ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 475 หลบหนี

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 475 หลบหนี

คนชุดดำที่เหลือเพียงคนเดียวกระโดดออกจากหน้าต่างที่เปิดอ้า

นอกหน้าต่างมีทหารองครักษ์จำนวนหนึ่งเฝ้าอยู่ตั้งแต่แรก ดาบมากมายฟันใส่เขาในทันที

คนชุดดำเอามือกอดศีรษะกลิ้งหลบการโจมตี ใช้มือยันพื้นแล้วกระโดดวิ่งออกไป

“จับเขาไว้!”

ทหารองครักษ์นับไม่ถ้วนไล่ตามไป

คนชุดดำหลบหนีได้อย่างหวุดหวิด เขาสะบัดของบางอย่างใส่กำแพงแล้วจับเชือกปีนขึ้นไปบนกำแพงสูง

“อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้ ยิงธนู!” ไม่รู้ว่าใครในกลุ่มทหารองครักษ์ตะโกนขึ้น

ธนูนับไม่ถ้วนเล็งไปยังคนชุดดำที่กำลังไต่กำแพงทันที เสียงลูกธนูดังตามมาติดๆ

แม้คนชุดดำจะปีนขึ้นไปถึงยอดกำแพงได้อย่างรวดเร็วและตวัดดาบขวางลูกธนูไว้ได้มากมาย แต่ก็ยังมีลูกธนูสองดอกปักลงบนไหล่ของเขา

หลังจากร่างแข็งเกร็งไปครู่หนึ่ง คนชุดดำก็พลิกตัวกระโดดลงไปด้านล่าง

ท้องฟ้าไร้ดวงดาวและดวงจันทร์ มืดสนิทไปทั้งผืน ทว่าหิมะยังคงตก

ทหารองครักษ์วิ่งไล่มาทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โคมไฟมากมายแกว่งไปมาตามการเคลื่อนไหว แสงสว่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

คนชุดดำวิ่งไปตามกำแพง เขาวิ่งพลางดึงลูกธนูสองดอกออก

เลือดไหลทะลักออกมา เขารับรู้ได้ถึงพลังกายที่หดหายอย่างรวดเร็ว เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบและวุ่นวายข้างหลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

มือข้างหนึ่งยื่นออกมาฉุดเขาเข้าไปในตรอกหนึ่ง

“ไปกับข้า!”

คนชุดดำสะดุ้ง ยังไม่ทันตั้งสติได้คนๆ นั้นก็นั่งยองๆ ลงแล้วแบกเขาขึ้นหลัง วิ่งทะยานไปในตรอกเล็ก

เสียงของทหารองครักษ์ที่ตามไล่ล่าไกลออกไปเรื่อยๆ คนชุดดำที่นอนอยู่บนหลังของคนผู้นั้นเอ่ยปากอย่างยากลำบากว่า “อู่ อู่หลัง ปล่อยข้าลงเถอะ…”

จูอู่ชะงักฝีเท้า น้ำเสียงเจือความดีใจและประหลาดใจ “ลุงซิ่ง ท่านเองหรอกหรือ!”

เขาซ่อนตัวอยู่ด้านนอกศาลาว่าการ ไม่กล้าเข้าใกล้และไม่กล้าอยู่ไกลจนเกินไป เขาเห็นกองหนุนเร่งเดินทางมาทีละกลุ่มสองกลุ่มกับตา หัวใจก็พลันร้อนรุ่ม

ทว่ารอไปรอมา ก็เจอเพียงคนของตนคนหนึ่งปีนกำแพงหนีออกมา

ที่แท้เป็นลุงซิ่ง!

จูอู่รู้ว่าไม่ควรดีใจ ถึงอย่างไรองครักษ์จูเชวี่ยที่ลุงซิ่งพามาล้วนเป็นพี่น้องของเขา แต่ใครจะไม่เห็นแก่ตัวบ้างเล่า

ท่านลุงหนีรอดออกมาได้ ช่างดีจริงๆ!

“บัดซบ บอกให้เจ้าปล่อยข้าลง! ชักช้าต่อไป จะได้ตายทั้งคู่…” ลุงซิ่งด่าต่อไป

จูอู่ไม่สนใจกลับเร่งความเร็วมากขึ้น

ในที่สุดก็ถึงที่พัก

จูอู่พุ่งเข้าไป ใส่กลอนประตูจากด้านในแล้วแบกลุงซิ่งเข้าไปในห้อง

เทียบกับความหนาวเย็นข้างนอกแล้ว ห้องที่มีถ่านเผาไหม้อยู่ด้านในอบอุ่นกว่ามาก เทียนที่วางอยู่บนโต๊ะส่องสว่างตลอดเวลา

จูอู่วางลุงซิ่งลง เห็นใบหน้าที่ขาวซีดและดวงตาที่ปิดลงเล็กน้อยของเขาผ่านแสงไฟ

“ลุงซิ่ง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

ลุงซิ่งพยายามลืมตาขึ้น ริมฝีปากไร้สีเลือด “โดนลูกธนูเข้าที่ไหล่และถูกดาบแทงที่ร่างสองสามที…”

“ข้าช่วยทำแผลให้ท่านเอง” จูอู่รีบถอดเสื้อผ้าของลุงซิ่งออก หยิบยาสมานแผล ผ้าสะอาด และสุราที่เตรียมไว้แต่แรกออกมาเริ่มจัดการแผล

สำหรับจูอู่แล้ว นี่คือความสามารถที่จำเป็นต้องมี

บาดแผลบนตัวลุงซิ่งถูกจัดการเสร็จอย่างรวดเร็ว

จูอู่หยิบเสื้อผ้าให้ลุงซิ่งเปลี่ยนแล้วนำเสื้อผ้าที่ถอดออกมายัดเข้าไปในเตาไฟ

เสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดถูกไฟเผา ไม่ช้าก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

ครานี้เอง เสียงเคาะประตูเร่งรีบดังมาจากข้างนอก

จูอู่สบตาลุงซิ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เร็วเช่นนี้เลยหรือ!”

ลุงซิ่งสงบกว่ามาก เขาเร่งเร้าว่า “รีบซ่อนข้าไว้ในห้องลับ”

เมื่อเสียงเคาะประตูข้างนอกกลายเป็นเสียงพังประตูดังขึ้นเรื่อยๆ จูอู่ก็เปิดประตูด้วยสีหน้าสงบนิ่งพลางถามอย่างงัวเงียว่า “ใครน่ะ…” เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ถือดาบ จู่ๆ สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยน ถามเสียงสั่นว่า “ตะ…ใต้เท้า ดึกเช่นนี้แล้ว มีเรื่องอะไรหรือ”

เขาเห็นเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปบ้านคนอื่นผ่านแสงสว่างจากโคมไฟที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถือ

หัวหน้าเจ้าหน้าที่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เหตุใดเพิ่งมาเปิดประตู”

จูอู่ทำตัวไม่ถูก “ท่านดูสิว่านี่มันกี่ยามแล้ว ข้ากำลังนอนหลับฝันดี เมื่อได้ยินเสียงก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าและออกมาเปิดประตูทันที…”

“ตามจับผู้ร้ายหลบหนี!” หัวหน้าเจ้าหน้าที่พูดพลางผลักจูอู่ออกและสาวเท้าเดินเข้าไปข้างใน

“ใต้เท้า ใต้เท้า…” จูอู่รีบไล่ตามไป “ผู้ร้ายหลบหนีอะไรหรือขอรับ ใต้ฝ่าพระบาทฮ่องเต้ ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข เหตุใดจึงมีผู้ร้ายหลบหนีได้เล่า”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่กวาดตามองเขา พูดอย่างหมดความอดทนว่า “เงียบๆ!”

ดึกๆ ดื่นๆ คิดว่าพวกเขาสบายหรืออย่างไร ใครไม่อยากนอนใต้ผ้าห่มอุ่นๆ บ้างเล่า

จูอู่ไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาถอยไปบริเวณหนึ่งเงียบๆ

เจ้าหน้าที่สองสามนายค้นทั้งในและนอกห้อง ไม่นานก็มารายงาน “หัวหน้า ไม่มีผู้อื่นขอรับ”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่มองจูอู่อย่างพินิจพิเคราะห์ “เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ”

แม้บ้านหลังนี้ไม่ใหญ่นัก แต่ทำเลที่ตั้งดี ดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วกลับไม่เหมือนผู้สูงศักดิ์

จูอู่ฝืนยิ้ม “ข้าน้อยอยู่คนเดียวขอรับ”

“เรือนนี้เป็นของเจ้าหรือ หรือว่าเช่า”

จูอู่ลังเลครู่หนึ่ง

หัวหน้าเจ้าหน้าที่หรี่ตา “ทำไมรึ”

ต้องรู้ว่ารอยเลือดที่หยดลงบนพื้นหิมะสิ้นสุดลงเมื่อถึงบริเวณนี้ ช่วยไม่ได้ คืนนี้หิมะตกหนักเกินไป ร่องรอยที่หลงเหลือถูกหิมะปกคลุมไปอย่างรวดเร็ว

ยามนี้แม้เพียงความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ ไม่แน่ว่าจะได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่อื้อม

“คือแบบนี้ขอรับ บ้านหลังนี้เถ้าแก่ของข้าน้อยเป็นคนจัดแจงให้ข้าน้อยอยู่ ไม่เช่นนั้นข้าน้อยเป็นเพียงผู้ดูแลบัญชีคนหนึ่ง จะเช่าบ้านพักที่นี่อย่างไรไหว”

“เถ้าแก่ของเจ้าคือ…”

“คุณหนูลั่วขอรับ”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่ชะงักไป

จูอู่รีบเสริมว่า “ข้าน้อยเป็นผู้ดูแลบัญชีของมีหอสุรา คุณหนูลั่วเป็นเจ้านายของข้าน้อย”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่มุมปากกระตุก

เขาย่อมรู้จักมีหอสุราของคุณหนูลั่วดี ในเมื่อเป็นผู้ดูแลบัญชีของมีหอสุรา ย่อมไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องในคืนนี้

หัวหน้าเจ้าหน้าที่กำหมัดประสานมือให้จูอู่ “รบกวนแล้ว”

จูอู่รีบกล่าว “ใต้เท้าจะดื่มน้ำร้อนสักคำหรือไม่”

“ไม่แล้ว เรายังมีธุระ”

มองส่งเจ้าหน้าที่จากไป จูอู่ก็ปิดประตู ยืดหลังตรง

ลุงซิ่งที่ถูกซ่อนไว้ในห้องลับถูกรับตัวออกมา ดูแล้วอ่อนแอลงกว่าเดิม

“ไปแล้วหรือ”

จูอู่พยักหน้า “ท่านวางใจเถอะ ออกไปหมดแล้ว ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่าข้าเป็นผู้ดูแลบัญชีของคุณหนูลั่วก็รีบจากไปแล้ว”

ลุงซิ่งเงียบครู่หนึ่ง ยิ้มอย่างขมขื่น “คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายห้องลับที่คุณหนูลั่วสร้างขึ้นจะช่วยข้าไว้”

คิดถึงครานั้นที่พบว่าถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งดักฟังเรื่องสำคัญ เขาก็คิดอยากจะฆ่านางทิ้งอย่างเดียว

จูอู่คิดถึงลั่วเซิง รู้สึกว่าอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อน เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ลุงซิ่ง พี่น้องเหล่านั้น…”

เงียบไปนาน ลุงซิ่งเอ่ยปากว่า “ตายหมดแล้ว…”

หลังจากหดหู่ไปครู่หนึ่ง ดวงตาลุงซิ่งก็เป็นประกาย “แต่ว่าภารกิจคราวนี้สำเร็จแล้ว!”

“ดีจังเลย!” จูอู่โบกกำปั้น

ทั้งสองสบตากัน ตกอยู่ในความเงียบ

พวกเขารู้ดีแก่ใจว่าตัวประกันเหล่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ พูดได้เพียงว่าแต่ละคนล้วนมีนายของตนเอง

สำหรับพวกเขาแล้ว หากต้องการทำอะไรสักอย่าง เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนหลั่งเลือด อาจเป็นพวกเขา อาจเป็นศัตรูและอาจเป็นผู้บริสุทธิ์

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย นิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ย สิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉาน ท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจ ผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน… สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซา ชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำ หลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆ แม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก! “ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง” “ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ” เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท