ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 470 ดื่มลงไป

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 470 ดื่มลงไป

เซียวกุ้ยเฟยยังคงมองนางด้วยสายตาสงบและเผยรอยยิ้มเล็กน้อย

ซิ่วเย่ว์มือสั่น น้ำบ๊วยในถ้วยกระเด็นออกมาไม่น้อย

“หม่อมฉันซุ่มซ่าม เหนียงเหนียงโปรดอภัย” ซิ่วเย่ว์รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดลวกๆ แล้วคุกเข่าขอโทษ

เซียวกุ้ยเฟยยิ้ม “มิเป็นไร เถาหง เอาให้อาซิ่วอีกหนึ่งถ้วย”

เถาหงยกน้ำบ๊วยอีกถ้วยหนึ่งมา “อาซิ่ว ครานี้ถือดีๆ เล่า น้ำบ๊วยนี้เป็นบรรณาการจากทางใต้เชียวนะ”

ซิ่วเย่ว์รับและจับถ้วยไว้แน่น ดื่มน้ำบ๊วยลงไปทีละอึก

เซียวกุ้ยเฟยมองของเหลวสีแดงอ่อนในถ้วยที่ค่อยๆ ลดลงก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจ “อาซิ่วคิดว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”

ซิ่วเย่ว์ก้มหน้าตอบว่า “รสชาติดีมากเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยยิ้ม “อาซิ่วทำอาหารเก่ง ได้ลิ้มลองรสชาติน้ำบ๊วยถ้วยนี้แล้วคงทำน้ำบ๊วยที่อร่อยกว่านี้ได้”

ซิ่วเย่ว์ย่อเข่า “เหนียงเหนียงชมเกินไปแล้ว”

เซียวกุ้ยเฟยมองนางนิ่ง ตรัสด้วยเสียงราบเรียบว่า “วันนี้ลำบากเจ้าแล้ว เดือนหน้าข้าอาจจะเชิญเจ้าเข้าวังอีก”

“หม่อมฉันพร้อมรับใช้เหนียงเหนียงเสมอเพคะ”

เซียวกุ้ยเฟยลูบไล้นิ้วที่เรียวยาวของตนพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “เถาหง ส่งอาซิ่วออกไป”

เถาหงพาซิ่วเย่ว์ออกจากประตูวังแล้วหยุดลง “บ่าวส่งถึงตรงนี้ อาซิ่วโปรดอย่าลืมคำชื่นชมที่เหนียงเหนียงมีต่อท่าน ไม่แน่ว่าเดือนหน้าเราจะได้พบกันอีก”

“นั่นเป็นเกียรติของข้าน้อย”

เถาหงกวาดตามองซิ่วเย่ว์อย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไป

ซิ่วเย่ว์ถูกขันทีคนหนึ่งพาออกจากพระราชวัง นางกลับไปยังมีหอสุราทันที

ลั่วเซิงที่รออยู่ในหอสุรากระวนกระวายใจ

เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล สำหรับผู้ที่อาศัยในวังอันกว้างใหญ่เป็นเวลานานแล้วบางทีอาจจะเป็นเรื่องปกติ

ซิ่วเย่ว์ไม่เพียงแต่เก็บความลับเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเซียวกุ้ยเฟยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความหวังที่นางสนมคนอื่นๆ จะตั้งครรภ์ด้วย ตอนนี้นางได้รับสูตรยาแล้ว การกำจัดซิ่วเย่ว์เป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเซียวกุ้ยเฟย

ทว่านางเชื่อว่าตราบใดที่เซียวกุ้ยเฟยไม่ทำเรื่องโง่เขลา นางจะไม่คร่าชีวิตซิ่วเย่ว์ในวัง

ระหว่างการรอคอยที่แสนทรมาน ในที่สุดประตูหอสุราก็ถูกผลักออก ซิ่วเย่ว์รีบเดินเข้ามา

“ไปคุยกันข้างหลัง”

ทั้งสองเข้าไปในห้องด้านหลัง ลั่วเซิงถามทันทีว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพบเรื่องผิดปกติอะไรในวังอวี้หวาหรือไม่”

“เซียวกุ้ยเฟยให้บ่าวดื่มน้ำบ๊วยถ้วยหนึ่งเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงตกใจ หน้าเปลี่ยนสี “น้ำบ๊วยหรือ”

เมื่อฟังซิ่วเย่ว์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังอวี้หวาเสร็จ สีหน้าลั่วเซิงก็ยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม

เซียวกุ้ยเฟยประทานน้ำบ๊วยให้ซิ่วเย่ว์ดื่ม ชัดเจนเกินไปแล้ว

ซิ่วเย่ว์ดึงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ “บ่าวจำคำสั่งของท่านได้จึงจงใจทำน้ำบ๊วยหก”

ผ้าเช็ดหน้าสีขาวมีรอยสีแดงอ่อน บริเวณที่เปื้อนยังเปียกอยู่

“ตามข้ามา” ลั่วเซิงลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที นางสั่งหงโต้วที่กำลังปั้นตุ๊กตาหิมะกับโค่วเอ๋อร์ว่า “ไปเอาไส้อ่อนตุ๋นหม้อดินในครัวใส่กล่องอาหารให้ข้า”

หงโต้วตบมือเบาๆ ปัดหิมะที่ติดบนชุดกระโปรง กำชับโค่วเอ๋อร์ว่า “ตาของตุ๊กตาหิมะให้ข้ามาใส่นะ!”

โค่วเอ๋อร์ไม่ได้ตอบ เมื่อหงโต้ววิ่งเข้าไปในครัว นางก็ใส่หินโมราสีดำสองลูกเข้าไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ตุ๊กตาหิมะที่เดิมว่างเปล่าก็ดูมีชีวิตขึ้นมาทันที

ไม่นานหงโต้วถือกล่องอาหารออกมา ยิ้มถามว่า “คุณหนู ท่านจะไปส่งอาหารให้หมอเทวดาหรือเจ้าคะ”

ทุกคนรู้ว่าหมอเทวดาชอบกินไส้อ่อน

ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ

“เช่นนั้นให้บ่าวไปกับท่านเถอะเจ้าค่ะ”

หงโต้วเบ้ปาก

อาซิ่วอายุปูนนี้แล้วยังแย่งชิงความโปรดปรานอีก!

เมื่อหันกลับไปก็เห็นดวงตาสีดำราวกับองุ่นดำของตุ๊กตาหิมะ

หงโต้วตะโกนเสียงดังทันที “โค่วเอ๋อร์ ทำไมเจ้าไม่รักษาคำพูด”

โค่วเอ๋อร์กะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่ได้รับปากอะไรเสียหน่อย อีกอย่าง เจ้าดูสิตุ๊กตาหิมะตัวนี้เหมาะกับตาหินโมราสีดำจริงๆ”

“ไม่เห็นเหมาะเลย” หงโต้วควักหินโมราสีดำออกมาโยนลงไปที่พื้นดื้อๆ แล้วใส่เมล็ดแตงโมสองเม็ดเข้าไปแทน จากนั้นจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “แบบนี้น่ารักกว่ามากเลย”

โค่วเอ๋อร์ “…”

สายตาของหงโต้วนี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

ลั่วเซิงพาซิ่วเย่ว์เดินไปถึงประตูหอสุรา ยังได้ยินเสียงทะเลาะกันของสาวใช้สองคน

โรงหมออยู่ตรงข้ามหอสุรา แม้ประตูเปิดอ้า แต่กลับไม่มีผู้ใดเข้าออก

ฝูหลิงเด็กหนุ่มเฝ้าประตูกำลังง่วงหงาวหาวนอน ทันทีที่เห็นลั่วเซิงเดินมาก็ลุกพรวด “คุณหนูลั่ว เหตุใดวันนี้ท่านมาส่งอาหารเองขอรับ”

การส่งอาหารให้หมอเทวดาหลี่ทุกวันกลายเป็นกิจวัตรไปนานแล้ว แต่โดยปกติแล้วเป็นหน้าที่ของชายร่างกำยำ

“ไม่ได้คุยกับหมอเทวดานานแล้วจึงมาเยี่ยมหา”

ฝูหลิงรีบพาลั่วเซิงและซิ่วเย่ว์ไปข้างหลัง ส่งเสียงเรียก “หมอเทวดา คุณหนูลั่วมาส่งอาหารให้ท่านขอรับ”

ไม่นานเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของหมอเทวดาหลี่ก็ดังขึ้นจากในห้อง “เข้ามา”

ลั่วเซิงพาซิ่วเย่ว์เดินเข้าไป

หมอเทวดาหลี่เหลือบมองกล่องอาหารแล้วเหลือบมองซิ่วเย่ว์ พูดหน้านิ่งว่า “พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร”

คนทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน!

ลั่วเซิงเองก็ไม่ชักช้า นางเปิดกล่องอาหารแล้วยกหม้อดินที่ถูกปิดไว้หนาแน่นออกมา “วันนี้ทำไส้อ่อนตุ๋นมาให้ท่านกินเจ้าค่ะ”

ไส้อ่อน?

หมอเทวดาหลี่อดกระตุกมุมปากไม่ได้

เขาชอบอาหารจานนี้ที่สุด โดยเฉพาะไส้อ่อนที่ใช้หม้อดินตุ๋นจนเปื่อยแล้วใส่เห็ดหอม หน่อไม้และพริกดองรสเปรี้ยวลงไป เรื่องรสชาติน่ะหรือ… จุ๊ๆ

“พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไร” คำพูดเดียวกัน แต่ครานี้หมอเทวดาหลี่พูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรกว่าเดิม

ลั่วเซิงยื่นผ้าเช็ดหน้าเปื้อนน้ำบ๊วยให้ “ท่านช่วยดูได้หรือไม่ว่าของเหลวที่เปื้อนบนนี้มีปัญหาหรือไม่”

หมอเทวดาหลี่รับผ้าเช็ดหน้าไปแล้วยกขึ้นไปดมใกล้จมูก

ลั่วเซิงไม่ได้เร่งเร้า นางรอเงียบๆ

“นังหนูรอที่นี่สักครู่” หมอเทวดาหลี่เดินไปห้องด้านหลังพร้อมผ้าเช็ดหน้า ผ่านไปครู่หนึ่งจึงออกมา สายตามองข้ามลั่วเซิงไปหยุดลงที่ซิ่วเย่ว์ “นังหนูลั่ว เจ้าเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มา เกี่ยวข้องกับแม่ครัวของเจ้าใช่หรือไม่”

ไส้อ่อนตุ๋นหม้อดินหนึ่งหม้อไม่ได้หนักขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องพาคนมาอีกคน โดยเฉพาะแม่ครัว

ลั่วเซิงยอมรับอย่างเปิดเผย “ท่านพูดถูกแล้ว วันนี้อาซิ่วดื่มน้ำแบบนี้ลงไปจึงเอามาให้ท่านดูเจ้าค่ะ”

หมอเทวดาหลี่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ดื่มลงไปแล้วหรือ”

ลั่วเซิงพยักหน้า ถามลองเชิงว่า “น้ำนี้มีปัญหาหรือ มี…พิษใช่หรือไม่เจ้าคะ”

หมอเทวดาหลี่เงียบครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “พูดให้ถูกต้องแล้วไม่ใช่พิษ แต่คือแมลงชนิดหนึ่ง…”

ลั่วเซิงหน้าซีด ยิงคำถามสามข้อในคราวเดียว “แมลงนี้ใช้ทำอะไร กินลงไปแล้วเอาออกมาได้หรือไม่ อาซิ่วจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

สุดท้ายถามตรงประเด็นว่า “หากอาซิ่วเป็นอะไรไป หอสุราจะทำอย่างไรเล่า!”

หมอเทวดาหลี่ “…”

เหตุใดต้องเป็นแม่ครัวด้วย นี่มันบังคับให้เขาต้องเค้นสมองหาทางแก้ไขชัดๆ

หากแม่ครัวเป็นอะไรไป เขาก็จะไม่ได้กินของอร่อยๆ อีกแล้ว เมื่อไม่ได้กินของอร่อยๆ ก็คงเสียเปล่าที่ย้ายโรงหมอมาอยู่ตรงข้ามกับหอสุรา

เพื่อความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจในระยะยาวของเขาแล้ว ปัญหานี้เขาทำได้เพียงรับไว้

ขณะที่ครุ่นคิด ตาแก่ก็ถลึงตามองลั่วเซิง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นังเด็กแสบหาเรื่องให้ข้าได้ตลอดเลย!”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท