ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 240 โรงหมอ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 240 โรงหมอ

เสนาบดีจ้าวอยากร้องไห้จริงๆ

เขาสบายนักหรือ ทนอยู่อย่างไร้รสชาติมานับเดือนจนหนวดเคราสิ้นประกายไปหมดแล้ว ในที่สุดคุณหนูลั่ว…ก็พาแม่ครัวกลับมาเสียที!

พอขบวนเข้าเมืองมาก็มุ่งหน้าไปยังวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่

ส่วนคนในครอบครัวที่อยู่ท้ายขบวนก็กระจายตัวแยกย้ายกันกลับบ้านของตนไป

เสนาบดีจ้าวเขยิบเข้าไปหาแม่ทัพใหญ่ลั่ว เขาหัวเราะเหอะเหอะเอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่ออกไปอยู่ข้างนอกมาหนึ่งเดือน ลำบากแย่แล้ว”

“ไม่ลำบากหรอก ล่าสัตว์มีอะไรลำบากกัน”

เสนาบดีจ้าวที่เดิมตั้งใจพูดตามมารยาทอยู่แล้วเลยเอ่ยตามน้ำไป “ก็จริง ข้าว่าแม่ทัพใหญ่ดูจะสมบูรณ์ขึ้นเล็กน้อยด้วย”

แม่ทัพใหญ่ลั่วเลยอารมณ์ดี “อาหารการกินแต่ละวันไม่เลวทีเดียว”

เสนาบดีจ้าวถามเจือความริษยาว่า “มีแม่ครัวใหญ่ของมีหอสุราทำให้กินกระมัง”

แม่ทัพใหญ่ลั่วพยักหน้าอย่างเห็นว่าถูกต้องเหมาะสม

เสนาบดีจ้าวอาศัยจังหวะนั้นสอบถามว่า “แม่ทัพใหญ่ บุตรสาวท่านได้บอกหรือไม่ว่าหอสุราจะกลับมาเปิดกิจการเมื่อไร”

เปิดกิจการ?

แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินสองคำนี้อารมณ์ดีก็พลันมลายหาย

เสนาบดีจ้าวเหตุใดถึงเอ่ยเรื่องที่ไม่อยากให้เอ่ยเช่นนี้นะ!

เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหอสุราของเซิงเอ๋อร์จะเปิดเมื่อไร ทางที่ดีอย่าได้กลับมาเปิดอีกเลย อาซิ่วนั่นให้อยู่ทำอาหารที่จวนลั่วไปเลยก็ดีแล้ว

“บุตรสาวข้าไม่ได้บอก เร่งเดินทางมาหลายวัน อย่างไรก็คงต้องพักผ่อนก่อนกระมัง” แม่ทัพใหญ่ลั่วตอบอย่างไม่ใส่ใจ

เสนาบดีจ้าวเดินจากไป ทั้งยังนำข่าวร้ายนี้ไปบอกต่อสหายสนิทอย่างเสนาบดีเฉียนด้วย

เสนาบดีเฉียนมีความอดกลั้นดีกว่าเสนาบดีจ้าวเล็กน้อย เขาลูบเคราพลางเอ่ยวิเคราะห์ว่า “ไม่ต้องร้อนรนไป วันนี้ก็ช่างเถิด ไว้วันพรุ่งเมื่อถึงเวลาเปิดร้านพวกเราค่อยไปดูก็แล้วกัน คนเป็นแม่ครัวโดยมากมักพละกำลังดี ข้าว่าคงไม่ต้องพักหลายวันนักหรอก”

“ก็จริงนะ คนถือตะหลิวก็ไม่ใช่คุณหนูลั่วเสียหน่อย” พอได้ยินเสนาบดีเฉียนเอ่ยเช่นนี้ เสนาบดีจ้าวก็รู้สึกดีขึ้นโดยพลัน

เสนาบดีเฉียนส่ายหน้า “สหายจ้าวนี่ เจ้ากรมยุติธรรมเช่นเจ้า…”

เสนาบดีจ้าวพลันหนวดสั่น “ทำไม ข้ามีหลินเถิง”

คนที่วันๆ วุ่นแต่กับการซ่อมทางน้ำเหม็นๆ มีหน้ามาดูถูกคนที่รับร้องทุกข์จากชาวบ้านเช่นเขาหรือ

เสนาบดีเฉียนเหมือนได้รับการเอ่ยเตือน “พาน้องชายของหลินเถิงไปด้วยไม่ใช่ได้ครึ่งราคาหรอกหรือ ไม่เช่นนั้น…”

ไม่รอให้เสนาบดีเฉียนพูดจบ เสนาบดีจ้าวก็ส่ายหน้ารัวๆ “ไม่คุ้ม…”

“อะไรนะ”

“เอ่อ ข้าหมายถึงไม่เหมาะสม เด็กหนุ่มตามคนแก่ๆ อย่างพวกเราไปกินข้าวจะเกร็งเอาได้”

“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่เกร็งหรอกขอรับ”

ด้านหลังเสนาบดีจ้าวมีเสียงกังวานใสดังลอยมา

“หุบปาก!” เสนาบดีจ้าวหันไปตะคอกเสียงต่ำแล้วจึงหันกลับมาหัวเราะหึหึกับเสนาบดีเฉียน “เจ้าดูเด็กหนุ่มพวกนี้สิ ชอบฝืนใจตนเอง”

เสนาบดีเฉียนหัวเราะหึหึ

คุ้มหรือไม่ไม่สำคัญ เขากำลังคิดว่าตัวเขาหนึ่งคน ส่วนเหล่าจ้าวพาสองพี่น้องตระกูลหลินไปก็เท่ากับสามคน เช่นนั้นเหล่าจ้าวก็ควรเป็นคนออกเงินสินะ

ตาเฒ่าที่ไม่เคยเลี้ยงคืนนี่!

เสนาบดีเฉียนเกิดความคิดอยากตัดเพื่อนขึ้นมาอีกครั้ง

ตรงหน้าประตูใหญ่จวนตระกูลลั่ว มีคนมายืนเรียงแถวรอเจ้านายกลับมาเช่นกัน

คนที่สะดุดตาที่สุดคือชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหมดจดคนหนึ่ง

แน่นอนว่าที่สะดุดตาไม่ใช่เพราะหน้าตาที่หล่อเหลา ในจวนแม่ทัพใหญ่ไม่เคยขาดคนรูปงาม แต่เพราะเขาคนนั้นอุ้มห่านขาวตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่งต่างหาก

“มาแล้ว มาแล้ว!” มีคนตาไวมองเห็นรถม้าจึงตะโกนขึ้น ทุกคนจึงขยับตัวกันทันที

สือเยี่ยนพุ่งตัวนำหน้าทุกคนเข้าไปหาลั่วเซิงเป็นคนแรก

“คุณหนูลั่ว ท่านกลับมาเสียที ต้าไป๋คิดถึงท่านจนผ่ายผอมหมดแล้ว”

หงโต้วถึงกับตกใจ “ต้าไป๋ว่าง่ายเพียงนี้แล้วหรือ”

เจ้าห่านโง่อย่างต้าไป๋เห็นคุณหนูยังจะจิกให้เลย เหตุใดพอสือซานหั่วอุ้มถึงว่าง่ายเช่นนี้

“ว่าง่ายอะไรกันเล่า เจ้าไม่เห็นสินะว่าปีกกับขาของต้าไป๋ถูกมัดอยู่น่ะ” โค่วเอ๋อร์ที่เดินตามมาเม้มปากเอ่ย

สือเยี่ยนรีบอธิบายว่า “นี่ไม่ใช่เพราะกลัวต้าไป๋จะทำคุณหนูตกใจหรอกหรือ”

ลั่วเซิงกวาดตามองรอบหนึ่ง

มีสือเยี่ยนที่หัวเราะแหะๆ มีโค่วเอ๋อร์ที่อมยิ้มอยู่ในหน้า มีลั่วอิงที่ระบายยิ้มน้อยๆ รวมถึงบ่าวไพร่จวนตระกูลลั่วที่ดูเคารพเกรงขาม

กลับมาแล้ว

จากไปเดือนกว่า นางได้กำไลล้ำค่ากลับมา แต่กลับเสียเฉาฮวาไป

ถึงกระนั้นต่อให้ลำบากกว่านี้ อย่างไรก็ต้องกลับมา ต้องใช้ชีวิตต่อไป

ลั่วเซิงยกชายกระโปรงก้าวเดินเข้าประตูใหญ่จวนตระกูลลั่ว

บรรดาอี๋เหนียงกำลังรอกันอยู่ในลาน

“คุณหนูกลับมาแล้ว!”

ไม่รู้เสียงใครตะโกนขึ้น บรรดาอี๋เหนียงพากันห้อมล้อมเข้ามาถามไถ่ลั่วเซิงกันยกใหญ่

ลั่วเซิงพยักหน้าเป็นการตอบกลับ

อี๋เหนียงหันไปถามไถ่ลั่วเฉินต่อ

ลั่วเฉินพยักหน้าอย่างรักษากิริยา

หลังจากนั้นเหล่าอี๋เหนียงก็กรูกันเข้าไปล้อมลั่วฉิงกับลั่วเย่ว์ไว้

“ตายจริง คุณหนูสี่คล้ำไปเลย ที่เป่ยเหอแดดแรงใช่หรือไม่”

“คล้ำไปแล้วยังสมบูรณ์ขึ้นด้วย”

“ปกติคนที่คล้ำขึ้นไม่ได้จะผอมลงหรือ เหตุใดถึงอ้วนขึ้นได้เล่า”

ลั่วเย่ว์โมโหจนกระทืบเท้า “ห้ามพูดต่อแล้วนะ!”

“ได้ๆๆ ไม่พูดแล้ว คุณหนูรองเหนื่อยหรือไม่ ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย…”

ลั่วเฉินคอยมองด้วยสายตาดุๆ เขาแค่นเสียงเย็นแล้วตามลั่วเซิงที่เดินไปทางเรือนเสียนอวิ๋นย่วน

ลั่วเซิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ไม่กลับเรือนตนเองหรือ”

“กลับ”

“เช่นนั้นเหตุใดจึงตามข้ามา”

ลั่วเฉินเอ่ยอย่างไม่ได้ดั่งใจว่า “อี๋เหนียงพวกนั้นปฏิบัติต่อท่านเช่นนั้น ท่านไม่ถือสาเลยหรือ”

ลั่วเซิงอึ้งไป ก่อนจะตอบด้วยหัวเราะ “ไม่ถือสาน่ะสิ”

“เพราะเหตุใดกัน” เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเอาเสียเลย

คุณหนูของจวนเช่นกันแต่กลับได้รับการปฏิบัติที่ต่างกันเพียงนี้ หากเป็นเขาเขาต้องถือสาแน่

นิสัยไม่สนใจอะไรอย่างลั่วเซิง ไม่รู้ต้องเสียเปรียบคนเขาเท่าไรต่อเท่าไร

ลั่วเซิงเดินต่อไปช้าๆ เอ่ยเสียงเรียบว่า “น่าจะเพราะข้าชอบลงโทษเหล่าอี๋เหนียงให้คุกเข่าบนรางลูกคิดกระมัง”

ฝีเท้าลั่วเฉินพลันชะงัก

ลั่วเซิงหันไปมองเขา

“ข้ากลับห้องแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

เขาคิดมากไปเอง!

ทางด้านหลังมีน้ำเสียงสงบนิ่งดังตามมา “กลับไปพักผ่อนให้ดีล่ะ ตอนเย็นต้องไปที่หอสุรา”

ลั่วเฉินหันกลับไป สีหน้าดูตกใจเล็กน้อย “วันนี้ยังไปหอสุราอีกหรือ”

ลั่วเซิงเหลือบตามองฟ้า “นี่เพิ่งจะสายๆ เท่านั้น พักผ่อนครึ่งวันไม่พอหรือ”

“พอ” ลั่วเฉินนึกถึงเสี่ยวชีที่วิ่งกลับไปหอสุราก่อนแล้วจึงรีบพยักหน้า

“เช่นนั้นก็ไปพักเถิด” ลั่วเซิงยกมือลูบศีรษะเด็กน้อยตามความเคยชิน แต่กลับพบว่าเด็กน้อยตัวสูงขึ้นแล้ว

ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านไป ดูเหมือนความเปลี่ยนแปลงบนตัวลั่วเฉินจะชัดเจนที่สุด

เมื่อเห็นมือลั่วเซิงนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ ลั่วเฉินเลยคิดจะยื่นศีรษะเข้าไปหาตามสัญชาติญาณ

เด็กหนุ่มที่ใช้สติสัมปชัญญะเอาชนะความวู่วามนั้นสีหน้าดูบูดบึ้งไปเล็กน้อย “ทำไมหรือ”

“อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าพอเจ้าขยันขี่ม้ายิงธนูมาเดือนหนึ่ง เจ้าสูงขึ้นไม่น้อย”

“เช่นนั้นหรือ” เด็กหนุ่มยืดตัวตรงขึ้นทันที

ลั่วเซิงระบายยิ้ม “ควรไปขอบคุณเสี่ยวชี”

ลั่วเฉินหน้าบึ้ง “ท่านบอกว่าจะสอนข้ายิงธนู”

สุดท้ายสอนอยู่ครั้งสองครั้งก็ไม่สนใจอีก

หากต้องบอกขอบคุณ คนที่ควรบอกต้องเป็นลั่วเซิงถึงจะถูก

ช้าก่อน แบบนั้นยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่!

เด็กหนุ่มเดินหน้าตึงออกไป

ไม่เท่าไรก็ตกเย็น

คณะของลั่วเซิงเดินไปบนถนนชิงซิ่ง มุ่งหน้าไปยังหอสุรา

ก่อนจะเหยียบเข้าหอสุรา ลั่วเซิงหยุดนิ่ง อึ้งมองฝั่งตรงข้าม

อีกฝั่งหนึ่งที่ห่างจากมีหอสุราหนึ่งถนนกั้น ป้ายร้านโรงน้ำชาที่เคยมีไม่รู้ถูกปลดลงมาตั้งแต่เมื่อไร เปลี่ยนเป็นป้ายแผ่นใหม่แทน

เห็นเพียงบนป้ายมีตัวอักษรใหญ่ๆ เขียนอยู่สี่ตัวว่า โรงหมอแห่งหนึ่ง

หันกลับมามองมีหอสุราของตนแล้วหันกลับไปมองโรงหมอแห่งหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง ลั่วเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

หากนั่นเป็นโรงน้ำชาหรือโรงสุรา นางคงคิดว่าจะมาท้าชนกันเสียแล้ว

แต่โรงหมอแห่งหนึ่ง… ลั่วเซิงพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ไพล่นึกไปถึงใครคนหนึ่ง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท