ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 298 ผาคนแก่

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 298 ผาคนแก่

แต่ไม่ว่าฮั่นจุยจะต้องการหาแพะรับบาปหรือไม่ ยังไงก็ตาม ตราบใดที่ฮั่นจุยได้รับการฝังแผ่นพลังงานลงไป มันย่อมดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว

หากว่าเขาฝังแผ่นแก่นพลังงานลงไปในร่างของฮั่นจุย ฮั่นจุยจะกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อย่างแท้จริง และไม่อาจจะรับใช้เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อีก

“น้องฮั่น เจ้าคิดดีแล้วรึ หากเจ้าได้รับการฝังแผ่นแก่นพลังงานนี้ไปแล้ว เจ้าจะถือว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์เต็มตัวแล้วนะ”

“หึหึหึ ผู้อาวุโสหลี่ ที่ข้าฮั่นจุยผู้นี้มาที่นี่ในตอนแรกก็มีความตั้งใจเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่เดิม หากว่าท่านไม่พูดออกมา ข้าเองก็คงจะเอ่ยถามไปแล้วหลังจากนี้ แต่ในตอนนี้ในเมื่อมีคนคิดสงสัยในความตั้งใจของข้า เป็นธรรมดาที่ข้าต้องใช้มันเป็นข้อพิสูจน์”

“อยากจะรู้จริงๆว่าฮั่นจุยผู้นี้ฝังแผ่นแก่นพลังงานไปแล้วจะมีไอ้ตัวไหนมาหน้าด้านสงสัยข้าอีกกัน”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้อาวุโสหลี่ก็ไม่เอื้อนเอ่ยอีกต่อไป เขาได้ยื่นมือออกพร้อมกับแสดงให้เห็นถึงแผ่นแก่นพลังงานแผ่นหนึ่งในมือ ก่อนที่จะตะปบลงบนหัวของฮั่นจุยตรงจุดชีพจรที่อยู่ตรงส่วนหัว

“ชู่วววว” ฮั่นจุยนั้นสัมผัสได้ถึงแผ่นแก่นพลังงานที่อยู่ในหัวนั้นค่อยเชื่อมต่อกับเส้นเลือดของตน แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือหลังจากที่มันเข้าไปในหัวของเขาแล้ว แผ่นแก่นพลังงานนี้ก็ได้หลอมละลายไปในเส้นเลือดของเขา และหลงเหลือร่องรอยไว้เล็กน้อยตรงบริเวณเส้นเลือดที่อยู่ใกล้กับหัวใจเพียงเท่านั้น

เขาไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไมตอนที่ตรวจหัวของหยานเสวี่ยก่อนหน้านี้ทำไมถึงตรวจไม่พบ

กลายเป็นว่าผู้ที่อยู่ในระดับกึ่งราชาไปแล้วนั้น แผ่นพลังงานจะหลอมรวมไปกับเส้นเลือดนี่เอง

หลังจากที่ได้รับแผ่นแก่นพลังงานมาไว้ในร่างแล้ว ฮั่นจุยได้เปิดเปลือกตาขึ้นมา หลังจากนั้น เขาได้ลองเปิดใช้เกราะพลังงานของตนก็พบว่าในตอนนี้มันได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสหลี่และราชาคนอื่นๆก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา

“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องฮั่น ยินดีด้วย เจ้าได้เข้าร่วมกับพวกเราอย่างสมบูรณ์แล้ว”

ฮั่นจุยได้ยืนขึ้นก่อนพยักหน้ารับกับผู้อาวุโสหลี่ ก่อนที่จะหันไปหาราชาสวรรค์แล้วพูดออกมา

“ราชาสวรรค์ ตอนนี้พวกเราทั้งคู่ต่างก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว เจ้าก็คงไม่สงสัยในความภักดีของข้าแล้วสินะ”

เมื่อเห็นราชาสวรรค์ไม่ตอบโต้ ผู้อาวุโสหลี่ก็ได้หัวเราะก่อนจะพูดออกมาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ “น้องฮั่น เมื่อครู่ ราชาสวรรค์นั้นคิดเพียงปกป้องเผ่าพันธุ์เพียงเท่านั้น แม้คำพูดของเขาจะดูเกินเลย แต่นั่นเองข้าก็เข้าใจดี”

“แต่กับเรื่องจับตัวเฉินเฉียงนั่น ขอให้เจ้าเลิกคิดมันไปซะ”

“น้องฮั่น ถึงแม้ว่าเจ้าจะอยู่ในระดับราชาจอมพลก็ตาม แต่ความคิดนั่นมันเปรียบได้ดั่งเป็นการทำให้เกิดความขัดแย้งภายในอย่างแน่นอน”

“เอาอย่างนี้ ตอนนี้ผอ.ที่ดูแลและพัฒนาแผ่นแก่นพลังงานที่อยู่ในเขาห่านป่าแห่งนี้เองก็พึ่งถูกโยกออกไปได้ไม่นานนัก หากน้องฮั่นไม่ว่าอะไรก็ช่วยข้าดูแลที่นั่นให้หน่อยแล้วกัน”

ราชาสวรรค์ที่ได้ยินก็ถึงกับตกตะลึงจนรีบแย้งออกมา “ผู้อาวุโสหลี่ ฮั่นจุยนั้นพึ่งจะเข้าร่วม เขาไม่ควรจะได้รับตำแหน่งสำคัญแบบนี้ในทันที ข้าเกรงว่ามันค่อนข้างจะไม่เหมาะสมนะ”

“แผนกวิจัยและพัฒนาแผ่นแก่นพลังงานนั้นมีความสำคัญกับพวกเราอย่างมาก ข้าหวังว่าท่านจะทบทวนใหม่ด้วย”

เมื่อได้ยินคำกล่าวเตือนของราชาสวรรค์แล้ว ผู้อาวุโสหลี่เองก็รู้สึกว่าการตัดสินใจของตนนั้นเกินเลยไปจริงๆ แถมก่อนหน้านี้เองเขาก็เห็นฮั่นจุยยิ้มรับอย่างพึงพอใจไปแล้วด้วย

“ในเมื่อพี่หลี่เชื่อใจข้าถึงกับให้ดูแลงานสำคัญขนาดนี้แล้ว ข้า ฮั่นจุยก็ย่อมน้อมรับไว้ด้วยความยินดี ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน”

“เอ่อ หึหึหึ ดีแล้ว น้องฮั่นจะได้ช่วยข้าแบ่งเบาภาระของข้าไป”

หรือก็คือ ผู้อาวุโสหลี่นั้นไม่คิดจะถอนคำพูดของตนที่ลั่นปากออกไปแล้ว กลับกันเขาได้หันไปพูดกับราชาสวรรค์ต่อ “ราชาสวรรค์ หากเจ้าไม่มีสิ่งใดสำคัญที่ต้องทำในเกาะเทียนลี่แล้ว ข้าว่าเจ้าเองก็มาช่วยดูแลข้าดูแลสถานีวิจัยและพัฒนาแผ่นแก่นพลังงานด้วยก็แล้วกัน ได้รึเปล่า”

“…..รับคำสั่งท่านผู้อาวุโส” ราชาสวรรค์นิ่งคิดสักพักก่อนจะตอบออกไป

“ฮี่ฮี่ฮี่ น้องฮั่น ก่อนหน้านี้ความขัดแย้งของเจ้ากับราชาสวรรค์นั้นล้วนแล้วเห็นแก่ประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ ตอนนี้ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าทั้งสองจะเลิกแล้วต่อกัน และไม่หาเรื่องกันอีกต่อไป ได้รึเปล่า”

ฮั่นจุยเมื่อได้ยินก็แสยะยิ้มในทันที เขารู้ดีว่านั้นหมายถึงอะไร

นี่มันเปรียบได้ว่า เขายังไม่ได้มั่นใจฮั่นจุยแม้แต่น้อย

แต่ก็อีกล่ะนะ เขาเองก็อยากจะเห็นความลับของแผ่นแก่นพลังงานจริงๆว่ามันถูกพัฒนาขึ้นมาได้ยังไง

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หลี่อย่าได้กังวล ข้า ฮั่นจุยผู้นี้ไม่ใช่คนคิดเล็กน้อยแต่อย่างใด ข้าย่อมยินดีที่ได้ร่วมงานกับราชาสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว”

แต่เดิม เหตุผลที่ผู้อาวุโสหลี่เรียกประชุมทั้งราชามนุษย์กลายพันธุ์และจ้าวเกาะในครั้งนี้ก็เพื่อจะตามจับตัวเฉินเฉียงมาเพียงเท่านั้น แต่ในตอนนี้ ด้วยสถานะของเฉินเฉียงแล้ว ใครจะกล้าลงมืออีกกัน

และหลังจากผู้คนออกไปจนหมด ในตอนนี้ก็เหลือเพียงผู้อาวุโสหลี่ ราชาสวรรค์และฮั่นจุยเพียงเท่านั้น

“น้องฮั่น ศูนย์วิจัยและพัฒนาแผ่นแก่นพลังงานนั้นตั้งอยู่บนใจกลางเขาห่านป่าแห่งนี้”

“เจ้าเองก็คงได้ยินราชาสวรรค์พูดไปแล้วว่าศูนย์วิจัยแห่งนี้เปรียบได้ดั่งแกนกลางของพวกเราทั้งเผ่าพันธุ์”

“ในเมื่อพี่ฮั่นเข้าร่วมกับพวกเรานั้น ไม่นานท่านก็ต้องรับรู้ในเรื่องนี้อยู่ดี”

“เหตุผลที่ว่าทำไมเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์แข็งแกร่งกว่าใครนั้นเป็นเพราะที่นั่นเปรียบได้ดั่งศูนย์รวมของทักษะยุทธหลากหลายประเภท และพวกเราสามารถนำความรู้เหล่านั้นใส่ไว้ในแผ่นแก่นพลังงานแล้วฝังลงไปในร่าง และนั่นจะทำให้คนผู้นั้นสามารถทักษะเหล่านั้นได้อย่างไม่ยากเย็นหากมีความตั้งใจพอ หรือก็คือ เพียงแค่พวกเราฝังแผ่นแก่นพลังงานเข้าไปก็เป็นผู้บ่มเพาะได้นั่นเอง”

“ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็ไม่ว่าจะเป็นการบิน ควบคุมสายน้ำ ดำดิน เกราะเหล็กไหล และพลังเหนือมนุษย์อื่นๆล้วนแล้วมาจากสิ่งนี้”

“แน่นอนว่ายังมีพลังเหนือมนุษย์อย่างอื่นที่ทรงพลังมากกว่านี้ แต่นั่นมันก็ต้องแลกมาด้วยการเสียค่าใช้จ่ายมากมายในการสร้างแผ่นแก่นพลังงานที่มีพลังเหนือมนุษย์ประเภทนั้นเช่นกัน”

“และนี่ก็ทำให้แผ่นแก่นพลังงานสามารถแบ่งได้ห้าระดับขั้น”

“แผ่นแก่นพลังงานของมนุษย์กลายพันธุ์ที่ออกศึกในการศึกที่เชินจ้งเองก็เป็นหนึ่งในแผ่นแก่นพลังงานระดับห้าของพวกเรา”

“น่าเสียดายที่ผู้ซึ่งสามารถสรรค์สร้างแผ่นแก่นพลังงานระดับนั้น หลังจากที่สร้างแผ่นแก่นพลังงานพลังจิตไปได้เพียงร้อยแผ่นก็ต้องตกตายในระหว่างกระบวนการสร้าง แม้แต่ตอนนี้ชื่อของเขายังถูกกล่าวถึงอยู่เลย”

“และนี่จึงเป็นเหตุผลให้แผ่นแก่นพลังงานทุกแผ่นนั้นเปรียบได้ดั่งสมบัติที่มีค่าของพวกเรา ข้าเองก็หวังว่าน้องฮั่นจะจัดการพวกมันได้เป็นอย่างดี และสามารถพัฒนาแผ่นแก่นพลังงานที่ทรงพลังให้กับพวกเราได้ยิ่งกว่านี้”

ฮั่นจุยได้ยินก็ถามออกมาเล็กน้อย “พี่หลี่ แผ่นแก่นพลังงานนี่พวกเราสามารถฝังได้กี่แผ่นกัน”

“ฮี่ฮี่ฮี่ น้องฮั่น ข้าเข้าใจความคิดของเจ้าดี เจ้านั้นอยากจะฝังแผ่นแก่นพลังงานให้มันเยอะๆจะได้ใช้พลังเหนือมนุษย์ได้อย่างหลากหลายใช่ไหมล่ะ”

“แต่ว่าข้าบอกไว้เลยว่าเจ้าไม่ต้องคิดไปไกลถึงขึ้นนั้น”

“พวกเรามนุษย์กลายพันธุ์นั้นสามารถฝังแผ่นพลังงานได้เพียงแผ่นเดียวเท่านั้น”

“อีกอย่าง ข้าว่าด้วยระดับการบ่มเพาะของน้องฮั่นแล้ว ข้าว่าเจ้าไม่ต้องฝังแผ่นแก่นพลังงานก็ยังได้”

“เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม เมื่อเจ้าไปถึงระดับราชาแล้ว สิ่งสำคัญจะไม่ใช่ทักษะเหนือมนุษย์หรือวิชายุทธอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญนั้นคือการตั้งมั่นในการขัดเกลากฎบนโลกใบเล็กของพวกเรา”

“อืมมมม เหอเหอเหอ” เมื่อถูกผู้อาวุโสหลี่อ่านออก ฮั่นจุยก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างอับอาย แต่ดวงตาของเขากลับเปร่งประกายอย่างบอกไม่ถูก

ภายใต้การนำของผู้อาวุโสหลี่ ราชาสวรรค์และฮั่นจุย ได้เดินเข้าไปยังตึกที่อยู่ในใจกลางเขาห่านป่าแห่งนี้

และด้วยพลังจิตที่สูงล้ำของราชาสวรรค์นั้น เขาสามารถตรวจพบได้ในทันทีว่ารอบศูนย์วิจัยแห่งนี้นั้นมีผู้ทรงพลังอยู่รายรอบศูนย์วิจัยแห่งนี้ เท่าที่เขาตรวจพบนั้นมีอยู่อย่างน้อยๆก็หนึ่งร้อยคน และด้วยการเคลื่อนไหวไปมาของคนเหล่านี้นั้นทำให้พื้นที่โดยรอบเกือบหนึ่งตารางกิโลเมตรถูกปิดกั้นเอาไว้โดยสมบูรณ์

หลังจากนำทางราชาสวรรค์และฮั่นจุยมาถึงที่นี่ ผู้อาวุโสหลี่ก็ได้จากไป

หากนับตามคำพูดของผู้อาวุโสหลี่แล้ว ศูนย์วิจัยและแผ่นพลังงานแห่งนี้เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของมนุษย์กลายพันธุ์ เป้าหมายของราชาสวรรค์และฮั่นจุยนั้นคือการพัฒนาแผ่นแก่นพลังรูปแบบใหม่ และส่งออกไปใช้ในฐานะฐานรากของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์รุ่นใหม่

มันเป็นงานที่ดูสบายนัก

แต่ฮั่นจุยที่ได้ยินคำอธิบายจากผู้อาวุโสหลี่ก่อนหน้านี้นั้น เขาได้มีความคิดหนึ่งขึ้นมาในใจ และนี่ก็เป็นความคิดที่แม้แต่ราชาสวรรค์ก็ไม่อาจจะคาดคำนึงเอาไว้มาก่อน

หลังจากได้รับภารกิจมาแล้ว ราชาสวรรค์ก็ได้ไปยังห้องของตนเอง แต่ระหว่างนั้น เขาก็ได้พบกับฮั่นจุยที่ในตอนนี้กำลังไปหยุดอยู่ที่เจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งรับหน้าที่ผลิตแผ่นแก่นพลังงานระดับหนึ่งคนหนึ่ง

“เจ้า มานี่หน่อยสิ”

เจ้าหน้าที่ผลิตแผ่นแก่นพลังงานถือกำลังขนย้ายแผ่นแก่นพลังงานอยู่นั้นได้รีบเดินเข้ามาหาฮั่นจุยและกล่าวออกมา “ท่านผู้อาวุโส ท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”

ฮั่นจุยได้ชี้ที่แผ่นแก่นพลังงานในมือของพนักงานคนนี้แล้วถามออกมา “”นี่เป็นแผ่นแก่นพลังงานงั้นรึ

“แล้วเจ้าเอาออกมาทำไมกัน”

“ตามกฎแล้วไม่ใช่ว่าแผ่นแก่นพลังงานที่ผลิตได้แล้วไม่ควรจะนำออกมาพลการแบบนี้ไม่ใช่รึไง”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว พนักงานคนนี้ได้ถอดถอนลมหายใจอย่างหนักแล้วพูดออกมา “โอ้ ท่านผู้อาวุโสต้องการจะคุยกับข้าเรื่องนี้นี่เอง”

“เป็นอย่างนี้ครับ ท่านผู้อาวุโส นี่คือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ข้ารับใช้ผู้นี้ทดลองผลิตออกมา มันประสบความสำเร็จและสามารถให้พลังกับร่างกายได้เฉกเช่นเดียวกับการได้รับเม็ดยาบ้าเลือดและไม่ได้มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด”

“อย่างไรก็ตาม แม้ในการทดลองมันจะสำเร็จ แต่ในระหว่างการเข้าสู่กระบวนการผลิตจำนวนมากนั้นมันกลับเกิดความผิดพลาด พวกเราไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงโยนมันทิ้งไปเพียงเท่านั้น”

“โฮ่” สายตาของฮั่นจุยเปล่งประกายในทันทีเมื่อได้ยิน ก่อนที่จะถามต่อ “เจ้าหนุ่ม เจ้ามีชื่อว่าอะไร”

“ข้าทาสชื่อฟางเจิ้ง เป็นพนักงานผลิตแผ่นแก่นพลังงานระดับหนึ่งครับ”

“ฟางเจิ้งรึ ชื่อที่ดี” ฮั่นจุยได้ตบบ่าฟางเจิ้งไปหนึ่งทีก่อนจะพูดต่อ “ฟางเจิ้ง บอกผู้อาวุโสหน่อยสิว่าความผิดพลาดที่เจ้าว่ามานั้นคือสิ่งใด”

เมื่อเห็นว่าฮั่นจุยนั้นกล่าวออกมาราวกับจะเยินยอเขา ฟางเจิ้งเองก็ตื่นต้นจนเร่งรีบหยิบแว่นตามาสวมในทันทีแล้วรีบพูดออกมา “ผู้อาวุโส มันเป็นอย่างนี้ ข้าพึ่งพบว่าสัตว์ประหลาดประเภทหนูที่ใช้ในการทดสอบนี้ หลังจากฝังแผ่นแก่นพลังงานลงไปในร่าง แม้พลังของมันจะเพิ่มสูงขึ้นมาจริงแต่มันก็ไม่เป็นตามที่ตั้งเป้าเอาไว้”

“นั่นก็เพราะหลังจากที่ได้รับแผ่นแก่นพลังงานนี้เข้าไปแล้ว แม้เจ้าหนูนี่จะสิ้นสติไปแล้วแต่ก็ยังตกอยู่ความบ้าคลั่ง เคลื่อนไหวไปมาได้แม้จะไม่ได้รับรู้ต่อสิ่งใดเลยก็ตาม”

“และหลังจากตรวจสอบดูแล้วว่าไม่อาจจะแก้ไขได้อีก ข้าจึงข้าว่าควรจะทำลายมันทิ้งไปได้เพียงเท่านั้น”

เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว ฮั่นจุยได้แสดงท่าทางออกมาราวกับได้พบเจอขุมทรัพย์ เขาได้พาฟางเจิ้งกลับเข้าห้องของตนไปก่อนที่จะใช้กำแพงกั้นเสียงในทันที

เมื่อเห็นฉากนี้ ราชาสวรรค์แม้จะรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมฮั่นจุยต้องทำเป็นมีลับลมคมในถึงขนาดต้องเปิดกำแพงกั้นเสียงขึ้นมา แต่มันคาใจจนเขาก็ไม่อาจจะห้ามใจได้และทำได้เพียงรอจนกว่าฟางเจิ้งจะออกมาเพียงเท่านั้นเพื่อที่เขาจะได้สอบถาม

หลังจากผ่านไปนาน ฟางเจิ้งก็ได้เดินออกมาจากห้องของฮั่นจุยด้วยท่าทางเริงร่าอย่างที่สุด

และเมื่อฟางเจิ้งได้กลับเข้าห้องแล็บผลิตไป ราชาสวรรค์ก็ได้เดินเข้าไปหา

“ฟางเจิ้งสินะ ผู้อาวุโสฮั่นต้องการอะไรจากเจ้ารึ”

นอกจากฟางเจิ้งที่เป็นพนักงานผลิตแผ่นแก่นพลังงานเพียงคนเดียวในที่นี้แล้ว คนอื่นๆที่เข้ามาที่สถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งนี้ได้นั้นก็มีเพียงผู้อาวุโสแห่งเผ่าพันธุ์ที่ได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น

ถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ฟางเจิ้งได้พบราชาสวรรค์ แต่เขาก็ยังเรียกราชาสวรรค์ว่านายท่านได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

“นายท่าน ข้าต้องขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้อาวุโสฮั่นได้บอกข้าไว้ว่านี่เป็นภารกิจลับสุดยอด นอกจากตัวผู้อาวุโสฮั่นแล้ว ท่านไม่ให้ข้าพูดคุยเรื่องนี้กับผู้ใดอีก”

เมื่อได้ยินคำพูดของฟางเจิ้งแล้ว ราชาสวรรค์เองก็ยิ่งรู้สึกวางใจไม่ได้เข้าไปอีก

กับนักเทคนิคที่มีเพียงน้อยนิดอย่างฟางเจิ้งนั้น แม้แต่ราชาสวรรค์ก็ไม่อาจบังคับขู่เข็ญได้

นี่จึงทำให้ราชาสวรรค์ทำได้เพียงเลิกรามือไปแล้วเดินออกไปในทันที

ในเมื่อเขาไม่ได้รับความไว้วางใจจนได้รับการบอกกล่าว เขาจึงทำได้เพียงลอบสืบสวนความลับนี้เพียงเท่านั้น

ด้วยเหตุผลบางอย่าง ราชาสวรรค์รู้สึกได้ว่าฮั่นจุยนั้นต้องลอบก่อการอะไรบางอย่างที่ทำให้มนุษย์กลายพันธุ์ต้องเกิดปัญหาขึ้น และเมื่อได้เห็นใบหน้าเหี้ยมเกรียมก่อนหน้านี้ อย่าว่าแต่เขาเลย ไม่ว่าใครมาเห็นก็ต้องคาใจทั้งนั้น

ในเมื่อช่วงนี้เขายังไม่มีเรื่องด่วนอะไรบนเกาะเทียนลี่อยู่แล้ว ราชาสวรรค์จึงตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่อย่างผาสุกพลางสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

…..

ผาคนแก่

จากเขาหมางเมื่อพุ่งตรงมาทางทิศตะวันตกเป็นระยะทางประมาณแปดร้อยไมล์ เฉินเฉียงได้มาตามแผนที่ที่อยู่ในกำไลสื่อสารจนมาพบจุดเกิดเหตุในปีนั้นในที่สุด

พูดกันตรงๆแล้ว ผาคนแก่นี้ก็เปรียบได้ดั่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเขตตึกจอมพลกันหนันและตึกจอมพลเป่ยเชิน และเพียงล่วงเลยไปที่สุดปลายผาก็จะเป็นเขตของตึกจอมพลเหมันต์จันทรา

หากอิงจากคำพูดของหยานเสวี่ย เมื่อยี่สิบสามปีก่อนนั้น มนุษย์กลายพันธุ์ได้บุกทะลวงเข้าไปถึงตึกจอมพลเหมันต์จันทรา และไล่ล่าจับตัวเว่ยหยวนตี้ในตอนนั้น

ท่ามกลางความโกลาหลนี้ เว่ยหยวนตี้ได้นำกำลังคนที่มีฝ่าออกไป และหนึ่งในนั้นคือพ่อของเขา เฉินเทียนเว่ย พวกเขาวิ่งมาถึงผาคนแก่แห่งนี้เพื่ออาศัยชัยภูมิที่คุ้นเคยในการหลบหนี

และที่นี่เป็นสถานที่ที่พ่อของเขาได้ตกตาย

เมื่อเฉินเฉียงมาถึง เขาก็พบว่ามันถูกยึดครองโดยสัตว์ประหลาดไปแล้ว

ทั่วทั้งบริเวณรอบผาสูงกว่าสามร้อยเมตรเต็มไปด้วยไม้ที่รกทึบระเกะระกะไปทั่ว และเสียงที่เขาได้ยินนั้นมีเพียงเสียงของนกที่ร้องระงมเพียงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงไม่ใช่เด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบที่หลงป่าแต่อย่างใด

ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขานั้นเดินเล่นในป่านี้ได้สบาย

ตราบใดที่เขาไม่ได้พานพบผู้ที่อยู่ในระดับราชา ชีวิตของเขาย่อมไม่ตกอยู่ในอันตรายแต่อย่างใด

ยังไงซะ เขาเองก็เป็นผู้ที่ข้ามเวลามาเท่านั้น เขาไม่ได้รู้สึกรู้สากับไอ้การแบ่งเผ่าพันธุ์บ้าบออะไรนั่นอยู่แล้ว

และนี่ทำให้ ต่อให้เขาได้พบเจอสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์กลายพันธุ์ก็ตาม หากเขาไม่โดนหาเรื่องก่อน เขาย่อมไม่ลงมือกับผู้ใด

อีกอย่าง ที่เขามาที่นี่นั้นเพียงเพราะต้องการมาตรวจสอบสถานที่ตามที่หยานเสวี่ยบอกเขาไว้ เพื่อที่จะหาวิธีรับรู้ความจริงในปีนั้นให้จงได้

ในเมื่อเรื่องมันเกิดที่นี่ ต่อให้มันจะผ่านมายี่สิบสามปีแล้ว แต่เขาก็เชื่อว่าต้องมีร่องรอยเหลือทิ้งไว้

และเมื่อคิดได้แบบนี้ ในขณะที่เขาอยู่ตรงยอดผา เฉินเฉียงก็ได้ใช้พลังจิตที่ทรงพลังของตนปล่อยกระแสจิตตรวจสอบพื้นที่ในทันที และนี่ทำให้เขาได้พบเจอสถานที่ที่หยานเสวี่ยกล่าวถึงได้อย่างไม่อยากเย็น

ฟังจากคำพูดของหยานเสวี่ยแล้ว จุดที่พ่อของเขาตายนั้นถูกฆ่าตายบนหน้าผาที่มีถ้ำอยู่ใกล้ๆ

เขาเชื่อว่าด้วยภูมิประเทศที่มีเอกลักษณ์แบบนี้ ไม่ยากที่เขาจะได้พบเจอ

เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาก็ได้กางปีกของตนและบินตรงไปยังยอดของผาคนแก่

และนี่ทำให้เขาพบว่าทางใต้ของผานี้เป็นเพียงพื้นที่เดียวที่มีภูมิประเทศที่เป็นจุดที่สูงที่สุดตรงตามคำพูดของหยานเสวี่ย เขาจึงคิดว่าจะเริ่มสืบหาร่องรอยจากจุดนั้น

“วู้วววววววว”

“โอววววว………”

เสียงที่แปลกประหลาดบังเกิดขึ้นจากป่าอย่างต่อเนื่อง นี่คือเสียงของสัตว์ประหลาดที่ร้องออกมาอย่างดุร้าย

แต่เมื่อพวกมันสัมผัสกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นของเฉินเฉียง พวกมันก็วิ่งหนีไปอย่างล้มลุกคลุกคลานในทันที

ตามทางเดินเล็กๆ เฉินเฉียงที่ก็ได้ตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดลออ ราวกับว่าจะกลัวมีสิ่งใดที่ตกหล่น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฉินเฉียงจะควานหาถ้ำที่ถูกกล่าวถึงนานขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังไม่พบเจอ นี่ขนาดเขาได้ควานหาตั้งแต่ยอดจนถึงตีนเขาของจุดนี้เลยด้วยซ้ำ

นี่เขาพลาดอะไรไปกัน

ถึงอย่างนั้น เฉินเฉียงก็ยังคงค้นหาซ้ำไปมาอยู่หลายต่อหลายหน

หลังจากผ่านไปอาทิตย์กว่าๆ ในขณะที่เขาคิดจะล้มเลิกไปแล้ว เขาก็ไปนึกถึงรูเล็กๆที่อยู่ในพื้นที่ชะง่อนผาที่มีขนาดพอจะให้สองคนเข้าไปเพียงเท่านั้น

หรือนั่นจะเป็นถ้ำที่หยานเสวี่ยกล่าวถึงกัน

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท