ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 372 ร่ำสุรา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 372 ร่ำสุรา

สวี่ฟางเล่าจบแล้ว ตัวนางสั่นไม่หยุด สีหน้าซีดขาวยิ่งกว่าหิมะที่อยู่บนชายคา

ลั่วเซิงเองก็ฟังจบแล้วเช่นกัน

ใบหน้านางมองดูแล้วสงบนิ่ง แต่หัวใจกลับคล้ายจะแช่อยู่ในกระทะน้ำมันเดือดพล่าน กลิ้งไปกลิ้งมาอย่างทุกข์ทรมาน

ในคราแรกที่เริ่มสอบถามข่าวคราวของพี่สาวสองคน นางก็สงสัยแล้วว่าพี่ใหญ่ไม่ได้ป่วยตายง่ายๆ เช่นนั้น

แต่แม้ว่านางจะไม่ลังเลที่จะใช้ความประสงค์ร้ายอย่างที่สุดในการคาดเดาผู้คน แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้

พี่ใหญ่ถึงกับถูกปิดจมูกให้ขาดอากาศหายใจตายต่อหน้าบุตรสาว!

นางไม่อาจคาดเดาอารมณ์ของพี่ใหญ่ก่อนตายได้

ตอนนั้นพี่ใหญ่จะเป็นห่วงบุตรสาวที่หลบอยู่ในตู้เสื้อผ้ามากเพียงใด…

“คุณหนูลั่ว ข้ารู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่สมควรรบกวนผู้อื่น แต่ข้าไม่รู้ว่าจะทวงความยุติธรรมให้ท่านแม่อย่างไรแล้วจริงๆ ข้าเคยเฝ้ารอที่จะแต่งงาน บางทีอาจจะมีอิสระและพลังเล็กน้อย แต่อาศัยการแต่งงานนั้น สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่เดิมพันกับโชคเรื่องหนึ่ง…”

เหมือนกับท่านแม่ ท่านหญิงลดตัวลงมาแต่งงานกับจวนโหว แต่กลับแต่งให้กับท่านพ่อที่เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือคนหนึ่ง

นางอิจฉาน้ารองนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่ตนเองอิจฉา แต่อิจฉาแทนมารดา

แม้ว่าจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีเช่นกัน แต่น้ารองมีความสุขกว่ามารดานางมาก

“บิดากับแม่เลี้ยงท่านเคยมีการวางแผนเรื่องให้ท่านแต่งงานหรือไม่” ลั่วเซิงจัดการอารมณ์แล้วถามนิ่งๆ

สวี่ฟางส่ายหน้าช้าๆ “หลายปีมานี้ ข้ารู้สึกได้ว่า ความสงสัยที่ท่านพ่อมีต่อข้ายังไม่หายไป คิดว่ายินดีจะให้ข้าอยู่ตรงหน้าเพื่อจับตาดูมากกว่า”

เมื่อสตรีแต่งงาน ความสามารถในการควบคุมจากตระกูลฝ่ายมารดาก็จะลดลง

ลั่วเซิงยิ้มเยาะ “เขาอยากจะรั้งให้ท่านเป็นสตรีทึนทึกไปตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ”

สวี่ฟางยิ้มเจื่อน “ท่านพ่อกับแม่เลี้ยงล้วนเป็นคนอยากได้หน้า คงไม่ถึงขนาดที่จะรั้งข้าให้เป็นสตรีทึนทึกตลอดชีวิตหรอก บางทีสามารถยื้อได้หนึ่งปีก็ยื้อหนึ่งปี ยื้อจนอายุข้ามากเกินไปแล้ว ย่อมหาบุคคลดีๆ มาแต่งด้วยไม่ได้แล้ว”

คาดคะเนในตัวท่านพ่อต่อหน้าคนที่ไม่รู้ความจริงนั้น เป็นเรื่องที่กินแรงและไม่อาจได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก

“เช่นนั้นฮูหยินหนิงกั๋วกงล่ะ เคยถามเรื่องแต่งงานกับท่านหรือไม่”

สวี่ฟางหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย “ท่านน้าเคยพูดว่าจะดูให้ข้า”

“คุณหนูใหญ่สวี่เป็นคนฉลาด ผ่านปีนี้ไป ก็พยายามให้ฮูหยินหนิงกั๋วกงเลือกงานแต่งงานที่ดีให้ท่านเถอะ”

“แต่เรื่องใหญ่เช่นการแต่งงานให้ความสำคัญกับคำสั่งของบิดามารดา คำพูดของแม่สื่อ ท่านพ่อข้าไม่แน่ว่าจะรับปาก…”

ลั่วเซิงโค้งมุมปากเยาะเย้ย “หน้าตาของฮูหยินหนิงกั๋วกงยังคงมากพอ รอให้ถึงช่วงที่บิดาท่านหัวหมุน ไม่อยากล่วงเกินใครเสียก่อน”

หัวหมุนหรือ

สวี่ฟางหวั่นไหว ถามอย่างเร่งรีบ “คุณหนูลั่ว ท่านมีวิธีจัดการกับท่านพ่อข้าแล้วหรือ”

“ทีละขั้น ทีละตอน”

“เรื่องงานแต่งงานของข้าไม่รีบร้อน…” กลัวเพียงอย่างเดียวว่าเรื่องของตนเองจะส่งผลกระทบต่อการแก้แค้น สวี่ฟางรีบเอ่ย

ลั่วเซิงยิ้ม “ภายใต้รังที่พลิกคว่ำ ย่อมไม่มีไข่ที่สมบูรณ์[1] ท่านอยากแก้แค้นก็ไม่อาจเอาตนเองเข้าไปร่วมด้วยได้”

สวี่ฟางกัดริมฝีปาก “หากสามารถแก้แค้นให้ท่านแม่ได้ ข้าไม่ใส่ใจ!”

ลั่วเซิงมองนางอย่างลึกซึ้ง พลางเอ่ยว่า “มารดาท่านใส่ใจ”

สวี่ฟางหมดวาจาจะกล่าวในทันที นางตะลึงมองลั่วเซิง น้ำตานองหน้า

ลั่วเซิงยื่นมือไปจับมือที่เย็นเฉียบข้างนั้นแล้วเอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องร้องแล้ว มีแค้นก็แก้แค้นแค่นั้นเอง”

สวี่ฟางงึมงำ “คุณหนูลั่วช่วยข้าแบบนี้…”

ลั่วเซิงโค้งริมฝีปาก “อย่างไรว่างก็คือว่าง ใครใช้ให้ข้าเห็นบิดากับแม่เลี้ยงท่านแล้วขัดหูขัดตาล่ะ”

สวี่ฟางกลับไปแล้ว อารมณ์ของลั่วเซิงกลับไม่สามารถสงบลงได้เนิ่นนาน

ต้นพลับกลางลานปกคลุมด้วยอาภรณ์สีเงิน บนม้านั่งหินที่อยู่ไม่ไกลก็มีหิมะหนาๆ ชั้นหนึ่งซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์

ลั่วเซิงเดินเข้าไป ยื่นมือกวาดหิมะบนม้านั่งหินออกไป

โค่วเอ๋อร์เร่งฝีเท้าเข้าไปในห้องแล้วหยิบไม้ขนไก่ปัดฝุ่นกับเบาะรองนั่งหนาๆ ออกมา ทั้งกวาดหิมะ ทั้งปูเบาะรองนั่ง พริบตาเดียว กระทั่งชาร้อนก็ชงเสร็จแล้ว

“ที่นี่หนาวเจ้าค่ะ นั่งนานไม่ได้ แต่ท่านอยากสูดอากาศ นั่งสักพักหนึ่ง ดูต้นพลับก็ไม่เลว…” โค่วเอ๋อร์พร่ำบ่น แต่ก็ย้ายกระถางไฟมาวางไว้ข้างกายลั่วเซิงอย่างคล่องแคล่ว

“เรียกผู้ดูแลมาหน่อย”

ไม่นานนักผู้ดูแลหญิงก็เข้ามา “เถ้าแก่มีอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ”

“ข้าจำได้ว่ามีผู้ตรวจการหม่าท่านหนึ่ง มาร่ำสุราที่หอสุราเป็นครั้งคราว” ลั่วเซิงถือชาร้อน พลางถาม

นางเปิดหอสุราแห่งนี้ก็เพื่อสร้างเครือข่ายผู้สูงศักดิ์และมีอำนาจที่อยู่ในเมืองหลวง ในตอนที่นางต้องการจะได้สามารถนำมาใช้งานได้ ดังนั้นขอแค่เป็นคนที่เคยมาหอสุราล้วนให้ความสนใจทั้งนั้น

ผู้ดูแลหญิงเป็นคนฉลาดหลักแหลม ได้ยินลั่วเซิงถามเช่นนี้ก็ไม่มีความตื่นตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าเลยสักนิด แถมยังตอบทันทีว่า “เถ้าแก่ ท่านรอสักครู่เจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงดื่มชาไปหลายคำก็เห็นผู้ดูแลหญิงถือสมุดบัญชีเล่มหนาเดินเข้ามา

ผู้ดูแลหญิงยืนอยู่ข้างกายลั่วเซิง พลิกสมุดบัญชีดูอย่างคล่องแคล่วแล้วรายงานเสียงเบา “ผู้ตรวจการหม่าจะมาทุกวันที่สองของเดือน…”

สีหน้านางแปลกประหลาดเล็กน้อย

“ทำไมหรือ”

ผู้ดูแลหญิงเอ่ย “ทุกครั้งที่มาจะสั่งบะหมี่หยางชุนหนึ่งชามกับสุรากลั่นหนึ่งจอกเจ้าค่ะ”

ที่แท้บันทึกที่ผู้ดูแลหญิงคัดทุกวันไม่ใช่การทำบัญชีธรรมดาๆ แต่เป็นการบันทึกฐานะลูกค้าที่มาร่ำสุราทุกวันอย่างละเอียด รวมถึงสุรากับอาหารที่พวกเขาสั่งและเรื่องอื่นๆ

ความคิดของผู้ดูแลหญิงเรียบง่ายยิ่ง ผู้มาร่ำสุราล้วนเป็นขุนนางผู้มีตำแหน่งสูงและมีอิทธิพล ไม่รู้เรื่องความชอบของเหล่าผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไร แบบนั้นจะสามารถเป็นผู้ดูแลที่ผ่านเกณฑ์ได้หรือ

“ผู้ตรวจการหม่าผู้นี้จนจริงๆ” หงโต้วเบ้ปาก

อารมณ์หนักอึ้งและอึดอัดของลั่วเซิงกลับคล้ายมีแสงสว่างส่องเข้ามา นางเอ่ยเรียบๆ “แบบนี้ถึงจะดี”

ทุกวันที่หนึ่งของเดือนจะจ่ายเงินเดือนให้กับขุนนางในต้าโจว ผู้ตรวจการหม่าจะมาร่ำสุราทุกวันที่สองของเดือน เห็นได้ว่า ในมือยังมีเงินเหลือจากเงินเดือนที่เพิ่งได้มาอยู่บ้าง

รวมกับสุราและอาหารที่เขาสั่ง สามารถมองออกเลยว่านี่คืออาหารเลิศรส เพียงแต่ลำบากที่เงินไม่พอ

“เขียนประกาศแผ่นหนึ่ง บอกว่าใกล้จะคืนวันสิ้นปี หอสุราจะหยุดพักกิจการ เพื่อเป็นการขอบคุณนักดื่ม ทุกวันจะวางขายอาหารที่คิดราคาเพียงหนึ่งส่วนหนึ่งรายการ วันนี้ก็เป็นเนื้อวัวตุ๋นแล้วกัน”

“คิดราคาหนึ่งส่วนหรือเจ้าคะ” ผู้ดูแลหญิงคำนวณอย่างรวดเร็ว “เนื้อวัวตุ๋นหนึ่งจานยี่สิบตำลึง เช่นนั้นไม่ใช่ว่า แค่สองตำลึงเงินก็พอแล้วหรือเจ้าคะ”

ลั่วเซิงพยักหน้า

ผู้ดูแลหญิงมีสีหน้าปวดใจ เอ่ยเสียงเบา “ความจริงลดราคาครึ่งหนึ่งก็มีน้ำใจแล้วนะเจ้าคะ”

คิดราคาหนึ่งส่วนเลยนะ นี่ไม่เท่ากับว่าให้เปล่าหรือ

หงโต้วหัวเราะเหอะๆ พลางเอ่ยว่า “ผู้ดูแลฟังที่คุณหนูของพวกข้าจัดการก็พอแล้ว สิ่งที่คุณหนูขาดแคลนไม่ใช่เงินทอง”

ผู้ดูแลหญิงตกตะลึงไป

ประมาทเสียแล้ว มักจะปฏิบัติตามความคิดตอนที่เปิดร้านขายชาดในอดีต ลืมไปว่าตอนนี้นางกำลังทำงานเป็นลูกน้องของคุณหนูลั่ว

ผู้ดูแลหญิงรีบไปจัดการตามที่ลั่วเซิงสั่งทันที

ลั่วเซิงสั่งหงโต้ว “นำสุรากลั่นมากาหนึ่ง”

ไม่นานนัก บนโต๊ะหินก็มีกาสุราสีหยกกาหนึ่ง

ลั่วเซิงยกกาสุราขึ้นมารินสุราแล้วค่อยๆ จิบ พลางมองเด็กหนุ่มที่ผ่าฟืนอยู่ที่มุมกำแพง

เสียงผ่าฟืนน่าเบื่อลอยเข้าหู ทำให้หัวใจที่มีเรื่องมากมายกดทับอยู่ได้รับความสงบลงบ้าง

เว่ยหานก้าวเข้ามาในหอสุราแล้วถามสือเยี่ยนว่า “คุณหนูลั่วล่ะ”

“คุณหนูลั่วดูต้นพลับอยู่ที่ลานด้านหลังขอรับ”

“คนเดียวหรือ” เว่ยหานถามนิ่งๆ

“อา ถูกต้องขอรับ”

เว่ยหานก้าวเท้ายาวเดินเข้าไป เลิกม่านประตูซึ่งทำจากผ้าฝ้ายผืนหนาขึ้น

เด็กสาวสวมเสื้อคลุมสีเขียวนั่งอยู่บนม้านั่งหิน มือถือจอกสุรา กำลังเหม่อมองเด็กหนุ่มที่ผ่าฟืนอยู่

ภาพที่นางไม่ขยับเขยื้อนกับต้นพลับที่อยู่เป็นเพื่อนนางต้นนั้นแข็งตัวกลายเป็นม้วนภาพวาดสงบเงียบม้วนหนึ่ง

ดังนั้น เสียงผ่าฟืนที่ลอยเข้าหูจึงเหมือนจะชวนให้ผู้คนรำคาญใจขึ้นมา

[1] ภายใต้รังที่พลิกคว่ำ ย่อมไม่มีไข่ที่สมบูรณ์ หมายถึงบ้านหรือครอบครัวไหนที่ถูกทำลายลงไป คนในครอบครัวจะมีความสุขสมบูรณ์ไปไม่ได้

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท