ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 149 ชุดนักพรตเทาออกสู่โลก

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 149 ชุดนักพรตเทาออกสู่โลก

วันถัดมาสวี่ชิงก็ไปยังจุดที่กำหนดไว้ของป้ายยืนยัน ที่นั่นมีเรือสินค้าที่ไม่ใหญ่มากอยู่ลำหนึ่ง แม้จะไม่ได้มีราคานัก แต่ก็ยังมีมูลค่าอยู่ สำคัญที่สุดคือสวี่ชิงมองเห็นยาสมุนไพรอยู่กองหนึ่งในนั้น

จากการตอบกลับอย่างระมัดระวังของศิษย์ที่ดูแลที่นี่ สวี่ชิงจึงรู้ว่าเรือลำนี้ไม่มีคนมารับสองเดือนกว่าแล้ว

ดังนั้นสวี่ชิงจึงเก็บสมุนไพรไป เรียกสายของตนเองที่ไปจัดการเรื่องเรือสินค้า จากนั้นจึงสอบถามเรื่องเกี่ยวกับการเปิดท่าเรือใหม่

“นายท่าน เรื่องเปิดท่าเรือใหม่ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว กำลังจะไปรายงานท่านพอดี

“ท่าเรือที่เปิดใหม่จะแบ่งเป็นสำหรับภายในและภายนอก แต่ละฝ่ายล้วนมีทั้งข้อดีและเสีย ในนี้สำหรับภายในรายรับจะไม่มากนัก แต่ก็สะดวกให้นายท่านสร้างสายสัมพันธ์กับศิษย์ด้านล่างภูเขา

“ส่วนสำหรับภายนอกกลับมีรายรับมหาศาล แต่ก็จำเป็นต้องมีส่วนร่วมของกรมต่างๆ อีกมาก อย่างเช่นกรมทดน้ำ กรมเคลื่อนย้าย กรมขนส่งเป็นต้น แต่ถ้าสร้างเสร็จต่อให้เป็นแค่ท่าเรือง่ายๆ รายรับก็มากมายจนน่าตกตะลึงจากการเข้าออกของเรือสินค้า นอกเหนือจากนี้ยังดึงดูดให้ร้านรวงต่างๆ มาเข้าร่วมอีก นี่ก็ถือเป็นรายรับอีกส่วนหนึ่ง”

สายเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ สำหรับภารกิจที่สวี่ชิงมอบให้ตนเอง นางไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อย เวลาสองเดือนนี้ก็เอาแต่ค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง และยังควักเหรียญวิญญาณเพื่อซื้อข่าวไปบางส่วนอีกด้วย

ดังนั้นหลังจากที่สวี่ชิงสอบถาม นางก็ไม่คิดนานนัก จัดการพูดเรื่องการเปิดท่าเรือใหม่ออกมาทั้งหมด

“แต่ว่างานก่อสร้างคือใหญ่ ต่อให้สร้างแค่ท่าเรือง่ายๆ แค่ลงฐานแรกก็ต้องใช้อย่างน้อยสามล้านก้อนหินวิญญาณแล้ว ถ้าหากจะสร้างไปพร้อมกับร้านรวงต่างๆ จนเสร็จสมบูรณ์ จำนวนที่ต้องลงทุนน่าจะมากกว่าสิบล้าน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าจะทำตามสิ่งที่ต้องการ ก็ยิ่งสูงไม่มีขีดจำกัดขึ้นไปอีก”

สวี่ชิงฟังถึงจุดนี้ สีหน้าแม้จะดูเป็นปกติ แต่ก็แอบสั่นสะเทือนในใจ เดิมทีเขาคิดว่าตอนนี้ตนเองพอมีเงินบ้างแล้ว ถึงอย่างไรหินวิญญาณรวมๆ กันแล้วในถุงเก็บของเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้นน่าจะมีหลายแสนก้อนก็ตาม

แต่ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของสาย สวี่ชิงก็ทำได้เพียงนิ่งงัน

“แต่รายรับท้ายสุดก็ยังน่าสะพรึงเช่นกัน ท่าเรือสินค้ารับเข้าออกของเจ็ดเนตรโลหิตมีจำกัด ช่วงนี้ข้าคอยสังเกตเรือที่ไปๆ มาๆ เรือที่เข้ามายังเจ็ดเนตรโลหิตมีถึงสามส่วนที่ต้องเข้าแถวอยู่ด้านนอกถึงจะเข้ามาได้

“ทั้งหมดนี้ถ้าพวกเราเปิดท่าเรือใหม่ก็จะไม่ขาดเรื่องที่จอดและการเข้าออกของเรือสินค้าเลยเจ้าค่ะนายท่าน พอข้าลองเปรียบเทียบกับท่าเรืออื่นแล้วแอบคำนวณออกมา เงินลงทุนทั้งหมดของพวกเราอันที่จริงอยู่ที่ประมาณสามล้านหินวิญญาณ ส่วนที่เหลือสามารถนำเอารายรับมาสร้างทีหลังได้

“ถ้าหากทั้งหมดราบรื่น อย่างมากก็ประมาณสองปี รายรับรายจ่ายก็จะสมดุล หลังจากนี้ปีที่สามก็จะคืนทุน จากนั้นรายรับของทุกปี ก็น่าจะอยู่ที่สามล้านก้อนหินวิญญาณ

“นอกเหนือจากนี้ข้ายังหาข่าวเกี่ยวกับผู้อาวุโสระดับสร้างฐานคนอื่นที่เปิดท่าเรือมาด้วย มีน้อยมากที่จะลงทุนทั้งหมดด้วยตนเอง แต่มักจะรวมกันหลายๆ คน ดังนั้นถ้าหากรอบตัวนายท่านมีคนที่ยอมก็ย่อมลงทุนด้วยกันได้ แต่เหมือนว่าจำเป็นต้องเป็นระดับสร้างฐานเหมือนกันถึงจะทำได้

“นอกจากนี้ ห้างการเงินนอกสำนักก็ยังกระตือรือร้นต่อเรื่องนี้มาก แต่ก็ได้ยินว่าสำนักมีข้อจำกัดต่อเรื่องนี้อยู่มากเช่นกัน ดังนั้นจึงมีท่าเรือไม่มากนักที่จะมีหุ้นของพวกเขาอยู่”

สวี่ชิงครุ่นคิด

เดิมทีการเปิดท่าเรือเขาก็แค่รู้สึกว่าไม่ควรจะสิ้นเปลืองสิทธิ์นี้ไป ยิ่งไปกว่านั้นถ้าหากสร้างออกมาก็ไม่ต้องไปทำเรื่องอื่นอีกแล้ว ทุกปีสามารถได้รายรับมาก้อนมหาศาล ดังนั้นเขาจึงให้สายออกไปหาข้อมูล

แต่ตอนนี้พอฟังแล้ว สวี่ชิงแม้จะหวั่นไหว แต่มันก็แพงเสียเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นด้านในก็ยังมีเรื่องยุ่งยากอยู่มากด้วย

นอกจากนี้การลงทุนหินวิญญาณมหาศาลเช่นนี้จะทำให้ตนเองถูกผูกกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตลึกเกินไป จุดนี้สวี่ชิงลังเลขึ้นมาบ้าง จู่ๆ เขาก็ตระหนักถึงสาเหตุขึ้นมาว่าเหตุใดผู้บำเพ็ญสร้างฐานมากมายจึงไม่เลือกเปิดท่าเรือกัน

ด้านหนึ่งคือจะผูกมัดด้านกำลังลึกยิ่งขึ้น อีกด้านหนึ่งคือสิ้นเปลืองมหาศาล

ถ้ามีหินวิญญาณเหล่านี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองสามารถมอบหมายภารกิจให้คนอื่นออกไปจับอสูรทะเลให้กับตนเองได้

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิด สวี่ชิงจึงมีความคิดที่จะละทิ้งเรื่องนี้แล้วในใจ

ดังนั้นจึงให้สายออกไป เขาก็เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีเทา เตรียมจะไปยังร้านขายวัตถุดิบ

การกลับมาครั้งนี้ สิ่งของที่เขาต้องซื้อมีมากมาย ไม่ว่าจะหญ้าสมุนไพรหรือของวิเศษอักขระก็ล้วนจำเป็นต้องเตรียมทั้งสิ้น

อาวุธเวทนั้นแพงมาก ก่อนหน้านี้สวี่ชิงซื้อไม่ลง ตอนนี้ในถุงก็ถือว่าล่ำซำอยู่ เขาอยากจะลองเลือกดูเสียหน่อย

ขณะเดียวกันเกี่ยวกับพวกแผ่นวิญญาณที่อู๋เจี้ยนอูยอดเขาลำดับหนึ่งใช้เหล่านั้น สวี่ชิงก็รู้สึกสนใจมาก เตรียมจะไปหาดูว่ามีขายหรือไม่ ของเหล่านี้แม้ประสิทธิภาพจะธรรมดาๆ แต่เวลาสูดรับขึ้นมาก็สะดวกมาก

คนที่ชำเลืองมาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญสร้างฐานในชุดนักพรตสีเทาแบบสวี่ชิงทั้งสิ้น ตรวจสอบอีกฝ่ายด้วยการสัมผัสกลิ่นอายกันและกัน หลายครั้งที่พอสบสายตาก็ผละออก ต่างฝ่ายต่างไม่รบกวนกัน

“อาวุธเวท?” สวี่ชิงรับเกราะชิ้นนี้มา หลังจากที่พลังเวทหลั่งเข้าไปก็สัมผัสได้ว่าเกราะชิ้นนี้มีอักขระอยู่นับไม่ถ้วน เรียงแถวอยู่ด้วยกันด้วยกฎเกณฑ์บางอย่าง แผ่ซ่านไปทั้งในเกราะและนอกเกราะ มองเผินๆ เกรงว่ามีมากกว่าหนึ่งแสนตัว สวี่ชิงสังเกตเห็นว่าเกราะนี้ไม่ธรรมดาเลย

ครั้งนี้ สวี่ชิงกินไข่ไปสี่ฟอง

แม้พลังบำเพ็ญหลังจากระดับสร้างฐานไปแล้วเขาจะสามารถไม่กินข้าวได้หลายวัน ใช้พลังเวทมาหล่อเลี้ยงเอา แต่สวี่ชิงก็ยังชอบการกินข้าวแบบก่อนหน้านี้ มันทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ

“แม้เจ้าของชิ้นนี้จะเป็นอาวุธเวทระดับล่าง แต่พลังป้องกันก็ไม่เลวเลย พบกับสภาวะแสงนภาของระดับสร้างฐานเข้าถ้าเจ้าสวมมันไว้ ขอแค่อีกฝ่ายไม่ใช่ไฟสองดวง ก็สามารถต้านทานได้หลายครั้งอยู่”

เขากินไปพลางล้วงเอาป้ายฐานะส่งสื่อเสียงไปยังหวงเหยียน สอบถามถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายเคยบอกว่าจะซื้อตะเกียงดับวิญญาณว่าเป็นอย่างไรบ้าง

‘ซื้อสิ สวี่ชิงเจ้ากลับมาแล้วหรือ เจ้าอยู่ที่ไหนเดี๋ยวข้าไปหา’

หวงเหยียนเหมือนจะเข้าใจระดับสร้างฐานอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่หญิงเล่าให้เขาฟังหลายครั้ง และพลังบำเพ็ญของเขาก็มาถึงระดับที่ทะลวงขั้นได้แล้ว

พอเห็นสวี่ชิง หวงเหยียนก็หัวเราะร่าโยนตั๋ววิญญาณปึกหนาออกมา

“มูลค่าหนึ่งพันก้อนหินวิญญาณ ทั้งหมดล้วนเป็นตั๋ววิญญาณของยอดเขาลำดับหก จำนวนสองร้อยใบ”

นี่ถือเป็นเรื่องต้องห้ามของเจ็ดเนตรโลหิต สวี่ชิงไม่ยอมทำแบบนี้หรอก

“นี่คือเกราะหมื่นอักขระ เดิมทีข้าคิดจะมอบให้กับศิษย์พี่หญิง แต่ข้าคิดว่านางชอบตะเกียงดับวิญญาณมากกว่า เกราะนี้ก็แลกกับเจ้าแล้วกัน ขายออกไปก็น่าจะขายได้สักสามแสนกว่าก้อนหินวิญญาณอยู่”

แม้รายรับจะน้อยกว่า แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี

หวงเหยียนเหมือนจะเข้าใจระดับสร้างฐานอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่หญิงเล่าให้เขาฟังหลายครั้ง และพลังบำเพ็ญของเขาก็มาถึงระดับที่ทะลวงขั้นได้แล้ว

สวี่ชิงพยักหน้า หลังจากเก็บเกราะหมื่นอักขระนี้ลงไป ก็หยิบตะเกียงดับวิญญาณส่งให้กับหวงเหยียน

“ให้ข้าไปส่งเจ้าที่ยอดเขาลำดับเจ็ดหรือไม่” สวี่ชิงมองหวงเหยียนที่เล่นอยู่กับตะเกียงดับวิญญาณ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา

“ไม่ต้อง ของที่ข้าจะเอาไปให้ศิษย์พี่หญิงใครจะกล้ามาแย่งกัน” หวงเหยียนตบพุง เก็บตะเกียงดับวิญญาณอย่างมีความสุข ขณะที่กำลังหยิบเอาแผ่นหยกออกมาส่งสื่อเสียงแก่ศิษย์พี่หญิง จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ หันหน้าไปมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง

“สวี่ชิง ครั้งที่แล้วข้าเคยบอกกับเจ้าเรื่องจะเกิดสงคราม ตอนนี้ยืนยันมาแล้ว เจ้าลองไปคิดดูว่าจะเข้าร่วมหรือไม่” พูดจบ เขาก็โบกมือให้กับสวี่ชิง รีบวิ่งตรงไปยังยอดเขาลำดับเจ็ด

มองแผ่นหลังของหวงเหยียน สวี่ชิงรู้สึกทอดถอนใจ เขาพบว่าหวงเหยียนมีเงินเยอะจริงๆ หินวิญญาณหลายแสนก้อนรวมถึงอาวุธเวทคิดจะหยิบก็หยิบออกมา แต่สำหรับเบื้องหลังของหวงเหยียน สวี่ชิงเองก็ไม่ได้ไปตรวจสอบ

ดังนั้นหลังจากส่งหวงเหยียนด้วยสายตา เขาก็คิดถึงคำพูดก่อนหน้าของอีกฝ่าย ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย

“สงคราม…”

สวี่ชิงครุ่นคิด ความคิดสุดท้ายในการเปิดท่าเรือก็ถูกกลบไปในวินาทีนี้ เขาเตรียมนำเอาสิทธิ์การเปิดท่าเรือไปแลกเป็นถนนเส้นหนึ่งแทน

สวี่ชิงนำความคิดนี้ เดินตรงไปยังร้านขายยันต์หยก

ร้านที่ขายเครื่องใช้สำหรับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานในเมืองหลักส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในเขตแสงศัสตราของยอดเขาลำดับหกทั้งสิ้น เขตท่าเรือนี้มีไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นราคายังสูงลิบ ดังนั้นลูกค้าในร้านประเภทนี้จึงน้อยมาก

ส่วนใหญ่ล้วนจะสร้างแยกออกมา และมีศิษย์เฉพาะทางมาคอยให้บริการ

ดังนั้นหลังจากมาถึงเขตแสงศัสตรา สวี่ชิงจึงค้นหาอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงเลือกร้านหนึ่งที่ชื่อว่าหอศัสตรากระจ่าง จากนั้นจึงเดินเข้าไป

ร้านนี้ถือเป็นหนึ่งในร้านที่ใหญ่ที่สุดไม่กี่ร้านในเขตแสงศัสตราของยอดเขาลำดับหก มีอยู่ถึงห้าชั้น ยิ่งไปกว่านั้นในแต่ละชั้นยังอาณาเขตกว้างใหญ่กว่าสองร้อยจั้งอีกด้วย

การตกแต่งด้านในก็ดูหรูหราไม่ธรรมดาอย่างมาก โดยเฉพาะพนักงานด้านในมีอยู่ไม่น้อย มีทั้งชายและหญิง ราวกับว่าไม่ว่าจะเวลาใดก็เหมือนมีเยอะกว่าลูกค้าเสียอีก ซ้ำยังหน้าตาหล่อสวยกันหมด

สวี่ชิงเพิ่งจะเหยียบเข้ามาก็ดึงดูดความสนใจจากพนักงานมากมายในร้านทันที แม้สวี่ชิงจะสวมชุดนักพรตสีเทา แต่หน้าตาก็โดดเด่น กระทั่งยังต้องตาพนักงานหญิงไปไม่น้อย การมาเยือนของสวี่ชิง ทำให้ร้านเหมือนกับสว่างไสวขึ้นมาครู่หนึ่ง

และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่คนที่กล้าเหยียบเข้ามาในร้านของพวกเขาไม่มีธรรมดาเลยสักคน อย่างน้อยต้องเป็นศิษย์หลัก โดยเฉพาะพวกเขาที่ต้อนรับพวกสร้างฐานมาเยอะ เข้าใจเป็นอย่างดีว่าผู้บำเพ็ญสร้างฐานของสำนักส่วนใหญ่ล้วนชอบสวมชุดนักพรตสีเทา ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ดังนั้นพนักงานมากมายจึงรีบเดินเข้ามาต้อนรับ แต่หญิงสาวสะสวยรวบหางม้าคู่คนหนึ่งในนี้ กลับแย่งคนทั้งหมดขึ้นมาอยู่ด้านหน้าสวี่ชิงเป็นคนแรก

“สหายท่านนี้ ท่านเรียกข้าว่าเสี่ยวฮุ่ยได้ มีอะไรต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ ข้าจะบริการท่านเท่าที่ข้าจะทำได้เลยเจ้าค่ะ” สาวน้อยคนนี้มองหน้าสวี่ชิง ใบหน้าสวยแดงระเรื่อ เอ่ยขึ้นเสียงอ่อนหวาน

“หอศัสตรากระจ่างของพวกเรามีจำพวกศัสตราเป็นหลัก ชั้นหนึ่งคือของวิเศษอักขระ ชั้นสองคือยันต์หยก ชั้นสามขึ้นไปเป็นอาวุธเวท สหายท่านต้องการชมอะไรหรือ ข้าจะแนะนำท่านเอง”

สวี่ชิงกวาดตาไปรอบๆ สังเกตเห็นว่าในร้านนี้นอกจากตนเองแล้วไม่มีลูกค้าคนอื่นเลย ขณะเดียวกันก็ยังเห็นว่าบนกำแพงมีของวิเศษอักขระมากมายเต็มไปหมด

แม้ถูกปิดผนึกไว้ทั้งหมด แต่ยังคงมีคลื่นพลังที่ไม่ธรรมดาแผ่ออกมา

โดยเฉพาะในโถงใหญ่ยังมีเสาผลึกวารีอยู่อีกหลายสิบต้น ด้านในล้วนมีของวิเศษอักขระส่องประกาย

ถูกเก็บแยกเอาไว้เช่นนี้ เห็นได้ว่าคุณสมบัติคงจะดียิ่งกว่า

“ข้าจะดูอาวุธเวทเสียหน่อย” สวี่ชิงเก็บสายตากลับมา มองไปยังหญิงสาวที่ใบหน้าน้อยๆ แดงระเรื่อซึ่งอยู่ในระยะสายตาตนเอง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

หญิงสาวหางม้าคู่พอได้ยิน ดวงตายิ่งก็เปล่งประกายมากขึ้น

บทที่ 147 กล่องปรารถนา

ในเสี้ยวขณะที่เห็นกล่องใบนี้ รูม่านตาของสวี่ชิงก็หดเล็ก

กล่องใบนี้เขาเคยเห็นมาสองครั้ง

ครั้งหนึ่งคือที่เจ้าม้าในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดตอนนั้น อีกครั้งหนึ่งคือที่เด็กหนุ่มเผ่าเงือก

แต่แม้จนถึงตอนนี้สวี่ชิงก็ยังไม่รู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร และเขาก็เคยหาในร้านค้าเมืองหลัก แต่ก็หาของที่เหมือนกับสิ่งนี้ไม่ได้เลย

วันนี้สวี่ชิงได้เห็นเป็นครั้งที่สาม

แทบจะในชั่วเวลาเดียวกับที่สวี่ชิงมองไป ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งคนนั้นก็กอดของสิ่งนี้เอาไว้ในอ้อมแขน มองสวี่ชิงด้วยสีหน้าระแวดระวัง เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว

“วันนี้กระอักเลือดสามร้อนครา แบ่งสมบัติเท่าๆ กันองอาจคุณธรรมที่สุด!”

“พูดภาษาคน” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเย็นเยือก มือขวายกขึ้นการป้องกันเรือเวทก็เปิดขึ้นทันที ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายจากไป

ชายหนุ่มยอดเขาที่เจ็ดเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจ ชกตัวเองหมัดหนึ่ง เค้นเลือดดำออกมา หลังจากแน่ใจว่าตัวเองโดนพิษอีกครั้ง ก็ใช้เคล็ดวิชาลับสะกดลงไปอีกหน มองสวี่ชิงอย่างจนปัญญา แอบพูดในใจว่าคนยอดเขาที่เจ็ดล้วนเป็นไอ้พวกเวรตะไลทั้งนั้น

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ภายใต้การจับตามองอย่างสงบนิ่งของสวี่ชิง องค์ชายเก้าแห่งยอดเขาที่หนึ่งก็ถอนหายใจ ทำได้แค่เพียงพูดออกมา

“ก่อนหน้านี้พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะแบ่งให้ข้า ข้าเอาแค่อันนี้ ที่เหลือเป็นของเจ้าหมด”

สวี่ชิงไม่พูดอะไร เก็บของบนพื้นทั้งหมด ในนั้นเขาค้นเจอป้ายฐานะเจ็ดสีแผ่นหนึ่ง

ป้ายแผ่นนี้ทำจากไม้ เหมือนจะเป็นหลักฐานแสดงตัวตน เพียงแต่เสียหายเล็กน้อย

แต่เมื่อมองไปอย่างละเอียดก็จะเห็นรอยด่างบนนั้น เห็นได้ชัดว่าถือเอาไว้ประจำถึงได้เป็นแบบนี้ ดังนั้นจึงมองไปทางชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่ง

“สุดปลายขอบฟ้า มนุษย์เมฆาเชื่อมต่อเป็นผืนเดียว…” ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งเพิ่งพูดออกมาประโยคเดียว หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาก็ทุกข์ระทม กังวลขึ้นมาเล็กๆ ว่าหากตนไม่พูดให้ดี อีกฝ่ายจะเลือกเอาชีวิตมาล้อเล่นอีกครั้ง ดังนั้นจึงฝืนพูดขึ้นว่า

“นี่คือป้ายของพันธมิตรเจ็ดสำนัก เผ่าสิงซากสมุทรที่พวกเราฆ่าตายตอนมีชีวิตอยู่น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญของพันธมิตรเจ็ดสำนัก”

“ของที่เจ้าถืออยู่คือสิ่งใด” สวี่ชิงถามขึ้น

ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งลังเล เขามองออกว่าลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดข้างหน้าคนนี้ไม่รู้เรื่องกล่องปรารถนา เดิมคิดจะปิดบัง แต่คิดถึงว่านี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร อีกทั้งหากอีกฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของวิเศษเลิศล้ำอัศจรรย์อะไร ตนเองจะมีความเสี่ยงเพิ่มไปโดยไม่จำเป็น

ดังนั้นจึงส่ายหน้า พูดตามความจริง

“นี่คือกล่องปรารถนา

“กล่องปรารถนาคือของกำนัลที่ผู้บำเพ็ญศักราชที่แล้วทิ้งไว้ให้ผู้บำเพ็ญศักราชต่อมา

“หลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน ทุกศักราชของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ล้วนมีจุดสิ้นสุด ดังนั้นจึงมีประเพณีสืบทอดแบบนี้ ส่วนมากในช่วงปลายศักราชก็เริ่มใช้วัสดุพิเศษทำกล่องปรารถนา ดังนั้นนับตั้งแต่โบราณมา กล่องปรารถนาที่ตกทอดมามีมากมาย”

ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งในตอนแรกก็ไม่ค่อยชินกับการพูดปกติเท่าไร แต่พูดๆ ไปก็เริ่มคล่องขึ้น กระทั่งว่าในใจยังเกิดความโปร่งโล่งบางอย่างมากๆ อีกด้วย

“วัสดุของกล่องปรารถนาค่อนข้างพิเศษ สามารถหลงเหลือตกทอดมาได้เมื่อศักราชสิ้นสุด แต่ได้ยินมาว่า แต่ก่อนมีคนเคยได้กล่องขอพรที่เหมือนโลงด้วย แต่ผู้บำเพ็ญในนั้นล้วนตายไปหมดแล้ว แล้วก็มีคนที่ได้กล่องปรารถนาที่ข้างในว่างเปล่าก็มีเหมือนกัน ดังนั้นเป็นหลักการอะไรที่ทำให้วัตถุหลงเหลือตกทอด ไม่มีใครรู้

“ในขณะเดียวกันต่อให้มีอะไรในนั้น แต่เนื่องจากผู้แข็งแกร่งแต่ละคนทำการใส่ของเอาไว้และผนึกเอง ดังนั้นในนั้นมีอะไร นอกจากคนที่ผนึกก็ไม่มีใครรู้ได้เหมือนกัน

“แต่ได้ยินมาว่ามีคนเปิดได้ของวิเศษเวทหรือไม่ก็เคล็ดวิชาของศักราชก่อนๆ ต่างๆ แล้วก็มีคนที่เปิดได้ของไร้สาระอย่างใบไม้อะไรพวกนี้เหมือนกัน สรุปแล้วเจ้าของสิ่งนี้จะพูดว่าสูงค่าไม่อาจประเมินก็ได้ จะบอกว่าธรรมดาพื้นๆ ก็ได้ สรุปแล้วดูที่ว่าโชคเป็นอย่างไร 艾琳小說

“ข้าเปิดมาสามใบแล้ว สิ่งที่ได้ธรรมดาๆ แต่ข้าเชื่อว่าโชคของข้าไม่เลว

“วิธีเปิดมันก็ง่ายมาก ใช้พลังเวทของตัวเองหล่อเลี้ยงให้จนถึงขีดจำกัดสูงสุดก็สามารถเปิดออกได้แล้ว

“โดยปกติขั้นตอนนี้ยาวนานมาก เหตุที่ข้าต้องการใบนี้เพราะมันได้รับการหล่อเลี้ยงจนใกล้จะเปิดออกแล้ว” อัจฉริยะยอดเขาที่หนึ่งไม่พูดก็แล้วไปเถิด แต่ตอนนี้พอได้พูด ก็ไม่รอให้สวี่ชิงถาม พูดทุกอย่างที่ตัวเองรู้ทั้งหมดออกมาทีเดียว

พูดจบก็ถอยหลังไปสามสี่ก้าว มองสวี่ชิงอย่างระแวงระวัง

“หากเจ้าไม่ตกลง ของชิ้นนี้ให้เจ้าก็ได้ แต่ข้าจะเอาอาวุธเวทกับของวิเศษอักขระหยกสองแผ่นนั่น”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากขบคิดก็สะบัดมือเปิดเกราะป้องกันเรือเวทออก ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งเข้าใจความหมายส่งแขกของสวี่ชิงจึงรีบบินออกไปทันที

จนเมื่อมองอีกฝ่ายไปจากเรือเวท เหยียบกระบี่ใหญ่ตามอยู่ข้างๆ สวี่ชิงก็ถอนสายตากลับมา หลังจากนั่งขัดสมาธิลงก็ควบคุมเรือเวทมุ่งหน้าไปทางสำนักเจ็ดเนตรโลหิต

เขาอยากกลับไปถอนยันต์พันธะชีวินของสองคนให้เร็วที่สุด ส่วนเงาแม้จะค่อยๆ กัดกินได้ แต่ขั้นตอนนี้ช้ามาก สวี่ชิงไม่อยากเสียเวลา

ตอนนี้เขาเริ่มจัดระเบียบผลเก็บเกี่ยวของตัวเองครั้งนี้ขณะนั่งขัดสมาธิ

ต้องพูดเลยว่าความอู้ฟู่ในถุงเก็บของของผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณที่อยู่ขั้นเดียวกับผู้อาวุโสช่างน่าตื่นตะลึงเสียจริง ลำพังแค่มูลค่าของตั๋ววิญญาณความกันแล้วก็เหมือนจะมีค่าถึงสองแสนกว่า

แม้ตั๋ววิญญาณจะไม่ใช่สำนักเจ็ดโลหิตแจกจ่าย แต่สำนักก็มีที่ให้แลก เพียงแต่มีเสียหายจำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่มาก

ของอื่นๆ สวี่ชิงประเมินแล้วก็ขายได้แสนกว่าๆ หินวิญญาณ

ส่วนยันต์หยกสองแผ่นนั้น เมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตมีขายขั้นต้นหลายหมื่นหินวิญญาณ รายละเอียดต้องดูที่คุณสมบัติ

ส่วนของที่ราคาต่ำที่สุดคือของวิเศษเวทขนนกนั่น

ผลเก็บเกี่ยวแบบนี้ทำให้สวี่ชิงตื่นตะลึง ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าสิ่งสะสมของอีกฝ่ายจะต้องไม่ใช่แค่ของพวกนี้เท่านั้นแน่ สิ่งที่ตนได้มาน่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง

ในเมื่อวัตถุอย่างถุงเก็บของประเภทนี้โดยปกติแล้วไม่มีทางมีเพียงแค่ใบเดียว

‘น่าเสียดาย หากไม่ถูกคนที่ทำให้มันบาดเจ็บสาหัสชิงไป ก็ผู้บำเพ็ญคนนี้ก็คงเอามันเก็บไว้ที่อื่น’ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลังจากหยุดความคิดคาดเดา ก็สัมผัสเศษเสี้ยววิญญาณที่กำลังถูกเผาไหม้เหมือนฟืนสักหน่อย ดวงตาฉายประกายวาววาบ

‘ดูซิว่าเศษเสี้ยววิญญาณระดับผู้อาวุโส อีกทั้งยังเป็นเผ่าสิงซากสมุทรที่คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณบอกว่ามีผลลัพธ์ที่น่าทึ่งจะเปิดช่องเวทให้ข้าได้กี่ช่อง!’

คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็ตรวจสอบเกราะป้องกันรอบๆ แล้วมองไปยังชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งที่จ้องมองมาด้วยความระแวงระวังฉายเต็มอยู่บนใบหน้า จากนั้นก็หลับตา เพลิงดำในร่างก็พลันลุกไหม้

ทันใดนั้นช่องเวททั้งสิบสามช่องของเขาก็ส่งเสียงดังลั่นพร้อมกันทันที ในขณะที่เปลวไฟพวยพุ่ง เศษเสี้ยววิญญาณเผ่าสิงซากสมุทรที่ถูกเผาก็พุ่งไปยังช่องเวทที่สิบสี่ภายใต้การควบคุมของสวี่ชิง

ช่องเวทสั่นสะเทือนทันที แล้วถูกทะลวงเปิดออก

ยังไม่จบแค่นั้น สวี่ชิงควบคุมเศษเสี้ยววิญญาณที่ถูกเผาราวฟืนดวงนี้ให้ไปทะลวงช่องเวทที่สิบห้าต่อ ซึ่งก็ทะลวงเปิดขึ้นเหมือนกัน!

ต่อจากนั้นก็เป็นช่องที่สิบหก ช่องที่สิบเจ็ด…

สุดท้ายยามเมื่อช่องเวทที่ยี่สิบทะลวงออก เศษเสี้ยววิญญาณกลุ่มนี้ถึงได้สลายไป ใช้จนหมดสิ้น

‘ทะลวงช่องเวทได้ถึงเจ็ดช่อง!!’ สวี่ชิงดวงตาฉายประกายวาบ หัวใจเต้นเร็วขึ้น แม้เขาจะคาดเดาผลลัพธ์เรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังตื่นตะลึงอยู่ดี

การทะลวงช่วงเวทยิ่งทะลวงต่อไปก็ยิ่งยากลำบาก ก่อนหน้านี้เขาก็สัมผัสได้แล้ว นับจากช่องเวทช่องที่สิบมา พลังวิญญาณที่ต้องใช้ในการทะลวงช่องเวททุกช่องล้วนมหาศาล

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เศษเสี้ยววิญญาณกลุ่มนี้ก็เปิดช่องเวทให้เขาได้เจ็ดช่อง นี่มากพอจะบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของมัน ทำให้ในใจสวี่ชิงมีความปรารถนาอยากได้เศษเสี้ยววิญญาณประเภทนี้มากขึ้น

‘แต่ว่าระดับความยากมากๆ เหมือนกัน’ สวี่ชิงรู้ดี ผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้ การช่วยเหลือจากชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งมากเลยทีเดียว หากก่อนหน้านี้เขาไม่ให้แผ่นหยกรักษาชีวิตกับเขาจำนวนมาก และไม่ได้คอยช่วยสนับสนุนอยู่ข้างๆ แล้วล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้ตนก็ยังคงไม่อาจได้มา

‘ผลเก็บเกี่ยวครั้งนี้มากมายนัก ต้องรีบกลับสำนักถอนยันต์พันธะชีวินแล้วก็ทำการจัดระเบียบสักหน่อย แล้วค่อยออกทะเลอีกครั้ง ก่อไฟชีวิตให้ได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ให้ได้!’

ดวงตาสวี่ชิงฉายแวววาดหวัง หลังจากสัมผัสได้ถึงเสียงคำรามในช่องเวททั้งยี่สิบช่อง เขาก็หล่อเลี้ยงช่องเวทพวกนี้พลางหยิบเอาอาวุธเวทขนนกออกมา

หลังจากถือไว้ในมือ ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ถ่ายพลังเวทเข้าไป เริ่มทำการศึกษา

เวลาไหลผ่านไปช้าๆ ไม่นานก็ผ่านไปสามวัน

ในขณะที่ทางสวี่ชิงหล่อเลี้ยงช่องเวทและทำการศึกษาอาวุธเวท ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งที่ตามอยู่ข้างๆ นอกเรือในที่สุดก็หลอมเศษเสี้ยวสุดท้ายของกล่องขอพรใบนั้นสำเร็จ

ในเสี้ยวพริบตาที่สำเร็จ สีหน้าของเขาตื่นเต้นมา กวาดตามองสวี่ชิงทางนั้นอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง หลังจากสังเกตว่าเขายังฝึกบำเพ็ญอยู่ ก็จงใจลดความเร็วลง ทิ้งระยะห่างกับเรือเวทช่วงหนึ่ง เขารีบสะบัดมือ ทันใดนั้นก็มีเกราะป้องกันปกปิดสายตาปรากฏขึ้นรอบๆ

คราวนี้ถึงได้ก้มหน้ามองกล่องเหล็กที่อยู่ในมือ ดวงตาฉายประกายความตื่นเต้น

เขาไม่ได้หลอกสวี่ชิง เขาเปิดกล่องปรารถนามาแล้วสามกล่องจริงๆ แต่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้พูดคือ ในกล่องปรารถนาใบแรกที่เขาเปิดเป็นม้วนตำราโบราณม้วนหนึ่ง

ม้วนตำราโบราณม้วนนี้ไม่มีค่าอะไร แต่เนื้อหาที่บันทึกในนั้นเกี่ยวกับเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณ

วัตถุใดก็ตามขอเพียงเกี่ยวข้องกับเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณก็มีราคามหาศาล และในม้วนตำราโบราณม้วนนั้นบันทึกเรื่องราวของเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณสามองค์

แม้จะเป็นเพียงแค่คำบรรยาย แต่นี่ก็ทำให้หลังจากที่ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งคนนี้ได้อ่านก็เฝ้าปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคำบรรยายที่เกี่ยวกับจักรพรรดิโบราณแห่งความมืดในนั้น บอกว่าเขาซ่อนความอัศจรรย์ทั้งชีวิตของเขาเอาไว้ในบทกลอน

นี่จุดประกายให้เขาได้เป็นอย่างมาก

ในความตื่นเต้นตอนนี้ ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งสูดลมหายใจลึก หลังจากที่ยืนยันอีกครั้งว่าสวี่ชิงไม่ได้ให้ความสนใจกับทางนี้ อีกทั้งรอบๆ ก็สงบดี เขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นถู แล้วตบไปที่หน้าผากของตัวเอง จากนั้นก็ทุบอกของตัวเองสองสามครั้ง

เหมือนกำลังทำพิธีขอพรอะไรบางอย่าง ดวงตาปิดลง หลังจากนั้นครึ่งก้านธูป ดวงตาทั้งสองของเขาก็ลืมขึ้น ในขณะเดียวกับที่ฉายประกายแสงออกมา มือทั้งสองก็เปิดกล่องอย่างรวดเร็ว

เสียงแกร๊กดังขึ้น

ก่อนหน้านี้ไม่มีรอยใดๆ ทั้งสิ้น กล่องเล็กทั้งใบก็เหมือนกล่องจริงๆ เปิดออกทันที เผยให้เห็นขวดหยกขนาดนิ้วมือใบหนึ่งในนั้น

ขวดใบนี้มีจุดดำเล็กน้อย เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณ เหมือนบรรจุยาอะไรเอาไว้ ข้างๆ ยังมีม้วนตำราโบราณเล่มหนึ่งวางอยู่ด้วย

ภาพนี้ทำให้ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งคนนี้ตื่นเต้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น

เพราะหลายปีนี้นอกจากกล่องใบที่หนึ่งแล้ว อีกสองกล่องที่เหลือล้วนเปิดออกมาได้ของไร้ประโยชน์

ตอนนี้เขาเห็นกล่องใบที่สี่ใบนี้นอกจากจะมีม้วนตำราโบราณแล้วยังมีขวดที่เหมือนบรรจุยาเอาไว้ด้วย นี่ทำให้เขาฮึกเหิมเหลือเกิน

“กำไรสุดๆ เลย!” ในขณะที่เอ่ยพึมพำ ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งจู่ๆ ก็ระแวดระวังขึ้นมา เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีแนวโน้มที่จะพูดเป็นปกติ นี่ทำให้เขาได้สติตื่นขึ้นมาทันที ดังนั้นแล้วจึงรีบแก้

“ไม่เสียที่ที่ออกทะเลพบเจอแต่เรื่องอเนจอนาถน่าสังเวช มีเหตุให้ร่ำรวยเหลือล้ำในพริบตา”

หลังจากพึมพำใหม่อีกรอบ ในใจของเขาก็เบาสบาย หยิบขวดเล็กขึ้นมาอย่างอดใจรอไม่ไหวแล้ว หลังจากมองไปรอบๆ ก็เปิดออกอย่างรวดเร็ว ยกขึ้นมาข้างหน้าแล้วสูดดม

ของชิ้นนี้เก็บรักษาเอาไว้อย่างดี แต่หลังจากที่เปิดออกก็ยังคงมีกลิ่นเปรี้ยวๆ แปลกๆ แผ่ซ่านออกมาอยู่ดี

ชายหนุ่มยอดเขาที่หนึ่งไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่กลิ่นนี้ทำให้เขาฮึกเหิม เพราะเขารู้สึกว่ามีกลิ่นก็หมายถึงของเหลวข้างในยังมีสรรพคุณยาอยู่

“ชะตามังกรหยกวิญญาณสวรรค์ มีเพียงข้าที่เป็นใหญ่คือวาสนา!”

แต่เขาก็ไม่กล้ากลืนมันลงไปในทันที ดังนั้นจึงดมอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง ใบหน้าเคลิบเคลิ้ม จากนั้นก็รีบปิดขวดก้มหน้ามองไปยังม้วนตำราโบราณในกล่อง

เอามันออกมาอ่านอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักข้อความในนั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา

“ผู้มีวาสนา ขอให้โชคดี

“ข้าเกิดในศักราชแห่งความมืด จักรพรรดิโบราณมอบมรรคาให้ มิทราบว่าเทพหรู่ชางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ กล่องปรารถนาใบนี้คงเป็นสิ่งล้ำค่าของสหาย มีเพียงข้าที่คิดว่าไร้ค่า จึงทิ้งไปราวของไร้ราคา

“สมบัติของข้าอยู่ในสายเลือด โฉมตรูผู้เปิดกล่องปรารถนาใบนี้ ข้าขอมอบบุตรให้

“ผู้มีวาสนา มิต้องขอบคุณ ลาก่อน”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง… รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท