ตอนที่ 495 กรรมตามทัน
[สุราเพลิงหยกน้ำแข็งลึกลับ] เป็นสุราที่เทพสุราจั่วปั๋วเยี่ยนใช้สมุนไพรล้ำค่าหลายชนิดหมัก มีฤทธิ์ปรับสมดุลหยินหยาง
หลังจากนำสุราเพลิงหยกน้ำแข็งลึกลับสองขวดที่หมักเสร็จล่วงหน้ามาจากจั่วปั๋วเยี่ยนแล้วกล่าวอำลา พวกเขาก็ออกจากบ้านเทพสุราด้วยกัน
พอออกมาไกลมากแล้ว กลิ่นสุราที่มีเฉพาะในบ้านเทพสุราก็เบาบางจนไม่ได้กลิ่นแล้ว
ทั้งสองต่างคนต่างใช้ท่าร่างอันยอดเยี่ยมของตัวเองวิ่งตะบึงไปยังทิศทางหนึ่ง น้องดาบเจียดเวลาบอกกับเยี่ยเว่ยหมิงว่า “มือปราบหน้าเหม็น มีเรื่องบางอย่างที่เราต้องคุยกันล่วงหน้า ภารกิจที่ข้ารับมา แม้จะใช้สุราเพลิงหยกน้ำแข็งลึกลับแลกวิชากำลังภายในที่เป็นระดับสุดยอดวิชาได้ แต่ถ้าไม่เคยทำภารกิจย่อยใดๆ มาก่อน เจ้าจะได้สุดยอดวิชาหรือเปล่าข้าก็ไม่แน่ใจแล้ววนะ”
“เข้าใจแล้ว!” เยี่ยเว่ยหมิงเอ่ยรับคำเตือนที่หวังดีของอีกฝ่ายไปอย่างนั้น แต่กลับถามอย่างแปลกใจว่า “ไม่เจอกันมาสักพัก วิชาตัวเบาของเจ้าก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย เจ้าเรียนวิชาตัวเบาระดับสูงมาใหม่หรือ”
น้องดาบพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าทำภารกิจ ได้วิชาตัวเบาระดับสูงที่ชื่อว่า ‘ย่ำจอกข้ามน้ำ’ มาใหม่ ที่จริงในภารกิจเทศกาลสารทจีนก่อนหน้านี้ ข้าก็ได้วิชาตัวเบานี้มาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นข้ากำลังสะสมค่าตบะเพื่อเพิ่มกำลังภายใน จึงไม่ได้เพิ่มเลเวลมัน จึงแสดงท่าร่างนี้ออกมาไม่ชัดเจนนัก”
พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ น้องดาบก็นึกอะไรขึ้นได้ นางจึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา ถามเยี่ยเว่ยหมิงว่า “ดูจากกลยุทธ์ที่เจ้าให้ข้าก่อนหน้านี้ เจ้าน่าจะรักษาวิชา ‘กระบี่จงชง[1]’ ไว้ได้อย่างราบรื่นเลยสินะ ที่จริงข้าสงสัยมาตลอดว่าประสิทธิภาพของ ‘ดรรชนีกระบี่หกชีพจร’ เป็นอย่างไรกันแน่ เจ้าแสดงให้ข้าดูหน่อยเป็นอย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วชูนิ้วกลางให้น้องดาบอย่างให้ความร่วมมือ
น้องดาบงงทันที “ปราณกระบี่ล่ะ”
“ค่าสเตตัสยังไม่พอ ตอนนี้ยังปล่อยปราณกระบี่ไม่ได้”
“แล้วเจ้าฉวยโอกาสชูนิ้วกลางใส่ข้าหรือ” น้องดาบโมโห
“อย่าใส่ใจรายละเอียดพวกนั้นเลย” เยี่ยเว่ยหมิงเปลี่ยนประเด็นสนทนาอย่างไม่ลังเล “ว่าแต่เจ้าเถอะ ใช้ ‘กระบี่ส้าวเจ๋อ’ แลกอะไรดีๆ มาแล้วสินะ นำออกมาให้ข้าเปิดหูเปิดตาหน่อยสิ”
“ข้าใช้ ‘กระบี่ส้าวเจ๋อ’ แลกมาได้ภารกิจเดียวเอง แต่ภารกิจนั่นยังไม่เริ่มเลย ถ้าถามว่าเริ่มเมื่อไร ก็ต้องรอให้ระบบประกาศอีกที”
น้องดาบกล่าวอย่างจนใจ “ดังนั้น สถานการณ์ของเราสองคนต่างกันไม่มาก แม้จะได้ผลตอบแทนเยอะในภารกิจนี้ แต่เป็นเหมือนเงาดอกไม้ในกระจกกับเงาจันทร์ในน้ำ ตอนนี้ยังนำมาเพิ่มความสามารถตัวเองไม่ได้”
สำหรับคำอุปมา ‘เงาดอกไม้ในกระจกกับเงาจันทร์ในน้ำ’ จากปากน้องดาบ เยี่ยเว่ยหมิงไม่กล้าเห็นด้วย
เขาเชื่อว่าต้องมีสักวันที่เขาจะใช้งาน ‘กระบี่จงชง’ ได้
เงาร่างสีแดงกับสีน้ำเงินวิ่งตะบึงอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างโล่ง หลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองก็มาถึงตีนเขาของยอดเขาที่ตั้งตระหง่านแห่งหนึ่ง
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นยอดเขาสูงประมาณสามสิบจั้ง ผนังรอบๆ โล้นเป็นมันวาว มีกอหญ้าแห้งขึ้นแซมระหว่างซอกหินเป็นหย่อมๆ
“ทุกจุดที่มีหญ้าแห้ง รอบๆ จะนูนขึ้นมาเล็กน้อย มีแต่คนที่วิชาตัวเบาเลเวลสูงเท่านั้น ถึงจะอาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นตัวส่งแรงได้” ขณะที่พูดน้องดาบก็มองเยี่ยเว่ยหมิงอย่างท้าทายปราดหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เรามาแข่งวิชาตัวเบากันดีไหม ใครขึ้นถึงยอดหน้าผาก่อนคนนั้นชนะ คนแพ้ต้องรับผิดชอบเรื่องอาหารเที่ยง”
พอพูดจบ ก็ไม่รอให้เยี่ยเว่ยหมิงตอบ นางใช้ท่าร่าง ‘เทพท่องร้อยแปรเปลี่ยน’ ไต่หินขึ้นไปบนยอดหน้าผาแล้ว
หน้าผาแห่งนี้ ล้วนเป็นบททดสอบที่ดูถูกไม่ได้สำหรับผู้เล่นทุกคนที่อยากจะปีนให้ถึงยอด
ต่อให้เป็นน้องดาบ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเจอความท้าทายนี้เช่นกัน แม้วิชาตัวเบากับความสามารถนางเทียบกับวันเก่าไม่ได้แล้ว แต่เมื่อเจอกับหน้าผาแบบนี้ ก็ยังไม่กล้าประมาทง่ายๆ
จำได้ว่าครั้งแรกที่มาที่นี่ นางถึงขั้นพลาดตกตายไปครั้งหนึ่ง
แต่ตอนนี้พอได้ปีนอีกครั้ง ก็พบว่าง่ายกว่าครั้งก่อนมากจริงๆ
แม้จะพูดไม่ได้ว่าง่ายเหมือนเดินบนพื้นราบ แต่ถ้าระวังสักหน่อย ก็น่าจะไม่มีอันตรายเรื่องก้าวพลาด
ทว่าตอนที่น้องดาบปีนขึ้นมาได้ครึ่งทาง กำลังดีใจเพราะคิดว่าวันนี้จะต้องได้กินของอร่อยฝีมือเยี่ยเว่ยหมิง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดหยอกที่มีเลศนัยของเยี่ยเว่ยหมิงดังมาจากข้างหลัง “สู้ๆ นะ!”
น้องดาบได้ยินแล้วตกใจ เกือบก้าวพลาดตกลงไปแล้ว
นางรีบใช้วิชา ‘กรงเล็บกระดูกขาวเก้าอิม’ ขยุ้มกรงเล็บทั้งห้าจับหน้าผาหินเอาไว้ เมื่อหันหลังกลับไปมองก็พบว่าเจ้าแดงสัตว์เลี้ยงของเยี่ยเว่ยหมิงกำลังบินขึ้นไปบนยอดหน้าผา กรงเล็บคมสองข้างของมันกำลังคว้าวัตถุที่มีลักษณะพิเศษบางอย่าง
วัตถุนี้ดูจากภายนอกมีโครงสร้างเป็นทรงกลม แต่ทั้งตัวถักจากไม้เถา ด้านบนสุดเป็นคานพาดให้เจ้าแดงเกาะได้ ส่วนด้านล่างดูเหมือนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่นั่งสบายมาก
เยี่ยเว่ยหมิงก็กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนนั้น เอนกายอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายสุดๆ ทั้งยังโบกมือพร้อมยิ้มให้นางอย่างเจ้าเล่ห์
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงนำสัตว์เลี้ยงมาใช้เหมือนเฮลิคอปเตอร์ จู่ๆ น้องดาบก็รู้สึกแย่ขึ้นมา
จะว่าไปแล้ว เจ้าเล่นได้กวนบาทาขนาดนี้ คนที่บ้านเจ้ารู้บ้างหรือเปล่า
แล้วเก้าอี้ที่สวยกริบขนาดนั้น มียี่ห้อด้วยหรือเปล่า
แต่ถึงแม้อยากจะแขวะขนาดไหน แต่นางกลับได้แต่มองยานพาหนะพิเศษของเยี่ยเว่ยหมิงบินสูงขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นก็ปีนหน้าผาต่อไปอย่างจนใจ
ถึงแม้นางจะอยากกระโดดเข้าไปขอติดรถกับเยี่ยเว่ยหมิง ซึ่งด้วยพลังของเจ้าแดง ดึงคนเพิ่มอีกคนก็ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ปัญหาคือยานพาหนะพิเศษของเยี่ยเว่ยหมิงมีที่นั่งสำหรับคนเดียว ถ้านางกระโดดเข้าไป นางจะนั่งตรงไหน
นั่งบนตัวเยี่ยเว่ยหมิง?
ขอร้องล่ะ! ท่าทางแบบนั้นทำให้โดนแบนง่ายมาก จากนั้นทุกคนก็จะจบเห่ไปด้วยกัน
ตอนที่น้องดาบปีนถึงยอดหน้าผา ก็พบว่าเยี่ยเว่ยหมิงยืนมือไพล่หลังรออยู่นานแล้วจริงๆ
ยังไม่ทันรอให้น้องดาบพูดอะไร เยี่ยเว่ยหมิงก็เป็นฝ่ายพูดก่อนแล้วว่า “ไม่ต้องกังวล เรื่องอาหารเที่ยงข้าจัดการแล้ว”
น้องดาบได้ยินแล้วดีใจ จากนั้นถามอย่างโมโหต่อ “นี่เจ้าสงสัยในฝีมือการทำอาหารของข้าหรือ”
“เปล่า!” เยี่ยเว่ยหมิงตอบอย่างมีเหตุผล “ข้าแค่สงสัยว่าเจ้าเคยเรียนทักษะการทำอาหารหรือเปล่า”
น้องดาบพูดไม่ออก ตัดสินใจว่าจะไม่พัวพันกับคำถามที่น่าอึดอัดนี้อีก นางตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าน้องชาย ข้าเจอวิธีรักษาโรคประหลาดที่เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนของเจ้าแล้ว!”
“ใครกัน มาส่งเสียงโวยวายอยู่บนหน้าผาหมัวเทียนของข้า” เจ้าน้องชายที่น้องดาบเรียกไม่ได้ตอบ แต่กลับมีเสียงที่ทรงพลังของชายชราดังมาจากที่ไกลๆ
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เยี่ยเว่ยหมิงกลับตัวสั่นทันที เหมือนนึกขึ้นได้ถึงเรื่องน่ากลัวบางอย่าง รีบถามน้องดาบว่า “น้องชายที่เจ้ามาหา ชื่อว่าอาจ่งเหรอ”
“ไม่ใช่!” น้องดาบตอบตรงๆ ว่า “เขาชื่อว่าโก่วจ๋าจง”
มารดาเจ้าเถอะ…
ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงเกิดอารมณ์ชั่ววูบ อยากจะเรียกเจ้าแดงออกมาพาตนหนีเสียตอนนี้เลย แต่ภาพตรงหน้าพลันเลือนราง เงาร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคยมาปรากฏตรงหน้าทั้งสองแล้ว
กลับเห็นชายชราซูบผอมคนนี้กำลังยิ้มอย่างมีเลศนัยขณะมองมาทางเยี่ยเว่ยหมิง
[1] กระบี่จงชงคือกระบี่ที่ยิงออกจากนิ้วกลาง
ตอนที่ 536 ทำไมเจ้าไม่ใส่แมสก์!?
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนของระบบ เยี่ยเว่ยหมิงก็หลุดขำ “เป็นด่านที่มีสถานะอ่อนแอจริงๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ BOSS ที่ถูกตอนจนสถานะอ่อนแอ แม้แต่องครักษ์ก็ไม่ได้เตรียมไว้สักคน แต่พอเป็นแบบนี้ก็ลดความยุ่งยากให้พวกเราได้ไม่น้อย”
โหยวโหยวได้ยินแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “‘เวอร์ชันถูกตอน’ คำนี้ถ้าใช้ที่นี่ถือว่าได้ประโยชน์พอดี แต่ในเมื่อชื่อด่านชื่อว่า ‘ขันทีผู้แข็งแกร่ง’ เจ้าแน่ใจนะว่าไห่ต้าฟู่ไม่ได้ฝึกวิทยายุทธ์ประเภท ‘เคล็ดกระบี่พิชิตมาร’”
“คงจะไม่ใช่มั้ง” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้รายละเอียดชัดเจนเหมือนกัน แต่อินปู้คุยบอกข้าว่าเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าอ่อนแอที่สุดในบรรดาคู่ต่อสู้สี่คน คิดว่าบนตัวเขาคงไม่มีสุดยอดวิชา”
ประตูลานบ้านของจวนซางซานเจี้ยนเปิดอยู่ ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันก็เดินเข้าไปถึงข้างในแล้ว เจอกับขันทีเฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งกำลังนั่งครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนในสวน พอดี
“แค่กๆๆ!…”
เมื่อทั้งสองเข้ามา ขันทีเฒ่านั่นก็ไอรุนแรงขึ้นทันที
เสียงไอของเขาเหมือนนำมาซึ่งพลังมารน่ากลัวที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำให้เกิดความหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจโดยสัญชาตญาณ แม้จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวก็ยังอดตัวสั่นไม่ได้อยู่ดี พวกเขาเกือบจะเลี้ยววิ่งหนีแล้ว
หลังจากไอสองสามที ขันทีเฒ่านั่นก็หันกลับมาแล้วถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “พวกเจ้าสองคนมาหาเรื่องตระกูลข้าใช่หรือไม่”
แววตาของเขาว่างเปล่าและเยือกเย็นเหมือนผีดิบ ดูเหมือนไม่มีความรู้สึกเลยสักนิด
ขณะที่เขาหันกลับมา เหนือศีรษะก็เผยข้อมูล BOSS แล้วเช่นกัน
[ไห่ต้าฟู่]
ยอดฝีมือสำนักคงต้ง นิสัยดุร้ายเจ้าเล่ห์ ถนัดเรื่องการใช้พิษ
เลเวล: 43
พลังชีวิต: 66000/66000
กำลังภายใน: 15000/15000
……
หลังจากเห็นข้อมูลของ BOSS โหยวโหยวก็ยิ้มอย่างเต็มไปด้วยความมั่นใจทันที “เป็นอย่างที่เจ้าบอกจริงๆ ไห่ต้าฟู่ถูกทำให้อ่อนแอแล้ว มองปราดเดียวก็รู้ว่ารับมือง่าย”
ทว่าหลังจากเห็นข้อมูลแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงกลับลขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ไม่ใช่สิ! ข้อมูลนี้ไม่ใช่เวอร์ชันอ่อนแอแน่นอน แต่เป็น BOSS โหมดภารกิจทั่วไป! ตอนนั้นที่ข้ากับอินปู้คุยท้าสู้อ๋าวป้ายเป็นครั้งที่สอง อ๋าวป้ายที่เจอก็เป็น BOSS เลเวลสี่สิบห้า ถึงจะดูอ่อนแอกว่าค่าสเตตัสนี้หนึ่งระดับ แต่สำหรับพวกเราแล้วก็รับมือได้ยากจริงๆ”
โหยวโหยวได้ยินแล้วอึ้ง “ต่างกันมากไหม”
“ไม่มาก” เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็บอกว่า “ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้ข้าเพิ่งนึกออก ก่อนหน้านี้ข้าจำกติกาของการท้าสู้ดันเจี้ยนนี้ผิด ในสี่ดันเจี้ยนนี้ แต่ละคนจะท้าสู้ดันเจี้ยนระดับต้นที่เป็นเวอร์ชันอ่อนแอได้เพียงหนึ่งครั้ง อีกทั้งในบรรดาสี่ดันเจี้ยนนี้ ก็เลือกท้าสู้ได้เพียงโหมดเดียว…
…หลังจากท้าสู้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ดันเจี้ยนอื่นก็จะเริ่มที่ระดับความยากของ BOSS โหมดภารกิจ ซึ่งการท้าสู้ครั้งที่สอง ก็จะเป็นร่างแท้ของ BOSS โหมดปกติ!”
เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวเอาแต่คุยกันอยู่สองคน ไม่เห็นตนอยู่ในสายตาเลย ในดวงตาไห่ต้าฟู่ก็ฉายแววสังหารทันที “เจ้าเด็กน้อยสองคนที่มองไม่เห็นหัวใคร ไม่รู้จักความเป็นความตายจริงๆ…แค่กๆๆ…”
ขันทีเฒ่าที่กำลังพูดร่างกายแย่มาก ยังพูดได้ไม่กี่ประโยคก็เริ่มไออย่างรุนแรงอีกแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงไอของเขา เยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวก็ถอยหลังก้าวหนึ่งพร้อมกันโดยจิตใต้สำนึก จากนั้นถึงได้ตระหนักว่าตอนนี้ตัวเองคือร่างกายอันสมบูรณ์ร้อยโรคไม่กล้ำกรายเพราะอยู่ในเกม ไม่ต้องกังวลเลยว่าตาแก่นี่จะแพร่เชื้อโรคสู่ตน
หลังจากวางใจแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวทันที ไม่รอให้ไห่ต้าฟู่ไอเสร็จก็ใช้ฝ่ามือมังกรผยองได้สำนึกตีกลางกบาลเขาแล้ว “ทำไมเจ้าไม่ใส่แมสก์ล่ะ!?”
เมื่อได้ยินเสียงมังกรคำราม ไห่ต้าฟู่ก็ตกใจมาก รีบประกบสองมือตรงหน้าอก กำลังภายในทั้งหยินและหยางก่อตัวขึ้นระหว่างฝ่ามือเขา จากนั้นก็เริ่มหมุนวนไปยังทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็วเหมือนโม่บดแป้งที่ก่อตัวขึ้นจากกำลังภายใน บดขยี้ไปยังเงามายามังกรที่บินออกจากฝ่ามือของเยี่ยเว่ยหมิง
นี่คือสุดยอดทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของไห่ต้าฟู่…โม่บดหยินหยาง!
นี่คือวิชาที่ร้ายกาจมาก เปลี่ยนพลังหยินหยางให้กลายเป็นโม่บดเพื่อลดพลังของคู่ต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีที่เกิดจากกำลังภายในใดๆ เมื่อเจอโม่บดหยินหยางนี้ ก็จะเหมือนข้าวเปลือกที่อยู่ภายใต้โม่บด ถูกบดจนแตก ขยี้ให้แหลกจนกระทั่งหายไป…
ทว่าตอนที่เห็นสุดยอดทักษะนี้ของไห่ต้าฟู่ เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่ขยับหนังตาแม้แต่น้อย ราวกับมันไม่อยู่ในสายตาเลย ยังคงผลักฝ่ามือปล่อยภาพมายามังกรตามจังหวะเดิมของตัวเองต่อไป กดอัดโม่บดหยินหยางที่ก่อตัวจากฝ่ามือของไห่ต้าฟู่อย่างไม่รีบร้อน
กรรร!
ท่ามกลางเสียงมังกรคำรามที่ดังก้องทั่วทั้งลานบ้าน โม่บดหยินหยางของไห่ต้าฟู่ถูกฉีกจนแตกเป็นผุยผงในชั่วพริบตาเดียว เหมือนกับกระดาษบางที่อยู่ตรงหน้าดาบกระบี่ ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย!
หลังจากนั้น ภาพมายามังกรก็ถล่มไปบนหัวใจของไห่ต้าฟู่อย่างที่คาดไว้
-106884!
ตัวเลขดาเมจที่สูงกว่าค่าพลังชีวิตของไห่ต้าฟู่ตั้งไกลลอยขึ้นเหนือศีรษะ ไห่ต้าฟู่ที่มีศักยภาพสอดคล้องกับ BOSS โหมดภารกิจคนนี้ ร่างปลิวถอยหลังออกไปไกลสองจั้งราวกับว่าวสายป่านขาด
ตอนที่กระแทกลงพื้นก็หมดลมหายใจแล้ว!
[ติ๊ง!…]
[ประกาศระบบ: …]
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วหันไปพูดอย่างไร้กังวล “แม้ BOSS จะตายไปแล้ว แต่ในเมื่อเราสองคนอยู่ทีมเดียวกัน ก็ควรจะแบ่งงานกันทำสิ ตอนนี้ข้าสังหาร BOSS แล้ว เรื่องคลำศพก็เป็นหน้าที่เจ้าแล้วกัน”
โหยวโหยวยิ้มบางๆ แล้วเดินไปคลำศพไห่ต้าฟู่
สำหรับเยี่ยเว่ยหมิงกับโหยวโหยวตอนนี้ การโจมตีสังหาร BOSS เลเวลสี่สิบสี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าให้อวดสักเท่าไร
โม่บดหยินหยางของไห่ต้าฟู่จะมีจุดที่พิเศษ แต่เมื่อเจอกับพลังฝ่ามือสยบมังกรของเยี่ยเว่ยหมิงที่สร้างคริติคอลดาเมจบนตัว BOSS เลเวลเก้าสิบได้ ก็สู้ไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวอย่างนั้นหรือ
อย่าว่าแต่ท่าโม่บดหยินหยางเลย ต่อให้เป็น ‘มหาเวทคลายพลัง’ ‘มหาเวทดูดดาว’ และ ‘วิชาปรานภูตอุดร’ ที่สมบูรณ์แบบและอันธพาลกว่านี้ แต่ถ้าไปอยู่ในมือของ BOSS กระจอกเลเวลสี่สิบกว่า ก็ต้านทานท่า ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ที่เยี่ยเว่ยหมิงฟาดออกมาส่งเดชไม่ได้อยู่ดี!
บอสในดันเจี้ยนจวนลู่ติ่งกงแม้เลเวลต่ำ แต่อัตราการดรอปก็ไม่เลว
ไห่ต้าฟู่ที่ถูกเยี่ยเว่ยหมิงปลิดชีพด้วยการโจมตีครั้งเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะดรอปอุปกรณ์ระดับทองคำสองชิ้น เคล็ดฝ่ามือระดับกลาง ‘โม่บดหยินหยาง’ หนึ่งเล่ม
แต่สำหรับของพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยเว่ยหมิงหรือโหยวโหยวก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ได้แต่โยนไปขายในร้านอุปกรณ์กิตติมศักดิ์
ความสิ้นเปลืองคือสิ่งที่น่าละอายใจ แม้ BOSS เลเวลสี่สิบสามจะถูกกำหนดให้ดรอปของไม่เยอะ แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็ยังใช้เสื่อม้วนเก็บศพให้เขาจนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็เรียกเจ้าแดงออกมาทันที เตรียมทำพิธีศพบนท้องฟ้า แต่เจ้าแดงกลับมีท่าทีรังเกียจศพ!
ระหว่างที่สื่อสารกันทางจิต เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้ว่าเจ้าแดงรังเกียจที่ในศพร่างนี้มีธาตุพิษเยอะเกินไป ไม่อร่อย!
ภายใต้ความจนใจ ทำได้เพียงเก็บเขาไว้ก่อน เดี๋ยวกลับไปค่อยเปลี่ยนจากทำพิธีศพบนฟ้าเป็นฌาปนกิจแทน
จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงก็ถือ ‘ตระหนักรู้วิชากำลังภายใน’ หนึ่งเล่ม ‘ตระหนักรู้เคล็ดฝ่ามือ’ หนึ่งเล่มและ ‘ตระหนักรู้วิชาพิษ’ หนึ่งเล่มออกจากดันเจี้ยนไป
หลังจากสู้กับ BOSS คนแรกเสร็จแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่อยู่ต่ออีก ไปยังหน้าประตูด่านที่สองที่ต้องการท้าสู้วันนี้
หนึ่งกระบี่โลหิตสาด!
ตอนที่ 525 ลูกบอลกลิ้ง
ที่แท้ตอนที่เยี่ยเว่ยหมิงกดดันติงปู๋ซื่อจนลนลานทำอะไรไม่ถูก ในที่สุดขุนเขาลำธารย่อมพานพบกับเซียนสาวน้อยนักกินก็หาโอกาสได้แล้ว พวกเขาใช้ดาบและกระบี่โจมตีท่อนล่างของติงปู๋ซื่อโดยตรง
ติงปู๋ซื่อถูกบีบให้กระโดดขึ้นฟ้า แต่กลับทำให้เขาหาโอกาสได้เช่นกัน เขาฉวยโอกาสฟาดแส้มังกรทองในมือออกมา พันกระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงที่เยี่ยเว่ยหมิงควบคุมผ่านอากาศ
หลังจากทำสำเร็จแล้ว ติงปู๋ซื่อก็ดีใจมาก จากนั้นสะบัดมือเตรียมโยนกระบี่ล้ำค่าที่ทำให้เขาเจ็บเล่มนี้ออกไปให้ไกล จากนั้นก็อาศัยกำลังจากอาวุธจัดการกับเจ้าคนรุ่นหลังพวกนี้
คาดไม่ถึงว่าการสะบัดครั้งนี้กลับสะบัดไม่ไป!
พอตั้งใจจ้องถึงได้พบว่า ที่แท้เยี่ยเว่ยหมิงก็พุ่งมาตรงหน้าอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มือขวาจับด้ามกระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงไว้แน่น ทำให้เขาดึงไม่ไปไหน
นี่ก็เป็นข้อดีมากอีกอย่างหลังจากอัปเกรด ‘วิชาควบคุมกระบี่’ ให้เป็น ‘ท่ากระบี่แยกจาก’ นอกจากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นสูงมากแล้ว การเชื่อมต่อกับเคล็ดกระบี่อีกหลายท่าใน ‘กระบี่เก้าสะท้านฟ้า’ ก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะบอกว่าเป็นกระบี่แยกจาก แต่ระหว่างคนกับกระบี่ใช่ว่าจะแยกจากกันโดยสิ้นเชิงเสียทีเดียว ก่อนที่กระบี่จะบินออกจากมือไป ไม่แน่ว่าอาจยังใช้หนึ่งท่าไม่ทันจบ ก็กลับมาอยู่ในมือเยี่ยเว่ยหมิงอีกครั้งแล้วก็ได้
รวมตัวและแยกจากกันได้ตามอำเภอใจ
นี่ต่างหากคือจุดที่น่ากลัวที่แท้แท้จริงของ ‘ท่ากระบี่แยกจาก’!
ก็เหมือนกับตอนนี้ที่ติงปู๋ซื่อสะบัดกระบี่ล้ำค่าออกจากเยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ แต่เมื่อเยี่ยเว่ยหมิงกุมกระบี่ดึงไปข้างหลัง กลับดึงให้ติงปู๋ซื่อที่เพิ่งกระโดดขึ้นกลางอากาศแต่ไม่มีจุดอาศัยแรงกลับลงมาได้
จากนั้นเยี่ยเว่ยหมิงก็ใช้มือซ้ายวาดวงกลมวงหนึ่ง ต้อนรับติงปู๋ซื่อที่ถูกดึงกลับมาด้วยท่า ‘มังกรผยองได้สำนึก’
ขณะเดียวกันนี้เอง สองสหายร่วมทีมอย่างขุนเขาลำธารย่อมพานพบและเซียนสาวน้อยนักกินก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เมื่อเห็นติงปู๋ซื่อถูกดึงให้บินอย่างไม่เป็นอิสระ รอบตัวมีแต่จุดอ่อน กระบี่ภูเขาหิมะและดาบวิหคทองในมือพวกเขาก็เข้าไปทักทายที่จุดสำคัญบนตัวอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ
“โอ๊ย!~”
ฉึก!~
“อุบ!~”
-12135
-12527!
-13345!
ติงปู๋ซื่อที่อยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำได้เพียงฝืนยกแขนซ้ายขึ้นมาต้านสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรของเยี่ยเว่ยหมิงไว้ แต่จุดสำคัญอย่างแผ่นหลังตรงหัวใจกับหลังคอกลับถูกดาบและกระบี่แทงจุดละแผล
ส่วนสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรของเยี่ยเว่ยหมิงก็ดุดันเกินไปจริงๆ แม้อีกฝ่ายจะพยายามโบกมือต้านไว้ แต่ก็ยังถูกโจมตีจนเกิดดาเมจมหาศาลอยู่ดี ความสูงของดาเมจเหนือกว่าหนึ่งดาบและหนึ่งกระบี่ก่อนหน้านี้เสียอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น เขาที่ไม่มีจุดให้อาศัยแรงก็ถูกเยี่ยเว่ยหมิงใช้ฝ่ามือตบจนพุ่งขึ้นฟ้าโดยตรง เหมือนกับเป็นกระสอบทรายขนาดใหญ่
ขณะที่ร่างถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป ติงปู๋ซื่อก็รีบสะบัดแส้เก้าข้อในมือ หมายจะหลุดออกจากตัวกระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงไฮณ๊ฯดฯฌซ,
ทว่าเยี่ยเว่ยหมิงกลับคาดเดาวิธีการนี้ของเขาไว้ตั้งนานแล้ว ตอนที่ติงปู๋ซื่อสะบัดแส้ กระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงในมือก็หมุนหลายรอบ พอเป็นแบบนี้ นอกจากแส้เก้าข้อก็หลุดออกจากตัวกระบี่ไม่ได้แล้ว กลับรัดแน่นขึ้นด้วยซ้ำ
ตอนที่อาวุธของอีกฝ่ายกำลังถูกรัดไว้แน่น กระบี่ในมือขวาของเยี่ยเว่ยหมิงกลับดึงเข้ามาข้างกาย ลากติงปู๋ซื่อที่สภาพเหมือนกระสอบทรายออกมาอีกครั้ง
จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือพิชิตมังกร กระบี่ภูเขาหิมะ ดาบวิหคทองทักทายบนตัวกระสอบทรายพร้อมกัน
เมื่อเห็น BOSS ฝ่ายตัวเองถูกคนดึงไปดึงมา เหยียบย่ำเหมือนเป็นกระสอบทรายอย่างนั้น แล้วดูเจ้าคนงุ่มง่ามตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง แต่กลับพบว่าตัวเองทำอะไรอาจ่งไม่ได้เลย ในใจเซี่ยวเฉินกับตู๋กูฉิวเพี่ยวก็รู้สึกหนาวยะเยือก
ใครจะไปคิดว่าหลังคาจะรั่วในคืนฝนกระหน่ำ ตอนที่พวกเขาสองคนกำลังแบ่งสมาธิ เซี่ยวเฉินก็ตอบสนองช้าไปครึ่งหนึ่ง ถูกอาจ่งฉวยโอกาสจับตรงจุดลมปราณสองจุดบนบ่าขวาและบ่าซ้ายของเขาแล้ว
เซี่ยวเฉินตกใจไม่เบา ถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองหลอนไปเองหรือเปล่า
ต้องทราบไปว่า ‘วิชามือคว้าจับสกุลติง’ ที่อาจ่งเรียนเพียงวิทยายุทธ์ระดับกลางเท่านั้น ทั้งยังเริ่มฝึกเป็นครั้งแรกด้วย ดูจากวิธีการใช้มือแล้ว น่าจะเลเวลประมาณสามถึงสี่เท่านั้น
อีกทั้ง ‘วิชากรงเล็บมังกรเส้าหลิน’ ของเขาเดิมทีก็เป็นวิทยายุทธ์ระดับสูงอยู่แล้ว ประกอบกับเขาฝึกวิชากรงเล็บอย่างเดียวจนถึงเลเวลเก้าแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่า หรือความต่างของระดับทักษะยุทธ์ เขาก็เป็นฝ่ายเหนือกว่าโดยสมบูรณ์ทั้งนั้น
ทั้งสองล้วนใช้วิชาคว้าจับเหมือนกัน แต่เขามีข้อได้เปรียบมากขนาดนี้ ต่อให้กำลังแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่นอยู่ แต่ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะถูกกระบวนท่าของอาจ่งเอาเปรียบได้
ทว่าวิธีการที่อาจ่งคว้าจับจุดลมปราณของเขาเมื่อครู่นี้ ใช่ ‘วิชามือคว้าจับสกุลติง’ เสียที่ไหนกัน?
นั่นคือกระบวนท่าใน ‘วิชากรงเล็บมังกรเส้าหลิน’ ที่เขาเคยใช้ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ต่างหาก!
การเลียนแบบทักษะยุทธ์ของศัตรูตอนต่อสู้แบบนี้ เป็นทักษะอะไรกันแน่
ยืมพลังฟาดพลัง?
ในใจเซี่ยวเฉินขื่นขม!
อาจ่งเลียนแบบความสามารถของเขาเพื่อมาสู้กับเขา แต่เขากลับไม่มีทางเรียนรู้วิชาของอาจ่งเพื่อเอาตัวรอดได้เลย
วิธีการของอาจ่งไม่ได้ซับซ้อนสักนิดเลยเช่นกัน ตรงกันข้ามคือเรียบง่ายเกินไป แค่พ่นกำลังภายในในร่างกายอกมาตามอำเภอใจ ทำให้มือของอีกฝ่ายสะเทือนออกไปก็ได้แล้ว เงื่อนไขเดียวที่ต้องตัดสินใจก่อนก็คือ กำลังภายในของเจ้าจะต้องสูงกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แค่ระดับเดียว!
หากเขามีค่าตบะกำลังภายในอย่างนั้นจริงๆ ก่อนหน้านี้คงไม่ถูกอาจ่งทำให้กระเด็นออกมาง่ายๆ!
ตอนนี้ถูกอาจ่งคว้าจับไว้อย่างง่ายดาย อย่าว่าจะปลีกตัวหนีออกมาเลย แม้แต่กระดูกก็เกือบถูกบีบให้แตกแล้ว
นี่ยังถือว่าอาจ่งจิตใจงาม ตอนลงมือเพิ่มความระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ
หลังจากคว้าจับเซี่ยวเฉินได้แล้ว อาจ่งก็พลิกมือโยนอย่างชำนาญ เทคนิคการออกแรงนี้เมื่อก่อนเซี่ยวเฉินก็เคยใช้บนตัวอาจ่งเหมือนกัน เพียงแต่นอกจากเซี่ยวเฉินจะทำให้เขาล้มไม่ได้แล้ว กลับสะเทือนออกมาเพราะกำลังภายในของเขาด้วย โจมตีสร้างงดาเมจไม่ใช่น้อยๆ
ตอนนี้อาจ่งแสดงความสามารถออกมา เซี่ยวเฉินที่ไร้ความสามารถดิ้นรนกลับทำได้เพียงทรมานเพราะการกระทำของตัวเอง ถูกอาจ่งสะบัดกระเด็นออกไปตกอยู่บนตัวตู๋กูฉิวเพี่ยวที่รีบโบกกระบี่ตามมาช่วยอย่างแรง
กระแทกตู๋กูฉิวเพี่ยว!
พรึ่บ!
โครม…
เด็กโชคร้ายสองคนถูกอาจ่งโยนจนกลิ้งเป็นน้ำเต้าทันที หกล้มไม่เป็นท่า
ยังดีที่อาจ่งผู้มีจิตใจงดงามไม่ได้ฉวยโอกาสไล่ตามโจมตีต่อ ไม่อย่างนั้นขอเพียงตอนนี้เติมไปอีกสองฝ่ามือ ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาดับทั้งทีมได้เลย!
“ปัดโธ่เว้ย ตอนต่อสู้เจ้ามีสมาธิหน่อยได้ไหม ข้าเกือบตายเพราะเจ้าแล้วนะ!” พอผลักเซี่ยวเฉินออกจากร่างกายตัวเอง ตู๋กูฉิวเพี่ยวก็บ่นด่าไปประโยคหนึ่ง จากนั้นก็โบกกระบี่โจมตีเข้าไปหาอาจ่งอีกครั้ง
เมื่อเคยได้รับบทเรียนนี้มาแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าเสียสมาธิอีกแม้แต่น้อย
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ติงปู๋ซื่อยังคงถูกเยี่ยเว่ยหมิงดึงไปดึงมาเหมือนลูกบอล ขุนเขาลำธารย่อมพานพบกับเซียนสาวน้อยนักกินคอยซ้ำอยู่ข้างหลังโดบไม่พูดอะไรสักคำ
อาจเพราะรังเกียจที่ทั้งสามคนโจมตีช้าเกินไป เซียนสาวน้อยนักกินถึงขั้นปล่อยพังพอนสายฟ้าของนางออกมาแล้ว ปล่อยให้มันเข้าไปกัดติงปู๋ซื่ออยู่พักหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายถูกโจมตีจนสภาพเหมือนสุนัขตกน้ำ
เมื่อเห็นพลังชีวิตเหนือศีรษะตกลงอย่างบ้าคลั่งจนต่ำกว่าครึ่ง ในที่สุดติงปู๋ซื่อก็ต้องทำใจทิ้งของรัก ปล่อยมือขวาออกจากแส้มังกรทอง แล้วปล่อยพลังฝ่ามือสองข้างออกมาพร้อมกัน ใช้ท่า ‘ยอดเขาพลันผงาด’ รับกับ ‘มังกรผยองได้สำนึก’ ครั้งที่สามของเยี่ยเว่ยมิง
อา!
ผุบ!
ซี้ด!
-18354
-12121!
-11332!
-685
ถูกพิษ!
ดาเมจบดขยี้บวกกับคริติคอลดาเมจสองครั้ง ส่วนอันสุดท้ายคือดาเมจที่พังพอนสายฟ้ากัดก้นติงปู๋ซื่อ
แต่อาศัยการต่อสู้ครั้งนี้ ในที่สุดติงปู๋ซื่อก็ยอมทิ้งอาวุธของตัวเองแล้วอาศัยจุดผ่อนแรงกระโดดออกไปนอกวงล้อม หลีกเลี่ยงชะตากรรมโหดร้ายที่จะถูกคนสามคนกับพังพอนหนึ่งตัวล้อมโจมตีจนถึงแก่ความตาย
ทว่าในเมื่อเยี่ยเว่ยหมิงทำสำเร็จแล้ว มีหรือที่จะยอมให้เขาปลีกตัวออกมาง่ายๆ
เมื่อเห็นติงปู๋ซื่อมีเจตนาจะหนีไป แต่กระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงในมือเขากลับมีแส้พันอยู่เส้นหนึ่ง เวลาจะใช้งานขึ้นมาก็อึดอัดมาก
แต่ยังดีที่เยี่ยเว่ยหมิงสะสมของไว้เยอะ จึงเก็บกระบี่หยดโลหิตอาทิตย์อัสดงแล้วเปลี่ยนเป็นนำกระบี่รอยมังกรออกมาแทน จากนั้นพุ่งตัวตามกระบี่ไป ใช้ท่าปลุกปั่นกระบี่แทงจากข้างล่างขึ้นข้างบนโดยคาดคะเนไว้ก่อน ฟันไปตรงจุดที่ติงปู๋ซื่อต้องตกลงมาแน่ๆ
เมื่อเห็นว่าติงปู๋ซื่อหลบกระบี่นี้ไม่ได้แล้ว จู่ๆ กลับมีกล้องยาสูบยื่นออกมาแท่งหนึ่งในแนวเฉียงลง ต้านการโจมตีที่ถึงแก่ชีวิตของเยี่ยไว้หมิงให้ติงปู๋ซื่อแล้ว
แกร๊ง!?