บทที่ 162 หิมะดำดุจเส้นผม
หุบเขาไม่ใหญ่
ในนั้นมีระลอกคลื่นค่ายกลแผ่ซ่าน
มองเห็นลูกศิษย์ยอดเขาที่สองร้อยกว่าคนในนั้นกำลังถอดส่วนประกอบเตาหลอมและอาวุธเวทบางอย่างที่สวี่ชิงไม่เคยเห็นมาก่อน
ข้างหลังพวกเขามีค่ายกลส่งข้ามขนาดกลางค่ายกลหนึ่ง
ตอนนี้ลูกศิษย์ยอดเขาห้าในชุดนักพรตสีครามสามสี่คนที่อยู่ข้างค่ายกลกำลังพยายามซ่อมแซมและปรับสมดุลมันอยู่ ประเดี๋ยวๆ ก็มีระลอกคลื่นส่งข้ามกระพริบแสงรวดเร็วบนนั้น
และที่บริเวณทางเข้าหุบเขา ตรงนั้นกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ผู้บำเพ็ญยอดเขาต่างๆ ประมาณสามสิบกว่าคนกำลังป้องกันอยู่ที่ทางเข้าอย่างเหนียวแน่น สกัดกั้นเผ่าสิงซากสมุทรที่กรูบุกเข้ามาจากทั่วทุกทิศราวฝูงตั๊กแตน
ส่วนบนพื้นก็เต็มไปด้วยซากศพ เศษชิ้นส่วนแขนขา เห็นแล้วขนพองสยองเกล้านัก
เห็นได้ว่าสงครามดุเดือดโหดร้ายเหลือทน
และผู้บำเพ็ญทั้งสองฝ่ายต่างมีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานเป็นหลัก เสียงสนั่นหวั่นไหวสะเทือนฟ้า ในขณะที่สงครามปั่นป่วนโกลาหล ห่างออกไปไม่ไกลยังมีผู้บำเพ็ญอีกสองคนที่สู้กันอย่างดุเดือดกว่าคนอื่นๆ
นั่นเป็นผู้บำเพ็ญที่เปิดสภาวะแสงนภาแล้วสองคน
ผู้บำเพ็ญสภาวะแสงนภาเผ่าสิงซากสมุทรหน้าตาเหมือนชายชราเผ่ามนุษย์ สวมชุดคลุมยาวสีเทาทั้งตัวที่ดูแล้วซอมซ่อนัก แต่กลับมีระลอกคลื่นพลังไม่ธรรมดาแผ่ออกมาจากชุดคลุมยาวนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุธวิเศษชิ้นหนึ่ง
ส่วนผู้บำเพ็ญสภาวะแสงนภาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง นางสวมชุดนักพรตสีส้มอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของยอดเขาที่สอง เรือนร่างสมบูรณ์แบบฉายความเป็นผู้ใหญ่ ลงมือรวดเร็วนัก
เพียงแต่วิชาที่ลูกศิษย์ยอดเขาที่สองเชี่ยวชาญไม่ใช่การโจมตีสังหาร ดังนั้นแม้พวกเขาสองคนจะเป็นผู้บำเพ็ญสภาวะแสงนภาไฟชีวิตหนึ่งดวงเหมือนกันทั้งคู่ แต่เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานของยอดเขาที่สองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เลือดกระอักออกมาจากมุมปากของนาง แต่กลับไม่ทันได้เช็ด
ภายใต้สภาวะแสงนภา ความเร็วทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปมาน่ากลัวอย่างยิ่งยวด ไม่ระวังเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นก็อาจจะถูกโจมตีกระบวนท่าเดียวก็ถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นจึงจะเสียสมาธิไม่ได้
ตอนนี้ในเสี้ยวขณะที่สวี่ชิงปรากฏตัวขึ้นที่ไกล หญิงสาวยอดเขาที่สองคนนั้นก็พลังเวทไม่พอ ไฟชีวิตไหวระริกวูบวาบ ความเร็วลดลงไปเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรขั้นไฟชีวิตคนนั้นคว้าโอกาสไว้ได้ทันที ซัดพลังมาที่หน้าอกนางเข้าอย่างจัง
อาภรณ์ของหญิงสาวขาดวิ่นเผยให้เห็นผิวพรรณ กระอักเลือดสดๆ ออกมา สีหน้าเจ็บปวด ร่างกายถอยไปข้างหลังอย่างไม่อาจควบคุมได้ เสียงตูมดังขึ้นก็กระแทกกับหินผาที่อยู่ข้างๆ
หินผาแตกทลาย รอยแยกแต่ละทางๆ แผ่ลามไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ก้อนหินจำนวนไม่น้อยร่วงลงมาจากภูเขา
ส่วนหญิงสาวคนนั้นดิ้นรนคิดจะยืนขึ้น แต่ไฟชีวิตในร่างไหวระริกรุนแรงสุดท้ายก็มอดดับ เลือดกระอักออกมาอีกครั้ง สีหน้าซีดเผือด
ชายชราเผ่าสิงซากสมุทรเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงขึ้นจมูก ไม่แม้แต่จะปรายตามองหญิงสาวยอดเขาที่สองที่ได้รับบาดเจ็บหนัก ร่างเพียงกะพริบวูบก็พุ่งไปในหุบเขา เป้าหมายคือค่ายกลที่อยู่ในนั้น
แต่แทบจะในชั่วขณะเดียวกับที่ร่างของเขาเพิ่งขยับ สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป หันมามองข้างหลังอย่างรวดเร็ว รูม่านตาหดเล็กลงทันที สีหน้าฉายความหวาดกลัวออกมา
“พลังสองดวงไฟ!”
ในสายตาของเขา ทุกอย่างทั้งในและนอกหุบเขาความจริงแล้วล้วนช้าเนิบหมด แต่ในขณะนี้ ปลายขอบฟ้าที่เขาเห็นกำลังมีเงาร่างที่ทำให้เขาหวาดกลัวอกสั่นขวัญแขวน คล้ายว่าทิ่มแทงเข้ามาในโลกในสายตาของเขา
ใช้ความเร็วที่น่าครั่นคร้ามพุ่งมาหาเข้าทางนี้ในทันที
ความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากระหว่างความเนิบช้าและความเร็วแบบนี้ทำให้ร่างของชายชราเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ผละถอยหลังไปทันที คิดจะหนีไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เขาในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญไฟชีวิตหนึ่งดวงรู้เป็นอย่างดีถึงความแตกต่างระหว่างตนกับไฟชีวิตสองดวง…ไม่ต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานทั่วไปกับผู้ที่เป็นสภาวะแสงนภาก่อไฟชีวิตได้
“สมควรตาย ที่นี่ทำไมถึงมีผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสองดวงปรากฏขึ้นได้ ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานขั้นกลางแบบนี้มีเพียงคนในเผ่าที่เป็นขั้นเดียวกันกับเขาเท่านั้นถึงจะสู้ได้!
“รายงานข่าวผิดพลาด!!” ชายชราเผ่าสิงซากสมุทรหายใจถี่กระชั้น แม้จะถอยทันทีแต่ก็ยังสายไปแล้ว!
สวี่ชิงจ้องเขาอยู่ตั้งนานแล้ว!
เผ่าสิงซากสมุทรไฟชีวิตหนึ่งดวงแบบนี้เป็นเหยื่อชั้นเลิศสำหรับสวี่ชิง
อย่างไรเสียวิญญาณที่เขาต้องใช้ในการทะลวงเปิดช่องเวทมหาศาลนัก ระดับสร้างฐานทั่วไปจำต้องใช้หลายดวงถึงจะเปิดได้หนึ่งช่อง ต่อให้เป็นระดับสร้างฐานที่ฆ่าไปสองคนก่อนหน้านั้น ช่องเวทที่สี่สิบเอ็ดของเขาก็ยังทะลวงเปิดไม่สำเร็จ
แต่หากดูดซับเผ่าสิงซากสมุทรระดับไฟชีวิตหนึ่งดวงก็จะต่างไปโดยสิ้นเชิง
ฆ่าหนึ่งคนก็จะเปิดได้หนึ่งช่อง
ดังนั้นในชั่วพริบตาที่ชายชราคนนี้หลบหนี สวี่ชิงจึงเปลี่ยนทิศทางไม่มุ่งหน้าไปที่ค่ายกลหุบเขา ทว่ากลับพุ่งตัวไปทางชายชราคนนั้นแทน
ความเร็วของเขาเพียงสามอึดใจก็มาถึงจากที่ไกลๆ มาปรากฏอยู่ข้างหน้าชายชราเผ่าสิงซากสมุทรทันที
มือขวาของเขายกขึ้นแล้วชกไปหมัดหนึ่ง พลังน่าหวาดกลัวก็ทะลักออกมาทันทีจากการปะทุของตะเกียงแห่งชีวิตในร่าง
ชายชราเผ่าสิงซากสมุทรทำได้เพียงแค่หลบได้อย่างเฉียดฉิว แม้เขาก็เป็นผู้บำเพ็ญสภาวะแสงนภาเหมือนกัน แต่ความต่างชั้นก็ทำให้เขาไม่สามารถตามความเร็วของสวี่ชิงได้ทันเลย และไม่สามารถหลบได้โดยสมบูรณ์ ดังนั้นเพียงพริบตาเดียวหมัดของสวี่ชิงก็ซัดมาที่หน้าอกของชายชราตนนี้
เสียงครืนครันสนั่นหวั่นไหวปานอัสนีสวรรค์กึกก้อง ฟาดผ่าไปทั่วทุกสารทิศ
ชายชราเผ่าสิงซากสมุทรตนนี้กระอักเลือดออกมา ร่างระเบิดไปเกือบครึ่ง กระเด็นม้วนชนกับหินผาในที่สูงข้างหลังติดอยู่ตรงนั้น บาดเจ็บสาหัสทันที
นี่เขาเปิดพลังของอาวุธวิเศษชุดคลุมยาวในช่วงวิกฤตแล้วด้วยซ้ำ อีกทั้งยังปะทุพลังเวทอย่างบ้าคลั่งประดุจจะใช้ให้หมดสิ้นไปต้านทาน ถึงได้ไม่ถูกหมัดนี้ของสวี่ชิงซัดตาย
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความสาหัสของอาการบาดเจ็บก็ทำให้เขาไม่สามารถฟื้นฟูได้ สายตาก็ฉายความสิ้นหวังออกมาท่ามกลางเลือดเนื้อเปรอะเปื้อน
เพราะในสายตาของเขา เงาร่างของสวี่ชิงหายไปแล้ว
ชั่วพริบตาต่อมา เปลวเพลิงสีดำผืนหนึ่งก็ปกคลุมโลกเบื้องหน้าของเขา
นั่นคือฝ่ามือของสวี่ชิงที่ปิดมาที่หว่างคิ้วของชายชราเผ่าสิงซากสมุทรตนนี้
เป่ามาเพียงเบาๆ ทั้งร่างของชายชราก็ส่งเสียงดังสนั่น เจ้าเงาทางนั้นก็เริ่มบ้าคลั่ง กระโจนไปอย่างรวดเร็ว กัดกินกายเนื้อของชายชราไม่หยุด
แล้วยังมีเหล็กแหลมสีดำที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วแล้วแทงเข้าไปในชุดนักพรตอาวุธเวทของชายชรา ก่อนจะดูดซับเต็มแรง
การทรมานสามชั้นแบบนี้ทำให้ผู้บำเพ็ญดวงไฟชีวิตเผ่าสิงซากสมุทรตนนี้ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าสังเวช ยืนหยัดได้ไม่นานเท่าไร ร่างของเขาส่งเสียงดังบึ้มก็กลายเป็นเถ้าธุลี
เหลือเพียงชุดนักพรตและถุงเก็บของที่หลงเหลือ หลังจากสวี่ชิงเก็บไปแล้ว เขายืนอยู่กลางอากาศ ก้มมองลงไปยังสนามรบในหุบเขา
ตอนนี้หิมะดำที่ปลิวละล่องในอากาศเพิ่มมากขึ้น มาพร้อมด้วยหินหนืดสีแดงชาดเป็นกลุ่มๆ ที่หยดตามมันมาปลิดปลิวข้างหน้าสวี่ชิงประดุจขนหงส์เพลิง
แสงสีแดงรางๆ ของหินหนืดสาดบนใบหน้าเย็นชางดงามจนน่าประหลาดของสวี่ชิง ขับเน้นกับประกายเย็นเยียบในดวงตาของเขาเป็นอย่างดี
ภาพนี้เหมือนม้วนภาพวาดงดงามมีชีวิตชีวาที่ฉายความสูงส่งไร้มลทิน มีทั้งความงดงามและความโหดเหี้ยม
ในสนามรบตอนนี้เงียบกริบทันที
สายตาทุกคู่ล้วนมองมาที่สวี่ชิง เหมือนมองเทพมาเยือนโลก ค่อยๆ เหม่อลอย
ผู้บำเพ็ญยอดเขาต่างๆ ที่รับภารกิจมาที่นี่ แต่ละคนที่อยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอันกะทันหันนี้ มองสวี่ชิงด้วยด้วยจิตใจที่สั่นสะท้านรุนแรง ในดวงตาค่อยๆ มีความเคารพยำเกรงเข้มข้นปรากฏขึ้น พลางทำความเคารพสวี่ชิง
กระทั่งว่าลูกศิษย์ยอดเขาที่สองในหุบเขาและผู้บำเพ็ญยอดเขาที่ห้าที่กำลังซ่อมค่ายกลอยู่ก็เช่นกัน สายตาที่มองมาทางสวี่ชิงต่างแฝงไว้ด้วยความเคารพอย่างล้ำลึก
ในกลุ่มคนก็มีกู้มู่ชิงอยู่ในนั้นด้วย นางมองสวี่ชิงที่ยืนอยู่กลางอากาศท่ามกลางหิมะดำโปรยปรายและหินหนืดหยาดหยด สีหน้าเหม่อลอย
ภาพนี้น่าตื่นตะลึงเหลือเกิน สลักลึกในจิตใจของนาง
ส่วนเผ่าสิงซากสมุทรที่อยู่นอกหุบเขาตอนนี้ก็ต่างตัวสั่นงันงก ไม่รู้ว่าตัวตนใดที่ทนอำนาจกดดันจากสวี่ชิงไม่ได้ก่อน ถอยไปอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานนักเผ่าสิงซากสมุทรทุกคนก็แย่งกันหนีเอาชีวิตรอด
แต่สิ่งที่รอพวกมันคือเหล็กแหลมสีดำที่พุ่งไปอย่างเร็วจี๋ท่ามกลางเสียงดังวู้ม ยิ่งมีเจ้าเงาคอยซ่อนตัวอยู่ เมื่ออาทิตย์ตกดิน โลกเริ่มมืดมิด มันก็แผ่ลามออกมาเร็วรี่อย่างเงียบงันไม่รู้ตัว เข้าแย่งชิงกับบรรพจารย์สำนักวัชระ
“คารวะศิษย์พี่ ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยชีวิต!” นอกหุบเขา หญิงสาวขั้นฟชีวิตยอดเขาที่สองคนนั้นที่ดิ้นรนลุกขึ้น ตอนนี้ในแววตาแฝงด้วยรอยแตกต่างไปจากเดิม เอ่ยเสียงแผ่วเบา
จากคำพูดของนางที่ดังออกไป คนทั้งหลายรอบๆ ก็ต่างเอ่ยขึ้นเช่นกัน
“คารวะศิษย์พี่!”
“คารวะศิษย์พี่!”
ตอนนี้มีลมพัดมา พัดม้วนภาพวาดที่เกิดขึ้นจากสวี่ชิง ทำให้หิมะสีดำรอบๆ ที่ตกลงมาหอบม้วน ปลิวลอยละล่องข้างกายสวี่ชิงตามผมยาวของเขา
ในขณะที่หิมะดำปลิวหายไป สวี่ชิงก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาดุจดวงดารา
เสียงร้องโหยหวนแต่ละเสียงๆ ก็ดังมาจากที่ไกลท่ามกลางการคารวะจากคนทั้งหลาย นั่นคือเสียงที่บรรพจารย์สำนักวัชระกับเจ้าเงากำลังฆ่าล้างสังหารอย่างบ้าคลั่งราวแข่งกันอยู่
สำหรับเจ้าเงา ขอเพียงเป็นเผ่าสิงซากสมุทรเขาล้วนเอามากินเป็นอาหารได้หมด แม้จะไม่อร่อย…แต่ตอนนี้มันไม่เลือกกินแล้ว
ส่วนเงื่อนไขของบรรพจารย์สำนักวัชระมีมากกว่า เขาต้องการอาวุธเวท แต่ด้านพลังของตัวเองก็รู้สึกว่าสู้เจ้าเงาไม่ได้ ดังนั้นจึงจงใจทำท่าเหมือนจะเข้าแย่งชิง
ความจริงแล้วเขาอาศัยเรื่องนี้กระตุ้นจิตต่อสู้ของเจ้าเงา ให้มันรีบดูดซับ รอเมื่อศัตรูไม่มีกำลังต่อต้านแล้ว เขาค่อยไปหาอาวุธเวทดูดซับพลัง
เช่นนี้แล้วในระดับหนึ่งพวกเขาสองคนก็นับว่าร่วมมือรู้ใจกันเป็นอย่างดี
เพียงแต่เทียบกับบรรพจารย์สำนักวัชระที่เจ้าเล่ห์เพทุบายแล้ว เจ้าเงายังนับว่าอ่อนหัดนัก
ดังนั้นจนถึงสุดท้ายแล้วเจ้าเงาก็ยังไม่เจอสิ่งผิดสังเกต กลับโหดเหี้ยมดุดัน ฉายสีหน้าดูถูกออกมาหลายครั้ง
บรรพจารย์สำนักวัชระก็ให้ความร่วมมือแสดงสีหน้าร้อนรนหงุดหงิดออกมา
และเสียงร้องโหยหวนน่าอเนจอนาถจากผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทร กับเสียงทำความเคารพของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตทั้งในและนอกหุบเขากลายเป็นเสียงเปรียบเทียบที่ชัดเจน
สายตาของสวี่ชิงกวาดมองไปยังคนทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ แล้วมองไปทางหญิงสาวยอดเขาที่สองที่สภาวะแสงนภาไม่อาจคงสภาพได้ กลายเป็นคนอ่อนแออย่างยิ่งยวด ก่อนจะพยักหน้าแล้วดับไฟชีวิตของตัวเอง
แม้พลังเวทในกายของเขาจะเหลือล้น แต่อยู่ในสภาวะแสงนภาก็ยากที่จะอยู่ได้เกินสามชั่วยาม ดังนั้น หากประหยัดได้ย่อมเป็นการดี
เพียงแต่หากมีผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสองดวงคนอื่นได้ยินเสียงในใจของสวี่ชิงจะต้องขนหัวลุกอย่างแน่นอน เพราะสภาวะแสงนภาปกติก็แค่ครึ่งชั่วยามกว่าๆ ก็เท่านั้น
นี่เพราะการเก็บเกี่ยวสะสมพลังรากฐานระดับรวมปราณของสวี่ชิงต่างจากคนอื่น
ตอนนี้ร่างสวี่ชิงเพียงไหววูบก็เดินเข้าไปในหุบเขาแล้ว
กลังจากดับไฟชีวิตแล้ว สภาวะแสงนภาของสวี่ชิงก็หายไป หน้าตาที่ชัดเจนของเขาปรากฏในสายตาคนทั้งหลาย
ก่อนหน้านี้ถูกประกายแสงเจิดจ้าปกคลุม คนนอกมองเห็นเพียงลักษณะคร่าวๆ ตอนนี้เมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว ใบหน้าที่งามล้ำจนแทบจะงดงามอย่างแปลกประหลาดของสวี่ชิงดวงนั้น ระดับความดึงดูดสายตายิ่งน่าตกตะลึง
ลูกศิษย์ทุกคนที่นี่เมื่อได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นหญิงชายล้วนเหม่อลอยในระดับที่ต่างกัน
ระยะเวลาเหม่อลอยของผู้หญิงที่นี่ยาวนานกว่าผู้บำเพ็ญชายอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนนี่ก็เป็นเพราะการเพิ่มพลังจากวงแสงที่แข็งแกร่งก่อนหน้านี้ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่ทำให้จิตใจคนเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ถึงขนาดนี้
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ใบหน้าของสวี่ชิงรวมกับวงแสงพลังบำเพ็ญของเขาก็ทำให้เสน่ห์ในตัวเขาถึงระดับที่น่าตื่นตะลึง รวมกับชุดคลุมยาวสีม่วง และผมยาวที่สะบัดพลิ้วของเขาแล้ว ก็ทำให้คนรู้สึกเหมือนได้เจอเซียน
ตอนนี้ลูกศิษย์ยอดเขาที่สองในหุบเขาต่างเคารพนอบน้อมตามการก้าวเข้ามาในหุบเขา ผู้บำเพ็ญหญิงในนั้นส่วนมากต่างดวงตาเป็นประกาย แอบประเมิน
ส่วนสวี่ชิงก็มองเห็นกู้มู่ชิงที่อยู่ในกลุ่มคนก็พยักหน้าให้เล็กน้อย
ดวงตางามของกู้มู่ชิงจับจ้องสวี่ชิง เพราะการพยักหน้าของสวี่ชิงทำให้ลูกศิษย์ยอดเขาที่สองจำนวนไม่น้อยรอบๆ ต่างมองมาที่นาง
ดังนั้นใบหน้างดงามของนางจึงแดงเล็กน้อย คิดจะเอ่ยปาก แต่สวี่ชิงก็เดินผ่านพวกเขาไป มาถึงบริเวณค่ายกลทางนั้นแล้ว
“เมื่อใดจึงส่งข้ามได้” สวี่ชิงถามเสียงเบา
ลูกศิษย์ยอดเขาที่ห้าที่อยู่ข้างค่ายกลตอนนี้ต่างสีหน้าเคารพนอบน้อม ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานที่ยังก่อไฟชีวิตไม่ได้คนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเคารพนบนอบ
“ศิษย์พี่ ค่ายกลเกือบเรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่คลื่นแรงดึงดูดจากค่ายกลใหญ่ของสำนักแผ่มาถึงเท่านั้น ข้ามีความมั่นใจว่าในชั่วเสี้ยวขณะนั้น ค่ายกลก็จะเปิดได้อย่างราบรื่น”
บทที่ 157 สภาวะแสงนภาของสวี่ชิง!
เมื่อได้ยินเสียงคำรามของเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานในสภาวะแสงนภานี้ บัณฑิตชุดคลุมดำครุ่นคิด และชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามก็จิตวิญญาณสั่นสะเทือน มีความคิดที่จะหนีขึ้นมา
สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบโต้ แต่จัดการสูดรับเอาวิญญาณเผ่าสิงซากสมุทรที่เพิ่งสังหารไปเมื่อครู่ถ่ายลงไปยังช่องเวทที่ยี่สิบเก้าในตอนนี้
ขณะเดียวกันร่างเขาก็ไหววูบ พุ่งตรงไปยังเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้นที่ถูกเหล็กแหลมสีดำทำร้ายที่กำลังถอยหนีอยู่ตอนนี้ ปากก็เอ่ยคำพูดแรกในศึกนี้ออกมา
“ถ้าเจ้าไม่อยากตายที่นี่ จงไปสกัดคนชุดคลุมดำนั่นไว้เสีย!”
พูดจบ สวี่ชิงก็ไม่หันไปมองเผ่าสิงซากสมุทรปัญญาชนคนนั้นเลย แต่พุ่งไปยังเผ่าสิงซากสมุทรอีกคนแทน
เขาเข้าใจสถานการณ์ต่อสู้เวลานี้เป็นอย่างดี ไม่ว่าตนเองจะทำลายค่ายกลหรือว่าสังหารบัณฑิตชุดคลุมดำคนนั้นก็ช้าเกินไปทั้งสิ้น อย่างแรกอาจถูกขัดขวาง ส่วนอย่างหลังก็สิ้นเปลืองเวลาเกินไป
อีกฝ่ายไม่ใช่คนอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นความคิดความอ่านยังดูลึกซึ้งอีกด้วย คู่ต่อสู้เช่นนี้สวี่ชิงไม่อยากจะพบในสถานการณ์ปัจจุบันเลย เขาอยากจะเจอกับอีกฝ่ายหลังเปิดสภาวะแสงนภาได้แล้วมากกว่า
ดังนั้น ตัวเลือกที่ดีที่สุดเบื้องหน้าเขาก็คือให้ผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสามเข้าไปขวางบัณฑิตชุดคลุมดำไว้ แล้วตนเองก็สังหารเผ่าสิงซากสมุทรคนที่สองให้ไวที่สุด จัดการดูดกลืนวิญญาณเขา เปิดช่องเวทที่สามสิบ สำเร็จไฟชีวิต
สวี่ชิงเริ่มสะสมประสบการณ์ต่อสู้มากมายมาตั้งแต่เล็กในถ้ำยาจก จนถึงตอนนี้สังหารคนกับต่อสู้ไปไม่รู้เท่าไร มีสัมผัสและการตัดสินใจที่เฉียบคมมานานมากแล้ว
เวลานี้เขารวดเร็วขีดสุด เข้าประชิดเผ่าสิงซากสมุทรคนที่สอง
ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ตอนมีชีวิตเป็นต่างเผ่า จมูกยาวเหมือนงวงช้าง คล้ายผู้บำเพ็ญที่สวี่ชิงเคยเจอบนเกาะกิ้งก่าทะเล ตอนที่สวี่ชิงเข้าใกล้ไม่มีชะงักแม้แต่น้อย ลงมือทันที
เสียงครืนครันสะท้อนก้องทันควัน
บัณฑิตชุดคลุมดำคนนั้นหน้าเปลี่ยนสีในขณะเดียวกัน ทำการชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็ว เขาไม่ค่อยเข้าใจวิธีการของสวี่ชิงนัก สิ่งเดียวที่เขาเดาได้ก็คืออีกฝ่ายใกล้จะเปิดสภาวะแสงนภาแล้ว
ทั้งๆ ที่กำลังวิกฤตแต่ไม่ถอยหนี กลับยังพุ่งไปโจมตีสังหารเผ่าสิงซากสมุทรอีกคนหนึ่ง
แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจก็คือ ต่อให้อีกฝ่ายเปิดสภาวะแสงนภา แต่พอเทียบกับสร้างฐานเก่าแก่อย่างนายท่านอวิ๋นเฉินที่กำลังจะมาถึงแล้ว ก็ยังห่างชั้นอยู่
ถึงอย่างไรช่วงเวลาของสภาวะแสงนภาก็ตัดสินจากจำนวนช่องเวท
แต่เวลานี้เขาก็ไม่มีเวลามาคิดเยอะ เอาเป็นว่าเรื่องที่อีกฝ่ายจะทำ ตนเองเข้าไปขวางไว้ก็พอ ดังนั้นจึงจะพุ่งตัวออกไป
เป็นไปได้ว่าฝึกบำเพ็ญมาจนถึงระดับสร้างฐานได้ คงไม่มีใครโง่หรอก บัณฑิตชุดคลุมดำไม่โง่ สวี่ชิงไม่โง่ ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามเองก็ไม่โง่เช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาแค่ปฏิกิริยาช้าไปหน่อยเท่านั้น
แม้เขาจะไม่เข้าใจคำพูดของสวี่ชิงเวลานี้ แต่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนเองไม่มีทางจะเข้าไปขวางเผ่าสิงซากสมุทรชุดคลุมดำที่แข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องจะหนี เขาก็ใช่ว่าจะไม่เคยพิจารณามาก่อน
ขอแค่เผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานในสภาวะแสงนภานั้นส่งข้ามมาสำเร็จ ต่อให้ตนเองหนีออกจากพื้นที่นี้เพื่อส่งสื่อเสียงของความช่วยเหลือได้ก็ไม่ทันอยู่ดี
เขารู้ถึงความน่ากลัวของสภาวะแสงนภา
เวลานี้ไม่ทำอะไรเลยแล้วหนีไปเลยทันที โอกาสตายมีมากกว่า
ถ้าหากสู้ตายสักรอบ บางทีอาจจะมีโอกาสรอดอยู่บ้าง
หลังจากความคิดนี้วนเวียนอย่างรวดเร็วในหัว สายตาเขาก็ปรากฏแววเด็ดขาด
เห็นได้ชัดว่าว่าเขาตระหนักได้แล้ว เวลานี้คิดจะรักษาชีวิตเอาไว้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น
เขาจึงกัดฟันสองมือประกบปางมือ กดลงไปบนหว่างคิ้วอย่างแรง ใช้วิชาลับที่เป็นของยอดเขาลำดับสามโดยเฉพาะ
ทันใดนั้นร่างเงาบนหว่างคิ้วเขาก็หันกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่ง
ใบหน้านี้ขาวซีด เลือดไหลจากทวารทั้งเจ็ดดูสยดสยอง นางคือสิ่งประหลาดนั่นเอง และทำท่าเหมือนจะเดินออกมาจากหว่างคิ้วของผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับสามในทันทีด้วย
ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ท้ายสุดก็ลอยแยกออกมาจากร่างกายของเขา
พอเงาสิ่งประหลาดนี้ออกมาก็พุ่งตรงไปเบื้องหน้า ทิศที่ตรงไปไม่ใช่ทางบัณฑิตชุดคลุมดำ แต่มุ่งตรงไปยังค่ายกลที่กำลังแผ่คลื่นเจิดจ้าเพื่อทำลายมันทิ้งเสีย
ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามคิดจะให้สิ่งประหลาดไปทำลายค่ายกลนี้ทิ้งจริงๆ
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็สามารถปลดเปลื้องวิกฤตทั้งหมดลงได้
และสิ่งเดียวที่จะมาขวางการทำลายได้ก็คือบัณฑิตชุดคลุมดำที่จะเข้ามาสกัด และนี่ก็ถือว่าบรรลุข้อเรียกร้องของผู้บำเพ็ญจากยอดเขาลำดับเจ็ดด้วย
ทำเช่นนี้ ทั้งเลี่ยงความเป็นไปได้ที่ผู้บำเพ็ญยอดเขาลำดับเจ็ดคิดจะทำร้ายตนเอง และตนเองก็ยังสำเร็จข้อเรียกร้องการร่วมมือของอีกฝ่ายได้ด้วย ขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่บัณฑิตชุดคลุมดำจะไม่มาไล่โจมตีตนเอง แต่จะเข้าไปปกป้องค่ายกลแทน
เช่นนี้ตนเองก็สามารถเอาตัวรอดอย่างราบรื่นได้แล้ว
จนในที่สุดหลังจากที่ค่ายกลเปิดออก เพื่อนร่วมสำนักยอดเขาลำดับเจ็ดจะกลายเป็นเป้าหมายแรก ตนเองก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหลบหนี
“ต้องเดิมพันแล้ว!” ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามกัดฟัน พุ่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันหลังกลับ ความเร็วของเขาเร็วมากจนแผดเผาช่องเวทของตนเองออกอย่างไม่เสียดาย จากไปในทันที
สนามรบมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความเร็วในการคิดวิเคราะห์มักจะเป็นตัวตัดสินทุกสิ่งในขณะที่พลังบำเพ็ญไม่แตกต่างกันมากนัก ตอนที่ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามหลบหนี สิ่งประหลาดที่เขาปล่อยออกมาพุ่งตรงไปยังค่ายกลเพื่อทำลายมัน ปัญญาชนเผ่าสิงซากสมุทรก็หน้าเปลี่ยนสี เกิดความรู้สึกพะวักหน้าพะวงหลังขึ้นมา
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาแล้วแน่นอนว่าเป็นการที่นายท่านอวิ๋นเฉินส่งข้ามมาได้สำเร็จ ดังนั้นจึงทิ้งสวี่ชิงและปล่อยชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม พุ่งตรงไปยังค่ายกลแทน
พริบตาที่เข้าใกล้ก็เข้าสกัดขวางสิ่งประหลาดสุดกำลัง เสียงครืนครันกึกก้อง
สวี่ชิงไม่รู้สึกเกินคาดกับตัวเลือกเช่นนี้ของชายหนุ่มยอดเขาลำดับสาม เขาพุ่งไปยังเผ่าสิงซากสมุทรที่กำลังหน้าถอดสีอย่างสุดกำลังเวลานี้ ยอมให้อีกฝ่ายดิ้นรนกระเสือกกระสน จะควบคุมรูปปั้นสะกดอย่างไรก็ล้วนไม่เกิดผลใดทั้งสิ้น
พริบตาต่อมา เหล็กแหลมสีดำก็หวีดหวิวพุ่งแทงไปยังรูปปั้น สูดรับอย่างบ้าคลั่ง
บรรพชนสำนักวัชระรู้ว่าเวลานี้มีคนนอกอยู่จึงไม่ปรากฏตัว แต่พอสูดรับขึ้นมาก็ไม่อ่อนข้อให้เลย
และเขารู้ว่าจำเป็นต้องควบคุมไว้ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบไปถึงหินวิญญาณของจอมมารสวี่ แล้วตนเองต้องมาลำบากอีก
ดังนั้นระหว่างที่แทงทะลวงทั้งบนล่างของรูปปั้นนั้น หลังจากกลืนกินไปเจ็ดส่วน เขาก็ฝืนทิ้งความละโมบของตนเองไป
และเจ้าเงาเองก็เป็นเช่นนี้ ถือโอกาสที่ไม่มีใครสังเกตก็โถมออกไปอย่างบ้าคลั่ง กอดขาของผู้บำเพ็ญสิงซากสมุทรแล้วดูดซับฉับพลัน
ผู้บำเพ็ญสิงซากสมุทรกรีดร้องโหยหวน ขาขวาทั้งข้างกลายเป็นฝุ่นในพริบตา ความหวาดกลัวที่ปรากฏขึ้นในดวงตาเขาอย่างแรงกล้า คิดจะถอยหนีแต่ก็ทำไม่ได้แล้ว กริชของสวี่ชิงกรีดที่ตัวเขาอย่างรวดเร็ว
ในช่วงวิกฤต ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรนี้เองก็เป็นคนเหี้ยมหาญ ความหวาดกลัวในดวงตาถูกความบ้าคลั่งเข้ามาแทนที่ ระเบิดช่องเวทในร่างกายไปครึ่งหนึ่ง
เสียงครืนครันระเบิดขึ้นในพริบตา อาศัยการระเบิดของช่องเวทครึ่งหนึ่งแลกพลังที่น่าตกตะลึง ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ก็สะบัดเจ้าเงาออก หลบเลี่ยงเหล็กแหลมสีดำ และก็หลบเลี่ยงจากกริชของสวี่ชิงด้วย ถอยอย่างรวดเร็วไปด้านหลัง
คิดจะหนี
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มยอดเขาลำดับสามก็ออกไปจากอาณาเขตผืนนี้ ไม่เห็นแม้เงา และสิ่งประหลาดที่เขาทิ้งไว้ก็ค่อยๆ เลือนรางจากระยะที่ห่างกัน สุดท้ายจึงสลายไปจากการลงมือของบัณฑิตชุดคลุมดำ
จัดการสิ่งประหลาดแล้ว บัณฑิตชุดคลุมดำก็หันมามองทางสวี่ชิง สังเกตเห็นว่าสวี่ชิงกำลังไล่ตามเพื่อนตน จึงโยกตัวคิดจะพุ่งไป
แต่พริบตานี้เอง เผ่าสิงซากสมุทรที่กำลังหลบหนีอยู่ด้านหน้าสวี่ชิงคนนั้นร่างสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ในกายบิดม้วน กระอักเลือดสดสีดำออกมาคำใหญ่
เลือดของเผ่าสิงซากสมุทรคือสีน้ำเงิน
แต่ที่เขากระอักออกมาเป็นสีดำ
นั่นเป็นเพราะพิษ!
พิษนี้ไม่ใช่สวี่ชิงสาดออกมา แต่เป็นสิ่งที่เคลือบไว้บนเหล็กแหลมสีดำก่อนหน้านี้ตามที่บรรพชนสำนักวัชระเคยร้องขอ เมื่อครู่ที่เหล็กแหลมสีดำแทงทะลุหว่างคิ้วของเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ พิษก็แพร่กระจายแล้วแต่ก็ต้องใช้เวลาในการแสดงผล
ดังนั้นตอนนี้ที่เผ่าสิงซากสมุทรพังช่องเวทไปครึ่งหนึ่ง หลังจากอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดจึงกำเริบขึ้นมาฉับพลัน
และพริบตาที่พิษกำเริบ กริชที่ก่อตัวขึ้นจากเพลิงดำหลายสายก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขณะที่หลั่งไหลก็แทงไปบนตัวของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ตรงๆ
ทั้งหมดหกเล่ม หนึ่งเล่มที่คอ หนึ่งเล่มที่หัวใจ หนึ่งเล่มที่หว่างคิ้ว สามเล่มที่แขนขา!
เสียงฉึกๆ ดังก้อง ร่างกายเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ถูกพลังของกริชหกเล่มปักตรึงไว้ เจ้าเงากับเหล็กแหลมสีดำ ก็เหินมาถึงอย่างรวดเร็ว
เหล็กแหลมสีดำแทงทะลวงไปหลายครั้ง เจ้าเงาเองก็พุ่งไปยังขาอีกข้างหนึ่ง
กริชบนตัวเขากลายเป็นเปลวเพลิงสีดำครอบคลุมทั้งตัวอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงร้องแหลม สวี่ชิงไม่ได้สนใจกับบัณฑิตชุดคลุมดำที่ใกล้เข้ามาเลย เวลานี้ก้าวตรงไปอยู่เบื้องหน้าเผ่าสิงซากสมุทรที่บาดเจ็บหนัก ยกมือขวาขึ้นกดลงไปบนปากของเผ่าสิงซากสมุทรอย่างแข่งกับเวลา
จัดการถ่ายไฟพิฆาตลงไปขณะที่อุดเสียงกรีดร้องของเขา พอสูดลงไป วิญญาณของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรนี้ก็ไหลเข้าสู่ร่างกายตามมือของสวี่ชิงกลายมาเป็นเชื้อฟืน ในขณะที่สวี่ชิงกำลังตื่นเต้นและเฝ้ารอ ก็แผดเผาอย่างรุนแรงไปทางช่องเวทที่สามสิบ…
พุ่งออกไปฉับพลัน!
ตูม!
สวี่ชิงสั่นสะท้านทั้งร่าง ช่องเวทที่สามสิบเปิดออกในพริบตา!
ช่องเวททั้งสามสิบในร่างกายเขาก็เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันทันทีจากการเปิดออก
พลังเวทที่แผ่ออกกลายเป็นสายเปลวเพลิงไปรวมตัวที่จุดตันเถียนของสวี่ชิง
เปลวเพลิงสามสิบเส้น รวมตัวกันจนกลายเป็นกลุ่มก้อนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ก่อตัวขึ้นต่อเนื่อง จุดเผาอย่างต่อเนื่อง ส่องสว่างอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง…
เสียงวูมดังขึ้น ไฟชีวิตดวงที่หนึ่งที่เป็นตัวแทนผู้บำเพ็ญสร้างฐานที่แท้จริงก่อตัวขึ้นแล้ว!
ไฟชีวิตนี้โชติช่วงมาก แสงไฟที่แผ่ออกมาสุกสว่างไร้เทียมทาน พริบตาที่ก่อตัวขึ้น ทะเลวิญญาณทั้งหมดในช่องเวททั้งสามสิบของสวี่ชิงก็โถมคลื่นยักษ์ขึ้นฟ้า
คลื่นพลังที่น่าตกตะลึงวูบหนึ่งหลั่งทะลักอย่างบ้าคลั่ง ไฟชีวิตจุดสว่างอย่างแรงกล้าขึ้นมาในวินาทีนี้
แสงไฟเจิดจ้าแยงตายิ่งกว่า!
ส่องสว่างสามสิบช่องเวทนี้จนสุกใส และยังส่องสะท้อนวังสวรรค์ที่เลือนรางในร่างกายออกมาอีกด้วย
ขณะเดียวกัน กลิ่นอายที่แข็งแกร่งวูบหนึ่งระเบิดขึ้นฉับพลันจากตัวของสวี่ชิง
วินาทีนี้ โลกในสายตาของสวี่ชิงก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!
ทั้งหมดรอบด้านล้วนเปลี่ยนแปลงไปจนหมดสิ้นในพริบตานี้
สรรพสิ่งทั้งหมดเชื่องช้าลง
น้ำทะเลก็เช่นกัน การพังทลายรอบด้านก็เช่นกัน บัณฑิตชุดคลุมดำที่ห่างออกไปก็เป็นเช่นเดียวกัน
อีกฝ่ายยังคงรักษาท่าทางเข้าประชิด เพียงแต่ท่าทางกลายเป็นเชื่องช้าลงอย่างมากในสายตาสวี่ชิง
ช้าขนาดที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกไม่ค่อยสบายตาเลยทีเดียว กระทั่งเขายังมองเห็นฝุ่นนับไม่ถ้วนเบื้องหน้า
ฝุ่นเหล่านี้ก่อรูปร่างขึ้นในสายตาเขา และเหมือนจะขยายออกไปอย่างไร้ขีดจำกัดตามความคิดอีกด้วย
สังเกตรายละเอียด!
ไม่เพียงเท่านี้ จากไฟชีวิตที่เผาไหม้ในร่างกาย พลังน่ากลัวที่ขนาดสวี่ชิงสัมผัสแล้วยังต้องสะพรึงวูบหนึ่งปะทุตามเปลวไฟขึ้นมาแผ่ซ่านไปทั้งตัว!
วิชาเวทของเขาถูกเสริมความแข็งแกร่งอย่างชัดเจน กายเนื้อของเขาเหมือนถูกยกระดับชั้นขึ้น วิญญาณของเขาเหมือนสวมชุดเกราะเอาไว้ ทั้งหมดในทั้งหมดของเขาแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง…ในวินาทีนี้
ก่อนหน้า สวี่ชิงรู้ว่าสำเร็จไฟชีวิตกับไม่สำเร็จไฟชีวิตนั้นแตกต่างกัน ปัจจุบันเมื่อเข้าสู่สภาวะนี้ด้วยตนเอง เขาก็เข้าใจเลยว่าดูถูกความห่างชั้นของทั้งสองอย่างไป
พวกมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
ราวกับเป็นการฝึกบำเพ็ญคนละขั้นกันเลย!
หลังจากเปิดสภาวะแสงนภาแล้ว ช่องเวททั้งสามสิบของเขาก็เหมือนกลายเป็นเตาสามสิบเตา กำลังทำการใช้งานอย่างบ้าคลั่ง
และการสิ้นเปลืองมหาศาลเช่นนี้ก็รวมออกมาเป็นไฟชีวิต ความสว่างแสงของมัน ความแข็งแกร่งของพลัง ทำให้สวี่ชิงเวลานี้ราวกับร่างกายเปิดเตาหลอมขนาดใหญ่ขึ้นมา!
บรรพชนสำนักวัชระในเหล็กแหลมสีดำข้างๆ สั่นเทิ้ม ดวงตาเผยความอิจฉาและปรารถนาอย่างแรงกล้า และเจ้าเงาก็สั่นเทาขึ้นเช่นกัน ราวกับว่าแสงสว่างบนตัวสวี่ชิงเวลานี้ทำมันรู้สึกอยู่ไม่สุข
แต่…การยกระดับของสวี่ชิง ยังไม่จบ
พริบตาที่ทุกสิ่งอย่างรอบๆ ในดวงตาเขาเชื่องช้าลง พริบตาที่ค่ายกลส่งข้ามที่ห่างออกไปกำลังจะเปิด สวี่ชิงก้มหน้าลง ย้ายไฟชีวิตดวงนี้ไปบน…ไส้ตะเกียงของตะเกียงแห่งชีวิต!
พริบตาต่อมา ใต้ทะเลก็ส่งเสียงครืนครัน น้ำทะเลรอบตัวสวี่ชิงระเบิดไปทั่วทั้งสารทิศอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นอายที่ทำให้คนต้องหน้าถอดสี ระเบิดโถมฟ้าขึ้นในร่างกายสวี่ชิงชั่วพริบตานี้!
ตะเกียงแห่งชีวิตจุดสว่าง!
พลังที่น่ากลัวกว่าไฟชีวิตดวงหนึ่ง ระเบิดออกมาบนตะเกียงแห่งชีวิตฉับพลัน พัดกวาดอย่างบ้าคลั่งไปยังชีพจร เลือดเนื้อทั้งร่างของสวี่ชิง
ทุกจุดที่แล่นผ่าน กระโจนขึ้นราวกับมีชีวิต!
ร่างกายสวี่ชิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในร่างกายมีอัสนีสวรรค์ระเบิด เสียงครืนครันโถมฟ้า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เตาไฟอีกแล้ว แต่เป็นเหมือนภูเขาไฟที่กำลังระเบิดลูกหนึ่ง!!
ความแข็งแกร่งของพลังสยบได้ทุกสรรพสิ่ง ทำให้ทุกตัวที่ในสถานที่นี้ตกตะลึงพรั่นพรึง!
ขณะเดียวกัน พริบตาที่กลิ่นอายของสวี่ชิงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินในที่นี้ ค่ายกลส่งข้ามที่ห่างออกไปก็ทำงาน
ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับสร้างฐานในสภาวะแสงนภา ก็ส่งเสียงหัวเราะเหี้ยมกรียม การส่งข้ามของเขาไม่ถูกขัดขวางอีกแล้ว ร่างกายก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเด็กน้อยเผ่ามนุษย์ ครั้งนี้เจ้าขวางการจุติของข้าไม่ได้แล้ว เจ้าตายแน่…หือ”
