ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 227 ยามค่ำคืน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 227 ยามค่ำคืน

เว่ยเชียงฝันอีกแล้ว

ในความฝัน ประทัดดอกแล้วดอกเล่าถูกจุด กระดาษสีแดงกับซองเงินที่เต็มท้องฟ้าปูบนถนนหินเขียวของเมืองผิงหนานชั้นแล้วชั้นเล่า ใบหน้าเด็กๆ ที่ไล่ตามขบวนรับตัวเจ้าสาวเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม

เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้

จวนอ๋องผิงหนานประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม เขาซึ่งสวมชุดวิวาห์กำลังคารวะสุรากับแขกผู้มีเกียรติ

ตอนที่คารวะจนถึงคนสุดท้าย ก็พลันมีเสียงรบกวนที่ทำให้เกิดความวุ่นวายดังขึ้น

มีคนตะโกนเสียงดังว่า “ท่านหญิงชิงหยางขี่ม้าฝ่าออกไปแล้ว!”

นี่เป็นเสียงเดียวที่เขาได้ยินในงานเฉลิมฉลองนี้

และหลังจากนั้น เขาก็ขี่อยู่บนหลังม้า ไล่ตามสตรีในชุดวิวาห์สีแดงด้านหน้านางนั้นสุดชีวิต

เขารู้ว่า เขาจำเป็นต้องไล่ตามนางให้ทัน ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ที่เป็นดั่งฝันร้ายจะปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว

นางร่วงลงมาจากหลังม้า ชุดวิวาห์งดงามแผ่ออก ล้มลงกลางแอ่งเลือด

“ลั่วเอ๋อร์ ลั่วเอ๋อร์ เจ้าหยุดก่อน…”

เขาฝันถึงเรื่องนี้หลายครั้งเกินไปแล้ว ทำให้แม้ว่าตอนที่อยู่ในความฝันก็รู้ดีว่าทุกวินาทีจะเกิดอะไรขึ้น

ในความฝัน ลั่วเอ๋อร์เหมือนในค่ำคืนสิบสองปีก่อนหน้านี้ ได้ยินเสียงเขาร้องเรียกอยู่ด้านหลังก็ไม่หันหน้ากลับมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

แม้ว่านางจะร่วงลงมาจากหลังม้า ตายอยู่หน้าประตูจวนเจิ้นหนานอ๋อง ก็ไม่ได้หันหน้ากลับมามองเขาเลยสักแวบเดียว

หนึ่ง สอง สาม…

ในใจเขารู้ดีว่า นับได้มากสุดที่เลขสาม ลั่วเอ๋อร์ก็จะถูกธนูยิงตกลงมาจากม้า

เขายิ่งร้อนใจ ตะโกนเสียงแหบแห้ง

หนึ่ง…

สอง…

สาม…

เว่ยเชียงในความฝันหวาดกลัวถึงขีดสุด เฝ้ารอภาพเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นด้วยความปวดใจ

เขาเรียนรู้และเข้าใจความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและทุกข์ทรมานเช่นนั้นมาหลายพันครั้ง

แต่ในเสี้ยววินาทีนี้ เงาร่างเพรียวบางบนหลังม้าที่กล้าหาญและโดดเดี่ยวเบื้องหน้าเกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน

นางหันหน้ากลับมา

“คุณหนูลั่ว…” เว่ยเชียงผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าขาวซีด หอบหายใจเฮือกใหญ่

ต่อมา เขาก็มองไปทางคนเคียงหมอนทันที

คนเคียงหมอนยังคงหลับสนิท เพียงแต่คล้ายจะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย

เว่ยเชียงจ้องเฉาฮวาครู่หนึ่งเขม็ง ถึงได้โล่งใจแล้วพิงหมอน หวนนึกถึงความฝันเมื่อครู่นั้น

ความฝันนั้น หลังจากคืนวันนั้นเมื่อสิบสองปีก่อน เขาก็เริ่มฝันอย่างต่อหนึ่ง จนไม่กี่ปีมานี้จึงค่อยๆ น้อยลงแล้ว มีเพียงแค่บางครั้งที่อารมณ์แปรปรวน ถึงจะเข้าสู่ฝันร้ายอีกครั้ง

ฝันร้ายไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เขาวิตกกังวลและปวดใจ ภาพเหตุการณ์ที่ทำให้คนหัวใจแตกสลายฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บทสรุปในฝันร้ายทุกครั้งล้วนเป็นภาพที่ลั่วเอ๋อร์ตกลงมาจากหลังม้า ตายอนาถอยู่เบื้องหน้าเขา

จากนั้นเขาก็จะตื่นขึ้นมา

แต่ครั้งนี้ถึงกับเปลี่ยนไป

ลั่วเอ๋อร์หันหน้ากลับมาและสิ่งที่เขาเห็นก็คือ…ดวงหน้าของคุณหนูลั่ว

จะเป็นคุณหนูลั่วไปได้อย่างไร…

เว่ยเชียงคลึงหว่างคิ้ว รู้สึกว่าไร้สาระอยู่บ้างและเข้าใจอยู่บ้าง

นี่เขากำลังคิดถึงในเวลากลางวันและฝันถึงในเวลากลางคืน

ลั่วเอ๋อร์ คุณหนูลั่ว…สองดวงหน้าสลับไปมาตรงหน้าเขาและค่อยๆ รวมกันในตอนท้าย

เว่ยเชียงไม่ง่วงแล้วจึงลงจากเตียงแผ่วเบา สวมรองเท้าเดินออกไปข้างนอก

เฉาฮวาจ้องเงาร่างหายลับไปจากประตูแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ประกายในแววตาคือความรู้สึกหวาดกลัวยิ่ง

บุรุษผู้นั้นตะโกนว่าคุณหนูลั่ว!

เขาถามนางว่าคุณหนูลั่วกับท่านหญิงเหมือนกันหรือไม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งพูดเปรียบเปรยถึงซิ่วเย่ว์ จากนั้นก็ฝันถึงคุณหนูลั่ว…

เป็นฝันนั้นสินะ?

หลายปีมานี้ องค์รัชทายาทค้างอยู่ในเรือนนางน้อยมาก บางครั้งในหลายครั้งนั้นก็จะมีครั้งหนึ่งที่ฝันร้าย

เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่น เล่าภาพเหตุการณ์ในความฝันขาดๆ หายๆ

ไร้เรี่ยวแรงและเปราะบาง

แต่ในใจนางมีเพียงการยิ้มเยาะ

ในสายตานาง ความฝันนั่นก็คือบทลงโทษที่สวรรค์มีให้เขา

เขาฝันร้ายทุกคืนจนยากจะหาความสงบได้ ถึงจะดี

แต่ตอนนี้ เฉาฮวาพลันรู้สึกว่า นั่นไม่ใช่ฝันร้ายของเว่ยเชียงคนเดียวอีกแล้ว แต่เป็นฝันร้ายของนางด้วย

บุรุษผู้นั้นจะต้องเห็นเงาของท่านหญิงได้จากบนตัวคุณหนูลั่วแน่นอน!

ต่อมา เขาจะสอดมือเข้าไปยุ่งกับคุณหนูลั่วอีกใช่หรือไม่

เขาอย่าได้คิดหวังจะสร้างหายนะให้ท่านหญิงอีกเป็นครั้งที่สอง!

เฉาฮวาขบริมฝีปากแน่นแล้วลุกขึ้นเงียบๆ

นางถึงขั้นไม่ได้สวมรองเท้าแล้วเดินเท้าเปล่าวนไปวนมาบนพื้นเย็นเฉียบ

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วจึงเงียบสงัดมาก

เว่ยเชียงยืนอยู่หน้าประตูห้องโถง มองไปข้างนอก

ประตูถูกเปิดออก สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามา ทำให้ชายอาภรณ์สีขาวหิมะปลิวขึ้นลง

หากสตรีทั่วไปพบเห็น เกรงว่า คงจะนึกว่าได้พบกับเทพเซียนพลัดถิ่นซึ่งทำให้ผู้คนยกย่องนับถือ

แต่ในสายตาเฉาฮวา นี่คือปีศาจร้ายที่ห่มหนังมนุษย์ตนหนึ่ง

เขาทำร้ายท่านหญิงไปแล้วครั้งหนึ่ง ทำไมถึงได้คิดจะทำร้ายอีกเป็นครั้งที่สอง!

“องค์รัชทายาท ลมในยามค่ำคืนนั้นแรง…” โต้วเหรินที่เข้าเวรยามดึกค้อมกาย เกลี้ยกล่อมให้เว่ยเชียงกลับไปพักผ่อนในห้อง

เว่ยเชียงไม่ได้ขยับ แต่ยืนอยู่แบบนั้นเนิ่นนาน ถึงได้เอ่ยเสียงเบาว่า “พรุ่งนี้แม่ครัวของคุณหนูลั่วจะมา เจ้าจัดการให้คนไปจับตาดูด้วย…”

เฉาฮวาหลบอยู่ด้านหลังม่าน ไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป แต่วาจาที่นางได้ยินอย่างเลือนรางนั้นมากพอที่จะทำให้นางอกสั่นขวัญหาย

นางมองเงาร่างของโต้วเหรินหายลับไปจากประตูด้วยสายตาเย็นชา บุรุษผู้นั้นยืนอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินกลับไป

เฉาฮวาถอยกลับมาอย่างแผ่วเบา ถอยจากที่แจ้งกลับไปยังห้องนอนทีละก้าวๆ แล้วเอนตัวลงนอนบนตั่งอีกครั้ง

นางได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

หากว่านอนหลับเช่นเดิม จะต้องไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเช่นนี้แน่นอน

และหลังจากนั้น คนคนนั้นก็เอนตัวลงนอนข้างกาย

“อวี้เหนียง…” เสียงเอ่ยเรียกทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้น

เฉาฮวาหลับตา ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

“อวี้เหนียง…” เสียงตะโกนดังขึ้นอีกเล็กน้อย

เฉาฮวาขยับคิ้ว ถามอย่างสะลึมสะลือว่า “มีอันใดหรือเพคะ”

นางรู้ว่า หากไม่มีปฏิกิริยาใดอีกจะกลายเป็นการทำให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยได้

คนที่นอนหลับไปถูกผู้อื่นเรียก หากว่าเสียงดังหน่อย มากน้อยอย่างไรก็จะมีการตอบรับ เพียงแต่การตอบรับเช่นนี้เหมือนกับสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นก็แทบจะไม่มีความทรงจำ

และการตอบรับของนางก็ปลอบประโลมจิตใจของบุรุษที่ออกไปแล้วกลับมาเงียบๆ อย่างที่คิดเอาไว้เลยจริงๆ

บุรุษผู้นั้นไม่ส่งเสียงอันใดอีก แต่ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างแผ่วเบา

เสียงลมหายใจข้างหูกลายเป็นทอดยาวและสม่ำเสมอ

เฉาฮวาไม่ได้หลับและไม่ได้ขยับเช่นกัน

ไม่รู้ว่าความทรมานเช่นนี้ผ่านไปนานเพียงใด นางถึงได้ลืมตาขึ้นเงียบๆ

ม่านหน้าต่างปิดอยู่จึงไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของแสงจากด้านนอก

เฉาฮวาเดาว่าฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว

เช้าวันใหม่กำลังจะเปิดม่านขึ้นและบุรุษผู้นี้ก็จับจ้องไปที่ท่านหญิงกับซิ่วเย่ว์แล้ว

แม้ว่านางจะติดต่อกับซิ่วเย่ว์เงียบๆ โดยมีการป้องกัน แต่กลับไม่สามารถขัดขวางการยื่นมือไปหาท่านหญิงของบุรุษผู้นี้ได้

ตอนนี้เขาคือองค์รัชทายาท หลังจากนี้ก็จะเป็นโอรสสวรรค์ คิดจะสร้างหายนะให้สตรีนางหนึ่งนั้นง่ายเกินไป

นางต้องทำเช่นไรจึงจะสามารถปกป้องท่านหญิงกับซิ่วเย่ว์ไว้ได้?

เฉาฮวาลืมตาเล็กน้อย พลางจ้องไปทางบุรุษที่นอนเคียงหมอนเงียบๆ

เขานอนหลับได้สงบมากจริงๆ

จะไม่สงบได้เช่นไร หากคนที่มีจิตใจโหดร้ายและไม่รู้จักบุญคุณเช่นนี้ มีความรู้สึกจิตใจไม่สงบจริงๆ ก็ไม่มีทางทำเรื่องพวกนั้นออกมาได้

เขาเคยทำร้ายทั้งตระกูลของท่านหญิงเพื่อตำแหน่งองค์รัชทายาท เพื่อที่จะได้ ‘คุณหนูลั่ว’ มาครอบครอง จะออมมือได้อย่างไร

เฉาฮวามองบุรุษที่ได้คืบจะเอาศอก แววตาค่อยๆ เย็นชาลงทีละเล็ก ทีละน้อย

มีเพียงแค่เขาตาย ท่านหญิงกับซิ่วเย่ว์ถึงจะปลอดภัยโดยแท้จริง!

ถูกต้อง เขาตายไป ก็จบแล้ว…

เฉาฮวาถูกเจตนาสังหารที่เกิดขึ้นมากะทันหันทำให้ตกใจสะดุ้ง ต่อมาก็สงบลง

ความจริงแล้ว นางมีความคิดเช่นนี้มาสิบสองปีแล้ว เพียงแต่เมื่อก่อน ไม่กล้าบุ่มบ่ามเพราะต้องรักษากำไลที่ท่านหญิงฝากฝังเอาไว้

และตอนนี้ กำไลก็กลับไปอยู่ในมือท่านหญิงแล้ว

ถ้าจะกล่าวว่า กำจัดบุรุษผู้นี้ บนโลกใบนี้ยังมีใครลงมือสะดวกได้แบบนางด้วยหรือ

เฉาฮวายกมือขึ้น ดึงปิ่นทองบนผมลงมาแผ่วเบา

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท