ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 189 ผู้สืบทอดมรรคาสิงซากสมุทร

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 189 ผู้สืบทอดมรรคาสิงซากสมุทร

“ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาแล้วหรือ”

แทบจะตอนที่ร่างของสวี่ชิงเดินออกมาจากกระแสวนกลางเสาหินยักษ์ทั้งสองต้นนั่น เขาก็ได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหน้า

อีกฝ่ายน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย

สวี่ชิงเงยหน้ามอง ภาพที่เห็นเบื้องหน้า อันที่จริงเขาเห็นผ่านเจ้าเงาก่อนหน้านี้แล้ว ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นด้วยตาตนเอง ก็ยังทำให้เขาต้องสงบสติอารมณ์

เดิมทีที่นี่มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรพันกว่าคนคุ้มกันอยู่ ทว่าปัจจุบันคนเหล่านี้ล้วนคุกเข่าคารวะกันอยู่ไกลๆ ไม่เข้าใกล้สถานที่นี้เลย

ด้านนอกประตู มีคนอยู่เพียงคนเดียว

คนผู้นี้เป็นชายหนุ่ม สวมชุดคลุมจักรพรรดิสีทองแต่ไม่มีมงกุฎ ผิวของเขาขาวไปทั้งตัวไม่มีรอยช้ำ กลิ่นอายทรงพลังล้ำลึก แววตาเหมือนมีดวงดาราแฝงอยู่

เขายังสู้สวี่ชิงด้านหน้าตาไม่ได้ แต่กายเขาเผยคุณสมบัติอันสูงส่งออกมา ย่อมทำให้ที่ที่เขาอยู่กลายเป็นจุดสนใจ

ตอนนี้เขานั่งอยู่บนเห็ดหลินจือสีแดงขนาดยักษ์ดอกหนึ่ง มองสวี่ชิงอย่างเย็นชา ข้างกายมีปราณหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งลอยอวลอยู่ สิ่งที่ถูกขังอยู่ในปราณหมอกคือเหล็กแหลมสีดำ

เห็นได้ชัดว่าพริบตาที่พุ่งออกมาเมื่อครู่ บรรพจารย์สำนักวัชระก็ถูกคนผู้นี้จับเอาไว้

และเพราะความพิเศษของเจ้าเงาจึงไม่ถูกเจอตัว เวลานี้พรางตัวอยู่บนเห็ดหลินจือ กำลังแผ่ออกไปอย่างระมัดระวัง ราวกับคิดจะเข้าไปใกล้แล้วกลืนกินเงาของอีกฝ่าย

“ข้าชื่อเหมี่ยวเฉิน เป็นผู้สืบทอดมรรคารุ่นปัจจุบันของเผ่าสิงซากสมุทร เพื่อนของเจ้าถูกผู้อาวุโสอิงหลิงไล่ตามอยู่ ไม่มีทางหนีรอดไปได้หรอก

“ส่วนเจ้า ข้าอยากรู้มากว่าคนเนไรกันที่กล้าเข้ามากำเริบเสิบสานในนี้ จึงออกจากปิดด่านมาดูเสียหน่อย

“ตอนนี้ผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่วิญญาณศัสตราของเจ้าชิ้นนี้ยังดีหน่อย ขอข้าได้หรือไม่” เหมี่ยวเฉินเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

สวี่ชิงไม่พูดอะไร เขายืนสัมผัสรอบด้านที่ประตูทางออก ที่นี่ยังคงมีคลื่นที่จำกัดการส่งข้ามอยู่เล็กน้อย จำเป็นต้องออกไปยังบริเวณที่ห่างกว่านี้ถึงจะไหว

“เจ้าไม่ต้องมองหรอก แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะหนีจากที่นี่อย่างไร แต่ก็ไม่มีความหมาย เพราะวันนี้เจ้าจะกลายเป็นสินสงครามของข้า” เหมี่ยวเฉินมองสวี่ชิง เอ่ยเสียงเรียบ

“เจ้าพูดมากเสียจริง” สวี่ชิงสายตาหยุดอยู่บนเรือนกายชายหนุ่มคนนี้ พูดประโยคแรกออกมาหลังจากที่ทั้งสองคนพบหน้ากัน

เมื่อเหมี่ยวเฉินได้ยินก็ลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะ เสียงหัวเราะดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระพือคลื่นขึ้นรอบๆ ก่อเป็นพลังสั่นสะเทือน จนทำให้อาณาบริเวณรอบๆ เกิดลมพายุขึ้น

ลมพายุนี้แผ่ขยายออก จัดการโหมฝุ่นนับไม่ถ้วนบนพื้นขึ้นราวกับพลิกเขาคว่ำทะเล และพัดเอาผีเสื้อสุบินภูตเหล่านั้นออกไปจากอาณาบริเวณนี้

ลมพายุครั้งนี้ พัดผมยาวของสวี่ชิงปลิวไสว เสื้อผ้าก็ส่งเสียงพึ่บพั่บ ราวกับว่าสายลมนี้จะลบตัวเขาให้เลือนไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทำไม่ได้

อย่างมากสุดก็เพียงแค่พัดเส้นผมกับเสื้อผ้าของเขาเท่านั้น ร่างของเขาไม่ได้สั่นไหวเลย และไม่อาจสกัดกั้นสายตาที่เย็นชาของเขาได้ด้วย

สวี่ชิงมองชายหนุ่มเบื้องหน้าที่พลังราวกับสายรุ้งอย่างเย็นชา พุ่งออกไปฉับพลัน กระโจนหาอีกฝ่ายด้วยความเร็ว

ตะเกียงแห่งชีวิตในร่างเขาเผาไหม้ จุดไฟชีวิตขึ้น ภาพสัญลักษณ์วิหคทองที่แผ่นหลังแผ่ซ่านเพลิงร้อน ด้วยการสนับสนุนจากพลังกายเนื้อความเร็วจึงน่าตกตะลึง ทะลายกำแพงลมเบื้องหน้าทั้งหมด ไปอยู่เบื้องหน้าเหมี่ยวเฉิน ยกมือขวาขึ้นซัดไปหนึ่งหมัดอย่างแรง

หมัดนี้ มีเงามายาวิหคทองปรากฏออกมา มีพลังกลืนกินแห่งเพลิงพิฆาตของสวี่ชิงแผ่ซ่าน และยังมีพลานุภาพโถมฟ้ามาจากร่างกายที่เหมือนกับแผ่นดินใหญ่ลุกไหม้ของเขาอีก

เมื่อหมัดซัดไปที่หน้าอกของเหมี่ยวเฉิน ทั่วสารทิศส่งเสียงครืนครัน

สายตาเหมี่ยวเฉินมีแววเย้ยหยัน ขณะจะโบกมือ แต่เห็ดหลินจือด้านล่างเขาจู่ๆ ก็เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำ ราวกับถูกปกคลุม ดวงตาหลายดวงเบิกโพลงขึ้นมาบนนั้นฉับพลัน

การเปิดปิดของดวงตาเหล่านี้ก่อเกิดพลังประหลาด ทำให้การเคลื่อนไหวของเหมี่ยวเฉินชะงักไปชั่วขณะ

ขณะเดียวกันบรรพจารย์สำนักวัชระที่ถูกหมอกดำขังไว้ จู่ๆ เหล็กแหลมสีดำที่เขาอยู่ด้านในก็เกิดอักขระสายฟ้าเปล่งแสงเจิดจ้า ขณะที่แล่นแปลบปลาบไปรอบด้าน ก็มีอักขระสายฟ้าหลายตัวระเบิด เปลี่ยนเป็นพลังที่เหนือสามัญออกมา

เสียงดังตูม มันก็พุ่งทะลวงหมอกดำออกมาฉับพลัน ใช้ความเร็วที่น่าตกตะลึงพุ่งตรงไปที่คอของชายหนุ่ม ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงกระดิ่งที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณคนดังก้องออกมาต่อเนื่อง

เห็นได้ชัดว่าที่บรรพจารย์สำนักวัชระถูกขังไว้ก่อนหน้าเป็นการซ้อนแผน ไม่ใช่ว่าเขาสลัดการจับกุมไม่หลุด แต่คิดจะรอให้สวี่ชิงลงมือเสียก่อน แล้วค่อยระเบิดออกมาในช่วงเวลาที่สำคัญ

เวลานี้พลังที่สำแดงออกมาพร้อมเจ้าเงาและสวี่ชิงมีพลานุภาพน่าตกตะลึง

พริบตาต่อมา เหมี่ยวเฉินก็หน้าเปลี่ยนสี เขาหลบหมัดของสวี่ชิงไม่พ้น ร่างกายของเขาโยกไหวอย่างรุนแรงในช่วงเวลาวิกฤตสำคัญ ฉับพลันก็มีโลงศพหินหยกขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ

เมื่อโล่งศพนี้ปรากฏขึ้น แสงล้ำค่าก็เปล่งประกายขึ้น หลั่งไหลออกมาราวสายน้ำไหล แผ่ไปรอบๆ ตัวชายหนุ่ม ก่อตัวเป็นเกราะคุ้มกันชั้นหนึ่งทันควัน ซึ่งกำปั้นของสวี่ชิงซัดเข้าไปบนเกราะคุ้มกันนี้

เสียงครืนครันเหมือนเขาถล่มดินทลายสะท้อนก้อง ขณะที่ร่างกายเหมี่ยวเฉินลอยคว้างไปราวว่าวสายป่านขาด บรรพจารย์สำนักวัชระก็พุ่งตามไปแทงอย่างแรง เสียงฉึกดังขึ้น แม้จะไม่ได้แทงเกราะคุ้มกันจนทะลุ แต่สายฟ้ากลับแผ่ซ่านเข้าไประเบิดใส่ร่างของเหมี่ยวเฉิน

ขณะเดียวกันเจ้าเงาก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเหมี่ยวเฉินเช่นกัน เงาต้นไม้ก่อร่างขึ้นเลือนราง อ้าปากใหญ่ดูดซับอย่างรุนแรง ทันใดนั้นทั้งร่างเหมี่ยวเฉินก็มีไอพลังประหลาดแผ่ซ่านออกมาไม่น้อย

และก็ยังไม่จบ สวี่ชิงพุ่งออกไปโดยไม่ลดความเร็วอีกครั้ง ซัดไปบนเกราะคุ้มกันทีละหมัดๆ สุดท้ายภาพมายาดาบสวรรค์ก็ฟันลงมาอย่างแรง

เสียงตูมดังขึ้น ร่างของเหมี่ยวเฉินกระเด็นออกไปกว่าร้อยจั้ง ร่วงลงบนพื้นจนกลายเป็นหลุมลึกหลุมหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่คุกเข่าคารวะอยู่ไกลๆ เหล่านั้นจิตใจสั่นสะท้าน เมื่อคิดจะเข้าใกล้ เสียงคำรามด้วยความโกรธก็ดังออกมาจากในหลุมลึก

“ถอยออกไปให้หมด นี่เป็นเรื่องของข้า!”

ตอนเสียงคำรามด้วยความโกรธนี้ดังออกมา คลื่นไฟชีวิตดวงหนึ่งก็สว่างเจิดจ้าขึ้นในหลุมลึก ร่างของเหมี่ยวเฉินก้าวออกมาจากด้านใน เรือนผมสยาย ดวงตาเผยจิตสังหารรุนแรง ไฟชีวิตดวงที่สองในร่างกายก็จุดติดตามการก้าวเดินออกมา

จากนั้นก็ไฟชีวิตดวงที่สาม จนถึงไฟชีวิตดวงที่สี่ก็ก่อตัวขึ้นในชั่วอึดใจ

ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทร ช่องเวทของเขาเปิดไปแล้วหนึ่งร้อยยี่สิบช่อง สำเร็จการก่อไฟชีวิตดวงที่สี่

และอัจฉริยะฟ้าประทานเช่นนี้ก็มักจะอยู่ในช่วงสำคัญของการทะลวงขั้น เมื่อรวมกับคำพูดก่อนหน้าของเขา ก็มองออกว่าเดิมทีเขาเองกำลังปิดด่านอยู่ได้ แต่ในเผ่าสิงซากสมุทรเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาก่อน เห็นได้ชัดว่ากำลังคนเหลือไว้ไม่เพียงพอ หรือบางทีคงเพราะเขาอยากรู้อยากเห็นถึงได้มาที่นี่

แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการลงมือของสวี่ชิงที่ผสานกับวิธีการแปลกประหลาดกลับสยบเขาได้ในทันที นี่ทำให้ตัวเขาขายหน้าเหลือแสน ดังนั้นตอนนี้จึงปะทุทุกสิ่งอย่างออกมา

และพริบตาที่เขาปะทุขึ้น ร่างของสวี่ชิงก็เข้าประชิดอีกครั้ง เขามีพลังบำเพ็ญไฟชีวิตสามดวงภายใต้การจุดตะเกียงแห่งชีวิต เมื่อรวมกับกายเนื้อวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ พลังต่อสู้ที่แท้จริงของสวี่ชิงจึงไปถึงไฟชีวิตสี่ดวงแล้ว

พริบตาที่เข้ามาก็ลงมืออีกครั้ง จัดการสยบชายหนุ่มที่เดินออกมาจากหลุมลึกอีกครั้ง

และในฐานะที่เหมี่ยวเฉินเป็นผู้สืบทอดมรรคา แน่นอนว่าไม่ธรรมดา ตอนนี้สีหน้าโหดเหี้ยม ขณะโบกมือก็มีน้ำฝนสีดำหลายหยดหลอมรวมรอบตัวเขา เพียงพริบตาก็กลายเป็นมหาสมุทรสีดำ ม้วนซัดเข้าหาสวี่ชิงอย่างรุนแรง

เสียงครืนครันสะเทือนฟ้า

มหาสมุทรสีดำที่โหมขึ้นก่อตัวเป็นปากขนาดใหญ่ อ้าปากจะกลืนกินสวี่ชิงอย่างโหดเหี้ยม

ดวงตาสวี่ชิงเกิดประกายสังหาร แต่เขารู้ว่าเวลานี้ตนเองจะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้จึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ระเบิดทะเลวิญญาณของช่องเวทหกสิบห้าในร่างกายทั้งหมดออกไปด้านนอก ก่อตัวเป็นบ่อพลังเวทที่มีขนาดอาณาเขตพันจั้ง

อาศัยพลังเวทมหาศาลนี้สยบไปทางชายหนุ่มอย่างแรง

เสียงสนั่นโถมขึ้นฟ้า มหาสมุทรสีดำที่แปรมาจากวิชาเวทของชายหนุ่มพังทลายลงทันที และบ่อพลังเวทของสวี่ชิงก็พังทลายลงเช่นกัน พริบตาต่อมาไฟชีวิตสี่ดวงในร่างกายชายหนุ่มลุกโหมปรากฏที่เบื้องหน้าสวี่ชิงฉับพลัน ตะปบไปทางหัวใจของเขา

สวี่ชิงโยกร่างหลบ เสยหัวเข่าขึ้นอย่างรุนแรง

เสียงตูมดังขึ้น ทั้งสองคนตัดผ่านกัน พริบตาต่อมาเหล็กแหลมสีดำก็หวีดหวิวผ่านด้านข้าง อักขระสายฟ้าทั้งหมดบนนั้นเปล่งแสงจ้า ระเบิดออกมาอีกหลายตัว พุ่งไปเบื้องหน้าเหมี่ยวเฉินอย่างรุนแรง แทงไปที่คอของเขา

เหมี่ยวเฉินหน้าถอดสี คิดจะโยกหลบ แต่ตอนนี้เจ้าเงาก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินอีกครั้ง

สวี่ชิงก็ระเบิดความเร็วเช่นกัน เพลิงพิฆาตในร่างกายโหมขึ้น ตบลงไปที่หว่างคิ้วเหมี่ยวเฉิน

เหมี่ยวเฉินคำรามเสียงต่ำในช่วงวิกฤต พลังไฟชีวิตสี่ดวงในร่างกายแผ่ออกมาด้านนอกทั้งหมด ก่อตัวเป็นแรงปะทะกับแรงกดดันด้านพลังบำเพ็ญ ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระร้องเสียงหลงลอยคว้างกลับไป สวี่ชิงก็โดนแรงปะทะของมันไปทั้งร่าง ขณะที่อวัยวะภายในทั้งห้าสั่นสะท้าน ดวงตาเขาก็มีประกายจิตสังหาร

เพราะเจ้าเงาในตอนนี้ แม้จะถูกแรงปะทะจนกระจายออกไป แต่ยังมีบางส่วนที่สัมผัสกับร่างของชายหนุ่มอยู่ มุดเข้าไปฉับพลัน จนถึงจุดตันเถียนของอีกฝ่าย และทำเช่นเดียวกับตอนที่ดับตะเกียงดับวิญญาณเมื่อครั้งนั้น กระโจนเข้าไปยังไฟชีวิตดวงหนึ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย

ไฟชีวิตดวงนั้นก็สั่นไหวขึ้นมาจากการกระโจนเข้าไป เพียงพริบตาเดียวก็มีเค้าลางเหมือนกำลังจะมอดดับอยู่เลาๆ

ภาพนี้ ทำให้จิตวิญญาณผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรสั่นสะท้านบ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง ไฟชีวิตในร่างกายเปล่งแสงเจิดจ้า กระทั่งเหมือนวังสวรรค์จะปรากฏออกมารางๆ เพื่อสะกด คิดจะป้องกันไม่ให้ไฟชีวิตมอดดับ

และเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงสนใจโลกภายนอกไม่ได้ และเปิดโอกาสให้สวี่ชิง

สวี่ชิงเผยประกายเย็นในดวงตาออกมาจนหมดในตอนนี้ เขาไม่สนใจเรื่องเผยไต๋ขณะที่ปะทะกับความเป็นความตาย ตอนที่วิหคทองบนแผ่นหลังกำลังก่อร่าง เปลวไฟสีดำแผ่กระจายโถมขึ้นฟ้า กดลงไปที่ผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้อย่างแรง

วิหคทองด้านหลังส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้า ถลาไปอยู่เบื้องหน้าผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรคนนี้เช่นเดียวกัน ขณะที่หน้าของเขากำลังถอดสี เพลิงสีดำก็ปกคลุม ดูดซับศีรษะของเขาอย่างแรง!

หล่อหลอม!

สวี่ชิงเตรียมจะใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เจ้าเงามอบให้ จัดการหลอมอีกฝ่ายทั้งเป็น!

การลงมือของทั้งสองคนรวดเร็วไร้เทียมทาน คนนอกมองไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย ผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรดูแล้วเหมือนถูกกดดันอยู่ แต่อันที่จริงตัวเขานั้นแข็งแกร่งมาก สวี่ชิงก็งัดวิธีออกมาจนหมด ถึงได้เปรียบ

และการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่ง การได้เปรียบถือว่าสำคัญอย่างมาก

เวลานี้จากความโหดเหี้ยมในดวงตาสวี่ชิง จากการกลืนกินของวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของเขา ผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรคนนั้นก็ส่งเสียงร้องแหลม ดวงตาเขาเผยความพรั่นพรึงออกมาเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าเลือดลมของตนเองกำลังถูกสูบออกไป ศีรษะกำลังจะละลายได้ชัดเจน

และอันที่จริงก็เป็นเช่นนี้ มองไกลๆ เลือดลมทั่วร่างผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรกำลังแผ่ซ่านออกมา โดยเฉพาะใบหน้าซีกขวาที่หันไปทางวิหคทอง กำลังหลอมละลายจริงๆ!

หูขวาหายไป ใบหน้าซีกขวาบิดเบี้ยว หน้าตาหล่อเหลาของเขาตอนนี้เละเทะไปหมด!

ภาพนี้ ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่อยู่ห่างออกไปหน้าถอดสี ขณะที่พากันจิตใจสั่นสะท้าน ก็ไม่สนคำกำชับของผู้สืบทอดมรรคาอีก รีบร้อนพุ่งตัวมา

บทที่ 185 เข้าออกบ้านคนอื่น

สวี่ชิงนิ่งงัน หันหน้ากลับไปเหลือบมองนายกองผาดหนึ่ง

เขารู้สึกว่านายกองจะเข้าถึงบทบาทไปหน่อย จะพูดก็พูดออกมาสิ เสียงกระแอมเบาๆ เหมือนเสียงครางนั่น ทำให้สวี่ชิงรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก

ทว่าสวี่ชิงเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเขารู้ว่าแม้หลายวันนี้บรรพจารย์สำนักวัชระจะไม่ปรากฏตัวออกมาง่ายๆ แต่จากนิสัยของอีกฝ่าย จะต้องแอบบันทึกภาพเหล่านี้ไว้แน่นอน

ภาพบันทึกที่ล้ำค่าเหล่านี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าหลังจากนี้น่าจะนำมาใช้ได้

เขาจึงสูดลมหายใจลึกมองนายกองผาดหนึ่ง หันหน้ากลับไปไม่สนใจอีก

นายกองเลิกคิ้วงามขึ้น พอคิดจะพูดอะไรต่อ แต่ตอนนี้เอง คลื่นพลังวูบหนึ่งก็แผ่เข้ามาแต่ไกล ขณะที่ส่งเสียงครืนครันพลังตรวจสอบของค่ายกลก็แผ่มาบนเรือศึกไม้ดำลำนี้อีกครั้ง

ตอนนี้ปลาหมึกด้านล่างกำลังคลานตัวสั่นอยู่บนพื้น ยอมให้ค่ายกลกวาดผ่าน ส่วนผีเสื้อหน้าผีเหล่านั้นก็บินกระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงจ้องลงไปเบื้องล่างเขม็ง เขาเห็นว่าห่างออกไปมีสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์อย่างหนึ่งอยู่

รูปร่างสิ่งปลูกสร้างนี้เรียบง่ายมาก เป็นเพียงเสาหินขนาดยักษ์สองต้น ราวกับเป็นประตูที่ไม่มีวงกบด้านบนบานหนึ่ง มีกระแสวนสีดำกำลังโคจรสั่งครืนครันอยู่ด้านใน อัสนีสีแดงหลายสายแผ่ซ่านไปทั่วสารทิศ

นอกประตู มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรนั่งขัดสมาธิอยู่บนเห็ดหลินจือสีแดงแต่ละดอกจำนวนแตกต่างกันไป ในนี้มีทั้งชายและหญิง มีทั้งรูปร่างเหมือนเผ่ามนุษย์และรูปร่างต่างเผ่าด้วย มองเผินๆ จำนวนไม่น้อยกว่าพันคน คอยปกป้องสถานที่นี้ไว้อย่างเข้มงวด ใครก็ตามที่คิดจะผ่านสถานที่นี้เพื่อเข้าสู่กระแสวนก็ต้องผ่านพวกเขาไปทั้งสิ้น

และในนั้นยังเห็นได้ชัดว่ามีผู้แข็งแกร่งอยู่ มีสายตาหลายคู่กวาดมองมา ทำให้สวี่ชิงก็สัมผัสถึงอันตรายได้

พลังค่ายกลนี้แผ่ซ่าน ตอนที่มันกวาดมาบนเรือศึกสีดำที่สวี่ชิงกับนายกองอยู่ ตราประทับที่แปลงมาจากเผ่าสิงซากสมุทรสร้างฐานไฟสามดวงคนนั้นเปล่งแสงเจิดจ้า หลังจากตอบรับพลังของค่ายกล คลื่นค่ายกลจึงสลายหายไป

ปลาหมึกตัวนั้นถึงได้เริ่มคืบคลานไปอีกครั้ง เคลื่อนย้ายไปเบื้องหน้าอย่างระมัดระวัง ตอนที่ผ่านเห็ดหลินจือแต่ละแห่ง ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรด้านบนก็ล้วนลุกขึ้นคารวะไปทางนายกอง

“คารวะองค์หญิงสาม”

“คารวะองค์หญิงสาม”

สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบ แต่ในใจระแวดระวังอย่างยิ่ง การถูกคนมากมายจับจ้อง ถ้าไม่ระวังแล้วเผยร่องรอยออกมาแม้แต่น้อย ที่ทำมาก่อนหน้าก็พังหมด

ขณะเดียวกันกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่รวมๆ กันก็ทำให้ที่นี่มีแรงกดดันมหาศาล สวี่ชิงก็รู้สึกว่าความเร็วในการระเหยของขวดเล็กในอกของตนเองเร็วขึ้นอย่างชัดเจน ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าไม่นานนักคงจะสิ้นฤทธิ์แล้ว

และนายกองทางนั้นก็เช่นกัน ต่อให้ปลอมตัวได้เหมือนแค่เพียงใดก็ยังเผชิญหน้ากับความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นในใจเขาจึงตึงเครียดขึ้นมาเช่นกัน ล้วงเอาไข่มุกสีดำออกมาคลึงเล่นในมือไม่น้อย เผยใบหน้ารำคาญออกมา

จนตอนที่เกือบจะไปถึงประตูหินขนาดยักษ์บานนั้น จากการที่สายตารอบๆ จับจ้องมากขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆ นายกองก็โยนไข่มุกสีดำเม็ดหนึ่งออกไปด้านข้าง

เสียงครืนครันระเบิดขึ้นฉับพลัน กลิ่นอายเผ่าสิงซากสมุทรรอบๆ ทั้งหมดทยอยผันผวน

“มองพอแล้วหรือยัง”

สีหน้านายกองเปลี่ยนจากรำคาญก่อนหน้าเป็นรอยยิ้มหวานหยดย้อย แม้ใบหน้าขาวซีดของเขาจะปรากฏความอ่อนแอจนถึงขีดสุด แต่ความอ่อนแอนี้ก็ทำให้รอยยิ้มของเขาดูเหมือนยิ่งมีความงดงามจับใจมากขึ้นเล็กน้อย

เผ่าสิงซากสมุทรรอบๆ พากันนิ่งงัน ก้มหน้าลงทันที

“ประคองข้าเข้าไปด้วย” นายกองยิ้ม ลุกขึ้นเดินไปด้านหน้าเรือศึก ยกมือให้สวี่ชิง

สวี่ชิงรู้สึกเลื่อมใสการแสดงของนายกองเหลือเกิน ตอนนี้จึงก้มหน้าเดินมาประคองมือเล็กของนายกองไว้แล้วก้าวไปเบื้องหน้า ออกห่างเรือศึกไม้ดำ ออกห่างจากปลาหมึกด้านล่าง ตรงไปยังกระแสวนสีดำขนาดยักษ์เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

เมื่อสวี่ชิงกับนายกองเทียบกับกระแสวนนี้ก็เหมือนกับมดปลวกอย่างไรอย่างนั้น เล็กจ้อยไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง

ขณะเดียวกันคลื่นพลังน่ากลัวที่มาจากกระแสวนก็ทำให้สวี่ชิงกับนายกองจิตใจสั่นสะท้าน

แต่พวกเขาทั้งสองคนก็เตรียมตัวมามากพอ ตอนนี้ยังคงเดินเข้าใกล้อย่างไม่อิดออด หลังจากเข้าไปใกล้ พวกเขาก็มองตากัน ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปในกระแสวนโดยไม่มีแม้แต่ความลังเล

เมื่อเดินเข้าไป ในสมองทั้งสองคนก็ส่งเสียงครืนครันขึ้นในพริบตา ราวกับว่าเดินเข้าไปอีกมิติ ตอนปรากฏตัวก็มาอยู่ในโลกสีแดงแห่งหนึ่ง!

โลกนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก บนพื้นมีของเหลวสีแดงราวกับเป็นบ่อเลือดอย่างไรอย่างนั้น รอบๆ มีเสาหินอยู่ถึงเจ็ดสิบแปดสิบต้น

และบนเสาทุกต้นล้วนมีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่!

นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดของโลกนี้คือเทวรูปขนาดยักษ์องค์หนึ่ง เทวรูปนี้ตั้งตระหง่านโดยเท้าแช่อยู่กลางบ่อน้ำ สูงกว่าสามพันจั้ง ราวกับเป็นตัวตนค้ำสวรรค์ก็มิปาน

ทั่วทั้งร่างเป็นสีแดง ขณะที่มีรอยกระดำกระด่างเต็มไปหมด รูปร่างก็ดูเหมือนกับโครงกระดูกเผ่ามนุษย์เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ท่าทางมือก็ประหลาดอย่างมาก

มือข้างหนึ่งยกขึ้นเหมือนจะคว้าท้องนภา ส่วนอีกข้างหนึ่งกลับวางทาบไว้บนหน้าอก

ขณะเดียวกันบนเทวรูปนี้ยังมีรยางค์งอกออกมาอีกมหาศาล รยางค์เหล่านี้แผ่ออกไปรอบๆ ราวกับเส้นผ้าที่พลิ้วไหวไปตามลม มีดวงตาหลายดวงปรากฏขึ้นบนรยางค์นั้น หากมองดวงตาเหล่านั้นในความประหลาดนี้อย่างละเอียด ก็มองออกว่าด้านในมีโลกสะท้อนออกมาอยู่

โลกที่ต่างกันสะท้อนอยู่ในดวงตาเหล่านั้น ทำให้กลิ่นอายเทวรูปนี้สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แรงกดดันสั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศ ราวกับร่วมกู่ร้องไปกับเผ่าสิงซากสมุทรทั้งหมดในที่นี้

เช่นเดียวกับเผ่าสิงซากสมุทรเหล่านี้ที่เป็นสิ่งที่เปลี่ยนมาจากกลิ่นอายที่แผ่ซ่านของเทวรูปองค์นี้ และตัวเทวรูปนี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของพวกเขา

ขณะเดียวกันแรงกดดันที่นี่ก็มากกว่าโลกภายนอกอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยก็มากกว่าสิบเท่า ทำให้ขวดเล็กในตัวสวี่ชิงระเหยเร็วขึ้นเช่นกัน

และบนหน้าของนายกองก็ปรากฏรอยแตกขึ้นเหมือนการปลอมตัวจะพังทลาย แต่ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร รอยแตกถึงสมานกันอย่างรวดเร็ว แต่สวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่ไม่มั่นคงบนตัวนายกองเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ที่นี่ต่อได้นานนัก

ทั้งสองคนจิตใจสั่นสะท้าน

เทวรูปนี้ก็คือเทวรูปบรรพชนศพอันดับเจ็ดของเผ่าสิงซากสมุทรนั่นเอง

เก้าเทวรูปบรรพชนศพของเผ่าสิงซากสมุทรมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน ลำดับเจ็ดนี้ไม่ถือว่าใหญ่ที่สุด แต่ใช่ว่าจะแข็งแกร่งที่สุด จะอย่างไรในฐานะที่เป็นหนึ่งในเก้าองค์ ฐานะในเผ่าสิงซากสมุทรก็ล้วนสูงส่งอย่างมาก

ต่อให้เป็นราชาเผ่าสิงซากสมุทรก็ตาม ทุกครั้งที่เข้ามาก็ยังต้องคารวะอย่างนอบน้อม

เพราะความลับการให้กำเนิดเผ่าสิงซากสมุทรแฝงอยู่ในเก้าเทวรูปนี้ ขณะเดียวกันของเหลวด้านในบ่อน้ำสีแดงที่ก่อตัวขึ้นใต้เทวรูปก็เป็นสิ่งจำเป็นในการแปรสภาพสมาชิกใหม่ของเผ่าสิงซากสมุทรออกมา ในขณะเดียวกันยังเป็นของเหลวศักดิ์สิทธิ์รักษาอาการบาดเจ็บอีกด้วย

ในบ่อน้ำสีแดงเวลานี้มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรนับสิบคนกำลังนั่งขัดสมาธิรักษาอาการบาดเจ็บอยู่

คนที่อ่อนแอที่สุดในนี้ก็ยังอยู่ระดับดวงไฟสองดวงทั้งสิ้น ดวงไฟสามดวงมีอยู่หนึ่งคน บนตัวล้วนมีบาดแผล เห็นได้ชัดว่าเพิ่งกลับมาจากแนวหน้า

พวกเขายังไม่เท่าไร สิ่งที่ทำให้สวี่ชิงกับนายกองจิตใจผันผวนแรงกล้าอย่างแท้จริงคือเด็กในชุดคลุมสีแดงทีนั่งขัดสมาธิอยู่บนมือซ้ายตรงหน้าอกเทวรูปนั่นต่างหาก!

สวี่ชิงเคยพบเด็กคนนี้แล้วที่หมู่เกาะไข่มุกก่อนหน้า

อีกฝ่ายก็คือผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรระดับแก่นลมปราณที่เดินทางมาหมู่เกาะไข่มุกในทะเลวันนั้น!

พอมาเห็นที่นี่ สวี่ชิงก็หันหน้าไปมองนายกอง

นายกองก็ตกตะลึงเช่นกัน ยิ้มขืนตอบกลับสวี่ชิง

เห็นได้ชัดว่าข่าวของเขาผิดพลาด บางทีที่นี่ผู้คุ้มกันคนก่อนคงถูกส่งออกไป แต่มีผู้คุ้มกันคนใหม่เข้ามา

สวี่ชิงนิ่งงัน เขารู้สึกว่าตนเองบ้าคลั่งเหลือเกิน ถึงได้ยอมเชื่อนายกองแล้วมาที่นี่ด้วย

สถานที่นี้ไม่เพียงแต่มีไฟสองดวงอยู่นับสิบคน ด้านนอกยังมีผู้บำเพ็ญอีกนับพัน ขณะเดียวกันยังมีแก่นลมปราณที่ตบตนเองให้ตายได้ด้วยฝ่ามือเดียวอยู่อีกในระยะห่างที่ใกล้แค่นี้

แม้อีกฝ่ายจะกำลังนั่งสมาธิ แต่ก็นึกภาพว่าถ้าอีกฝ่ายลืมตาแล้วมองพวกเขาอย่างละเอียด ไม่แน่ว่าอาจมองเส้นสนกลในออกได้ ถึงอย่างไรแรงกดดันที่นี่ก็ทำให้การอำพรางของพวกเขาค่อยๆ สึกหรอไปแล้วกว่าครึ่ง

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าที่นี่คือเกาะดินแดนเผ่าสิงซากสมุทร ตำแหน่งที่ฐานที่มั่นอีกฝ่ายตั้งอยู่ จะปรากฏผู้แข็งแกร่งแบบใดก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น…

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สะกดความตึงเครียดในใจเปลี่ยนเป็นความเด็ดขาด เขากัดฟันกรอด ในเมื่อมาแล้วก็ต้องเอาของดีกลับมาบ้างให้ได้

ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นถึงความบ้าคลั่งที่เอ่อล้นขึ้นมาจากดวงตานายกอง ทั้งสองคนมองตากัน พุ่งไปเบื้องหน้าพร้อมกัน

จากจุดที่พวกเขาปรากฏตัวจนถึงบ่อน้ำมีระยะห่างอยู่ประมาณหลายร้อยจั้ง เวลานี้พอเดินไป ก็มีมือศพเน่าเปื่อยหลายข้างลอยขึ้นมาจากบนพื้นดิน

มือเหล่านี้ไม่ได้เข้ามาพัวพันพวกเขา แต่ยื่นออกมารองฝ่าเท้าของพวกเขา ทำให้สวี่ชิงกับนายกองค่อยๆ เดินเข้าใกล้บ่อน้ำได้ จนมาถึงที่นี่ มีผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรบนเสารอบๆ ไม่กี่คนที่ลืมตาหันมามอง

และไม่กี่คนที่ลืมตากวาดมองสวี่ชิงกับนายกอง หลังจากสังเกตเห็นว่าเป็นองค์หญิงสามก็เก็บสายตากลับไป

ส่วนเด็กระดับแก่นลมปราณคนนั้นไม่ได้ลืมตาขึ้นเช่นกัน

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงโล่งใจ เขาเห็นนายกองเหยียบลงไปในบ่อน้ำอย่างรวดเร็ว หาจุดที่อยู่ใกล้กับสองเท้าของเทวรูป หลังนั่งลงขัดสมาธิ และยังคอยเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอด เหมือนคิดจะเข้าไปสัมผัสเทวรูปใกล้ๆ อย่างไรอย่างนั้น

สวี่ชิงไม่พูดจา ย่างลงไปในบ่อน้ำเช่นเดียวกัน พริบตาที่เข้าไปเขาก็สัมผัสได้ว่าในบ่อน้ำมีพลังประหลาดวูบหนึ่งอยู่ ไม่ใช่พลังวิญญาณ และไม่ใช่ไอพลังประหลาด

ดูคล้ายกับสิ่งบำรุงที่บริสุทธิ์มากกว่า และยังมีพลังวิญญาณแฝงอยู่ด้วย ทำให้สวี่ชิงที่แค่เดินเข้าไป ช่องเวทในร่างกายก็สั่นสะเทือนรางๆ ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงแน่ใจทันทีว่าบ่อน้ำนี้มีส่วนช่วยเรื่องการเปิดช่องเวทอย่างมหาศาล

ดังนั้นเขาจึงนั่งลงอย่างรวดเร็ว กวาดตามองไปยังเผ่าสิงซากสมุทรที่รักษาอาการบาดเจ็บอยู่รอบๆ ลองสูดรับอย่างระมัดระวัง

สวี่ชิงรู้ว่าจะเปิดช่องเวทในนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นถ้าคลื่นพลังแผ่ซ่านจะชัดเจนเกินไป เพียงพริบตาคงถูกคนจับได้ ดังนั้นวิธีการที่ดีสุดคือบรรจุเอาไว้ก่อน

เมื่อบรรจุของเหลววิญญาณที่นี่ไว้ในร่างกายมากเพียงพอ หลังจากออกไป ค่อยทะลวงช่องเวทในพริบตา

ส่วนจะเปิดได้กี่ช่องเวทนั้นก็ต้องดูว่าสามารถบรรจุไว้ได้เท่าไร

สวี่ชิงดวงตาเผยความแน่วแน่ ในร่างกายโคจรพลังบำเพ็ญ กลิ่นอายสีแดงเป็นสายๆ ออกมาจากบ่อน้ำไหลเข้าไปในร่างกายของเขาพริบตา ค่อยๆ ไปรวมยังจุดตันเถียนของเขา

เมื่อของเหลววิญญาณสีแดงนี้ปรากฏขึ้นที่จุดตันเถียน ก็แผ่อานุภาพสั่นสะเทือนจิตวิญญาณออกมา ทำให้ช่องเวททั่วร่างสวี่ชิงที่ยังไม่เปิดออกสั่นสะเทือนขึ้นต่อเนื่องในจุดที่ซ่อนอยู่

ความปรารถนาวูบหนึ่งเอ่อล้นขึ้นอย่างแรงกล้าในใจสวี่ชิง

สวี่ชิงสะกดลมหายใจของตนเอง ตรวจสอบรอบด้านอย่างระมัดระวัง ทำการสูดรับต่อไป ความรู้สึกแอบขโมยของใต้จมูกศัตรูเช่นนี้…ตื่นเต้นเสียเหลือเกิน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง… รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท