ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 263 ตามหาคน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 263 ตามหาคน

ชายมีหนวดเร่งเดินทางกลับไปหอสุราด้วยความเร่งรีบ เขาเดินเข้าไปทางประตูหลัง

ชายร่างกำยำกำลังล้างจานอยู่ข้างบ่อน้ำ

“ท่านพี่ เสี่ยวชีกลับมาหรือยัง”

ชายร่างกำยำไม่ได้เงยหน้า เขาล้างจานพลางพูดว่า “ยังไม่กลับมานี่ เจ้าไปรับเสี่ยวชีไม่ใช่หรือ”

“ข้าไม่เจอเขา เจอนักเรียนคนหนึ่งบอกว่าเสี่ยวชีปวดท้อง กลับก่อนล่วงหน้าแล้ว”

ชายร่างกำยำวางจานลง เงยหน้าขึ้น “แอบออกไปเล่นที่ไหนแล้วหรือไม่”

“เป็นไปได้ เจ้าเด็กซุกซนนี่นะ เดี๋ยวกลับมาแล้วต้องสั่งสอนเขาดีๆ เสียหน่อย!”

ชายร่างกำยำยิ้ม “เสี่ยวชีอยู่ในวัยชอบเล่น ดุเขาเล็กน้อยก็พอแล้ว เจ้าลองคิดดูสิตอนที่พวกเราโตเท่านี้ก็วิ่งเล่นทั่วเขาเหมือนกัน”

ชายมีหนวดขมวดคิ้วพลางพยักหน้า

ทั้งสองไม่ได้คิดมาก

ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างลำบากมาหลายปีแล้ว ครอบครัวคนจนบ้านไหนไม่ได้เลี้ยงเด็กแบบปล่อยบ้าง สำหรับชายมีหนวดแล้ว เสี่ยวชีได้กินอิ่มนอนหลับและยังได้ไปโรงเรียนถือว่าเป็นชีวิตประหนึ่งเทพเซียนแล้ว

และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเสี่ยวชีเจอท่านอาที่ดี!

ท่านอาที่ดี?

ชายมีหนวดตั้งสติได้ เขาตบศีรษะเบาๆ “ข้าลืมไปได้อย่างไร ตอนนี้เสี่ยวชีมีท่านอาแล้ว เสี่ยวชีไม่ได้กลับมาตามเวลา ข้าต้องไปบอกท่านอาเสียหน่อย”

ชายร่างกำยำพยักหน้าไม่หยุด “ใช่ ควรไปบอกท่านอา อย่าทำให้นางเป็นห่วง”

“เช่นนั้นท่านพี่ทำงานต่อเถอะ” ชายมีหนวดพูดทิ้งท้ายแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องครัว

ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่หอสุราเริ่มมีแขกเข้ามา ในฐานะที่เป็นแม่ครัว ซิ่วเย่ว์ย่อมกำลังยุ่งวุ่นวาย

ชายมีหนวดยืนอยู่ในห้องครัวที่กว้างขวาง มองซิ่วเย่ว์บีบลูกชิ้นปลาทีละลูกลงไปในหม้ออย่างคล่องแคล่ว

ลูกชิ้นปลาที่บีบออกมามีขนาดเท่าๆ กันราวกับเม็ดลำไย

ชายมีหนวดลืมเรื่องเสี่ยวชีเป็นปลิดทิ้ง ชี้ไปบนเตาถามว่า “ท่านอา เรามีเยอะแล้วมิใช่หรือ ทำไมยังทำอีกเล่า”

บนโต๊ะมีจานก้นลึกหลายจานและแต่ละจานเต็มไปด้วยลูกชิ้นปลาลูกกลมๆ เล็กๆ เหมือนว่าพวกมันเพิ่งถูกตักขึ้นมาไม่นาน ยังมีควันและร้อนอยู่ แต่สีของลูกชิ้นปลาในจานหลายใบนั้นแตกต่างกันเล็กน้อย

อาซิ่วมีสมาธิอยู่กับงานตรงหน้า ยิ้มพลางอธิบายว่า “แขกที่ชอบกินหม้อไฟลูกชิ้นปลามีไม่น้อย วันนี้ทำลูกชิ้นปลาหลายประเภท มีเนื้อปลาไหล เนื้อปลาหวงอวี๋ เนื้อปลาจี้อวี๋…”

ชายมีหนวดแค่ได้ยินก็อดน้ำลายไหลไม่ได้

หม้อไฟลูกชิ้นปลาเพียงหม้อเดียวต้องพิถีพิถันเพียงนี้เลยหรือ มีท่านอาแบบนี้ช่างดีจริงๆ

“ต้าหลาง เจ้าเข้ามาทำไมหรือ เหตุใดจึงไม่เห็นเสี่ยวชีเล่า” ซิ่วเย่ว์ใช้กระชอนตักลูกชิ้นปลาที่ลอยขึ้นมาออกและใส่ลงในจานเปล่าสีแดงลูกท้อ จากนั้นจึงเช็ดมือมองไปที่ชายมีหนวด

“โอ้ ใช่แล้ว ข้าจะเข้ามาบอกท่านอาว่าเสี่ยวชีไม่ได้กลับมา”

ซิ่วเย่ว์ชะงัก รอยยิ้มที่ฉีกออกหุบลงอย่างรวดเร็ว “เหตุใดจึงไม่ได้กลับมาเล่า”

ได้ยินชายมีหนวดพูดเสร็จ สีหน้าซิ่วเย่ว์ก็เคร่งขรึมกว่าเดิม “ข้าไปบอกคุณหนูก่อน ให้คนออกไปหา”

ชายมีหนวดตกใจกับความจริงจังของซิ่วเย่ว์ “ไม่ต้องหรอกขอรับ ท่านอา เด็กชอบเล่น หิวแล้วก็กลับมาเอง”

ทำไมถึงต้องทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ไปนะ

ซิ่วเย่ว์กลับไม่ได้คิดเช่นนี้

แม้จะสืบจนรู้ว่าเสี่ยวชีไม่ใช่ท่านอ๋องน้อย แต่ชีวิตของเสี่ยวชีก็มีความเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นหนานอ๋อง จะประมาทเลินเล่อกับการกลับมาไม่ตรงเวลาไม่ได้

“ถึงเวลากินข้าวแล้ว อาหารของหอสุราอร่อยเช่นนี้ เสี่ยวชีจะยอมไม่กลับมาหรือ” ซิ่วเย่ว์ถามชายมีหนวด

จู่ๆ ชายมีหนวดก็ตื่นตระหนก

ท่านอาพูดมีเหตุผล มีอาหารอร่อยเช่นนี้ ใครจะยอมเล่นดินเล่นทรายอยู่ข้างนอกกัน

แย่แล้ว เสี่ยวชีคงไม่ได้ถูกลักพาตัวหรอกนะ

ครานี้เองหงโต้วบังเอิญยกอาหารเข้ามา ซิ่วเย่ว์รีบพูดว่า “หงโต้ว รบกวนเจ้าเชิญคุณหนูมาหน่อย”

ไม่นานลั่วเซิงก็เดินเข้ามาในห้องครัว

“ทำไมหรือ”

“วันนี้ต้าหลางไม่เจอเสี่ยวชีเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงมองไปที่ชายมีหนวดทันที

ชายมีหนวดรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าตู้ เจ้าเดินตามทางไปหาพร้อมกับลู่หู่ ทันทีที่มีข่าวเสี่ยวชี ให้คนใดคนหนึ่งรีบกลับมารายงาน”

เห็นชายมีหนวดและชายร่างกำยำเดินออกจากประตูด้านหลังแล้ว ซิ่วเย่ว์รู้สึกกังวลใจอย่างยิ่ง “คุณหนู หากเสี่ยวชีเจอเรื่องอะไรเข้าจริงๆ ไม่ใช่แอบหนีออกไปเล่น เกรงว่าแค่เจ้าตู้และลู่หู่คงไม่พอ…”

“เจ้าตั้งใจทำอาหาร ข้าจะส่งอีกสองสามคนแอบออกไปหา”

หอสุราเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าขุนนางสูงศักดิ์ เสี่ยวชียิ่งไร้ตัวตนต่อหน้าคนเหล่านี้ได้เท่าไรยิ่งดี จะระดมกำลังทำเป็นเรื่องใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

ลั่วเซิงออกจากหอสุราจากประตูหลัง เดินไปบนถนน

บัดนี้พระอาทิตย์ยามเย็นลับขอบฟ้าไปแล้ว พระจันทร์เสี้ยวแขวนอยู่บนยอดไม้

ถนนชิงซิ่งทั้งสายคึกคัก โคมไฟสีแดงของร้านรวงต่างๆ ส่องสว่าง แสงสีส้มที่สาดส่องทำให้พื้นถนนสว่างดูสะอาดตา

บริเวณที่แสงส่องไม่ถึงก็มี กลายเป็นมุมอับมืดสลัว ทำให้ยากต่อการดึงดูดความสนใจของผู้คน

ลั่วเซิงหยุดลงบริเวณที่มืดสลัวมุมหนึ่งไม่ไกลจากหอสุรา

ชายหนุ่มคนหนึ่งแสดงสีหน้าตกใจเพราะการปรากฏตัวของนาง

“มานี่” ลั่วเซิงเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ

ชายหนุ่มลังเลครู่หนึ่ง เดินไปตรงหน้าลั่วเซิง ขมวดคิ้วพูดว่า “แม่นางน้อย เราไม่รู้จักกันกระมัง เรียกข้ามามีเรื่องอะไรหรือ”

“เจ้าคือคนของท่านพ่อข้าใช่หรือไม่”

ชายหนุ่มแทบจะกระโดดโหยง พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ขอโทษด้วย ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร…”

ลั่วเซิงหันมา “เช่นนั้นข้าไปถามท่านพ่อข้าเองแล้วกัน”

“คุณหนูช้าก่อน!” ชายหนุ่มแสแสร้งต่อไปไม่ไหว เขาหันไปหาลั่วเซิงพลางประสานมือคำนับ ยอมรับตัวตน

ลั่วเซิงไม่ได้พูดมากอีก นางสั่งว่า “เสี่ยวชีหลานชายของแม่ครัวหอสุราหายตัวไป พาคนของพวกเจ้าไปหาที มีข่าวอะไรรีบมาแจ้งข้า”

“ขอรับ!” ชายหนุ่มขานตอบ จนเมื่อเหล่าสหายที่รับผิดชอบปกป้องหอสุราอย่างเงียบๆ มารวมตัวกัน เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าคุณหนูลั่วรู้ได้อย่างไร

ลั่วเซิงกลับถึงห้องโถงหอสุรา รอคอยเงียบๆ

ช่วงเวลารอคอยใครบางคนนั้นมักทรมานเสมอ น้ำชาที่วางตรงหน้ารินแล้วรินอีกไม่รู้กี่จอก

เว่ยหานคอยมองเหตุการณ์ทุกอย่างนี้พลางลอบขมวดคิ้ว

เหมือนกับว่าคุณหนูลั่วจะมีเรื่องไม่สบายใจ

ไม่สิ ต้องพูดว่าคุณหนูลั่วมีเรื่องไม่สบายใจตลอดเวลา แต่ความผิดปกติวันนี้บ่งบอกได้ว่านางเจอปัญหาใหม่ที่อยู่เหนือความคาดหมาย

เว่ยหานเป็นคนตรงๆ เมื่อคิดไม่ออกก็ไปถาม

ลั่วเซิงหลุบตาลงดื่มชา จู่ๆ แสงเหนือศีรษะก็มืดลง

นางเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้างดงามที่คุ้นเคย

“ท่านอ๋องมีธุระอะไรหรือเจ้าคะ”

เว่ยหานเห็นว่าเขายืนบังแสง เมื่อเหลือบมองไปข้างๆ ก็ย้ายเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลตัวหนึ่งมานั่งลง

ผู้ดูแลหญิงที่เพิ่งต้อนรับลูกค้าเสร็จกลับมาเห็นก็งงงัน

นั่นมันเก้าอี้ของนาง!

เป็นถึงท่านอ๋อง เหตุใดจึงแย่งเก้าอี้ของผู้ดูแลไปนั่งนะ

ผู้ดูแลหญิงส่ายศีรษะ ไปแอบอยู่ที่บริเวณหนึ่งของตู้คิดเงินและเปิดหนังสือบัญชี

นางจำได้ว่าเงินที่ไคหยางอ๋องจ่ายล่วงหน้าไว้ใกล้จะหมดแล้ว เขาควรจ่ายเพิ่มแล้ว…

เว่ยหานนั่งลง รู้สึกไม่พอใจความสูงนี้มาก เขาถามเสียงเบาว่า “คุณหนูลั่วเจอปัญหาอะไรเข้าหรือไม่”

ลั่วเซิงยกจอกชา มองเขาอย่างสงบ

หากไม่ได้ให้สือเยี่ยนไปหาคน นางคงสงสัยว่าสือเยี่ยนแอบบอกเขาแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเว่ยหานไม่ยอมแพ้ให้กับความเงียบของลั่วเซิง เขาพูดเสียงเบาว่า “ให้ข้าช่วยได้นะ”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท