บทที่ 190 เผ่นเป็นดี
แต่พวกเขาอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ไม่ทันไล่ตามมาได้ในทันที
ช่วงวิกฤตอันตราย เผ่าสิงซากสมุทรคนนี้คำรามเสียงต่ำ หยิบเอาโลงศพหยกโลงนั้นออกมาอีกครั้ง จากการกัดฟันอย่างรุนแรงโลงนี่ก็ปะทุอีกครั้ง ในขณะเดียวกับที่เกิดเป็นทะเลแสงผืนหนึ่ง ก็มีนิ้วข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในทะเลแสง จากในโลงศพหยก
นิ้วนี้เมื่อปรากฏขึ้นก็ชี้ไปที่เหนือศีรษะสวี่ชิงทันที
เสียงเปรี๊ยะๆ ดังสะท้อนไปทั่ว อันตรายรุนแรงกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งภายในกายสวี่ชิง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ถอยไปข้างหลังอย่างไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น และในเสี้ยวขณะที่เขาถอยหลังไป ผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรตนนี้ในที่สุดก็ได้พักหายใจ ร่างถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว คิดจะทิ้งระยะห่าง
แต่บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ข้างๆ ประสบเรื่องทุกข์ใจไม่หยุด ตอนนี้ก็ร้อนใจกระวนกระวาย เขาเห็นเจ้าเงาครั้งนี้สร้างคุณงามความชอบหลายต่อหลายครั้งแล้ว นี่ทำให้เกิดความรู้สึกร้อนรนอย่างรุนแรง รู้สึกว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปตัวเองจะต้องกลายเป็นหน่วยพลีชีพแน่นอน
ดังนั้นดวงตาจึงแดงก่ำ คำรามออกมาไม่เสียดายอักขระอัสนีระเบิดตัวเองหลายครั้งแลกมาซึ่งความเร็วขีดจำกัดสูงสุด พุ่งทะยานออกไป เพียงพริบตาก็ทะลุแขนของผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรที่ลนลานทำอะไรไม่ถูก
ในชั่วเสี้ยวขณะที่เลือดสาดกระเซ็นมา ผู้สืบทอดมรรคาตนนี้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระก็ถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว กลับมาด้วยความเบิกบาน
มองไกลๆ แล้ว คนทั้งสองที่อยู่ในการต่อสู้ครั้งนี้ต่างถอยกันทั้งคู่ เพียงแต่เทียบกับความอเนจอนาถน่าสังเวชของผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรแล้ว สวี่ชิงสุขุมกว่ามาก
แต่เขาก็ไม่ได้ประมาท เขารู้ดีว่ากำลังรบของเหมี่ยวเฉินไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพียงแต่เพราะสูญเสียโอกาสได้เปรียบ การลงมือราวพายุของตนและความแปลกประหลาดของเจ้าเงา อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งของกายเนื้อภายใต้วิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ ถึงทำให้เหมี่ยวเฉินก้าวเข้าสู่วิกฤตอันตรายได้ในพริบตา
แม้ในใจจะเสียดายที่ไม่อาจฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้ในทีเดียว แต่สวี่ชิงเข้าใจดีว่าไม่สามารถยื้ออยู่ต่อไปได้แล้ว
ดังนั้นในพริบตาที่ถอย ความเร็วของเขาก็ปะทุ ทะยานไปที่ไกล เจ้าเงาและเหล็กแหลมสีดำก็เข้ามาใกล้ในทันที หนีไปด้วยกัน
ส่วนผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่ไล่ตามมาจากรอบๆ ตอนนี้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่กับผู้สืบทอดมรรคาทางนั้น ส่วนที่เหลือกำลังไล่ตามสวี่ชิงมา แต่ไล่ตามมาได้ไม่กี่ก้าวแต่ละตนก็ต่างหน้าเปลี่ยนสี กระอักเลือดออกมา โดนพิษร้ายแรงเข้าแล้ว
คนที่โดนพิษยังมีเหมี่ยวเฉิน ผู้สืบทอดมรรคาที่ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรปกป้องเอาไว้ตนนั้นด้วย ตอนนี้เขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ผลักผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรรอบๆ กระเด็น จิตสังหารในดวงตาท่วมฟ้า ความอัดอั้นในใจพุ่งจนถึงขีดสูงสุด
ตอนที่เขายังมีชีวิตเขาเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานแแห่งเผ่าหยกวิญญาณ สัมผัสช่องเวทได้หนึ่งร้อยยี่สิบช่อง หลังจากที่แตกดับโดยไม่คาดฝันก็กลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทร เผ่าสิงซากสมุทรให้ความสำคัญจัดให้เขาอยู่ในอันดับราชาภายใต้การฝึกฝนอบรมอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็ก้าวสู่ขอบเขตไฟชีวิตสี่ดวง
พูดได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเผ่าหยกวิญญาณหรือเผ่าสิงซากสมุทร เขานอกจากความตายครั้งนั้นแล้วก็ไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้อีกเลย โดยเฉพาะตอนนี้ใบหน้าด้านขวาของเขาเสียโฉม หูข้างขวาละลาย นี่ทำให้เขาที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก ความบ้าคลั่งในใจถาโถมรุนแรง
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” ผู้สืบทอดมรรคาตนนี้ลูบใบหน้าด้านขวา เปลวไฟทั่วทั้งร่างลุกโชนสุดกำลัง ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงที่อยู่ไกลๆ หันกลับมามอง หรี่ตาลง ในใจเกิดความรู้สึกอย่างลองอีกครั้ง ทว่า เขาก็ต้องหน้าเปลี่ยนสีทันที
ที่ปลายขอบฟ้าไกลตอนนี้มีกลิ่นอายสามกลุ่มปะทุท่วมฟ้า ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายนี้อยู่เหนือกว่าระดับสร้างฐาน นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นลมปราณของเผ่าสิงซากสมุทร มีทั้งหมดสามตน กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว
มองไกลๆ ฟ้าดินส่งเสียงคำรามก้อง ลม เมฆเปลี่ยนสี คลื่นที่หอบม้วนเนื่องจากผู้แข็งแกร่งสามตนนี้ประดุจสวรรค์พิโรธจะลงทัณฑ์สรรพชีวิตทั้งหลาย
สวี่ชิงสูดลมหายใจ ความรู้สึกอันตรายแผ่ออกมาจากเลือดเนื้อทุกชุ่นในร่างกาย เขาไม่หยุดรั้งรีรอใดๆ โคจรพลังบำเพ็ญทั้งหมดในร่าง กายเนื้อก็เช่นกัน ทำให้ความเร็วได้รับการเพิ่มพลังจนถึงขีดจำกัดสูงสุด หนีได้เร็วยิ่งขึ้น มุ่งหน้าควบทะยานไปที่ไกล
ในขณะเดียวกัน ข้างหลังของเขาก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวระเบิดดังขึ้นมา เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นรางๆ สะท้อนก้องฟ้าดิน
“โจรชั่ว ข้าไม่เชื่อว่ากับแค่วิชาเร้นกายของเจ้าจะหนีการค้นหาของเผ่าสิงซากสมุทรไปได้!!”
เสียงคำรามนี้สวี่ชิงคุ้นเคยดี คือเด็กระดับแก่นลมปราณที่ก่อนหน้านี้ไล่สังหารนายกองนั่นเอง และฟังจากคำพูดของมัน เห็นได้ชัดว่านายกองหนีไปจากการไล่สังหารของมันได้
นี่ทำให้ในขณะเดียวกับที่สวี่ชิงคาดเดาตัวตนและพลังบำเพ็ญที่แท้จริงของนายกองมากกว่าเดิม ในใจก็ยิ่งร้อนรน เขารู้ดีว่านายกองที่เป็นตัวต้นเหตุในตอนนี้จะได้รับการไล่ล่าจากคนนับไม่ถ้วน ทว่าหากเมื่อหานายกองไม่เจอ เช่นนั้น ตนก็จะดึงดูดสายตาทุกคู่มาแน่นอน
ดังนั้นสวี่ชิงจึงมองไปทางเหล็กแหลมสีดำ
บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ในเหล็กแหลมสีดำไม่ลังเลแม้แต่น้อย เสี้ยวพริบตาต่อมาอักขระอัสนีบนเหล็กแหลมก็ระเบิดขึ้นอีกเจ็ดแปดตัวทันที แลกมาซึ่งความเร็วยิ่งขึ้น เหวี่ยงสวี่ชิงพุ่งไปข้างหน้าสุดแรง
อาศัยการเพิ่มพลังของบรรพจารย์สำนักวัชระ ความเร็วของสวี่ชิงเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง เพียงพริบตาก็ก้าวข้ามระยะพันจั้ง ก้าวออกมาจากชายขอบแดนต้องห้าม มาถึงโลกภายนอก
ในตอนที่กลิ่นอายระดับแก่นลมปราณบนท้องฟ้าจับเป้าหมายมาที่เขา เด็กระดับแก่นลมปราณข้างหลังคำราม ในเสี้ยวพริบตาที่มันมาพร้อมด้วยระลอกคลื่นน่าครั่นคร้าม สวี่ชิงก็ไม่ลังเลอะไรทั้งนั้น กระตุ้นยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนทันที
เพียงเสี้ยวพริบตา ร่างของสวี่ชิงก็รางเลือน จวนเจียนจะส่งข้ามจากไปได้แล้ว ทว่าในตอนนี้เอง เสียงแค่นจมูกก็ดังมาจากท้องฟ้าไกล
เผ่าสิงซากสมุทรสูงใหญ่สามเศียรหกกรตนนั้น กลิ่นอายระดับแก่นลมปราณทั้งร่างแข็งแกร่งมาก เหนือกว่าเด็กระดับแก่นลมปราณ
เขาอยู่ไกลมาก ชี้มาทางสวี่ชิงทางนี้
“ผนึก!”
คำนี้พูดออกมา มิติรอบๆ สวี่ชิงถูกผนึกทันใด แต่ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนในมือเขาทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เมินเฉยซึ่งการผนึกของระดับแก่นลมปราณ ยังคงโคจรเช่นเดิม กระทั่งว่าระลอกคลื่นส่งข้ามก่อตัวขึ้นแล้ว จะส่งข้ามสวี่ชิงจากไปได้แล้วเต็มที
“หืม” เผ่าสิงซากสมุทรระดับแก่นลมปราณที่อยู่ปลายฟ้าไกลดวงตาจ้องเพ่ง หยิบเอามุกเม็ดหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วบีบแหลกทันที!
“สะบั้น!”
คำนี้เพียงดังขึ้น ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนในมือสวี่ชิงก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป เหมือนเชื่อมโยงกับมุกเม็ดนั้น จากการแหลกละเอียดของมุก ยันต์ส่งข้ามก็หักแตกตามไปด้วย ในขณะที่เสื่อมฤทธิ์ ทางสวี่ชิงก็ถูกพลังวิเศษจากเผ่าสิงซากสมุทรระดับแก่นลมปราณห่อหุ้ม
พลังกลุ่มนี้มาพร้อมด้วยพลังทำลายซึ่งทุกสิ่ง ทำให้เลือดเนื้อทั่วร่างสวี่ชิงเหมือนจะฉีกขาดแห้งเหี่ยว
ช่วงวิกฤตอันตราย สวี่ชิงตาแดงก่ำ เอายันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนออกมาอีกครั้งแล้วกระตุ้น
ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนของเขามีทั้งหมดสามชิ้น ใช้ตอนอยู่บนราชรถไปหนึ่งอัน เหมือนครู่ถูกหักไปหนึ่งอัน ตอนนี้เป็นอันสุดท้ายแล้ว
ในขณะเดียวกันนี้เขาก็เรียกเรือเวทออกมาทันทีเพื่อทำการต้านทาน เสี้ยวพริบตาต่อมาเรือเวทถูกระเบิดแหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ แต่เศษเสี้ยวเนื้อจวีอิงในนั้นก็ยังต้านทานการทำลายล้างที่นี่เอาไว้ได้ ทำให้การโจมตีอันถึงแก่ชีวิตกลายเป็นอาการบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
สวี่ชิงกระอักเลือดสดๆ ออกมา กระดูกทั่วร่างหักกร๊อบ ไฟชีวิตในร่างของเขาดับไปทันที ทั้งตัวแห้งเหี่ยวเหมือนเปื่อยสลาย ยิ่งถูกการโจมตีจากแรงมหาศาลนี้เหวี่ยงขึ้นมา ตำแหน่งหลายๆ ที่ทั่วร่างหักแหลก จิตวิญญาณไม่มั่นคงบาดเจ็บสาหัสทันที
แต่จากการต้านทานนี้ ก็แลกโอกาสการส่งข้ามมาให้ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนอันสุดท้าย แม้ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณบนท้องฟ้าจะมาถึงอย่างรวดเร็ว แต่ยันต์ของสวี่ชิงเป็นยันต์ที่รองเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดมอบให้ เดิมก็เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อเนิดสร้างขึ้น มีจุดที่อัศจรรย์ไม่ธรรมดา
ตอนนี้จากการที่เขาใช้ติดๆ สองครั้ง ในเสี้ยวพริบตาที่เงาร่างของเขาลอยเอ่อด้วยเลือดสดๆ พลังส่งข้ามก็ปะทุขึ้นมา ร่างของสวี่ชิงหายไปในบัดดล!
แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่เขาหายไป ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณเผ่าสิงซากสมุทรตนนั้นก็มาถึงทันที ลอยต่ำลงบนจุดที่สวี่ชิงหายไป ทำให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดเป็นหลุมลึก ระลอกคลื่นรอบๆ ซัดโหมรุนแรง
“ยันต์ส่งข้ามที่ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดสร้าง อีกทั้งยังมีถึงสองอัน ตัวตนของคนคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ทว่าถูกคำสาปวิญญาณโลกันต์ของข้า ด้วยพลังบำเพ็ญของคนคนนี้อย่างมากสามวันก็จะต้องแตกดับแน่นอน!” สีหน้าของเผ่าสิงซากสมุทรตนนี้ย่ำแย่ หมุนตัวกะพริบวูบก็มุ่งหน้าไปแดนต้องห้าม
และในเสี้ยวพริบตาที่เขาจากไป ในขณะเดียวกับที่ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ทำให้เผ่าสิงซากสมุทรโกรธแค้นเดือดดาล ค้นหาอย่างบ้าคลั่งรอบๆ ในบริเวณที่กว้างเวิ้งว้างไกลลิบก็เกิดระลอกบิดเบี้ยวรางเลือน
บริเวณที่บิดเบี้ยวดูเหมือนไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นก็คือนายกองนั่นเอง
ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล แขนข้างหนึ่งใช้การไม่ได้แล้ว ที่เอวยิ่งมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ใกล้จะถูกฟันขาดเต็มที ทำให้ทั้งตัวเขากลิ่นอายอ่อนแรงมาก
ตอนนี้ในมือข้างเดียวที่เหลืออยู่ของเขาถือเปลือกหอยเจ็ดสีอันหนึ่งเอาไว้ เปลือกหอยอันนี้เปล่งแสงเจ็ดสีออกมา มีผลอันน่าอัศจรรย์ในการแอบซ่อนอำพราง ทำให้ตัวตนของเขาพร้อมทั้งกลิ่นหายล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่ก็คือวิธีที่ทำให้นายกองหนีการไล่ฆ่าของผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณเผ่าสิงซากสมุทรมาได้ แต่ตอนนี้เขาอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
เขามองสวี่ชิงบีบยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนจากไปตาปริบๆ เดิมยังคิดจะมาทักทาย แต่ภาพที่เห็นทำให้เขาตัวสั่น
“ไม่อยู่แล้วหรือ ไปแล้วอย่างนั้นหรือ ส่งข้ามหนีไปแล้วหรือ ข้า…”
นายกองพลันกรีดร้องคร่ำครวญในใจ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เปลี่ยนไปแปลกๆ ตัวเองก็แค่แทะไปทีหนึ่งเท่านั้น ทำไมจมูกเทวรูปจึงระเบิดเล่า
ความจริงจนถึงตอนนี้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยสงสัยสวี่ชิง แต่พอแทะครั้งนั้นจมูกก็ระเบิดทันที ความถี่ก็พอๆ กัน ทำให้ตัวเขาคิดว่ามีโอกาสสูงมากที่เกิดจากตัวเอง
“ตาแก่ไม่ได้พูดแบบนี้นี่นา ตอนนั้นเขาไม่ได้ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้…” นายกองถอนหายใจยาว ในขณะเดียวกับที่หนีไปด้วยหน้าตากลัดกลุ้มทุกข์ระทม ในใจก็มีความภูมิใจเล็กน้อย
“แต่เรื่องนี้พูดในอีกมุมหนึ่งก็คือข้าเก่งกาจกว่าตาแก่ เรื่องวันนั้นนี้…เร้าใจ!”
นายกองสูดลมหายใจลึก ในขณะเดียวกับที่ในใจเกิดความภาคภูมิใจ รอบๆ ก็เกิดเสียงดังกึกก้อง กลิ่นอายระดับแก่นลมปราณแต่ละทางๆ ปะทุ กระทั่งว่ามีกลิ่นอายระดับปราณก่อกำเนิดแผ่มาจากที่ไกล
นี่ทำให้นายกองก้มหน้าทันที คลานไปกับพื้นขยับไปทีละนิดๆ ด้านหนึ่งก็เพื่อแอบซ่อน อีกด้านหนึ่งคือเขากลัวความเคลื่อนไหวชัดเกินไป ตัวเองจะตายจริงๆ…
“อย่างมากก็แค่ทิ้งท่อนล่างก็ได้แล้ว…”
ผ่านไปเช่นนี้สามวัน
จากการบ่มเพาะของเรื่องนี้ เผ่าสิงซากสมุทรทั้งเผ่าโกรธแค้นเดือดดาลโดยสมบูรณ์ ค้นหาอย่างบ้าคลั่งทุกขอบเขต ความจริงแล้วเรื่องนี้สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรแล้วรุนแรงสุดขีด ความอัปยศยิ่งไม่อาจพรรณาได้
เพราะภาพที่เด็กระดับแก่นลมปราณกังวลเกิดขึ้นแล้ว
เวลาสามวัน จมูกของเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดก็ยังไม่คืนสภาพกลับมา
ตอนนี้ ข้างหน้าเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ด เด็กระดับแก่นลมปราณก้มหน้า สีหน้าซีดเผือด ข้างๆ เขามีผู้บำเพ็ญกลางคนยืนอยู่
ผู้บำเพ็ญกลางคนคนนี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ ที่หลังมีปีกสองข้าง กลิ่นอายทั่วทั้งร่างเก็บลงไป แต่เขาอยู่ตรงนั้นกลับทำให้เด็กระดับแก่นลมปราณสั่นสะท้าน
“ท่านโหวอั้นจั่ว เรื่องนี้ข้า…”
“อิงหลิง เรื่องนี้ราชาพิโรธนัก” ผู้บำเพ็ญกลางคนคนนั้นเงยหน้าต้องเพ่งเทวรูปที่เนื่องจากไม่มีจมูกจึงดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง และจ้องมองท่าทีของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรสามสี่ตนที่กำลังสำรวจและลองซ่อมแซมตรงนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ร่างของเด็กระดับแก่นลมปราณสั่นเทิ้มรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ไม่นานนัก ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่อยู่ตรงจมูกเทวรูปเหล่านั้นก็มายังข้างหน้าโจวอั้นจั่วคนนั้นด้วยสีหน้าอัดอั้นและจนปัญญา เอ่ยขึ้นอย่างเคารพนอบน้อมว่า
“ท่านโหว การแตกสลายของเทวรูปแปลกประหลาดนัก พวกข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจซ่อมแซมได้ นอกเสียจากว่าจะนำชิ้นส่วนที่หายไปทั้งสองชิ้นนั่นกลับมา บางทีอาจจะมีหวัง”
โหวอั้นจั่วเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
“ความหมายของพวกเจ้าก็คือ หนึ่งในวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าสิงซากสมุทร เทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดองค์นี้ นับจากนี้เป็นต้นไปก็จะปรากฏต่อหน้าคนในเผ่าด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่มีจมูก เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”
บทที่ 186 เกิดเรื่องแล้ว…
แดนที่ตั้งเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดเงียบมาก
ปกติที่นี่ไม่มีระลอกคลื่นรุนแรงอะไรอยู่แล้ว เผ่าสิงซากสมุทรก็ไม่ยอมให้เผ่ามนุษย์มาทะลวงขั้นที่แดนที่ตั้งเทวรูปเช่นกัน
ดังนั้นความเงียบสงบของที่นี่ก็เป็นเช่นนี้เสมอมา
และการรักษาก็ต้องมีคุณสมบัติ นอกจากผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่งบางคนแล้ว ไม่เช่นนั้นก็มีเพียงผู้ที่สร้างคุณูปการให้กับเผ่าเหล่านั้นถึงจะได้รับอนุญาตให้มารักษาในบ่อเลือดใต้เทวรูปได้ นี่ก็ทำให้ผู้บำเพ็ญที่นี่เทียบกันแล้วมีจำนวนไม่มาก
ตอนนี้เนื่องจากเป็นช่วงสงคราม ดังนั้นจึงมีมากกว่าปกติเล็กน้อย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ความสงบของที่นี่ก็ยังเหมือนกับที่ผ่านมา ไม่มีใครกล้าลบหลู่ที่นี่
ในขณะเดียวกันหลายปีมานี้แดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าสิงซากสมุทรก็น้อยนักที่จะมีเหตุคนต่างเผ่าบุกเข้ามา ในเมื่อภายใต้การป้องกันเป็นชั้นๆ ทั้งยังมีค่ายกลคัดกรอง คิดอยากจะบุกรุกเข้ามาก็ยากยิ่งนัก
แต่เรื่องแบบนี้ก็แค่เกิดขึ้นน้อยครั้ง ใช่ว่าไม่มี ในประวัติศาสตร์เผ่าสิงซากสมุทรความจริงแล้วเกิดเรื่องประเภทนี้หลายครั้ง
ในอดีตผู้ที่บุกรุกเข้ามาที่นี่ จุดประสงค์ไม่ใช่ดูดซับบ่อเลือดของที่นี่ แต่มาเพื่อตัวเทวรูป
เทวรูปทั้งเก้าของเผ่าสิงซากสมุทรเป็นวัสดุที่พิเศษมาก ในโลกนี้พบเห็นได้น้อย แทบจะมีเพียงรูปสลักเก้ารูปนี้เท่านั้นที่มี ดังนั้นจึงดึงดูดความสงสัยใคร่รู้และการลอบสังเกตจากเผ่าต่างๆ
เพียงแต่วัสดุของเทวรูปแข็งแรงมาก อีกทั้งต่อให้แตกก็สามารถฟื้นสภาพกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับเผ่าสิงซากสมุทรก็ไม่ใช่ใครจะมาสยบได้ ดังนั้นจึงดูแลรักษาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ดี
แน่นอน หากผู้มาเยือนพลังน่าครั่นคร้ามก็สามารถทำลายมันได้ แต่ว่าผู้มีพลังน่าตื่นตะลึงเหล่านั้นส่วนมากก็ไม่แฝงตัวเข้ามา สามารถอาศัยพลังของตัวเองยื่นข้อเสนอให้เผ่าสิงซากสมุทรให้ความร่วมมือ
ในขณะเดียวกันหากวัสดุของเทวรูปไปจากเกาะเผ่าสิงซากสมุทรก็จะกลายเป็นวัตถุธรรมดา สูญเสียความน่าอัศจรรย์ไป
ดังนั้นแล้ว จากวันเวลาที่ไหลผ่านไป หลังจากประสบกับการสืบสำรวจจากเผ่าแข็งแกร่งครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเผ่าสิงซากสมุทรก็รักษาเทวรูปทั้งเก้าเอาไว้ได้ คนที่หมายตาก็ค่อยๆ น้อยลง
ยิ่งเป็นเพราะสามารถฟื้นสภาพเองได้ ดังนั้นดูแล้วจึงไม่มีความเสียหายใดๆ
แน่นอน ก็มีข่าวลือกันว่า เทวรูปเผ่าสิงซากสมุทรแต่เดิมไม่ใช่เก้าองค์ แต่มีมากกว่านั้น เพียงแต่ตอนนี้เผ่าสิงซากสมุทรรักษาเอาไว้ได้แค่เก้าองค์ก็เท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรนี่ก็เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา ไม่ว่าใครก็ตามที่หมายตาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาล้วนชิงชังนัก
ต่อให้ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่เรื่องแบบนี้สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรแล้วคือความอัปยศอย่างหนึ่ง
การแฝงตัวครั้งล่าสุดคือเมื่อหกสิบปีก่อน คนที่แฝงตัวเข้ามาคนนั้นตอนนั้นยังเป็นเพียงระดับสร้างฐาน ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรมาที่นี่และดูดซับวารีศักดิ์สิทธิ์ไปจำนวนมหาศาล และหนีรอดออกไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้นเผ่าสิงซากสมุทรโกรธแค้นเดือดดาลนัก ไล่ล่าสังหารอยู่หลายปี แต่ผู้นั้นก็มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม หลังจากรอดพ้นจากอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า ก็มีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งชมชอบ รับไว้เป็นลูกเขย นี่ถึงทำให้เผ่าสิงซากสมุทรจำต้องพักเรื่องนี้ไปก่อนชั่วคราว ภายหลังก็รักษาป้องกันหนาแน่นยิ่งขึ้น
และผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานในตอนนั้นก็ผงาดขึ้นในร้อยปีมานี้ กลายเป็นนายท่านเจ็ด…แห่งยอดเขาลำดับเจ็ดสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
วันนี้ข้างเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดของเผ่าสิงซากสมุทรก็เกิดเรื่องในประวัติศาตร์ขึ้นอีกครั้ง
สวี่ชิงดูดซับอย่างระมัดระวัง วารีศักดิ์สิทธิ์สีเลือดที่สะสมในร่างค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น กลิ่นอายที่ทำให้ช่องเวทกระหายที่แผ่ซ่านในนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ในขณะเดียวกัน อันตรายรอบๆ และผู้แข็งแกร่งระดับแก่นลมปราณที่อยู่เหนือศีรษะล้วนทำให้เขาใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ดูดซับไปด้วย สังเกตรอบๆ ที่นี่อย่างระมัดระวังรอบคอบไปด้วย
‘จะโลภมากไม่ได้ พอประมาณก็พอแล้ว ในกายข้าดูดซับจนเต็มที่ก็ไปจากที่นี่’ ในขณะเดียวกับที่สวี่ชิงเตือนตัวเองในใจ เห็นไม่มีใครสังเกตเขาตรงนี้ ดังนั้นก็ดูดซับไวยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น เจ้าเงาตอนนี้ก็ดำลงไปในสระน้ำอย่างเงียบงันเช่นกัน หลังจากที่ดวงตาร้อยกว่าดวงบนนั้นกะพริบพร้อมกัน มันก็ดูดซับด้วยหน้าตาที่อยากรู้อยากเห็น จากนั้นดวงตาทุกดวงก็หรี่ลง เหมือนกำลังเคลิบเคลิ้ม ดูดซับอย่างรวดเร็ว
เห็นแบบนี้ สวี่ชิงก็ครุ่นคิด แอบเอาเหล็กแหลมสีดำออกมาวางในสระน้ำ บรรพจารย์สำนักวัชระทางนั้นก็สั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด ดูดซับไปเล็กน้อยดวงตาก็เป็นประกายเช่นกัน
‘ดูดซับได้หมด มีผลหมดอย่างนั้นหรือ’
สวี่ชิงตื่นตะลึง หลังจากคิดแล้วก็แอบสำแดงวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณเล็กน้อย ทันใดนั้นตราประทับสัญลักษณ์ข้างหลังของเขาก็กะพริบเล็กน้อยภายใต้การควบคุมของสวี่ชิง ของเหลวสีแดงมหาศาลไหลทะลักเข้าไปในภาพสัญลักษณ์
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงตื่นเต้นยินดีนัก
และการดูดซับอย่างรวดเร็วจากเขาทางนี้ นายกองก็สังเกตได้อย่างรวดเร็ว ดวงตาแดงก่ำ ในใจเจ็บใจนัก
สวี่ชิงดูดซับได้เร็วกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด นี่ทำให้นายกองเสียหน้ามาก ดังนั้นจึงมองไปรอบๆ หลังจากเห็นว่าไม่มีใครสังเกต เขาก็เอาขวดใบเล็กออกมาใบหนึ่ง วางไปในน้ำแล้วดีดหนึ่งที
ทันใดนั้นวารีศักดิ์สิทธิ์สีเลือดจำนวนมหาศาลก็ไหลเข้าไปในนั้นจากปากขวด
ขวดใบนี้ก็น่าอัศจรรย์นัก บรรจุได้ปริมาณมหาศาล แค่ใช้เวลาไม่นานก็เต็ม หลังจากที่บรรจุเอาไว้อย่างเงียบเชียบ ก็เอาออกมาอีกใบหนึ่งแล้วเริ่มบรรจุอีกครั้ง
เช่นนี้แล้ว เขาก็ดูดซับไปด้วย ใช้ของบรรจุไปด้วย ดูดซับได้ไม่ช้าไปกว่าสวี่ชิงเลย
สวี่ชิงก็สังเกตเห็นภาพนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงขมวดคิ้วกวาดตามองนายกองแวบหนึ่ง นายกองก็มาทางเขา ในดวงตาฉายความท้าทายออกมา
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขารู้ว่านายกองเป็นคนบ้า ดังนั้นไม่มีทางไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนบ้าแน่นอน ขณะเดียวกันก็เตือนตัวเองต่อไปว่าจะละโมบไม่ได้ เอาแค่พอประมาณก็พอแล้ว หลังจากที่อีกเดี๋ยวคนดูดซับได้เต็มที่แล้ว เจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระหรือจะเป็นวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ ไม่ว่าใครถึงขีดจำกัดสูงสุดก็ตาม ตนก็จะจากไป
เพียงแต่ตอนนี้เจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระอีกทั้งตัวเขาล้วนยังดูดซับไม่พอ ดังนั้นสวี่ชิงคิดๆ แล้วก็ค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้รูปปั้น
เขาสัมผัสได้แล้วว่ายิ่งเข้าใกล้รูปปั้นก็เหมือนว่าคุณภาพของวารีศักดิ์สิทธิ์สีเลือดจะยิ่งดีขึ้น
ตอนนี้ในขณะที่ขยับ จากการเข้าไปใกล้รูปปั้น สวี่ชิงก็มีความตื่นเต้นยินดีเต็มอก เขาพบว่าความเร็วในการดูดซับของตัวเองเร็วขึ้น เจ้าเงาเองก็เช่นกัน ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระไร้ประโยชน์ที่สุด ยืนหยัดได้ไม่เท่าไรก็ถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว
สวี่ชิงกวาดตามองเหล็กแหลมสีดำอย่างไม่ค่อยพอใจนัก หลังจากเก็บมันเขาก็คิด
“อืม อีกเดี๋ยวเจ้าเงากับข้าดูดซับได้จนเต็มที่ก็ไปทันที!”
หลังจากมีแผนนี้ สวี่ชิงก็ค่อยๆ ขยับไปข้าๆ ไม่นานนักเวลาหนึ่งก้านธูปก็ผ่านไป เขามาถึงใต้เท้าของรูปปั้นอย่างเงียบเชียบ
ในขณะเดียวกัน ทางนายกองหลังจากสังเกตเห็นการกระทำของสวี่ชิงก็ขยับไปทางเทวรูปเช่นกัน ยามสวี่ชิงมาถึงข้างเท้าเทวรูปข้างหนึ่ง นายกองก็ไปถึงข้างเท้าอีกข้างหนึ่งเช่นนี้เอง
เขารู้สึกว่าสวี่ชิงบ้าคลั่งเกินไปแล้ว ตอนนี้ดูดซับนานขนาดนี้ยังไม่ยอมจากไปอีก
“ไม่ได้ ข้าจะแพ้ลูกน้องตัวเองไม่ได้ หึๆ สู้เรื่องความบ้าระห่ำกับข้าหรือ” นายกองพึมพำในใจ หยิบขวดออกมาทีเดียวสิบขวด แล้วเริ่มบรรจุอีก
สวี่ชิงเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้ว
“นายกองโลภเกินไปแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไปจะถูกจับได้ง่าย ข้าจะอยู่ที่นี่นานเกินไปไม่ได้ เอาแค่พอประมาณ จะโลภไม่ได้!”
สวี่ชิงพึมพำ ดูดซับไม่หยุด ครึ่งก้านธูปผ่านไป เขาก็ค้นพบอย่างเสียดายว่าปริมาณของของเหลวสีเลือดในกายมาถึงขีดจำกัดสูงสุด ไม่สามารถดูดซับได้อีกต่อไปแล้ว และทั้งตัวของเขาแม้จะดูเหมือนเป็นปกติ แต่สวี่ชิงกลับมีความรู้สึกเหมือนอิ่มท้องจะแตก
ขณะเดียวกัน เจ้าเงาก็แผ่ระลอกคลื่นอารมณ์ดูดซับจนเต็มแล้วเช่นกัน ไม่สามารถดูดซับได้อีก
สวี่ชิงสัมผัสวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของตัวเองเล็กน้อย เหมือนว่าจะยังดูดซับได้อีก ดังนั้นจึงหันหลังให้กับเทวรูป ให้แผ่นหลังแนบไปกับรูปสลัก
‘จะโลภไม่ได้ แต่ว่าข้าและเจ้าเงากับเหล็กแหลมล้วนดูดซับเต็มที่แล้ว เหลือแค่วิหคทองเท่านั้น…’ สวี่ชิงพึมพำในใจ โคจรวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณเงียบๆ และตอนนี้หลังของเขาก็แนบไปกับเทวรูปแล้ว ดังนั้นเมื่อโคจร พลังต้นกำเนิดเดียวกันในรูปสลักและในสระน้ำก็ทะลักเข้ามาทันที
ผิวน้ำรอบๆ เกิดระลอกขึ้นรางๆ สวี่ชิงรีบควบคุมการดูดซับอย่างหวาดผวา นี่ถึงทำให้ระลอกคลื่นหายไป
หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น ค่อยๆ ดูดซับช้าๆ
นายกองดวงตาเบิกกว้าง มองสวี่ชิงแล้วมองขวดรอบๆ ตัวเอง กัดฟันกรอดแล้วเอาขวดออกมาอีกสิบใบ เริ่มเร่งความเร็วดูดซับ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป…จู่ๆ ลมหายใจสวี่ชิงก็หอบถี่ขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
ตอนนี้ในความรู้สึกของเขา จากการที่สำแดงวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณกับเทวรูปนี่ ในเทวรูปนอกจากจะทะลักเลือดลมมหาศาลออกมาแล้ว ยิ่งมีคลื่นพลังใต้น้ำกลุ่มหนึ่งก่อตัวอย่างรวดเร็วในตำแหน่งที่ตนแนบกับรูปสลักอยู่รางๆ
คลื่นพลังใต้น้ำนี้อยู่ในรูปสลัก คนนอกมองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ มีเพียงสวี่ชิงที่สำแดงวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณเท่านั้นจึงสัมผัสได้ ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนในการดูดซับนี้หลอมรวมสิ่งแปลกปลอมไว้จำนวนมาก
และสิ่งแปลกปลอมพวกนี้ไม่อาจออกไปจากในรูปสลักได้ ถูกสกัดเอาไว้ข้างใน ดังนั้นจึงสะสมไม่หยุด ยิ่งไปกว่านั้นในนั้นยังแผ่ซ่านระลอกคลื่นที่ทำให้สวี่ชิงหวาดผวาออกมา
ระลอกคลื่นนี้ไม่เสถียรเลย เพียงแค่กระตุ้นเล็กน้อยก็จะระเบิดทันที
นี่ทำให้สวี่ชิงหวาดกลัวมาก โดยเฉพาะเขารู้สึกเลาๆ ว่า พลังที่อยู่ในคลื่นพลังใต้น้ำน่ากลัวมาก เขารู้สึกว่าเมื่อมันระเบิดออกตัวเองอยู่ใกล้ขนาดนี้ก็จะต้องถูกกลืนกินไปด้วยแน่นอน
และในการระเบิดที่น่ากลัวขนาดนี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงวิกฤตความเป็นตายอย่างรุนแรง
“เจ้านี่หากระเบิดจะต้องสร้างปฏิกิริยาตอบสนองอื่นๆ ในรูปปั้นแน่นอน…อันตรายเกินไป” สวี่ชิงระแวดระวังขึ้นมาทันที ค่อยๆ ลดการดูดซับ เก็บวิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ ระมัดระวังโดยไม่ไปกระตุ้นวัตถุคลื่นพลังใต้น้ำนั่น จบสิ้นการดูดซับ
จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าคลื่นพลังใต้น้ำนั่นหลังจากที่ไม่มีการดูดซับของตัวเขาก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไปตามภายในของรูปปั้น อีกทั้งยังไม่เสถียรยิ่งกว่าเดิม
สวี่ชิงเงยหน้า หลังจากมองเด็กระดับแก่นลมปราณที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนมือใหญ่เหนือรูปสลัก เขาก็ลุกขึ้นอย่างเงียบๆ ไม่กล้าขยับเร็วเกินไป สะกดความตึงเครียดในใจ เดินออกไปข้างนอก
การกระทำของสวี่ชิงทำให้นายกองอึ้งตะลึง ในตอนที่มองมาที่สวี่ชิง สวี่ชิงก็ส่งสัญญาณสายตาให้เขา
นายกองลังเลเล็กน้อย ในขณะที่ลุกขึ้นในดวงตาของเขาก็ฉายความสับสนและไม่ยอมจำนนออกมา เขารู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองทำครั้งนี้ไม่ค่อยสะใจเท่าไร อีกครั้งระดับความบ้าคลั่งก็สู้ตาแก่นั่นไม่ได้เลย
เขารู้สึกว่าจากไปแบบนี้ หากไม่มีใครรู้จากไปได้อย่างราบรื่นก็ช่างเถิด
แต่หากออกไปข้างนอก มีคนค้นพบฐานะตัวตนเข้า เช่นนั้นก็ขาดทุนอย่างเห็นได้ชัดเลย
“ในเมื่อออกไปมีความเป็นไปได้สูงว่าจะมีคนค้นพบ ทำเรื่องใหญ่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีคนค้นพบ เช่นนั้นข้าย่อมต้องทำเรื่องใหญ่ไปเลย หลังจากที่ตาแก่นั่นรู้ก็จะต้องถอนใจว่าสู้ข้าไม่ได้!” นายกองหลังจากครุ่นคิด ในดวงตาก็ฉายความบ้าระห่ำออกมา
สวี่ชิงเดินออกไปข้างนอกพลางส่งสัญญาณสายตาให้นายกอง ตอนนี้เห็นความบ้าคลั่งในตาเขา สวี่ชิงหัวใจหล่นวูบ แอบพูดในใจว่าแย่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เร่งความเร็วทันที
ในขณะเดียวกัน ทางนายกองก็หายใจหอบถี่ จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา มือขวากุมเข้าไปในอก ควักเนื้อชุ่มเลือดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายคุณสมบัติเทพชิ้นหนึ่งออกมา เนื้อก้อนนี้เพียงปรากฏออกมา ก็เกิดระลอกคลื่นน่าครั่นคร้ามขึ้นรอบๆ ทันที
แทบจะในเสี้ยวขณะเดียวกับที่ระลอกคลื่นนี้แผ่มา นายกองก็ยัดเนื้อชิ้นนี้เข้าปาก หลังจากกลืนลงไปแล้วทั่วร่างของเขาก็ส่งเสียงดังบึ้ม ปะทุแสงทองแสบตาออกมา ทำให้เผ่าสิงซากสมุทรทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ต่างตกใจตื่นในทันที
ไฟชีวิตในร่างนายกองเปิดออกทั้งหมดในทันที ปลดผนึกออกท่ามกลางรัศมีอำนาจส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ทั้งตัวเปล่งประกายแสงทองหมื่นจั้ง กระโจนไปที่ข้างนิ้วเท้าเทวรูปทันที ไม่สนใจเผ่าสิงซากสมุทรรอบๆ ไม่สนใจระดับแก่นลมปราณข้างบน เขาอ้าปากไปทางนิ้วเท้าของเทวรูปบรรพชนศพ แล้วกัดไปเต็มแรง!
กร๊อบ!
