ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 150 โอกาสในสงคราม

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 150 โอกาสในสงคราม

“อาวุธเวทอยู่ชั้นสาม ผู้อาวุโสเชิญ!”

ได้ยินว่าสวี่ชิงจะซื้ออาวุธเวท เด็กสาวที่เคยดูแลต้อนรับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานของสำนักมามากมายก็รู้ทันทีว่าคนอายุรุ่นเดียวกันที่หน้าตาดีสุดๆ ข้างหน้าคนนี้จะต้องเป็นระดับสร้างฐานแน่นอน

ทำให้ใจของสาวน้อยสั่นไหว คำเรียกก็เปลี่ยนไป ดวงตายิ่งเป็นประกายวาววับ นำทางด้วยความเคารพนอบน้อม

ในขณะเดียวกัน ในอาคารแห่งนี้นางก็เพิ่มความระมัดระวังขึ้น ไม่ได้ให้สวี่ชิงเดินนำหน้าไปก่อน แต่เป็นฝ่ายกระตือรือร้นก้าวขึ้นมานำทางอยู่ข้างหน้า

การกระทำนี้ไม่ได้เป็นการเสียมารยาท อีกทั้งจากการเดินขึ้นบันได ร่างของนางก็เผยเส้นโค้งเว้าออกมาให้เห็นอย่างไม่ได้ตั้งใจในขณะเดิน ก้นงามงอนนั่นยิ่งเห็นชัดเป็นพิเศษ มันทำให้เสื้อคลุมยาวนูนขึ้น วาดเค้าโครงทรงลูกท้อขึ้นมา

ในขณะที่เต็มไปด้วยความเย้ายวน หางม้าทั้งสองที่แกว่งไปมายังเพิ่มความใสซื่อบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน

น่าเสียดายที่สวี่ชิงเมินไป

ดังนั้นหลังจากที่ขึ้นมาชั้นสาม ในใจของเด็กสาวก็ห่อเหี่ยวเล็กน้อย นางสัมผัสความคิดอกุศลจากสวี่ชิงไม่ได้เลย แต่นางก็จัดการกับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่นำสวี่ชิงเข้ามาในห้องหนึ่งแล้วก็ถามถึงความต้องการอาวุธเวทอย่างเคารพนอบน้อม

“ประเภทโจมตี ราคาไม่เกินสามแสนหินวิญญาณ!” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง

เด็กสาวได้ยินก็พยักหน้า ถอยออกไป ไม่นานนัก ยามที่นางกลับมาก็ประคองถาดไว้ใบหนึ่ง บนนั้นมีของวางอยู่สามชิ้น

เป็นกระบี่เล็กสีฟ้าเล่มหนึ่งมียันต์แผ่นหนึ่งติดเอาไว้ ผนึกระลอกคลื่นพลังของกระบี่เล่มนี้เอาไว้เก้าส่วน แผ่ออกมาเพียงหนึ่งส่วนให้คนได้สัมผัส

ชิ้นที่สองเป็นสร้อยคอเส้นหนึ่ง มีไข่มุกสีดำขนาดเท่าเล็บมือห้าเม็ดติดอยู่ มียันต์ผนึกเอาไว้เช่นกัน

ชิ้นสุดท้ายเป็นกระดิ่งลูกเล็กสีแดงลูกหนึ่ง

“กระบี่คีรียะเยือกนี้แฝงด้วยพลังทะเลต้องห้าม ระหว่างขั้นตอนตีขึ้นเคยอยู่ใต้ทะเลมาสามปี ทำให้ความเย็นของมันน่าตกใจ ใช้พลังเวทขับเคลื่อนสามารถสลายความเย็นออกไปได้ อีกทั้งเชี่ยวชาญด้านความเร็ว คมกริบเป็นอย่างยิ่ง”

“มุกห้าพิฆาต มุกทุกเม็ดล้วนผนึกพลังธาตุทองพิฆาตเอาไว้ เมื่อสลายมันจะเปลี่ยนเป็นอัสนีลงทัณฑ์ สังหารทุกสิ่ง นอกจากผลาญพลังจนหมดสลายไป ไม่เช่นนั้นจะไม่เลิกรา วิธีใช้คือในขณะเดียวกับที่ผสานพลังเวทเข้าไปก็ให้สลักชื่อของศัตรูลงไปบนนั้น”

“สุดท้ายคือกระดิ่งวิญญาณคนเป็น เมื่อสั่นกระดิ่งจะทำให้วิญญาณของศัตรูสะเทือนหยุดอยู่กับที่ แต่ไม่มีผลกับสิ่งแปลกประหลาด มีผลต่อผู้บำเพ็ญที่มีกายเนื้อเท่านั้น อีกทั้งอาวุธชิ้นนี้มีข้อเสียคือเมื่อสำแดงขึ้น เนื่องจากผู้ใช้ก็เป็นผู้บำเพ็ญกายเนื้อเช่นกัน ดังนั้นก็จะได้รับอิทธิพลเช่นกัน แต่เนื่องจากมันเป็นอาวุธเวทประเภทวิญญาณที่หาได้ยาก ดังนั้นราคาจึงสูงกว่า”

“กระบี่คีรียะเยือกสองแสนเจ็ดหมื่นก้อนหินวิญญาณ มุกห้าพิฆาตสามแสนก้อนหินวิญญาณ กระดิ่งวิญญาณเป็นสามแสนสามหมื่นก้อนหินวิญญาณ” เด็กสาวเอ่ยเสียงใส จากนั้นก็มองสวี่ชิง

สายตาสวี่ชิงกวาดไปบนของทั้งสามชิ้นนี้ ภายนอกดูเหมือนปกติ แต่ข้างในกลับสะท้อนใจถึงความแพงของอาวุธเวท แต่เขารู้ว่าตัวเองก่อนที่จะเปิดสภาวะแสงนภาได้ อาวุธเวทสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะ…เขารู้สึกว่าในเมื่อสงครามจะเกิดขึ้นแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องเตรียมตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นหากข่าวแพร่ออกไป น่ากลัวว่าจะยิ่งแพงขึ้นอีก

อาวุธเวทสามชิ้นนี้ความจริงแล้วเขาชอบหมด แต่หากซื้อทั้งสามชิ้นเขาก็ไม่มีปัญญา

เขายังต้องซื้อแผ่นหยก ยังต้องซื้อสมุนไพรพิษอีกเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นหลังจากดูแต่ละชิ้นแล้ว สุดท้ายสวี่ชิงก็กัดฟันซื้อกระดิ่งวิญญาณเป็นมา ของชิ้นนี้แม้จะมีข้อเสีย แต่สวี่ชิงมีวิธีแก้ไข

เขาเตรียมมัดมันไว้กับเหล็กแหลมสีดำ ให้บรรพจารย์สำนักวัชระไปฆ่าศัตรูในระยะไกล และบรรพจารย์สำนักวัชระก็ไม่ใช่วิญญาณมีเลือดเนื้อ แต่เป็นวิญญาณอาวุธ ไม่ได้รับอิทธิพล

“เอาชิ้นนี้” สวี่ชิงถือกระดิ่งวิญญาณเป็นเอาไว้ เอ่ยเนิบนาบ

เด็กสาวตื่นเต้นเล็กน้อย จะอย่างไรการขายอาวุธเวทเป็นธุรกรรมมูลค่าสูง ดังนั้นหลังจากที่ทำการแลกเปลี่ยนให้สวี่ชิงอย่างนอบน้อมแล้ว ก็พาเขาไปยังชั้นสองเพื่อหาแผ่นหยกตามความต้องการของเขา ที่นี่สวี่ชิงซื้อแผ่นหยกเพิ่มการป้องกันสามชิ้นและแผ่นหยกประเภทโจมตีอีกหนึ่งชิ้น ก็จ่ายไปอีกหนึ่งแสนสองหมื่นหินวิญญาณ

ตอนเดินออกมาจากร้านแห่งนี้ สวี่ชิงลูบๆ คลำๆ กระเป๋าของตัวเองแล้วลอบถอนหายใจ

ในตอนที่เป็นระดับรวมปราณเขาคิดว่าทรัพยากรที่ระดับรวมปราณต้องใช้แพงมาก ตอนเป็นระดับสร้างฐานเขาคิดว่าระดับรวมปราณยังดี ลูกกลอนสร้างฐานถึงจะเป็นสิ่งที่แพงที่สุด แต่ตอนนี้เขานึกย้อนอดีต รู้สึกว่าของพวกนั้นไม่นับเป็นอะไรเลย

แผ่นหยกและอาวุธเวธระดับสร้างฐานถึงจะเป็นของที่แพงที่สุด

‘แล้วเรือเวทต้องยกระดับก็ต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมหาศาลเหมือนกัน…’

สวี่ชิงส่ายหน้า ตอนนี้ซื้ออาวุธเวทเสร็จก็สะกดความปวดใจลงไป เตรียมไปหาสมุนไพรที่เมืองหลักเขตชำระวิญญาณของยอดเขาที่สอง อย่างไรเสียความหลากหลายของสมุนไพรในเขตท่าเรือเทียบกับเขตชำระวิญญาณไม่ได้เลย

ในขณะเดียวกันเขาก็อยากไปดูว่ามีแมงดาพรายปรารถนาและหอยโบราณขายหรือไม่ นี่เกี่ยวพันกับความต้องการสำหรับการออกทะเลเพื่อดึงดูดอสูรทะเลทะลวงช่องเวท

แต่ในตอนที่สวี่ชิงอยู่ระหว่างทางไปเขตชำระวิญญาณของยอดเขาที่สอง ป้ายฐานะของเขาก็สั่น สวี่ชิงเอาออกมาดู เป็นจางซานที่สื่อเสียงหาเขา

“สวี่ชิงกลับมาแล้วหรือ”

“กลับมาเมื่อวาน” สวี่ชิงตอบ

“เจ้าอยู่ที่ใดหรือ มาหาข้าที่นี่สักหน่อยได้หรือไม่ หรือให้ข้าไปหาเจ้า ข้ามีเรื่องใหญ่อยากจะหารือด้วย”

“ข้าเตรียมไปดูสมุนไพรที่เขตชำระวิญญาณสักหน่อย” สวี่ชิงค่อนข้างสงสัยว่าจางซานจะมาหาตนด้วยเรื่องอะไร ในขณะเดียวกันก็นึกถึงบันทึกที่นายกองมาหาหลายครั้งที่กลางถ้ำของตน

“ได้ เขตชำระวิญญาณมีร้านสมุนไพรชื่อร้านร้อยพันสมุนไพร พวกเราเจอกันที่นั่น”

สื่อเสียงเสร็จสิ้น

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เดินไปทางเขตชำระวิญญาณยอดเขาที่สอง ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หาร้านร้อยพันสมุนไพรที่จางซานบอกเจอ ร้านนี้ใหญ่มาก นับเป็นร้านดังในเขตที่สอง

สวี่ชิงมองเห็นจางซานนอกร้านร้อยพันสมุนไพรมาแต่ไกล

เขานั่งอยู่บนบันไดข้างๆ พลางสูบกล้องสูบ ชุดนักพรตสีเทาทั้งร่างไม่เป็นที่ดึงดูดสายตาเอาเสียเลย หลังจากที่เห็นสวี่ชิงใบหน้าจางซานก็เผยรอยยิ้มออกมา ลุกขึ้นปัดฝุ่นบนก้น แล้วก้าวเดินมาอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์น้องสวี่ ช่วงสามสี่วันนี้นายกองไปหาเจ้าหรือไม่” หลังจากเข้าใกล้ จางซานก็ดึงสวี่ชิงมายังมุมหนึ่ง แล้วถามเสียงต่ำ

“หลังจากที่ข้ากลับมาก็ยังไม่เจอนายกองเลย” สวี่ชิงมองจางซานอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้านั่นช่วงนี้เที่ยวยืมเงินไปทั่วเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เกือบเอาสิทธิ์บุกเบิกท่าเรือของข้าไปจำนอง บอกกับข้าว่าเขาจะซื้อวิธีปลอมตัวเป็นเผ่าอื่น หากสำเร็จอย่างน้อยจะได้กำไรร้อยเท่า ข้าคิดแล้วเขาน่าจะไปหาเจ้าเหมือนกัน”

“ศิษย์น้องสวี่ สิทธิ์บุกเบิกท่าเรือของเจ้ายังอยู่ใช่หรือไม่” จางซานมองสวี่ชิงด้วยใบหน้าคาดหวัง

“ยังอยู่” สวี่ชิงพยักหน้า

“เยี่ยมไปเลย!” จางซานหัวเราะร่า เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สวี่ชิง เจ้ามอบสิทธิ์บุกเบิกท่าเรือของเจ้าให้ข้าเถอะ นายกองทางนั้นข้าอุตส่าห์โน้มน้าวได้ เขาถึงไม่เอาสิทธิ์ของตัวเองออกไปจำนำ หากเป็นแบบนี้เมื่อรวมกับสิทธิ์ของเจ้า พวกเราก็จะลงมือทำการณ์ใหญ่กัน

“ข้าได้ข่าวที่แม่นยำว่าสำนักจะเปิดสงครามกับเผ่าสิงซากสมุทร เรื่องนี้ความจริงหลายๆ คนก็เดาได้ แต่ว่าข่าวเช่นนี้ แต่ละคนมีความคิดมุมที่ต่างกัน นี่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์

“บางคนได้ยินคำว่าสงครามสิ่งที่คิดคืออยากเอาตัวรอด สิ่งที่บางคนคิดคือจะสร้างคุณูปการอย่างไร บางคนก็เครียดตื่นตระหนกหวาดกลัว แล้วก็มีบางคนที่คิดถึงเรื่องรวย แต่กลัวไม่รู้ว่าจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร

“พวกเขาอย่างมากสุดก็แค่กักตุนทรัพยากรก็เท่านั้น แต่ข้าไม่เหมือนพวกเขา” จางซานพูดถึงตรงนี้ใบหน้าก็แสดงความภาคภูมิใจออกมา

“สวี่ชิง ข้าจะบอกเจ้าให้ หากเมื่อสงครามเริ่มขึ้นก็จะเป็นโอกาสรวย ตอนนี้อย่าไปคิดกว้านซื้อทรัพยากร ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งยังจะถูกเกลียดด้วย

“พวกเราไม่หาเงินกับคนสำนักเดียวกัน พวกเราหาเงินกับสำนัก!

“ครั้งนี้ทำสงครามกับเผ่าสิงซากสมุทร สำนักจะต้องดำเนินการใหญ่แน่นอน ถึงตอนนั้นจะต้องใช้ท่าเรือทั้งหมดเพื่อให้บริการในการทำสงคราม ไม่ว่าจะวางอาวุธเวทหรือปล่อยเรือรบ หรือความต้องการในการเดินทางของลูกศิษย์ทุกยอดเขา ท่าเรือจะเป็นสถานที่สำคัญ

“ส่วนท่าเรือของยอดเขาที่เจ็ดมีจำนวนจำกัด ดังนั้นตอนนี้หากพวกเราบุกเบิกท่าเรือสามแห่งอีกทั้งยังเชื่อมด้วยกัน อ่าวที่ใหญ่ขนาดนี้สำนักจะต้องเลือกใช้เป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน

“และมาใช้ก็ต้องจ่ายเงิน ดังนั้นพวกเราขอแค่สร้างมันขึ้นง่ายๆ ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นก็ได้แล้ว ออกแบบให้มีท่าจอดเรือให้มากหน่อย ข้าคำนวณแล้ว โดยพื้นฐานถ้าสงครามครั้งนี้รบกันสามเดือนพวกเราก็จะได้ทุนคืน หากรบหนึ่งปีพวกเราจะได้กำไรอย่างน้อยสี่เท่า!

“และเวลาที่ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันมีแต่จะยิ่งนาน โอกาสนี้ร้อยปีก็ยากจะได้พบ ต้องทำนะ”

ได้ยินคำพูดของจางซาน สวี่ชิงดวงตาเบิกโพลง มองเขาอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง ในใจมีความนับถือผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

เขารู้สึกว่าความเฉียบคมว่องไวในการหาเงินของจางซานอยู่เหนือกว่าคนทั่วไป

สังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิง ในใจจางซานก็เบิกบานนัก หัวเราะร่าขึ้นมา

“สวี่ชิงเจ้าไม่ต้องออกหินวิญญาณแม้แต่ก้อนเดียวเหมือนกับนายกอง แค่เอาสิทธิ์บุกเบิกท่าเรือมาให้ข้าก็พอ การลงทุนในช่วงแรกข้าออกเอง ถึงตอนนั้นผลประโยชน์ทั้งหมดเจ้ากับนายกองคนละสองส่วนครึ่ง ข้าเอาห้าส่วนตกลงหรือไม่”

“อีกทั้งหลังจากที่สงครามสิ้นสุดท่าเรือก็จะยังคงดำเนินการต่อไป แบบนี้ผลการเก็บเกี่ยวก็จะเป็นระยะยาว” จางซานมองสวี่ชิง รอคำตอบรับของเขา

สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยื่นป้ายแผ่นหนึ่งให้จางซาน ป้ายนี้ก็คือป้ายสิทธิ์บุกเบิกท่าเรือ

จางซานเมื่อรับมาแล้วสีหน้าก็ฉายความฮึกเหิมออกมา เหมือนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง

“หลังจากนี้หนึ่งปีข้ามีความมั่นใจว่าอย่างน้อยๆ เจ้าจะมีหินวิญญาณหลายล้านก้อนเลย!” จางซานหัวเราะฮ่าๆ เอาแผ่นหยกออกมา เริ่มติดต่อเส้นสายของเขาวางแผนเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โบกมือให้สวี่ชิงแล้วเอ่ยลาจากไป

มองจางซานเดินจากไปจนลับตา ในใจสวี่ชิงรู้สึกสะท้อนใจนัก เขารู้สึกว่าจางซานเป็นอัจฉริยะเลิศล้ำจริงๆ ไม่ใช่แค่มีพรสวรรค์ด้านหลอมอาวุธเท่านั้น ความเร็วในการบำเพ็ญก็เหมือนจะไม่ช้า อีกทั้งยังมีประสาทสัมผัสดมกลิ่นในการหาเงินที่น่าตื่นตะลึง

“หวังว่าหนึ่งปีหลังจากนี้จะได้ส่วนแบ่งที่มากขนาดนั้นจริงๆ” นึกถึงหินวิญญาณหลายล้านก้อนที่จางซานบอกว่าตนจะได้รับส่วนแบ่งในหลังจากนี้หนึ่งปี หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย

มูลค่าของผลประโยชน์ที่จางซานว่ามามหาศาลนัก นี่ดึงดูดสวี่ชิงที่ตอนนี้กระเป๋าว่างโล่งได้อย่างเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นครู่หนึ่งสวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก เดินเข้าไปในร้านร้อยพันสมุนไพร

หลังจากนั้นสองก้านธูป สวี่ชิงที่ซื้อสมุนไพรพิษทุกอย่างแล้วก็เดินออกมา แม้เขาจะจ่ายหินวิญญาณไปไม่น้อยที่ร้านนี้ แต่ในใจของเขาก็ค่อนข้างจะพอใจ เนื่องจากสมุนไพรพิษที่นี่มีจำนวนมากมายจริงๆ กระทั่งว่าเหนือกว่าสมุนไพรหยาง

สวี่ชิงรู้สึกว่านี่ถึงจะเป็นลักษณะของร้านสมุนไพรปกติที่ควรจะเป็น

ในเมื่อสมุนไพรส่วนมากสุดท้ายแล้วก็ล้วนมีพิษทั้งนั้น

เขาซื้อสมุนไพรพิษที่อดีตเคยเห็นแค่ในตำราที่ปรมาจารย์ไป่ทิ้งเอาไว้ให้เท่านั้นได้มากมายจากที่นี่ ตอนนี้คิดว่าจะกลับไปลองหลอมยาพิษใหม่เสียหน่อย

ในใจของเขาเสียดายแค่ว่าที่นี่ไม่มีแมงดาพรายปรารถนาเหมือนกัน แต่ผู้ดูแลบอกว่าสั่งจองโดยจ่ายเงินเต็มจำนวนได้ ประมาณหนึ่งเดือนก็มารับได้ สวี่ชิงจึงตกลง

‘จะต้องหลอมยาพิษที่ทำให้ระดับสร้างฐานตายได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับเผ่าสิงซากสมุทร!’

สวี่ชิงผุดลุกขึ้น มุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำยอดเขาที่เจ็ด 艾琳小說

เวลาไหลไป สวี่ชิงหลอมยาพิษและฝึกบำเพ็ญในถ้ำ เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ข่าวหนึ่งแพร่ไปในสำนักอย่างรวดเร็ว สร้างความสนใจให้กับทุกคน กระทั่งว่าบรรยากาศทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มีความกดดันจากการแพร่ไปของข่าวนี้

“เผ่าสิงซากสมุทรกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเหมือนจะเปิดสงครามเต็มรูปแบบ!”

บทที่ 148 เจ้าเปิดได้อะไรมา

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

เขาเข้าใจว่าด้านการรังสรรค์วรรณกรรมของตนเองก็ไม่เลวนัก เวลาปกติก็พูดบทโคลงกลอนออกมาอย่างราบรื่น

แต่ก็ยังดูงงงวยอยู่บ้าง ดังนั้นหลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ยังคงนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น

“มอบทายาท? แล้วมอบอย่างไร แล้วทำไมต้องเป็นชิงเอ๋อ ชิงเอ๋อนี่ใช่พรรณนาถึงหญิงสาวหรือไม่กัน”

ครู่ต่อมาเขาจึงก้มหน้าลงมองๆ ขวดเล็กนั่น จู่ๆ ก็คิดถึงอะไรบางอย่าง ถลึงตาโตขึ้นมา

“คงจะไม่ใช่…” พอคิดถึงที่ตนเองไปดมๆ ก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกแย่ขึ้นมา กัดฟันงึมงำ

“เกินไปแล้ว!!” หลังจากนั้นก็คิดจะโยนทิ้งด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็ยังรู้สึกทำไม่ลง แอบคิดว่าบางทีอาจจะเป็นครึ่งสายเลือดจักรพรรดิโบราณแล้วก็ได้ จึงยังคงถือไว้อย่างสับสน เอาแต่ครุ่นคิดว่าเป็นผู้ชายไม่ได้หรือ

ขณะเดียวกัน สวี่ชิงลืมตาขึ้นบนเรือเวทที่อยู่ห่างออกไป มองไปทางชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งบนกระบี่เล่มใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง เดาว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังเปิดกล่องปรารถนาอะไรนั่นอยู่ ในใจเองก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกัน

“เจ้าเปิดได้อะไรกัน” สวี่ชิงส่งเสียงถามขึ้น

เกราะบังบนกระบี่ใหญ่สลายไป ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งที่นั่งสีหน้าเหม่อลอยอยู่ทางนั้น สีหน้าดูแย่ไปบ้าง หลังจากนั้นก็เอาแต่พ่นลมล้างรูจมูกไม่หยุด

กระทั่งยังถ่ายพลังเวทเข้าไปในรูจมูกด้วย จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าจึงดีขึ้นมาบ้าง มองไปบนฟ้าไม่พูดจา ส่วนกล่องปรารถนาก็ถูกเขาเก็บลงไปแล้ว

พอเห็นเป็นเช่นนี้ ในใจสวี่ชิงก็คาดเดา ถอนสายตาไปไม่สนใจอีก

เวลาก็ไหลผ่านไปอีกครั้งเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองคนเข้าใกล้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตขึ้นเรื่อยๆ และสวี่ชิงก็พอเข้าใจอาวุธเวทขนนกนั่นแล้ว

ประสิทธิภาพของของสิ่งนี้อยู่ที่ความเร็ว

พอเริ่มใช้งานสามารถทำให้ร่างกายระเบิดความเร็วขึ้นมาในพริบตา จนขึ้นไปถึงหลายเท่าของร่างกายตนเอง แต่ก็มีเงื่อนไขของกายเนื้อสูงมากเช่นกัน

เพราะมีคนนอกอยู่ ดังนั้นสวี่ชิงจึงยังไม่ได้ทดสอบ แต่หลังจากที่เขาสัมผัสก็ยืนยันแล้ว หากแค่เปิดใช้งานอาวุธเวทนี้ ความเร็วของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นจนตกตะลึง

‘จำเป็นต้องหาสถานที่ทดสอบเสียหน่อย’ ระหว่างที่สวี่ชิงครุ่นคิด ก็สังเกตเห็นเรือเวทของยอดเขาลำดับเจ็ดอยู่ไกลๆ

แทบจะในพริบตาที่เรือเวทของยอดเขาลำดับเจ็ดปรากฏ หลังจากที่ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งเปิดกล่องปรารถนาคนนั้นก็เอาแต่เหม่อลอยมาตลอดทาง เงยหน้าขึ้นแล้วดีดนิ้วทันที จากนั้นบนตัวก็มีชุดนักพรตชุดใหม่ปรากฏขึ้น

ท่าทางก็ดูเหมือนฝึกมาแล้วหลายครั้ง สีหน้าเผยความเย็นชาราวกับกลายเป็นน้ำแข็ง

ปราณกระบี่บนตัวก็พันวนอยู่รางๆ ดูแล้วแม้จะระแวดระวัง แต่ก็ดูจงใจ โดยเฉพาะการหมุนวนของปราณกระบี่ ทำให้ผมยาวของเขาโบกสะบัด คนนอกพอเห็นก็ล้วนรู้สึกว่าไม่ธรรมดา

จนเรือเวทยอดเขาลำดับเจ็ดจากไปไกล ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งก็กลับไปห่อเหี่ยวอีกครั้ง

การกระทำเช่นนี้ โดยเฉพาะวิธีและความเร็วในการเปลี่ยนเสื้อผ้า สวี่ชิงมองแล้วรู้สึกแปลกประหลาด

แต่ว่าจากเวลาที่ผ่านไป ตลอดทางพอพบกับศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดมากเข้า หลังจากที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้ไปทุกครั้ง สวี่ชิงก็ค่อยๆ ชิน และบรรพชนสำนักวัชระก็คว้าโอกาสไว้ทันที ส่งกระแสเสียงเบาให้กับสวี่ชิง

“นายท่าน เห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตนเองเป็นพิเศษ คนประเภทนี้ข้ารู้สึกว่าพวกเราไม่ต้องสังหารก็ได้ พวกเราสามารถใช้นิสัยนี้ของเขาให้เป็นประโยชน์ให้พวกเราใช้งานได้

“ยกตัวอย่างเช่นในเวลาสำคัญ นายท่านสามารถยกยอปอปั้นเขาเสียหน่อย จากที่ข้าน้อยเห็นในคัมภีร์โบราณบรรยายไว้ คนประเภทนี้มักจะเป็นพวกที่ชอบหลั่งเลือดเพื่อหน้าตาของตนเอง

“นอกจากนี้ข้าน้อยก็เดาไว้แล้วก่อนหน้าว่าเขาให้ความสำคัญกับหน้าตาอย่างมาก ดังนั้นจึงวางแผน จัดการบันทึกสภาพซมซานทั้งหมดตลอดทางของเขาไว้ แล้วก็ตอนที่เขาพูดภาษามนุษย์มาทั้งหมดข้าก็บันทึกไว้เหมือนกัน ไม่ว่าจะใช้งานได้หรือไม่ได้ อย่างน้อยนี่ก็เป็นวิธีที่พุ่งเป้าไปยังลักษณะนิสัยปกติของเขาแล้ว

“นอกจากนี้ถ้าภายหลังมีโอกาส นายท่านยังสามารถสร้างสถานการณ์ที่ทำให้คนนี้ยิ่งเสียหน้าขึ้นไปอีกได้ อย่างเช่นให้เขาต้องอ้อนวอน อย่างเช่นทำให้เขาสกปรกมอมแมมเป็นต้น ข้าน้อยจะทิ้งภาพเหล่านี้ไว้ เผื่อใช้ในกรณีที่จำเป็น”

บรรพชนสำนักวัชระเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว ในคำพูดไม่มีคำใดที่เป็นประโยชน์กับตนเองเลย แต่พอฟังรวมๆ ก็เผยให้เห็นถึงการแสดงออกถึงคุณค่าของตนเอง

“และขอเชิญนายท่านลงโทษด้วย เพราะข้าปฏิกิริยาช้าเกินไป สำหรับเจ้านายแล้ว เรื่องเล็กแค่นี้แค่พริบตาท่านก็คงคิดออกแล้ว แต่ข้าน้อยกลับครุ่นคิดอยู่นานจึงคิดสิ่งเหล่านี้ออก นายท่านโปรดลงโทษข้าเถิด ข้าช่างโง่เขลาเสียจริง ห่างชั้นกับอัจฉริยภาพของนายท่านอยู่ราวฟ้ากับเหว

“นายท่านโปรดให้โอกาสข้าอีกสักครั้ง ข้าน้อยจะพยายามอย่างแน่นอน ขอให้ท่านภายหน้าโปรดนำเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ เรื่องสกปรกเช่นนี้ส่งมาให้ข้าเถอะ ข้าน้อยจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความไว้วางใจของนายท่านแน่นอน!”

สวี่ชิงกวาดตามองเหล็กแหลมสีดำข้างกายผาดหนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เกือบจะสามเดือนแล้ว เจ้าทางนี้ข้าอนุญาตเพิ่มให้อีกเดือน ส่วนเจ้าเงายังคงเดิม”

บรรพชนสำนักวัชระตื่นเต้นขึ้นทันที จากนั้นก็แสร้งเหลือบมองไปทางเงาอย่างไม่ใส่ใจผาดหนึ่ง และเงาทางนั้นก็สั่นเทาขึ้นมา รีบสลายตัวออกแล้วมุดลงไปในทะเล สูดรับเอาไอพลังประหลาดอย่างบ้าคลั่ง

สวี่ชิงเหลือบตามองพวกเขา ไม่สนใจอีก หลับตาลงนั่งสมาธิ ฝึกบำเพ็ญเคล็ดเลี้ยงชีวัน

จนเวลาผ่านไป มองเห็นท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งก็เหมือนจะปล่อยวางเรื่องในใจลงจากการที่พบกับเรือมากขึ้นแล้ว ลุกขึ้นยืนด้วยดวงตาที่เผยความเด็ดเดี่ยวออกมา รักษาท่าทีที่ยอดเยี่ยมของตนเองเอาไว้ตลอด

เขาเหมือนจะไม่ได้กลัดกลุ้มกับการจ้องมองอย่างเย็นชาของสวี่ชิงเหมือนก่อนหน้าแล้ว แต่กลับหันหน้ากลับมามองพิจารณาตัวสวี่ชิงแทน เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า

“เมฆก้อนหนึ่งเบื้องหน้าศาลเทพประจำเมือง ผู้บำเพ็ญที่ไปและมาล้วนตายกันไว”

สวี่ชิงพอได้ยินก็ลูบๆ เหล็กแหลมสีดำข้างตัว และบรรพชนสำนักวัชระก็เหมือนจะรู้งาน แผ่จิตสังหารพุ่งเป้าไปยังชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่ง

ชายหนุ่มยอดเขาลำดับหนึ่งกระแอมขึ้นเสียงหนึ่ง รู้ว่าอีกฝ่ายฟังคำพูดตนเองไม่ออก และเขาก็เหมือนจะไม่ยอมเอ่ยปากอธิบาย ก็เลยหยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาทำการประทับเสียรอบหนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่งให้สวี่ชิงเหมือนว่าด้านในมีคำพูดทั้งหมดแล้ว

สวี่ชิงขมวดคิ้ว หลังจากรับแผ่นหยกมาแล้วในหัวสมองก็ปรากฏข้อความด้านในที่อีกฝ่ายประทับไว้ 艾琳小說

‘น้องชายเจ้ากับข้าถือว่ามีโชคชะตากัน ข้าคืออู๋เจี้ยนอูองค์ชายเก้าแห่งยอดเขาลำดับหนึ่ง พวกเราถ้าไม่สู้ก็ไม่รู้จักกัน ทุกคนล้วนมาจากสำนักเดียวกัน ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีปราณพิฆาตหนักหนาเกินไป พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้กันให้ตายไปข้าง

‘ยิ่งไปกว่านั้นเวลาอยู่ด้านนอก การมีปราณพิฆาตหนักหนาไม่ใช่เรื่องดี ได้ยินมาว่าศิษย์พี่เฉินศิษย์คนสำคัญของยอดเขาลำดับสามในครั้งนั้น หลังจากยกระดับก็เพราะมีปราณพิฆาตมากเกินไป ผลลัพธ์คือออกไปภายนอกแล้วก็หายสาบสูญ จนผ่านไปหลายปีก็ยังหาตัวคนร้ายไม่เจอ

‘และยังมีลูกชายคนเดียวของเจ้ายอดเขาลำดับหกเมื่อครั้งนั้นก็มีปราณพิฆาตหนักหนาแบบเจ้า ก็หายสาปสูญไปเช่นกัน

‘ดังนั้นข้าขอเตือนเจ้าว่า ทำตัวให้ดีๆ เถิด’

ชายหนุ่มยอดเขาอันดับหนึ่งอู๋เจี้ยนอูยืนอยู่บนกระบี่เล่มใหญ่ กวาดตามองสวี่ชิงอย่างรวดเร็วผาดหนึ่ง ในพริบตาที่สวี่ชิงมองแผ่นหยกนี้อยู่ เขาก็พุ่งตัวออกไปทันควัน ทั่วตัวแสงเลือดโถมขึ้นฟ้า ทั้งร่างกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งสู่ท้องฟ้า ใต้เท้าคือภาพมายากระบี่ยักษ์เล่มหนึ่ง

ทั้งตัวมองดูแล้วพลังไม่ธรรมดา เพียงพริบตาก็ทิ้งห่างจากเรือเวทที่สวี่ชิงอยู่ ทะยานตรงไปยังยอดเขาลำดับหนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิตท่ามกลางเสียงหวีดหวิวบนท้องฟ้า

“ผู้ยอดเยี่ยมหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ กลืนกินทะเลเมฆาข้าจะขึ้นกลายเป็นเซียน”

ระหว่างที่บินทะยาน ในปากเขาก็เปล่งเสียงกังวาน สะท้อนก้องไปทั่วทิศ ดึงดูดสายตาให้คนมากมายมองไป

อัจฉริยะฟ้าประทานยอดเขาลำดับหนึ่งในชุดนักพรตสีแดงคนนี้ในสายตาพวกเขา ผมยาวปลิวสยาย ราวกับเทพเซียนก็มิปาน

สวี่ชิงเหลือบตามองอย่างเย็นชา การแสดงของอีกฝ่ายเขาไม่สนใจ อันที่จริงยิ่งเข้าใกล้สำนัก เขาก็ยิ่งจะไม่ลงมือแบบก่อนหน้า

เวลานี้เขาเก็บสายตากลับมา ควบคุมเรือเวททะยานไปที่ท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิต จังหวะที่เข้าใกล้ตราประทับยันต์พันธะชีวินที่แผ่ไปทั่วร่างเขา ก็เปล่งแสงอ่อนโยนออกมา และหายไปอย่างรวดเร็ว

จนหลังจากที่เขาเหยียบลงบนท่าเรือสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ลายอักขระบนตัวทั้งหมดก็สลายหายไป

สวี่ชิงร่างกายผ่อนคลาย และมองไปยังอู๋เจี้ยนอูที่บินไปยอดเขาลำดับหนึ่ง เก็บเรือเวทลงทะยานร่างขึ้นอากาศ บินตรงไปยังยอดเขาลำดับเจ็ด เพียงไม่นานก็เข้าไปในยอดเขาลำดับเจ็ด กลับไปยังถ้ำพำนักของตนเอง

หลังจากมาถึงประตูใหญ่ถ้ำพำนัก สวี่ชิงก็สัมผัสไปรอบทิศ พอยืนยันว่าสิ่งที่วางไว้ทั้งหมดก่อนหน้าปกติดี จึงเปิดประตูถ้ำพำนักออก พอเดินเข้าไปก็ปิดมัน สวี่ชิงนั่งลงขัดสมาธิ

‘กลับมาครั้งนี้ ต้องดูให้ดีแล้วว่าจะเปิดท่าเรือต้องใช้หินวิญญาณสักเท่าไร นอกจากนี้พักอยู่บนเขาก็ไม่ค่อยสะดวกจริงๆ อยู่ในเรือเวทดูจะเป็นตัวของตัวเองหน่อย’

หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด มองชุดนักพรตสีม่วงบนร่างตนเอง คิดไปถึงชุดนักพรตสีเทาของจางซานกับนายกอง ก็ตัดสินใจขึ้นมา

จากนั้นจึงหันหน้ามองไปยังถาดหยกใจกลางถ้ำพำนักที่นับตั้งแต่เขาเข้ามาในถ้ำพำนักก็เปล่งแสงอ่อนมาโดยตลอด

ถาดหยกใจกลางนี้เป็นศูนย์กลางค่ายกลของถ้ำพำนัก สลับเปลี่ยนหินวิญญาณก็ทำที่จุดนี้ ขณะเดียวกันยังมีความสามารถจดบันทึกอีกด้วย

สวี่ชิงกวาดตามอง เดินไปกดมือลงบนถาดหยกใจกลาง ในหัวสมองก็มีข้อมูลหลายสายขึ้นมาทันที ด้านในบันทึกคนที่เข้ามาขอพบในช่วงนี้

ในนี้มีหวงเหยียนหนึ่งครั้ง โจวชิงเผิงหนึ่งครั้ง ติงเสวี่ยสามครั้ง กระทั่งยังมีกู้มู่ชิงอีกสองครั้ง แต่ที่มากที่สุดในนี้มีสองคน

คนหนึ่งคือเจ้ากรมปราบพิฆาตบันทึกไว้ถึงยี่สิบสามครั้ง อีกคนหนึ่งคือสมาชิกกลุ่มหกของกรมปราบพิฆาต ลงชื่อเอาไว้ว่าเจ้าใบ้

บันทึกขอพบของเขามีทั้งหมดสี่สิบเอ็ดครั้ง

นี่คือเหมือนเข้ามาทุกวัน

สวี่ชิงมองบันทึกเหล่านี้ คิดถึงเรื่องที่ครั้งนั้นตนเองถือโอกาสลงมือช่วยชีวิตเจ้าใบ้ไว้ เห็นได้ชัดว่าดวงชีวิตของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก รอดตายกลับมาแล้ว

ขณะที่สวี่ชิงกำลังตรวจสอบ จู่ๆ ถาดหยกก็เปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง มีข้อมูลเพิ่มมาอีกหนึ่ง และก็ยังมาจากเจ้าใบ้

สำหรับศิษย์บนภูเขา การเข้าเยี่ยมของคนนอกจำเป็นต้องผ่านการยอมรับจากพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ศิษย์ด้านล่างภูเขา ดังนั้นสวี่ชิงหลังจากครุ่นคิดก็ยอมรับการขอเข้าพบของอีกฝ่าย

เพียงไม่นาน ก็มีเงาผอมเล็กร่างหนึ่งเดินตามการชี้นำของค่ายกลมาถึงด้านหน้าถ้ำพำนักของสวี่ชิง หลังจากเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง พอประตูใหญ่ถ้ำพำนักเปิดออก สวี่ชิงก็เดินออกมา

“มีธุระอะไร” สวี่ชิงมองเจ้าใบ้ที่ยืนอย่างเขินๆ อยู่ด้านนอกห่างออกไปสามจั้ง ไม่กล้าเดินเข้ามา

อีกฝ่ายยังคงสวมชุดเดิม บาดแผลบนตัวหายดีนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นความเย็นชาก็มีมากกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าการรอดชีวิตจากครั้งนั้น เขาก็เติบโตขึ้นมาไม่น้อยเลย

ร่างกายเจ้าใบ้สั่นสะท้านด้วยสายตาของสวี่ชิงที่จ้องมองมา ล้วงเอาป้ายชิ้นหนึ่งออกมาจากในอก วางไว้ข้างๆ อย่างนอบน้อม จากนั้นก็เดินถอยออกมาหลายก้าว ใบหน้าเล็กเงยขึ้นมองสวี่ชิง จู่ๆ ก็คุกเข่าลงออกแรงโขกศีรษะไปหลายที

จนหน้าผากเลือดไหล เขาจึงลุกขึ้นยืน รีบวิ่งลงไปจากเขาอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงส่งอีกฝ่ายด้วยสายตา ยกมือขวาขึ้นคว้า ป้ายบนพื้นก็ลอยเข้ามา สิ่งนี้ไม่ใช่สัญลักษณ์ฐานะ แต่เป็นป้ายยืนยันการเข้าคลังชิ้นหนึ่ง

สวี่ชิงที่คุ้นเคยกับท่าเรือเป็นอย่างดี รู้แน่นอนว่าสิ่งนี้คืออะไร

ท่าเรือของเจ็ดเนตรโลหิต ครึ่งหนึ่งมีไว้สำหรับศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดใช้งาน อีกครึ่งหนึ่งสำหรับคนภายนอก ปกติเรือต่างเผ่าไปมามีมากมายมหาศาล โจรสลัดเองก็ปะปนอยู่ในนี้ด้วย

และเรือที่มาจากภายนอกเหล่านี้ เข้ามาเหมือนกับเรือเวทของเจ็ดเนตรโลหิตไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องการที่จอดและที่ฝากของ และป้ายนี้ก็คือป้ายยืนยัน

สำหรับเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว การจะมารับเรือคืน ต้องใช้ป้ายยืนยันนี้เท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่เจ้าใบ้ส่งศพพวกในประกาศจับมาครั้งที่แล้ว เข้าใจว่าสวี่ชิงไม่ชอบพวกในประกาศจับ ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่รู้ว่าสังหารไปเท่าใด จนได้ป้ายยืนยันชิ้นหนึ่งกลับมามอบให้สวี่ชิง

ครั้งนี้ สวี่ชิงจึงเก็บมา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง… รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท