บทที่ 160 ตกเอาจอมโฉดมาคนหนึ่ง
ผลงานของสวี่ชิงจึงดูดีมากเช่นนี้ จำนวนรวมไปถึงสามพันกว่า ส่วนใหญ่ล้วนเป็นความดีความชอบของเจ้าเงา
พอถึงตอนนี้ สวี่ชิเองก็ไม่กล้าเพิ่มจำนวนต่อ เขารู้สึกว่าใกล้เคียงแล้ว
เขากังวลว่าถ้ายังเพิ่มต่อจะดูปลอมเกินไป และเขาตรวจดูในกระดานภารกิจก็พบว่าดาวสังหารของสำนักมีเยอะเหลือเกิน สูงที่สุดสังหารไปถึงหนึ่งหมื่นกว่า เจ็ดพันขึ้นไปก็มีอยู่เจ็ดแปดคนแล้ว ส่วนห้าพันก็มีเยอะขึ้นไปอีก
แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าในนี้จำนวนส่วนใหญ่ล้วนน่าจะมีวิธีการของตนเองอยู่ บางทีอาจจะสังหารแต่แค่รวมปราณ ไม่เช่นนั้นจำนวนขนาดนี้มันเป็นไปไม่ได้ เกินจริงเกินไป และไม่สมเหตุสมผล
ถึงอย่างไรเผ่าสิงซากสมุทรก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยู่อันดับหนึ่ง พอสวี่ชิงสังเกตชื่อก็พบว่าเป็นอู๋เจี้ยนอู นี่ทำเอาเขาเงียบกริบเลยทีเดียว
เขารู้สึกว่ามันดูหลอกลวงมาก และพอมีคนนี้อยู่ สวี่ชิงคิดว่าต่อให้สุดท้ายตรวจสอบก็มาไม่ถึงตนเองอยู่ดี ถึงอย่างไรตนเองก็ยังเพิ่มจำนวนอย่างสมเหตุสมผล คนอื่นนี่หลอกลวงเกินไป
แน่นอนว่ามีพวกที่ดุดันอยู่ด้วย สวี่ชิงเห็นว่าในรายชื่ออันดับสองคือองค์หญิงสอง สังหารไปแปดพันกว่า
ดูกระดานอันดับ สวี่ชิงรู้สึกรางๆ ว่าบางทีสำนักเองก็น่าจะยินยอมที่จะได้เห็นสถิติแบบนี้ในสงคราม หนึ่งคือสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้ สองคือใช้การเปรียบเทียบมากระตุ้นความพยายามของศิษย์คนอื่น สามคือสามารถแสดงออกถึงความแข็งแกร่งของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจนลือลั่นไปทั่วสารทิศได้
หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิดก็ยังปล่อยการเพิ่มผลงานการต่อสู้ไป เริ่มค้นหาภารกิจที่เหมาะสมกับตนเองสักชิ้นหนึ่ง ตอนนี้เขาเริ่มเหนื่อยแล้ว คิดจะหาภารกิจง่ายๆ สักอย่างมาทำ
ไม่นานสายตาสวี่ชิงก็มุ่งเป้าไปที่ภารกิจช่วยเหลือเคลื่อนย้ายงานหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสองฝึกบำเพ็ญหลอมยาเป็นหลัก และยาลูกกลอนก็ไม่ได้มีแต่ประโยชน์เพื่อการรักษารวมไปถึงยกระดับพลังฝึกบำเพ็ญขึ้นเท่านั้น ยังมีลูกกลอนพิษรวมไปถึงยาอีกร้อยแปดพันเก้า ในนี้ก็มีประเภทหนึ่งที่ถูกเรียกว่าลูกกลอนต้องห้าม
ที่เรียกว่าลูกกลอนต้องห้าม มักจะเตรียมไว้เพื่อสงคราม พอใช้งานในสงครามแล้ว พลานุภาพจะแปลกประหลาดและรับมือได้ยาก มีพลังสังหารอาณาเขตกว้างขวางที่ทำให้จิตวิญญาณสั่นสะเทือนอยู่มากมาย
ในนี้รวมไปถึงการกลายพันธุ์ การสูดรับ การกระตุ้นปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงต่างๆ และความสามารถของลูกกลอนต้องห้ามในแต่ละประเภทก็แตกต่างกัน วิธีการเปิดใช้ก็แตกต่างกัน
ปกติแล้วลูกกลอนต้องห้ามล้วนเป็นประเภทระเบิดออกทันที
ดังนั้นส่วนใหญ่จึงหลอมออกมาให้เป็นแบบกึ่งสำเร็จรูปตั้งแต่ในสำนัก จากนั้นก็หาพื้นที่พิเศษสักที่ในสนามรบแล้วค่อยจัดการทำมันให้เสร็จสิ้น
เนื่องจากรอบๆ เกาะเงือกมีหมู่เกาะเล็กๆ อยู่มากมาย ในนั้นมีปากปล่องภูเขาไฟอยู่พอสมควร จนกลายมาเป็นสถานที่แรกๆ ที่ผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสองเลือกมาหลอมยา
เพียงแต่ว่าเผ่าสิงซากสมุทรก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเช่นกัน ดังนั้นภายใต้สถานการณ์การโจมตีรุนแรงเช่นนี้ จึงแบ่งกำลังรบบางส่วนมาตีแนวป้องกันการหลอมยาบนหมู่เกาะของยอดเขาลำดับสองด้วย
ดังนั้นจึงมีภารกิจเร่งด่วนนี้ขึ้นมา ต้องการให้ผู้บำเพ็ญสร้างฐานตรงไปทำการถ่วงเวลา ขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสองโยกย้ายให้ไวที่สุด
รางวัลภารกิจมหาศาลมาก มอบหินวิญญาณให้สามแสนก้อน
สวี่ชิงหลังจากที่เห็นใจก็หวั่นไหว ภารกิจเคลื่อนย้ายนี้เมื่อเทียบกับเข้าไปต่อสู้ในสนามรบหลักแล้วดูสมเหตุสมผลกว่า ในขณะที่สวี่ชิงครุ่นคิด ตำแหน่งที่ต้องการระดับสร้างฐานยี่สิบคน ก็โดนยึดไปแล้วกว่าครึ่ง
สวี่ชิงไม่ลังเลอีก รีบรับภารกิจนี้มาทันที
พออนุมัติภารกิจ หินวิญญาณก็เข้าบัญชีมาส่วนหนึ่ง และยังให้พิกัดการส่งข้ามและคำแนะนำให้ออกเดินทางทันทีขึ้นมา
สวี่ชิงกวาดตามองผาดหนึ่ง พุ่งตรงไปยังค่ายกลส่งข้าม หลังจากใส่พิกัดลงไป ร่างกายของเขาก็มีแสงค่ายกลปกคลุม หายวับไปทันที
ทางใต้ของเกาะเงือก บนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่มีเกาะขนาดเล็กที่เรียงร้อยเหมือนไข่มุกอยู่ เกาะเหล่านี้มีมานานแล้ว แต่เนื่องจากขนาดเล็กเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีปากปล่อยภูเขาไฟอยู่อีก ดังนั้นจึงไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย
บนแผนที่ทะเลของเจ็ดเนตรโลหิต เกาะผืนนี้ถูกเรียกว่าหมู่เกาะไข่มุก
เวลานี้ภูเขาไฟหลายลูกบนหมู่เกาะไข่มุกกำลังระเบิด ทำให้มีเขม่าควันภูเขาไฟสีดำนับไม่ถ้วนปลิวพัดราวกับหิมะสีดำ จากนั้นยังมีหินหนืดสีแดงราวกับห่าฝนสาดซัดลงมาทั่วทั้งหมู่เกาะไข่มุก
หิมะที่เป็นสีดำและแห้งผาก สายฝนที่ร้อนแรงสีแดงสด ทำให้หมู่เกาะไข่มุกนี้ดูแล้วเหมือนเป็นภาพในยมโลกอย่างไรอย่างนั้น
และผืนทะเลรอบๆ หมู่เกาะไข่มุกก็มีคลื่นซัดขึ้นโถมฟ้า ร่างเงาหลายสายเดินออกมาจากใต้ทะเล กำลังขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว พุ่งประหัตประหารเข้ามายังเกาะ
เงาที่เดินออกมาจากใต้ทะเลเหล่านี้ล้วนเป็นเผ่าสิงซากสมุทรทั้งสิ้น
การสังหารและการต่อสู้ที่ดุเดือดก็เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้จากการเหยียบย่างขึ้นเกาะของพวกเขา เสียงคำรามครืนครันสะท้อนก้องไปทั่วทิศ คลื่นพลังเวทกับกลิ่นอายไอพลังประหลาดก็รุนแรงขึ้นมากเช่นกัน
และหนึ่งในหมู่เกาะนี้ เผ่าสิงซากสมุทรมากมายก็ฝ่าสังหารไปจนถึงพื้นที่ใจกลางแล้ว
ที่นี่เป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง บนพื้นล้วนเป็นเถ้าธุลีภูเขาไฟสีดำเข้มข้น บางครั้งก็ร่วงลงไปบนหินหนืดที่ร้อนแรงจนทำให้กลุ่มคนในหุบเขา จำใจต้องกางเกราะคุ้มกันออกมาต้านทาน
คนเหล่านี้เป็นศิษย์จากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตส่วนใหญ่เป็นศิษย์ยอดเขาลำดับสอง เวลานี้พวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าเร่งรีบ มองไปยังศิษย์ยอดเขาลำดับห้าที่กำลังซ่อมแซมค่ายกลอย่างสุดกำลัง
เนื่องจากเกาะแห่งนี้มีภูเขาไฟอยู่ ดังนั้นศิษย์ยอดเขาลำดับสองจึงได้รับคำสั่งให้หยิบยืมไฟใต้ดินนี้กลบฝังลูกกลอนต้องห้าม แต่เผ่าสิงซากสมุทรก็มาเยือนอย่างกะทันหันเหลือเกิน และตอนมาเยือนยังรุนแรงอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาที่เพิ่งจะฝังลูกกลอนต้องห้ามลงไป ยังไม่ทันได้ทดสอบอะไร ก็จำใจต้องเลือกเคลื่อนย้ายเสียแล้ว
เพียงแต่ค่ายกลทั้งหมดของสถานที่นี้ล้วนถูกผลกระทบจากการปรากฏตัวของกองทัพใหญ่เผ่าสิงซากสมุทร จนเข้ามาได้อย่างเดียวแต่ออกไปไม่ได้ ราวกับว่าเผ่าสิงซากสมุทรคิดจะใช้หมู่เกาะไข่มุกนี้เป็นกับดัก ขณะเดียวกันก็ใช้เป็นจุดทะลวงขั้นด้วย
ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ เผ่าสิงซากสมุทรแบ่งทหารออกเป็นสองส่วน กองทัพใหญ่ที่ตรงไปเกาะเงือกเป็นแค่แผนลวงเท่านั้น จุดนี้ต่างหากจึงจะเป็นจุดสำคัญ พวกเขาเตรียมจะใช้หมู่เกาะไข่มุกนี้ให้เป็นจุดสั่งการแนวหน้าหลัก ยึดครองสถานที่นี้ จากนั้นจึงตั้งป้อมประจันหน้ากับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
แน่นอนว่าถ้าหากกองทัพใหญ่เจ็ดเนตรโลหิตเข้ามาสนับสนุน เผ่าสิงซากสมุทรก็ยังสามารถใช้แผนลวงบนเกาะเงือกกลายเป็นแผนต่อสู้จริงได้ตลอดเวลา
เวลานี้ค่ายกลส่งข้ามทั้งหมดบนเกาะล้วนถูกผลกระทบ กระทั่งมีบางส่วนถูกเผ่าสิงซากสมุทรทำลายไปแล้ว ขณะเดียวกันยังมีบางส่วนถูกผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรรักษาเอาไว้ด้วยเหตุผลของแต่ละคนอีกด้วย
พวกเขาคิดจะนั่งเฝ้าให้เหยื่อออกมาติดกับอยู่ที่นั่น รอผู้บำเพ็ญกองหนุนจากเจ็ดเนตรโลหิตเข้ามา จากนั้นก็ลงมือสังหารทิ้ง และรับเอาคุณงามความดีจากภายในของเผ่าสิงซากสมุทร
ขณะเดียวกัน ในหลุมลึกแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะนี้ที่ห่างจากบริเวณของหุบเขาใจกลางระดับหนึ่ง มีค่ายกลส่งข้ามแห่งหนึ่งกำลังส่องแสง และรอบๆ ค่ายกลส่งข้ามนี้ก็มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรอยู่หลายสิบคน
ผู้นำคือเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานทั่วไปคนหนึ่ง รูปร่างเหมือนต่างเผ่าสามตา เขามองค่ายกลที่ส่องแสง ในดวงตามีประกาย เอ่ยคำรามขึ้นเสียงต่ำ
“เตรียมตัวให้ดี ตรวจสอบพลังเวทให้ละเอียด ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญไฟชีวิตเข้ามาก็รีบทำลายค่ายกลทิ้งเสีย หวังว่าที่เข้ามาจะไม่ใช่นะ ข้าจะได้รับคุณงามความดีที่ไม่เลวสักก้อนบ้าง”
ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานคนนี้จ้องเขม็งไปยังค่ายกลที่กำลังส่องแสง ในใจเต็มไปด้วยความเฝ้ารอ
สงครามครั้งนี้ เนื่องจากเรื่องเหนือคาดอย่างพลังบำเพ็ญบรรพจารย์เจ็ดเนตรโลหิตทะลวงขั้น รวมไปถึงการบุกรุกเข้ามาอย่างกะทันหันในวันนั้น ทำเอาบรรพจารย์เผ่าสิงซากสมุทรเจ็บหนักไปเลยจริงๆ
ทั้งเผ่าสิงซากสมุทรวุ่นวายหนัก ถ้าไม่ใช่เพราะพวกหัวโบราณที่หลับลึกหลายคนนั้นตื่นขึ้นมาอีกรอบล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้เผ่าสิงซากสมุทรคงจะเจอกับหายนะล้างเผ่าพันธุ์ไปแล้ว
และหลังจากที่เกาะเงือกถูกเจ็ดเนตรโลหิตยึดครองจนเป็นแนวหน้าของกรมสั่งการไปแล้ว การโต้กลับหลายครั้งของเผ่าสิงซากสมุทรก็ล้มเหลวทั้งสิ้น ในช่วงสำคัญเช่นนี้ ระดับสูงของเผ่าสิงซากสมุทรจึงนำเอาทรัพยากรมหาศาลออกมาอย่างไม่เสียดายเพื่อรับชัยชนะ กระทั่งยังมอบโอกาสชีวิตที่ก้าวกระโดดออกมาเล็กน้อยด้วย
ขอแค่ได้รับคุณงามความดีได้ระดับหนึ่งก็สามารถนำไปแลกทรัพยากรกับโอกาสได้ ดังนั้นจึงล่อตาล่อใจผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรอย่างมาก
ตอนนี้ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรข้างๆ ค่ายกลส่งข้ามในปากปล่องภูเขาไฟก็เป็นเช่นนี้ แต่เขาเองก็ยังระมัดระวังอย่างมาก กลัวว่าคนที่เข้ามาจะเป็นผู้บำเพ็ญสร้างฐานที่เปิดสภาวะแสงนภาแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงนำเอาอาวุทเวทที่เอาไว้ตรวจจับคลื่นพลังงานบางส่วนมาด้วย
ข้างๆ เขามีดวงตาขนาดยักษ์ดวงหนึ่งวางอยู่อย่างโจ่งแจ้ง ดวงตานี้มีรยางค์สัมผัสเจ็ดแปดเส้นยื่นออกมา แทงเข้าไปกลางหน้าผากผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับรวมปราณขั้นบริบูรณ์อยู่เจ็ดแปดคน ใช้พวกเขามาชุบเลี้ยง และคอยจับตาค่ายกลทางนั้นอย่างใกล้ชิด
เพียงไม่นาน ดวงตาดวงนี้ก็เปล่งแสงขาวออกมา
พอเห็นแสงนี้ ใจของผู้บำเพ็ญเผาสิงซากสมุทรสร้างฐานคนนั้นก็ผ่อนลง ใบหน้ามีแววกระหายเลือด กำลังจะพุ่งออกไป แต่พริบตาต่อมา ร่างเงาด้านในยังไม่ทันปรากฏชัดจากแสงที่ค่ายกลที่เจิดจ้า แสงสีดำสายหนึ่งก็พุ่งหวีดหวิวออกมาจากในค่ายกลก่อน พุ่งเข้าประชิดผู้บำเพ็ญสร้างฐานคนนั้นในพริบตา
เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานหน้าเปลี่ยนสีถอยหนี แต่แสงดำนั้นก็มีปฏิกิริยาชักนำ เพิ่มความเร็วให้แก่ตนเองให้มากกว่าก่อนหน้าเท่าหนึ่งอย่างกะทันหัน และยังมีเสียงระฆังสั่นสะเทือนวิญญาณแว่วมาจนทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรชะงัก
ครู่ต่อมา แสงสีดำเข้าประชิด แทงหน้าอกเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานคนนั้นจนทะลุ
ขณะเดียวกันก็มีร่างที่ถูกส่งข้ามมาในค่ายกลก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างชัดเจน ดวงตาที่คอยสังเกตอยู่ข้างๆ ค่ายกลก็เปล่งแสงจ้าขึ้นอย่างรุนแรง ไม่ใช่สีขาวอีกต่อไป แต่กลายเป็นสีแดง
“พลังเวทสีแดง! รีบทำลายค่ายกลเสีย!” เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่บาดเจ็บคนนั้นสีหน้าสับสน รีบร้อนเอ่ยขึ้นทันควัน เผ่าสิงซากสมุทรรอบๆ เองก็หน้าเปลี่ยนสี รีบลงมือทำลายค่ายกล
แต่ตอนนี้เอง ในค่ายกลก็มีเสียงอสูรเสียงหนึ่งคำรามออกมา อสูรคอยาวบรรพกาลตัวหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในร่างเงานั้น พุ่งออกมาฉับพลัน อสูรตัวนี้พอพุ่งออกมาก็ขยายร่างขึ้นจนท้ายสุดใหญ่โตขนาดร้อยจั้ง จัดการคลุมค่ายกลเอาไว้ในตัว
ขณะที่ส่งเสียงครืนครัน ร่างกายที่แข็งแกร่งของมันก็สะกดเอาวิชาเวทรอบๆ ทั้งหมด จนทำให้ค่ายกลส่งข้ามในตัวมันทำงานสำเร็จราบรื่นโดยไม่ถูกรบกวน
ร่างเงาในค่ายกลปรากฏโครงร่างชัดขึ้นในตอนนี้
สวี่ชิงนั่นเอง
สวี่ชิงไม่ได้เดินออกมาจากค่ายกลในทันที ยืนอยู่ตรงนั้นกวาดตามองเย็นชาไปรอบๆ
เขามองเห็นเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่มีสีหน้าตกตะลึง และยังมองเห็นเผ่าสิงซากสมุทรรวมปราณสีหน้าพรั่นพรึงอีกสิบกว่าคนที่อยู่รอบๆ ด้วย
และยังสังเกตอีกว่าจุดที่ตนเองอยู่คือปากปล่องภูเขาไฟลูกเล็ก ส่วนตอนที่ตนเองออกมาก็ถูกลอบโจมตี แม้สวี่ชิงจะคาดไม่ถึงมาก่อน แต่การเตรียมป้องกันและระแวดระวังของเขาก็กลายเป็นนิสัยไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้เขาก็ใช้วิธีการแบบนี้เล่นงานคนอื่น แล้วตนเองจะไม่สนใจได้อย่างไรกัน ดังนั้นจึงมีภาพก่อนหน้านี้ปรากฏเรียงออกมาทีละภาพ
เวลานี้สวี่ชิงเก็บสายตากลับมา ในร่างมีภูเขาไฟระเบิดขึ้นกะทันหัน เปิดสภาวะแสงนภาขึ้นมาทันที
ทุกสิ่งรอบด้านล้วนบิดเบี้ยวจากการปะทุของเปลวไฟในร่างกายรวมถึงอุณภูมิสูงที่น่ากลัวนั่น ดวงตาทดสอบพลังระเบิดออกทันที รวมไปถึงเผ่าสิงซากสมุทรระดับรวมปราณที่เชื่อมต่ออีกเจ็ดแปดคนนั่นด้วย พากันกรีดร้อง กระอักเลือดสดล้มลง
และที่กรีดร้องขึ้นพร้อมกัน ยังมีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรรวมปราณคนอื่นที่อยู่รอบๆ ด้วย เนื่องจากพลังบำเพ็ญของทั้งสองฝ่ายห่างชั้นกันเกินไป ในสายตาพวกเขาสวี่ชิงไม่ใช่ตัวตนที่จะมองตรงๆ ได้อีก เช่นเดียวกับครั้งนั้นที่สวี่ชิงยังเป็นรวมปราณแล้วจ้องมองผู้อาวุโสสาม ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ผู้อาวุโสสาม แต่เผ่าสิงซากสมุทรรวมปราณเหล่านี้ก็ไม่ใช่เขาในตอนนั้นเช่นกัน
ดังนั้นความรู้สึกในความเป็นจริงจึงไม่ต่างกันมากนัก เวลานี้เสียงกรีดร้องระงมดังก้องไปทั่วสารทิศ ร่างของสวี่ชิงก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็เข้าประชิดเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่ถูกเหล็กแหลมสีดำแทงทะลุไปคนนั้น
ขณะที่คนผู้นี้ยังมีสีหน้าพรั่นพรึง ยังไม่ทันทำอะไร สวี่ชิงก็ใช้มือขวากดลงไปบนกระหม่อมของเขา ตบลงไปอย่างแรง เปลวเพลิงสีดำมหาศาลระเบิดปกคลุมขึ้นฉับพลัน กลืนกินอย่างรวดเร็ว
ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคิดจะดิ้นรน แต่กลิ่นอายตะเกียงแห่งชีวิตของสวี่ชิงก็ก่อแรงกดดันที่น่าสะพรึงขึ้นจนทำให้เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่ยังไม่มีไฟชีวิตถลึงตาโต ช่องเวทในร่างกายส่งเสียงครืนครัน พลังบำเพ็ญยุ่งเหยิงขึ้นในพริบตา ต่อต้านเปลวไฟพิฆาตสีดำของสวี่ชิงไม่ไหว หลั่งทะลักเข้าร่างกาย
เสียงกรีดร้องแหลมส่งออกมา
อันที่จริงเขาไม่ได้อ่อนแอเลย หากเปลี่ยนเป็นสวี่ชิงก่อนหน้าที่ยังไม่ได้ก่อไฟชีวิต แม้ถ้าต่อสู้กับคนผู้นี้จะเอาชนะได้ แต่ก็ยังต้องทุ่มสุดกำลัง ทว่าตอนนี้ทั้งหมดจบลงอย่างรวดเร็ว
สำหรับสวี่ชิงแล้ว สร้างฐานที่ยังไม่ได้จุดไฟชีวิต ไม่ว่าจะเผ่าใดก็ล้วนเป็นได้แค่ไก่เดินดินเท่านั้น
บทที่ 155 ทะลวงเปิดช่องเวทอย่างบ้าคลั่ง
ระลอกคลื่นนี้แข็งแกร่งมาก ในเสี้ยวพริบตาที่แผ่ซ่านมารูม่านตาสวี่ชิงหดเล็ก ให้ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงบางอย่าง เงาส่งความรู้สึกอันตรายมาอย่างรวดเร็ว
และเงาร่างของอีกฝ่ายก็ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เห็นได้ว่าเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำคนคนหนึ่ง ระลอกคลื่นทั้งร่างแม้จะเป็นระดับสร้างฐานแต่ไฟชีวิตกลุ่มหนึ่งในร่างของเขาแผ่ซ่านมาอย่างชัดเจนจากการส่งข้ามของค่ายกลนี้ 艾琳小說
เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากส่งข้ามเข้ามาในเขตศัตรู ดังนั้นในตอนส่งข้ามผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานเผ่าสิงซากสมุทรจึงเปิดสภาวะแสงนภาเพื่อเผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากอีกฝั่งหนึ่งของค่ายกลส่งข้าม
สวี่ชิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย มือขวายกขึ้นคว้าไปกลางอากาศ ในเสี้ยวขณะที่เงาร่างนั้นชัดขึ้น กระทั่งว่าสายตาประสานกับสวี่ชิงก็ทำลายกับดักที่อยู่บนค่ายกลแหลกละเอียดทันที
เสียงบึ้มดังขึ้น ค่ายกลพังทลาย เงาร่างที่ใกล้ส่งข้ามสำเร็จในนั้นเลือนรางทันที มีเพียงเสียงคำรามที่แฝงด้วยความเจ็บใจดังแว่วออกมาจากในนั้น
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ ลุกขึ้นเก็บกับดักของที่นี่ไปหาที่ต่อไป
หลังจากนั้นสี่วัน เขาก็หาเจออีกแห่ง รอคอยอย่างเงียบๆ ในที่สุดก็รอจนผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรตนที่สองมาปรากฏตัวได้
อีกฝ่ายก็เป็นระดับสร้างฐานเหมือนกัน ในขณะที่สวี่ชิงยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ใช้สภาวะแสงนภาก็สั่งการให้เจ้าเงาไปดูลาดเลาด้วยเช่นกัน และสัมผัสที่ว่องไวต่อไอพลังประหลาดของเงาก็ทำให้การสืบพลังบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรโดดเด่นเป็นอย่างมาก
และเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน เจ้าเงาก็จริงจังเป็นอย่างมาก หลังจากมั่นใจว่าพลังบำเพ็ญของผู้มาเยือนไม่ใช่สภาวะแสงนภาแล้ว การสังหารก็เปิดฉากขึ้นทันทีจากการปรากฏตัวขึ้นของอีกฝ่าย
พิษของสวี่ชิงครั้งนี้มีการปรับปรุงจากประสบการณ์ของครั้งที่แล้ว ทำให้ในขณะที่พิษยอดเยี่ยมขึ้น การดักซุ่มของเจ้าเงาก็กลายเป็นการลงมือด่านแรก
ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระเป็นด่านที่สอง ส่วนตัวเขาทางนี้เป็นด่านสุดท้าย
ในขณะเดียวกันเรือเวทก็เป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเขาเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
เช่นนี้แล้วหลังจากผ่านไปสองก้านธูป ท่ามกลางเสียงดังกึกก้องของที่นี่ที่ค่อยๆ หายไปช้าๆ เสียงร้องโหยหวนน่าสังเวชที่อ่อนแรงลงเรื่อยๆ สวี่ชิงก็สังหารผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่มาตนที่สองได้สำเร็จ
วิญญาณที่ถูกเขาดูดไปในร่างเผาไหม้ไม่หยุด กลายเป็นพลังทะลวงกลุ่มหนึ่งทะลวงเปิดช่องเวทช่องที่ยี่สิบสอง!
นี่ทำให้สวี่ชิงตื่นเต้นฮึกเหิมมาก สัมผัสได้ถึงคำบอกเล่าที่ว่าวิญญาณเผ่าสิงซากสมุทรมีผลที่เลิศล้ำอัศจรรย์ล้ำลึกยิ่งกว่า
‘หากเป็นแบบนี้ต่อไป อีกประมาณแปดดวงข้าก็จะก่อไฟชีวิตได้!
‘หากก่อไฟชีวิตขึ้นสำเร็จ วางไว้บนตะเกียงแห่งชีวิต กำลังรบของข้าก็จะพุ่งพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว…’ ในใจสวี่ชิงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง กำลังจะทำลายค่ายกลส่งข้ามแห่งนี้ทิ้ง แต่ในตอนนี้เอง ในนั้นก็มีกลิ่นอายแผ่ออกมาอีกครั้ง
กลิ่นอายนี้ทำให้คนรู้สึกว่าไม่ใช่สภาวะแสงนภา แต่เป็นระดับธรรมดา ทว่าทางเจ้าเงาทางนั้นกลับส่งระลอกคลื่นมาให้ในทันที สวี่ชิงก็วิเคราะห์ได้ทันใดว่ากลิ่นอายนี้เหมือนกับเผ่าสิงซากสมุทรสภาวะแสงนภาที่ได้เจอเมื่อก่อนหน้านี้ตนนั้น
เห็นได้ชัดว่านี่เรียนรู้ได้จากข้อผิดพลาดของก่อนหน้านี้ ครั้งนี้เมื่อส่งข้ามใหม่อีกครั้งจึงเก็บสภาวะแสงนภาลงไป แต่โชคไม่ดีที่คนที่ได้เจอก็ยังคงเป็นสวี่ชิงเหมือนเดิม
ตอนนี้แทบจะในทันทีที่เงาร่างของเขาเพิ่งก่อขึ้น มือขวาของสวี่ชิงก็ซัดไปเต็มที่ เสียงบึ้มดังขึ้นค่ายกลนี้ก็พังทลายไป เงาในค่ายกลนั้นดิ้นรนอย่างรุนแรง อยากจะพุ่งออกมาทว่ากลับสายไปแล้ว ทำได้เพียงแค่ส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บใจยิ่งกว่าเก่าออกมา
“น่าจะทำได้อีกไม่กี่ครั้งแล้ว ทางเผ่าสิงซากสมุทรทางนั้นจะต้องรู้ตัวแล้วอย่างแน่นอน” สวี่ชิงพึมพำเสียงต่ำ ในใจเสียดายเล็กน้อย ภารกิจเช่นนี้สำหรับเขาแล้วช่างเหมาะจริงๆ
หากดำเนินต่อไปอย่างยาวนานได้ยาก เช่นนั้นเขาคิดจะเปิดสภาวะแสงนภาก็มีแต่จะต้องไปในสนามรบแล้ว
“ลองหาดูอีกทีแล้วกัน” สวี่ชิงหลังจากครุ่นคิดก็ตัดสินใจค้นหาต่อไป เวลาก็ได้ผ่านไปแต่ละวันเช่นนี้ ค่ายกลส่งข้ามใต้เกาะหมีเอ้อของเผ่าสิงซากสมุทรมีไม่มาก แค่สิบกว่าแห่งเท่านั้น
ในจำนวนนั้นสวี่ชิงทำลายไปมากถึงแปดแห่ง และเขาก็ได้เขอผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานอีกสองคน คนหนึ่งเขาฆ่าทิ้งได้อย่างรวดเร็ว ส่วนอีกคนหนึ่งมีอาวุธเวทคุ้มครองชีวิตมากเหลือเกิน กระทั่งว่าระดับของการทะลวงเปิดช่องเวทก็เหมือนจะใกล้ก่อไฟชีวิตได้แล้ว นี่ที่ให้สวี่ชิงต้องลงมืออย่างยุ่งยาก ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าถึงจะฆ่ามันได้
นี่ทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับสร้างฐาน แต่จำนวนช่องเวทที่ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานทั้งสองก็ทำให้ช่องเวทของเขาเพิ่มมากขึ้นมาอีกหนึ่งช่อง ทำให้เขาทะลวงเปิดช่องเวทได้สามช่องติดๆ กัน เปิดได้ถึงยี่สิบห้าช่องแล้ว
แต่ก็จบลงแค่นี้แล้ว หลังจากนั้นสวี่ชิงก็หาค่ายกลเจออีกสามแห่ง แต่ก็ไม่เจอใครส่งข้ามมาอีก จึงทำได้แค่ทำลายค่ายกลจากไปอย่างเสียดาย
บรรพจารย์สำนักวัชระก็เสียดายเช่นกัน ทางเจ้าเงาทางนั้นก็เบื่อหน่ายเหมือนกัน
ส่วนค่ายกลส่งข้ามของเกาะหมีเอ้อก็ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ สวี่ชิงกลับมาที่เกาะอย่างจนปัญญา เพิ่งส่งภารกิจไป ในตอนที่กำลังครุ่นคิดว่าจะรับภารกิจสงครามดีหรือไม่ ป้ายฐานะของเขาก็มีข้อความส่งมา
“ข้า โอวหยางหลิง ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาที่สาม ข้าเห็นข้อมูลตัวตนของเจ้า เจ้าชื่อสวี่ชิงใช่หรือไม่”
สวี่ชิงเห็นข้อความนี้ก็ระแวดระวังขึ้นมาทันที ไม่ได้ตอบกลับไป
“เจ้าอย่าได้คิดมาก ภารกิจทำลายค่ายกลเป็นข้าที่ประกาศเอง แต่ระดับความสำเร็จของอีกสามเกาะที่เหลือธรรมดาๆ ข้าไม่สนใจว่าเหตุใดเจ้าจึงจัดการได้รวดเร็วเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า แต่นอกจากข้าอยากให้เจ้าไปค้นหาต่ออีกสองเกาะที่เหลือนอกจากเกาะหมีเอ้อและเกาะจวีอิง เจ้าจะทำหรือไม่”
สิ่งที่ออกมาจากแผ่นหยกไม่ใช่ข้อความแต่เป็นเสียงทรงอำนาจดังเข้ามาในจิตวิญญาณของสวี่ชิง ทำให้ช่องเวทยี่สิบห้าช่องในร่างของเขาสั่นสะเทือน
สวี่ชิงหรี่ตา หลังจากครุ่นคิดก็เอ่ยเสียงราบเรียบ
“น้อมรับคำบัญชาผู้อาวุโส”
ผู้อาวุโสยอดเขาที่สามคนนั้นได้ยินคำตอบรับของสวี่ชิงก็พอใจเป็นอย่างมาก พริบตาต่อมาก็ปรับภารกิจของสวี่ชิงจากสำรวจเกาะหมีเอ้อเปลี่ยนเป็นสำรวจทุกเกาะ
ส่วนหินวิญญาณที่เป็นรางวัลก็บันทึกไปในป้ายฐานะของเขาแล้ว
สวี่ชิงมองตัวเลขบนนั้น คาดหวังกับรางวัลของสงครามครั้งนี้ขึ้นไปอีก
หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ!
นี่คือค่ายกลสิบเอ็ดที่ที่ทำลายไป ทุกที่มีค่าหนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ เผ่าสิงซากสมุทรระดับสร้างฐานสี่ตนในนั้นที่ฆ่าไม่จ่ายเป็นหินวิญญาณให้ แต่ปรากฏตัวเลขสังหารขึ้นมาแทน
สวี่ชิงมองตัวเลขในใจก็รู้สึกเสียดายนิดๆ ระดับสร้างฐานที่เขาฆ่าสี่ตนนั้น นอกจากตนแรกที่มีอาวุธวิญญาณแล้ว ก็มีแค่ตนสุดท้ายเท่านั้นที่มี
‘แต่ว่าเรื่องสำคัญตอนนี้คือทะลวงเปิดช่องเวท!’ สวี่ชิงเงยหน้ามองเกาะอีกสามแห่งที่เหลือที่อยู่ลิบๆ ร่างพลันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งตรงไปยังเกาะอีเหม่ยฉี
ส่วนเหตุใดตนถึงไม่ต้องไปเกาะจวีอิง สวี่ชิงคิดว่าคงเป็นเพราะที่เกาะจวีอิงได้วางดวงตาสีเลือดมหึมาดวงนั้นเอาไว้แล้ว ดวงตาที่เหมือนกับดวงตายักษ์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจะต้องมีประโยชน์ในการค้นหาค่ายกลส่งข้ามใต้เกาะจวีอิงอย่างแน่นอน
ส่วนรายละเอียดจะเป็นเช่นนี้หรือไม่สวี่ชิงไม่สนใจ ตอนนี้เขาข้ามผ่านทะเลไปอย่างรวดเร็ว ใกล้เกาะอีเหม่ยฉีเข้ามาเรื่อยๆ
ทั่วทั้งแผ่นดินเกาะอีเหม่ยฉีถูกสำนักเจ็ดเนตรโลหิตบุกเบิกเป็นสระกระบี่แห่งแล้วแห่งเล่า
ในสระกระบี่ไม่รู้ว่าเหนี่ยวนำพลังอะไรเข้าไปทำให้กระบี่บินในนั้นคมกริบยิ่งขึ้น มองไปไกลๆ สระหนึ่งตรงกลางใหญ่ที่สุด ในนั้นมีหมอกหนาลอยตลบ เห็นกระบี่บินแต่ละเล่มๆ บินฉวัดเฉวียนไปมาในนั้นอยู่รางๆ
รอบๆ ยังสร้างสระกระบี่ขนาดเล็กเอาไว้อีกนับไม่ถ้วน
ตอนที่สวี่ชิงเข้าไปใกล้ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายเป็นกลุ่มๆ แผ่ออกมาจากในสระที่จับเป้าหมายมายังตัวเองทางนี้
เหมือนกำลังวิเคราะห์ แต่ไม่นานกลิ่นอายเหล่านี้ก็สลายไป สวี่ชิงก้าวขึ้นมาบนเกาะอีเหม่ยฉีที่เคยเป็นเกาะของเชื้อพระวงศ์เผ่าเงือกได้อย่างราบรื่น
เขาไม่หยุดนิ่งที่นี่ หาทางเข้าที่มุ่งตรงไปยังโลกชั้นล่างตามข้อมูลในแผ่นหยกที่หวงเหยียนให้มา
หลังจากเหยียบย่างเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในโลกใต้ทะเลเกาะอีเหม่ยฉีใบนี้ สวี่ชิงก็ได้เห็นภาพงดงามตระการตาที่เหนือกว่าเกาะจวีอิงและเกาะหมีเอ้อ
โลกใต้ทะเลทั้งใบมีวังและตำหนักสร้างเอาไว้นับไม่ถ้วน แม้ตอนนี้จะถูกทำลายไปหลายแห่ง แต่ก็ยังคงเห็นความรุ่งโรจน์ในอดีตได้อยู่
ที่นี่…คือวังหลวงของราชวงศ์เผ่าเงือกในอดีต
สวี่ชิงมองรอบๆ ก็ค้นหาค่ายกลส่งข้ามที่นี่ไม่เจอ
กลุ่มสิ่งก่อสร้างที่เห็นเด่นชัดแบบนี้ คิดแล้วคงจะต้องเป็นจุดสำคัญในการค้นหาของคนอื่นอย่างแน่นอน และในตอนนี้เจ้าเงาก็ส่งระลอกคลื่นมา นำให้สวี่ชิงไปจากวังหลวง
ดังนั้นหลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยปะการังแห่งหนึ่ง สวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงค่ายกลส่งข้ามของที่นี่
สวี่ชิงตาเป็นประกาย หลังจากตรวจสอบอย่างรวดเร็วแล้วก็ทำการวางกับดัก เริ่มรอคอย
ครั้งนี้โชคของเขาไม่เลวเลย หลังจากผ่านไปหลายวันค่ายกลส่งข้ามแห่งนี้ก็มีประกายแสงอ่อนๆ ส่องกะพริบ มีกลิ่นอายแผ่ออกมา จากนั้นเงาร่างรางเลือนในนั้นก็ค่อยๆ ชัดขึ้น สวี่ชิงสำรวจพลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายแล้วลงมือในทันที
เหตุการณ์ทั้งหมดดำเนินอยู่ไม่นาน สวี่ชิงโจมตีสังหารผู้บำเพ็ญที่มาเยือน ทำลายค่ายกลนี้ แล้วไปค้นหาต่อ
เวลาก็ผ่านไปเช่นนี้ ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งเดือน เงาร่างของสวี่ชิงปรากฏตัวขึ้นในทุกเขตของโลกใต้ทะเลเกาะอีเหม่ยฉี จากการที่เขาค้นหาไม่หยุด ทำลายค่ายกลไม่หยุด ช่องเวทของเขาก็ค่อยๆ ทะลวงเปิดได้ยี่สิบแปดช่อง
‘เหลืออีกแค่สองช่องก็ก่อไฟชีวิตได้แล้ว!’ ความวาดหวังในใจสวี่ชิงยิ่งแรงกล้า ไปยังเกาะครองมรดก
และในขณะเดียวกับที่เขาปฏิบัติภารกิจนี้ สงครามของเผ่าสิงซากสมุทรกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ยิ่งดุเดือดขึ้น
ในเวลาสองเดือนกว่านี้ เผ่าสิงซากสมุทรทำสงครามขนาดใหญ่ห้าครั้ง เป้าหมายคือจะบีบให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตถอยออกไปจากเกาะเผ่าเงือก
ขนาดของสงครามห้าครั้งนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ภายใต้การป้องกันอย่างหนาแน่นของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ไม่เพียงแต่ปกป้องเอาไว้ได้เท่านั้น สำนักเจ็ดเนตรโลหิตยังกระทั่งว่าเป็นฝ่ายลงมือก่อนหลายครั้งด้วยซ้ำ โจมตีกันไปมากับเผ่าสิงซากสมุทรในทะเลต้องห้าม สังหารฆ่าล้างอย่างน่าพรั่นพรึง
ในขณะเดียวกันก็มีลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตทยอยส่งข้ามมาเข้าร่วมสงครามมากขึ้น
กระทั่งว่ายังมีพันธมิตรต่างเผ่าของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจำนวนไม่น้อยทยอยเข้าร่วมสงครามด้วยเช่นกัน
ทำให้เห็นต่างเผ่าต่างๆ บนเกาะเผ่าเงือกได้เป็นประจำ
ส่วนทางเผ่าสิงซากสมุทรทางนั้นก็มีต่างเผ่าอื่นๆ เข้าร่วมด้วยเช่นกัน นี่ทำให้ขนาดของสงครามทั้งสองฝ่ายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
แต่เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสวี่ชิง เขาในตอนนี้กำลังโลดแล่นไปในโลกใต้ทะเลของเกาะครองมรดก เข้าใกล้ไปยังค่ายกลส่งข้ามอีกแห่งที่เจ้าเงาค้นพบ
‘ช่องเวทสองช่องสุดท้ายหากโชคดีก็น่าจะทะลวงได้ในครึ่งเดือน!’
สวี่ชิงกวาดตามองหินวิญญาณในป้ายฐานะแวบหนึ่ง จำนวนในนั้นสะสมไว้ถึงสามแสนกว่าก้อนแล้ว และการใกล้จะก่อไฟชีวิตได้ก็ยิ่งทำให้เขาตื่นเต้นฮึกเหิม
‘ไม่รู้ว่าหลังจากที่ไฟชีวิตก่อขึ้นแล้ว ข้าที่จุดตะเกียงแห่งชีวิตจะมีความสามารถซัดนายกองได้สักยกหรือไม่…’
ในใจสวี่ชิงวาดหวัง เหล็กแหลมสีดำที่ติดตามมาตลอดทางข้างกายเขาตอนนี้ก็สั่นสะท้านเช่นกัน บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ข้างในก็ตื่นเต้นเหมือนกัน เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองห่างจากทะลวงขั้นได้ไม่ไกลแล้ว
‘ทันทีที่ทะลวงขั้นข้าก็จะยิ่งมีประโยชน์ขึ้นอีก ก็จะไม่ต้องกังวลว่าปีศาจสวี่จะทิ้งขว้างไปได้ช่วงสั้นๆ!’
ทางเจ้าเงาทางนั้นก็เช่นกัน ไอพลังประหลาดยิ่งเข้มข้นขึ้น ทำให้หลายครั้งสวี่ชิงต้องทบทวนสักหน่อยว่าควรจะสะกดมันให้มากหน่อยอีกสักสามสี่ครั้งหรือไม่
เหมือนจะเดาความคิดของสวี่ชิงได้ เงาสั่นสะท้านไปในทันที ในตอนที่มันฉายความประจบประแจงออกมา แววตาของสวี่ชิงก็ฉายความเด็ดเดี่ยว
เขารู้สึกว่าเงาแปลกประหลาด หลังจากกลืนกินเผ่าสิงซากสมุทรตัวมันก็แผ่กลิ่นอายเผ่าสิงซากสมุทรออกมา จุดนี้ทำให้เขาระแวงระวัง ดังนั้นต่อให้มีกำหนดเวลาทะลวงขั้น เขาก็รู้สึกว่าต้องสยบเสียหน่อย
ดังนั้นแล้วในกายจึงโคจรผลึกแก้วสีม่วงขึ้นกำลังจะไปสะกดมัน แต่ในตอนนี้เอง สีหน้าสวี่ชิงก็เคร่งเครียดขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังที่ไกล
ห่างออกไปสิบลี้ข้างหน้า ระลอกคลื่นค่ายกลส่งข้ามแผ่ซ่านมาอย่างชัดเจน!
ระลอกคลื่นนี้ใหญ่มาก เห็นได้ว่าผู้บำเพ็ญที่ส่งข้ามมาไม่ได้มีแค่ตนเดียว แต่เป็นหลายตน!
