ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 170 กายวิญญาณอัสนี

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 170 กายวิญญาณอัสนี

สวี่ชิงประหลาดใจ

เขามองบรรพจารย์สำนักวัชระแวบหนึ่ง รู้สึกว่าจู่ๆ อีกฝ่ายพูดประโยคนี้ขึ้นมาค่อนข้างประหลาด

“เจ้าแน่ใจหรือ” สวี่ชิงเอ่ยถามนาบเนิบ

แม้เขาสัมผัส0tได้ว่ากลิ่นอายของบรรพจารย์สำนักวัชระแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก เหมือนจะถึงขอบเขตใดสักอย่าง แต่จะอย่างไรก็ยังไม่ค่อยเสถียร ไม่เหมือนว่าจะทะลวงขั้นแล้ว

“ข้าน้อยมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง!” บรรพจารย์สำนักวัชระมองทางเงาทางนั้นอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงดัง

สวี่ชิงไม่เคยเป็นวิญญาณอาวุธ ไม่รู้ว่าวิญญาณอาวุธทะลวงขั้นเป็นสภาวะเช่นไร ตอนนี้ได้ยินคำพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระก็เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง

เห็นสวี่ชิงเงียบนิ่ง บรรพจารย์สำนักวัชระตึงเครียดมาก

เขากังวลว่าสวี่ชิงจะปฏิเสธตนเพื่อที่จะทุ่มเทดูแลเจ้าเงาเต็มที่ ในขณะเดียวกันเขาก็นึกถึงตำราเล่มหนึ่งในบรรดาตำราโบราณมากมายที่ตนเคยอ่าน เคยมีเรื่องหนึ่ง

เนื้อหาที่เรื่องนั้นกล่าวเอาไว้คือหลังจากที่เจ้านายปฏิเสธสัตว์เลี้ยงข้างกายครั้งหนึ่ง ไม่รู้ทำไมเจ้านายถึงได้ชอบความรู้สึกที่ได้ปฏิเสธ ดังนั้น หลังจากเรื่องนั้นแล้วไม่ว่ามีเรื่องอะไรล้วนปฏิเสธหมด

ทำให้สุดท้ายแล้ว สัตว์เลี้ยงก็กลายเป็นอาหารไปด้วยการปฏิเสธของเขา

‘วิชาที่จอมมารสวี่ฝึกฝนคือคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ…หรือว่าเมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะเริ่มวางแผนดูดกลืนวิญญาณข้าหรือ’

แม้บรรพจารย์สำนักวัชระจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ในหมู่คนเจ้าเล่ห์ แต่ในตอนมีชีวิตอยู่เขามีนิสัยหนึ่งคือพูดพร่ำไม่หยุด ตอนนี้เมื่อกลายเป็นวิญญาณอาวุธแล้ว ในความวิตกหวาดกลัวทั้งวันก็ยิ่งเปลี่ยนมาอ่อนไหว

เขารู้สึกได้ถึงสัญญาณว่าหากตนตายไปจอมมารสวี่จะดูดกลืนวิญญาณของตน ดังนั้นท่ามกลางความหวาดกลัวก็ไม่รอคำตอบรับของสวี่ชิง รีบร้องเสียงสูงออกมา

“นายท่านข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าจะทะลวงขั้นแล้ว…” พูดแล้ว กายวิญญาณในร่างบรรพจารย์สำนักวัชระก็พลันปะทุขึ้น ฝืนทำการทะลวงขั้น ดวงตากระทั่งว่าแดงขึ้นมา ในใจบ้าคลั่งไปแล้วโดยสมบูรณ์

‘ข้าจะต้องชิงทะลวงขั้นก่อนเจ้าเงาให้ได้!’ เขาคำรามในใจ ท่ามกลางการปะทุนี้ เงาวิญญาณลอยขึ้นมาจากเหล็กแหลมสีดำ หมอกเป็นกลุ่มๆ ราวเมฆดำก่อตัวขึ้นในกายเขาอย่างรวดเร็ว

ปะทะซึ่งกันและกันไม่หยุด มีสายอัสนีแต่ละเส้นๆ กะพริบแปลบปลาบพุ่งผ่านทั่วทั้งร่าง ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระส่งเสียงร้องน่าสังเวชออกมาอย่างอดไม่ได้ สวี่ชิงเห็นแล้วยังสยดสยองพรั่นพรึง

วิชาที่บรรพจารย์สำนักวัชระฝึกฝนคือเสี้ยววิชา สามารถเปลี่ยนคนให้กลายเป็นวิญญาณอาวุธได้ และชื่อของวิชานี้ก็ฉายความไม่ธรรมดาออกมา มันมีชื่อว่า…อัสนีโลกันต์แปรวิญญาณ!

วิชานี้ไม่มีหลักฐานการศึกษาค้นคว้า เหมือนว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่สักคนที่อ้างอิงวิญญาณอัสนีค้นคว้าออกมา

เมื่อฝึกฝนสำเร็จขั้นเล็กสามารถเปลี่ยนร่างตัวเองให้กลายเป็นกายวิญญาณอัสนี

และส่วนหนึ่งของการฝึกฝนวิชานี้คือต้องมีพรสวรรค์ ในขณะเดียวกันก็เป็นขั้นตอนของการสั่งสม

สำหรับส่วนที่สองคือเจตจำนงแน่วแน่ในการสะบัดดาบจัดการกับตัวเอง ให้ตัวเองกลายเป็นกายวิญญาณ จากนั้นก็อาศัยการสั่งสมการฝึกบำเพ็ญในส่วนแรกปะทุแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณอาวุธ ก็จะสามารถเริ่มส่วนที่สามแปลงเป็นกายวิญญาณอัสนีได้

หากกลายเป็นกายวิญญาณอัสนีก็จะนับว่าสำเร็จขั้นเล็ก

แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่วิญญาณอัสนีมนุษย์เท่านั้น มีเพียงสำเร็จขั้นกลางเท่านั้นถึงจะกลายเป็นวิญญาณอัสนีก่อนกำเนิด ส่วนขั้นใหญ่…ไม่มีวิชา

ตอนนี้ขั้นที่บรรพจารย์สำนักวัชระทุ่มสุดชีวิตไปทะลวงขั้นคือเปลี่ยนให้ตัวเองเป็นวิญญาณอัสนีก่อนกำเนิด และขั้นตอนนี้ทรมานแสนสาหัสนัก ต้องอาศัยการปะทะของเมฆหมอกในร่างกายให้เกิดเป็นสายฟ้าฟาดมากขึ้น

สุดท้ายแล้วให้สายฟ้าพุ่งผ่านกายวิญญาณเหนี่ยวนำอัสนีสวรรค์มาชำระล้างวิญญาณของเขาจึงจะสำเร็จ

เห็นบรรพจารย์สำนักวัชระร้องโหยหวนชวนสังเวช สวี่ชิงสูดลมหายใจ

สายตาของเขาเบนจากทางเจ้าเงาทางนั้น แบ่งสมาธิกว่าครึ่งมาที่บรรพจารย์สำนักวัชระ ความจริงแล้วสภาพของอีกฝ่ายในตอนนี้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเลาๆ ว่าเหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไร

ในขณะเดียวกัน ในใจของเขาก็ประเมินโดยทันทีว่า หากบรรพจารย์สำนักวัชระแตกสลาย เหล็กแหลมของตนจะได้รับความเสียหายไปด้วยหรือไม่

ส่วนเสียงร้องของบรรพจารย์สำนักวัชระไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจของสวี่ชิงเท่านั้น แต่บ่อดำที่แปรเปลี่ยนจากเงาที่อยู่ข้างๆ ฟองอากาศที่อยู่บนนั้นชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งความเร็วผุดขึ้นมา…

ภายใต้การแก่งแย่งชิงดีและบ้าคลั่งของเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระนี้ เมฆหมอกในร่างของบรรพจารย์สำนักวัชระมากขึ้นเรื่อยๆ กระทบกันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไปเช่นนี้เอง

สายฟ้าแต่ละทางๆ ค่อยๆ สะสมในร่างกาย วิ่งวนไม่ขาดสาย หลังจากที่กระจายไปทั้งกายวิญญาณแล้ว ในเสี้ยวขณะที่กายของบรรพจารย์สำนักวัชระเหมือนแหลกสลาย ในที่สุดก็มีสายฟ้าทางหนึ่งแหวกช่องหนึ่งออกมาจากกระหม่อมของเขา

สายฟ้ามหาศาลทะลักออกมาจากช่องนี้ทันที พันล้อมรอบกายบรรพจารย์สำนักวัชระ ทำให้ในขณะที่พลังของเขาน่าครั่นคร้าม วิญญาณก็พุ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย

ทั้งหมดนี้ทำให้ในใจของบรรพจารย์สำนักวัชระผ่อนคลาย เขารู้สึกว่าเป็นตัวเองไม่ง่ายเอาเสียเลย แต่นึกถึงการชำระล้างต่อจากนี้ ในใจของเขาก็ยังคร่ำครวญ

เขารู้ดีว่าขั้นตอนการทะลวงขั้นอันตรายมาก ดีไม่ดีอาจจะสลายหายไปเลยก็ได้ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ เขาเลือกยอมแพ้อย่างไม่ลังเลแน่นอน

และนิสัยแบบนี้ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ช่องเวทของเขาทะลวงเปิดได้ช้ามาก

ทั้งชีวิตของเขาความจริงแล้วก็มีโอกาสอยู่หลายครั้งที่สามารถเพิ่มความเร็วในการทะลวงเปิดช่องเวทอยู่เหมือนกัน แค่ต้องทุ่มสุดชีวิต ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาก็กัดฟันถอย

ตอนนี้ความรู้สึกลังเลแบบนั้นก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน แต่ในตอนนี้บ่อน้ำดำที่แปลงมาจากเงา เสียงกรีดร้องและคำรามในนั้นยิ่งรุนแรงขึ้น กระทั่งว่าน้ำในบ่อเริ่มโป่งนู่นขึ้น!

สิ่งที่โป่งนูนขึ้นมาไม่ใช่ฟองอากาศแต่เป็นสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นจากในบ่อน้ำ กำลังดิ้นรนยืนขึ้นจากในนั้น ยิ่งไปกว่านั้นจากการที่มันก่อตัวขึ้นมาข้างบนไม่หยุด กลิ่นอายที่เหนือกว่าระดับรวมปราณกลุ่มหนึ่ง ก็แผ่ซ่านออกมาจากในนั้น

กลิ่นอายนี้แข็งแกร่งมาก เสี้ยวพริบตาเดียวก็ถึงระดับสร้างฐาน แต่ยังไม่หยุด ยังทะลวงต่อไป

ภาพนี้เห็นได้ชัดว่าอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการทะลวงขั้น สามารถสำเร็จได้ทุกเวลา นี่ทำให้สีหน้าของบรรพจารย์สำนักวัชระเหี้ยมเกรียม จ้องบ่อดำที่แปลงมาจากเงาเขม็ง จากนั้นดวงตาทั้งสองก็แดงก่ำ เผยความบ้าคลั่งออกมา แล้วคำราม

“อัสนีมา!”

คำพูดนี้ดังออกมา ท้องฟ้าข้างนอกก็พลันมีเสียงครืนครัน เมฆดำบนท้องฟ้าก่อตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ก่อสะสมไม่หยุด สายฟ้ามหึมาทางหนึ่งก็ดังครืนๆ ฟาดผ่าเป็นช่วงๆ เกิดเป็นรูปร่างบิดเบี้ยวเหมือนตัวอักษร ‘之’ ฟาดผ่าลงมาที่เกาะ

อัสนีทางนี้ฟาดทะลุผืนทราย แทรกลงไปในจุดลึกของหลุม มาปรากฏอยู่บริเวณเหนือศีรษะของบรรพจารย์สำนักวัชระ แล้วฟาดลงมาทางเขาตรงนั้นอย่างรุนแรง

บรรพจารย์สำนักวัชระสะท้านไปทั้งร่างทันที สายฟ้าภายนอกมหาศาลทะลักเข้ามาทั่วทั้งร่างของเขาในระหว่างที่กะพริบวูบวาบและฟาดผ่าอย่างบ้าคลั่ง ก็ผสานกับสายฟ้าที่เขาแผ่ออกมาจากร่าง

จากนั้นสายฟ้าเหล่านี้ก็หลอมรวมไม่หยุด มากขึ้นเรื่อยๆ น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ และเสียงร้องของบรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ในนั้นก็ยิ่งน่าสังเวช ร่างเริ่มเปลี่ยนมาโปร่งแสง คล้ายว่าจะแตกสลาย

บ่อดำที่แปลงมาจากเงาตกใจเพราะภาพฉากนี้ แต่ไม่นานเงาร่างในนั้นก็ดิ้นรนอย่างรุนแรง พุ่งขึ้นมาข้างบนอย่างโหดเหี้ยม คล้ายว่าทุ่มสุดชีวิตเพื่อทะลวงขั้นให้เสร็จสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด

สวี่ชิงหวั่นไหว

เขามองเงา แล้วมองไปทางบรรพจารย์สำนักวัชระ ในดวงตาฉายแววแปลกประหลาดกลุ่มหนึ่งออกมา ไม่ได้พูดอะไร

เวลาไหลไป ไม่นานเวลาก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในขณะที่เสียงร้องโหยหวนของบรรพจารย์สำนักวัชระยิ่งน่าเวทนา สายอัสนีนอกร่างกายของเขาในที่สุดก็หลอมรวมเสร็จสมบูรณ์ สุดท้ายท่ามกลางเสียงคำรามต่ำทุ้มของบรรพจารย์สำนักวัชระ สายฟ้าทั้งหมดก็ทะลักเข้ามาในร่างของเขาจากทางกระหม่อม

ในขณะที่ทะลักเข้ามา ทั่วทั้งร่างของบรรพจารย์สำนักวัชระสั่นสะท้าน ร่างกายกำลังเปลี่ยนไปโดยสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ กายวิญญาณทั้งหมดล้วนได้รับอิทธิพล ประกอบขึ้นใหม่อีกครั้ง

ยามบรรพจารย์สำนักวัชระค่อยๆ ดูดซับสายฟ้าทั้งหมดแล้ว เขาก็พลันมองไปทางเหล็กแหลมสีดำ อ้าปากแล้วกลืนทันที เหล็กแหลมสีดำมาถึงทันที หลังจากที่ถูกกลืนลงไป สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนในร่างกายก็ฟาดผ่าออกมา

ภาพนี้คือใช้ร่างกายของตัวเองเป็นเตาหลอมอาวุธ ใช้สายอัสนีในฟ้าดินเป็นค้อน ใช้กายวิญญาณของตัวเองเป็นไฟ ทำการตีเหล็กแหลมสีดำขึ้นใหม่อีกครั้ง

สายฟ้าฟาดผ่าไม่หยุด บรรพจารย์สำนักวัชระยิ่งตัวสั่นสะท้าน

ทุกครั้งที่โจมตี เหล็กแหลมสีดำก็จะถูกฝึกฝนหนึ่งส่วน บนนั้นมีอักขระสายฟ้าเพิ่มขึ้นหนึ่งรอย และบรรพจารย์สำนักวัชระก็จะสั่นสะท้านขึ้นหนึ่งที

เสียงร้องโหยหวน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ จนกระทั่งสายฟ้าฟาดผ่าสิบครั้ง ยี่สิบครั้ง สามสิบครั้ง สี่สิบครั้ง…

เหล็กแหลมสีดำยิ่งมีสีดำสนิทขึ้น ความแหลมคมยิ่งมีมากกว่าเมื่อก่อน อักขระสายฟ้าบนนั้นกะพริบรุนแรง ประกายแสงกระทั่งว่าสวี่ชิงมองไปยังรู้สึกแสบตา

ในที่สุด หลังจากสายฟ้าครั้งที่สี่สิบเก้าฟาดลงมา บรรพจารย์สำนักวัชระก็มาถึงขีดจำกัดสูงสุด จำต้องพ่นเหล็กแหลมสีดำออกมา ร่างกายพลันมุดเข้าไป

เสี้ยวพริบตาต่อมา อักขระสายฟ้าทั้งสี่สิบเก้าบนเหล็กแหลมสีดำก็กะพริบส่องทั้งหมด กลิ่นอายที่เหนือกว่าระดับรวมปราณ กระทั่งเหนือว่าระดับสร้างฐานขั้นกลางไม่ธรรมดาปะทุออกมา

ในการปะทุครั้งนี้ เงาร่างของบรรพจารย์สำนักวัชระลอยออกมาจากในเหล็กแหลมสีดำ

ครั้งนี้ร่างของเขาขยายใหญ่

หน้าตาแม้ยังเหมือนแต่ก่อน แต่ทั่วร่างมีแสงอัสนีมหาศาลกะพริบวูบวาบ วนล้อมรอบกายไม่หยุด พลังน่าครั่นคร้าม ร่างกึ่งโปร่งแสง ดูแล้วเหมือนแปรเปลี่ยนเป็นกายอัสนี

และสายฟ้าเหล่านั้นก็ไม่ทำร้ายเขา เหมือนว่าเป็นร่างเดียวกัน

กลิ่นอายบ้าคลั่งเป็นอย่างยิ่งแผ่ออกมาจากทั่วร่างบรรพจารย์สำนักวัชระ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญไฟชีวิต

และสวี่ชิงก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในอักขระสายฟ้าบนเหล็กแหลมสีดำ ที่นั่นยังมีระลอกคลื่นพลังที่น่ากลัวยิ่งกว่า

เห็นได้ชัดว่าสภาวะในตอนนี้ไม่ใช่สภาวะต่อสู้ของอาวุธเวท สามารถจิตนาการได้เลยว่าหากเมื่อสำแดงพลังทั้งหมดออกมา น่ากลัวว่า…ผู้บำเพ็ญระดับไฟชีวิตสองดวงก็สู้ได้

เหตุที่เป็นเช่นนี้นั้นมีความเกี่ยวพันกับว่าบรรพจารย์สำนักวัชระเดิมก็เป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐาน และมีความเกี่ยวพันกับวิชาของเขาเป็นอย่างมาก หลังจากที่รวมกันแล้วก็เกิดเป็นการทะลวงขั้นที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินครั้งนี้!

“ไม่ทำให้นายท่านต้องผิดหวัง ข้าน้อย…” บรรพจารย์สำนักวัชระสัมผัสกับความแข็งแกร่งของตน ตื่นเต้น รู้สึกว่าเป็นตัวเองไม่ง่ายเลย

แต่เขาก็ไม่ลืมว่าวิญญาณชีวิตของตนอยู่ที่สวี่ชิง ดังนั้นจึงไม่มีทางได้ดีแล้วลืมตัวเด็ดขาด ตอนนี้กำลังพูดคำพูดภักดีที่สวี่ชิงชอบฟังอยู่

แต่ในตอนนี้เอง บ่อน้ำดำที่แปรเปลี่ยนมาจากเจ้าเงาที่อยู่ข้างๆ ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงการกระตุ้นที่ไม่เคยมีมาก่อน ทันใดนั้นก็ปะทุมา สิ่งมีชีวิตบางอย่างในนั้นในที่สุดก็พุ่งออกมา

เงา…ก็เหมือนว่าจะใหญ่ขึ้น! ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

มันไม่ได้มีลักษณะเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว แต่แปรเปลี่ยนลักษณะเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เงาดำรูปร่างต้นไม้แตกกิ่งผลิใบอย่างรวดเร็วต่อหน้าสวี่ชิงและบรรพจารย์สำนักวัชระ ค่อยๆ มีลักษณะเหมือนผลไม้ติดขึ้นลูกแล้วลูกเล่า

จากนั้นผลเหล่านี้ก็แตกออกหมด มีดวงตาสีแดงมากมายปรากฏขึ้นจากในนั้น

ดวงตาพวกนี้มีจำนวนมหาศาลมากถึงร้อยกว่าดวง ตอนนี้มันลืมตาขึ้นทั้งหมด พลันจ้องมาทางสวี่ชิง

ความเหี้ยมโหดหลุ่มหนึ่งปะทุออกมาจากดวงตาร้อยกว่าดวงนี้

ในขณะเดียวกัน ที่ลำต้นก็มีปากมหึมามืดทะมึนปากหนึ่ง ในนั้นมีฟันคมกริบเต็มไปหมด ส่งเสียงแปลกประหลาดที่สวี่ชิงเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

“กรอดๆ กรอดๆ……กรอดๆ กรอดๆ……”

เสียงนี้เหมือนเสียงลับฟัน

บทที่ 168 บรรพาจารย์ร้อนรนเสียแล้ว

ติงเสวี่ยพอได้ยินก็ล้วงเอาตราหยกออกมาทันที มองไปทางสวี่ชิง

เพียงแค่สวี่ชิงส่งสัญญาณ นางก็จะส่งสื่อเสียงขอความช่วยเหลือ

สวี่ชิงไม่พูดอะไร ตั้งใจฟังอย่างละเอียด จนรออยู่พักหนึ่ง เสียงที่เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนในอุโมงค์ลับก่อนหน้าก็ดังลอดมาอีกครั้งเป็นรอบที่สอง

“ท่านพ่อ รีบกลับบ้านเถิด…”

เสียงยังคงเต็มไปด้วยความคิดคะนึง อารมณ์นี้รุนแรงมาก ทั้งๆ ที่เสียงราวกับว่าลอดมาจากอุโมงค์ลับกลับให้ความรู้สึกเหมือนร้องเรียกอยู่ข้างหู ทำให้คนรู้สึกเหมือนมีภาพลอยขึ้นมาตรงหน้าได้เลย

สวี่ชิงดวงตาเผยแววครุ่นคิด เขาสัมผัสถึงคลื่นอันตรายใดในอุโมงค์ลับไม่ได้ และในการสัมผัสก็ตรวจสอบความเย็นเยียบของสิ่งประหลาดไม่ได้เลย แต่ก็ยังจุดไฟชีวิตขึ้นฉับพลัน เปิดสภาวะแสงนภาขึ้น

ในช่วงเวลาเกือบเดือน ตอนนี้ก็เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงเปิดสภาวะแสงนภาต่อหน้าติงเสวี่ย อันตรายก่อนหน้าที่พบทั้งหมด สำหรับเขาแล้วสภาวะปกติยังจัดการไหว

เวลานี้ติงเสวี่ยกับเจ้าจงเหิงล้วนสูดปากจากการระเบิดอย่างรุนแรงของพลัง ถอยหลังออกมาด้วยสัญชาตญาณ ดวงตาทั้งคู่เจ็บปวดขึ้นมาจนไม่กล้ามองตรงๆ

ติงเสวี่ยยังดี แม้จะลืมตาไม่ขึ้นแต่ในใจก็ยินดีมากกว่าความตกตะลึง แต่เจ้าจงเหิงทางนั้นกลับหน้าเปลี่ยนสี แผนการที่สร้างขึ้นในใจก็แทบจะพังทลายลงอีกครั้งในตอนนี้

‘ใครบอกว่าคนที่ยืนอยู่ในแสงจึงจะเป็นวีรบุรุษ ใจจริงของข้า แตกต่างจากผู้อื่น!’ เจ้าจงเหิงหายใจหอบถี่ ในใจคำรามเสียงต่ำให้กำลังใจตนเอง

สวี่ชิงไม่รู้ว่าในใจติงเสวี่ยกับเจ้าจงเหิงคิดอะไร และเขาก็ไม่ได้สนใจ เวลานี้เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อยจากการเปิดสภาวะแสงนภา ร่างกายพุ่งตรงไปข้างหน้าฉับพลัน เหยียบเข้าไปในอุโมงค์ลับ

เมื่อเข้าไป ความเร็วสวี่ชิงน่าตกตะลึง หวีดหวิวเข้าไปยังส่วนลึกของอุโมงค์ลับ ทุกจุดที่แล่นผ่านกระพือเสียงระเบิดตึงตังขึ้น เสียงสะท้อนก้องเป็นทอดๆ ขึ้นในอุโมงค์ลับแคบๆ

ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ว่าพิษศพในไอพลังประหลาดนี้กำลังสลายลงไปอย่างรวดเร็วจริงๆ เหมือนระเหยไปหลังจากตาย

สวี่ชิงเหมือนครุ่นคิด ในพริบตาก็มาถึงปลายสุดของอุโมงค์ลับ สายตากวาดมองรอบๆ อย่างรวดเร็วราวสายอัสนี

ที่นี่เหมือนเป็นที่ซ่อนตัวง่ายๆ แห่งหนึ่ง

ในมุมมีร่างของเผ่าสิงซากสมุทรอยู่ร่างหนึ่ง ภายนอกเหมือนชายชราเผ่ามนุษย์พิงมุมกำแพงตายไปแล้วตอนนี้

ตัวศพมีรอยแผลที่น่าสยดสยองหลายแห่ง โดยเฉพาะตำแหน่งตันเถียนก็ยิ่งดูเหวอะหวะ อาการบาดเจ็บจุดนั้นถือเป็นจุดที่อันตรายถึงชีวิตที่สุด แทบจะทะลุออกไป ศพนี้คือตำแหน่งที่เป็นต้นกำเนิดของไอพลังประหลาดและพิษศพนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ตายไปแล้ว แต่คลื่นที่เหลืออยู่บนตัวยังคงแข็งแกร่งมาก สายตาสวี่ชิงกวาดมอง พิจารณาได้ว่าคนผู้นี้ตอนยังมีชีวิตอย่างน้อยคงจะเป็นหนึ่งไฟชีวิต

เห็นได้ชัดว่าเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้บาดเจ็บหนักระดับพลังชีวิตแทบสูญสิ้นในเกาะเงือก ยืนหยัดเข้ามาหลบอยู่ในนี้ ไม่เหลือแรงจะหลบหนีอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็ยากที่จะฟื้นฟูกลับ สุดท้ายจึงตายลงเงียบๆ ในที่แห่งนี้

เวลาตายน่าจะยังไม่นานนัก ดังนั้นตอนที่เปิดอุโมงค์ลับก่อนหน้านี้จึงมีคลื่นพลังประหลาดแผ่ออกมา

และสีหน้าของเขาก็แตกต่างจากเผ่าสิงซากสมุทรที่สวี่ชิงเคยเห็นมาทั้งหมด แม้จะเริ่มเน่าเปื่อย แต่ยังคงมีความสับสนในสมัยยังมีชีวิตอยู่รางๆ

โดยเฉพาะในมือเขายังกำขวดทองสัมฤทธิ์ใบหนึ่งไว้แน่น

ราวกับสิ่งนี้คือสิ่งล้ำค่าที่สุดก่อนที่เขาจะตาย

ขวดใบเล็กนี้เก่าแก่มาก ถูกเปิดออกไปแล้ว ด้านในมีเสียงที่สวี่ชิงได้ยินเมื่อครู่นี้ดังออกมา

“ท่านพ่อ รีบกลับบ้านเถิด…”

เสียงอ่อนแออย่างมาก มีอารมณ์ความคิดถึงคะนึงอันเข้มข้นอยู่

และผู้อาวุโสเผ่าสิงซากสมุทรนั้น เหมือนจะเปิดขวดนี้ออกก่อนตาย ฟังเสียงนี้ซ้ำไปซ้ำมาขณะที่ค่อยๆ ตายไป

คล้ายว่า นี่คือเสียงญาติของเขา

สวี่ชิงกวาดตาจากขวดไปมองรอบๆ พอยืนยันว่าที่นี่ไม่มีอันตรายแล้ว ด้านหลังของเขาก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา

คนที่เข้ามาคือเจ้าจงเหิงกับติงเสวี่ย ก่อนหน้านี้หลังจากที่สวี่ชิงเข้าไปในอุโมงค์ลับ พวกเขารออยู่ครู่หนึ่งและเห็นว่าในนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลย ติงเสวี่ยจึงร้อนรนรีบวิ่งเข้ามา เจ้าจงเหิงก็ทำได้เพียงตามเข้ามา

เวลานี้เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงไม่เป็นอะไร ติงเสวี่ยจึงผ่อนลมหายใจลงแล้วสังเกตไปรอบๆ หลังจากมองที่นี่ทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้ว นางก็มองไปยังขวดในมือของเผ่าสิงซากสมุทร อุทานออกมาเสียงหนึ่ง

“ขวดจับเสียง!”

ติงเสวี่ยที่มีเบื้องหลังน่าตกตะลึง ด้านความรู้ก็เหนือกว่าผู้บำเพ็ญปกติอย่างเห็นได้ชัด เพียงผาดเดียวก็มองที่มาของขวดเล็กทองสัมฤทธิ์นั่นออก ดังนั้นหลังจากที่รู้สึกถึงสายตาสวี่ชิงที่มองมา นางรีบร้อนเอ่ยขึ้น

“ขวดจับเสียงเป็นของโบราณ พบเห็นได้น้อย มูลค่าของมันสำหรับบางคนคือประเมินค่าไม่ได้ แต่สำหรับคนที่หมู่มากกลับไร้ซึ่งมูลค่า เพราะประโยชน์ของมันมีเพียงสิ่งเดียวนั่นคือการจับเสียง หลังจากปิดไปแล้วสามารถเปิดเพื่อฟังเสียงที่จับเข้ามาได้ตลอดเวลา

“เสียงของมันเสมือนจริงมาก กระทั่งพูดได้ว่าเป็นเสียงเดิมเลยทีเดียว นี่คือจุดที่มหัศจรรย์และล้ำค่าของมัน แต่ก็อยู่ไม่ได้นานนัก พอเปิดไปนานๆ เสียงก็จะค่อยๆ สลายไป จำเป็นต้องจับมาใหม่”

พูดถึงจุดนี้ ติงเสวี่ยก็มองไปยังเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้น จากนั้นก็มองไปยังขวดจับเสียงที่เหมือนเป็นสมบัติล้ำค่าที่กำแน่นอยู่ในมือเขา และเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา

“เผ่าสิงซากสมุทรล้วนเป็นพวกเผ่าต่างๆ ที่พอตายไปก็ถูกใช้วิธีพิเศษบางอย่างฟื้นคืนชีพขึ้นมา และพอกลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทร ก็จะเหลือความทรงจำก่อนตายอยู่เศษเสี้ยวเท่านั้น

“แต่ความทรงจำนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะนิสัยที่โหดเหี้ยมของเผ่าสิงซากสมุทร ตอนที่ฟื้นคืนชีพก็เท่ากับตัดขาดจากช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ไปแล้ว น้อยมากที่จะรักษาสิ่งที่รักและล้ำค่าในสมัยที่ยังมีชีวิต

“ถ้าหากขวดใบนี้เป็นของเขา เช่นนั้นเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย เขาถึงกับรักษาสิ่งของสมัยยังมีชีวิตไว้ ขวดใบนี้ก็น่าจะเป็นของรักของเขา เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเขา

“ส่วนเสียงในขวด บางทีอาจจะเป็นลูกชายของเขาสมัยมีชีวิต แต่ไม่ว่าตอนเขามีชีวิตจะเป็นอย่างไร เขาก็กลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทรไปแล้ว”

น้ำเสียงติงเสวี่ยมีความไม่แน่ใจ เห็นได้ชัดว่านางก็ไม่แน่ใจว่าความจริงจะเป็นอย่างที่นางพิจารณาไว้หรือไม่ พูดจบก็มองไปทางสวี่ชิง

“ไม่สำคัญอีกแล้ว” สวี่ชิงส่ายศีรษะ มือขวายกมือขึ้นคว้า และขวดทองสัมฤทธิ์เล็กในมือนั่นก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือเขาฉับพลัน

เวลานี้เสียงในขวดก็อ่อนลงไปมาก หลังจากส่งเสียงเรียกครั้งสุดท้าย ก็สลายหายไปจนหมด

ติงเสวี่ยมองเจ้าจงเหิงผาดหนึ่ง สายตานี้ถ้าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงจะมองออกถึงความนัยได้ยาก แต่เจ้าจงเหิงเข้าใจทันที ตรงเข้าไปพลิกตัวค้นบนตัวเผ่าสิงซากสมุทรนี้โดยไม่ลังเล

เพียงไม่นานก็เจอถุงเก็บของใบหนึ่ง จากนั้นทั้งสามคนก็ออกมาจากอุโมงค์ลับ

สวี่ชิงเก็บขวดเก็บเสียงใบนั้นเอาไว้

ติงเสวี่ยนำเอาเรื่องที่พบในนี้แจ้งไปยังสำนัก และถือว่าเสร็จสิ้นภารกิจ ส่วนสิ่งของในถุงเก็บของก็มีไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของสัพเพเหระ ไม่มีอาวุธเวทไม่มียันต์หยก เห็นได้ชัดว่าถูกใช้ไปจนหมดแล้ว

หินวิญญาณเองก็มีไม่กี่ร้อยก้อน ตั๋ววิญญาณสี่ห้าใบ ไม่รู้ว่าจนตั้งแต่แรกหรือซ่อนอยู่ที่อื่นอีก

สวี่ชิงชำเลืองมอง เขาหยิบขวดเก็บเสียง ส่วนอย่างอื่นก็ไม่ได้แตะต้องเลย

ขวดใบนี้สวี่ชิงไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ แต่สิ่งของนี้เดิมทีก็มหัศจรรย์อย่างมาก สวี่ชิงรู้สึกว่ายังมีค่าอยู่บ้าง

เจ้าจงเหิงกับติงเสวี่ยเป็นคนที่บ้านร่ำรวย ไม่สนใจสิ่งของในถุงเก็บของ แต่ก็ยังจัดการแบ่งสรรปันส่วน ถึงอย่างไรจะมากจะน้อยก็ยังเป็นผลประโยชน์

เรื่องนี้จบลงจากการที่ติงเสวี่ยรายงานเรื่องในห้องลับขึ้นไปเช่นนี้แล้ว ถัดจากนี้จะมีศิษย์คนอื่นในสำนักมาจัดการเรื่องหลังจากนี้เอง

และเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ติงเสวี่ยยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเพราะการปรากฏตัวของเจ้าจงเหิง ภารกิจหนึ่งเดือนก็สิ้นสุดลง ติงเสวี่ยรู้สึกเสียดายอย่างมากกับการบอกลาของสวี่ชิง ไล่ตามมาเอ่ยอย่างเป็นห่วง

“ศิษย์พี่สวี่ แนวหน้าอันตรายมากเจ้าต้องระมัดระวังตัวด้วย รักษาเอาตัวรอดถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

“ข้าพลังบำเพ็ญอ่อนแอ ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วย แต่ข้าจะไปขอร้องท่านน้าให้นางช่วยดูแลเจ้ามากหน่อย ถ้าเจ้าเจอกับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ก็ตรงไปหานางได้เลย

“แล้วก็ศิษย์พี่สวี่ ขอบคุณมากที่ช่วงเวลานี้ได้เจ้ามาช่วยเหลือ ข้าจะพยายามศึกษาพืชสมุนไพรให้มากขึ้นแน่นอน แล้วจะทำให้ตนเองเข้าไปในพันธมิตรเจ็ดสำนักให้ไวที่สุด พอถึงตอนนั้น ข้าก็ช่วยเหลือศิษย์พี่ด้านหญ้าสมุนไพรได้แล้ว”

ติงเสวี่ยสีหน้าตั้งใจ จากนั้นก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“ส่วนวิถีพืชสมุนไพรของยอดเขาลำดับสองเจ็ดเนตรโลหิต อันที่จริงก็ยังแย่อยู่บ้าง หลังจากนี้ข้าจะต้องเก่งกาจกว่าศิษย์ยอดเขาลำดับสองแน่นอน

“ขอบคุณมาก เจ้าเองก็ดูแลตัวเองด้วย สู้ๆ” สวี่ชิงได้ยินก็รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย เขาฟังถึงความจริงใจในคำพูดของติงเสวี่ยออก ในใจรู้สึกว่าถึงแม้หนึ่งเดือนมานี้ติงเสวี่ยจะดูเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง แต่รวมๆ แล้วก็เป็นคนที่ไม่เลวเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังขยันเรียนมาก จุดหลังนี้ สวี่ชิงยอมรับอย่างมาก

ส่วนที่นางบอกว่าวิถีสมุนไพรยอดเขาลำดับสองยังแย่อยู่ แต่สวี่ชิงเองก็ยังรู้จักยอดเขาลำดับสองไม่มากนัก จึงไม่อาจวิจารณ์ได้ จึงประสานหมัดไปทางติงเสวี่ย หันหลังจากไป

ติงเสวี่ยมองแผ่นหลังสวี่ชิงหายวับไปจากสายตาอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นจึงหันหน้าไปค้อนใส่เจ้าจงเหิง ร้องหึเย็นชา เลือกออกจากเกาะเงือกไป

นางเข้าใจดีว่าแนวหน้าอันตราย พลังบำเพ็ญของตนเองไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ต่อ

และเจ้าจงเหิงเองก็มองแผ่นหลังสะโอดสะองของติงเสวี่ย สายตาเด็ดเดี่ยวอย่างมาก เขารู้สึกว่าการพิจารณาของตนเองนั้นถูกต้อง

“เรื่องพลังบำเพ็ญนั้นไม่สำคัญ ความจริงใจและความซื่อตรงของข้าสามารถเอาชนะได้ทุกสิ่ง! พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงแข็งแกร่งกว่าข้าก็จริง แต่เขาบอกจะไปก็ไป แต่ข้านั้นไม่เหมือนกัน ข้าจะอยู่ข้างศิษย์พี่หญิงตลอดไป”

คิดถึงจุดนี้ เจ้าจงเหิงก็สูดลมหายใจลึกรีบเดินตามไป กลับไปกับติงเสวี่ยที่กำลังรำคาญด้วยกัน

ส่วนสวี่ชิง เขาไม่ได้ออกไปนอกเกาะเงือก

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจคุ้มครองติงเสวี่ย ผลประโยชน์ของเขาไม่ใช่แค่ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนสามใบเท่านั้น แต่ยังได้รับปณิธานพุทธองค์ที่รองเจ้ายอดเขามอบมาให้โดยเฉพาะอีกด้วย

ด้วยปณิธานพุทธองค์นี้ เขาไม่จำเป็นต้องยื่นขอก็สามารถหยุดการไปร่วมรบที่แนวหน้าได้ด้วยตนเอง ต่อให้อยู่ในภารกิจก็ยังเป็นเช่นนี้

และด้วยเหตุนี้ก็เท่ากับเขามีสิทธิ์ในการกลับไปยังสำนักเจ็ดเนตรโลหิตได้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันหน้าที่การร่วมรบของเขาก็ยังอยู่ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากแนวหน้ามาเป็นแนวหลังเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลงานของเขารวมถึงรางวัลหลังจบสงครามก็ยังไม่ลดลงอีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้เขามีความอิสระอย่างมาก

ปณิธานพุทธองค์นี้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสหลอมตันเถียนเองก็ยังได้รับมายากมาก มีเพียงระดับสูงอย่างเจ้ายอดเขาเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัตินี้ ดังนั้นมูลค่าของมันจึงมหาศาล

สวี่ชิงเข้าใจดีว่านี่เป็นสิ่งที่รองเจ้ายอดเขามอบให้ตนเองเพราะติงเสวี่ย

“นี่ถือเป็นบุญคุณ หลังจากนี้ข้าต้องตอบแทนติงเสวี่ย” สวี่ชิงจดจำเรื่องนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็ล้วงป้ายฐานะออกมา ตรวจสอบภารกิจด้านใน

เขาไม่คิดจะออกไปทันที ถึงแม้ภารกิจคุ้มครองติงเสวี่ยจะเสียเวลาไปถึงหนึ่งเดือน การจัดอันดับในสงครามของเขาก็ร่วงลงมาอันดับเจ็ดสิบกว่า แต่สวี่ชิงรู้สึกว่าการจะเพิ่มขึ้นไปก็ไม่ยากเย็นนัก

เขาอยากจะเข้าไปห้าสิบอันดับแรก ได้รับสิทธิ์ในการใช้งานภาพสะท้อนของวิเศษเวทหนึ่งครั้ง

ดังนั้นในช่วงเวลาถัดจากนี้ สวี่ชิงจึงจมอยู่ในกับการรับภารกิจ ทุกวันวุ่นอยู่กับภารกิจแล้วภารกิจเล่า สังหารเผ่าสิงซากสมุทร หลอมวิญญาณเผ่าสิงซากสมุทร บางครั้งก็กวาดไปยังเงาบ้าง

อันดับของเขาก็ค่อยๆ ขึ้นมาที่ห้าสิบกว่า และตอนที่ห่างจากภาพสะท้อนของวิเศษเวทไม่ไกล วันนี้เอง…สวี่ชิงที่เพิ่งจะส่งภารกิจ และกำลังจะรับภารกิจถัดไป จู่ๆ สีหน้าของเขาก็กระตุก ก้มหน้าลงมองใต้เท้าของตนเอง

จากนั้นดวงตาก็เผยแววประหลาด ร่างกายไหววูบหายไปจากที่เดิม หลังจากมาถึงมุมที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง สวี่ชิงก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ 艾琳小說

“เจ้าจะพูดอะไร” เมื่อครู่นี้ เจ้าเงาส่งคลื่นอารมณ์ส่วนหนึ่งมาทางเขา

“ยกระดับ…เงียบ…ปลอดภัย…ทะลวงขั้น…” เจ้าเงาพยายามแสดงออก

สวี่ชิงหดม่านตาลง

การช่วยเหลือของเจ้าเงามีผลกับในสงครามเผ่าสิงซากสมุทรครั้งนี้มากจริงๆ ปัจจุบันหลังจากกลืนกินเผ่าสิงซากสมุทรไปมากมาย ในที่สุดมันก็จะทะลวงขั้นแล้ว สิ่งนี้ทำให้ในใจสวี่ชิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง

หลังจากที่เขาจุดไฟแห่งชีวิตขึ้นที่นี่ เจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระก็ไล่ตามเขาไม่ทันอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าสำหรับเจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระ ในใจสวี่ชิงยังคงมีความระแวดระวังอยู่ โดยเฉพาะอย่างหน้า

และเวลานี้จากการที่เจ้าเงาส่งข้อมูลว่าจะทะลวงขั้นออกมา เหล็กแหลมสีดำข้างกาย ก็สั่นเครือเล็กน้อย บรรพจารย์สำนักวัชระด้านในก็ส่งความคิดออกมาอย่างรวดเร็ว

“นายท่าน ข้าน้อยกำลังจะรายงานกับท่าน ว่าข้าน้อยทางนี้…ก็สามารถทะลวงขั้นได้แล้ว ต้องการสิ่งแวดล้อมที่เงียบและปลอดภัยเช่นเดียวกัน เพราะว่า…วิชาวิญญาณศัสตราที่ข้าฝึกบำเพ็ญ ทะลวงขั้นแตกต่างจากวิชาอื่นๆ จะก่อเกิดอัสนีแห่งฟ้าชะล้างวิญญาณ!!

“และเมื่อข้าน้อยทะลวงขั้นก็จะระเบิดผลลัพธ์และพลังต่อสู้แบบสภาวะแสงนภาออกมา ทรงพลังไร้เทียมทาน!”

บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยขึ้นเด็ดขาด ในใจมีความร้อนรน

อันที่จริงเขายังห่างจากการทะลวงขั้นอีกเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขารอไม่ได้แล้ว เขารู้สึกว่าถ้าเจ้าเงาทะลวงขั้น แล้วเขายังรักษาสภาพปัจจุบันอยู่ การจะรักษาตำแหน่งล้วนเป็นเรื่องรอง สิ่งสำคัญก็คือเป็นไปได้มากว่าจะถูกมองว่าไม่มีค่า

ถ้าถูกมองว่าไม่มีค่าล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็รู้สึกว่าตนเองมีความเป็นไปได้ที่จะถูกโยนทิ้งเป็นเป้ากระสุนปืนใหญ่แทนแน่ๆ…

ดังนั้น เขาเตรียมที่จะสู้สุดใจแล้ว

สวี่ชิงเหลือบมองเหล็กแหลมสีดำผาดหนึ่ง จากนั้นมองไปยังเจ้าเงาก็ตัดสินใจ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง… รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท