บทที่ 161 ภารกิจเปลี่ยนดาวก็เคลื่อนคล้อย
ไม่สนใจความไร้ซึ่งกำลังต่อต้านท่ามกลางเสียงกรีดร้อง สวี่ชิงสูดรับพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่แผ่ออกมาต่อเนื่องพลางเงยหน้ามองไปรอบด้าน ในหัวปรากฏพิกัดแผนที่ที่แนบมากับภารกิจ
ดูตามพิกัดในแผนที่ สถานที่นี้เป็นหนึ่งในจุดส่งข้ามบนเกาะที่ตำแหน่งค่อนข้างลับพราง
และที่นี่ก็ยังมีเผ่าสิงซากสมุทรมาคอยซุ่มหย่อนเบ็ดด้วย นึกภาพออกว่าสถานการณ์คงย่ำแย่มากแล้ว
จุดนี้ไม่ค่อยสอดคล้องกับแผ่นหยกภารกิจเท่าไร
ไม่นานนัก สวี่ชิงก็หันหน้าเดินไปยังค่ายกลส่งข้ามหลังจากเก็บวิญญาณของเผ่าสิงซากสมุทรที่นี่จนหมด คิดจะเปิดการทำงานแล้วเดินทางกลับ
ศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตมีสิทธิ์เลือกไม่เข้าร่วมสถานการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับที่บรรยายในภารกิจได้
แต่ไม่นานนัก จิตใจสวี่ชิงก็ดำดิ่ง
เขาพบว่าค่ายกลส่งข้ามเหมือนจะถูกแรงสะกดประหลาดบางอย่าง ไม่สามารถกลับไปได้ ทำได้เพียงเข้ามาเท่านั้น
“น่าสนใจ”
สวี่ชิงจึงพุ่งตัวออกไปปรากฏตัวอยู่กลางอากาศใต้สภาวะแสงนภา
เขาไม่ได้ยืนบื้ออยู่ตรงนั้น ขณะที่เคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วไปด้านหน้าก็คอยจับตามองไปรอบๆ ด้วย
วิญญาณที่ร่างกายดูดซับมากำลังพุ่งปะทะช่องเวทด้วยเช่นกัน
แต่พลังวิญญาณที่ต้องการถัดไปจากการที่ช่องเวทเปิดมาจนถึงช่องที่สี่สิบจึงน่าตกตะลึง
เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานทั่วไปคนหนึ่งไม่สามารถทะลวงได้แล้ว ต้องมีจำนวนที่มากขึ้นถึงจะเพียงพอ
สวี่ชิงก็พอรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง หลังจากที่เขามองไปทั้งเกาะเวลานี้ มองไปยังหิมะสีดำและฝนหินหนืดที่ร่วงลงมา ร่างกายก็ร่อนลงทนควน ซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้ของป่าบนพื้นแห่งหนึ่ง
ปัจจุบันยอดไม้นี้ไหม้เกรียมไปหมด ใบไม้ไม่เหลืออยู่แล้ว เหลือแต่ต้นที่ยืนตายเท่านั้น
สวี่ชิงดับสภาวะแสงนภาลงที่นี่ ร่างกายกลับสู่สภาวะปกติ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อครู่เขาเห็นกองทัพใหญ่เผ่าสิงซากสมุทรจำนวนมหาศาลกำลังขึ้นฝั่ง
ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่าตำแหน่งส่วนใหญ่บนเกาะนี้มีเงาของเผ่าสิงซากสมุทรอยู่ทั้งสิ้น
และเผ่าสิงซากสมุทรจำนวนมากถึงเพียงนี้จำต้องมีผู้บำเพ็ญสภาวะแสงนภาเป็นแน่ กระทั่งระดับหลอมตันเถียนเองก็อาจจะมีอยู่ด้วย
ดังนั้นเมื่อครู่สวี่ชิงจึงดับสภาวะแสงนภาของตนเองลงในทันที
เขาไม่อยากจะดึงดูดความสนใจ
‘ภารกิจนี้มีปัญหาจริงๆ!’ สวี่ชิงระแวดระวังขึ้นมาในใจ
คำชี้แจงของภารกิจไม่ได้อธิบายว่าที่นี่จะวิกฤตถึงเพียงนี้ และเห็นได้ชัดว่าระดับสร้างฐานยี่สิบคนที่รับภารกิจมาก็ไม่มีทางต้านทานต่อกองทัพใหญ่ของเผ่าสิงซากสมุทรไหว มีช่องว่างต่างชั้นขนาดใหญ่ขั้นกันอยู่
ตอนนี้เองจู่ๆ ป้ายฐานะของสวี่ชิงก็สั่นสะเทือน เขากวาดตามอง สังเกตเห็นว่าภารกิจที่ตนเองรับมานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง
‘กองทัพใหญ่เผ่าสิงซากสมุทรเข้าจู่โจมหมู่เกาะไข่มุกกะทันหัน ภารกิจเคลื่อนย้ายและสนับสนุนมีการเปลี่ยนแปลง รางวัลของภารกิจนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัว เป้าหมายภารกิจเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องคอยถ่วงเวลาแล้ว ให้โถมกำลังทั้งหมดตรงไปยังจุดศูนย์กลางเกาะ เข้าช่วยสนับสนุนการถอนตัวของผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสองออกจากที่นี่!
‘ในพื้นที่ศูนย์กลางของแต่ละเกาะล้วนมีผู้บำเพ็ญค่ายกลจากยอดเขาลำดับห้าอยู่ทั้งสิ้น อีกหนึ่งชั่วก้านธูปค่ายกลใหญ่สำนักบนเกาะเงือกจะเปิดพลังกระแสน้ำขึ้นให้ชั่วคราว สะกดพลังต้องห้ามทั้งหมดของหมู่เกาะไข่มุก ศิษย์สามารถใช้จังหวะนั้นร่วมมือกับยอดเขาลำดับห้าส่งข้ามกลับมาได้’
สวี่ชิงมองป้ายฐานะ พิกัดภารกิจบนนั้นกลายเป็นสีแดง นี่เป็นตัวแทนว่าภารกิจนั้นอันตรายอย่างมาก
‘แค่อยากจะรับภารกิจง่ายๆ หน่อยแค่นั้นเอง น่ารำคาญเสียจริง’
สวี่ชิงลอบถอนใจ ร่างกายถอยหลังฉับพลัน พุ่งไปกระแทกที่ตัวผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับรวมปราณที่ซุ่มตัวอยู่คนหนึ่ง
เสียงตูมดังขึ้น พลังบำเพ็ญที่ห่างชั้นกันมหาศาลทำให้ร่างผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรรวมปราณขั้นบริบูรณ์คนนี้ระเบิดทันที
และสวี่ชิงเองก็ไม่หันหน้ากลับมา ระหว่างที่ยกมือขวาอสูรคอยาวบรรพกาลขนาดยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ กระแทกลงมาบนพื้นอย่างแรง
เสียงตูมดังสนั่น กระพือแรงปะทะที่น่าตกตะลึงจนทำให้ต้นไม้รอบๆ พากันล้มระเนระนาด เผยให้เห็นร่างของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรนับสิบคนที่ซ่อนตัวอยู่กำลังถอยหนีต่อเนื่อง
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้เป็นระดับรวมปราณ แม้แต่ละคนจะร่างกายแตกสลายจากแรงปะทะ แต่การปรากฏตัวของพวกเขาไม่ปกติอย่างมาก
เพราะผู้บำเพ็ญรวมปราณจะกล้ามาซุ่มโจมตีสร้างฐานได้อย่างไร ต่อให้สวี่ชิงดับสภาวะแสงนภาไปแล้วตอนนี้ แต่คลื่นปะทะของสร้างฐานยังคงมีอยู่ ทว่าเพียงไม่นานสวี่ชิงก็เข้าใจสาเหตุ
เขามองเห็นสายสีขาวบางอย่างจากเศษเนื้อของผู้บำเพ็ญรวมปราณที่ร่างแตกสลาย
สายเหล่านี้ปลูกถ่ายอยู่ในร่างกายพวกเขาเหมือนสามารถควบคุมพฤติกรรมและจิตสำนึกพวกเขาได้ตลอดเวลา เหมือนกับหุ่นเชิดอย่างไรอย่างนั้น
และพริบตาที่สวี่ชิงมองเห็นเส้นสีขาวเหล่านี้ก็มีเงาอีกสองร่างปรากฏขึ้นกะทันหันข้างๆ ซ้ายขวา เข้าประชิดด้วยความเร็วสูง
สองคนนี้เป็นผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับสร้างฐาน คนหนึ่งบนท่อนแขนมีเนื้องอกขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง บนนั้นมีรอยแตกหนึ่งรอยเผยให้เห็นดวงตาดวงหนึ่ง
ดวงตานี้จ้องสวี่ชิงเขม็ง เหมือนทำการสำรวจ ในดวงตาเปล่งแสงสีขาวออกมา
ภาพนี้เหมือนกับก่อนหน้าที่สวี่ชิงจะออกมาจากค่ากลส่งข้ามไม่ผิดเพี้ยน เห็นได้ชัดว่าเป็นการตรวจสอบระดับสร้างฐานว่ามีสภาวะแสงนภาหรือไม่อย่างหนึ่งของเผ่าสิงซากสมุทร
แต่เจ้าเงาอำพรางตะเกียงแห่งชีวิตในร่างกายสวี่ชิงไว้ จึงตรวจสอบได้ยาก
เวลานี้เหมือนเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานทั้งสองคนยืนยันว่าสวี่ชิงไม่ใช่คนที่มีสภาวะแสงนภา ตอนพุ่งออกมาจึงใช้ไม้ตายเข้าโจมตีเขา
หนึ่งในพวกเขาทำปางมือจนร่างกายภายนอกกลายเป็นขวานมังกรสงครามขนาดยักษ์เล่มหนึ่งตอนที่กำลังเข้าประชิด เปล่งพลานุภาพที่น่าตกตะลึงออกมา ขณะที่พลังท่วมท้น ด้านบนขวานสงครามก็มีภาพมายามังกรดำตัวหนึ่งปรากฏออกมา คำรามอย่างกราดเกรี้ยวใส่สวี่ชิง
อีกคนหนึ่งมีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรหลายร่างเหมือนกับหุ่นเชิดปรากฏออกมารอบด้าน หุ่นเชิดเหล่านี้ดวงตามีประกายทึบทึมเข้าล้อมตัวสวี่ชิงเอาไว้
ขณะเดียวกันเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานทั้งสองคนนี้ก็ต่างล้วงอาวุธเวทออกมาเบื้องหน้า ทำให้พลังสังหารเพิ่มมากขึ้น
และเหมือนพวกเขาจะถนัดวิชาโจมตีประสาน เวลานี้ทั้งสองคนโคจรช่องเวท พลังเวทส่งเสียงดังกึกก้อง ด้านบนตัวสวี่ชิงก็ปรากฏมือกระดูกขาวข้างหนึ่งขึ้นรางๆ ที่มีพลานุภาพเทียบเคียงได้กับสภาวะแสงนภา ตะปบลงมาทางสวี่ชิงอย่างรุนแรง
สวี่ชิงมองพวกเขา และเงยหน้ามองออกไป หลังจากสังเกตเห็นว่าพื้นที่นี้ยังปลอดภัยอยู่ ตะเกียงแห่งชีวิตในร่างกายก็จุดพรึบขึ้นทันควัน!
แม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่สภาวะแสงนภา แต่ราชสีห์จะล่ากระต่ายยังทุ่มกำลังทั้งหมด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่คือสนามรบ
เรื่องอย่างคว่ำเรือในหนองน้ำ[1] สวี่ชิงไม่มีทางทำ
พริบตาต่อมา เสียงระเบิดครืนครัน ในร่างกายสวี่ชิงปรากฏภูเขาไฟปะทุขึ้นมาลูกหนึ่ง แสงเจิดจ้าแยงตา พลังสะเทือนฟ้า
พลังที่น่าสะพรึงแผ่ซ่าน ก่อตัวครืนครันระดับโถมเขาคว่ำทะเลพุ่งไปรอบทิศอย่างบ้าคลั่ง
และเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่ลอบโจมตีมาก็พากันหน้าถอดสี ม่านตาหดลงในพริบตา
เวลานี้เผ่าสิงซากสมุทรที่บนแขนมีดวงตาคนนั้นจิตวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดวงตาบนแขนเขาก็เปล่งแสงสีแดงจ้าออกมาในเวลานี้ เหมือนจะแจ้งเตือนกับพวกเขาว่าผู้บำเพ็ญเจ็ดเนตรโลหิตตรงหน้าคนนี้อันตรายมาก!
แต่การแจ้งเตือนก็ช้าเกินไป
เพียงแค่การแผ่ซ่านของกลิ่นอายจากการจุดตะเกียงแห่งชีวิตของสวี่ชิง ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรทั้งสองคนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ร่างกายมีลางเค้าเหมือนจะแตกสลาย
และฝ่ามือกระดูกขาวที่มาจากการโจมตีประสานของพวกเขายังไม่ทันจะตบลงมาก็เกิดเสียงกร๊อบแกร๊บขึ้นวลานี้
รอยร้าวหลายเส้นเกิดขึ้นบนฝ่ามือกระดูกอย่างชัดเจน และแผ่ลามไปในพริบตา
และหุ่นเชิดรวมปราณขั้นบริบูรณ์เหล่านั้นก็เหมือนกระดาษไหม้ ร่างกายแผดเผาอย่างรวดเร็วเหมือนถูกลบออกไป!
ส่วนขวานยักษ์ที่หวีดหวิวมาทางสวี่ชิงก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำเหมือนจะหลอมเหลว มังกรดำด้านบนที่พันอยู่จากเดิมที่สีหน้ากราดเกรี้ยวก่อนหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสะพรึงกลัว ตั้งท่าจะถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งหมดนี้ ทำให้เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานสองคนนี้เหมือนวิญญาณหลุดลอยไป
ความหวาดกลัวในใจปะทุขึ้นถึงขีดสุด สมองอื้ออึง
อย่างไรพวกเขาคาดไม่ถึง ทั้งที่ตรวจสอบแน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สภาวะแสงนภา แต่พริบตาต่อมาความน่ากลัวที่อีกฝ่ายสำแดงออกมากลับเกินกว่าไฟชีวิตหนึ่งดวงเสียอีก
นี่คือพลังของไฟชีวิตสองดวง นี่คือสร้างฐานขั้นกลาง ระดับความน่ากลัวพวกเขารู้ดีอยู่แล้ว!
สร้างฐานกับสร้างฐานนั้นไม่เหมือนกัน
จุดไฟชีวิตแล้วกับยังไม่จุดไฟชีวิตยิ่งแตกต่างกัน
ระหว่างไฟชีวิตหนึ่งดวงกับไฟชีวิตสองดวงจึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นกัน
พลังบำเพ็ญรวมปราณยังพอสู้ข้ามขั้นกันได้ แต่เนื่องจากความต่างชั้นที่น่ากลัวนี้ระหว่างระดับสร้างฐานด้วยกัน หากคิดจะข้ามระดับแทบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย
และอันที่จริงการฝึกบำเพ็ญจนมาถึงสร้างฐานขั้นกลางที่มีไฟชีวิตสองดวง ในบรรดาขั้วอำนาจทั้งหมดมีอยู่ไม่มาก ผู้บำเพ็ญเช่นนี้ในบางระดับถือว่ามีสถานะอยู่ในจุดที่สูงส่งมากแล้ว
และทุกคนก็ล้วนใช่ว่าจะเป็นคนที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม
หากคิดจะต่อกรกับพวกเขา มีเพียงผู้มีไฟชีวิตสองดวงแบบเดียวกันเท่านั้นที่ทำได้
ดังนั้นเวลานี้พวกเขาจึงพรั่นพรึงกันจนวิญญาณแทบหลุดลอย แยกย้ายถอยหนีกันอย่างบ้าคลั่ง
แต่รอบด้านทั้งหมดในสายตาสวี่ชิงล้วนเชื่องช้าอย่างที่สุด เขามองเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่ใบหน้าพรั่นพรึงทั้งสองคน มือขวายกขึ้นตะปบคว้าไปส่งๆ
ฉับพลันขวานสงครามข้างๆ ก็พังเสียหายทันที
มังกรดำกรีดร้องสลายกลายเป็นฝุ่น
กระดูกขาวเหนือศีรษะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ร่างเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่คิดจะหนีสองคนนั้นถูกพลังมหาศาลปกคลุม ม้วนกลับเข้ามาหาสวี่ชิง
ความเร็วที่ม้วนกลับมาและความหนักแน่นของพลังทำร่างกายของพวกเขาส่งเสียงลั่นกร๊อบแกร๊บ บิดเบี้ยวไปทันที
เพียงชั่วพริบตาที่ถูกสวี่ชิงตะปบคว้าผ่ากลางอากาศ และเมื่อไฟพิฆาตสีดำในร่างกายแผ่ออกมาก็ดูดซับอย่างรุนแรงทันควัน
เสียงกรีดร้องยังไม่ทันได้แว่วออกมา ช่องเวทในร่างกายของเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานสองคนนี้ก็พังเสียหาย ร่างกายระเบิดจนเลือดเนื้อเหวอะหวะ ไฟพิฆาตพัดม้วนดวงวิญญาณเข้ามาในร่างกายสวี่ชิง
สวี่ชิงหมุนตัวโยกไหว เดินจากไปไกล
ขั้นตอนทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วสะเก็ดไฟเท่านั้น รวดเร็วเหลือประมาณ
จนกระทั่งร่างกายของสวี่ชิงหายลับไป ทั้งหมดในบริเวณนี้ก็กลับมาเป็นปกติ เพียงแต่ว่า…ไม่เหลืออะไรอยู่อีกเลย
บนผืนดินแห้งผาก ต้นไม้ใบหญ้าสลายหาย กระดูกขาวเอยขวานสงครามเอย ซากศพทั้งหมดล้วนสลายกลายเป็นฝุ่นผง ผสานรวมเข้าไปกับหิมะสีดำในอากาศ พัดลอยไปเชื่องช้าโดยไม่มีแบ่งแยก
ที่ขอบฟ้าห่างออกไป สวี่ชิงใช้ความเร็วมากกว่าปกติ ร่างของเขาก็ราวกับเป็นสายอัสนีแล่นผ่านภายใต้สภาวะแสงนภา มุ่งตรงไปยังใจกลางเกาะแห่งนี้
การเปลี่ยนแปลงของภารกิจ สวี่ชิงเข้าใจได้
ถึงอย่างไรในสนามรบก็เปลี่ยนแปลงได้ในพริบตา เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายยากที่จะเข้าไปควบคุม แต่สามารถปรับเปลี่ยนภารกิจได้รวดเร็วเช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าเจ็ดเนตรโลหิตมั่นใจกับสงครามนี้และยังเต็มที่อีกด้วย
ดังนั้นสวี่ชิงจึงเลือกปฏิบัติภารกิจต่อไปโดยตรงไปยังใจกลางเกาะ ช่วยสนับสนุนการถอนกำลังของผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสอง
ส่วนศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตคนอื่นที่รับภารกิจมา สวี่ชิงสนใจขนาดนั้นไม่ไหว
ตอนนี้เสียงพุ่งทะยานราวสายอัสนีกึกก้องไปทั้งฟ้า เพราะมีเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วก้านธูป ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่สนใจสายตาสนอกสนใจของคนอื่น ด้วยความเร็วเพียงสิบอึดใจ เขาก็มองเห็นหุบเขาใจกลางเกาะอยู่ห่างออกไปลิบๆ แล้ว
[1] คว่ำเรือในหนองน้ำ (阴沟翻船) ใช้อุปมาว่าในสถานการณ์ปกติที่ไม่ควรจะผิดพลาด
บทที่ 156 เจ้านี่เอง!
คลื่นพลังที่รุนแรง และมีเสียงครืนครันหนักๆ รวมไปถึงพลังเวทที่แผ่กระจาย
สวี่ชิงหยุดเท้าลง ขณะที่มองออกไปไกล ความคิดต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว
ตรงหน้านี้เห็นได้ชัดว่าค่ายกลส่งข้ามเปิดใช้งานแล้ว มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรเข้ามาแล้วอีกด้วย
และจากเสียงการต่อสู้ก็ยืนยันได้ว่ามีผู้บำเพ็ญเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ที่นี่และพบกับพวกเขา
ศิษย์ส่วนใหญ่ตอนนี้รับภารกิจต่างๆ อยู่ด้านนอก แม้โลกใต้ทะเลจะมีคน แต่ในสองเดือนสวี่ชิงนี้ก็เจอน้อยมาก
ดังนั้นความเป็นไปได้ก็คือคนที่รับภารกิจให้มาค้นหาค่ายกลแบบเขานั่นเอง
สวี่ชิงไม่กระทำการบุ่มบ่าม เก็บซ่อนร่องรอยค่อยๆ เข้าใกล้ จนกระทั่งเกือบถึงสนามรบเขาก็นั่งย่อตัวก้มหน้าลงมองเงา
เจ้าเงาติดตามสวี่ชิงมานาน คุ้นเคยกับนิสัยของเขาเป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหลังจากต้องแข่งขันกับบรรพชนสำนักวัชระ ตอนนี้จึงค่อนข้างทุ่มกำลังรีบร้อนแผ่ยืดออกไปอย่างเต็มที่
ต้นกำเนิดแสงของโลกใต้ทะเลมาจากปะการังหลากสีที่เปล่งแสงออกมาบริเวณรอบๆ แสงนี้สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญมองรอบด้านได้ชัดเจน แต่เนื่องจากไม่ใช่แสงที่สว่างมาก ดังนั้นที่นี่จึงแทบจะสังเกตไม่เห็นเงาเลย
การยืดตัวของเจ้าเงาจึงไม่ถูกพบเห็น
โดยเฉพาะสถานที่นี้เดิมก็เต็มไปด้วยไอพลังประหลาดอยู่แล้ว นี่ทำให้เจ้าเงาค่อยๆ เข้าใกล้พื้นที่ต่อสู้ได้อย่างไร้ซุ่มเสียง
มันสำรวจที่นั่นอย่างรวดเร็ว แล้วกลับมาในพริบตา หลังจากส่งถ่ายความรู้สึกบางส่วนให้กับสวี่ชิง จากนั้นจึงเผยรูปร่างบางส่วนที่มีเพียงสวี่ชิงเท่านั้นที่มองเห็นจากบนพื้น
สวี่ชิงก้มหน้ามอง แม้เขาจะควบคุมเงาได้ แต่ก็ยังไม่สามารถยืมดวงตาของมันเพื่อมองดูโลกได้
แต่ว่ารูปร่างที่เจ้าเงาแสดงออกมาก็ยังทำให้สวี่ชิงเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจน
“เผ่าสิงซากสมุทรระดับสร้างฐานสามคน รุมโจมตีสร้างฐานของเจ็ดเนตรโลหิตหนึ่งคน…จากสัมผัสของเจ้าล้วนไม่ได้มีสภาวะแสงนภาอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ
เงารีบร้อนพยักหน้า จากนั้นก็กระตือรือร้นอยากริอยากลองออกมา
“เจ้าสังเกตดีแน่แล้วหรือเจ้าเงา เจ้าต้องทำให้ความปลอดภัยของนายท่านอยู่ในระดับสูงสุดเหมือนที่ข้าทำด้วยนะ ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
บรรพชนสำนักวัชระในเหล็กแหลมสีดำคว้าโอกาสนี้เอ่ยเสียงขรึม
ขณะเดียวกันในใจก็กระหยิ่มยิ้มย่อง แอบคิดว่าถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิด คำพูดนี้ของตนเองจะสามารถเพิ่มคะแนนจากจอมมารสวี่ได้เหมือนกัน ยกผลงานให้กับเจ้าเงา แต่ถ้าหากเจ้าเงาทำงานพลาด เช่นนั้นคำพูดของตนเองก็จะทำให้ตำแหน่งของตนเองในใจจอมมารสวี่สูงขึ้นด้วย
เจ้าเงาแผ่จิตสังหารออกมา พุ่งเป้าไปที่เหล็กแหลมสีดำ
สวี่ชิงไม่สนใจพวกเขา หลังจากครุ่นคิดร่างกายก็มุ่งหน้าเข้าประชิด
เขาตอนนี้เปิดช่องเวทไปแล้วยี่สิบแปดช่อง ถ้าหากสังหารอีกสักสามคน เช่นนั้นก็น่าจะสามารถเปิดช่องเวทที่สามสิบได้แน่นอนจากการคำนวณของสวี่ชิง
“ปล่อยไปไม่ได้!”
สวี่ชิงเก็บซ่อนพลังบำเพ็ญมาตลอดทาง ค่อยๆ สาวเท้าเข้าใกล้เบื้องหน้า คลื่นพลังตรงหน้าเวลานี้ยิ่งแจ่มชัดขึ้น เสียงครืนครันเองก็ถี่ยิ่งขึ้น
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชิงในที่สุดก็มองเห็นค่ายกลส่งข้าม
ที่นั่นเป็นพื้นที่ที่หญ้าทะเลขึ้นเต็มไปหมด แม้หญ้าทะเลต้นยาวจะปกคลุมค่ายกลไว้ แต่กลับปิดบังแสงส่งข้ามที่ค่อยๆ แผ่ออกมาจากบนค่ายกลไม่ได้
และตอนนี้มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนหนึ่งกำลังนั่งยองปรับสภาพค่ายกลอย่างรวดเร็วบนค่ายกล เหมือนกับว่ากำลังเตรียมส่งข้ามเผ่าสิงซากสมุทรเข้ามาอีก
เผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ตอนที่มีชีวิตอยู่คือเผ่ามนุษย์ ตอนนี้นอกจากผิวหนังกับพิษศพที่แผ่ออกมาแล้ว รูปร่างนั้นแตกต่างจากคนเป็นอย่างมาก
ดูแล้วเหมือนเป็นพวกบัณฑิต สวมชุดนักพรตสีดำทั้งตัว คลื่นพลังบำเพ็ญบนตัวก็รุนแรงอย่างมาก
อีกด้านคือชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามของเจ็ดเนตรโลหิตในชุดนักพรตสีเหลืองเข้มคนหนึ่ง คนที่เขาต่อสู้ด้วยคือเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานที่กลิ่นอายอ่อนแอกว่าหน่อยอีกสองคน
ขณะเดียวกันรอบด้านยังมีการวางกับดักอื่นไว้อีก สวี่ชิงเพิ่งจะเข้าใกล้ ก็สัมผัสได้ว่าการเชื่อมต่อในป้ายฐานะของตนเองถูกตัดขาด ถูกปิดกั้น
สวี่ชิงไม่ใส่ใจ หันไปตรวจสอบสนามรบอย่างละเอียด
ชายหนุ่มชุดนักพรตสีเหลืองยอดเขาลำดับสามในสนามรบ สองมือสวมถุงมือสีดำบางๆ ไว้ ระหว่างที่โบกมือก็มีปราณดำแผ่ออกมา และเกิดเงาเลือนรางของสิ่งประหลาดหลายร่างขึ้นรอบด้าน
ขณะเดียวกันบนหน้าผากเขายังมีแผ่นหลังของสิ่งที่เหมือนภาพวาดอยู่ด้วย กำลังพยายามจะหันหลังมา
แต่เหมือนถูกจำกัดเอาไว้จึงไม่สามารถหันกลับมาได้
สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้อย่างเผ่าสิงซากสมุทรสองคนเหมือนกับผู้บำเพ็ญสร้างฐานยอดเขาลำดับสามที่ยังไปไม่ถึงสภาวะแสงนภาไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็น่าจะเปิดช่องเวทไปแล้วยี่สิบกว่าช่อง
ตอนนี้ลงมือควบคุมไอพลังประหลาดเพื่อโจมตีบวกกับกายเนื้อและพิษศพที่แข็งแกร่งของตนเอง อีกทั้งยังสองต่อหนึ่งทำให้ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามตกอยู่ในอันตรายหลายครั้ง
“ยอดเขาลำดับสามใช้วิชาเวทประหลาด!”
สวี่ชิงหรี่ตาลง มองไปยังแผ่นหลังบนหน้าผากของชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม นึกถึงการประเมินยอดเขาลำดับสามของสำนักขึ้นมา
และขณะเดียวกัน จังหวะที่เขามองไปยังคนเหล่านี้ พวกเขาเองก็สังเกตเห็นสวี่ชิงแล้วเช่นกัน
ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามลงมือฉับพลัน จัดการบีบเผ่าสิงซากสมุทรข้างๆ ทั้งสองคนให้ถอยไปเล็กน้อย จากนั้นคำรามเสียงต่ำมาทางสวี่ชิง
“เผ่าสิงซากสมุทรสะกดที่นี่จนส่งสื่อเสียงออกไปลำบาก เจ้ามาช่วยข้า จบเรื่องข้าจะมอบหินวิญญาณให้หนึ่งแสนก้อน!!”
ศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตเมื่อพบกันในสถานการณ์แบบนี้ส่วนใหญ่ก็พูดเหมือนกันหมด ต่อให้เป็นสำนักเดียวกันก็ไม่แน่ว่าจะต้องเข้าไปช่วยเหลือเปล่าๆ ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
พริบตาที่ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามพูดออกมา บัณฑิตชุดคลุมดำเผ่าสิงซากสมุทรชุดดำที่กำลังจัดการค่ายกลอยู่ข้างๆ คนนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา โยกตัวจนเกิดเสียงครืนครัน พุ่งเข้าหาสวี่ชิง
ขณะที่กำลังจะมาถึงตัว สองมือเขาก็ทำปาง พลังรอบด้านที่สามารถทำให้ป้ายฐานะถูกตัดขาดการเชื่อมต่อก็แผ่ซ่านออกมาฉับพลัน ทำให้สวี่ชิงที่เดิมทีอยู่นอกอาณาเขตเข้ามาอยู่ด้านใน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตตรงหน้าอยากจะหนีก็หนีไม่ทันแล้วจากการพิจารณาของเขา
ในเมื่อมาพบกันที่นี่ เช่นนั้นเขาก็ตัดสินใจจะสังหารทิ้งเสียที่นี่
และเขาก็มีความมั่นใจใจในตนเองเพียงพอ แม้ตนเองจะยังไม่เปิดสภาวะแสงนภา แต่เขาก็มาถึงยี่สิบเก้าช่องเวทแล้ว
นอกจากนี้กายเนื้อกับความสามารถการฟื้นฟูของเผ่าสิงซากสมุทร เมื่อรวมกับก้นทะเลที่เต็มไปด้วยไอพลังประหลาด เขาก็มีความมั่นใจที่จะสังหารระดับเดียวกันส่วนใหญ่ลงได้ ไม่ต้องพูดถึงเผ่ามนุษย์ระดับสร้างฐานเลย
เผ่ามนุษย์สร้างฐานที่เขาสังหารไปก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย
เวลานี้ช่องเวทในร่างกายเขาเปิดออก ส่งเสียงครืนครันอย่างรวดเร็ว แต่พริบตาต่อมาในดวงตาเขาก็เผยความรู้สึกเกินคาด เพราะว่า…ผู้บำเพ็ญเจ็ดเนตรโลหิตตรงหน้าคนนั้น ไม่ได้ถอยหนีแบบที่เขาคิดเอาไว้ แต่กลับพุ่งเข้ามาหาเขาฉับพลันทางนี้
“นี่คิดว่าพลังต่อสู้พลังบำเพ็ญของตนเองเพียงพอแล้วหรือ ถึงได้พุ่งเข้าหาไม่ถอยหนี นี่ไม่สอดคล้องกับวิธีการของยอดเขาลำดับเจ็ดแห่งเจ็ดเนตรโลหิตเอาเสียเลย
“เช่นนั้นก็มาดูว่าพลังของเจ้ากับกายเนื้อของข้าใครจะแกร่งกว่ากัน!” ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ไม่ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย เหมือนจะใช้กายเนื้อกระแทกกายเนื้อของสวี่ชิงให้แตกสลาย
ในพริบตา พวกเขาสองคนก็ต่างเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วของตนเอง
“ชุดสีม่วง นี่เป็นคนจากยอดเขาลำดับเจ็ด ยอดเขาลำดับเจ็ดไม่ควรจะมีพวกโง่สิ…” ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามที่ถูกรุมโจมตีคนนั้น คิดจะถือโอกาสปลีกตัวตอนนี้ แต่ก็ยังทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงฝืนป้องกันตัวเองไปก่อน
และพริบตาต่อมา ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามก็ม่านตาหดลงฉับพลัน
ไม่ไกลออกไปนัก ตอนที่ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรกับสวี่ชิงที่กำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็วนั้นอยู่ห่างเพียงสิบจั้ง ก็ใช้วิชาพร้อมกันทำให้ความเร็วระเบิดขึ้นในพริบตา
สิ่งที่สวี่ชิงใช้คือขนนก ส่วนผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่เหมือนบัณฑิตชุดคลุมดำใช้พัดกระดาษสีดำ พวกเขาล้วงอาวุธเวทออกมาในพริบตา เพิ่มความเร็วฉับพลัน แต่ทิศทางกลับแตกต่างกัน
จังหวะที่สวี่ชิงใช้ขนนกมาเสริมพลังก็เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน เป้าหมายไม่ใช่ตัวบัณฑิตชุดคลุมดำ แต่เป็นเผ่าสิงซากสมุทรสองคนนั้นที่รุมโจมตีชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม
สังหารคนอ่อนแอเสียก่อน เป็นกลยุทธ์ที่สวี่ชิงใช้มาโดยตลอด
ปกติเขาใช้วิธีนี้ก็ราบรื่นมาโดยตลอด ครั้งนี้มีอาวุธเวทขนนกเพิ่มเข้ามาด้วยทำให้ความเร็วของตนเองเร็วขึ้นไปอีก แต่ตอนที่สวี่ชิงเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน พริบตาที่เขาพุ่งไปทางชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม บัณฑิตชุดคลุมดำเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้น ก็เปลี่ยนแปลงทิศทางขึ้นเช่นกัน เป้าหมายไม่ใช่สวี่ชิง แต่เป็น…ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามคนนั้น!
เห็นได้ชัดว่าที่ก่อนหน้านี้เขาพูดเรื่องปะทะกันด้วยกายเนื้อกับพลังต่อสู้ล้วนเป็นการจงใจ เพื่อปิดบังเป้าหมายที่แท้จริง
ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงกลายเป็นสายรุ้งยาว ไปปรากฏตัวที่จุดปะทะของชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามและผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรชั่วจังหวะสะเก็ดไฟ
เสียงครืนครันระเบิดขึ้น
ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามกระอักเลือดสดออกมากองใหญ่ ร่างกายถอยหลังทันควัน จู่ๆ บนคอของเขาก็ปรากฏรอยสีดำขึ้นในช่วงวิกฤต
เป็นดอกบัวดอกหนึ่งลอยเป็นภาพมายาอยู่เหนือศีรษะ คลี่คลายการโจมตีถึงชีวิตที่มาจากบัณฑิตชุดคลุมดำให้เขา
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชิงเองก็เข้ามาใกล้แล้ว ไฟพิฆาตสีดำระเบิดทั่วร่าง เหล็กแหลมสีดำคมกริบน่าตกตะลึงส่งเสียงหวีดหวิวลงมือแทบจะพร้อมกับสวี่ชิง
เพียงพริบตาเผ่าสิงซากสมุทรสองคนที่ต่อสู้กับชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม คนหนึ่งหน้าผากถูกแทงทะลุ อีกคนหนึ่งถูกกริบปาดเข้าไปที่ลำคอ!
คนที่หน้าผากถูกแทงทะลุ ร้องโหยหวนถอยหลังไปฉับพลัน สองมือประสานปางจนเกิดเป็นรูปปั้นหกแขนขนาดยักษ์เบื้องหน้า คำรามเสียงทุ้มไปทั่วสารทิศ เข้าสกัดเหล็กแหลมสีดำที่โจมตีมาอีกครั้ง
แต่เผ่าสิงซากสมุทรที่สวี่ชิงใช้กริชปาดคอคนนั้น ไม่เหลือโชคแล้ว
กริชสีดำกลายเป็นเปลวเพลิงปกคลุมเขาในพริบตา ขณะเดียวกันมือซ้ายสวี่ชิงก็กำหมัดซัดเข้าใส่หน้าอกของอีกฝ่ายจังๆ ทะลวงเลือดเนื้อจนเข้าไปถึงหัวใจ ช่องเวทยี่สิบแปดช่องทั่วร่างเปิดออก ไฟพิฆาตสีดำก็ทะลักเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง!
พริบตาต่อมา ผู้บำเพ็ญสิงซากสมุทรคนนี้ก็กลายเป็นมนุษย์เพลิง ขณะที่ส่งเสียงโหยหวนแหลมออกมา เงาของสวี่ชิงก็ถือโอกาสนี้แผ่ออกและสูดอย่างรุนแรง
ฉับพลันครึ่งตัวของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ก็แห้งเหี่ยว เพิ่มความเร็วให้กับการแผดเผาของเปลวเพลิง เสียงร้องโหยหวนเองก็หยุดลงฉับพลัน ดับดิ้นวิญญาณสลาย
ส่วนบนตัวเจ้าเงาก็มีกลิ่นอายเผ่าสิงซากสมุทรเข้มข้นขึ้น แต่เพียงไม่นานก็ถูกมันสะกดลงไป
ทั้งหมดนี้พูดแล้วเหมือนยาวนาน แต่อันที่จริงเกิดขึ้นในชั่วอึดใจเท่านั้น
หลังจากสังหารไปคนหนึ่ง สวี่ชิงก็หันหน้าไปทางบัณฑิตชุดคลุมดำเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้น รู้สึกประหลาดใจที่อีกฝ่ายเหมือนกับตนเอง
และบัณฑิตชุดคลุมดำนั้นก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นครั้งแรกเช่นกัน ไม่สนใจกับชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามที่กำลังหนีตาย แต่จ้องเขม็งมาที่สวี่ชิง
ขณะเดียวกัน ค่ายกลส่งข้ามที่ห่างออกไปเวลานี้ก็แผ่คลื่นพลังออกมา ระหว่างที่เปล่งแสงก็มีกลิ่นอายแผ่กำจายออกมาเหมือนกำลังทำการส่งข้าม
เพียงแต่กลิ่นอายนี้ไม่แข็งแกร่งนัก ดูอ่อนแอมาก เหมือนเป็นแค่ส่งข้ามมาเพียงวูบเดียว ใช้ตรวจสอบรอบด้าน
แต่พริบตาต่อมา หลังจากที่กลิ่นหายนี้แผ่ออกมาก็ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดตรวจสอบจนพบตัวสวี่ชิง ฉับพลัน คลื่นของค่ายกลก็รุนแรงขึ้นมากะทันหัน มีเสียงคำรามที่เหมือนถูกคั่นด้วยความว่างเปล่าเสียงหนึ่งดังลอดออกมาจากค่ายกล
“เจ้านี่เอง รอข้าออกไปเสียก่อน ข้าจะสังหารเจ้าให้ตายเสีย!”
คลื่นพลังสภาวะแสงนภาวูบหนึ่งก็แผ่ออกมาบนค่ายกลจากเสียงคำรามต่ำสะท้อนก้อง อีกฝ่าย…ก็คือผู้บำเพ็ญสภาวะแสงนภาเผ่าสิงซากสมุทรที่เคยถูกสวี่ชิงสัมผัสได้และทำลายค่ายกลลงหลายต่อหลายครั้งจนไม่สามารถส่งข้ามมาได้เสียทีคนนั้น
เวลานี้ หลังจากที่สังเกตได้ถึงกลิ่นอายของสวี่ชิง โทสะของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และกำลังส่งข้ามมา!
