียมการตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเมืองหนิงเฉิงแล้ว เพราะว่าเนื้อที่กว้าง ดังนั้นเลยยังไม่แล้วเสร็จ

เมื่อปีที่แล้ว ในที่สุดพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็เสร็จสมบูรณ์ เพราะต่อมายังไม่ได้ตกแต่งให้เป็นสีเขียว ดังนั้นเลยไม่ได้เปิดอย่างเป็นทางการเรื่อยมา

ATยังคงทำงานอยู่ที่เดิมเรื่อยมา

ตอนนี้ หยานชิงเจ๋อเป็นรองประธานบริษัทAT คิดไม่ถึงว่าจะเลือกอาคารใหญ่ใหม่ของตัวเองมาแต่งงาน

9โมงเช้ากว่าๆ ใกล้ๆ AT ก็มีรถมาแล้วไม่น้อย พนักงานเปิดลานจอดรถทั้งหมดของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แล้วบอกทุกคน ถึงสถานที่จัดงานแต่ง อยู่ที่กลางอาคารหลักของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ในที่สุดก็ถึงตอน 10 โมงเช้า มีขบวนรถหรูปรากฏตัวต่อสายตาทุกคน

และในรถสปอร์ตสีแดงคันแรก ซูสือจิ่นนั่งอยู่หยานชิงเจ๋อ พวกเขาถูกดอกไม้ล้อมรอบ

ก่อนหน้านี้ หยานชิงเจ๋อไม่ยอมบอกสถานที่แต่งงานกับซูสือจิ่นมาตลอด เพื่อเป็นความลับ แม้แต่การ์ดเชิญยังส่งคนของตัวเองไปจัดพิมพ์

เวลานี้ ซูสือจิ่นเห็นตัวอักษรหลายตัวตรงตึกAT ก็ตะลึงไป “ชิงเจ๋อ พวกเราจัดงานแต่งข้างในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเหรอ?”

“อืม วันนี้ก็เป็นพิธีเปิดของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ถ่ายทอดสดพร้อมกันทั่วโลก”หยานชิงเจ๋อระหว่างพูด ก็จุ๊บซูสือจิ่นไปหนึ่งที “หลังจากนี้ เห็นพวกเราแต่งงาน ก็จะไม่มีคนพูดว่าเธอเป็นน้องสาวฉันอีกแล้ว”

“แต่ทุกคนดูอยู่ รู้สึกเกรงใจรึเปล่า?” ซูสือจิ่นแก้มแดง

“ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่ข้างเธอตลอด”ถึงหน้าประตูพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หยานชิงเจ๋อลงจากรถ อ้อมไปถึงด้านซูสือจิ่น จูงมือเธอลงจากรถ แล้วอุ้มเธอขึ้นเดินเข้าไป

เวลานี้ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากด้านในถึงด้านนอก ปูพรมแดงเป็นทางยาวเรียบร้อยแล้ว หยานชิงเจ๋อเดินอยู่ข้างหน้า ด้านหลังมีสือมูเฉินกับฟู่สีเกอต่างอุ้มเพื่อนเจ้าสาวไว้คนหนึ่ง เดินอยู่ข้างหลัง

ในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แขกผู้มีเกียรตินั่งอยู่แล้ว เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นวิธีออกตัวอย่างวันนี้

ทั้งสองข้าง ไวโอลินกำลังบรรเลงทำนองที่ไพเราะ และจู่ ๆโดมอาคารที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็สว่างขึ้น มีแสงส่องลงมา ปรากฏว่าเป็นแสงทีละเส้นรวมกันเป็นทูตสวรรค์

ด้านหลังทูตสวรรค์มีปีกสองข้าง พวกเขากระพือปีกเบาๆ ในมือก็กำลังดึงสายธนู ในอาคารใหญ่ เสียงดนตรีดังลั่นทันที เสียงและแสงหลอมรวมกัน

เพียงแต่ฟู่สีเกออุ้มเฉียวโยวโยวเดินไปแค่ครึ่ง ก็มีคนยื่นเด็กสองคนให้

ฟู่สีเกอวางเฉียวโยวโยวลง แล้วทั้งสองคนต่างอุ้มเด็กคนละคน ในมือมีกระเช้าดอกไม้เพิ่มขึ้นมา

เด็กน้อยทั้งสองเพิ่ง 2 ขวบกว่า ตอนนี้ถูกผู้ใหญ่ปลุกตื่น เห็นกระเช้าดอกไม้ ไปคว้าตามสัญชาตญาณ

ด้วยเหตุนี้ ดอกไม้ด้านในถูกพวกเขาโปรยออกมา เดินไปโปรยไปตลอดทาง

หลานเสี่ยวถางอดขำไม่ได้ พูดถึงงานแต่งที่เคร่งอย่างนี้ เพราะเด็กทั้งสองทำให้ดูตลกขึ้นทันที

และแขกผู้มีเกียรติที่อยู่ข้างล่างก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน แต่ใบหน้ากลับดูอบอุ่น

เด็กน้อยขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าเป็นแฝดชายหญิง ถือเป็นชายหญิงที่บริสุทธิ์ เก็บกลีบดอกไม้ ก็เป็นการนำพาความโชคดีให้ตัวเองรึเปล่า?

ด้วยเหตุนี้ทุกคนตามเก็บกลีบดอกไม้กัน

ตามมาด้วยเสียงปรบมือ สือมูเฉินดึงมือหลานเสี่ยวถาง เดินไปถึงหน้าเวที “วันนี้ เป็นงานแต่งของเพื่อนสนิทของผม และเป็นวันที่ตึกATเปิดให้คนภายนอก ในฐานะที่ผมเป็นประธานของAT ก่อนอื่นต้องขอบคุณ ความทุ่มเทของคุณหยานชิงเจ๋อที่มีต่อATหลายปีนี้ เวลาเดียวกัน ในฐานะที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเขา ขออวยพรให้เขากับน้องสาว รักกันกลมเกลียวตลอดไป…”

หลานเสี่ยวถางก็โยกไหว : “ คุณจะมีน้องชายหรือน้องสาวเพิ่มให้หวันหว่านอีกคน เธอเห็นด้วยแล้วหรอ ?”

สือมูเฉินยิ้ม : “ หวันหว่านชอบให้มีคนเล่นขนาดนั้น แน่นอนว่าจะต้องเห็นด้วย !”

ในขณะที่พูดนั้นก็ได้อุ้มหลานเสี่ยวถางไปยังห้องนอนแล้ว

“ เจ็บหน้าอก——” หลานเสี่ยวถางพูดหาข้ออ้าง

“ สามีจะให้บริการการนวดอย่างเป็นมืออาชีพให้กับคุณเอง ” สือมูเฉินพูด : “ ใส่เสื้อผ้าไว้มันนวดไม่สะดวก เด็กดี ถอดนะ !”

หลานเสี่ยวถางจับเสื้อผ้าของตัวเองไว้ แต่สือมูเฉินกลับค่อยๆสะกิดทำให้เธอนั้นจั๊กจี้ เธอก็หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็กลิ้งไปมาบนเตียง

เขาถอดเสื้อผ้าของเธอออกมาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็เอาความหน้าหนาเข้าไปใกล้ : “ ภรรยา ตอนนี้พวกเราเริ่มจากด้านนอกไปด้านใน และนวดไปทุกตำแหน่งหนึ่งรอบนะ !”

หลานเสี่ยวถางจะไม่รู้ได้ยังไงว่า‘จากด้านนอกไปด้านใน’ที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร ?

เธอซ่อนอยู่บนเตียง แต่ทว่าพื้นที่มันไม่ได้กว้างขนาดนั้น มันก็เลยทำให้สือมูเฉินจับเธอได้อย่างรวดเร็ว เขาถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกพร้อมกับพูดว่า : “ จะให้ผมช่วยนวดตรงไหนดี ?”

คนคนนี้ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งทะลึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ !

หลานเสี่ยวถางก็มีความคิดผุดขึ้นมาในหัว จากนั้นก็เท้าสะเอว : “ ทำไมทุกครั้งฉันจะต้องเป็นคนที่ถูกคุณจัดการ ครั้งนี้ฉันจะเป็นลองนวดให้คุณเอง !”

นัยน์ตาของสือมูเฉินก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ : “ ภรรยา วันนี้เป็นฝ่ายรุกขนาดนี้เลยหรอ ?”

ในขณะที่เขาพูด ก็ขึ้นไปนอนบนเตียงเป็นตัวอักษร‘ใหญ่’ในทันที และดูเหมือนว่าธงบางอย่างจะตั้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

หลานเสี่ยวถางพอดูก็รู้สึกหมั่นเคี้ยว คนคนนี้ ดูเหมือนจะเอาแต่คิดเรื่องแบบนี้ !

เธอก็เอ่ยปาก : “ แต่ขอบอกกฎเกณฑ์ไว้ก่อนนะ คุณห้ามขยับ วันนี้การควบคุมทั้งหมดฉันจะจัดการเอง !”

“ ดี ” สือมูเฉินถึงกลับกลืนน้ำลาย ภรรยาที่น่ารักของเขา ยิ่งอยู่ก็ยิ่งดูน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆนะเนี่ย !

หลานเสี่ยวถางเข้าไปใกล้ แล้วแกล้งทำเป็นเหมือนกับสาวหัวขโมย จากนั้นก็จับไปใต้คางของสือมูเฉิน

เขาก็แกล้งทำเป็นปัญญาชนที่ไม่มีพิษไม่ภัย ใบหน้า‘ที่เขินอายและหน้ามุ่ย’ และรอให้สาวหัวขโมยจัดการ

“ ฉันจะทำลายคุณ !” หลานเสี่ยวถางพูดอย่างดุร้าย

สือมูเฉินแกล้งทำเป็นขอให้ยกโทษให้ : “ กระผมเป็นเพียงชายที่บริสุทธิ์……”

หลานเสี่ยวถางเกือบจะหัวเราะออกมา ไอ้คนคนนี้ลูกก็มีแล้ว ยังพูดแบบไม่กระดากใจอีกว่าตัวเองเป็นชายบริสุทธิ์ !

ปลายนิ้วของเธอค่อยๆเริ่มจากคางของสือมูเฉิน เลื่อนลงมายังคอแล้วเลื่อนไปจนถึงกล้ามหน้าอก ท้ายที่สุดก็หยุดลงตรงที่กล้ามท้องเขา จากนั้นก็กระพริบตาปริบๆ : “ ลงมีดจากจุดไหนจะดีกว่านะ ?”

สือมูเฉินพูดด้วยความงงงวย : “ ไม่ใช่ว่าจะต้องปล้นขมขืนหรอ แต่ทำไมเป็นการปล้นเฉือนเนื้อละ ?”

หลานเสี่ยวถางพูดอย่างดุร้าย : “ ใครบอกว่าปล้นขมขืน ? ฉันในที่นี้คือปล้นเฉือนเนื้อต่างหาก !”

“ ห๊ะเนื้อ ?” สือมูเฉินก็เสียงสูงขึ้นมาในท้าย : “ ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นรีบกินฉันให้เรียบสิ !”

หลานเสี่ยวถางถึงกับกกหูแดงไปเลย แต่ถึงอย่างไร ในเมื่อเธอต้องการจะจัดการ เป็นธรรมดาที่จะไม่ยอมจำนนโดยเร็ว

เธอคิดกระจ่างชัดแล้ว วันนี้ไม่มีทางที่จะหนีไปได้อย่างแน่นอน แต่ก็อยากจะดูท่าทางของสือมูเฉินที่อดทนไม่กินและอัดอั้นความทรมานนี้เอาไว้ให้มากๆ อันที่จริงมันค่อนข้างจะสะใจ !

ดังนั้น ปลายนิ้วของก็เลยลูบไล้เบาๆไปบนตัวของสือมูเฉิน ดูเหมือนว่ากำลังจะหาที่ลงมีด แต่ความจริงแล้วเป็นการจุดไฟ

เธอยังฝังร่างของตัวเองลงไป จากนั้นใบหน้าอันเรียวเล็กก็แนบใกล้เข้ากับหน้าอกของสือมูเฉินและดมดม

ลมหายใจของเธอไปชะงักอยู่ตรงหน้าอกของเขา หลานเสี่ยวถางรู้สึกอย่างชัดเจนว่า กล้ามเนื้อหน้าอกของ สือมูเฉินนั้นแน่นกระชับขึ้นมาในทันที จากนั้น ร่างกายช่วงล่างของตรงนั้นมันก็ยิ่งตั้งตรงมากขึ้น แถบยังดีดขึ้นมาสักแป๊บด้วย !

หน้าของเธอก็แดงมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ยังแอบยิ้ม

เธอจะลองดูซิว่า เขาจะสามารถอัดอั้นมันไปได้ถึงเมื่อไหร่ !

ดังนั้น หลานเสี่ยวถางก็พูดกระซิบว่า : “ กลิ่นไม่เลวเลยนะ แต่ก็ไม่รู้สักทีว่ามันกลิ่นอะไรกัน ?”

พอพูดจบ เธอก็แลบลิ้นออกมาเลียไปยังหัวนมของสือมูเฉิน

เห็นได้ชัดว่าเขาหายใจแรงขึ้น จากนั้น หลานเสี่ยวถางก็เห็นว่าสือมูเฉินนั้นกำหมัดแน่น และดูเหมือนว่าเขาจะทนด้วยความยากลำบากมากๆ

ในใจของเธอก็ยิ่งผลิบาน จากนั้นก็ยกร่างกายขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับสบตาของเขา : “ หนอนหนังสือ ชื่ออะไร ? ก่อนที่จะกินคุณ ถามก่อนสักหน่อยก็ดี !”

สือมูเฉินพูดออกมาสองคำ : “ สามี ”

จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่ลืมที่ใช้ประโยชน์จากเธอ !

“ ก่อนที่ผมกำลังจะตายผมอยากจะฟังคุณเรียกชื่อผมสักครั้ง ” สือมูเฉินพูดด้วยเสียงที่น่าสงสาร

หลานเสี่ยวกลอกตาไปมา : “ นามสกุลเหล่าหรอ ? ถ้าอย่างนั้นแล้วฉันเรียกคุณว่าท่านพี่ โอเคไหม ?”

สือมูเฉินยิ้มมุมปาก ร้ายกาจไม่เบาเลย ตอนนี้ผู้หญิงตัวน้อยๆยังคิดหาวิธีโต้ตอบได้อีกด้วย !

เมื่อหลานเสี่ยวถางพูดจบ ก็เงยหน้าของสือมูเฉินขึ้นอีกครั้งและถอนหายใจ : “ หน้าตาดีขนาดนี้ เฉือนเนื้อออกทีละชิ้นทีละชิ้นแบบนี้น่าเสียดายจริงๆเลย……”

“ ถ้าไม่อย่างนั้น นางเอกก็ปล้นฉันกลับไปไว้ที่บ้าน จากนั้นก็เก็บไว้ให้เป็นสามี !” สือมูเฉินก็ถือโอกาสนี้พูดไหลไปตามน้ำในทันที

“ ไม่ไม่ไม่ บนภูเขาของฉันล้วนมีแต่สตรีที่มีเสน่ห์ยั่วยวน ถ้าปล้นคุณกลับไปทุกคนก็คงจะตีกันขึ้นมา ให้ฉันเพลิดเพลินอยู่คนเดียวน่าจะดีกว่า !” ในขณะที่หลานเสี่ยวพูด จู่ๆทันใดนั้นก็ก้มลงไปกัดที่คอสือมูเฉิน

เธอออกแรงเพียงน้อย มันก็เลยไม่เจ็บเลย แต่มีเพียงความรู้สึกเสียวซ่า ในชั่วพริบตาเดียว สือมูเฉินก็รู้สึกว่าเลือดของตัวเองได้ระเบิดออกมาแล้ว

ส่วนล่างของเขาแข็งจนรู้สึกเจ็บ และเขาก็แทบจะกอดสตรีที่มีเสน่ห์ยั่วยวนที่จุดไฟในตัวเขาทันที จากนั้น การปฏิบัติของร่างกายก็ได้บอกเธอว่า อะไรคือผลลัพธ์หลังจากการจุดไฟ !

แต่เขาก็ยังอยากที่จะรู้จริงๆว่าเธอยังมีวิธีการอะไรอีกในการจุดไฟ และโอกาสที่เธอจะเป็นฝ่ายรุกเองนั้นยากมาก เขาไม่อยากที่จะพลาดโอกาสนี้

ดังนั้น เขาเลยอดทน ! ! !

บนหน้าผากของสือมูเฉิน มีเหงื่อไหลออกมาเป็นชั้นๆ และกล้ามเนื้อบนร่างกายก็แน่นกระชับมากขึ้น

หลานเสี่ยวถางค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ในใจก็รู้สึกชื่นชมไอ้คนนี้ มีจิตใจแน่วแน่ยืนหยัดมานานจริงๆไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าจะเธอจะต้องเตรียมวัตถุดิบอะไรสักหน่อยแล้ว !

เธอกลิ้งไปยังข้างกายของสือมูเฉิน และเอาหัวหนุนไปบนหน้าอกของเขา จากนั้น ก็แกล้งทำเป็นใช้ปลายนิ้วนับจำนวนกล้าเนื้อบนร่างกายของเขา แล้วก็เลื่อนลงมาตามร่องกล้ามหน้าท้องและแกล้งไม่รู้ไร : “ หย๋า ทำไมตรงนั้นถึงมีของอะไรตั้งขึ้นล่ะ ?”

สือมูเฉินก็ถึงกับตาเบิกกว้าง หายใจก็เริ่มติดๆขัดๆ น้ำเสียงแหบแห้งที่แฝงไปด้วยอารมณ์ : “ อยากรู้หรอ ? ขึ้นไปนั่งสิเดี๋ยวก็รู้ ”

“ ขึ้นไปนั่งหรอ ?” หลานเสี่ยวกกระพริบตาปริบๆอย่างไร้เดียงสา : “ มันจะแทงฉันใช่ไหม ?”

“ ไม่แทง คุณจะรู้สึกสบายด้วยซ้ำ ” สือมูเฉินพูดเสียงที่ยั่วยวน : “ มันขยับได้ ”

หลานเสี่ยวถางตัดสินใจจะหน้าหนาไปจนจบ เธอก็เลยพยักหน้าและทำเสียงเล็กเสียงน้อย : “ ได้สิ ฉันจะลองดู ”

การเต้นหัวใจของสือมูเฉินใจกลายมาเป็นความตื่นเต้นในทันที

รู้สึกคาดหวังกับการให้บริการของภรรยาที่น่ารักของตัวเอง

แต่เมื่อขาทั้งสองของหลานเสี่ยวถางแยกจากกัน เขาคิดว่าเธอจะนั่งลงไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะนอนคว่ำอยู่บนตัวของเขา !

“ อุ๊ย ปวดเอว ไม่อยากจะนั่ง อยากจะแค่นอนคว่ำอยู่เฉยๆ ” หลานเสี่ยวถางพูด

ร่างกายของเธอแนบติดกับบนตัวของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ และความแข็งของเขาก็ถูกทับไว้ระหว่างร่างกายของพวกเขา

เขากดเธอไว้อย่างแน่น แต่เป็นเพราะว่าตำแหน่งไม่ถูก มันก็เลยเข้าไปไม่ได้

สือมูเฉินรู้สึกว่าตัวเองจะบ้าแล้ว การหายใจของเขาก็เริ่มถี่มากขึ้น และคลื่นน้ำที่ซัดสาดอย่างรุนแรงในดวงตา

หลานเสี่ยวถางรู้สึกว่าเขาเริ่มจะทนไม่ไหว ดังนั้นก็เลยเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขาด้วยความเฉยเมย : “ บอกแล้วไง วันนี้ฉันเป็นทำ คุณห้ามขยับ ถ้าคุณขยับก็แพ้ !”

ในขณะที่พูด เธอก็ได้ยื่นปลายนิ้วไปบนหน้าอกของสือมูเฉินทำเหมือนกับกำลังดีดเปียโน

เขาถูกเธอนวดจนความรู้สึกนึกคิดนั้นสั่นสะท้านจนระเบิดออกมา ทันใดนั้นเขาล็อกไปที่เอวของเธอแล้วก็พลิกตัวกลับมาทับเธอให้อยู่ใต้ร่างกายของเขา : “ แทนที่จะให้ผมอัดอั้นจนตาย ผมขอยอมแพ้ดีกว่า !”

ในขณะที่พูด เขาจูบเธออย่างรุนแรงดั่งพายุพัดโหม หลังจากที่อัดอั้นมานาน ก็ได้กลายมาเป็นฝ่ายรุกและรุนแรงมากกว่าเดิม

ทันใดนั้นหลานเสี่ยวถางก็รู้สึกเสียใจในภายหลัง เธอเป็นคนจุดไฟเองและดูเหมือนว่าจะเผาตัวเองทิ้งเหมือนกัน

ในที่สุดมันก็เข้าไปตามที่ปรารถนา เมื่อเห็นว่าแก้มของเธอแดงก่ำและดวงตาที่แวววาวแบบนั้น ฟันของสือมูเฉินก็กัดเบาๆไปยังติ่งหูของหลานเสี่ยวถาง : “ ภรรยา ผมเห็นว่าวันนี้คุณทำตัวได้ดีเลยทีเดียว ดังนั้นแล้วรางวัลที่จะให้คุณก็คือไม่ต้องลงจากเตียงเลยตลอดทั้งวัน !”

หลานเสี่ยวถาง : “……”

เธอเอื้อมมือออกไปตีเขาแต่กลับถูกเขาจับเอาไว้ : “ ที่รัก ไม่ชอบท่านี้งั้นหรอ ?”

เธอทำตาโตใส่เขา จากนั้นก็ทำปากมุ่ยไม่พูดและไม่ขยับอะไร

สือมูเฉินยิ้ม แล้วก็ก้มลงไปจูบริมฝีปากของหลานเสี่ยวถาง : “ กลัวคุณจะเหนื่อยไง ดังนั้น ผมมาทำเอง คุณพักผ่อนไหม ? เสี่ยวถางคนดี ไม่โกรธนะ พวกเรามาอุ้มให้สูงกันเถอะ !”

ในขณะที่พูด สือมูเฉินจึงกอดหลานเสี่ยวถาง แล้วพลิกตัวเธอขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง

เธอถลึงตาโตใส่และรอดูว่าเขาจะทำไรต่อ

ใครจะไปรู้ว่าเขาจะอุ้มเธอให้สูงขึ้นจริงๆ แต่ทุกครั้งที่อุ้มสูงขึ้นก็สูงเพียงแค่สิบเมตรเท่านั้น

ดังนั้น เขาจึงแนบติดกับร่างกายของเธออยู่ตลอดโดยที่ไม่ห่างออกมา และผมของเธอก็ได้กวาดไปอยู่บนหน้าอกของเขา ทั้งสองคนก็ยิ่งหน้าแดงและใจเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ

“ ท่านี้เป็นไงบ้าง ?” สือมูเฉินเหมือนกับพบผืนแผ่นดินใหม่ : “ ที่แท้การง้อผู้หญิง โดยใช้วิธีกอดจูบและอุ้มให้สูงๆก็ยังใช้ได้ผลนิ !”

หลานเสี่ยวถางแทบจะบ้าไปนานแล้ว รู้สึกว่าส่วนลึกในร่างกายของเธอถูกเขาทำจนมันรู้สึกคันมาก และบางครั้งความรู้สึกที่ถูกกระตุ้นแล้วมันว่างเปล่า มันช่างบ้ามากเลยจริงๆ : “ ฉันไม่เอาท่านี้ ฉันต้องการเปลี่ยน !”

“ โอเค ถ้าอย่างนั้นผมเปลี่ยนเป็นอีกแบบ…….” ในขณะที่สือมูเฉินพูดก็กอดหลานเสี่ยวถางไว้แน่น จากนั้น ตัวเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะนั่งตัวตรงและยังคงกอดเธอเอาไว้

ใบหน้าของทั้งสองคนมีระยะห่างกันไม่ถึงสิบเซนติเมตร เขากอดเธอไว้แน่น พร้อมกับขยับตัวและจูบไปด้วย……

ในตอนจบนั้น หลานเสี่ยวถางไม่อยากจะลงจากเตียงเลยจริงๆ

แต่ทว่าหน้าอกก็เริ่มบวกขึ้นมาอีกครั้ง ปวดเมื่อยตัว แล้วยังมีแต่เหงื่ออีก ไม่รู้ว่าเป็นของเธอหรือว่าเป็นของสือมูเฉิน เหนียวหนึบตัว จนรู้สึกแย่มากๆ

เธอโมโหก็เลยไม่สนใจเขา

เขาง้อเธอพร้อมกับอุ้มไปที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำด้วย ในตอนที่อาบน้ำ เขายังนวดให้เธออีกด้วย

“ ภรรยา หายงอนนะ คุณดูปากเล็กๆของคุณนั้นจะห้อยขวดน้ำมันได้อยู่แล้ว……”ในขณะที่สือมูเฉินพูดก็โน้มตัวเข้าไปใกล้ : “ ถ้ายังงอนอยู่อีกผมจะจูบอีกนะ และผมไม่รับรอง……”

เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินแบบนี้ ก็เม้มปากในทันที ไอ้คนคนนี้ เป็นสิงโตที่คอยจะเขมือบสัตว์ตัวเมียเลยจริงๆ !

เขาอาบน้ำให้เธอจนสะอาดสะอ้าน แถมยังเป่าผมให้จนแห้งอีก แล้วก็อุ้มขึ้นไปบนเตียง จากนั้นก็พูดว่า : “ เสี่ยวถาง ผมไปสั่งอาหารเย็นนะ ”

แต่ทว่า อาหารเย็นยังไม่มาส่ง ยาหยุดน้ำนมที่สือมูเฉินสั่งซื้อให้หลานเสี่ยวถางก็มาส่งก่อน

ตอนพลบค่ำ ทั้งสองคนก็กินข้าวเสร็จ สือมูเฉินก็ไปอุ่นยาให้หลานเสี่ยวถาง จากนั้นก็ยื่นถ้วยไปไว้ในมือของเธอ : “ อาจจะไม่อร่อย ถ้าหากว่ามันแย่มากๆ ผมจะเตรียมน้ำผึ้งไว้ให้คุณ ”

เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินแบบนี้ ในใจก็รู้สึกอบอุ่น อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา : “ มูเฉิน นี่คุณดูแลฉันเหมือนกับหวันหว่านอย่างนั้นหรอ ?”

สือมูเฉินหัวเราะ แล้วก็พูดอย่างเป็นธรรมชาติว่า : “ ภรรยาก็เหมือนกับลูกสาวครึ่งหนึ่ง ยังไงก็มีลูกคนหนึ่งแล้ว ดังนั้นดูแลลูกสาวคนโตเพิ่มอีกคนมันจะเป็นไร ”

เธอก็รู้เขินอายขึ้นมาในทันที หัวใจก็เต้นผิดปกติแล้วก็ดื่มยาไปหนึ่งอึก จากนั้นก็เขย่งเท้าขึ้นเพื่อจูบไปยังริมฝีปากของสือมูเฉิน

เขาก็กอดเธอเอาไว้แน่นในทันที จากที่ฝ่ายรับก็กลายมาเป็นฝ่ายรุก

หลานเสี่ยวถางเปิดปากให้ความร่วมมือ และวางลิ้นที่มีขมขื่นระหว่างริมฝีปากและฟันของเขา

เขาก็ได้ม้วนมันเข้าไปในปากของเธอพร้อมกับได้ลิ้มรสความขมขื่นนั้นไปด้วย

เธอรู้สึกอึ้งเล็กน้อย เดิมทีเพียงแค่อยากจะยั่วเขาแป๊บเดียว แต่คาดไม่ถึงเลยว่า……

เขาจูบเธอไปสักพักก่อนที่จะปล่อยเธอ จากนั้น ก็กินน้ำผึ้งที่เตรียมเอาไว้หนึ่งช้อน แล้วก็ไปจูบกับเธออีกครั้ง

ทันใดนั้น ความหวานก็ได้ระเบิดออกระหว่างริมฝีปากและฟันของกันและกัน

ผ่ายไปสักพัก สือมูเฉินก็ปล่อยหลานเสี่ยวถาง ดวงตาและคิ้วก็เป็นประกายอยู่ใต้โคมไฟคริสตัล ใบหน้าก็ยิ่งเป็นแสงแวววาวระยิบระยับมากขึ้น และน้ำเสียงที่ค่อยๆต่ำลงราวกับโน๊ตGเมเจอร์ของเชลโล่ : “ ภรรยา นี่แหละที่เรียนว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขของสามีภรรยา ”

หลังจากนั้นไม่กี่วัน โอหยางจวิ้นและคนอื่นๆแทบจะมาทุกวัน จนกระทั่ง เทศกาลหยวนเซียว

ตามที่กำหนดไว้ พอผ่านเทศกาลหยวนเซียวไป หวันหว่านก็ถูกส่งตัวไปยังตระกูลเพอร์เซลล์ ดังนั้น เช้าวันรุ่งขึ้น หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินก็อุ้มหวันหว่านนั่งอยู่บนรถของโอหยางจวิ้น และมายังฝั่งเพอร์เซลล์ด้วยกัน

ทางฝั่งนี้ก็ได้เตรียมห้องของเด็กทารกเอาไว้นานแล้ว หรือแทนที่จะบอกว่าเป็นห้องเด็กทารก สู้บอกว่าเป็นสวนสนุกขนาดย่อมจะดีกว่า

เมื่อหลานเสี่ยวถางเดินเข้าไปก็ถึงกลับตะลึง

ภายในห้องสามารถแบ่งได้หลายหมวด : ไม่ว่าจะเป็นสไตล์โจรสลัด สไตล์เจ้าหญิงสีชมพู สไตล์ทุ่งนาป่าไม้ และยังมีราชอาณาจักรอนิเมะ

มีเกือบทุกสไตล์ที่รวมเอาไว้ในห้องเดียว อีกทั้ง เพื่อความสะดวกในการคลานของเด็กทารก และยังมีรางที่ทำขึ้นมาเฉพาะให้เด็กคลาน

ดังนั้น เมื่อหวันหว่าหลับเต็มอิ่มแล้วพอลืมตาขึ้นมา ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาในทันที

เธอโถมตัวลงไปด้วยความดีใจ ดังนั้น หลานเสี่ยวถางก็ปล่อยเธอลงไป

เจ้าตัวเล็กก็มองไปรอบๆก่อน ต่อมา ก็คลานเข้าไปในโซน‘ป่า’ที่มีถ้ำเห็ดอยู่ จากนั้นก็ยื่นศีรษะน้อยออกมาและยิ้มให้หลานเสี่ยวถาง

หลานเสี่ยวถางก็ถอดรองเท้า : “ หวันหว่านเรามาเล่นซ่อนหากัน ! หวันหว่านไปซ่อน เดี๋ยวแม่เป็นคน โอเคไหม ?”

เมื่อหวันหว่านได้ยินแบบนั้นแล้ว พอกำลังจะคลานออกไป จู่ๆก็เหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นได้ก็เลยชี้ไปยังสือมูเฉินและโอหยางจวิ้น

หลานเสี่ยวถางเข้าใจ : “ จะให้ปะป๊ากับอาจวิ้นเล่นด้วยงั้นหรอ ?”

เมื่อพูดสิ่งที่เจ้าตัวเล็กจะสื่อ เธอก็ยิ้มขึ้นมาในทันที จากนั้นก็กระดกก้นน้อยๆ คลานไปด้านหน้าอย่างปราดเปรียว

เมื่อเจ้าหญิงตัวน้อยออกคำสั่ง เป็นธรรมดาที่สือมูเฉินและโอหยางจวิ้นทำได้เพียงถอดรองเท้าและเข้าไปในคฤหาสน์ แล้วก็ยังต้องแกล้งทำเป็นหาหวันหว่านไม่เจอและมองหาไปรอบๆ

จนกระทั่ง คาดว่าเล่นได้พอประมาณแล้ว ตอนนั้นเองหวันหว่านก็ได้ซ่อนอยู่ในเรือโจรสลัด และเห็นเพียงสองเท้าเล็กๆเท่านั้นที่โผล่ออกมา

อาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมใหม่จริงๆก็ได้ที่ทำให้คนรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ตลอดช่วงเช้าหวันหว่านไม่นอนเลย และในช่วงเที่ยงก็กินได้เยอะกว่าปกติ พอตกเย็น ก็ยังอยากไปเล่นที่คฤหาสน์ หลานเสี่ยวถางและคนอื่นๆไม่มีใครรั้งเธอได้ ก็เลยทำได้เพียงแค่ปล่อยเธอเข้าไปเล่น

ในที่สุดเจ้าตัวน้อยก็เหนื่อยแล้ว เดิมทีก็ยังเล่นซ่อนหา แต่ผลสุดท้ายก็ซ่อนจนตัวเองหลับไป

ดังนั้น หลานเสี่ยวก็อุ้มเธอขึ้นมาวางลงบนเตียง

ถึงอย่างไรสือมูเฉินก็ไม่สามารถที่จะอยู่กับทั้งสองได้ตลอด เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้อยู่ในประเทศตลอด และทางด้านสำนักงานใหญ่ของบริษัทรายย่อยของ AllianceTechnology ก็มีงานที่กองสุมอยู่ไม่ใช่น้อย

ดังนั้น ก็เลยใช้โอกาสนี้ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วสือมูเฉินจะใช้เวลาอยู่ที่บริษัท มันก็เลยทำให้วันหยุดสุดสัปดาห์เขาเลยต้องไปที่เพอร์เซลล์เพื่อมาอยู่กับสองแม่ลูก

และวันนั้นโอหยางจวิ้นก็ฉวยโอกาสที่หลานเสี่ยวถางนั้นกินข้าวอยู่ แอบอุ้มหวันหว่านไปนั่งเฮลิคอปเตอร์ของทหาร เมื่อหลานเสี่ยวถางรู้ในภายหลัง เขาก็เลยโดนดุด่าไปพักหนึ่ง

เป็นเพราะว่าทางฝั่งเพอร์เซลล์ไม่มีเด็ก ตอนนี้หวันหว่านก็เลยยุ่งมาก เพราะทุกวันก็จะมี‘แขกต่างชาติ’มาคอยต้อนรับ ฉะนั้นแล้ว มันก็เลยทำให้เวลาของเสี่ยวหลานถางกลับว่างลง

นึกขึ้นได้ว่าเมื่อหลายวันก่อนหลานจื่อเฉินได้เอายูเอสบีให้มาเธอ ดังนั้นก็เลยเปิดคอมดูว่ามั่วหลิงชวนให้อะไรเธอกันแน่

เมื่อเปิดโปรแกรม ก็เห็นแบบสนทนาของมั่วซื่อ : “ ผู้พิทักษ์ ในส่วนโปรแกรมครึ่งหลัง ส่งไปให้คุณแล้ว หวังว่าคุณจะไม่ใช่ตัวถ่วงนะ การออกแบบอย่างหนึ่งที่ล้วนจะทำให้ไปถึงระดับสูงได้นั้น จะต้องขึ้นอยู่กับระดับของความร่วมมือโดยทั้งสองฝ่าย ถ้าทำเสร็จแล้วอย่าลืมบอกฉันด้วยล่ะ !”

หลานเสี่ยวถางยิ้ม แล้วก็คลิกเข้าไปดู

แต่เมื่อเธอเห็นก็คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นการออกแบบของรถยนต์อัจฉริยะ เธอก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงตาค้าง

มั่วหลิงชวนคนนี้ เอาเวลาไหนที่ไปค้นคว้าและวิจัยของเขตนี้ ?

ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ สำหรับเรื่องรถเธอไม่เคยศึกษาเลย ถึงแม้จะเข้าใจเรื่องซอฟต์แวร์ แต่ถึงอย่างไรเธอก็อยากจะจับคู่เข้ากับซอฟต์แวร์และฟังก์ชันที่มากมายของรถ และก็ต้องรู้พลศาสตร์ของสิ่งของอีกไม่ใช่น้อย !

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและส่งข้อความหามั่วหลิงชวน : “ ผู้ทำลาย คุณแน่ใจนะว่าครึ่งแรกของโปรแกรมจะใช้กับระบบควบคุมส่วนกลางของรถได้อ่ะ และรถก็คงจะไม่เผามันตายเองหรอกนะ ?”

คิดไม่ถึงเลยว่ามั่วหลิงชวนจะยังไม่นอนและรีบตอบกลับมาในทันที : “ ดูก็รู้เลยนะว่าคุณนั้นไม่เข้าใจ ! ซอฟต์แวร์ตัวนี้ คุณลองไปค้นคว้าและวิจัยดีๆก่อนเถอะ ! รอคุณเข้าใจ ผมอาจจะถอนตัวจากกลุ่มไปแล้วก็ได้ ”

หลานเสี่ยวถางอึ้งไปครู่หนึ่ง : “ ทำไมต้องถอนตัวออกจากกลุ่ม ? ถึงแม้ว่าจะสืบทอดธุรกิจของครอบครัว แต่ก็ถือมันก็เป็นงานอดิเรกที่ชอบก็ได้นิ !” เธอรู้อย่างลึกซึ้งว่ามั่วหลิงชวนนั้นชื่นชอบการเป็นนักโปรแกรมเมอร์

“ ถ้าเกิดว่ายังคงทำต่อไป ผมก็จะยิ่งเกลียดสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้ ” มั่วหลิงชวนตอบกลับมา : “ ในตอนที่คุณทำสำเร็จ มันก็จะเป็นตอนที่ผมบอกลากับตัวผมเองในอดีต ”

บอกลา ยุคสมัยที่ต่อต้านนั้น แล้วก็ถ้าเขาที่ไม่ทะเลาะกันก็คงไม่ได้รู้จักเธอ

“ แต่ฉันไม่เข้าใจเรื่องรถยนต์จริงๆนะ ” หลานเสี่ยวถางพูด : “ บางทีพอค้นคว้าและวิจัยอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ผมของคุณก็คงขาวโพลนแล้วละ !”

“ ถ้าพูดแบบนั้น ก็ถือว่าพวกเราจะร่วมมือกันทำไปจนแก่เฒ่างั้นหรอ ?” มั่วหลิงชวนก็ได้ส่งอิโมจิสติ๊กเกอร์กอดมา

หลานเสี่ยวถางคาดไม่ถึง*ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น ก็รู้สึกหนักใจเล็กน้อย และแสร้งทำเป็นพูดอย่างเป็นธรรมชาติ : “ ฉันก็แค่ล้อเล่นเฉยๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองก็คงจะไม่ได้โง่ขนาดนั้น ”

“ รู้อยู่แล้วแหละ บางทีคุณอาจจะคาดหวังให้มันยิ่งเร็วยิ่งดี ” เมื่อมั่วหลิงส่งข้อความนี้แล้ว ก็ส่งเพิ่มมาอีกประโยคว่า : “ ดีใจมากๆนะที่ได้รู้จักกับคุณ แต่หลังจากนี้ก็คงจะไม่ได้สู้ร่วมกันไปพร้อมกับคุณแล้วนะ ”

เมื่อเห็นประโยคนี้ที่เขาส่งมา หลานเสี่ยวถางก็รู้สึกใจหวิวๆเล็กน้อย

ดูเหมือนว่า มั่วหลิงชวนจะทำได้เพียงแค่บอกลาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์จริงๆเท่านั้น ก่อนหน้านี้ เคยได้ยินสือมูเฉินบอกว่า ธนาคารมั่วซื่อกรุ๊ปของพวกเขานั้นมีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในนั้นรุนแรงอย่างมาก

และแม่ของเขาก็คาดหวังเสมอว่าเขาจะกลับไปสืบทอดธุรกิจของครอบครัวและเอาชนะทายาทคนอื่นๆให้ได้

หลานเสี่ยวถางไปยังโปรแกรมที่ซับซ้อนนั้น แล้วก็นึกถึงมั่วหลิงชวนที่ผ่านมาถึงแม้ว่าเกลียดก็ตาม แต่ถึงอย่างไร ก็มีหัวใจสัตย์ซื่อในแนวคิดของซอฟต์แวร์ อีกทั้ง ที่ผ่านมาเขาก็เคยช่วยเธอ…….

ในเวลานี้ เขาก็น่าจะเสียใจมากๆเลยมั้ง ?

ปลายนิ้วของเธอขยับและตอบกลับไปให้เขาหนึ่งประโยค : “ ฉันจะจำวันที่เราร่วมสู้ไปด้วยกัน โปรแกรมนี้ฉันจะทำมันให้สำเร็จ พอถึงตอนนั้น ก็จะนำไปใช้ในขอบเขตที่ควรจะใช้มัน และทำให้มีคนยอมรับมากขึ้น ”

ห่างออกไปหลายพันไมล์ มั่วหลิงชวนที่เห็นข้อความของหลานเสี่ยวถาง ก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปสักพัก

ท้ายที่สุด สายตาของเขาก็มองไปยังแสงไฟที่อยู่ข้างนอก และพูดเบาเบาหนึ่งประโยคว่า : ผมคิดถึงคุณนะ

เขาคิดว่า เธอคงจะไม่มีวันรู้ความคิดที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ

ในวันหลังจากนี้ หลานเสี่ยวถางก็จะกลายเป็นคนที่อุดมสมบูรณ์มากขึ้น

ในตอนกลางวัน นอกจากจะค้นคว้าและวิจัยโปรแกรมแล้วก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับพลังงานของรถยนต์ นอกเหนือจากนั้นก็จะเล่นเกมต่างๆกับหวันหว่าน

ส่วนในตอนกลางคืน ถ้าหากว่าสือมูเฉินไม่อยู่ หลานเสี่ยวถางก็จะกล่อมให้หวันหว่านนอนหลับ จากนั้นก็จะออกกำลังกายในคฤหาสน์สักแป๊บ และค่อยกลับไปนอนหลับฝันหวาน

และเมื่อเวลาผ่านไป หิมะกับน้ำแข็งก็ละลาย ต้นหลิวก็แตกยอดและถึงฤดูใบไม้ผลิโดยที่ไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกัน ก็ถึงกำหนดการการแต่งงานของซูสือจิ่นและหยานชิงเจ๋อ

ในงานแต่งงานของทั้งสองคน เป็นธรรมดาที่หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินต้องไป

และในเวลานี้ หวันหว่านก็สามารถที่จะคิดเรื่องหย่านมได้แล้ว และก็คิดเรื่องที่ว่าถ้าหากพาหวันหว่านกลับจีน เธอจะต้องนั่งเครื่องกลับสิบชั่วโมงอีก ซึ่งสำหรับเด็กแล้วเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากๆ

ดังนั้น หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินก็เลยปรึกษาหารือกัน และตัดสินใจว่าทั้งสองคนจะกลับกันไปเอง พอจบงานแต่งก็บินกลับมา

นี่เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวหวันหว่านจะต้องห่างจากแม่ และเจ้าตัวน้อยก็ไม่เข้าใจเลยว่าการแยกจากกันมันคืออะไร

และหลานเสี่ยวถางก็คิดว่าตอนนี้เธอแทบจะมีน้ำนมเหลือไม่มากแล้ว ก็เลยถือโอกาสนี้ในการทำให้หวันหว่านนั้นหย่านมพอดี

ฉะนั้นแล้ว ในตอนเช้า เธอไม่ได้ให้นม แต่กลับหยิบขวดนมให้หวันหว่านแทน และพูดกับเธอว่า : “ หวันหว่าน แม่และพ่อของลูกจะต้องนั่งเครื่องบินไปยังที่หนึ่งถึงจะสามารถไปถึงที่นั้นได้ ดังนั้นแล้วสองวันนี้หวันหว่านจะไม่เจอพ่อกับแม่นะ รออีกสองวัน แม่จะรีบกลับมาเล่นเป็นเพื่อนหวันหว่านนะ ”

สาวน้อยที่กำลังดื่มนม เธอที่รู้ครึ่งหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองหลานเสี่ยวถาง

หลานเสี่ยวถางก็พูดอีกว่า : “ วันสองวันที่แม่ไม่อยู่ หวันหว่านจะต้องเชื่อฟังอาจวิ้นและเล่นกับปู่ทวดแดเนียลนะ และเป็นเด็กดีไม่ร้องไห้ด้วยนะ ส่วนแม่และพ่อจะรีบกลับมาหาหวันหว่านนะ !”

สาวน้อยก็ไม่รู้ว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ เธอพยักหน้าแล้วก็ดื่มนมผงไปด้วย

ในช่วงเที่ยง หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินก็จะต้องขึ้นบิน ในชั่วพริบตาที่จะต้องแยกจากหลานเสี่ยวถางก็รู้สึกทำใจไม่ได้

แต่เมื่อคิดถ้าจะหย่านมแล้วอยู่ใกล้ตัวมันก็ไม่ดี บวกกับซูสือจิ่นเละหยานชิงเจ๋อที่กว่าจะสามารถเดินมาถึงการแต่งงานนี้มันก็ไม่ง่ายเลย ดังนั้นเธอและสือมูเฉินจึงบอกว่ายังไงก็ต้องไปเข้าร่วมงานแต่ง

“ เสี่ยวถาง คิดถึงหวันหว่านอยู่ใช่หรือเปล่า ?” สือมูเฉินเห็นว่าหลานเสี่ยวถางเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินก็เลยอดไม่ได้ที่จะไม่ถาม

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า : “ คุณว่าหวันหว่านจะร้องไห้ไหม แล้วจะไม่สบายหรือเปล่า……”

“ เสี่ยวถาง อย่าเป็นห่วงไปเลย ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยที่จะให้ตระกูลเพอร์เซลล์เลี้ยงดูหวันหว่านกับพวกเราก็ตาม แต่ผมจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ว่า พวกเขานั้นรักเอ็นดูเธอ ดังนั้น เธอจะไม่เป็นไร ”

หลานเสี่ยวถางก็ตาละห้อย : “ อันที่จริงแล้วตอนที่ฉันยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง คนที่เศร้าใจมากที่สุด ก็คงจะเป็นแม่ของฉัน เมื่อก่อนฉันไม่เคยมีประสบการณ์ที่ลึกซึ้งแบบนี้ แต่ในตอนนี้พอตัวเองได้เป็นแม่คนแล้ว ก็เพิ่งจะรู้ว่าความรู้สึกนั้นมันเป็นอย่างไร ”

หลังจากที่ทั้งสองคนนั่งเครื่องมาแล้วสิบชั่วโมงในที่สุดก็ถึงหนิงเฉิง

อุณหภูมิที่หนิงเฉิงค่อนข้างจะต่ำ สือมูเฉินก็เลยถอดผ้าพันคอออก แล้วก็พันให้หลานเสี่ยวถาง จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากสนามบินด้วยกัน

เมื่อถึงบ้าน หลานเสี่ยวถางก็ไปนั่งลงบนโซฟา และนวดหน้าอกที่บวมของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าพูดกับสือมูเฉิน : “ ที่บอกว่าจะให้หวันหว่านหย่านมแล้วเธอจะปรับตัวไม่ได้ ดูเหมือนว่าคนที่จะปรับตัวไม่ได้มากที่สุดก็คือฉันนะ ตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่……”

“ สามีมาช่วยฉันนวดหน่อยสิ ” สือมูเฉินมานั่งลงข้างเธอ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปนวดเบาเบาให้เธอ

“ ปกติแล้วตอนที่หวันหว่านกินก็มีเพียงน้อยนิด แต่พอเธอไม่กินหนึ่งวัน ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไหลออกมา……” หลานเสี่ยวถางก็พูดด้วยความกลุ้มใจ : “ พรุ่งนี้ฉันไปหาแพทย์แผนจีนเพื่อสั่งยาหยุดน้ำนมหน่อยดีกว่า !”

“ อื้ม ดีแล้ว ”สือมูสือตอบตอบกลับ และมือของเขาก็นวดไปยังจุดอื่นด้วยความอิสระ

เมื่อหลานเสี่ยวถางรู้ตัว และพอลืมตาขึ้นมาก็เห็นสายตาที่มืดมิดของเขา

เธอก็ตกใจ : “ มูเฉิน คุณ……”

สือมูเฉินก็มองเธอและหัวเราะอย่างมีเล่ห์นัย : “ เสี่ยวถาง ตอนนี้หวันหว่านก็ไม่อยู่ ถือว่าเป็นเรื่องยากนะที่พวกเราจะได้เสพสุขของตัวเองในวันหยุดแบบนี้ คุณควรที่จะเลี้ยงฉลองกับสามีของคุณสักหน่อยหรือเปล่า ?”

“ เลี้ยงฉลองยังไง ?” หลานเสี่ยวถางกระพริบตาปริบๆ แกล้งทำเป็นไร้เดียงสา

“ ภรรยา ความหมายของคุณคือ ให้ผมเป็นคนเลือกท่วงท่าเองใช่ไหม ?” สือมูเฉินปัดผมของหลานเสี่ยวถางออกและดม จากนั้น ลมหายใจก็ไปชะงักอยู่ตรงข้างลำคอของเธอ

หลานเสี่ยวถางที่จั๊กจี้ก็หอคอและพูดด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน : “ คุณคนคนนี้ ไม่แน่ว่าตอนนี้หวันหว่านไม่มีฉันอยู่ด้วย แล้วก็กำลังร้องไห้ คุณยังจะมีความคิดอื่นอยู่อีก !”

สือมูเฉินอุ้มเธอขึ้นมาในทันที : “ ไม่ว่าเธอจะปรับตัวได้หรือไม่ได้ พวกเราก็ไม่สามารถที่จะไปโผล่ตรงหน้าเธอได้ในทันที ด้งนั้น ตอนนี้คุณควรที่จะป้อนผู้ชายที่อยู่ข้างคุณในตอนนี้ให้อิ่มต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด……จะว่าไป ไม่แน่ว่าหวันหว่านรู้สึกตัวคนเดียวไม่มีเพื่อน ก็เลยอยากให้พวกเรามีน้องชายหรือน้องสาวเพิ่มให้เธออีกคนก็ได้……”

“อย่าฆ่าฉัน สิ่งที่พวกคุณต้องการคือเงิน แต่ถ้าฆ่าคนคดีจะเปลี่ยนทันที…” เสื้อผ้าที่อยู่บนหัวของเธอถูกเปิดออก เธอยังคงหลับตาแน่น ทำท่าสงบและพยายามโน้มน้าว

“ผมเอง” หลานจื่อเฉินพูดอย่างใจเย็น: “คุณปลอดภัยแล้ว”

หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วจ้องไปที่หน้าของหลานจื่อเฉิน

เมื่อกี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเธอไม่เห็นว่าใครช่วยเธอ ไม่ต้องพูดถึงว่าเกิดอะไรขึ้นในที่เกิดเหตุเมื่อกี้

ในขณะนี้ ขาของเธอยังคงอ่อนแรงและตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของหลานจื่อเฉิน เธอตกใจจนพูดไม่ออก

“คุณชื่ออะไร?” หลานจื่อเฉินถาม

“หยินโม่” หญิงสาวตอบ

“เราเจอกันอีกแล้ว” หลานจื่อเฉินยิ้ม

หญิงสาวฝืนยิ้มออกมาอย่างไม่เต็มใจ

อันที่จริง เธอกลัวหลานจื่อเฉินเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะช่วยชีวิตเธอ แต่เมื่อกี้เขาถือปืน แถมยิงคนตายอีกด้วย…

สำหรับผู้หญิงที่อาศัยอยู่อย่างสงบสุข ไม่เคยแม้แต่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง การฆ่าคนด้วยปืนเป็นสิ่งที่น่ากลัว!

ยิ่งกว่านั้น ครั้งแรกที่เธอเจอเขา เขาก็เต็มไปด้วยบาดแผล เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนลางไม่ดี

“คุณปล่อยฉันได้ไหม?” เธอพยายามพูดอย่างปกติ เพราะกลัวจะทำให้หลานจื่อเฉินระคายเคือง

“ได้” หลานจื่อเฉินวางเธอลง ตามที่เขาคาดไว้ ขาของเธออ่อนแรงและเกือบจะล้มลง ดังนั้นเขาจึงเหยียดแขนออกและโอบเธอไว้

แก้มของหยินโม่แดง และลดสายตาลง

แสงจางๆแวบเข้ามาในดวงตาของหลานจื่อเฉิน: “ขอช่องทางการติดต่อของคุณได้ไหม?”

เธอกัดริมฝีปากและไม่พูด แต่ในใจกำลังลังเลให้เป็นของปลอมดีไหม

“ผมช่วยชีวิตคุณ คุณจะไม่ให้ช่องทางการติดต่อหน่อยเหรอ?” หลานจื่อเฉินพูดติดตลก

หยินโม่คิดในใจ เธอเองก็เคยช่วยเขามาก่อน! วันนั้นเธอและเพื่อนของเธอไปที่บราซิล เธอก็ช่วยเขาไม่ใช่เหรอ?

แต่วันนี้เขาไม่เพียงช่วยเธอ แต่ยังช่วยจัดการอันธพาล ช่วยพี่อี้ของเธอด้วย ดังนั้นเธอจึงให้เบอร์โทรศัพท์ที่ถูกต้องแก่เขา

หลานจื่อเฉินพูดซ้ำอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม: “โอเค ผมจำไว้แล้ว หยิน-โม่!”

เสียงของเขาเบาลง หัวใจของหยินโม่เต้นเร็วขึ้น เธอกลัวสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ แต่ในที่สุดก็รวบรวมกำลังของเธอและออกจากแขนของ หลานจื่อเฉิน

“เมื่อกี้ขอบคุณนะ!” เธอพูดอย่างเร่งรีบ

จากนั้น มองไปที่ประตูร้าน

ทางนั้น ลูกค้าคนอื่นกำลังออกจากร้านด้วยความช่วยเหลือของตำรวจ หนึ่งในนั้นคือพี่อี้ของเธอ

ตาของเธอเป็นประกาย: “ฉันไปหาเพื่อนของฉันก่อนนะ ลาก่อน!” พูดจบ เธอก็หันหลังและวิ่งไป

หลานจื่อเฉินมองไปที่หญิงสาวที่กำลังวิ่งตามชายหนุ่ม ดวงตาของเขาหรี่ลง

อย่างไรก็ตาม แทนที่จะหยุด เขาหันหลังกลับและเดินออกไปข้างนอก

หลานเสี่ยวถางอยู่ในความตื่นตระหนกที่นั่น แต่เธอกับสือมูเฉินไม่เคยเรียนศิลปะการต่อสู้ และยังอุ้มหวันหว่าน พวกเขาจึงไม่กล้าเข้าใกล้ที่นั่น

เมื่อเห็นว่าหลานจื่อเฉินเดินออกมา หลานเสี่ยวถางก็รีบเข้าไปหาเขา: “เสี่ยวเฉิน เป็นอะไรไหม? เกิดอะไรขึ้น?”

“เมื่อกี้มีการปล้นในร้าน!” หลานจื่อเฉินพูดด้วยรอยยิ้มที่มุมริมฝีปากของเขา:“แต่ถูกผมยิงตายไปแล้วสามคน และพิการไปหนึ่งคน!”

เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยินเช่นนี้หัวใจของของเธอก็เต้นแรง เธอรู้ดีว่าน้องชายของเธอมีทักษะด้านนี้ เธอเพียงตบไหล่เขา: “ยังไงก็ต้องระวังหน่อย!”

“พี่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่มีความสุขที่สุด!” หลานจื่อเฉินพูดถึงตรงนี้ เดินไปหอมแก้มหวันหว่าน: “ตัวเล็ก รอลุงกับป้าแต่งงานกันก่อน หนูจะกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!”

“ห้ะ?” หลานเสี่ยวถางไม่ทันกับความคิดของเขา

“พี่ เมื่อกี้ผมเจอผู้หญิงที่ผมพูดถึงเมื่อคืน!” ดวงตาของหลานจื่อเฉินเต็มไปด้วยแสงแห่งความหวัง พูดอย่างตื่นเต้น: “เมื่อกี้ผมเพิ่งช่วยเธอ เธอจึงบอกชื่อของเธอและให้ช่องทางการติดต่อ!”

“โอ้พระเจ้า เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ!” หลานเสี่ยวถางกล่าวว่า:“เธอออกมาหรือยัง? เธออยู่ที่ไหน?”

“ยังไม่ออกมา คงอยู่กับแฟนของเธอ!” หลานจื่อเฉินพูดอย่างเป็นธรรมชาติ

“ห้ะ? มีแฟนแล้วเหรอ?” หลานเสี่ยวถางรู้สึกผิดหวังแทนน้องชาย

“มีแฟนแล้วยังไง?” หลานจื่อเฉินกล่าว: “ถึงยังไงก็ยังไม่แต่งงาน ถ้าผมชอบ ผมก็จะแย่งมันมา!”

ด้านข้าง สือมูเฉินได้ยินและพยักหน้าเห็นด้วย: “ใช่ แค่ถูกใจก็ลงมือเลย ในฐานะมนุษย์ห้ามลังเลว่าจะไปข้างหน้าหรือถอยหลัง”

หลานเสี่ยวถางกลอกตาใส่สือมูเฉิน: “อย่ามาสอนให้เสี่ยวเฉินเสียคน!”

หลานเสี่ยวถางไม่พูดจะดีกว่า เมื่อเธอพูด สือมูเฉินยิ่งวางแขนบนไหล่ของหลานจื่อเฉิน: “อยากรู้ไหมว่าฉันจัดการกับพี่สาวนายยังไง? เดี๋ยวฉันจะสอนประสบการณ์ให้!”

แม้ว่าทักษะการยิงปืนของหลานจื่อเฉินจะโดดเด่น แต่เขาไม่มีประสบการณ์ในการจีบสาว เขาปฏิบัติตามกฎต่อไปนี้: เห็นแล้วชอบก็ลงมือทันที เรียบง่าย และหยาบคาย ไร้ทักษะ

เขาหันไปมองพี่เขย นึกถึงสือมูเฉินใช้ตัวตนของJarvisหลอกลวงหลานเสี่ยวถาง แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนแผนสูง พยักหน้า: “เอาล่ะ พี่เขย คืนนี้ผมจะไปเรียนรู้กับพี่!”

เมื่อหลานเสี่ยวถางได้ยิน เธอก็อดไม่ได้ที่จะเหยียดมือออกและหยิกเอวของสือมูเฉิน น่าเสียดายที่มันเป็นกล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงหยิกไม่เจ็บ…

ตอนเที่ยง ทุกคนกินมื้อเที่ยงที่ตลาด แล้วขับรถกลับ

ทันทีที่กลับถึงบ้าน ก็ได้ยินว่าตระกูลเพอร์เซลล์ก็มาถึงแล้ว

หลานเสี่ยวถางอุ้มหวันหว่านไปที่ห้องนั่งเล่น และเห็นโอหยางจวิ้นนั่งอยู่บนโซฟา

เขาเงยหน้าขึ้น เห็นหลานเสี่ยวถาง จึงลุกขึ้นและเดินไปหาทันที

“เสี่ยวถาง” เขาทักทายเขาแล้วจ้องไปที่หวันหว่านในอ้อมแขนของหลานเสี่ยวถาง

เจ้าตัวเล็กเพิ่งตื่น ตายังคงพร่ามัวเล็กน้อย และยังคงหาว

โอหยางจวิ้นรู้สึกว่าตัวเองประหม่าเล็กน้อย

เขากังวลว่าหวันหว่านจะจำเขาไม่ได้แล้ว ถ้าเธอไม่ยอมให้เขาอุ้มจะทำอย่างไร?

วันนี้ก่อนที่เขาจะมา เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่ฉีดน้ำหอม เพราะกลัวหวันหว่านจะจำกลิ่นของเขาไม่ได้

ในขณะนี้ เขายื่นมือออกและสัมผัสมือเล็กๆของหวันหว่าน

เด็กหญิงตัวเล็กดูเหมือนจะตื่นขึ้นในที่สุด จากนั้นก็ค่อยๆจ้องมองไปที่ใบหน้าของโอหยางจวิ้น

เขารู้สึกประหม่ามากขึ้น รอการตอบสนองจากสาวน้อย

ไม่ได้เจอกันหลายเดือน เธอโตขึ้นมาก ดวงตาของเธอยังบริสุทธิ์สีดำ แต่ใบหน้าเล็กๆของเธอขาวขึ้นและบอบบางกว่า ขนตาของเธอก็ยาวขึ้น

ตอนแรกเธอมองมาที่เขาเป็นเวลาหลายวินาที ในขณะที่โอหยางจวิ้นกำลังจะเรียกเธอ ทันใดนั้น มุมริมฝีปากของเธอก็ยกขึ้นและยิ้มกว้างให้เขา

โอหยางจวิ้นรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ ความกังวลใจเดิมหายไป และแทนที่ด้วยความผ่อนคลาย

โชคดีที่สาวน้อยของเขายังจำเขาได้!

เขาเหยียดแขนออก หวันหว่านเองก็เต็มใจที่จะให้เขาอุ้ม ดังนั้นโอหยางจวิ้นจึงรับหวันหว่านจากหลานเสี่ยวถาง

แม้ว่าน้ำหนักเพียงเล็กน้อยนั้นไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย แต่โอหยางจวิ้นก็รู้สึกอย่างเห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวเล็กโตขึ้นจริงๆ

ก่อนหน้านี้แผ่นหลังของเธอเล็กกว่าฝ่ามือของเขา แต่ตอนนี้มันเกือบจะเท่าแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ไขมันในตัวเจ้าตัวเล็กก็น้อยลง ใบหน้าละเอียดอ่อนและสวยงามมากขึ้น ทำให้ผู้คนอยากหอมแก้มเธอ

อันที่จริง โอหยางจวิ้นกำลังจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน

แต่ขณะที่เขากำลังจะหอมแก้มหวันหว่าน เธอยกแขนทั้งสองข้างขึ้นก่อน

เธอเอื้อมมือออกไปและสัมผัสใบหน้าของโอหยางจวิ้น บีบแก้มของเขา บีบด้วยความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็ตบเบาๆสองที!

ในห้องนั่งเล่น สายตาของทุกคนจับจ้องมาที่พวกเขา และพวกเขาก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นมัน

การกระทำของหวันหว่านเหมือนถอดเขี้ยวเสือ

แถมเสือยังไม่โกรธเลยสักนิด เขาโน้มตัวลงหอมแก้มหวันหว่าน แล้วบีบที่แก้มของเธอเบาๆ : “หวันหว่าน จำลุงได้ไหม?”

หวันหว่านกระพริบตา แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจคำพูดของโอหยางจวิ้น แต่ยังคงเอื้อมมือออกไปและเล่นกับใบหน้าของโอหยางจวิ้น

เธอพบว่าคางและแก้มของเขามีหนวด รู้สึกสนุก

เธอมักจะเล่นของสือมูเฉิน ดังนั้นหลังจากได้สัมผัสของโอหยางจวิ้น เธอจึงเล่นอย่างสนุกสนาน

ในห้องนั่งเล่น ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข แม้แต่ปู่ทวดแดเนียลที่แก้มแดงระเรื่อก็พูดกับโอหยางจวิ้นว่า: “Bojan ดูจนฉันเองก็อยากเล่นบ้างแล้ว!”

มือของสาวน้อยไม่ได้มีแรงขนาดนั้น ดังนั้นเมื่อเธอตบแบบนี้ มันจึงไม่เจ็บ

โอหยางจวิ้นโอบมือเล็กๆของเธอ เขารู้สึกราวกับว่าเขากำลังอุ้มสำลีก้อนเล็กๆ เขาทำเสียงอ่อนลงและเกลี้ยกล่อม: “หวันหว่านชอบตีกลองเหรอ? ถ้างั้นเราไปซื้อกลองกันดีไหม ให้หวันหว่านตีเล่น?”

ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะฟังรู้เรื่อง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความดีใจ หลังจากที่มองดูโอหยางจวิ้นอย่างตั้งใจเป็นเวลาหลายวินาที เธอก็เอนตัวมาหอมแก้มเขา!

เมื่อสือมูเฉินเห็นฉากนี้ รู้สึกไม่พอใจทันที

เจ้าหญิงตัวน้อยของเขา หอมแก้มตัวเองและหลานเสี่ยวถางได้ แต่ทำไมถึงหอมแก้มหลานจื่อเฉิน ตอนนี้ยังหอมแก้มโอหยางจวิ้นอีก

รู้สึกรับไม่ได้ ความรู้สึกนี้อึดอัดราวกับว่ากำลังถูกแย่งของรักไป

อืม หลังจากนี้เขาต้องสอนลูกสาวให้ดี ยกเว้นพ่อของเธอ ห้ามหอมแก้มผู้ชายอื่น!

ในขณะนี้ โอหยางจวิ้นถูกหวันหว่านหอมแก้ม มีท่าทางตื่นเต้นและพูดกับแดเนียล: “คุณปู่ ดูสิ ผมกับหวันหว่านสนิทกันมาก ดูเหมือนว่าเธอยังจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้!”

“เหอะ เมื่อกี้หวันหว่านก็หอมแก้มผม!” หลานจื่อเฉินเดินเข้ามา: “หวันหว่าน มา ลุงอุ้ม! ไปเล่นของเล่นกันเถอะ!”

เมื่อหวันหว่านได้ยินเช่นนั้น เธอก็กระดิกขาและกระโจนเข้าหาหลานจื่อเฉินทันที

โอหยางจวิ้นกังวลมาก: “หลานจื่อเฉิน อย่ามาล่อลวงเด็กด้วยวิธีนี้! หวันหว่านยังเด็ก เธอจะแยกแยะการถูกล่อลวงได้อย่างไร!”

“ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย!” หลานจื่อเฉินอุ้มหวันหว่านมาอย่างภาคภูมิใจ หอมแก้มเธอ: “หวันหว่านของเราเก่งที่สุด ลุงจะพาไปเล่น เราจะไม่เล่นกับลุงที่ไม่ดี!”

“หลานจื่อเฉิน พูดให้ดี! ลุงไม่ดีอะไร?” โอหยางจวิ้นเดินตามหลัง: “มีลุงที่ไหนสอนเด็กแบบนี้?!”

หลานเสี่ยวถางอดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินการเถียงกันระหว่างทั้งสอง หรือการอยู่กับเด็กมากๆแล้ว อายุของเราก็จะลดลงโดยอัตโนมัติ? ดูเหมือนว่าอยู่กับเด็กจะทำให้กลับมาเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง!

ทั้งสองคุยกันครู่หนึ่ง หลานเสี่ยวถางหาวและกำลังจะกลับไปที่ห้องนอน ทันใดนั้นหลานจื่อเฉินก็หยุดเธอ: “มั่วหลิงชวน ฝากของมาให้พี่”

“มั่วหลิงชวน?” หลานเสี่ยวถางถามด้วยความสงสัย: “ทำไมนายถึงติดต่อกับเขา?”

“ครั้งก่อนเขาช่วยตามหาหวันหว่านใช่ไหม?” หลานจื่อเฉินอธิบายว่า: “ผมพบว่าเขาเก่งในด้านนี้ เลยขอให้เขาช่วยออกแบบระบบซอฟต์แวร์ ร่วมมือกันประมาณสองเดือน แต่ตอนนี้เขาจากไปแล้ว กำลังจะกลับไปนัดบอดแต่งงานที่หนิงเฉิง”

“นัดบอดแต่งงาน?” หลานเสี่ยวถางแปลกใจเล็กน้อย ที่มั่วหลิงชวนยังอยู่กับวิธีการออกเดทที่ล้าสมัย

“ใช่!” หลานจื่อเฉินกล่าวว่า:“ผมเคยได้ยินเขาคุยโทรศัพท์ ดูเหมือนจะเป็นแม่ของเขาโทรมาร้องไห้โวยวาย บังคับให้เขากลับไปแต่งงานกับคนที่จับคู่ไว้ให้ มิเช่นนั้น เขาจะถูกตัดออกจากกองมรดก…พี่รู้ไหม ครอบครัวแบบนั้น มั่วหลิงชวนไม่ได้เป็นลูกคนเดียว พ่อของเขามีภรรยาหลายคน แต่แม่ของเขาไม่ใส่ใจเลย อีกหน่อยตอนแก่จะไม่เหลืออะไรเลย!”

หลานเสี่ยวถางเริ่มเข้าใจ พยักหน้าและพูดว่า: “ใช่ เช่นเดียวกับพ่อและแม่ บางครั้งพวกเขาอยู่ในตำแหน่งสูง พวกเขาไม่ได้เป็นอิสระเหมือนคนทั่วไป! แต่บังคับลูกชายขนาดนั้น มันจะดีเหรอ?”

ทันใดนั้น เธอก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นร่างกายของเธอไม่ค่อยแข็งแรง และมั่วหลิงชวนก็ช่วยพยุงเธอให้ยืนบนโพเดียม รู้สึกอะไรบางอย่างในใจ

คนนั้นที่ดูนิสัยไม่แย่ ไม่ได้ดูมีพิษมีภัย กำลังจะถูกตัดปีกงั้นเหรอ?

หลานจื่อเฉินมอบ USB แฟลชไดรฟ์ให้เธอ บอกว่าข้างในเป็นสิ่งที่มั่วหลิงชวนมอบให้เธอ น่าจะเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ หวังว่าในอนาคตหลานเสี่ยวถางจะช่วยทำต่อให้สำเร็จ

เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศดีและมีแดดจัด ที่นี่มีอากาศที่อบอุ่นกว่าหนิงเฉิง หลานจื่อเฉินจึงพาหวันหว่านไปตลาด

เมื่อกลับมาถึง ตระกูลเพอร์เซลล์ก็คงมาถึงพอดี ทุกคนเจอกันในตอนบ่าย

คนขับรถหยุดที่ทางแยกหน้าตลาด หลานจื่อเฉินอุ้มหวันหว่าน กับสือมูเฉินและหลานเสี่ยวถางไปที่ร้านขายของตามถนน

เด็กๆรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ออกนอกบ้าน หวันหว่านมองไปรอบๆ ดวงตาเบิกกว้าง ราวกับว่ามองยังไงก็มองไม่พอ

เมื่อเห็นร้านขายของเล่นเล็กๆข้างหน้า หลานเสี่ยวถางอุ้มหวันหว่านเดินเข้าไป แต่เจ้าตัวเล็กกลับสนใจร้านขายนาฬิกาฝั่งตรงข้าม

“เป็นของตระกูลเพอร์เซลล์ ” หลานจื่อเฉินหอมแก้มหวันหว่าน และกล่าวว่า: “เสี่ยวหวันหว่าน อีกหน่อยก็จะมีส่วนแบ่งของหนู!”

หลานเสี่ยวถางยิ้มและพูดว่า: “เอาล่ะ เจ้านายน้อยหวันหว่านเข้าไปตรวจสอบสักหน่อย!”

ดังนั้น หลานจื่อเฉินจึงเดินนำไปข้างหน้า หลานเสี่ยวถางอุ้มหวันหว่าน และสือมูเฉินเดินตามข้างหลัง ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไป เจ้าตัวเล็กก็ถอนหายใจ

หลานเสี่ยวถางสัมผัส และพูดกับสือมูเฉิน:”ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กกำลังจะฉี่… ”

“ทางนุ้นมีห้องน้ำสาธารณะ ไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หวันหว่านไหม?” สือมูเฉินพูดเสนอ

หลานเสี่ยวถางพยักหน้าและพูดกับหลานจื่อเฉิน: “เสี่ยวเฉิน นายเดินดูของในร้านรอก่อนนะ เปลี่ยนผ้าอ้อมเสร็จแล้วจะรีบกลับมา”

“โอเค!” หลานจื่อเฉินพยักหน้า ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบข้าง และทันใดนั้น เขาก็หยุด!

ที่มุมหนึ่งของร้าน มีหญิงสาวที่สวมเสื้อโค้ทกำลังมองหาพนักงานเพื่อขอลองนาฬิกา

ผมยาวของเธอกระจัดกระจายเหมือนน้ำตกสีดำ ผิวของเธอเป็นสีขาว หน้าตาของเธอสวยและน่ารัก อารมณ์เหมือนเด็กนักเรียน

นี่เป็นผู้หญิงที่เขาตามหามาแสนนาน แต่ปรากฏว่าข้างๆของหญิงสาวมีชายหนุ่มอยู่ด้วย ตัดสินจากพฤติกรรมของทั้งสองคนแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นแฟนกัน

อย่างไรก็ตาม แค่เจอก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และที่เหลือก็ค่อยว่ากันอีกที! มีแสงส่องผ่านดวงตาของหลานจื่อเฉิน

แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินไปหาหญิงสาว ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ!

แม้ว่าเขาจะมีชีวิตที่หรูหราตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็ได้รับประสบการณ์ต่างๆไม่น้อย

นอกจากนี้ ธุรกิจของแบรน์ออนเนอร์ มีทั้งด้านขาวและดำ ดังนั้น เจอคนหน้าไหว้หลังหลอกมามาก จึงได้ปลูกฝังความกระตือรือร้นและสัญชาตญาณอันตราย

เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีและโทรหาหลานเสี่ยวถางอย่างรวดเร็ว

การโทรเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว การแสดงออกของหลานจื่อเฉินผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริง เขาลดเสียงลง: “พี่ ที่ร้านมีอันตราย อย่าเข้ามา!”

หลังจากพูดจบ หลานจื่อเฉินก็วางสายทันที จากนั้น เก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ มืออีกข้างล้วงเข้าไปจับปืนพกข้างตัว

“ขอดูนาฬิกาเรือนนี้หน่อย!” หลานจื่อเฉินพิงเคาน์เตอร์ วิเคราะห์ผู้หญิงคนนั้น ถ้าเกิดอุบัติเหตุ จะหาวิธีรับประกันความปลอดภัยของเธออย่างไร

พนักงานไม่ได้สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติ เมื่อเธอเห็นหลานจื่อเฉิน เธอรู้สึกเพียงชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้า ทำให้ดวงตาของเธอเป็นประกาย เธอหยิบนาฬิกาออกมาอย่างกระตือรือร้นและถามว่าต้องการให้เธอช่วยไหม

สินค้าของตระกูลเพอร์เซลล์จัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย นาฬิกาที่นี่เรือนละเป็นแสน ดังนั้นที่นี่จึงตกเป็นเป้าหมาย!

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมลองเอง!” หลานจื่อเฉินพูด พร้อมหยิบนาฬิกาเดินไปที่กระจก

จากปลายกระจก เขาเห็นว่ามีหัวคนขยับอยู่ตรงมุม

ยิ่งกว่านั้น มีคนเดินเข้ามาหาผู้หญิงที่เขาชอบ!

เขาคำนวณระยะห่างระหว่างอีกฝ่ายใกล้กว่าเขา ถ้าเขาเข้าไปตอนนี้ อาจจะช่วยผู้หญิงไม่ทัน แถมจะทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย ต้องเปลี่ยนแผน——

ในขณะนี้ กระสุนปืนดังขึ้นอย่างชัดเจน มีคนยืนขึ้นจากตรงมุม ยกปืนเข้าหาเพดาน ยังคงมีควันออกจากปากกระบอกปืน

“ทุกคนอย่าขยับ! จับหัวแล้วหมอบลง!” คนร้ายสั่ง

ลูกค้าทุกคนหวาดกลัว ล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ ในเวลาเดียวกัน หลานจื่อเฉินก็นั่งยองๆ หลังของเขาติดเคาน์เตอร์

เขามองไปยังทิศทางผู้หญิงคนนั้น เห็นว่าใบหน้าเล็กๆของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของเธอซีดและนิ่งอึ้ง มีเพียงดวงตาของเธอที่หมุนไปมา เหมือนกำลังหาทางออก

คนที่เพิ่งยิงปืน ยืนอยู่ข้างเธอ!

ในอีกด้านหนึ่งของเธอ ชายหนุ่มที่มากับเธออยู่ห่างจากเธอครึ่งเมตร และดวงตาของเขาไม่ได้มองมาทางเธอ

หลานจื่อเฉินขมวดคิ้ว

ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผู้ชายคนนั้นอยู่ข้างหญิงสาว ระยะห่างระหว่างทั้งสองห่างไม่ถึง20เมตร

ดังนั้น สรุปได้ว่า ทันทีที่เกิดเหตุ ชายคนนั้นทิ้งหญิงสาว และคิดจะหนีเอาตัวรอดคนเดียว

แม้ว่าการเอาตัวรอดคนเดียวจะเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ในด้านจิตวิทยาและไม่สามารถเทียบได้กับศีลธรรม แต่หลานจื่อเฉินยังคงรู้สึกอารมณ์เสีย

ผู้ชายแบบนี้ หนีเมื่อเผชิญภัยพิบัติ ไม่มีความรับผิดชอบ!

หากเขาเป็นสามีของหญิงสาว เขาอาจจะเตือนเธอก่อนสักสองสามคำ

อย่างไรก็ตาม ไม่มีแหวนบนนิ้วของพวกเขา และยังดูอายุน้อย เหมือนจะยังไม่ได้แต่งงาน

เนื่องจากยังไม่ได้แต่งงาน ถ้างั้นเขาจะแย่งผู้หญิงคนนั้นมาโดยตรง!

ในขณะนี้ อันธพาลคนอื่นๆได้ปล้นนาฬิกาในร้านไปหมดแล้ว แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะหนี สัญญาณเตือนภัยในร้านก็ดังขึ้น!

ในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งที่อยู่ใกล้เธอที่สุดคว้าตัวหญิงสาวและเอาปืนจ่อหัวของเธอ เหลือบมองทุกคน: “ใครแจ้งตำรวจ?!”

เมื่อสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ก็มีเสียงรถตำรวจในระยะไม่ไกลดังขึ้น

ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เธอตกใจมากจนหน้าซีดเหมือนกวางน้อยที่น่าสงสาร

แต่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆเธอ ไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นพูดสักคำ

“ตำรวจมาแล้ว จับเธอแล้วรีบหนี!” หัวหน้ากลุ่มคนร้ายออกคำสั่ง

“เสี่ยวโม่!” ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวถูกจับตัว จึงตะโกนออกมาด้วยเสียงต่ำ

ทันใดนั้น มีปากกระบอกปืนจ่อมาที่เขา เขารีบหุบปากด้วยความตกใจ จับศีรษะและไม่กล้าขยับ

หญิงสาวถูกพาตัวไปหลายก้าว รู้สึกสิ้นหวัง ขณะที่เธอถูกพาไปที่กลางห้องโถง เธอก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย!

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะมีเวลาตอบสนอง หลานจื่อเฉินรอโอกาสนี้และเริ่มลงมือ!

เขาลุกขึ้นอย่างกะทันหัน ยิงไปที่มือของอันธพาลที่กำลังจับหญิงสาว ในขณะที่ปืนพกของอันธพาลตกลงมา เขาคว้าแขนของหญิงสาวและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นหยิบปืนและยิงคนที่เหลืออีกสามนัด

ในขณะนี้ ปืนพกของผู้ชายที่จับหญิงสาวตกลงสู่พื้น ส่งเสียงที่ชัดเจน

ทุกคนต่างพากันตะโกนด้วยความตกใจ และผู้ชายที่ถูกยิงที่มือกรีดร้องราวกับหมาป่าหอน

ทั้งร้านนองเลือด หลานจื่อเฉินยิงปืนสี่นัด นัดแรกยิงที่มือของคนหนึ่ง และอีกสามนัดยิงหัวพวกอันธพาลโดยตรง

เพื่อป้องกันไม่ให้คนเดียวที่ยังรอดลุกขึ้นมาต่อต้านได้ เขาเก็บปืนที่ตกอยู่บนพื้นขึ้น

กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงสิบวินาที ขณะที่หลานจื่อเฉินจัดการทุกอย่างเสร็จ ทุกคนในร้านเพิ่งตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ทุกคนนั่งลงกับพื้นด้วยเข่าที่อ่อนแรง บางคนเกือบอาเจียน หน้าซีดและตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา

มีเพียงคนเดียวที่ไม่เห็นอะไรเลย นั่นคือหญิงสาวที่หลานจื่อเฉินกอดไว้ในอ้อมแขน

ใบหน้าของเธอจมอยู่ในอ้อมแขนของเขา เขาบังสายตาของเธอจนหมด ดังนั้นเธอจึงได้ยินแต่เสียงปืนและเสียงอุทานเท่านั้น แต่เธอไม่รู้อะไรเลย

ในเวลานี้ ตำรวจได้เร่งรุดเข้ามาแล้ว และพวกเขาก็ตกใจเมื่อเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว

หลานจื่อเฉินลากอันธพาลมา: “หากมีข้อสงสัยอื่น วิธีที่ดีที่สุดคือดูภาพจากกล้องวงจรปิด ผมมีธุระ ไม่มีเวลาอธิบาย!”

ตำรวจไม่รู้จักหลานจื่อเฉิน เมื่อเห็นท่าทีที่จองหองของเขา จึงยกปืนขึ้นแล้วชี้ไปที่เขา: “ไปสถานีตำรวจกับเรา!”

“เหอะ—” ริมฝีปากของหลานจื่อเฉินงอขึ้น: “ผมเพิ่งช่วยตัวประกันและปกป้องทรัพย์สินในร้าน นี่คือวิธีที่คุณปฏิบัติต่อเหล่าฮีโร่?”

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาขณะที่พูด โทรหาใครคนหนึ่ง จากนั้นยื่นไปข้างหน้า

ตำรวจรับโทรศัพท์: “สวัสดี”

แต่คาดไม่ถึง ปรากฏว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของเขา! ตำรวจตกใจมาก รีบเปลี่ยนทัศนคติทันที พวกเขาจึงส่งหลานจื่อเฉินออกไปด้วยความเคารพ จากนั้นจับอันธพาลที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวและช่วยลูกค้าที่หวาดกลัวในร้านสงบลง

ในขณะนี้ หลานจื่อเฉินถอดเสื้อคลุมของเขาออก คลุมไว้บนหัวของหญิงสาว บังสายตาของเธอและกลิ่นเลือดในร้าน จากนั้นก็พาเธอออกไป

คุณนายจางตกตะลึง มองเด็กในอ้อมแขนของเฉียวโยวโยว แล้วหันไปมองฟู่สีเกออีกครั้ง

แล้วพูดอย่างช้าๆว่า : “สองคนเหรอ?”

ฟู่สีเกอพยักหน้า

“มีลูกสองคนพร้อมกัน แล้วยังเป็นผู้ชายกับผู้หญิงอีกเหรอ?” คุณนายจางดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ : “อย่างนั้นก็เป็นฝาแฝดชายหญิงใช่ไหม?”

เมิ่งซินหรุ่ยจึงพูดต่อว่า : “ใช่แล้ว ลูกสะใภ้ฉันโหงวเฮ้งดี เดิมทีตระกูลเราไม่มียีนแฝดเลย แต่เธอคลอดครั้งเดียวก็ได้แฝดชายหญิงเลย มันไม่ง่ายเลยจริงๆ!”

“อย่างนั้นก่อนหน้านี้ที่เราคอมเมนต์ในวีแชต ทำไมคุณไม่ตอบกลับไปล่ะ?” คุณนายจางถามอย่างไม่ยอมแพ้

“เฮ้อ คุณมาสักคน ก็ต้องรู้กันอย่างแน่นอน” เมิ่งซินหรุ่ยแสร้งทำเป็นพูดอย่างน่าสงสาร : “เด็กสองคนไม่เหมือนกับคนเดียว เวลานั้นเพิ่งเกิดมาก็ต้องพักผ่อนสักหน่อย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีเวลา ฉันจึงไม่เคยได้ดูวีแชตโมเมนต์เลย”

คุณนายจางเหมือนกับกระอักเลือด เธอมองไปยังหรงฉิวที่อยู่ในอ้อมแขนของเฉียวโยวโยว พูดอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า : “ขอโทษด้วยนะ ฉันคิดว่ามีลูกแค่คนเดียว ฉะนั้นจึงเอาอั่งเปามาแค่ซองเดียว……คุณนายเมิ่งคุณรอฉันเดี๋ยวนะ ฉันจะกลับไปเอามาอีกซองหนึ่ง!”

“ไม่ต้องหรอก!” เมิ่งซินหรุ่ยกล่าว : “เด็กเล็กขนาดนี้ รู้จักอั่งเปาซะที่ไหนกัน? แค่นี้ก็มีกะจิตกะใจพอแล้ว!”

“ไม่ได้ๆ ปีใหม่แล้ว ต้องเป็นนิมิตหมายที่ดี ฉันจะกลับไปเอามาเพิ่มอีกอันหนึ่ง!” คุณนายจางพูดจบ ก็รีบเดินออกไปเลย

ฟู่สีเกอมองไปทางเมิ่งซินหรุ่ยอย่างทำอะไรไม่ถูก : “แม่ ฉันกับโยวโยวทำตามที่คุณสั่งเสร็จแล้ว ฉะนั้นคุณก็เลยหลอกเอาเงินอั่งเปาใช่ไหม?”

เมิ่งซินหรุ่ยถลึงตาใส่เขา : “ฉันจะหลอกเอาเงินมาทำไม? ฉันไม่ได้เห็นคุณค่าเงินเล็กน้อยอันนั้นของเธอหรอกนะ! ฉันแค่อยากเห็นการแสดงออกของเธอก็เท่านั้น!”

พูดจบเธอก็หอมแก้มเด็กน้อยทั้งสองคนอย่างมีความสุข แล้วพูดอย่างภูมิใจว่า : “ในตอนนั้น ลูกสะใภ้ของเธอคลอดลูกชายมาสองคน ตอนนั้นคุณยังไม่มีแฟน เธอก็อุ้มเด็กมาอวดกับฉันทุกวัน แล้วก็ถามว่า สีเกอของคุณหาแฟนได้หรือยัง? เช่นนั้นฉันจะช่วยแนะนำให้คุณ เป็นพนักงานแคชเชียร์ซูเปอร์มาร์เก็ต……”

เมิ่งซินหรุ่ยพูดไปด้วย ทำท่าทำทางไปด้วย : “เชอะ ตอนนั้นฉันอยากจะด่าใส่เธอไปเลย! แต่คุณก็ไม่มีแฟนจริงๆแหละ ฉันจะพูดอะไรก็ไม่มั่นใจ! แต่ตอนนี้ฉันมีทั้งหลานมีทั้งลูกสะใภ้ โย่โย่ของฉันยังคลอดลูกฝาแฝดชายหญิงให้อีก ก่อนหน้านี้ฉันจงใจที่จะไม่บอก ก็แค่ต้องการให้เธอโกรธ! คุณดูสิ เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังจะร้องไห้ แต่ยังคงกัดฟันและกลืนน้ำตาลงไป!”

พูดจบเธอก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง เด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของฟู่สีเกอดูเหมือนว่าจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงแสยะยิ้มตาม

เวลานี้เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น เฉียวโยวโยวยิ้มแล้วพูดว่า : “โอเค คุณนายจางเอาเงินมาให้แล้ว!”

……

วันส่งท้ายปีเก่า หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินอุ้มหวันหว่านมายังบ้านพักทหารของหลานเซี่ยวเฉิง และหลานเซี่ยวเฉิงกับเย่เหลียนอีก็ฉลองปีใหม่ด้วยกัน

ทางด้านนี้ไม่อนุญาตให้จุดพลุ แต่เป็นครั้งแรกที่หลานเสี่ยวถางได้เห็นความโรแมนติกที่แตกต่างออกไป

หวันหว่านหลับแล้ว โดยมีพี่เลี้ยงอยู่เป็นเพื่อน ดังนั้นหลานเสี่ยวถางและคนอื่นๆจึงไปที่สนามฝึกยิงปืนด้วยกัน

หลานเซี่ยวเฉิงหยิบปืนขึ้นมาหนึ่งกระบอก แล้วพูดกับหลานเสี่ยวถางว่า : “ถางถาง คุณดูนะฉันกับแม่ของคุณจะช่วยกันเขียนคำอวยพรให้พวกคุณ!”

พูดจบ เขาก็หยิบปืนสั้นขึ้นมาแล้วยิงหลายนัดติดต่อกันไปยังเป้าหมายที่อยู่ห่างไกลอย่างรวดเร็ว

ที่ด้านข้าง เย่เหลียนอียกยิ้มขึ้นมา แววตาเป็นประกาย : “ตาฉันแล้ว!”

เธอรับปืนสั้นจากในมือของหลานเซี่ยวเฉิงมา บนปืนยังมีความอุ่นของฝ่ามือหลานเซี่ยวเฉิงอยู่

เธอหยิบปืนขึ้นมา ยิงหลายนัดไปที่เป้าหมายด้วยท่าทางองอาจ

หลานเซี่ยวเฉิงมองภรรยาของตนเอง โดยไม่เคลื่อนย้ายสายตาไปแม้แต่นิดเดียว

พวกเขาแยกจากกันมาหลายปี ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ไม่เคยมีข่าวคราวเลย อันที่จริงเขาเคยคิดว่า เธออาจจะแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว หรือหลงรักคนอื่นไปแล้วหรือเปล่า……

แต่ในท้ายที่สุดที่พวกเขาได้เจอกัน นอกจากหน้าตาของเธอที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้ว ทุกๆอย่างก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

และตอนนี้พวกเขาก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน ความรู้สึกเช่นนี้ เหมือนได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความรักอีกครั้ง

เย่เหลียนอีวางปืนลง แล้วเลิกคิ้วให้เย่เหลียนอี : “ตาคุณแล้ว!”

หลานเซี่ยวเฉิงกำลังเหม่อใจลอย นี่ดูเหมือนกันกับเมื่อหลายปีก่อน ตอนช่วงวัยที่กำลังรุ่งโรจน์ของพวกเขา เธอชอบทำท่าทางท้าทายเขา

เขายิ้มให้เธอด้วยดวงตาเป็นประกาย : “โอเค”

ด้วยเหตุนี้ หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินจึงสวมหูฟังกันเสียงอยู่ตลอดเวลา แล้วดูผู้อาวุโสทั้งสองท่านแสดง

สุดท้ายหลานเซี่ยวเฉิงก็เดินไปข้างหน้า แล้วหยิบเป้ายิงมาวางตรงหน้าหลานเสี่ยวถาง

สือมูเฉินรับมา เห็นบนเป้ายิงที่ใช้กระสุนปืนจริงยิงเป็นคำว่า : ขอให้ถางถางมูเฉินหวันหว่านมีความสุข

“ขอบคุณค่ะพ่อขอบคุณค่ะแม่!” หลานเสี่ยวถางยื่นมือออกไปกอดหลานเซี่ยวเฉิง และเย่เหลียนอีทีละคน

ตอนกลางคืนทุกๆคนก็กลับไปพร้อมกัน แต่วันรุ่งขึ้นบนท้องฟ้าก็มีหิมะตกลงมา

เย่เหลียนอีพูดกับหลานเซี่ยวเฉิงว่า : “เซี่ยวเฉิง ฉันกับหลานเสี่ยวถางต้องกลับไปเยี่ยมพ่อของฉันหน่อย ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเขาสักสองสามวันแล้วจะกลับมา”

หลานเซี่ยวเฉิงพยักหน้า : “โอเค ฉันจะรอคุณอยู่ทางด้านนี้นะ”

“อืม” เย่เหลียนอีจูบลาหลานเซี่ยวเฉิง พร้อมกับหลานเสี่ยวถางสือมูเฉินที่อุ้มหวันหว่าน ขึ้นเครื่องบินไปอเมริกาด้วยกัน

เมื่อลงจากเครื่องบิน คนของออเนอร์ก็มารอรับแล้ว

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ทุกคนก็กลับมาถึงสำนักงานใหญ่ออเนอร์ หลานจื่อเฉินก็เพิ่งกลับมาจากข้างนอก จึงโอบกอดกับเย่เหลียนอีเล็กน้อยก่อน จากนั้นก็วิ่งไปยังตรงหน้าหลานเสี่ยวถางทันที แล้วเข้าไปอุ้มหวันหว่าน

“ไม่เจอกันสองสามเดือน หวันหว่านโตขึ้นแล้ว!” หลานจื่อเฉินจูบเจ้าตัวน้อยหนึ่งที : “คิดถึงน้าไหม? หืม?”

หวันหว่านยิ้มให้หลานจื่อเฉิน แล้วยื่นมือไปดึงๆผมของเขา

“น้ายังไม่ทันได้ตัดผม” หลานจื่อเฉินกล่าวอย่างเขินอายว่า : “ยาวไปหน่อยใช่ไหม?”

หวันหว่านพูดไม่ได้ แต่ก็แสดงออกอย่างเป็นมิตร

เธอคว้าใบหูของหลานจื่อเฉิน แล้วเข้าไปใกล้ จากนั้น ก็นำปากน้อยๆไปชิดบนแก้มของเขา เพื่อจูบหลานจื่อเฉินหนึ่งที

บนแก้ม มีความรู้สึกถึงคราบน้ำลาย แต่หลานจื่อเฉินกลับรู้สึกเหมือนว่าหัวใจพองโต

เขาอุ้มหวันหว่าน : “มา น้าซื้อของขวัญเอาไว้ให้คุณ พวกเราไปดูกันว่าชอบไหม!”

พูดพลาง อุ้มหวันหว่านไปยังห้องเด็กทารกที่เตรียมเอาไว้โดยตรง

ในนั้น ถูกจัดไว้เหมือนกับปราสาทของเจ้าหญิงตัวน้อยในเทพนิยาย ผนังสีชมพู ข้างเตียงเป็นลูกไม้ แล้วยังมีเฟอร์นิเจอร์ขนาดน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มอีกมากมาย รวมทั้งเตียงยังเต็มไปด้วยของเล่นตุ๊กตา

ชั่วพริบตาที่หวันหว่านถูกอุ้มเข้าไป ดวงตาก็เป็นประกาย ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เธอชอบ!

ด้วยเหตุนี้ เจ้าหนูน้อยจึงชี้ไปยังของเล่นที่อยู่บนเตียง แล้วถีบขาไม่ยอมหยุด

“หวันหว่านไม่ต้องรีบไป พวกเราจะลงไปเล่นเดี๋ยวนี้!” หลานจื่อเฉินวางเธอลงบนเตียง ตอนนี้เจ้าตัวน้อยยังเดินไม่ได้ เพียงแต่คลานได้อย่างคล่องแคล่ว จึงคลานไปยังตรงหน้าแกะสีขาวอย่างรวดเร็ว จากนั้น ก็อุ้มขึ้นมาอย่างชอบอกชอบใจ

พอตอนบ่าย เจ้าหนูน้อยก็กำลังคลานเล่นอยู่ในห้อง ราวกับว่าได้พบโลกใบใหม่ จึงตื่นเต้นดีใจอย่างมาก

เพียงแต่ คาดไม่ถึงว่าเด็กน้อยจะมีกำลังที่จำกัด เล่นเหนื่อยแล้วกินอิ่มแล้ว ก็หลับปุ๋ยไป

ตอนเย็น หลานจื่อเฉินและหลานเสี่ยวถางกำลังพูดคุยกันอยู่ที่ชั้นลอยของบ้าน หลานจื่อเฉินก็กล่าวว่า : “พรุ่งนี้โอหยางจวิ้นจะเข้ามา เพียงแต่แค่เข้ามาหาหวันหว่าน พวกเขาก็รู้ดีว่าพวกเราค่อนข้างให้ความสำคัญกับเทศกาลปีใหม่ ดังนั้น จึงจะมารับหวันหว่านหลังจากผ่านเทศกาลโคมไฟไปแล้ว”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้า : “อืม อันที่จริงจะว่าไปแล้วพวกเขาก็ดีกับหวันหว่านไม่น้อย เพียงแต่วิธีการบางอย่าง…….”

เธอนึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงกล่าวถามว่า : “เออใช่ โอหยางจวิ้นไม่เคยมีคู่รักที่เหมาะสมเลยเหรอ? เขาคงไม่อยู่ตัวคนเดียวแบบนี้ตลอดไปหรอกใช่ไหม?”

หลานจื่อเฉินส่ายหน้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า : “ฉันเห็นว่าเขาอยู่ตัวคนเดียวมาได้สักพักแล้วจริงๆ! อันที่จริงตระกูลเพอร์เซลล์ก็ต้องการหาภรรยาที่คู่ควรให้เขามาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีคนไหนเหมาะสมเลย ช่วงก่อนมีผู้หญิงที่อายุใกล้เคียงกันคนหนึ่งจากตระกูลฟิลลิป พวกเขาต้อนรับขับสู้กันอย่างดี สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็ไปแต่งงานอย่างสายฟ้าแลบกับผู้ดีอังกฤษตอนที่ไปท่องเที่ยวที่นั่น ความคิดของพวกเขาจึงต้องสูญเปล่าไป…..”

หลานเสี่ยวถางฟังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ : “จะต้องเหมาะสมคู่ควรงั้นเหรอ? แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ?”

“ทางด้านตระกูลเพอร์เซลล์ล้วนเป็นคนหัวโบราณ พวกเขายอมขาดแคลนดีกว่ามีของที่ด้อยคุณภาพ ดังนั้น ฉันยังอยากจะร้องไห้แทนโอหยางจวิ้นเลย อีกอย่าง เหมือนว่าพวกเขาจะมีความเชื่อทางศาสนา จึงปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ดังนั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังเป็นชายบริสุทธิ์อยู่ก็ได้!” หันจื่อเฉินปิดปากแล้วหัวเราะ

หลานเสี่ยวถางหัวเราะตาม : “ไม่หรอกมั้ง? งั้นก็น่าตลกจริงๆ!” นึกอะไรขึ้นได้ เธอจึงหรี่ตามอง: “เสี่ยวเฉิน คุณพูดแต่เรื่องคนอื่น แล้วคุณล่ะ?”

“อะแฮ่ม——” หลานจื่อเฉินเขินอายเล็กน้อย : “ทำไมมาถึงตัวฉันได้ล่ะ?”

“งั้นคุณก็……” หลานเสี่ยวถางยิ้มอย่างชั่วร้าย

“พี่ คุณเรียนรู้ความชั่วร้ายมาจากพี่เขยเหรอ? หืม?” หลานจื่อเฉินยื่นมือไปจั๊กจี้หลานเสี่ยวถาง

หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะขดตัวลงไปบนพื้น : “เฮ้ย กล้ารังแกพี่สาวของคุณเหรอ?!”

“เอาล่ะๆ ฉันผิดไปแล้ว!” หลานจื่อเฉินยอมจำนน : “พี่ อันที่จริง ฉันมีคนที่ชอบแล้ว”

“ห๊ะ?!” ครั้งนี้หลานเสี่ยวถางตกใจจริงๆ เธอยังจำได้ว่าเมื่อสองสามเดือนก่อน หลานจื่อเฉินยังบอกอยู่เลยว่าตนเองอยากเที่ยวเล่นอีกสักสองสามปี

“เมื่อสามเดือนก่อน หลังจากที่พวกคุณไปได้ไม่นาน ฉันได้พบเธอตอนที่ออกไปเจรจาธุรกิจ” หลานจื่ออี้กล่าว : “ตอนนั้นฉันไปที่บราซิล คุณก็รู้ว่า ที่นั่นค่อนข้างโกลาหล คู่แข่งของฉันคาดไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือฆ่าฉัน ฉันได้รับบาดเจ็บ จึงหนีเข้าไปในป่าแห่งหนึ่ง แล้วถูกผู้หญิงคนหนึ่งช่วยชีวิตเอาไว้…….”

“แล้วตอนนี้บาดแผลของคุณไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?” หลานเสี่ยวถางมองหลานจื่อเฉินอย่างเป็นกังวล

“สบายใจได้ น้องชายคุณร่างกายแข็งแรงขนาดนี้ จะเป็นอะไรได้ยังไง?!” หลานจื่อเฉินเลิกคิ้ว : “ที่สำคัญ เธอเป็นคนชนผิวเหลือง อีกทั้งยังเหมือนกับคนทางตอนใต้ของประเทศจีนด้วย ฉันฟังสำเนียงแล้วก็ค่อนข้างเหมือน เพียงแต่ เธอน่าจะไปถ่ายรูปที่นั่น จากนั้นก็ช่วยชีวิตฉันเอาไว้โดยบังเอิญ”

“แล้วตอนนี้พวกคุณ……” หลานเสี่ยวถางกล่าว : “เธอยังไม่แต่งงานใช่ไหม? แค่ยังไม่แต่งงาน ก็ยังมีโอกาส!”

หลานจื่อเฉินพูดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย : “ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือ ฉันไม่รู้ช่องทางการติดต่อหรือชื่อของเธอโดยสิ้นเชิง เรื่องแต่งงานแล้วหรือยังยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย! วันนั้นที่เธอช่วยชีวิตฉัน ช่วยพันแผลให้ฉัน แล้วก็พาฉันไปส่งโรงพยาบาล แต่เมื่อฉันถามช่องทางการติดต่อเธอ เธอก็บอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วไม่ได้บอกอะไร จากนั้น จึงถือโอกาสตอนที่ฉันกำลังตรวจร่างกาย จากไปโดยไม่ร่ำลา!”

“ดังนั้น ตอนนี้ถึงคุณอยากจะตามหาก็คงหาไม่เจอใช่ไหม?” หลานเสี่ยวถางตบเบาๆที่ไหล่ของหลานจื่อเฉิน : “ทำไมเธอถึงไม่หลงใหลในรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของคุณ แล้วให้ช่องทางการติดต่อกับคุณโดยตรงนะ?”

หลานจื่อเฉินเบ้ปาก : “นี่แสดงให้เห็นว่าเธอรักนวลสงวนตัวอย่างมาก! พี่ คุณวางใจเถอะ ตอนนั้นฉันไม่มีลูกน้องในมือ จึงไม่สามารถหาเธอได้ทันเวลา เพียงแต่ ฉันเชื่อว่าฉันจะต้องได้พบเธออย่างแน่นอน!”

หยานชิงเจ๋อได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดีจริงๆ ชั่วขณะจึงตบๆไหล่ของฟู่สีเกอ : “คุณทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ?”

“sh*t——” ฟู่สีเกอเลิกคิ้ว : “โยวโยวของฉันสมัครใจเอง เหมือนคุณซะที่ไหนกัน ยังต้องออดอ้อนทำตัวให้น่ารักแสร้งทำเป็นน่าสงสาร……”

เขายังไม่ทันพูดจบ ก็รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่หยานชิงเจ๋อแผ่ซ่านออกมา ชั่วขณะก็วิ่งหนีหายวับไปกับตา

ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินมาว่า หยานชิงเจ๋อทุบตีลั่วฝานหวาจนต้องเข้าโรงพยาบาล!

ฟู่สีเกอเดินเข้าไปด้านใน ได้ยินเสียงของทุกคนที่ตื่นเต้นดีใจ ก็อดถามไม่ได้ : “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

“ลูกลืมตาแล้ว! เมื่อกี้หวันหว่านไปหอมแก้มพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็ลืมตาขึ้นมา!” เฉียวโยวโยวพูดอย่างตื่นเต้น : “ราวกับเจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิงจากความฝันที่หลับใหลเลย!”

“ฉันขอดูหน่อยสิ!” ฟู่สีเกอรีบก้มลงไปมองเด็กทั้งสองคน

“ทำไมถึงเป็นตาชั้นเดียว……” เขาพูดอย่างกระวนกระวายใจเล็กน้อย : “ดวงตาก็เล็กไปหน่อยด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอก เด็กแรกเกิดก็เป็นอย่างนี้แหละ” หลานเสี่ยวถางกล่าว : “หวันหว่านของฉันก็ใช้เวลาเกือบสองสามเดือนกว่าจะเป็นตาสองชั้น”

“สีเย็น รีบอุ้มลูกมาให้ฉันดูหน่อยสิ!” เฉียวโยวโยวร้อนใจ

ด้วยเหตุนี้ หลานเสี่ยวถางจึงเข้าไปช่วย ฟู่สีเกอนำเด็กตัวน้อยทั้งสองคนไปวางข้างๆเฉียวโยวโยว

เฉียวโยวโยวเห็นลูกทั้งสองคนของตนเอง แล้วก็มองไปที่หวันหว่านในอ้อมแขนของสือมูเฉินอีกครั้ง ชั่วขณะก็ตาแดงขึ้นมา : “สีเย็น ทำไมลูกเราถึงได้น่าเกลียดกว่าหวันหว่านขนาดนี้เลยล่ะ! เมื่อกี้คุณยังเพิ่งจะบอกว่าน่ารักอยู่เลย โกหกฉันเหรอ!”

“ลูกน่าเกลียดเหลือเกิน ฉันไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว……” เฉียวโยวโยวพูดจบ น้ำตาก็ไหลออกมา

“โยโย่!” เมิ่งซินหรุ่ยรีบเดินเข้าไป : “เด็กเพิ่งเกิดก็น่าเกลียดเหมือนกันหมดนั่นแหละ คุณไม่เคยเห็นสีเย็นของฉันตอนที่เพิ่งจะเกิดมา! คนอื่นเห็นก็ถามกันทั้งนั้น ว่าคุณเอาลิงที่ไหนมาเลี้ยง รับเลี้ยงลิงเป็นลูกเหรอ?”

เฉียวโยวโยวได้ฟังคำนี้ ก็ตกตะลึงมองไปที่ฟู่สีเกอที่หน้าตาหล่อเหลาในเวลานี้

เมิ่งซินหรุ่ยพูดต่อว่า : “ตอนนั้น ฉันได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะบอกกับคนอื่นไปว่าเก็บมาจากกองขยะ จึงได้น่าเกลียดขนาดนั้น!”

“แม่?!” ฟู่สีเกอทนฟังต่อไปไม่ไหว : เมื่อก่อนคุณเคยบอกว่าตอนเด็กๆฉันหน้าตาน่ารักใครเห็นก็ชอบ ทุกๆครั้งที่หมอของโรงพยาบาลมาตรวจก็จะหาโอกาสมาหยอกล้อกับฉันตลอด!”

“นี่ไม่ใช่ว่าปลอบใจคุณหรอกเหรอ?! อีกอย่างมันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญด้วยจริงไหม?!” เมิ่งซินหรุ่ยขยิบตาให้ฟู่สีเกอจากมุมที่เฉียวโยวโยวมองไม่เห็น จากนั้นก็หันไปพูดกับเฉียวโยวโยวว่า : “โยโย่ คุณดูสิ สีเย็นของฉันตอนเด็กๆน่าเกลียดขนาดนั้น ตอนนี้เขาดูดีแล้วไม่ใช่เหรอ? ฉะนั้นอย่ากังวลไปเลย รออีกหน่อยเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนของพวกเราจะต้องสวยหล่อยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน!”

เฉียวโยวโยวถูกปลอบใจอย่างนี้ ชั่วขณะก็หยุดร้องไห้ เธอเช็ดน้ำตาอย่างเขินอาย แล้วมองไปที่ลูกทั้งสองคน

ดูเหมือนว่าหลังจากที่ถูกปลอบใจแบบนี้แล้ว เธอก็รู้สึกว่าลูกก็ไม่ได้น่าเกลียดขนาดนั้น……

เวลานี้เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนหลับตาอยู่ จากนั้นภายใต้การจ้องมองของเฉียวโยวโยว จู่ๆเด็กผู้ชายก็หน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา แล้วก็ร้องไห้เสียงดังไปทั่วทั้งห้อง!

ตลอดการร้องไห้ของเขา ดูเหมือนจะเป็นการปลุกเด็กผู้หญิงให้ตื่นขึ้นมา เธอหลับตาแล้วก็ร้องไห้ตาม เพียงแต่ว่าเสียงไม่ได้ดังขนาดนั้น

“ลูกน่าจะหิวแน่ๆเลย” เมิ่งซินหรุ่ยกล่าว : “โยโย่ คุณลองป้อนนมพวกเขาดูสิ!”

เฉียวโยวโยวพยักหน้าทันที

และฟู่สีเกอ ก็รีบพาทุกคนออกมาจากในห้อง

เด็กสามารถป้อนนมได้ทีละคนเท่านั้น เฉียวโยวโยวถนัดข้างขวา ด้วยเหตุนี้ จึงป้อนนมลูกผู้หญิงทางด้านขวาก่อน

เด็กน้อยดูดสองสามที ในที่สุดน้ำนมก็ออกมา จากนั้นเธอก็กินอย่างมีความสุข

ลูกผู้ชายที่ร้องไห้อยู่สองสามครั้งแต่ไม่ได้กินอะไร หลังจากเงียบไปสองสามวินาที ก็ยิ่งร้องไห้เสียงดังขึ้นไปอีก

เฉียวโยวโยวตกใจ : “แย่แล้ว ฉันว่าเขาต้องหิวมากๆเลยนะ?”

“มิเช่นนั้นก็ป้อนคนละสองสามคำดีไหม?” ฟู่สีเกอแนะนำ

ด้วยเหตุนี้จึงอุ้มเด็กผู้หญิงขึ้นมา แล้วนำเด็กผู้ชายวางไว้ข้างๆเฉียวโยวโยว

ฉับพลันพี่ชายตัวน้อยก็ดูดนมแรงกว่าน้องสาวอีก เฉียวโยวโยวถูกดูดอย่างแรงจนเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นมา น้ำตาคลอมองฟู่สีเกออย่างน่าสงสาร

และเวลานี้ เด็กผู้หญิงที่กินไปได้ไม่กี่คำก็ถูกแย่งไป ชั่วขณะก็ไม่ยอม เธอเริ่มร้องไห้ขึ้นมา ถึงแม้เสียงจะไม่ได้ดังมาก แต่ก็ทำให้คนรู้สึกใจแข็งไม่พอ ราวกับว่าทุกๆคนทำสิ่งที่โหดร้ายลงไป

เวลานี้เฉียวโยวโยวก็นึกอะไรขึ้นได้ : “สีเย็น คุณรีบไปตามเสี่ยวถาง ให้เธอช่วยป้อนนมหน่อย เพื่อเป็นการยืดเวลาออกไป”

เมื่อฟู่สีเกอได้ฟังก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่ดี จึงอุ้มเด็กผู้หญิงที่กำลังร้องไห้ออกไป : “เสี่ยวถาง ช่วยป้อนนมหน่อยสิ ยืดเวลาออกไปหน่อย เรากำลังป้อนนมอีกคนอยู่ข้างใน อีกสักพักจะมาเปลี่ยน!”

หลานเสี่ยวถางเห็นท่าทีที่ร้อนใจของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เธอรับเด็กมา กำลังจะไปที่มุมห้องเพื่อป้อนนม สือมูเฉินก็พูดขึ้นว่า : “สีเกอ เด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง?”

ฟู่สีเกอพูดว่า : “เหมือนจะเป็นเด็กผู้หญิงนะ”

“อืม ฉันแค่ตรวจสอบดูเล็กน้อย” สือมูเฉินกล่าว : “เสี่ยวถางของฉันจะป้อนนมเด็กผู้ชายไม่ได้”

หยานชิงเจ๋อพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลย : “แม้แต่เด็กแรกเกิดก็หึงหวงเหรอ!”

สือมูเฉินได้ฟัง ก็เลิกคิ้วแล้วพูดว่า : “ดังนั้นเสี่ยวจิ่นของคุณสามารถทำได้ใช่ไหม?”

หยานชิงเจ๋อคิดๆแล้ว ก็รีบกางแขนปกป้องซูสือจิ่น เชอะ คนของเขา แน่นอนว่าไม่สามารถให้ใครมาแตะต้องได้ ต่อให้เป็นเด็กผู้ชายก็ไม่ได้!

เพราะคนเยอะแยะ ฉะนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอาหารการกินเลย

ในห้องชุดของโรงพยาบาลมีเตาแก๊สแค่เตาเดียว เมิ่งซินหรุ่ยจึงใช้มันต้มซุปเรียกน้ำนม ส่วนอาหารมื้ออื่นๆของเฉียวโยวโยว ล้วนเป็นฝีมือของแม่เฉียวโยวโยว

หลังจากลูกทั้งสองกินนมเสร็จแล้ว ก็หลับลงอย่างสงบ เพียงแต่ ระหว่างนั้นตอนที่ปวดปัสสาวะหรือปวดอึ ก็จะร้องเบาๆเล็กน้อย

วันที่ 4เฉียวโยวโยวออกจากโรงพยาบาลตอนบ่าย

หลังจากมาถึงบ้าน เจ้าตัวน้อยทั้งสองก็ถูกวางลงในห้องเด็กทารกที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้วโดยตรง ในที่สุดก็หลับไปอย่างสบายใจ

เมื่อตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็มืดแล้ว น้ำนมของเฉียวโยวโยวก็ค่อยๆดีขึ้น ในที่สุดก็สามารถป้อนลูกๆได้จนอิ่ม

เธอเพิ่งหยอกล้อกับคนหนึ่งเสร็จไป ก็อุ้มอีกคนหนึ่งขึ้นมา นึกอะไรบางอย่างได้ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวกับฟู่สีเกอว่า : “สีเย็น คุณพูดมาตลอดว่าจะตั้งชื่อ ตอนนี้ลูกคลอดมาได้สองสามวันแล้วนะ ตกลงคุณตั้งชื่อได้หรือยัง?”

ฟู่สีเกอพยักหน้า : “อืม ชื่อจริงของลูกชายตั้งได้แล้ว ส่วนลูกสาวยังคิดไม่ออกเลย”

เขาพูดพลางหยิบมือถือขึ้นมา แล้วพิมพ์สามตัวอักษร : ฟู่ยวี่เฉิน

“ก็ไม่เลวนะ” เฉียวโยวโยวกล่าว : “ถ้าลูกสาวก็ชื่อฟู่ยวี่เหมือนกันล่ะก็ ต่อไป……”

เธอค่อนข้างกลุ้มใจ คิดอยู่เป็นเวลานาน จู่ๆก็ตาเป็นประกาย: “ไม่อย่างนั้น ก็ชื่อฟู่หยู่ปิงแล้วกัน! หยู่กับยวี่ออกเสียงใกล้เคียงกัน จากนั้นก็ดึงมาจากสำนวนที่ว่าแมลงหน้าร้อนมิอาจคุยเรื่องน้ำแข็งได้เพราะข้อจำกัดของเวลา ดังนั้นฉันจึงหวังว่าลูกของเราจะได้พบเจอความรู้ความสามารถที่หลากหลาย คุณคิดว่าเป็นยังไง?”

ฟู่สีเกอคิดเล็กน้อย : “ไม่เลวนะ ยัยโง่โยว มีความรู้ดีจัง! งั้นก็ตัดสินใจเลย! วันหลังฉันจะไปลงทะเบียนสำมะโนครัวให้พวกเขา!”

“เออใช่ แล้วจะตั้งชื่อเล่นไหม?” เฉียวโยวโยวกล่าวถาม

“เรื่องนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วง แม่ของฉันถนัดที่สุดแล้ว!” ฟู่สีเกอพูดพลาง ออกไปเรียกเมิ่งซินหรุ่ย : “แม่ พวกเราตั้งชื่อจริงให้ลูกแล้ว แต่ชื่อเล่น…….”

พูดพลาง เขียนชื่อจริง แล้วส่งให้

เมิ่งซินหรุ่นมองดูแล้วก็กล่าวว่า : “โอ้ ไม่เลวเลย ส่วนชื่อเล่น——”

เธอเดินไปยังข้างเตียงของเฉียวโยวโยว มองเจ้าตัวแสบที่อยู่ในอ้อมแขนของเฉียวโยวโยว คิดๆแล้วจึงกล่าวว่า : “ลูกชายก็ชื่อหรงฉิว (ลูกบอลปอมปอม) ก็แล้วกัน!”

เฉียวโยวโยวก้มหน้ามอง ใบหน้าเด็กน้อยที่กำลังกินนมที่แทบจะติดกับหน้าอกของเธอ เหลือเพียงผมบนศีรษะที่ฟูๆ ตอนที่เจ้าตัวน้อยเพิ่งคลอดออกมายังมีรอยย่นเต็มไปหมด แต่นี่เพิ่งผ่านไปสองสามวัน ก็มีเนื้อมีหนังชัดเจน ผิวหนังก็เรียบเนียนแล้ว ดูดีขึ้นไม่น้อยเลย

พอมองแล้ว ก็เหมือนกับลูกบอลปอมปอมจริงๆ

“โอเค งั้นก็ชื่อหรงฉิว!” ฟู่สีเกอกล่าว : “แล้วหยู่ปิงล่ะ?”

“ชื่อถางเป่าแล้วกัน!” เมิ่งซินหรุ่ยพูดพลาง อุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมาจูบทีหนึ่ง : “ช่างเหมือนเจ้าหนอนน้อยน่ารักในละครทีวีจริงๆเลย!”

เหมือนหนอนงั้นเหรอ? เฉียวโยวโยวมองไปยังลูกน้อยที่พูดไม่ได้ แล้วก็ไม่เข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่ แล้วอยากจะรับรู้ความคิดของลูกอย่างมาก

เพียงแต่ ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังคงตั้งชื่อตามนี้

ด้วยเหตุนี้ ฟู่สีเกอจึงโทรศัพท์ไปแจ้งให้ทราบทีละคน เพื่อโอ้อวดอีกครั้ง

ในกลุ่ม สือมูเฉินกล่าวกับหยานชิงเจ๋อว่า : “ชิงเจ๋อ ต้องการท้าประลองแฝดสามสักหน่อยไหม? เพื่อทำลายความอวดดีของคนบางคน?”

หยานชิงเจ๋อตอบกลับ : “มูเฉิน นี่อาจจะเป็นไปได้ หรือว่าพวกเราจะร่วมมือกัน?”

“คุณคิดว่ากลุ่มของพวกคุณจะเหนือกว่าฉันงั้นเหรอ?” ฟู่สีเกออวดดี : “พวกเราจะคอยดู!”

อยู่เดือนพักฟื้นเป็นเวลาหนึ่งเดือน เฉียวโยวโยวก็อึดอัดจนแทบบ้า ในที่สุดก็อดทนอดกลั้น จนมาถึงช่วงเวลาของปีใหม่

วันนี้ เมิ่งซินหรุ่ยบอกว่า ออกเดือนแล้ว ต้องพาพวกเด็กๆกลับไปเล่นกับพวกเขานะ ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงจัดเตรียมข้าวของ แล้วไปหาเมิ่งซินหรุ่ย

เพราะมีคนจำนวนมาก การเคลื่อนไหวเข้าออกจึงมีไม่น้อย ดังนั้น เสียงจึงไปรบกวนคุณนายจางที่อยู่ข้างบ้าน

ก่อนหน้านี้ เรื่องที่ลูกชายของเมิ่งซินหรุ่ยแต่งงานแล้ว และลูกสะใภ้ตั้งท้อง คุณนายจางก็รู้ดี

ต่อมา เธอก็เคยถามเมิ่งซินหรุ่ยอยู่สองสามครั้งว่า เด็กคลอดออกมาแล้วหรือยัง เมิ่งซินหรุ่ยก็บอกว่ายัง จนกระทั่ง ครั้งนั้นเมิ่งซินหรุ่ยได้โพสต์ไปในวีแชตโมเมนต์

แต่เธอเห็นว่า ในวีแชตโมเมนต์มีคนจำนวนมากที่เข้าไปคอมเมนต์ ถามถึงเพศของเด็ก แต่เมิ่งซินหรุ่ยก็ไม่ได้บอก

คุณนายจางจึงมั่นใจได้ทันทีว่า ครอบครัวของพวกเขาจะต้องเป็นเด็กผู้หญิงอย่างแน่นอน!

แล้วนี่จะมาเทียบกับหลานชายทั้งสองของตนเองได้อย่างไร? ดังนั้น คุณนายจางจึงกระหยิ่มยิ้มย่อง รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที

วันนี้ ได้ยินการเคลื่อนไหวของเมิ่งซินหรุ่ย ด้วยเหตุนี้ เธอจึงหยิบผลไม้จากในบ้าน จากนั้น ก็ถืออาหารบำรุงร่างกายอีกเล็กน้อย แล้วมาเคาะประตูบ้านตระกูลฟู่

อย่างรวดเร็วเมิ่งซินหรุ่ยก็เปิดประตู เห็นว่าเป็นคุณนายจาง ด้วยเหตุนี้จึงยิ้มแล้วเชิญเข้าบ้านด้วยไมตรีจิต

“คุณนายเมิ่ง ได้ข่าวว่าลูกสะใภ้คุณคลอดลูกแล้วเหรอ?” คุณนายจางนำของฝากวางลง แล้วกวาดสายตามองไปในห้องรับแขก รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทำไมถึงไม่เห็นใครเลยล่ะ?

“อืม คลอดแล้ว เพิ่งคลอดได้เดือนหนึ่ง มานั่งก่อนสิ” เมิ่งซินหรุ่ยมองไปยังอาหารบำรุงเหล่านั้น: “คุณนายจาง คุณเกรงใจเกินไปแล้ว เอาของมาทำไมกัน?”

“นี่ไม่ให้ลูกสะใภ้บำรุงหรือไงล่ะ?” คุณนายจางอดไม่ได้ที่จะถามเรื่องที่อยากรู้อยากเห็นที่สุด: “เออใช่ หลานของคุณเป็นหลานชายหรือหลานสาวเหรอ?”

เมิ่งซินหรุ่ยยังไม่ทันได้ตอบกลับ ฟู่สีเกอก็อุ้มถางเป่าออกมา

เขากล่าวทักทายกับคุณนายจาง จากนั้น ก็นำถางเป่าเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย แล้วกล่าวกับคุณนายจางว่า : “คุณน้าจาง นี่คือลูกสาวของฉันถางเป่า”

เป็นผู้หญิงจริงๆ! ในใจของคุณนายจางเหมือนกับดอกไม้ที่เบ่งบาน ในแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม: “ถางเป่าน่ารักจริงๆ! มา ย่าจางจะให้อั่งเป่าคุณนะ!” พูดพลาง หยิบอั่งเป่าที่เตรียมมาแล้วออกมา

“ไม่ต้องหรอกครับ คุณน้าจาง นี่จะมาเกรงใจอะไรกัน?” ฟู่สีเกอแสร้งทำเป็นไม่รับ

“นี่ให้เด็กน่ะ สาวน้อยคนนี้น่ารักมาก ไม่เหมือนกับเจ้าสองหนุ่มของพวกเรา ซนจะตาย!” คุณนายจางแสร้งทำเป็นตำหนิ

เพียงแต่ เธอเพิ่งจะส่งอั่งเปาให้ถางเป่าไปเมื่อกี้ เฉียวโยวโยวก็อุ้มหรงฉิวเดินออกมา : “คุณน้าจาง ขอบคุณนะคะ! นี่คือลูกชายคนโตของพวกเราค่ะ……”

ฟู่สีเกอได้ยินคำพูดของเมิ่งซินหรุ่ยแล้ว อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “แม่ครับ ตอนนี้แม่กลับไปตุ๋นน้ำแกงก่อนหรือจะไม่รอเยี่ยมหลานชายหลานสาวของคุณแม่แล้วหรือครับ?”

เมิ่งซินหรุ่ยตบเบา ๆ เข้าที่ทรวงอกไปหนหนึ่ง “ดูฉันสิ โง่จริง ๆ เลยนะ ตอนนี้จะไปได้อย่างไรกันล่ะ! ฉันยังไม่ได้เห็นพวกเจ้าตัวน้อยของฉันเลยนะ!”

พูดไป เธอก็หวนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะเริ่มฮัมเพลงออกมา เมื่อเห็นสีหน้าขึงขังของฟู่ซื่อหนิงแล้ว เมิ่งซินหรุ่ยจึงตีเขาเบา ๆ ไปครั้งหนึ่ง “เหล่าฟู่ ประเดี๋ยวก็เจอเด็กแล้ว ต้องยิ้มนะคะรู้ไหม? ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วเจ้าตัวน้อยจะต้องตกใจคุณจนร้องไห้งอแงแน่!”

ฟู่ซื่อหนิงได้ยินแล้ว ดังนั้นจึงรีบยกยิ้มขึ้นมาทันที แต่ทว่าเป็นรอยยิ้มที่แข็งกระด้างแทน

“ยิ้มให้เห็นฟันทั้งแปดซี่สิคะ!” เมิ่งซินหรุ่ยเอ่ยชี้แนะ “จินตนาการว่าคุณกำลังกัดตะเกียบเอาไว้ด้ามหนึ่งอยู่! ธรรมชาติหน่อยสิคะ!”

หลานเสี่ยวถางเห็นดังนั้นแล้ว อันที่จริงก็อดใจเอาไว้ไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงเดินเข้าไปเอ่ยว่า “คุณลุง คุณป้าคะ อันที่จริงแล้วในตอนที่เจ้าตัวน้อยพึ่งคลอดออกมา สายตาก็มองอะไรไม่ชัดเจนนักหรอกค่ะ ดังนั้นแล้วสีหน้าแบบไหนก็ไม่เป็นไรเลยค่ะ เด็กน้อยสามารถรู้สึกได้ถึงบรรยากาศว่าดีหรือไม่ดีของทุกคนได้ค่ะ ดังนั้นแล้ว พวกเขาจะเป็นคนตัดสินเอง”

ฟู่ซื่อหนิงได้ยินดังนั้นแล้ว จึงจ้องเขม็งไปที่เมิ่งซินหรุ่ยครั้งหนึ่งทันที “ผมว่านะครับ สีหน้าของผมเป็นอย่างไร หลานชายหลานสาวของผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ!”

“เชอะ!” เมิ่งซินหรุ่ยไม่ยอม “ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยวมาแข่งกันสักตั้ง พวกเจ้าตัวน้อยจะชอบฉันมากกว่า หรือจะชอบคุณ!”

ทั้งสองคนกำลังถกเถียงกันไปมาอยู่ ประตูห้องก็เปิดออกมาแล้ว เป็นพยาบาลที่เดินออกมาเอ่ยว่า “ทุกท่านคงจะเป็นญาติของคุณเฉียวโยวโยวใช่ไหมคะ? สถานการณ์ของคุณแม่และเด็กดีมากเลยค่ะ พวกเราจะเข็นพวกเขาออกมาแล้วนะคะ!”

พูดไป ด้านในก็มีพยาบาลสองคนกำลังเข็นเฉียวโยวโยวออกมาแล้ว ทางด้านหลัง มีรถทารกสองคัน ด้านในวางเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนเอาไว้อยู่

ฟู่สีเกอพุ่งเข้าไปก่อน “คุณโยวคนเก่ง ลำบากแล้วนะครับ!”

เฉียวโยวโยวช้อนสายตาที่ดูแล้วน่าเวทนามองฟู่สีเกอ “เมื่อกี้นี้ฉันตื่นเต้นจะตายอยู่แล้วค่ะ หลังจากนี้ฉันจะไม่ตั้งท้องเจ้าตัวน้อยแล้วนะคะ ตื่นเต้นมากกว่าคะแนนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับชาติออกอีก!”

“ครับ ครับ หลังจากนี้ไม่ตั้งครรภ์แล้ว!” ฟู่สีเกอบีบมือของเธอเอาไว้ “บาดแผลยังเจ็บอยู่ไหมครับ ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

“ยังโอเคอยู่ค่ะ มียาแก้ปวดอยู่ ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกมากขนาดนั้นค่ะ” เฉียวโยวโยวเอ่ย “คุณรีบเข้าไปดูเร็วว่าเจ้าตัวน้อยหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง? จะน่าเกลียดไหมคะ เมื่อครู่นี้ฉันมองไม่ชัดนัก เห็นแต่ก้นเล็ก ๆ ของพวกเขา”

ฟู่สีเกอรีบพยักหน้าทันที ก่อนจะเดินไปที่รถเข็นทารกที่อยู่ทางด้านหลัง

ในตอนนั้นเอง เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนกำลังหลับตาพริ้ม แทบจะหลับกับอย่างสนิทเลยทีเดียว

เพียงแต่ ผิวของเด็กน้อยทั้งสองคนนั้นมีรอยยับเล็กน้อย สีก็ออกแดงนิดหน่อย แทบจะเป็นสีไม่ต่างจากหวันหว่านเลย……

ฟู่สีเกอเพื่อให้เฉียวโยวโยววางใจ ดังนั้นจึงรีบเดินไปเอ่ยว่า “วางใจเถอะครับ คุณโยวคนเก่ง เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนงดงามมาก! มียีนของพวกเราอยู่ จะแย่ได้อย่างไรครับ!”

เฉียวโยวโยวได้ยินดังนั้นแล้ว ก็ถือว่าวางใจลงแล้ว “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากเลย! อันที่จริงแล้วในตอนที่ฉันกำลังผ่าตัดอยู่ ตอนแรกเริ่มฉันนั้นสงสัยเพศของพวกเขามากเลย แต่ทว่ามาจนถึงในตอนท้ายแล้ว ภายในหัวใจก็มีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือหวังว่าพวกเขาจะสมบูรณ์แข็งแรง!”

ฟู่สีเกอสามารถเข้าอดเข้าใจความรู้สึกของเฉียวโยวโยวในตอนนี้ได้

เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในตอนที่ตั้งครรภ์อยู่ อยากที่จะทราบเพศของเด็กมากจริง ๆ แต่ทว่า ในตอนที่เฉียวโยวโยวนั้นถูกเข็นเข้าในไปห้องผ่าตัดตอนนั้นเอง เขาก็ต้องการเพียงแค่ขอให้พวกเขาออกมากันอย่างปลอดภัยเท่านั้น

อันที่จริงแล้วจะลูกชายหรือลูกสาว ล้วนแล้วแต่ได้ทั้งหมดเลย ถึงแม้ว่ามารดานั้นอยากที่จะได้ครรภ์แฝดชายหญิงมาก แต่ทว่า ถึงแม้จะเป็นเด็กชายทั้งสองคนหรือเด็กหญิงทั้งสองคน เขานั้นล้วนแล้วแต่ดีใจทั้งสิ้น ขอเพียงแค่พวกเขาปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว!

เมิ่งซินหรุ่ยในตอนนี้เองก็ชะโงกหน้าเข้าไปทางด้านหน้าของเฉียวโยวโยว หลังจากนั้น ในทุกสายตาของทุกคน เธอย่อตัวลง ก่อนจะจุ๊บเฉียวโยวโยวหนึ่งที เสียงใสดังก้องกังวาน

“คุณแม่ครับ แม่ทำอะไรน่ะ?” ฟู่สีเกอเอ่ยถาม

“โยโย่ของฉันคลอดเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยให้ตั้งสองคน ลำบากแล้วล่ะ! ฉันแลกไปจุ๊บหนึ่ง มันเกี่ยวอะไรกับแก?!” เมิ่งซินหรุ่ยพูดไป ก่อนจะเดินไปที่รถทารกที่อยู่ทางด้านนั้น ก่อนจะก้มหน้าลงไปจุ๊บเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยกันคนละจุ๊บ

พยาบาลที่อยู่ทางด้านข้างล้วนแล้วแต่หัวเราะ หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า “เอาละค่ะ พวกเราควรไปที่ห้องพักผู้ป่วยกันได้แล้วค่ะ”

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทุกคนจึงเดินจูงมือถือแขนกันไปที่ห้องเดี่ยว

เฉียวโยวโยวถึงแม้ว่าจะไม่ได้สติมากเท่าใดนัก แต่ทว่า ยังคงมีท่าทางห่วงเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนอยู่ดี เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงหันไปเอ่ยกับฟู่สีเกอว่า “สีเย็นคะ รีบไปอุ้มเจ้าตัวน้อยมาให้ฉันดูเร็ว!”

ฟู่สีเกอถึงแม้ว่าจะเคยทดลองอุ้มหวันหว่านมาแล้วว่าควรที่จะอุ้มเด็กเล็กอย่างไร แต่ทว่า เด็กพึ่งจะคลอดออกมาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง อีกทั้งเดิมทีเขานั้นก็ไม่กล้าที่จะแตะเลยเสียด้วยซ้ำ

เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิม สีหน้ายากลำบาก “คุณภรรยาครับ ผมไม่รู้ว่าจะอุ้มอย่างไรนะ!”

“สีเย็นคนโง่!” ในที่สุดเฉียวโยวโยวก็ตอบกลับไปหนึ่งประโยค ใครใช้ให้เขาเรียกเธอว่าคุณโยวคนโง่กันล่ะ!

ฟู่สีเกอยืนอยู่ตรงนี้ ไร้หนทางที่จะอธิบายต่อ ท่าทางราวกับถูกรังแก

ทางด้านข้าง สือมูเฉินหัวเราะ “สีเกอ ดูท่าแล้วสามารถทำครรภ์แฝดชายหญิงได้ ส่วนจะเลี้ยงได้ไหมนั้นก็บอกไม่ได้แล้วสินะ!”

หยานชิงเจ๋อเองก็ริบเข้ามาทิ้งหินลงบ่อทับทมในทันทีว่า “ใช่ครับผม ผมดูแล้วพี่สีเกอแม้กระทั่งตัวเองยังเลี้ยงดูได้ไม่ดีเลย หลังจากนี้เด็กน้อยทั้งสองคน ทรงผมและสารรูปของเขาจะต้องเละเทะแน่ ๆ! กลับไปก็ไม่รู้ว่าจะสามารถกลับไปเป็นผู้ชายหล่อเหลามีสไตล์อย่างแต่ก่อนได้หรือเปล่าก็ไม่รู้เนอะ!”

พวกเขากลับกล้าที่จะเหยียดหยามเขาอย่างนั้นหรือ?!

ฟู่สีเกอกำลังจะเถียงกลับไป จู๋ ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หลังจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพของเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนเอาไว้หนึ่งภาพ หลังจากนั้น ก็โพสต์ลงในโมเมนต์วีแชท “ช่วยไม่ได้ พันธุ์ดี ครั้งเดียวติดสอง อีกทั้งยังคนละเพศอีกด้วย! แต่ว่านะเป็นนี่ครั้งแรกที่ได้เป็นพ่อคน มีบางจุดที่ยังไม่รู้มากพอ กลับถูกคนที่เชิญมาช่วยรังแกเสียนี่!”

ในตอนที่โพสต์ไปแล้ว อีกทั้งยังจงใจแท็กสือมูเฉินกับหยานชิงเจ๋ออีกด้วย

เขาหันไปเลิกคิ้วใส่ทั้งสองคน หึ ไม่ว่าเขาจะเป็นได้ดีหรือไม่ดี กลับกัน การทำให้ตั้งท้องลูกในครั้งนี้ เขานั้นวิ่งชนะเข้าถึงเส้นชัยไปแล้วเรียบร้อย!

เขาไม่เชื่อ กลับไปถ้าหากว่าสือมูเฉินจะตั้งครรภ์ครั้งที่สอง หรือว่ากลับไปหยานชิงเจ๋อจะทำให้ซูสือจิ่นตั้งครรภ์ พวกเขานั้นจะสามารถมีครรภ์แฝดชายหญิงได้!

ในตอนนั้นเอง หมอนวดน้ำนมที่ฟู่สีเกอได้ติดต่อเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็มาถึงแล้ว เป็นเพราะว่าเฉียวโยวโยวคลอดก่อนกำหนด ตอนนี้ก็ยังน้ำนมไม่ไหล ดังนั้นแล้ว เมิ่งซินหรุ่ยเห็นดังนั้นแล้ว จึงรีบให้ทุกคนออกไปกันให้หมด เหลือเพียงแค่ตนเองและฟู่สีเกอเท่านั้นภายในตัวห้อง

“อาจจะเจ็บนิดหน่อยนะจ๊ะ คุณผู้หญิงอดทนหน่อยนะ!” หมอนวดน้ำนมหันไปเอ่ยกับเฉียวโยวโยว

เฉียวโยวโยวพยักหน้า กำลังตื่นเต้น มือก็ถูกฟู่สีเกอคว้าจับเอาไว้แล้ว “คุณโยวคนโง่ครับ ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง!”

เฉียวโยวโยวรู้สึกหัวใจอบอุ่น เดิมกังวลใจว่าเธอคลอดลูกออกมาแล้ว ทุกคนจะไปดูลูกกันหมด และมีความคิดว่าจะไม่สนใจตนเองกัน ทันใดนั้นเองความคิดนั้นก็มลายหายไปดังหมอกควันทันที

นวดเปิดน้ำนมนั้นเจ็บมากจริง ๆ แต่ทว่าก็ยังดีนะ นวดกดลงไปที่กี่จุดเท่านั้น เฉียวโยวโยวก็ค่อย ๆ คลายตัวขึ้น ในตอนที่กำลังผ่อนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่งนั้นเอง ก็มองเห็นใบหน้าที่บานใหญ่ใบหน้าหนึ่งแล้ว

ตามต่อมาด้วย จูบชื้นแฉะเล็กน้อยที่ประทับลงบนดวงตาของเธอ จูบลงบนขนตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเล็กน้อย

“ยังเจ็บอยู่ไหมครับ?” น้ำเสียงอ่อนโยนของฟู่สีเกอสามารถทำให้กกหูตั้งครรภ์ได้เลย

“ไม่แล้วค่ะ” อันที่จริงแล้ว ในทุกครั้งที่เขาเยาะเย้ย เธอนั้นยังสามารถโต้เถียงเขาเอ่ยออกมาได้อีกสองสามประโยค แต่ทว่า เมื่อเห็นสีหน้าเข้ม ๆ ของเขาแล้ว เฉียวโยวโยวก็รู้สึกว่าอดที่จะหาเรื่องทะเลาะด้วยไม่ได้เล็กน้อย ทันใดนั้นเอง แม้กระทั่งใบหูก็ขึ้นสีแดงไปหมดแล้ว

ภายในตัวห้อง ทั้งสองคนนั้นเธอคำฉันคำ ส่วนเมิ่งซินหรุ่ยนั้น เธอเองก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูภาพถ่ายของเจ้าตุ๊กตาตัวน้อยทั้งสองคน

ฟู่สีเกอทะเลาะหยอกล้อกับเฉียวโยวโยวเสร็จแล้ว เขาพึ่งจะยืดตัวขึ้นเมื่อครู่นี้เอง ก็มองเห็นมารดาของตนเองกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว จึงชะโงกหน้าเข้าไปหาครั้งหนึ่ง “นี่ โพสต์ลงในโมเมนต์วีแชทเหมือนกันหรือครับ!”

เมิ่งซินหรุ่ยหน้าแดงก่ำ “ฉันไม่ได้ขี้คุยเหมือนแกเสียหน่อย ที่ฉันถ่ายก็เป็นเพียงแค่ภาพเงาของเตียงทารกภาพหนึ่งก็เท่านั้น”

ฟู่สีเกอแย่งโทรศัพท์มือถือไปดู มารดาที่ปกติแล้วจะต้องคุยโวโอ้อวดวันนี้กลับไม่ได้ขี้คุยแล้วจริง ๆ ไม่ใช่นิสัยในยามปกติของเธอเลยจริง ๆ

เห็นเพียงแค่เมิ่งซินหรุ่ยที่โพสต์ภาพถ่ายเลือนรางของเตียงทารกภาพหนึ่งเท่านั้น เป็นเพราะว่าเลือนรางไม่ชัดเจน แม้กระทั่งที่ด้านบนนั้นมีเจ้าตัวน้อยหนึ่งคนหรือว่าสองคนก็มองไม่ออก

ส่วนความคิดเห็นนั้น ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คำเท่านั้นว่า “ฉันเป็นคุณย่าแล้วนะ”

“แม่ครับ นี่คืออะไรครับเนี่ย?” ฟู่สีเกอสงสัย “ปกติไม่ได้อยากที่จะเอาชนะคุณนายจางที่อยู่บ้านข้าง ๆ หรอกหรือไงครับ อีกทั้งยังมีพวกคุณแม่ ๆ ในเขตเล็ก ๆ นั้นอีก? โอกาสดีขนาดนี้เลยนะครับ!”

“แกจะเข้าใจอะไร?!” เมิ่งซินหรุ่ยเหลือบตามองบนใส่ฟู่สีเกอไปหนึ่งหน “ช่วงนี้ฉันพึ่งจะเรียนคำศัพท์ใหม่มาหนึ่งคำ เรียกว่าสวนกระแส! ที่ฉันต้องการก็แค่เริ่มจงใจไม่คุยโวต่างหาก รอให้ถึงตอนที่ทุกคนคิดว่าฉันไม่ไหวแล้ว ฉันก็ค่อยอุ้มเจ้าตัวน้อยของฉันทั้งสอง แล้วไปอวดให้พวกสุนัขตาทองพวกนั้นดูต่างหาก!”

ทันใดนั้นเอง แม้กระทั่งเฉียวโยวโยวที่อยู่บนเตียงก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

แต่ทว่า เมื่อหัวเราะแล้วกลับดันไปกระทบบาดแผลเข้า ทันใดนั้นเองก็ขมวดคิ้วแน่นทันที ก่อนจะอดทนเอาไว้อย่างสุดกำลัง

“ไม่เลวนี่ครับ!” ฟู่สีเกอตบเบาเข้าที่หัวไหล่ของเมิ่งซินหรุ่ยเบา ๆ “คุณแม่ครับ ทักษะนับวันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นนะครับเนี่ย ลูกชายของคารวะ!”

“หึ! แกยังอ่อนหัด เรียนรู้เอาไว้เสีย!” เมิ่งซินหรุ่ยเชิงจมูกสูงขึ้นฟ้า

วันนั้น บิดามารดาของเฉียวโยวโยวเองก็รีบเดินทางมาจากต่างถิ่น ทันใดนั้นเอง ทุก ๆ คนก็ล้อมหน้าล้อมหลังไปหมด ห้องพักเดิมก็แสดงให้เห็นความเบียดเสียดขึ้นมาแล้ว

ในตอนนั้นเอง หลานเสี่ยวถางเกรงว่าหวันหว่านจะหิว ดังนั้นจึงให้แม่นมช่วยอุ้มหวันหว่านเข้ามาส่ง

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เสี่ยวหวันหว่านกำลังอยู่ในอ้อมแขนของสือมูเฉิน สบตามองเจ้าตัวน้อยเหมือนกันที่อยู่ในรถทารกอย่างสนอกสนใจ

เธอยื่นมือเล็ก ๆ ของตนเองออกไป ก่อนจะจับเข้ากับน้องสาว แล้วก็ยื่นมือออกไปอีกครั้ง ก่อนจะจับมือของน้องชายเอาไว้ ทันใดนั้นเอง ริมฝีปากก็เปิดกว้างเผยรอยยิ้มออกมา

“หวันหว่านเองก็ชอบน้องชายน้องสาวมากเลยนะเนี่ย!” ฟู่สีเกอมองไปยังหวันหว่านที่อยู่ในอ้อมแขนของสือมูเฉิน เอ่ยว่า “บอกพ่อบุญธรรมมาเร็วเข้า ชอบน้องชายมากที่สุดหรือว่าน้องสาว?”

หวันหว่านนั้นแทบจะฟังออกเลยก็ไม่ปาน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ชี้ไปทางน้องชาย แล้วก็ชี้ไปทางน้องสาว สุดท้ายแล้ว ก็ชื่อไปยังหยานชิงเจ๋อที่อยู่ทางด้านหลังของฟู่สีเกอด้วย

“ห้ะ ไม่ใช่หรอกน่า?!” ฟู่สีเกอจะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก ก่อนจะมองไปทางหยานชิงเจ๋อ “นายคือฆาตกรเด็กใช่ไหม?!”

สือมูเฉินเองก็หัวเราะ “หลังจากนี้หากชิงเจ๋อมีลูก จะต้องดีต่อเด็กเป็นอย่างมากแน่ ๆ! ไม่เหมือนฉัน หวันหว่านนั้นยังชอบและติดแม่ของเธอมากกว่าอีก”

หยานชิงเจ๋อได้ยินคำพูดของสือมูเฉิน อดไม่ได้ที่จะหันไปมองซูสือจิ่น

แต่ทว่า เธอกลับเบนหน้าหนีไปแล้ว ก่อนจะมุ่ยริมฝีปาก “ไม่เร็วขนาดนั้นค่ะ ไม่เร็วขนาดนั้นนะ……”

หยานชิงเจ๋อหันไปมองสือมูเฉินและฟู่สีเกอที่ล้วนแล้วแต่มีลูกกันแล้ว ทันใดนั้นเองก็รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ แต่ทว่าภรรยาเองก็บอกว่ายังก่อนให้ค่อยเป็นค่อยไป เขานั้นจะสามารถทำอย่างไรได้?

ฟู่สีเกอเมื่อเห็นสีหน้าของหยานชิงเจ๋อในตอนนั้นเอง ก็คาดเดาอะไรออกมาได้ เขาหันไปแอบกวักนิ้วเรียกเขาให้เข้ามาหาไปมา

หยานชิงเจ๋อเห็นสัญญาณนั้นแล้ว ดังนั้นจึงเดินเข้าไปหา

“ซูสือจิ่นไม่ยอมตั้งท้องหรือ?” ฟู่สีเกอพาเขาออกไปนอกห้อง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา

หยานชิงเจ๋อพยักหน้า “เธอบอกว่าเธอพึ่งจะยี่สิบสี่ เพื่อนนักเรียนคนอื่น ๆ ยังไม่มีเจ้าตัวน้อยกันเลย ถ้าหากว่าเธอตั้งครรภ์แล้ว จะรู้สึกเก้อเขินน่ะครับ……”

“ฉันมีวิธีนะ” ฟู่สีเกอเผยรอยยิ้มร้ายออกมาครู่หนึ่ง หลังจากนั้น จึงพุ่งเข้าไปที่ทางด้านข้างของใบหูหยานชิงเจ๋อ “ในทุกครั้งก่อนหน้าที่จะใกล้ชิดกันน่ะ แอบเอากรรไกรเล่มเล็ก ๆ เตรียมไว้สักเล่ม หลังจากนั้น ก็ตัดถุงยางอนามัยให้เป็นรูสักรูหนึ่ง……”

หยานชิงเจ๋อได้ยินดังนั้นแล้ว นัยน์ตาเป็นประกายทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลต่อว่า “แต่ว่าถ้าหากว่าเธอไม่อยาก มันจะ……”

“นายนี่โง่จริง!” ฟู่สีเกอนั้นหมดคำจะเอ่ยเป็นอย่างมาก “ถ้าหากว่าเธอมีขึ้นมาแล้วจริง ๆ หรือว่าจะทำแท้งไม่ท้องแล้วจริง ๆ หรือไงกันนะ? ขอเพียงแค่นายตัดรูนั้นให้กว้างหน่อยในทุกครั้ง อย่าให้เธอจับได้ก็พอแล้ว เสร็จเรื่องทั้งหมดแล้วหลังจากนั้นก็ทำลายหลักฐาน กลับกันสวมใส่ถุงยางแล้วตั้งครรภ์ก็ไม่ใช่ไม่เคยมีนะเว้ย หรือว่านายจะยอมรับอย่างโง่ ๆ กันล่ะ?!”

เดิมในวันจันทร์หันจื่ออี้ก็จะสามารถออกมาจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่ทว่า เป็นเพราะว่าบาดแผลอักเสบติดเชื้อ ดังนั้นจึงยังคงต้องรอดูอาการอีกสิบวันก่อนถึงจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้

ก่อนที่จะไปนั้นเอง เขาหันไปมองฮั่วชิงชิงที่กำลังหลับอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้น หันไปทักทายพยาบาลอีกครั้ง จากนั้นก็จากไปแล้ว

งานของเขา ตอนนี้กองเอาไว้เยอะมาก ในเมื่อตอนนี้ร่างกายยังคงอ่อนแออยู่เล็กน้อย แต่ทว่ากลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะต้องออกจากโรงพยาบาลไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

ในตอนที่หันจื่ออี้กำลังจะออกจากโรงพยาบาลนั้นเอง ฮั่วชิงชิงที่กำลังหลับลึก จู่ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งความฝันทันที

เธอลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะว่าตื่นมาโดยเร็วมาก หัวใจจึงยังคงเต้นไปมาอย่างรุนแรง

เธอสูดอากาศหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จนกระทั่งความรู้สึกของตนเองนั้นกลับคืนสู่ความเป็นปกติแล้ว ถึงให้พยาบาลช่วยเธอลุกขึ้นนั่งจากบนเตียง

เธอเอนกายพิงเข้ากับหมอนที่หัวเตียง ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ทางด้านข้างของเตียงขึ้นมา อ่านต่อจากครั้งที่แล้ว

แต่ทว่า ไม่รู้ว่าทำไม วันนี้กลับอ่านไม่เข้าหัวนิดหน่อย

เธออดไม่ได้ที่จะเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง

เป็นเพราะว่าเธอชอบอาบแดด บวกเข้ากับช่วงกลางหน้าหนาวแล้ว แสงแดดสาดส่องมาไม่ได้แยงตา กลับกันกลับรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ดังนั้นแล้ว ก่อนหน้านี้เธอจึงให้พยาบาลจัดเตียงของเธอไปที่ด้านทิศใต้ของหน้าต่างแทน

วันนี้ อากาศที่ด้านนอกนั้นเป็นสีฟ้าสดใสทั้งหมด เดิมก็ไม่มีเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าคนที่อยู่ที่พื้นด้านล่างหน้าด่างที่กำลังสวมใส่เสื้อกันหนาวขนสัตว์หนา ๆ เกรงว่าก็คงจะให้ความรู้สึกเข้าใจผิดว่ามันคือฤดูร้อนแทนแล้ว

ฮั่วชิงชิงสบตามองไปอย่างเนิ่นนาน จู่ ๆ กลับมองเห็นรถยนต์ที่คุ้นตาคันหนึ่งเข้าให้เสียแล้ว!

นัยน์ตาของเธอหดเกร็งตัวในทันที

รถยนต์คันนั้น เป็นรถของหันจื่ออี้!

รถที่เขาซื้อนั้นเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก บวกเข้ากับตัวรถที่เป็นสีครามอมเขียว มองดูแล้วมีสไตล์เป็นอย่างมาก

อีกอย่างหนึ่ง รถยนต์คันนั้นแทบจะพึ่งขับออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อครู่นี้เอง หลังจากนั้น ก็มุ่งตรงออกไปทางด้านนอกแล้ว!

เขามาหาหรือ?

จู่ ๆ เธอก็ค้นพบว่าหัวใจของตนเองนั้น มันกลับเต้นระรัวอย่างรุนแรงขึ้นมาอีกแล้ว ก่อนจะกระทบดังตึงตังเข้ากับทรวงอก

สายตาของเธอ สบตามองรถยนต์คันนั้นอยู่ตลอด จนกระทั่งมันหายไปแล้ว เธอถึงค่อย ๆ มีสติกลับคืนมา

เขามาเยี่ยมเธอหรือเปล่านะ?

ความสงสัยนี้ เธอนั้นอยากที่จะทราบเป็นอย่างมาก แต่ทว่า บางทีกลับอาจจะไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะรับรู้เลยก็เป็นได้

จู่ ๆ ฮั่วชิงชิงก็รู้สึกว่าแก้มและใบหน้าเย็นขึ้นเล็กน้อย ยื่นมือออกไปสัมผัสดู ถึงจะค้นพบว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเช่นนี้แล้ว

เขา ท้ายที่สุดแล้วก็เดินออกจากชีวิตเธอไปแล้วสินะ

เธอเบิกตากว้างแล้วสบตามองตนเองที่ผลักเขาออกไปไกล ระยะห่างที่ไกลไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว อีกทั้งกลับยังไร้เรี่ยวแรงที่จะตามไปถึงด้วย!

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ในที่สุดร่างกายของฮั่วชิงชิงก็บำรุงรักษาอย่างดีขึ้น และออกจากโรงพยาบาลแล้ว หมอให้ยากับเธอมาเป็นจำนวนไม่น้อยเลย อีกทั้งยังต้องการที่อยู่ในการจัดส่งของเธอด้วย บอกว่าเธอถึงแม้ว่าจะกลับมาแข็งแรงแล้ว แต่ทว่ายังคงต้องรับประทานยาต้านเอาไว้ไปตลอดชีวิต

เป็นเพราะว่ากล่องของตัวยาที่ด้านบนนั้นล้วนแล้วแต่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ฮั่วชิงชิงจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เดิมก็ไม่ได้สงสัยอะไรเลย ยานั้นอันที่จริงแล้วเป็นยาสำหรับการต้านอาหารต่อต้านปฏิเสธสำหรับการปลูกถ่ายอวัยวะใหม่

หลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ถือกุญแจที่เลขาธิการของหันจื่ออี้ส่งมันมาให้เธอ ก่อนจะมายังคอนโดมิเนียมที่เธอเคยอาศัยอยู่เมื่อหลานเดือนก่อน

ภายในตัวห้อง ไม่มีข้าวของอื่นใดของหันจื่ออี้ตั้งนานแล้ว ห้องพักถูกทำความสะอาดอย่างหมดจด เป็นเพราะว่าเหลือเพียงแค่เธอ ดังนั้นแล้ว บรรยากาศจึงว่างเปล่าเย็นยะเยือกอย่างเห็นได้ชัดเป็นอย่างมาก

เดิมฮั่วชิงชิงเองก็ไม่คิดอยากที่จะได้ห้องห้องนี้เลย แต่ทว่า ผู้ช่วยหวังบอกความต้องการของหันจื่ออี้เอาไว้ว่า ถ้าเธอไม่รับไป เขาเองก็จะไม่เซ็นหย่าให้ ดังนั้นแล้ว เธอจำเป็นที่จะต้องเซ็นชื่อไป

ตอนกลางคืน เธออยู่ในห้องนั้นคนเดียวทั้งคืน รอจนกระทั่งถึงวันที่สอง ถึงนำกระเป๋าเดินทางมาด้วยสองสามใบ แล้วบินกลับไปที่เมืองไห่หลิน

ในตอนที่เข้าไปในตัวเครื่องบินแล้วนั้นเอง จู๋ ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ในตอนที่เธอตื่นขึ้นมาจากการหลับลึก ถึงได้รับรู้ว่ามันผ่านไปเก้าปีแล้ว ข้างกายของฟู่สีเกอก็มีคนอื่นไปแล้ว ในตอนนั้น หัวใจของเธอรู้สึกทุกข์ทรมาน หันจื่ออี้กลับนั่งอยู่ข้างกายของเธอ เล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังและปลอบประโลมเธอ

แต่ทว่าตอนนี้……

ฮั่วชิงชิงสบตามองคนแปลกหน้าทางด้านข้างอยู่หนหนึ่ง ลมหายใจติดขัด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว จึงเบนสายตามองตกลงไปทางนอกหน้าต่าง

แทบจะเป็นเพราะวันนี้อากาศนั้นถูกควบคุม พวกเขาขึ้นเครื่องบินกันมานานแล้วก็ยังไม่ออกตัวขึ้นบินเสียที ฮั่วชิงชิงได้ยินเสียงพูดคุยวีแชทจากที่นั่งทางด้านข้างโดยตลอด ดังนั้นแล้ว เธอเองก็เปิดวีแชทในโทรศัพท์ขึ้นมาบ้าง

เธอเลื่อนดูโมเมนต์ในวีแชท ก่อนจะมองเห็นข่าวดีของฟู่สีเกอ

เป็นเพราะว่ายิ่งหลายเดือนเข้าท้องของเฉียวโยวโยวนั้นก็ยิ่งใหญ่มากขึ้น เป็นเพราะว่าภายในท้องของเธอมีเจ้าตัวน้อยสองคนอยู่ ดังนั้นแล้ว จึงดูบวมเป่งมากกว่าเดิมอย่างชัดเจนแล้ว

ร่างกายรองรับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นหลายกิโล เท้าทั้งสองข้างมักปูดบวมเป็นประจำ แต่ทว่ายังดีที่ฟู่สีเกอนั้นเชิญคนให้มาช่วยเธอนวดกดจุดเป็นประจำ อีกทั้งยังซื้อรองเท้านุ่มนิ่มเอาไว้มากมายอีกด้วย ในทุก ๆ วันตอนเช้าค่ำล้วนแล้วแต่จะต้องไปเดินทอดน่อง ดังนั้นแล้วทุกอย่างจึงผ่านไปด้วยดี

วันนี้ เธอพึงจะกลับมาจากการเดินเล่นในตอนเช้า เมื่อไปเข้าห้องน้ำแล้ว กลับค้นพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

“สีเย็น แย่แล้วค่ะ เจ้าตัวน้อยอาจจะออกมาแล้ว……” เฉียวโยวโยวร้องตะโกนเสียงดังออกมาจากในห้องน้ำ

เมื่อฟู่สีเกอได้ยินแล้ว ดังนั้นจึงรีบกุลีกุจอวิ่งเข้าไปหาทันที เมื่อเห็นท่าทางของเฉียวโยวโยวที่นั่งตื่นตะลึงอยู่บนชักโครกแล้ว จู๋ ๆ หัวใจก็หนักอึ้งในทันที “คุณโยวคนโง่ เป็นอะไรไปครับ? เจ้าตัวน้อยจะไม่ตกลงไปในชักโครกใช่ไหม?!”

ในตอนที่ตั้งแต่เฉียวโยวโยวนั้นใกล้จะถึงสัปดาห์คลอดไม่ถึงเดือนแล้ว คุณหญิงเมิ่งซินหรุ่ยก็ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยแล้ว

เสียงตื่นตะลึงของเฉียวโยวโยวนั้นเมิ่งซินหรุ่ยเองก็ได้ยินแล้ว แต่ทว่าความเร็วนั้นไม่เร็วเท่ากับฟู่สีเกอ ดังนั้นแล้ว ในตอนที่เธอตามมาถึง ก็ได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้ที่ฟู่สีเกอพึ่งจะเอ่ยจบไป

ดวงตาของเธอเบิกกว้างกลมโตในทันที “ตกลงไปแล้วจริง ๆ หรือ?! ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าหนูตัวน้อยอยู่ในน้ำว่ายน้ำเป็น ดังนั้นแล้วดึงขึ้นมาก็โอเคแล้วล่ะ!”

แต่ทว่า เฉียวโยวโยวที่นั่งอยู่บนชักโครกกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่ค่ะ เจ้าตัวน้อยยังไม่ออกมาค่ะ เป็นน้ำคร่ำที่ไหลออกมาเยอะมากต่างหาก! อั้นก็อั้นไม่ไหวแล้วค่ะ!”

ในเมื่อเมิ่งซินหรุ่ยเองก็เป็นคนที่เคยผ่านมันมาก่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วก็เข้าใจได้ในทันที หลังจากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับฟู่สีเกอว่า “เสี่ยวสีเย็น โยโย่น้ำคร่ำแตกก่อนกำหนดแล้ว แกรับไปอุ้มเธอขึ้นมาเร็ว ต้องให้เอนราบเอาไว้นะ!”

พูดไป เธอก็หันไปเอ่ยกับฟู่ซื่อหนิงที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่กล้าเข้ามาว่า “เหล่าฟู่ รีบไปสตาร์ทรถเร็วเข้า พวกเราจะไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!”

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ฟู่สีเกอจึงอุ้มเฉียวโยวโยวให้นอนราบขึ้นมาอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก ก่อนจะออกจากห้องน้ำแล้วตรงไปขึ้นรถที่ด้านนอก กระวนกระวายจนร่างทั้งร่างเหงื่อออกมาหมดแล้ว

เฉียวโยวโยวถูกจับให้นอนราบอยู่ที่เบาะทางด้านหลัง ฟู่สีเกอนั่งอยู่ที่ทางด้านข้างของเธอ เอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “คุณโยวคนโง่ คุณไม่ต้องตื่นตระหนกไปนะครับ พวกเราถึงโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยคลอดนะ คุณให้เจ้าตัวน้อยรอก่อนนะครับ!”

เฉียวโยวโยวเองก็อึมครึมจะตายอยู่แล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ากำหนดคลอดนั้นยังเหลือเวลาอีกตั้งสองสัปดาห์ กลับมาก่อนเวลามากขนาดนี้ เธอนั้นไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่หนังสือสอนเอาไว้ก็ล้วนแล้วแต่ลืมเลือนไปทั้งหมดแล้ว!

ทางด้านหน้า ฟู่ซื่อหนิงขับรถอย่างตั้งใจ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา แต่ทว่ามือที่จับพวงมาลัยนั้นกลับบีบกำเข้าหากันแน่นเป็นอย่างมาก ดูท่าทางราวกับตื่นเต้น

ส่วนเมิ่งซินหรุ่ย ในช่วงเวลาสำคัญ จู่ ๆ กลับนึกแสดงไหวพริบปฏิภาณออกมาได้ในทันที

เธอเอ่ยปากขึ้นมาว่า “เสี่ยวสีเย็น รีบติดต่อพ่อแม่ของโยโย่เร็วเข้า บอกว่าเธอจะคลอดก่อนกำหนดแล้ว หลังจากนั้น คนที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ก็เรียกมากันให้หมด เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนยุ่งมากเกินไป”

“ครับ ได้ครับ!” ฟู่สีเกอรีบพยักหน้าในทันที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดโทรออกโดยที่มือไม้พันกันมั่วไปหมด

โทรศัพท์ไปทั้งหมดแล้วรอบหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว

ฟู่สีเกออุ้มเฉียวโยวโยวแล้วสาวเท้าไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะมุ่งตรงไปยังแผนกสูตินรีเวช

เขารู้จักหมอที่อยู่ในโรงพยาบาล ดังนั้นแล้ว จึงอุ้มเฉียวโยวโยวแล้วพุ่งเข้าไปหา “หมอครับ น้ำคร่ำแตกแล้วทำอย่างไรดีครับ?”

หมอนั้นเห็นมาจนเคยชินเป็นประจำอยู่แล้ว เมื่อได้ยินฟู่สีเกอเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้แล้ว ก็รับจัดแจงให้พยาบาลนำฟู่สีเกอไปที่เตียงผู้ป่วยในทันที ก่อนจะให้เขาวางเฉียวโยวโยวลง หลังจากนั้นก็หันไปเอ่ยถามกับเฉียวโยวโยวว่า “มดลูกบีบตัวหรือเปล่าครับ?”

“ไม่ค่ะ” เฉียวโยวโยวคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะรีบเอ่ยถามออกมาว่า “จริงสิคะ ก่อนหน้านี้บอกว่ามีสายสะดือพันเอาไว้อยู่หนึ่งรอบค่ะ”

หมอรีบทำการอัลตร้าซาวด์ในทันที หลังจากที่ตรวจสอบดูแล้วก็พบว่าสายสะดือพันคอจริง ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจึงหันไปเอ่ยกับฟู่สีเกอว่า “ภรรยาของคุณน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด อีกทั้งยังมีสายสะดือพันคอด้วย พวกเราแนะนำให้ทำการคลอดโดยการผ่าตัดครับ มิฉะนั้นแล้ว อาจจะเกิดอันตรายจากการขาดอากาศหายใจในครรภ์ได้”

เมื่อฟู่สีเกอได้ยินดังนั้นแล้ว จึงตกใจจนสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ครับผม ถ้าอย่างนั้นก็ผ่าเลยครับ! ผ่าแล้วจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”

“การผ่าตัดล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงครับ” หมอเอ่ย “แต่ทว่าถือเสียว่าในฐานะเพื่อน ผมสามารถรับประกันกับคุณได้ จะต้องไม่เป็นไรแน่นอนครับ แต่ทว่า จำเป็นที่จะต้องเซ็นชื่อเพื่อยืนยันการเข้ารับการผ่าตัดก่อนนะ”

ฟู่สีเกอพุ่งเข้าไปอ่านหนังสือยืนยันครู่หนึ่ง รู้สึกเพียงแค่ว่าร่างทั้งร่างนั้นอ่อนระทวยไปแล้วเล็กน้อย แต่ทว่า ก็ยังคงเซ็นชื่อไปทั้ง ๆ ที่มือสั่นไปแล้ว “หมอหลู่ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องไหว้วานคุณแล้วละนะ!”

“วางใจเถอะครับ ไปรอผลที่หน้าประตูก็พอแล้วล่ะ” หมอหลู่พูดไป ก่อนจะรีบหันไปสั่งการกับพยาบาลทันทีว่า “เตรียมห้องผ่าตัดเอาไว้ให้พร้อมนะครับ จะรีบทำการผ่าคลอดทันที”

ฟู่สีเกอทำตามที่หมอบอก ก่อนจะเข็นเฉียวโยวโยวไปที่หน้าประตูห้องผ่าตัด ในตอนที่เฉียวโยวโยวกำลังจะเข้าไปแล้วนั้นเอง เขาก็บีบมือของเธอเอาไว้จนมือชุ่มเหงื่อ “คุณโยวคนโง่ครับ ไม่ต้องกลัวนะ พวกเราจะรอคุณออกมาอยู่ที่ด้านนอกนะ”

เฉียวโยวโยวพยักหน้าขึ้นลง ประตูห้องผ่าตัดปิดลงแล้ว เธอนั้นยังคงก้มหน้ามองอยู่

ในลำดับต่อมา เธอถูกบล็อกหลัง สติสัมปชัญญะทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ยังคงชัดเจน แต่ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของผิวหนังใด ๆ เลย

ส่วนที่ด้านนอกของห้องผ่าตัด ฟู่สีเกอกระวนกระวายจนใกล้จะเป็นบ้าแล้ว “แม่ครับ แม่ว่าผ่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนออกมาแล้ว แล้วก็เย็บปากแผลอีกครั้ง แต่ทำไมคุณโยวคนโง่เขายังไม่ออกมาอีกละครับ?”

เมิ่งซินหรุ่ยนั้นยังไม่ทันที่จะได้ตอบคำถาม ฟู่สีเกอก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่า “อ๋อ ผมรู้แล้วครับ เป็นเพราะว่ามีเจ้าตัวน้อยสองคน ดังนั้นแล้วระยะเวลาก็เลยนานนิดหน่อย ใช่ไหมครับ?”

เขาพูดเองตอบไปอย่างพึมพำ หลังจากนั้นก็มองเห็นว่ามีคนเดินเร็ว ๆ เข้ามาหา เป็นสือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถาง

ฟู่สีเกอเห็นทั้งสองคนแล้ว ราวกับว่ามองเห็นผู้ช่วยชีวิต แต่ทว่า กลับหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “เสี่ยวถาง ก่อนหน้านี้ที่คุณคลอดเจ้าตัวเล็ก รู้สึกอย่างไรหรือ? อันตรายหรือเปล่าครับ?”

หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า “สีเกอ ดูท่าแล้วคุณตื่นเต้นสินะ! เรื่องนี้น่ะ ตอนนี้การแพทย์นั้นพัฒนาไปมากแล้วนะคะ ในตอนของฉัน ฉันคลอดแบบธรรมชาติค่ะ เจ็บมากเลย แต่ทว่าไม่มีอะไร โยวโยวผ่าคลอด โดยปกติแล้วก็จะยิ่งไม่เป็นอะไรหรอกนะคะ คุณวางใจเถอะค่ะ!”

เมื่อเมิ่งซินหรุ่ยได้ยินดังนั้นแล้ว ลูกชายของเธอเอ่ยถามถึงการคลอดเจ้าตัวน้อย ไม่ถามตนเอง แต่กลับไปถามคนอื่น ราวกับว่าในตอนแรกไม่ใช่เธอที่คลอดเขาออกมาอย่างไรอย่างนั้น! เธอมุ่ยริมฝีปาก รู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้ามไปแล้ว ดังนั้นจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อย

เพียงแต่ เดิมฟู่สีเกอนั้นไม่ทราบถึงความเคลื่อนไหวในหัวใจของมารดาของตนเองเลย อีกทั้งยังเอ่ยถามการปลอบประโลมจากหลานเสี่ยวถางทั้งสองคนต่อไป

ทุกคนทั้งหมดกำลังพูดคุยกันอยู่ หยานชิงเจ๋อกับซูสือจิ่นก็มาถึงแล้วเช่นกัน

ซูสือจิ่นในตอนนี้นั้นย้ายห้องทำงานมาสองสามวันแล้ว กำลังเก็บข้าวของอยู่ ในตอนที่รับสายจากฟู่สีเกอก็รีบมาในทันที

เมื่อเห็นว่าฟู่สีเกอเป็นเพราะว่าตื่นตระหนกอยู่ จิกผมจนยุ่งเหยิงไปหมด อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างสนุกสนานว่า “สีเย็น ไม่กลัวผมเสียทรงหรือไงคะ?”

ในตอนที่กำลังเยาะเย้ยอยู่นั้นเอง ประตูใหญ่ของห้องผ่าตัดก็เปิดออกแล้ว ทันใดนั้นเอง ทุกการพูดคุยหาหรือกันทั้งหมดนั้นหยุดลงในทันที สายตาของทุกคนมองตรงไปยังหมอที่เดินออกมา

หมอแทบจะรู้สึกได้ว่าจู่ ๆ บรรยากาศด้านนอกนั้นปกคลุมไปด้วยคำถามในทันที ทันใดนั้นเองจึงหัวเราะออกมา “คุณฟู่ครับ วางใจเถอะครับ พวกเขาทั้งสามคนปลอดภัยดี! ไม่เลวเลยนะครับ เป็นครรภ์แฝดจริง ๆ!”

ฟู่สีเกอเบิกตากว้าง ชะงักไปหลายวินาที ถึงจะค่อย ๆ หรี่ตาลง “ดูท่าแล้ว จะต้องเชื่อวิทยาศาสตร์จริง ๆ แล้วสินะ!”

ถอนหายใจจบ อีกเอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวายอีกครั้งว่า “ภรรยาของผม ลูกของผมตอนนี้พวกเขาโอเคดีใช่ไหมครับ? ถ้าอย่างนั้นแล้วตอนนี้สามารถเข้าไปได้เลยไหมครับ?”

“รอสักครู่นะครับ พวกเราใกล้จะเข็นพวกเขาออกมากันแล้วล่ะ!” หมอเอ่ย

ฟู่สีเกอพยักหน้าหงึกหงัก หลังจากที่รอหมอเดินเข้าไปแล้ว เขาถึงรู้สึกอะไรได้ตามหลังมาได้แล้ว ก่อนหันไปเอ่ยกับสือมูเฉินและหยานชิงเจ๋อว่า “สหายทุกท่าน พวกนายดูสิ ฉันนั้นยิงปืนนัดเดียวได้เป็นพ่อของเด็กทั้งสองคนในคราวเดียวจริง ๆ เลยนะ! อีกทั้งยังเป็นชายคนหญิงคนอีกด้วย พวกนายไม่มีใช่ไหมล่ะ?”

พูดไป เขาก็ดีใจจนมือไม้เต้นไปหมด เมิ่งซินหรุ่ยเองราวกับว่าเมื่อครู่นี้ก็หลุดออกจากภวังค์เช่นกัน ก่อนจะยืนตื่นเต้นเป็นวงกลมอยู่ที่เดิม “ไอหยา จู่ ๆ ฉันก็มีทั้งหลายชายหลานสาวแล้ว! ฉันต้องไปตุ๋นน้ำแกงให้โยโย่แล้วล่ะ เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนดื่มนมพร้อมกัน เกรงว่าน้ำนมจะไม่พอ……”

“ชิงชิง ยังเจ็บแผลอยู่ไหม?” หันจื่ออี้รู้สึกหนักตัว ทรงตัวไม่ค่อยได้ จึงนั่งลงข้างเตียงของฮั่วชิงชิง

เธอก้มหน้า ส่ายหัว

“ผมเพิ่งกลับจากทำงานนอกสถานที่ ขอโทษด้วย ผมมาช้าไปหน่อย” หันจื่ออี้พูด “สถานการณ์ของคุณ หมอบอกผมหมดแล้ว ชิงชิง เนื้องอกที่หลังของคุณเป็นเนื้อดี คุณวางใจได้ ต่อไปไม่เป็นไรแล้ว สำหรับลูก บางทีเขาอาจจะไม่มีพรหมลิขิตกับพวกเรา ดังนั้นคุณอย่าโทษตัวเอง”

ได้ฟังคำพูดปลอบใจที่อ่อนโยนของเขา มือที่ซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มของฮั่วชิงชิงอดไม่ได้ที่จะสั่น

ต่อไปเธอจะผลักคำปลอบใจแบบนี้ออกไปให้ไกลแล้ว

แต่ว่านี่คือชะตากรรมของเธอ เธอไม่มีทางเลือก

“ชิงชิง พวกเราอายุยังน้อย ลูกไม่อยู่แล้วก็ไม่เป็นไร รอให้คุณร่างกายหายดี อีกสองปีพวกเราค่อยมีลูกกันอีก” ขณะที่หันจื่ออี้พูด ก็ยกมือขึ้นทัดไรผมที่อยู่บนแก้มไปที่หลังหูของเธอ

ท่าทางอ่อนโยนของเขา ทำให้หัวใจของเธอเจ็บแปล๊บ

หลังจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเขาก็จะต้องแยกกันไปคนละทางแล้ว

นับตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมา พวกเขารู้จักกันมาปีกว่าแล้ว

ทำให้คนคนหนึ่งสูญเสียพลังชีวิต ยิ่งเมื่อเขาได้หยั่งรากลึกลงไปในใจแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ เหมือนกับการขูดเลือดเนื้อออกมา

ฮั่วชิงชิงกัดปาก ในตอนที่กำลังจะพูดอะไรออกมา หันจื่ออี้ยื่นแขนออกมา โอบกอดเธอเบา ๆ

เธอตัวแข็งทื่อ

“ชิงชิง อันที่จริงคุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เขาพูดกระซิบข้างหูของเธอ

ฮั่วชิงชิงแอบนับเลขอยู่ในใจ จนกระทั่งเธอนับถึง 10 จากนั้นเธอก็ยกมือขึ้น กดแขนของเขาไว้ ค่อย ๆ ผลักเขาออกทีละนิด พยายามให้น้ำเสียงของตัวเองเป็นปกติ “ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณ”

นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ฮั่วชิงชิงเป็นฝ่ายพูดคุยอย่างสงบ หลังจากที่เกิดเรื่องพวกนั้นขึ้นระหว่างพวกเขา

หันจื่ออี้พยักหน้า ปล่อยเธอออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ตกลง ชิงชิง คุณพูดมาเถอะ”

ฮั่วชิงชิงพูด “ต่อไปคุณไม่ต้องมาหาฉันแล้ว”

หันจื่ออี้ตะลึง “ชิงชิง คุณพูดอะไร?”

“จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ฉันรับปากแต่งงานกับคุณ จริงอยู่ที่ฉันใจเต้นเพราะคุณ” ฮั่วชิงชิงสูดลมหายใจเข้าลึก “แต่ว่า ตั้งแต่ที่ฉันเห็นคุณทำให้พ่อของฉันโมโหจนแทบจะตาย ความรู้สึกที่ฉันมีต่อคุณก็ไม่เหลือแล้ว”

เธอบังคับให้ตัวเองพูดต่อไป “ตอนนี้ คุณแตะต้องฉันฉันก็รู้สึกอึดอัด กระทั่งรู้สึกว่าโชคดีมากที่ลูกของเราไม่ได้เกิดมา แบบนี้เขาก็จะได้ไม่ต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด แบบนี้ระหว่างพวกเราก็ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกัน”

“ชิงชิง…” หันจื่ออี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมคิดมาตลอดว่า ถ้าลูกเกิดมาจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ผมรู้ว่าคุณชอบเด็ก ผมก็ชอบ ดังนั้นต่อไป…”

“ไม่มีต่อไปอีกแล้ว” ฮั่วชิงชิงมองตาหันจื่ออี้ “ฉันเกลียดความรู้สึกที่คุณสัมผัสฉัน ฉันรับไม่ได้ที่จะต้องคบหากับคุณ”

หันจื่ออี้รู้สึกจุกในลำคอ แต่ก็ไม่ได้ขัดเธอ

“พวกเราเลิกกันเถอะ ต่อไปไม่ต้องเจอหน้ากันอีกแล้ว!” ฮั่วชิงชิงพูด “คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกรับผิดชอบใดๆ กับฉัน ฉันก็ไม่ต้องการการรับผิดชอบใด ๆ จากคุณ จากนี้ไป พวกเราคือคนแปลกหน้าต่อกัน!”

“ชิงชิง คุณจริงจังใช่ไหม?” หันจื่ออี้สายตาเคร่งขรึม

เขารู้สึกเจ็บแผล เหมือนกับฝืนได้ไม่นานแล้ว

“ใช่ ฉันจริงจัง” ฮั่วชิงชิงพูดทีละคำ “เพราะฉันรู้สึกว่าคบหากับคุณแล้วอึดอัด ดังนั้นเพื่อเป็นการดีต่อทั้งคู่ ก็อย่าทนทุกข์ต่ออีกเลย!”

“ดังนั้นคุณอยู่กับผม คุณรู้สึกทุกข์ทรมานมากเหรอ?” หันจื่ออี้อดไม่ได้ที่จะลูบแผลใต้เสื้อนำ

“ใช่ ทุกข์ทรมานมาก!” ฮั่วชิงชิงพูด “สองวันมานี้ไม่ได้เจอคุณ ในที่สุดฉันก็รู้สึกสบายใจแล้ว”

หันจื่ออี้ได้ยินคำพูดของเธอ ก็ครุ่นคิดอยู่หลายวินาที สีหน้าของเขายังคงอ่อนโยน แม้แต่น้ำเสียงก็แผ่วลงเล็กน้อย “ตกลง ผมเข้าใจแล้ว งั้นผมไม่รบกวนคุณแล้ว ชิงชิงต่อไปตัวคนเดียว ดูแลตัวเองให้ดี”

ขณะที่พูด เขาค้ำของเตียง ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก รู้สึกเวียนหัว หันจื่ออี้จึงหยุดนิ่งอยู่หลายวินาที แล้วมองฮั่วชิงชิงอีกครั้ง

เธอหันหน้าไปอีกด้านไม่ได้มองเขา แต่ว่าเขาสามารถดูสีหน้าของเธอออกได้ เธอคงคิดดีแล้ว

เขารู้ว่าเธอไม่มีวันฆ่าตัวตายอีก

ดังนั้นเขาไม่ต้องเป็นกังวลอีกแล้ว ไม่ได้ติดค้างอะไรเธออีกแล้ว

หันจื่ออี้หมุนตัวกลับ เดินออกจากห้องผู้ป่วยช้า ๆ

เพราะว่าฮั่วชิงชิงไม่ได้มองไปทางหันจื่ออี้ ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่า หันจื่ออี้เดินค้ำกำแพงออกไปอย่างยากลำบาก

หันจื่ออี้ฝืนเดินออกไป เขาเพิ่งจะเดินถึงประตูห้องผู้ป่วยของตัวเอง ก็ฝืนต่อไม่ไหว รู้สึกหน้ามืด แล้วเป็นลมล้มไป…

ในตอนที่หันจื่ออี้เดินออกไป ฮั่วชิงชิงก็กลั้นน้ำตาไม่ได้อีกต่อไป น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด

เธอรู้ว่า ประโยคที่เขาพูดว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี คือการยอมรับคำพูดของเธอทั้งหมด

บางทีนี่อาจจะเป็นการพูดคุยกับเขาครั้งสุดท้ายแล้ว

ในตอนนี้เอง เธอได้ยินเสียงมาจากด้านนอก แล้วก็เสียงอุทานเบา ๆ ของพยาบาล “คุณหัน!”

ฮั่วชิงชิงใจเต้น ทำไมเสียงพยาบาลเป็นแบบนี้?

จากนั้นเธอก็ได้ยิน เสียงผู้หญิงอีกคนตะโกนอย่างร้อนใจ “ตรงนี้มีคนไข้เป็นลมล้มไป…”

ใครเปืนลม?!

ฮั่วชิงชิงยิ่งอยู่ยิ่งร้อนรน แต่ว่าร่างกายของเธอหนัก จนขยับไม่ได้ ดังนั้นถึงจะร้อนใจก็ทำอะไรไม่ได้

จนกระทั่งผ่านไปสิบนาที มีพยาบาลเข้ามาตรวจร่างกาย ฮั่วชิงชิงจึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “หมอคะ เมื่อกี้ฉันได้ยินเหมือนว่าข้างนอกมีคนเป็นลม คือใครเหรอคะ?”

พยาบาลมองดูฮั่วชิงชิง สายตาตำหนิเล็กน้อย แต่ก็หายไปในไม่ช้า

เธออธิบาย “คนไข้ที่เพิ่งเข้ามา”

“งั้นทำไมฉันถึงยินพวกเขาตะโกน…

“คุณฮั่วคะ เรื่องที่คุณพูด ฉันไม่ค่อยแน่ใจ ตอนนั้นฉันไม่อยู่” พยาบาลเอ่ยขึ้น

“ค่ะ” ฮั่วชิงชิงกระวนกระวายนิดหน่อย

แต่ว่าเธอคิดย้อนไป หันจื่ออี้ร่างกายแข็งแรงขนาดนั้น แล้วก็ในตอนที่เขาเข้ามา ดูสีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย น่าจะยุ่งมาก คนที่เป็นลมไม่น่าจะเป็นเขา

เธอบังคับให้ตัวเองหยุดคิดวุ่นวาย ในตอนบ่ายวันนั้น ฮั่วชิงชิงได้รับสัญญาหย่าร้าง

ผู้ช่วยพิเศษของหันจื่ออี้เอามาส่ง เขายื่นให้ฮั่วชิงชิง บอกว่าหันจื่ออี้เซ็นชื่อแล้ว ถ้าหากเธอดูแล้วไม่มีปัญหา ก็เซ็นชื่อ เมื่อพวกเขานัดเวลากัน ก็สามารถไปเซ็นหย่าได้เลย

ฮั่วชิงชิงเห็นเงื่อนไขข้างต้นที่เอนเอียงไปทางตนเอง รู้สึกจุกอกเป็นอย่างมาก

ด้านบนเขียนว่า หันจื่ออี้โอนชื่อบ้านที่หนิงเฉิงเป็นชื่อของเธอ ถือว่าเป็นการชดเชยความสัมพันธ์สามีภรรยาของพวกเขากว่าครึ่งปี

อีกอย่างด้าน Huo Group เขาบอกว่าจะส่งเพื่อนที่ไว้ใจได้ไปช่วยเธอบริหารจัดการ รอให้เธอหาย ค่อยส่งต่อกิจการให้เธอ สำหรับค่าตอบแทนในช่วงเวลานั้น เขาไม่เอาสักนิด

ฮั่วชิงชิงหยิบปากกา เซ็นชื่อตัวเองลงอย่างยากลำบาก

เหมือนกับว่าเซ็นชื่อนี้แล้ว ระหว่างพวกเขา ก็ไม่มีอะไรต่อกันอีก

ฮั่วชิงชิงระงับความรู้สึกที่หัวใจแทบจะฉีกขาดเอาไว้ เธอเงยหน้าพูดกับผู้ช่วยพิเศษของหันจื่ออี้ “ประธานหันของพวกคุณ…”

ผู้ช่วยหวังคิดว่าฮั่วชิงชิงรีบร้อนดำเนินการ เมื่อนึกถึงเจ้านายของตัวเองที่หยอดน้ำเกลืออยู่ห้องข้าง ๆ รู้สึกไม่พอใจขึ้นกว่าเดิม

น้ำเสียงของเขาแข็งทื่อเล็กน้อย “คุณฮั่วครับ ถึงคุณอยากจะสะบัดความสัมพันธ์กับประธานหันในตอนนี้เป็นอย่างมาก ยังไงก็ต้องรอให้คุณสามารถลงจากเตียงได้ก่อนไหม? เพราะสำนักงานเขตไม่ใช่บริษัทซอฟต์แวร์ของพวกเราเป็นคนเปิด ไม่สามารถบริการให้ได้ถึงที่!”

ฮั่วชิงชิงสูดหายใจ ออกแรงกำปากกาที่อยู่ในมือ

เมื่อครู่เธอแค่อยากจะถามว่าหันจื่ออี้เป็นยังไงบ้างแค่นั้น…

ผู้ช่วยหวังเอาเอกสารที่ฮั่วชิงชิงเซ็นชื่อกลับไป จากนั้นก็พูด “ช่วงนี้ประธานหันของพวกเราไปทำงานนอกสถานที่ ไม่สะดวกรับโทรศัพท์ ต่อไปถ้าหากคุณต้องการอะไร โทรหาผมก็พอ”

ขณะที่พูด เขายื่นนามบัตรใบหนึ่งมา

ฮั่วชิงชิงได้ยินว่าหันจื่ออี้ไปทำงานนอกสถานที่ ก็รู้สึกโล่งใจ

ที่แท้คนที่เป็นลมไม่ใช่เขา แบบนี้ก็ดีแล้ว

ผู้ช่วยหวังพูดจบ ก็หยิบเอกสารแล้วออกไปจากห้อง เพียงแต่ เขาไม่ได้กลับไป แต่ไปห้องที่อยู่ด้านข้าง

ตอนนี้หันจื่ออี้ให้น้ำเกลืออยู่ เขาหลับตา คิ้วขมวดเล็กน้อย เหมือนกับเจ็บปวดมาก

ผู้ช่วยหวังเดินเข้ามา มองดูสถานการณ์ของหันจื่ออี้ แล้วก็ถามหมอ “หมอครับ คุณหันเป็นยังไงบ้างแล้วครับ?”

หมอพูด “แผลของเขาพวกเราทำการเย็บให้ใหม่แล้ว แต่หัวเข็มที่เขาถอดออก ตอนนี้อักเสบนิดหน่อย จึงเป็นไข้ 39 องศา ตอนนี้พวกเราให้ยาปฏิชีวนะกับยาลดไข้ให้เขา ไข้น่าจะค่อย ๆ ลดลงมา”

เลขาได้ฟัง ก็เหลือบมองสัญญาในมือ ความไม่พอใจเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

วันนี้เขาได้รับสายโทรศัพท์จากหมอ บอกว่าหันจื่ออี้เป็นลม จึงรีบตามมา

ในตอนที่เขามาถึง หันจื่ออี้ไม่ได้สติ ผ้าก๊อซบนแผลมีรอยเปื้อนเลือด

เขาทำงานกับหันจื่ออี้มาหลายปีแล้ว เคยเห็นสภาพอ่อนแอแบบนี้ของหันจื่ออี้ซะที่ไหน?

ดังนั้น เมื่อได้รู้ว่าหันจื่ออี้ไปพบฮั่วชิงชิง จากนั้นเมื่อออกมาจากห้องผู้ป่วยก็เป็นลมไป เขาจึงเริ่มไม่พอใจ

ความไม่พอใจแบบนี้เพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด ในตอนที่หันจื่ออี้ฟื้นขึ้นมาในช่วงเวลาสั้น ๆ บอกให้เขาทำสัญญาหย่าร้างชุดหนึ่ง และให้เพิ่มเงื่อนไขพวกนั้น

ถึงแม้จะมีเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่ควรถาม แต่ว่าตั้งแต่ที่อยู่โรงพยาบาล หันจื่ออี้ปฏิบัติต่อฮั่วชิงชิงอย่างไร ผู้ช่วยพิเศษอย่างเขาคนนี้รู้ดีเป็นอย่างมาก

ผลปรากฏว่า เจ้านายของเขาไม่เพียงแต่บริจาคไตให้ผู้หญิงคนนั้น แล้วยังได้รับการตอบแทนที่ไร้เยื่อใยแบบนี้ เขาจึงเริ่มเกลียดชังฮั่วชิงชิงขึ้นมา

แต่ว่า หันจื่ออี้สั่งอย่างเคร่งครัด ไม่ให้หมอพยาบาล แล้วก็เขา ทุกคนห้ามบอกความจริงกับฮั่วชิงชิง ดังนั้นยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม ผู้ช่วยหวังทำได้เพียงทำตามคำสั่ง!

เขาอยู่ข้างเตียงของหันจื่ออี้สักพัก แล้วนึกธุระขึ้นได้ จึงกำชับให้พยาบาลดูแลหันจื่ออี้ให้ดี จากนั้นก็ออกไปอย่างเร่งรีบ

ในตอนที่หันจื่ออี้ตื่นมา เป็นตอนบ่ายวันที่สองแล้ว

เขายังคงเวียนหัวนิดหน่อย เพียงแต่ดีขึ้นกว่าวันก่อนเยอะแล้ว

เขาถามสถานการณ์ของฮั่วชิงชิงกับหมอ เมื่อได้ฟังว่าเธอปกติดีทุกอย่าง จึงกำชับกับหมออีกครั้ง ว่าถ้าหากฮั่วชิงชิงออกจากโรงพยาบาล อย่าให้เธอรู้ว่าอันที่จริงเธอไม่ใช่ผ่าตัดเนื้องอก แต่เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนไต

เขานึกคิด เขาใช้ความไร้เดียงสาของเธอครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ได้ช่วยเธออีกครั้ง บางทีระหว่างพวกเขาคงไม่ติดค้างอะไรกันแล้วจริง ๆ

ในเมื่อเธออยากเป็นอิสระจริง ๆ เช่นนั้นเขาก็ให้อิสระกับเธอ!

หมอได้ฟังคำพูดของฮั่วชิงชิง ก็ใจร้อนขึ้นมาทันที แต่ว่าฮั่วชิงชิงพูดได้ถูกต้อง ถึงจะเป็นคนดูแล ก็ต้องมีเวลาที่นอนหลับหรือไม่ก็ไปห้องน้ำบ้าง ไม่มีทางที่จะเฝ้าฮั่วชิงชิงอยู่ตลอดเวลา

ถ้าหากฮั่วชิงชิงถือโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ได้สังเกต กระโดดลงไปจากตรงนี้จะทำยังไง?

เธอนึกถึงแผนการที่แย่ที่สุดที่หันจื่ออี้เคยบอกกับเธอก่อนหน้านี้

หมอจึงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “คุณฮั่วคะ ต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ จนถึงตอนนี้พวกเราไม่สามารถปิดบังคุณได้อีกแล้ว”

ฮั่วชิงชิงเห็นสีหน้าของหมอ จิตใจห่อเหี่ยวในทันที

“ไม่สามารถรักษาลูกของคุณไว้ได้ เนื่องจากคุณมีเนื้องอกที่ส่วนหลังของคุณ โรคนี้กระทบต่อการพัฒนาของเด็ก ดังนั้นในตอนที่ทำการผ่าตัดเนื้องอก เด็กจึงไม่รอด…” หมอพูด “แต่ว่า คุณฮั่วยังอายุน้อย มีโอกาสอีกมากมายในอนาคต ครั้งนี้คุณรักษาตัวให้ดี อีกหนึ่งปีค่อยมีลูกก็ไม่มีปัญหาค่ะ!”

มือของฮั่วชิงชิง กุมหน้าท้องอย่างอดไม่ได้ ในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยหยดน้ำในทันที

ลูกของเธอตายไปแล้วจริง ๆ! เดิมทีเธอคิดไว้ว่า บนโลกนี้จะมีคนที่คอยอยู่ข้างเธอโดยไร้เงื่อนไขใด ๆ แต่ว่าชั่วพริบตา ก็จากไปแบบนี้แล้ว!

ก่อนหน้านี้หมอเคยได้ยินหันจื่ออี้พูดว่า อารมณ์ของฮั่วชิงชิงไม่คงที่ แล้วก็เป็นห่วงว่าเธอจะเสียใจจนปล่อยวางไม่ได้ จึงพูดขึ้นอีก “คุณฮั่วคะ ฉันเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้คุณฟังได้ไหมคะ?”

ฮั่วชิงชิงกำผ้าปูที่นอนไว้ เธอกัดริมฝีปาก แล้วร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร

หมอเริ่มพูด “กาลครั้งหนึ่งมีเด็กสาวคนหนึ่ง เมื่อเธอเกิดมา พ่อแม่ของเธอก็จากไป เธอถูกพ่อแม่บุญธรรมรับเลี้ยง แต่พ่อแม่บุญธรรมออกไปล่าสัตว์ ก็ถูกสัตว์ป่ากิน”

เธออยู่คนเดียวในเขาลึก ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาก จนกระทั่งได้พบกับเด็กชายคนหนึ่ง

เด็กชายดีกับเธอมาก พาเธอออกจากที่นั่น แถมยังทำให้เธอได้พบเจอกับโลกภายนอก

แต่ว่าครอบครัวของเด็กชายฐานะดีมาก ถึงเขาจะชอบเด็กหญิง แต่ก็ต้องหมั้นหมายกับเด็กผู้หญิงที่ฐานะเหมาะสมกัน

ดังนั้นเด็กหญิงจึงตัวคนเดียวอีกครั้ง

แต่ว่า ในตอนที่เธอเตรียมตัวจะจากไป ถึงได้พบว่าตัวเองตั้งท้องแล้ว”

เดิมทีฮั่วชิงชิงไม่มีจิตใจจะฟัง แต่ว่าได้ฟังถึงตรงนี้ ก็ถูกดึงดูดโดยไม่รู้ตัว

หมอพูดต่อ “เธออยากใช้เด็กในท้องผูกมัดเด็กชาย เธอนัดเจอกับเด็กชาย แต่ว่ากลางทาง เธอกลับเห็นเด็กชายกับคู่หมั้นของเขาจูบกันอยู่ในรถ เธอรู้สึกเหมือนโลกสิ้นสลายชั่วขณะ ไม่ได้สังเกตรถที่แล่นผ่านไปมา จึงถูกชนจมกองเลือด”

ฮั่วชิงชิงใจสั่น เหมือนกับว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ใช้ชีวิตเจ็บปวดกว่าเธอเยอะมาก

“แน่นอนว่า ลูกของเด็กหญิงตายแล้ว เธออยู่ตามลำพังในเมืองใหญ่ พูดได้ว่าไม่มีอะไรติดตัวเลย” หมอพูด “แต่ว่า คนที่ขับรถชนเธอ กลับให้งานเธอ หลังจากที่เธอแผลหาย”

“ตอนแรกเธอทำอะไรไม่เป็นเลย และก็ไม่มีความสุขมาก ๆ แต่ว่าในตอนที่ได้เห็นคุณป้าแม่บ้านของบริษัทที่งานยุ่งทุกวัน แต่ยังมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทั้ง ๆ ที่ร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ กลับพูดว่าตัวเองกำลังออกกำลังกายอยู่

ในตอนที่รู้ว่าเพื่อนร่วมงานผู้ชายข้างโต๊ะผลงานดีเลิศ แต่ว่ากลับบ้านไปทุก ๆ วันจะต้องดูแลพ่อที่พิการ…

ยังมีเรื่องราวประมาณนี้อีกเยอะแยะ ทำให้เธอรู้ว่า สิ่งที่เธอเห็นคือด้านผ่อนคลายของคนอื่น แต่ไม่ใช่ความทุกข์ที่คนอื่นเก็บซ่อนไว้ลึก ๆ ในตอนนั้นเธอถึงได้พบว่า ที่แท้ตัวเองร่างกายแข็งแรง อายุยังน้อย และก็ยังมีอนาคตที่รออยู่ มันดีกว่าหลาย ๆ คนมาก”

“ดังนั้น เธอเริ่มพยายามศึกษาทำงาน ขยันขันแข็ง เธอไม่ใช่ลูกคนรวย แต่กลับทำให้ตัวเองเปลี่ยนเป็นคนรวยรุ่นแรก ท้ายที่สุดก็ได้รับความรักที่มีความสุข”

หมอพูดจบ ก็หันไปพูดกับฮั่วชิงชิง “คุณฮั่วคะ นี่เป็นเรื่องจริง ผู้หญิงในเรื่องก็คือคุณแม่ของฉันเองค่ะ”

ฮั่วชิงชิงเงยหน้า มองไปทางหมอ ดวงตาของเธอค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น

ขณะที่หมอพูด ก็คิดถึงหันจื่ออี้ จากนั้นก็ตบบ่าฮั่วชิงชิงเบา ๆ “ใช้ชีวิตต่อไปให้ดี แบบนี้ถึงจะไม่ทำให้คนที่ทุ่มเทเพื่อคุณหลาย ๆ คนผิดหวัง”

เพราะมีส่วนผสมที่ทำให้สงบในยาแก้อักเสบ ดังนั้นหลังจากที่หันจื่ออี้ตื่นมาครั้งแรก ก็หลับไปอีก

ในตอนที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ค่ำแล้ว

เขารู้สึกว่าเทียบกับที่ตื่นมาเมื่อครู่ร่างกายดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว เหมือนว่าเดิมทีแทบจะขยับไม่ได้ ตอนนี้สามารถพึ่งพาพละกำลังของตัว ฝืนลุกขึ้นนั่ง

พยาบาลที่อยู่ด้านข้างเห็นเขาขยับ จึงรีบเข้ามา “คุณหันคะ ตอนนี้คุณต้องพักผ่อนเยอะ ๆ คุณต้องการอะไร ฉันช่วยคุณไหมคะ?”

หันจื่ออี้พูด “ภรรยาของผมเป็นยังไงบ้างแล้ว? เธอตื่นแล้วยัง? รู้สึกว่าดีหรือไม่ดี?”

“ภรรยาของคุณ…” พยาบาลหยุดพูดกลางคัน

“เธอทำไม?” หันจื่ออี้หนักใจ

“ภรรยาของคุณพบว่าเธอไม่ได้ตั้งครรภ์ ดังนั้นเมื่อครู่พวกเราหมดหนทาง จึงบอกเธอไปว่าลูกไม่อยู่แล้ว” พยาบาลพูดขออภัย

“งั้นเธอเชื่อไหมครับ?” หันจื่ออี้พูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น “หลังจากที่เธอได้ฟัง อารมณ์เป็นยังไงบ้าง?”

“เธอเชื่อแล้ว แต่ว่าอารมณ์ตกต่ำนิดหน่อย” พยาบาลพูด “แต่ว่าพวกเราพูดโน้มน้าวเธอแล้ว เธอน่าจะรับได้ในไม่ช้า”

หันจื่ออี้ได้ฟังแล้วหนักใจนิดหน่อย

ไม่ได้ เขารู้สึกว่าดูกับตาตัวเองถึงจะวางใจ

เวลาที่เขารู้จักกับฮั่วชิงชิงก็ถือว่าไม่สั้น หลังจากทั้งสองแต่งงานกันก็อยู่ด้วยกันกว่าครึ่งปี ภายนอกฮั่วชิงชิงดูค่อนข้างอ่อนแอ

เธอมีหลักการของตัวเอง ในหลาย ๆ ครั้ง เธอซ่อนความทุกข์ของเธอไว้อย่างดี ไม่เคยแสดงออกใด ๆ ทั้งสิ้น

เขาเข้าใจ ถ้าเธอรู้ว่าเขาบริจาคไตให้เธอ เธอไม่เอาแน่นอน ไม่แน่อาจจะเกิดผลข้างเคียง

คิดถึงตรงนี้ หันจื่ออี้ขยับร่างกายเบา ๆ อีกครั้ง แต่พบว่าตัวเองยังขยับไม่ค่อยได้ จึงตัดสินใจนอนรักษาตัวสักหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปเยี่ยมเธอ

วันนั้น ตอนกลางวันฮั่วชิงชิงหลับ ๆ ตื่น ๆ พอถึงตอนดึก จู่ ๆ กลับกระปรี้กระเปร่า

เธอลืมตา พบว่าตัวเองไม่มีความง่วงสักนิด จึงอดไม่ได้ที่จะลูบท้องน้อยของตัวเอง

ตรงนั้นเดิมทีมีชีวิตน้อย ๆ อยู่ แต่ว่ากลับอยู่ในร่างกายของเธอไม่ถึงหนึ่งเดือน ก็จากไปแล้ว

เธอไม่ใช่แม่ที่ได้มาตรฐาน แม้แต่เด็กคนหนึ่งก็รักษาไว้ไม่ได้

ส่วนพ่อของเด็ก…

ฮั่วชิงชิงนึกขึ้นได้ว่า หันจื่ออี้ไปทำงานนอกสถานที่สามวันแล้ว แต่กลับไม่มีข่าวคราวสักนิด

เกรงว่าแม้แต่เรื่องที่ลูกของเธอไม่อยู่แล้ว เขาก็คงไม่รู้เลย!

เธอรู้สึกจุกอก เข้าใจปัญหาระหว่างพวกเขา แต่ว่าไม่ว่ายังไง ก็ผ่านอุปสรรคนี้ไปไม่ได้

เธอคิดไว้ ถ้าหากลูกของเธอเกิดมาได้อย่างราบรื่น บางทีเพื่อเด็ก พวกเขาคงจะลืมเรื่องที่ไม่มีความสุขพวกนั้นไปชั่วคราว แล้วตั้งใจดูแลลูกจนเติบใหญ่ หรือสักวัน จะสามารถคลายปมนั้นไปได้จริง ๆ

แต่ว่าตอนนี้ตัวเชื่อมโยงเพียงหนึ่งเดียวไม่อยู่แล้ว เช่นนั้น…

มือของเธอจับผ้าห่มไว้ เป็นเพราะออกแรงมาก ผ้าห่มถูกเธอจับจนเป็นรอยยับไปหมด

ด้วยการออกแรงแบบนั้น ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจบางอย่างได้

เธอกับหันจื่ออี้ไม่มีทางเป็นไปได้ แทนที่ทุกคนจะเจ็บปวด แทนที่จะรบกวนเขา สู้ปล่อยวางกันและกันดีกว่า

ก่อนหน้านี้ เธอไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริง ๆ แต่ว่าหลังจากที่มีลูก ความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนั้น ทำให้เธอรู้สึกว่าคนเราไม่ควรจะจมดิ่งอยู่กับความเจ็บปวด เพราะว่าไข่ที่ปฏิสนธิขนาดเล็กสามารถพัฒนาเป็นคนได้ ทำไมเธอจะต้องทอดทิ้งชีวิตหนึ่งไปง่าย ๆ?

ดังนั้นรอให้เขากลับมา เธอจะคุยกับเขาให้ชัดเจน

นับตั้งแต่นี้ไป ก็เลิกขาด ไม่ต้องเจอกันอีก!

ขณะที่ฮั่วชิงชิงครุ่นคิด เธอก็ค่อย ๆ หลับไป

วันต่อมา หลังจากที่หันจื่ออี้ตื่นมา แล้วถามพยาบาล ได้ยินว่าฮั่วชิงชิงก็ตื่นแล้ว เขาจึงคิดหาวิธีล่อพยาบาลออกไป จากนั้นก็พยายามลุกนั่งบนเตียง

หลังจากที่ปรับร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ขยับขา จากนั้นก็พยุงลุกขึ้น

ยังคงเจ็บแผลอยู่มาก แต่ว่า ความรู้สึกแบบนี้สำหรับหันจื่ออี้แล้ว ไม่นับประสาอะไร

เขาหยิบเสื้อผ้าปกติจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเปลี่ยน หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าตัวเองดูไม่เหมือนคนป่วย เขาก็แอบออกจากห้องพักผู้ป่วย

ห้องพักผู้ป่วยของเขากับฮั่วชิงชิง ห่างกันเพียงสองห้อง

หันจื่ออี้เดินถึงหน้าประตู เห็นพยาบาลเดินออกมาจากห้องของฮั่วชิงชิง เขาจึงแอบเข้าไปโดยไม่ให้ซุ่มเสียง

เธอเพิ่งได้รับการผ่าตัดใหญ่ เทียบกับเขาแล้ว ร่างกายของเธอแย่กว่ามาก

ดังนั้นฮั่วชิงชิงนอนอยู่บนเตียง สีหน้าดูซีดเซียวมาก ไม่ได้เจอเพียงไม่กี่วัน เหมือนกับผอมลงไปเยอะมาก เพราะแบบนี้ตาจึงดูโตขึ้น

ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ฮั่วชิงชิงคิดว่าเป็นหมอ เธอไม่ได้หันหน้าไป แต่กลับถามขึ้นโดยตรง “หมอคะ นานแค่ไหนกว่าแผลจะหายเจ็บ?”

เพียงแต่ หลังจากที่เธอถาม ไม่ได้ยินคำตอบจากหมอ

ฮั่วชิงชิงจึงหันหน้ามา ก็เห็นเงาที่คุ้นเคย

เพราะว่าเธอนอนอยู่ ดังนั้นจึงดูหันจื่ออี้สูงกว่าเมื่อก่อน แต่ว่าแสงแดดส่องไปที่หน้าเขา ฮั่วชิงชิงกลับเห็นสีหน้าของเขาซีดขาวเล็กน้อย

เธออดไม่ได้ที่จะกะพริบตา มองดูเขามากกว่าเดิม

เขาดูเหมือนจะผอมลง สีหน้าดูอ่อนแรง ริมฝีปากแดงชุ่มเมื่อก่อน ตอนนี้ดูเข้มขึ้นเล็กน้อย

ผมของเขายุ่งเล็กน้อย ใบหน้ามีหนวดสั้น ๆ เหมือนกับไม่ได้โกนมาหลายวันแล้ว

ทำไมเขาถึงกลายเป็นแบบนี้?

ฮั่วชิงชิงสงสัยอยู่ในใจ แต่ว่าเมื่อคิดได้ว่าจะตัดความสัมพันธ์กับเขา เธอจึงเก็บความสงสัยเอาไว้

เขาคงไปทำงานนอกสถานที่จนเหนื่อยสินะ? เขาต้องบริหารส่วนของHuo Group กับ บริษัทซอฟต์แวร์ในประเทศในเวลาเดียวกัน จะต้องเหนื่อยมากแน่นอน

ก็ดี เธอเลิกกับเขา ต่อไปเธอเรียนบริหาร Huo Groupด้วยตัวเอง เขาจะได้มุ่งมั่นกับธุรกิจบริษัทซอฟต์แวร์ของตัวเอง ไม่ถึงกับต้องเหนื่อยจนร่างกายย่ำแย่

เพียงแต่เมื่อคิดได้ว่าจะแยกกันแล้ว หัวใจของฮั่วชิงชิง ก็เจ็บปวดเหมือนกับถูกอะไรบางอย่างฉีกขาด

จากนัน ภาพคืนนั้นที่พ่ออ้วกออกมาเป็นเลือด ใบหน้าของพ่อเต็มไปด้วยความหมดหวังคุกเข่า คำนับอยู่ต่อหน้าหันจื่ออี้ ไม่หยุด ทำให้เดิมทีหัวใจของฮั่วชิงชิงที่สั่นคลอน ก็เด็ดเดี่ยวอีกครั้ง!

บางทีพวกเขาคงจะไม่มีโชคชะตาต่อกันจริง ๆ!

ไม่ว่าจะยืนอยู่ในมุมของเขาหรือว่าของเธอ เป็นพ่อแม่ที่สนิทกัน ความเกลียดชังแบบนี้ จะแก้ไขมันได้ยังไง?

แม้แต่ความหวังเดียว…ลูกในท้องของเธอ ก็ไม่เหลือแล้ว! ดังนั้น พวกเขาเป็นไปไม่ได้จริง ๆ!

เธอบีบบังคับสายตาตัวเองไม่ให้มองเขาอีก

แต่ว่าถึงจะไม่ดู ฮั่วชิงชิงก็สามารถรู้สึกได้ว่า หันจื่ออี้เดินเข้ามาทีละก้าว จนถึงข้างเตียงของเธอ

หันจื่ออี้เดินออกไป โทรหาเพื่อนตัวเองที่อยู่ต่างประเทศ หลังจากสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษเป็นพรวน ได้คำตอบที่สิ้นหวังเหมือนเดิม

เขารู้สึกหดหู่ นั่งบนโซฟา ครั้งแรกที่รู้สึกว่าที่แท้ชีวิตสามารถอ่อนแอได้เพียงนี้

ขณะนี้ มือถือของเขาดังขึ้น หันจื่ออี้มองเป็นมูลนิธินั้นโทรมา

เขากดรับสาย ก็ได้ยินอาสาสมัครบอกกับเขา “คุณหัน เราเพิ่งค้นเจอ ก่อนหน้านี้ในฐานข้อมูลของเราลบผิดพลาดไป คุณต้องการติดต่ออาสาสมัครคนก่อนมาเติมให้ครบไหม?”

“ฐานข้อมูลอะไร?”หันจื่ออี้จับมือถือแน่น

“ข้างในยังมีข้อมูลของคุณหันด้วย…”อาสาสมัครพูดขึ้น

หันจื่ออี้ได้ยินประวัติของเขา ใจสั่นในทันที

ข้อมูลฐานข้อมูลสูญหายล่ะก็ หมายความว่าถ้าหากเดิมที่มีข้อมูลที่เหมาะสม เพราะข้อมูลสูญหาย เป็นไปได้ว่าจะหาข้อมูลที่ถูกต้องไม่เจอ…

เขารีบพูด “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

ในเมื่อเขาเรียนจบด้านซอฟต์แวร์ เก่งเทคโนโลยีด้านนี้ เพราะฉะนั้น หันจื่ออี้กู้ข้อมูลที่ลบพลาดไปในเวลาครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็เห็นข้อมูลตัวเองที่ลงทะเบียนเมื่อหลายปีก่อน

เขาโทรแจ้งทางโรงพยาบาลทันที ให้พวกเขาอัปเดตฐานข้อมูลไปพร้อมกัน ดูว่ามีข้อมูลไตที่เข้ากันได้กับฮั่วชิงชิงไหม

ทางด้านโรงพยาบาล เพราะความสัมพันธ์ระหว่างหันจื่ออี้กับคณบดีเฉิน ก็ทำงานอย่างอดหลับอดนอน

ตอนหันจื่ออี้ได้รับสาย ก็เป็นเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น

เขาเพิ่งตื่น เทน้ำอุ่นแก้วหนึ่งให้ฮั่วชิงชิง ก็ได้ยินมือถือของตัวเองดัง

เขารีบรับสาย และได้ยินคุณหมอพูดกับเขา “คุณหัน เจอไตที่เข้ากับภรรยาคุณได้แล้ว”

“จริงเหรอ?!” หันจื่ออี้ยืดตัวตรงทันที แก้วน้ำในมือถูกการกระทำเขา ทำให้น้ำหกโดนมือไม่น้อย

หลานวันมานี้ เป็นครั้งแรกที่ฮั่วชิงชิงเห็นหันจื่ออี้เสียอาการขนาดนี้ หันมองไปอย่างห้ามไม่ได้

เธอเห็น ดวงตาหันจื่ออี้เป็นประกาย ที่แก้มมีรอยยิ้มที่ผ่อนคลายที่หายไปนาน

รอยยิ้มแบบนี้ เทียบกับรอยยิ้มที่เขายิ้มให้เธอ ดูมีความสุขกว่ามาก

ใครโทรหาเขากันแน่?

เพียงแต่หันจื่ออี้คิดได้ว่าเธออยู่ ดังนั้นก้าวเท้ายาวออกไป

เขาพูดกับหูฟังว่า “ใคร? อยู่เมืองไหน? ติดต่อได้ไหม?”

คุณหมอนิ่งไป เปิดปากพูด “คุณหัน คนนั้นก็คือคุณ”

หันจื่ออี้อึ้ง พูดย้ำอีกครั้ง “ผม?!”

คุณหมอตอบ “ใช่ เราตรวจข้อมูลแล้ว ข้อมูลที่คุณลงทะเบียนก่อนหน้านี้ เข้ากันได้สมบูรณ์กับภรรยาคุณ”

หันจื่ออี้กะพริบตา จู่ ๆรู้สึกโชคชะตาบนโลกใบนี้ช่างมหัศจรรย์มากจริงๆ

ตอนเขาหมดสิ้นหนทาง จู่ ๆก็เจอว่าตัวเองก็คือคนที่สามารถช่วยฮั่วชิงชิงได้

เพียงเพราะข้อมูลที่เขาลงทะเบียนก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้น หลายวันมานี้ ไม่เคยคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ข้อมูลจะถูกลบ และไม่ไปตรวจสอบอีกครั้ง

ตอนนี้ ความรู้สึกที่เซอร์ไพรส์ถึงพุ่งขึ้นมาภายหลัง เสียงของหันจื่ออี้สั่นนิดๆ “งั้นเราจะเปลี่ยนไตได้เมื่อไร?”

“ยังต้องตรวจร่างกายของคุณอย่างครบถ้วน ถึงอย่างไรก็ผ่านมาแล้วหลายปี ข้อมูลตอนนั้นอาจไม่แม่นยำ”คุณหมอบอก “ผมถึงโรงพยาบาล 9โมงเช้า ถึงเวลานั้นจะจัดการตรวจให้”

หันจื่ออี้พูดอย่างรีบร้อน “ครับ ขอบคุณ ถ้าหากไตไม่มีปัญหา ถ้างั้นผ่าตัดยิ่งเร็วยิ่งดี”

วันนั้น ฮั่วชิงชิงเห็นหันจื่ออี้หายไป

ตอนเขาไป บอกแค่ว่าตัวเองมีงานที่บริษัท ดังนั้นไม่อยู่สักพัก ให้เธอเชื่อฟังคำพูดของพยาบาล ดูแลตัวเองให้ดี

ถึงตอนกลางคืน หันจื่ออี้ถึงกลับมา ดูแล้วเหมือนเหนื่อยล้ามาก

ร่างกายของเธอเริ่มสะลึมสะลือ ในตอนที่เบลอๆ ฮั่วชิงชิงได้ยินหันจื่ออี้พูดข้างหูเธอว่า “ชิงชิง อีกไม่นานคุณก็จะดีขึ้นแล้ว โลกใบนี้มีปาฏิหาริย์ ตอนนี้ผมเริ่มเชื่อแล้ว ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ”

เธอไม่เข้าใจเขา และร่างกายหนักอึ้ง เธอคิดในใจ ที่แท้การท้องเป็นเรื่องที่เจ็บขนาดนี้

ไม่ช้าวันรุ่งขึ้นก็มาถึง หลังจากฮั่วชิงชิงลืมตาขึ้น ไม่เห็นหันจื่ออี้ และที่นอนข้างตัวเธอเหมือนว่างมานาน เห็นชัดว่าเขาไปตั้งแต่เช้า

เธอรู้สึกไม่ค่อยชิน กำลังคิดจะต่อต้าน พยาบาลก็เดินเข้ามา บอกกับเธอ“คุณผู้หญิง คุณผู้ชายไปทำงานนอกสถานที่ตั้งแต่เช้า การทำงานนอกสถานที่ครั้งนี้กินเวลานานหน่อย เกรงว่าหลายวันถึงจะกลับมาได้”

ฮั่วชิงชิงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร

คุณหมอเดินเข้ามา พูดกับฮั่วชิงชิง “คุณฮั่ว คุณต้องรับการตรวจทุกด้าน”

วันนั้น ฮั่วชิงชิงตรวจทุกรายการเสร็จ ก็ถูกส่งไปที่ห้องสังเกตอาการห้องหนึ่ง

หันจื่ออี้ก็นอนในห้องสังเกตอาการเหมือนกัน เพียงแต่ระหว่างพวกเขา มีประตูหนึ่งคั่นอยู่

ปิดประตู คณบดีเฉินมาหยุดตรงหน้าหันจื่ออี้ พูดกับเขา “ประธานหัน ผมรู้จักกับคุณมานาน รู้ว่าคุณชอบเล่นบอล หลังจากนี้ผมว่าคุณคงไม่ใช่คู่แข่งของพวกผมแล้ว!”

พวกเขาเป็นเพื่อนต่างวัย ลูกน้องคณบดีเฉินหลายคน เคยถูกทีมที่หันจื่ออี้อยู่ตียับ

หันจื่ออี้ยิ้ม “ก็แค่ตัดไตข้างหนึ่งทิ้ง พูดกันว่าคนเราต้องการใช้ไตทำงานแค่ 75% ก็ไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ?”

“พูดแบบนี้ก็จริง แต่มีผลกระทบกับร่างกายแน่นอน”คณบดีเฉินพูด“โชคดีที่เป็นภรรยาคุณ ถ้าหากเป็นคนอื่น ผมห้ามคุณแน่นอน”

“คุณที่เป็นหมอทำไมถึงพูดแบบนี้ ควรช่วยชีวิตคนใกล้ตายและดูแลรักษาคนที่บาดเจ็บ ไม่ใช่เห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยเหรอ?”หันจื่ออี้พูดหยอกล้อ

“ก็จริง ควรช่วยชีวิตคนใกล้ตายและดูแลรักษาคนที่บาดเจ็บ แต่การผ่าตัดมีความเสี่ยง และทำไมคนเราถึงมีไตสองข้าง ในเมื่อมีอยู่ก็มีเหตุผลของการดำรงอยู่” คณบดีเฉินถอนหายใจ “ยังไงก็ตาม ใน1ปีนี้ คุณหยุดคิดเรื่องสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และห้ามออกกำลังกายอย่างหนัก”

“ได้ ผมรู้แล้ว” หันจื่ออี้หัวเราะ “ลูกชายคุณยังมีแฟนสาวเลย ทำไมถึงจู้จี้เหมือนสาวแก่ไปได้?”

“ยังกล้าพูดกับผู้ใหญ่แบบนี้?” คณบดีเฉินแกว่งหมัดไปมา “อีกเดี๋ยวผมจะให้พวกลูกน้องสั่งสอนคุณ”

หันจื่ออี้แสร้งทำเป็นขอความเมตตา “ไม่เป็นไร คุณหมอบอกว่าหลังผ่าตัดผมต้องนอนพัก 1 สัปดาห์ ผมไม่กล้าทำให้พวกลูกน้องของคุณไม่พอใจ”

“โธ่ ดูแลตัวเองดีๆ”คณบดีเฉินพูด “รออีก 2 ปี ร่างกายพวกคุณดีขึ้นแล้ว ค่อยมีลูก!”

“ได้ ผมจะจำไว้”หันจื่ออี้พยักหน้า

คณบดีไปแล้ว หันจื่ออี้และฮั่วชิงชิงหลังจากดูอาการก่อนผ่าตัดแล้ว ถูกส่งไปที่เตียงผ่าตัดพร้อมกัน

ขณะนี้ ประตูระหว่างพวกเขาเปิดออกแล้ว เพียงแต่หันจื่ออี้รู้ว่าฮั่วชิงชิงอยู่ข้างๆ แต่ฮั่วชิงชิงกลับไม่รู้ว่าหันจื่ออี้อยู่

เริ่มผ่าตัด ทั้งสองถูกวางยาสลบ ลำดับก็คือเอาไตของหันจื่ออี้ออกมา แล้วรีบส่งไปที่ห้องผ่าตัดด้านข้าง ปลูกถ่ายให้ฮั่วชิงชิง

เหมือนเป็นความฝันที่ยาวนาน ตอนหันจื่ออี้ลืมตาขึ้น ก็นอนอยู่ในห้องคนไข้แล้ว

เขาอยากลุกขึ้น กลับรู้สึกตัวหนักมาก เกือบจะขยับตัวไม่ได้

มีพยาบาลได้ยินเสียงเคลื่อนไหวก็รีบเข้ามาทันที เปิดปากพูด“คุณหัน ตอนนี้คุณยังลุกขึ้นไม่ได้ และห้ามดื่มน้ำชั่วคราว ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”

หันจื่ออี้พูด “ไม่เป็นไรมาก ภรรยาผมล่ะ?เธอเป็นยังไงบ้าง?ผ่าตัดสำเร็จไหม?”

“เธอยังไม่ฟื้น แต่ผ่าตัดเป็นไปด้วยดี คุณสบายใจได้” พยาบาลบอก“พยาบาลที่คุณจ้างอยู่กับเธอตลอดเวลา ดังนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วง และแผลของคุณต้องใช้เวลาในการสมาน ระหว่างนี้ห้ามขยับเด็ดขาด”

“อืม ผมเหมือนไม่เคยอ่อนแอขนาดนี้มาก่อน”หันจื่ออี้ยิ้มเยาะตัวเอง

ตอนเด็ก เพราะโดนพ่อตีจนโต ไม่กลัวเจ็บ ร่างกายกลับนับวันยิ่งแข็งแรง

เพราะเขาป่วยไม่ได้ ถ้าหากป่วยจริง บางทีแม่ของเขาคงจบเห่แน่

ต่อมาไปเรียนที่ต่างประเทศ มีพ่อเลี้ยงค่อยดูแล อยู่ดีกินดี ร่างกายยิ่งแข็งแรงขึ้นเป็นธรรมดา

ปกติเป็นหวัดน้อยมาก สภาพแย่เหมือนตอนนี้ เป็นครั้งแรกจริงๆ

เขาดื่มน้ำไม่ได้ ตอนนี้พึ่งแต่น้ำเกลือ ห้ามเคลื่อนไหว ถึงขนาดทำงาน ก็ต้องพึ่งพาผู้ช่วยหวังมาแล้วเสร็จ

หลายชั่วโมงต่อมา ในอีกห้องหนึ่ง ฮั่วชิงชิงลืมตาขึ้น

เธอรู้สึกร่างกายหนักอึ้งจนทรมาน แต่เทียบกับก่อนหน้านี้ เหมือนร่างกายดีขึ้นหน่อย ถึงจะขัดนิดๆ แต่มีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

เห็นพยาบาลเข้ามา เธออดถามไม่ได้ “คุณพยาบาล เมื่อกี้ฉันเป็นอะไรกันแน่? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าตัวเองเข้ารับการผ่าตัด?”

พยาบาลยิ้มให้เธอ “คุณฮั่ว คุณแค่ตรวจธรรมดา คุณไม่ต้องกังวล”

แต่ฮั่วชิงชิงมองนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง

และเธอจำได้แม่น ก่อนหมดสติ ก็เป็นตอนเช้าตรู่เหมือนกัน

เธอหมดสติไป 1 วัน 1 คืน ?!

สภาวะแบบนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และร่างกายผิดจากเมื่อก่อน จุดนี้เธอเป็นเจ้าของร่าง เป็นธรรมดาที่จะรู้ชัด

เพราะฉะนั้น ฮั่วชิงชิงอดไม่ได้ที่จะร้อนใจ พูดกับพยาบาล “คุณหมอ ฉันรู้ว่าไม่ใช่การตรวจธรรมดา พวกคุณทำอะไรกับฉันกันแน่?”

หมอเจ้าของไข้ได้ยินการเคลื่อนไหว เดินเข้ามา พูดกับฮั่วชิงชิง “คุณฮั่ว ร่างกายคุณยังไม่ฟื้นตัว พยายามอย่าตื่นเต้น แบบนี้ไม่ดีต่อการฟื้นตัวของร่างกาย”

“พวกคุณอย่าหลอกฉัน! ลูกฉันล่ะ? ลูกยังอยู่ไหม?”มือฮั่วชิงชิงลูบไปที่ท้องน้อยอย่างห้ามไม่ได้ ตรงนั้นราบเรียบ เหมือนไม่ได้ท้อง และความเจ็บที่ด้านหลังเอว ลักษณะเหมือนได้รับบาดเจ็บอย่างนั้น

เธอเริ่มรู้สึกตระหนก แต่ขยับร่างกายไม่ได้ ดังนั้นสองมือจับราวทั้งสองข้างตัว ตะโกนเสียงดัง “ถ้าหากพวกคุณไม่บอกความจริงกับฉัน ตอนนี้ฉันจะกระโดดลงมาจากตรงนี้! ฉันไม่รักษาแล้ว!”

คุณหมอไม่คิดว่าเธอจะเด็ดขาดขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เห็นเธอเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อย พูดน้อย ตอนนี้แสดงท่าทางดื้อรั้น ทำให้คนรู้สึกว่าเธอพูดจริงทำจริง

พยาบาลรีบเข้าไปห้ามฮั่วชิงชิง เธอกลับพูดกับหล่อนว่า “คุณไม่สามารถเฝ้าฉันได้ 24 ชั่วโมง ถ้าหากพวกคุณไม่บอกความจริงกับฉัน ฉันก็จะดึงสายน้ำเกลือออก โดดลงไปจากตรงนี้”

เห็นฮั่วชิงชิงเงียบ หันจื่ออี้พูดต่อ “ชิงชิง โดยทั่วไป10วันหลังจากท้อง เป็นการตรวจที่แม่นยำแล้ว รอ2-3วัน ผมไปโรงพยาบาลตรวจเป็นเพื่อนคุณดีไหม?”

ฮั่วชิงชิงไม่ได้พูดอะไร หันจื่ออี้พูดต่อ “แต่คุณสบายใจได้ ในเมื่อคุณไม่ต้องการ งั้นผมรอคุณอยากได้ค่อยว่ากัน หลายวันนี้ ผมจะไม่แตะต้องคุณ”

ฮั่วชิงชิงโล่งใจ ในที่สุดก็พยักหน้า

หลายวันต่อมา หันจื่ออี้พูดได้ทำได้ ทั้งสองคนแม้จะนอนด้วยกัน แต่เขาไม่ได้แตะต้องเธออีก

เธอนอนหลับบนข้อพับแขนเขาทุกคืน แม้ว่าไม่พูดกับเขา แต่หันจื่ออี้มองออก เธอเริ่มผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ และรับกลิ่นของตัวเขาได้อย่างไม่รู้ตัว

ในที่สุดก็ถึงวันที่ฮั่วชิงชิงต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล

หันจื่ออี้ขับรถพาฮั่วชิงชิงไปถึงโรงพยาบาลราษฎร ลงทะเบียนแผนกสูตินรีเวช แล้วเจาะเลือดรอผล

ฮั่วชิงชิงเจาะเลือด รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ดังนั้นลุกขึ้นก็ไป

หันจื่ออี้เป็นห่วงเธอนิดๆ เลยเรียกผู้หญิงคนหนึ่งตามไป

หลายวันนี้ ฮั่วชิงชิงอัตราปวดเบาค่อนข้างน้อย หลายครั้งรู้สึกอยากเข้าแท้ๆ แต่ว่านั่งไปค่อนวันก็ไม่ออกมา

วันนี้ก็ยังเป็นแบบนั้น ตอนที่เธอรู้สึกเหมือนคิดผิด จู่ ๆก็มีฉี่สีเข้มออกมาหลายหยด

ฮั่วชิงชิงรู้สึกเจ็บนิดๆ ก้มไปมองปรากฏว่าเป็นสีชาเขียว!

เธอรู้สึกกลัวนิดๆ หลังจากเช็ดเสร็จ ยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก กำลังจะออกมาก็รู้สึกเวียนหัว

ถึงขนาดกลิ่นของห้องน้ำกระแทกเข้าจมูกไม่หยุด เธอรู้สึกคลื่นไส้ อ้วกออกมาอย่างห้ามไม่ได้

หรือว่าจะท้องจริงๆ? หลายวันก่อน เธอก็ไม่อยากอาหาร หากไม่ใช่หันจื่ออี้บังคับเธอกิน เธอไม่อยากจะกินแม้แต่คำเดียวจริงๆ

และตอนนี้ หลังอ้วกเสร็จ หน้าอกรู้สึกอึดอัดเหมือนเดิม

ฮั่วชิงชิงเปิดประตูออกจากห้องน้ำอยากยากลำบาก เพิ่งเดินได้ 1 ก้าว ร่างกายก็อ่อนแรง เป็นลมล้มลงไป

หญิงสาวคนนั้นได้รับคำสั่งของหันจื่ออี้ให้เฝ้าที่หน้าประตู ดังนั้นฮั่วชิงชิงเป็นลม เธอรีบยื่นมือไปประคอง

เพียงแต่ ต่างก็เป็นผู้หญิง ฮั่วชิงชิงผอมแค่ไหน เธอก็ประคองไม่ค่อยไหว รีบตะโกนออกไปข้างนอก “มีคนเป็นลม!”

หันจื่ออี้หัวใจบีบตัวแรง ไม่สนว่านี่คือห้องน้ำหญิง ก็ก้าวเท้ายาวเข้าไป

ตอนเห็นว่าเป็นฮั่วชิงชิงจริงๆ เขารีบยื่นแขนไปอุ้มเธอขึ้น พูดขอบคุณหญิงสาวคนนั้น แล้วรีบเดินไปข้างนอก

เวลานี้ ด้านแผนกสูตินรีเวชผลตรวจออกมาแล้ว ให้บิลสองใบกับหันจื่ออี้

ใบหนึ่ง เป็นผลตรวจจริง ฮั่วชิงชิงไม่ได้ท้องจริงๆ

อีกใบหนึ่ง เป็นผลที่หันจื่ออี้บอกให้ทำก่อนหน้านี้ ด้านบนแสดงผลเป็นบวก

ก่อนหน้านี้เขากลัวเธอหมดอาลัยตายอยาก เพราะฉะนั้นก็คิดว่าถ้าหากไม่ท้อง งั้นก็ทำผลปลอมขึ้นมาหนึ่งใบ รอสภาพจิตใจของเธอค่อยๆดีขึ้น ค่อยทำให้เป็นจริง

และตอนนี้เห็นว่าไม่ท้อง ฮั่วชิงชิงยังเป็นลมไป ในใจหันจื่ออี้เกิดสัญญาณเตือนภัยขึ้น

เธอไม่สบายรึเปล่า?!

เขาก้มมองผู้หญิงในอ้อมกอด หน้าของเธอซีดขาว ริมฝีปากมีคราบน้ำ เลยถามหญิงสาวที่ไปห้องน้ำพร้อมกับฮั่วชิงชิงคนนั้น เห็นอะไรหรือเปล่า

หญิงสาวตอบ “เหมือนได้ยินเสียงอ้วก”

หันจื่ออี้ขมวดคิ้วแน่น ยิ่งร้อนใจอุ้มฮั่วชิงชิงเดินตรงไปที่อายุรกรรม

เริ่มต้นจากการเจาะเลือดตรวจ เขาคิดอะไรได้ เลยโทรหาแม่บ้าน

หลังจากนั้น แม่บ้านว่า เคยได้ยินฮั่วชิงชิงอ้วกเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องหลังจากฮั่วชิงชิงกับหันจื่ออี้หลับนอนด้วยกัน เธอนึกว่าฮั่วชิงชิงแสดงอาการท้อง ดังนั้นเลยไม่สนใจอะไร

หันจื่ออี้เล่าเหตุการณ์ให้คุณหมอ แล้วบอกอีกว่าปกติฮั่วชิงชิงก็กินน้อย จิตใจย่ำแย่

คุณหมอไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ถามว่า“งั้นเธอเข้าห้องน้ำบ่อยไหม?”

หันจื่ออี้คิดย้อนไป หลายวันนี้ เขาเหมือนใส่ใจสภาพจิตใจของเธอตลอดเวลา เธอเหมือนสามารถอยู่ในห้องวาดภาพตลอดช่วงบ่าย

และตอนเที่ยงเธอดื่มซุปไก่แท้ๆ ตลอดช่วงบ่ายที่นานขนาดนั้น เหมือนไม่เคยไปห้องน้ำเลย!

เขาสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างห้ามไม่ได้ พูดกับคุณหมอ “เธอเข้าห้องน้ำน้อยมากจริงๆ ตอนกลางคืนก็ไม่ตื่นมา แต่ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำก็เข้าไปนาน คุณหมอ คุณคิดว่าเธอเป็นอะไร?”

คุณหมอส่ายหน้า เสียงเข้มเล็กน้อย “มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นไตวายเฉียบพลัน”

หันจื่ออี้หนักใจ “ไตวาย?!”

คุณหมอพยักหน้า “อืม อาการแบบนี้ เหมือนกับไตวาย แต่ต้องรอผลตรวจออก ถึงจะยืนยันได้”

ไม่ช้า ทางห้องปฏิบัติการก็ส่งผลมาแล้ว ยื่นให้คุณหมอเจ้าของไข้ของฮั่วชิงชิง

คุณหมอดูรายงานสักพัก พูดกับหันจื่ออี้“คุณหัน เป็นผลที่ร้ายที่สุด ภรรยาคุณเป็นโรคไตวาย เป็นระยะสุดท้ายแล้ว ขอให้คุณเตรียมใจไว้”

ร่างกายของหันจื่ออี้ จู่ ๆก็เหมือนถูกคนสูบพลังไป เนิ่นนานเขาถึงพูดพึมพำ “งั้นควรรักษายังไง?”

“ปัจจุบัน มียารักษา แต่สถานการณ์ของภรรยาคุณไม่ค่อยดีนัก คาดว่าผลคงไม่ดีนัก หรือคิดเรื่องปลูกถ่ายไต แต่ไตที่เข้ากันได้ คงหาไม่ได้ง่ายๆ”

หันจื่ออี้ได้ยินคำพูดท้ายสุดของเขา เหมือนมีความหวังขึ้นมา เขารีบพูด “คุณหมอ ไม่ว่าจะหายากแค่ไหน ทางผมจะทำให้ดีที่สุด ถ้าหากมีไตที่เข้ากันได้ ผมยอมทุกอย่าง”

คุณหมอพยักหน้า “คุณหัน ผมเข้าใจความตั้งใจที่คุณมีต่อภรรยา แต่เรื่องแบบนี้ พวกเราไม่กล้ารับประกัน ทำได้เพียงทำสุดความสามารถ”

หันจื่ออี้ตอบ “ครับ ขอบคุณ!”

พูดจบ เขานึกอะไรได้ รีบพูดต่อว่า “จริงด้วย อีกสักพักเธอตื่นขึ้น ห้ามบอกความจริงเธอเด็ดขาด ผมกลัวว่าเธอจะไม่ยอมรักษา”

คุณหมอพยักหน้า “เข้าใจ”

หันจื่ออี้ไตร่ตรองครู่หนึ่งก็เสริมว่า “ช่วยบอกกับเธอ ว่าเธอท้องแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาหลังการท้อง”

พูดอยู่ เขาเอาใบแจ้งปลอมเมื่อกี้อันนั้นออกมา พูดว่า “ผมบอกเรื่องนี้กับคณบดีเฉินแล้ว เขาทราบแล้ว”

คุณหมอลำบากใจเล็กน้อย ไตร่ตรองครู่หนึ่ง พูดว่า “ตกลง แต่เพราะเกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ต้องจัดการ ผมต้องไปหารือเรื่องนี้กับคณบดีเฉินก่อน”

“ครับ ขอบคุณ”หันจื่ออี้พยักหน้า

คุณหมอโทรศัพท์ เป็นอย่างที่คิด คณบดีเฉินฟังเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น ฮั่วชิงชิงถูกย้ายไปห้องเดี่ยวระดับสูง ห้องคนไข้มีห้องน้ำและห้องครัวในนั้น ดังนั้นขอแค่คุณหมอและพยาบาลไม่พูด ฮั่วชิงชิงก็ไม่รู้เลย ตัวเองย้ายจากแผนกสูตินรีเวชไปที่แผนกอื่น

ตอนบ่าย ในที่สุดฮั่วชิงชิงก็ตื่น เธอลืมตาเห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล และเห็นหันจื่ออี้นั่งอยู่ข้างเตียงในทันที

เขาเห็นเธอตื่น ยิ้มให้เธอ ใบหน้าเป็นประกาย “ชิงชิง คุณดูคุณตั้งท้องแล้ว พวกเรามีลูกแล้ว”

พูดอยู่ เขาหยิบใบแจ้งปลอมนั้นยื่นให้ฮั่วชิงชิง “ข้างบนแสดงเป็นผลบวก แต่ร่างกายคุณค่อนข้างอ่อนแอ มีอาการคนท้องอ่อนๆ เพราะฉะนั้นยังต้องนอนที่โรงพยาบาลระยะหนึ่ง”

ฮั่วชิงชิงมองตัวหนังสือในรายงาน หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

เกิดความรู้สึกแปลกบางอย่างขึ้น เธอท้องจริงๆเหรอ ? ตอนนี้ในท้องของเธอ มีสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆอยู่

ไม่แปลกที่พักนี้เอาแต่เวียนหัว คลื่นไส้ ไม่แปลกที่ตอนเข้าห้องน้ำ มีสีชาเขียวนิดๆ ที่แท้เป็นเพราะท้อง ยังมีสัญญาณของการแท้งลูก ดังนั้นถึงเป็นอย่างนี้

มือของเธอ วางที่ท้องน้อยตัวเองอย่างไม่รู้ตัว

ความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาอีกครั้ง ถึงขนาด ทำให้หัวใจเดิมที่ไร้ความนึกคิด เริ่มฟื้นฟูกลับมาทีละนิดๆ

เธอไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว มีลูกเป็นเพื่อนเธอใช่ไหม?

แต่ลูกยังไม่มั่นคง จะจากเธอไปไหม?

เธอกังวลนิดๆ หันไปมองหันจื่ออี้อย่างอดไม่ได้ แต่เวลาต่อมา เธอก็นึกได้ว่าระหว่างพวกเขามีอะไรขวางอยู่ ก็รู้สึกเศร้าทันที

หันจื่ออี้ไม่รู้ว่าฮั่วชิงชิงคิดมากขนาดนั้น เขาแค่กุมมือเธอไว้ พูดอ่อนโยนกับเธอ “ไม่ต้องห่วง ชิงชิง ผมจะดูแลคุณกับลูกอย่างดี เพียงแต่ตอนนี้คุณต้องให้ความร่วมมือในการรักษา ไม่งั้นเพราะคุณไม่ให้ความร่วมมือลูกจากไป เขาต้องเศร้ามากแน่ๆ”

ฮั่วชิงชิงได้ยิน รีบตัดสินใจอย่างลับๆ ไม่ว่าหลังคลอด เธอกับหันจื่ออี้เป็นยังไง ตอนนี้ เธอต้องเข้มแข็งขึ้นเพื่อลูก

ชั่วพริบตา เวลาผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ และฮั่วชิงชิง แม้ว่าทุกวันจะให้ความร่วมมือในการรักษา แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น ถึงขนาดหมดสติไปเป็นเวลานาน

หันจื่ออี้สอบถามสภาวะเรื่องไตกับคุณหมอ แต่กลับสิ้นหวังเหมือนเดิม และมูลนิธิก่อนหน้านี้ทั้งหมดของเขา ในฐานข้อมูลก็ไม่มีไตที่เข้าได้กับฮั่วชิงชิงเลย

ร่างกายของฮั่วชิงชิงค่อนข้างอ่อนแอ การป่วยแบบนี้เหมือนเป็นฟางเส้นสุดท้ายแล้ว

ที่เรียกว่าป่วยอย่างเฉียบพลัน มีบางครั้งหันจื่ออี้ถึงขนาดไม่กล้ามองเธอ กลัวว่าเห็นแก้มตอบลงไปทุกวันของเธอ และเอวที่นับวันยิ่งเล็กลง

ตอนกลางคืน ฮั่วชิงชิงเติมน้ำเกลือเสร็จ หันจื่ออี้ยังคงแสดงละครเหมือนเดิม

เขานั่งด้านหลังเธอ โอบร่างของเธอไว้ ดูหนังสือตั้งครรภ์ด้วยกันกับเธอ

แม้ว่า ฮั่วชิงชิงยังคงไม่พูดเหมือนเดิม แต่หันจื่ออี้เห็น เวลาอ่านหนังสือเธอจริงจังมาก อ่านละเอียดทุกตัวอักษรจดจำไว้ในใจ

จิตใจของเขา เริ่มเศร้าขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวคนหนึ่งที่ดีขนาดนี้ ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรมกับเธอขนาดนี้ ถึงให้เธอเข้าใกล้ความตายตั้งสองครั้งแบบนี้

และเมื่อก่อนเขาทำอะไรลงไป ถึงทำร้ายเธอขนาดนี้ ทำให้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอ เป็นทุกข์ขนาดนี้

ใจเขาเจ็บเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง ยื่นมือไปกอดฮั่วชิงชิงอย่างห้ามไม่ได้ วางศีรษะไปที่ไหล่ผอมแห้งของเธอ พูดเสียงเบา“ชิงชิง เราคืนดีกันนะ?”

ฮั่วชิงชิงได้ยินในเสียงของหันจื่ออี้ทั้งเศร้าและเหนื่อย เศร้าใจไปพักหนึ่ง

แต่ฉากวันนั้นตรงหน้าเธอ ลักษณะพ่อที่นอนตายตาไม่หลับ เธอจะยอมรับทั้งหมดนี้ได้ยังไง?!

เธอส่ายหน้า บีบให้ตัวเองไร้ความรู้สึก “ไม่มีวัน”

หันจื่ออี้ถอนหายใจออกมา ลูบไปที่หลังของเธอ รู้สึกว่าตัวเธอผอมลงอีกแล้ว เขาสูดดมกลิ่นลึกๆ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร แต่ผมจะไม่มีวันทอดทิ้งคุณ”

ระหว่างที่พูด เขาลุกขึ้น พูดกับเธอว่า “ชิงชิง คุณพักผ่อนให้มากๆ ผมไปทำงานก่อน”

บ่ายวันนั้น ทั้งสองคนบินมาถึงหนิงเฉิงแล้ว

เพราะว่าหันจื่ออี้รู้ว่าจะต้องกลับมา ดังนั้นจึงได้จัดการเตรียมแม่บ้านไว้ล่วงหน้าหนึ่งคน

เมื่อทั้งสองคนมาถึงบ้าน แม่บ้านก็ทำอาหารไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากทานอาหารเสร็จ ฮั่วชิงชิงก็เอ่ยถามว่า : “จะไปดำเนินการเมื่อไหร่เหรอคะ?”

รูม่านตาของหันจื่ออี้หดลงเล็กน้อย แล้วพูดว่า : “อีกสักครู่ฉันจะออกไปเจอลูกค้าท่านหนึ่ง วันนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ ส่วนพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด คาดว่าเร็วที่สุดน่าจะเป็นอาทิตย์หน้า”

ฮั่วชิงชิงไม่มีทางเลือก นอกจากตอบตกลง จากนั้นก็ทานต่ออีกสองสามคำแล้วก็ไปนอนห้องนอนสำหรับแขก

หันจื่ออี้เห็นเธอไปที่ห้องนั้น อยากจะพูดอะไร แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้พูด

คืนนั้นเมื่อหันจื่ออี้กลับมา ห้องของฮั่วชิงชิงปิดไฟไปแล้ว เขาคิดว่าเธอหลับแล้ว จึงไม่อยากไปรบกวนเธอ

แต่สองวันหลังจากนั้น ฮั่วชิงชิงก็อยู่แต่ในห้องของตนเอง ไม่ยอมออกมาเลย

ตอนแรก หันจื่ออี้คิดว่าเป็นเพราะฮั่วชิงชิงไม่อยากเจอเขา ด้วยเหตุนี้ในวันอาทิตย์ที่เขาต้องออกจากบ้านไป ก็ให้แม่บ้านคอยดูฮั่วชิงชิงไว้

แต่ตอนกลางคืนเมื่อเขากลับมา แม่บ้านก็บอกว่า ฮั่วชิงชิงก็ยังคงไม่ออกมาเหมือนเดิม

หัวใจของเขาดังขึ้นมาเหมือนระฆัง

ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าห้องของฮั่วชิงชิงมืดไม่มีไฟแล้ว แต่เวลานี้เพิ่งจะสามทุ่ม หันจื่ออี้จึงแอบเปิดประตูเบาๆ

เมื่อเปิดออกเขาก็เห็นว่า เดิมทีฮั่วชิงชิงยังไม่ได้นอน แต่นั่งอยู่ข้างๆเตียงคนเดียว ไม่ขยับเคลื่อนไหว ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก

หัวใจของเขารู้สึกขมขื่นขึ้นมา คิดอยากจะเข้าไป แต่ก็กลัวเธอจะตกใจ ฉะนั้นจึงค่อยๆถอยออกมา

เขาถามแม่บ้านว่า : “คุณผู้หญิงเป็นอย่างนี้ตลอดทั้งวันเลยเหรอ?”

แม่บ้านพยักหน้า : “นอกจากคุณผู้หญิงทานข้าวและไปเข้าห้องน้ำแล้ว ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอด ฉันพูดกับเธอ เธอก็ไม่สนใจฉันเลย อีกอย่างเธอทานอาหารน้อยมาก ทานน้อยกว่าแมวที่ฉันเลี้ยงมาก่อนหน้านี้เสียอีก ฉันกลัวจริงๆเลยว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร่างกายของคุณผู้หญิงจะแย่ลงได้”

หันจื่ออี้พยักหน้าให้แม่บ้าน บอกใบ้ให้เธอออกไป หลังจากนั้นก็ไปที่ห้องหนังสือ

ตอนนี้เขายังคงจำได้ทั้งหมด ว่าวันนั้นฮั่วชิงชิงตัดสินใจกระโดดลงมาอย่างไร

จนกระทั่งทุกๆครั้งที่นึกถึง ก็รู้สึกใจหายทุกที

ตอนนี้เธอก็ไม่ทำอะไรเลย ไม่มีความสุขแบบนี้ ท้ายที่สุดแล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี จึงจะสามารถเปลี่ยนเธอกลับไปเป็นฮั่วชิงชิงคนเดิมคนนั้นได้?

ในตอนแรก จริงๆแล้วเขายังคิดจะปล่อยให้เธอไปเป็นอิสระ แต่เมื่อเห็นท่าทีของเธอที่เป็นอย่างนี้แล้ว เขาก็เปลี่ยนใจ

เขาไม่สามารถหย่ากับเธอได้ ถ้าเขาปล่อยเธอไป เธอตัวคนเดียว ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง!

แต่เรื่องราวระหว่างพวกเขามันล้มเหลวไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ไขได้ เช่นนั้น เขาควรจะทำอย่างไรดี?

หันจื่ออี้รู้สึกว้าวุ่นใจ คิดอยู่นานก็หาทางออกไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงหยิบมือถือขึ้นมา แล้วเลื่อนดูเพื่อนในกลุ่ม

เพื่อนของเขา จำนวนไม่น้อยที่แต่งงานแล้ว มีลูกจนเรียนชั้นอนุบาลแล้ว

เขาเห็นว่า เพื่อนตอนมัธยมปลายของเขากำลังอวดลูกสาวที่ไปเข้าร่วมการวาดภาพ ซึ่งได้วาดรูปรูปหนึ่งให้พ่อของเธอด้วย

จู่ๆหัวใจของหันจื่ออี้ก็สั่นหวั่นไหว!

จำได้ว่าฮั่วชิงชิงเคยบอกว่า ก่อนหน้านี้เธอชอบวาดภาพ ตอนเด็กๆก็เคยเรียนอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่ง เคยได้รับใบประกาศตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย และยังเคยคิดว่าจะเรียนวิชาโทเป็นศิลปะการออกแบบอีกด้วย

ตอนนี้สภาพจิตใจเธอย่ำแย่อย่างมาก สถานการณ์เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ถ้าเขาไปซื้อสีมาให้เธอ ตอนที่เธออยู่บ้านคนเดียว การวาดภาพจะทำให้เธอมีความสุขขึ้นมาบ้างไหมนะ?

นึกถึงตรงนี้แล้ว เขาจึงสั่งซื้อชุดภาพวาดสีน้ำมันบนอินเทอร์เน็ตทันที

วันจันทร์ หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว ในที่สุดฮั่วชิงชิงก็เอ่ยพูดกับหันจื่ออี้ : “จะไปเมื่อไหร่เหรอคะ?”

หันจื่ออี้มองเธอ แล้วกล่าวขอโทษ : “ชิงชิง ขอโทษด้วยนะ วันนี้จู่ๆฉันก็ได้รับโทรศัพท์ของสำนักงานใหญ่จากประเทศอังกฤษทางด้านนั้น มีเรื่องด่วนต้องไปอีกสองวัน คุณรอฉันกลับมานะ”

ฮั่วชิงชิงฟังจบ ก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นก็เงียบไปเลย

หันจื่ออี้เก็บเสื้อผ้าในห้องเพื่อเอาไว้เปลี่ยนและซักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แล้วเก็บใส่กระเป๋าเดินทาง หลังจากที่ออกไปแล้ว ก็ตรงไปที่บริษัท และให้ผู้ช่วยจัดการหาโรงแรมข้างๆบริษัท เพื่อดำเนินการให้ตนเองเข้าพัก

และเช้าวันต่อมา ของที่หันจื่ออี้สั่งทางอินเทอร์เน็ต เขาก็ได้รับข้อความแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงโทรไปหาแม่บ้าน และให้แม่บ้านนำมือถือไปให้ฮั่วชิงชิง

“ชิงชิง คุณชอบวาดภาพใช่ไหม? ฉันซื้อของวาดภาพสีน้ำมันมาให้ ตอนกลางวันคุณอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ ก็ลองวาดภาพดูก็ได้นะ”

ฮั่วชิงชิงได้ฟังน้ำเสียงที่อ่อนโยนดังออกมา แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงออกใดๆ ได้แค่ตอบไปเรียบๆว่า ‘อืม’

หลายวันมานี้ หันจื่ออี้ต้องโทรหาแม่บ้านสี่ห้าครั้งต่อวัน เพื่อถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของฮั่วชิงชิง

แต่แม่บ้านบอกว่า ฮั่วชิงชิงเปิดพัสดุแล้ว ก็มองสิ่งของเหล่านั้นเป็นเวลานาน ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวใดๆ แล้วก็เดินจากไป

ในทุกๆวันเธอยังคงไม่พูดไม่จา ยืนอยู่ตรงหน้าต่างคนเดียว ข้าวก็ไม่กิน ดูเหมือนว่าจะสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ

เวลานี้หันจื่ออี้รู้สึกทุกข์ใจอย่างมาก เขาไม่ได้อยากทำร้ายเธอ แต่กลับทำให้ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาคนหนึ่งกลายเป็นคนอย่างนี้ไปได้

เดิมทีตอนบ่ายเขายังมีเรื่องอีกมากมาย แต่ทุกๆอย่างกลับเลื่อนออกไป

เขาเดินไปตามถนนเพียงลำพัง แต่คาดไม่ถึงว่า จะบังเอิญเจอเข้ากับสือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถาง

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอุ้มหวันหว่านไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของ ดังนั้นทั้งสองคนจึงเดินเข้าห้างสรรพสินค้าไป จึงไม่ได้เห็นเขา

เขาเห็นว่าหลานเสี่ยวถางพูดหัวเราะต่อกระซิกกับสือมูเฉิน และสือมูเฉินก็ยิ้มตอบกลับให้เธอ จากนั้นก็ก้มหน้าลงไป แล้วจูบเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนทีหนึ่ง

จู่ๆหันจื่ออี้ก็รู้สึกว่าลมที่หนาวเหน็บอย่างมากในฤดูหนาวนั้น ราวกับเข็มที่ทิ่มแทง จนรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย

เขามองภาพด้านหลังของพวกเขาตลอดการเดินเข้าไปด้านใน จนกระทั่งมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังคงมองทางนั้นอยู่อย่างเหม่อลอย

เป็นเวลานาน เขาจึงดึงสายตากลับ แล้วไปเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง

รถขับผ่านทางลดเลี้ยวเคี้ยวคด ในที่สุดก็มาถึงสุสานแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองหนิงเฉิง

หันจื่ออี้ซื้อดอกเบญจมาศที่หน้าทางเข้าสุสาน แล้วเดินมายังหน้าสุสานของแม่

ในปีนั้น เขาไม่สนใจสายตาที่ผิดปกติของคนรอบข้าง ยืนกรานที่จะแยกฝังศพพ่อกับแม่ ภายหลังสุสานของพ่อ เขาเคยไปเพียงแค่ครั้งเดียว

แต่ของแม่ เขาจะมาในทุกๆปี

เขาคุกเข่าลงที่หน้าสุสานของแม่ ปล่อยให้ความหนาวเย็นค่อยๆแทรกซึมผ่านขากางเกง แล้วทะลุเข้าสู่กระดูก

เขาพูดด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย : “แม่ ฉันกลับมาเยี่ยมคุณแล้วนะ!”

แต่พูดไปแค่คำเดียว ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ กลืนน้ำลายเล็กน้อย เป็นเวลานาน จึงมีกำลังที่จะพูดต่อไป

“แม่ ในที่สุดฉันก็แก้แค้นแทนพวกคุณได้แล้ว!” หันจื่ออี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวว่า : “แต่ฉันกลับพบว่า ตัวเองไม่มีความสุขเลย เพราะฉันทำเพื่อแก้แค้น จึงได้ทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยเลย…..”

“แม่ ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของฉัน แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดฉันจนเข้ากระดูก คุณว่า ฉันควรจะทำอย่างไรดี?”

“เมื่อก่อนคุณมักจะบอกกับฉันเสมอว่า ถึงแม้ทั้งโลกจะทำให้ตนเองต้องเสียใจ ก็ไม่ควรไปเคียดแค้นโลกใบนี้ และก็ไม่ควรไปแก้แค้นคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วย ฉันไม่อยากทำร้ายเธอจริงๆ แต่……..”

น้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตาของเขา เวลานี้ ผู้ชายที่ดูเข้มแข็งมาโดยตลอด ร้องไห้เหมือนกับเด็กน้อยที่หลงทาง

จนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง หันจื่ออี้จึงออกจากสุสาน

ขณะเดินทางกลับบ้าน เขาก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินอุ้มลูกขึ้นมาอีก

ภาพที่อบอุ่นแบบนั้น คือความฝันอันแสนไกลที่ไม่มีทางจะไปถึง สำหรับคนอย่างเขาที่มีชีวิตอยู่ในความมืดมิดมาโดยตลอด…..

ถ้า ถ้าหาก…..

เขาไม่กล้าคิดอีกต่อไป

เพียงแต่ จู่ๆความคิดนี้ก็ปรากฏขึ้นมา

ตอนนี้เขากับฮั่วชิงชิงแต่งงานกันแล้ว ถ้าเธอท้องลูกของเขา ความรักที่แม่มีต่อลูกยิ่งใหญ่ขนาดนั้น สามารถทำให้แม่ของเขามุ่งมั่นเลี้ยงเขามาจนโต เช่นนั้น จะสามารถทำให้ฮั่วชิงชิงมีความกล้าหาญที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปไหม?

ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา หันจื่ออี้ก็พบว่าหัวใจของตนเองเต้นเร็วอย่างมาก

กระทั่งเขาเริ่มคิดว่า ถ้าเขาและฮั่วชิงชิงมีลูกของตัวเอง นั่นควรจะเป็นภาพยังไงกันนะ?

ในความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ เขาจะสามารถกอบกู้สภาพจิตใจกลับคืนมาได้ไหม?

เลือดที่เดิมทีเย็นเยือก ก็เริ่มอุ่นขึ้นมา จู่ๆเขาก็พบว่า ที่แท้ตนเองก็สามารถมีความหวังได้!

ที่แท้ หลังจากแก้แค้น เขาที่ไม่มีความมั่นใจและศรัทธาอีกต่อไปแล้ว กลับสามารถมีความสุขในอนาคตได้!

ฮั่วชิงชิงมีจิตใจที่ดีงามแบบนั้น จะให้อภัยเขาเพราะลูกได้หรือไม่? อีกอย่างเขาก็คิดว่า ช่วงเวลาที่เขาและเธอมีร่วมกันก่อนหน้านี้ หวนกลับไปคิดถึงแล้ว ก็รู้สึกอบอุ่นและหวานชื่นมากจริงๆ

เช่นนั้น——

ขณะที่หันจื่ออี้เดินทางกลับบ้าน ก็ได้เข้าอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ หลังจากถึงบ้านแล้ว เขาก็เหลือบมองไปที่ห้องของฮั่วชิงชิงก่อน ห้องมืดตึ๊ดตื๋อจริงๆ

เขาไม่ได้เข้าไป แต่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้น ก็ถือนมอุ่นแก้วหนึ่ง แล้วเปิดประตูห้องของฮั่วชิงชิง

เธอได้ยินการเคลื่อนไหว แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่หันตัวกลับมา กระทั่ง หันจื่ออี้เดินมาถึงข้างๆตัวเธอ

เพราะเข้ามาใกล้ หันจื่ออี้จึงรู้สึกได้ชัดเจนว่า ตัวของฮั่วชิงชิงแข็งทื่อเล็กน้อย ชัดเจนว่า ปฏิเสธการเข้าใกล้ของเขา

เขาไม่สนใจความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ในใจ และยืนกรานที่จะนั่งลงข้างๆเธอ

เขายื่นมือไป โอบเอวของเธอเอาไว้ แล้วกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า : “ชิงชิง ดื่มนมก่อนนอนสักแก้วนะ จะได้ช่วยให้หลับสบาย”

ฮั่วชิงชิงไม่ได้รับ และไม่ได้ขยับเขยื้อน

หันจื่ออี้ถือแก้วนมเอาไว้ แล้วพูดซ้ำคำเดิมอีกครั้งอย่างอดทน

แต่ฮั่วชิงชิงก็ยังคงไม่ขยับ เขามองเธออยู่สองสามวินาที จึงเอ่ยปากว่า : “ถ้าคุณไม่ยอมดื่ม ฉันจะใช้ปากป้อนคุณ”

ฮั่วชิงชิงตื่นตกใจ หันหน้าไปมองหยานชิงเจ๋อ เห็นเหมือนกับว่าเขาเอาจริง ด้วยเหตุนี้ จึงรับแก้วนมมา จากนั้น ก็เงยหน้าขึ้นดื่มอึกใหญ่

หันจื่ออี้วางแก้วนมลงแล้ว ไม่ได้ออกไป แต่กลับโอบกอดฮั่วชิงชิง : “เรานอนกันเถอะ!”

ฮั่วชิงชิงพยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่เขาโอบกอดเธอเอาไว้แน่น แล้วพาเธอไปยังที่นอนโดยตรง

“ปล่อยฉันนะ! คุณไม่ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศหรอกเหรอ?!” ฮั่วชิงชิงถูกวางลงบนเตียง ในดวงตาเต็มไปด้วยการปฏิเสธ

“กลับมาแล้ว เพิ่งกลับมา” จู่ๆหันจื่ออี้ก็นึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเดินทางยังอยู่ที่โรงแรม พรุ่งนี้ควรจะไปเช็คเอ้าท์

เขากักกันฮั่วชิงชิงเอาไว้ เอนตัวลงนอนข้างๆเธอ แล้วโอบกอดเธอเอาไว้แน่น : “พวกเรายังไม่ได้ทำขั้นตอนการหย่า ดังนั้น พวกเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่”

“คุณออกไปเลยนะ ฉันรังเกียจคุณ!” ฮั่วชิงชิงรู้สึกได้ถึง กลิ่นอายของผู้ชายที่โอบล้อมเธอเอาไว้ในทันที เดิมทีกลิ่นนั้นที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ เวลานี้ เต็มไปด้วยการรุกราน ทำให้เธอกระวนกระวายใจ และหวาดกลัว

“ชิงชิง ฉันรู้ว่าหลังจากคืนนี้ไป คุณอาจจะยิ่งเกลียดฉันมากขึ้น แต่ฉันไม่มีทางเลือก” หันจื่ออี้พูดพลาง มองฮั่วชิงชิงนิ่งๆอยู่สองสามวินาที จากนั้น ก็ก้มลงไปจูบเธอ

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

Status: Ongoing

เมื่อถูกหักหลังจากสามีของเธอและมือที่สาม หลานเสี่ยวถางไม่มีอะไรเหลือเลยภายในคืนเดียว เมื่อออกมาจาก ‘งานเลี้ยงการหย่าร้างเพื่อสันติภาพ’ ชายคนนั้นผลักเธอเข้ามุมห้อง แล้วลมหายใจร้อนก็รดลงมาบนใบหูของเธอ: “แต่งงานกับผมสิ ผมจะจัดการเขา ผมจะพาคุณไปแก้แค้น และทวงคืนทั้งหมดที่เป็นของคุณ… … “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท