“ว่าที่เจ้าบ่าวเฉียวเจ๋อ ว่าที่เจ้าสาวหลีเย่ว์ เรียนเชิญมิตร คุณเซิ่งอันหรานเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองงานหมั้น…”
ลายมือที่เป็นทางการหนึ่งบรรทัดโดดเด่นสะดุดตา ด้านบนกระดาษมีรูปการ์ตูนสองคนติดอยู่ เซิ่งอันหรานจับมุมการ์ดเชิญ แววตาหม่นลงเล็กน้อย
คิดดีๆ แล้วนี่ก็อยู่ในการคาดหมาย ครั้งก่อนเจอกันที่ลิฟต์ ไม่ใช่เห็นแหวนบนมือหลีเย่ว์ที่สำคัญสำหรับเธอแล้วเหรอ?
เพียงแต่ที่เหนือความคาดหมายก็คือ คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกล้าส่งการ์ดเชิญให้ตัวเอง เซิ่งอันหรานพิงโซฟา มุมปากยกขึ้นเหมือนยิ้มเยาะตัวเอง คิดถึงเรื่องเมื่อ5ปีก่อน ในใจยังรู้สึกเจ็บอยู่
หากไม่ใช่เพราะเฉียวเจ๋อกับหลีเย่ว์ ตัวเองก็ไม่มีทางเป็นอย่างทุกวันนี้
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูด ชีวิตนี้ไม่รักผู้ชายเจ้าชู้สักคน ความรักไม่ถือว่าสมบูรณ์ หากจะพูดอีกประโยคหนึ่ง ไม่เจอเพื่อนสนิทแทงข้างหลังก็ไม่ถือว่าสมบูรณ์ล่ะก็ เซิ่งอันหรานรู้สึกชีวิตตัวเองถือว่าสมบูรณ์จนไม่สามารถสมบูรณ์ได้อีกแล้ว
สุดท้ายการ์ดเชิญถูกเธอทิ้งไว้ใต้โต๊ะไม่ได้สนใจอีก
เธอไม่ระวังเหยียบโดนขี้หมา แล้วยังต้องเข้าไปดมขี้หมาว่าเหม็นหรือ?
วันถัดไปเป็นวันหยุด เซิ่งอันหรานเดิมเตรียมอยู่บ้านดีไซน์เรื่องการวางแผนวันครบรอบ แต่ตั้งแต่เช้าก็ถูกออดหน้าบ้านปลุกให้ตื่น
เปิดประตูก็เห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายดูดี ผู้หญิงสวย คนหนึ่งสุขุม คนหนึ่งอ่อนโยน สวมชุดทางการ ในมือคนหนึ่งถือกระเป๋าเอกสาร
“ขอโทษค่ะ บ้านเราไม่ต้องการประกัน”
เซิ่งอันหรานพูดแรงๆ กำลังจะปิดประตู
หญิงสาวพูดอย่างรีบเร่ง
“ใช่คุณเซิ่งไหมคะ? พวกเราเป็นผู้ช่วยของอนุบาลหลานเป่า”
เซิ่งอันหรานเบิกตากว้าง ใบหน้าตะลึง
หญิงสาวยิ้มพร้อมยื่นมือ
“ฉันชื่อนั่วหย่า เขาชื่อฉินเพ่ย มาครั้งนี้เพื่อเยี่ยมบ้านตามระเบียบก่อนเซิ่งเสี่ยวซิงจะเข้าโรงเรียน หลักๆ คือเพื่อเข้าใจนิสัย การดำรงชีวิต ประวัติทางการแพทย์ต่างๆ ”
5 นาทีต่อมา
เซิ่งอันหรานล้างหน้าเสร็จออกมาจากห้องน้ำ มองชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเก้อเขิน
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทราบว่าพวกคุณยังต้องมาเยี่ยมบ้านก่อนเข้าเรียน”
นั่วหย่ายังมีท่าทางอ่อนโยนเหมือนเดิม
“บนระเบียบการเข้าเรียนของพวกเราระบุไว้ชัดเจนแล้ว คุณเซิ่งยังไม่มีเวลาอ่านหรือ?”
เซิ่งอันหรานมองเอกสารที่เรี่ยราดบนโต๊ะแวบหนึ่งอย่างเขินอาย “ไม่ปิดบังคุณทั้งสอง เอกสารฉันดูไปครึ่งเดียว อันที่จริงฉันไม่คิดจะส่งลูกสาวไปโรงเรียนของคุณ”
“ไม่คิด?”นั่วหย่าแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื้อ “โรงเรียนของเรามีจุดไหนที่ทำให้คุณเซิ่งไม่พอใจหรือ?”
“ไม่ใช่ๆ …”
เซิ่งอันหรานไม่เคยไปหลานเป่าเลย “ฉันแค่รู้สึกว่าซิงซิงน้อยบ้านฉัน คงไม่ค่อยเหมาะกับบรรยากาศอย่างหลานเป่า โดยเฉพาะเหตุผลละก็ พวกคุณก็น่าจะดูออก”
เธอชี้ห้องในบ้านตัวเองอย่างเปิดเผย
บ้านของถานซูจิ้งเป็น2ห้องนอน 1 ห้องรับแขก 120ตารางเมตร กว้างถือว่ากว้างเหมือนกัน แต่เทียบกับครอบครัวของเด็กที่เข้าเรียนหลานเป่าพวกนั้น กลัวว่าจะไม่ใหญ่เท่าห้องนอนคนอื่น
“หากเป็นเหตุผลนี้ละก็ คุณเซิ่งไม่ต้องกังวลจริงๆ ”
นั่วหย่ากดหัวตาเหนือสันจมูก เหมือนถอนหายใจโล่งอก ยิ้มแล้วบอก
“ค่าเรียนค่าธรรมฟรีทั้งหมดคุณก็ทราบ หลังจากเซิ่งเสี่ยวซิงเข้าเรียนโรงเรียนของเราจะไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นแม้สักนิด ประธานอวี้กำชับไว้แล้ว”
“ไม่ต้องจริงๆ …”
ก็เป็นเพราะอวี้หนานเฉิงให้ของขวัญตอบแทนใหญ่ขนาดนี้ เธอถึงได้ยืนกรานไม่รับ
“คุณเซิ่ง ผมคิดว่าไม่มีโรงเรียนไหนมีข้อเสนอที่ดีต่อคุณเท่าโรงเรียนเราแล้ว” จู่ๆ ชายหนุ่มข้างๆ นั่วหย่าเปิดปากพูดเสียงเข้ม
เขาเปิดกระเป๋าเอกสารสีดำอย่างไม่รีบร้อน
“โรงพยาบาลอนุบาลหลานเป่าภายในโรงเรียนเรา ร่วมงานกับ ยาคุชิโดะ เกียวโต แผนกกุมารเวชแพทย์แผนจีนที่ดีที่สุดก็ทำงานอยู่โรงเรียนเรา คุณหมอจู้ชุนฟัง คุณสามารถค้นหาได้”
ตอนได้ยินยาคุชิโดะ เกียวโต เซิ่งอันหรานตากระตุกไปหนึ่งครั้ง ได้ยินจู้ชุนฟังอีก แววตาเธอก็เปลี่ยนไปเลย “พวกคุณว่าอะไรนะ?”
“ประวัติการแพทย์ของเซิ่งเสี่ยวซิงพวกเราทราบว่านิดหน่อย เป็นโรคหอบหืดตั้งแต่กำเนิด ผมคิดว่าถึงทุกวันนี้ก็รักษาไม่หาย คงมีสาเหตุ พวกเราไม่สามารถรับประกันว่าจะช่วยรักษา แต่คุณหมอจู้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ หากว่าเด็กเข้าเรียนแล้ว รับประกันได้”
เสียงของชายหนุ่มก้องอยู่ในห้องรับแขก เซิ่งอันหรานเหมือนเจอที่พึ่งสุดท้าย แววตาเป็นประกาย
ตอนแรกตัดสินใจพาเซิ่งเสี่ยวซิงกลับมาประเทศรักษาโรคหอบหืด ก็เพราะแพทย์แผนตะวันตกของต่างประเทศรักษาโรคเธอไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนับว่ายิ่งควบคุมไม่ได้ ถึงได้นึกถึงแพทย์แผนจีน หมอจู้ชุนฟังของยาคุชิโดะ เกียวโตเป็นกุมารแพทย์ที่มีชื่อที่สุดในวงการ และเพราะสืบมาได้หลังเกษียณมาอยู่ที่เมืองจินหลิง เธอถึงกลับมาที่จินหลิง
คิดไม่ถึงว่าหามาตั้งนาน ปรากฏว่าถูกอนุบาลหลานเป่าเชิญไป
ในใจเธอเริ่มสั่นไหว
“เอาแบบนี้ หากคุณเซิ่งไม่สบายใจ สามารถให้เด็กลองเข้าเรียนก่อนช่วงเวลาหนึ่ง หากไม่พอใจอะไรค่อยลาออก พวกเราก็สามารถยื่นชื่อโรงเรียนอื่นที่คุณอยากไป คิดว่ายังไง?”
ใบหน้าที่จริงใจของนั่วหย่า ทำให้คนยากจะปฏิเสธ
เซิ่งอันหรานรู้สึกว่า สองคนตรงหน้าแม้ว่าไม่ใช่คนขายประกัน แต่ว่าวาจาเทียบกับคนขายประกันแล้วไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
“โอเค ได้ค่ะ งั้นก็ลองดู”
เรื่องนี้ไม่เสียหาย เซิ่งอันหรานคิดยังไงก็ไม่ขาดทุน ถ้าจู้ชุนฟังรักษาซิงซิงน้อยไม่หาย เธอก็ทำเรื่องลาออก พวกเขาก็แนะนำโรงเรียนอนุบาลอื่นได้ ซือลี่ที่เข้าตาก่อนหน้านี้ก็จบปัญหาได้แล้วหรือ?
หลังจากคุยกันเสร็จ สอบถามข้อมูลพื้นฐาน นั่วหย่ากับฉินเพ่ยลากลับ ออกจากหมู่บ้านเล็กขึ้นรถ รถเก๋งออกจากประตูใหญ่ของหมู่บ้านไป ในรถมีเสียงคุยโทรศัพท์
“ประธานอวี้ เรื่องที่คุณมอบหมายเรียบร้อยแล้ว”
“…”
“ใช่ ทำเรื่องจ้างหมอจู้ก่อน”
“…”
“พวกเราจะดูแลเด็กเป็นอย่างดี ประธานอวี้วางใจได้”
วางสาย ห้องประธานเซิ่งถังกรุปกลับสู่ความเงียบ
อวี้หนานเฉิงมองประวัติการแพทย์ตรงหน้า นึกถึงใบหน้าน่ารักสดใสนั้นของเซิ่งเสี่ยวซิง ทำยังไงก็ไม่สามารถเชื่อมโยงโรคหอบหืดกับเธอได้
หากไม่ใช่ว่าเมื่อคืนฟังออกว่าเซิ่งอันหรานไม่อยากให้เซิ่งเสี่ยวซิงไปที่หลานเป่า เขาคงคิดไม่ถึงว่าต้องไปสืบเหตุผลที่วุ่นวายหาโรงเรียนอนุบาลหรอก
เดิมคิดว่าเธอมาตรฐานสูง คิดไม่ถึงว่าจะพิจารณาเพื่ออาการป่วยของเซิ่งเสี่ยวซิง
กำลังคิด เสียงเคาะประตูก็ดัง
“เข้ามา”
เกาหย่าเหวินเปิดประตูเข้าไป ในมือถือกาแฟสองแก้ว “หนานเฉิง ฉันซื้ออเมริกาโน่ที่คุณชอบมา”
“รอบนี้มีเรื่องอะไร?”อวี้หนานเฉิงมองเธอนิ่งๆ แวบหนึ่ง
“คืนนี้ไม่ใช่จะไปคุยเรื่องงานแต่งงานกับคุณปู่เหรอ? ฉันรู้สึกกังวลนิดหน่อย”
เกาหย่าเหวินเม้มริมฝีปาก สีหน้าเขินอายนิดๆ
“ก่อนจะคุยเรื่องแต่งงาน คุณก็ไปประจำไม่ใช่หรือ?”
อวี้หนานเฉิงไม่ไว้หน้าสักนิด หักหน้าโต้ๆ
เกาหย่าเหวินหน้าเจื่อน พูดฉอเลาะ
“น่าเกลียด ก่อนหน้านี้คือช่วยคุณแสดงละคร ตอนนี้จากแสดงเป็นจริงแล้ว ต้องกังวลแน่อยู่แล้ว หนานเฉิง คุณดูว่าวันนี้ฉันสวมชุดเหมาะสมไหม? คุณปู่จะชอบไหม?”
อวี้หนานเฉิงไม่มอง “ทำตามใจเถอะ”
“หนานเฉิง”
เกาหย่าเหวินเดินเข้าใกล้ ไม่พอใจเล็กน้อย กำลังจะจู่โจม หางตากลับเห็นเอกสารคัดลอกประวัติการแพทย์หนึ่งฉบับ เห็น‘เซิ่งเสี่ยวซิง’ สามตัวอักษรอย่างชัดเจน
