บทที่ 197 ยอดนักแสดง
ฟ้าราตรี ลึกล้ำ
แสงจันทรา เย็นเยือก
ฝนโปรย พัดสาด
จันทร์ส่องสกาวสูงเด่นราวจานเงินบนท้องฟ้าราตรีสุดลึกล้ำ มาพร้อมกับแสงจันทร์เย็นเยือกวูบหนึ่ง หลอมรวมเข้ากับน้ำฝนที่หลั่งรินลงมากะทันหัน ส่องสะท้อนอ่าวท่าเรือของเจ็ดเนตรโลหิตจนส่องแสงระยิบระยับ เฉกเช่นเดียวกับที่กำลังหลั่งไหลเป็นหยาดหยดอยู่บนชายคาด้านนอกหอตระหนักฝัน
หยาดฝนรวมเป็นสาย สายฝนก่อตัวเป็นม่าน
แสงจันทร์ไม่ทันได้เบี่ยงหลบ ส่องสะท้อนเงาสลัวออกมา
ราวกับเป็นภาพวาดราตรีที่สีลึกล้ำยิ่งกว่าเดิมสะท้อนบ้านเพียงครึ่งหลังอย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะภาพที่แสงจันทร์และสายฝนอยู่ด้วยกัน เห็นได้ไม่บ่อยนัก
ตอนนี้ บนถนนที่เลือนรางด้วยม่านฝน ร่างในชุดนักพรตสีเทาร่างหนึ่ง กางร่มกระดาษสีขาว สาวเท้าเดินเข้ามา
มองไม่เห็นหน้าค่าตาของคนที่อยู่ใต้ร่ม แต่ร่างกายที่สูงชะลูดท่วงท่าองอาจ จนถึงกลิ่นอายที่แผ่ซ่านขณะที่ก้าวเดิน ทำให้หลังจากที่น้ำฝนเข้าใกล้กลายเป็นหมอกฝนผ่านข้างกายไปแผ่วเบา
หลั่งไหลไปในระลอกที่เกิดขึ้นจากการเหยียบย่างบนพื้นของพื้นรองเท้า ทีละวง ทีละผืนติดต่อกัน
ร่างเงาใต้ร่มฝั่งหนึ่ง ในเงามืดใต้ชายคาหัวมุมถนนยังมีคนอีกสองคน คนหนึ่งถือร่ม อีกคนหนึ่งไม่สนใจฝนที่สาด รีบร้อนเดินตามมา
คนที่มาคือสวี่ชิง
ส่วนใต้ชายคานั้นคือเจ้าใบ้กับสวีเสี่ยวฮุ่ย
แม้ตอนนี้จะเป็นกลางคืน แต่สำหรับเขตถนนที่คึกคักสายนี้ สิ่งบันเทิงทั้งหมดก็เหมือนจะเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ร้านรวงทั้งสองด้านแต่เดิมมีเสียงผู้คนจอแจ เสียงชนแก้ว หัวเราะเบิกบาน เสียงประจบประแจงเชื้อเชิญก็ยังมี
โดยเฉพาะนอกจากร้านรวงที่หรูหราแล้ว ยังมีศิษย์ที่กลิ่นอายไม่ธรรมดาอีกไม่น้อย ราวกับกำลังพิทักษ์ที่นั่นอย่างไรอย่างนั้น ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นพวกผู้ติดตามคนใหญ่คนโตที่กำลังสรวลเสเฮฮาอยู่ด้านในร้านเหล่านี้
เป้าหมายที่สวี่ชิงค้นหา ก็อยู่ในนี้ด้วย
นั่นเป็นชายหนุ่มผอมแห้งคนหนึ่ง เขายืนอยู่ใต้ชายคาหอตระหนักฝัน เดิมทีกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับศิษย์หญิงข้างกายคนหนึ่ง แต่พริบตาต่อมา จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เงยหน้ามองไปทางหัวมุมถนน
ไม่เพียงแค่เขา ร้านรวงทั้งหมดทั้งถนนสายนี้ ก็เงียบสงัดกันหมดทันที
การมาของสวี่ชิง ไม่ได้มีเจตนาที่จะแผ่พลังบำเพ็ญออกมา แต่ปราณพิฆาตบนตัวเขารวมถึงคลื่นพลังที่เกิดจากช่องเวททั้งหกสิบห้าช่อง ก็ยังทำให้คนที่สังเกตเห็นทั้งหมดพากันใจสั่นสะท้าน
ดังนั้นสายตาส่วนใหญ่จึงค่อยๆ จดจ้องมาจากสถานที่ที่ต่างกัน
สวี่ชิงยังสีหน้าปกติท่ามกลางสายตาของคนเหล่านี้ สาวเท้าเดินไปด้านหน้าหอตระหนักฝัน
ร่างของงูใหญ่ยื่นออกมาจากด้านในจากหน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสองที่เปิดออก ส่งเสียงฟ่อๆ อย่างดีอกดีใจไปหาสวี่ชิง สวี่ชิงเลื่อนร่มออกไป เงยหน้าขึ้นมองงูใหญ่
เขาอมยิ้ม
ใต้แสงจันทร์ กลางสายฝน รอยยิ้มของเด็กหนุ่มทำให้เสียงของงูใหญ่หยุดลงครู่หนึ่ง
ราวกับว่าทั้งร่างอ่อนยวบ จะเลื้อยออกมาหาตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกชายชราถนนทองผุดด้านหลังคว้าเอาไว้ จ้องมองสวี่ชิงเคืองๆ อย่างระมัดระวังสุดขีด
สวี่ชิงถอนสายตากลับมา มองไปที่ชายหนุ่มผอมแห้งที่กำลังสั่นเครือด้านนอกหอตระหนักฝัน
จิตใจชายหนุ่มมีเสียงครืนครันโถมฟ้าก่อตัวขึ้น ลมหายใจเขาหอบถี่จนควบคุมไม่ได้ ดวงตายิ่งเจ็บปวด ร่างเงาสวี่ชิงที่ดวงตามองเห็นก็ราวกับเป็นเทพเจ้า บิดเบี้ยวความว่างเปล่ารอบด้าน
ราวกับว่า ร่างกายของอีกฝ่ายกลายเป็นกระแสวนขนาดยักษ์ สามารถกลืนกินตนเองทั้งหมดได้ในเสี้ยววินาที
ความหวาดกลัวรวมถึงความน่าสะพรึง ก็เอ่อล้นออกมาอย่างบ้าคลั่งไปทั้งตัวชายหนุ่มคนนี้ ขณะที่ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเลือดเนื้อทั้งหมดก็ส่งเสียงกรีดร้อง กำลังบอกกับเขาว่าตอนนี้กำลังอันตรายถึงขีดสุด
เพราะว่า เขาไม่เพียงแต่มองเห็นสวี่ชิง และยังมองเห็นสวีเสี่ยวฮุ่ยที่ติดตามสวี่ชิงมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังเขา!
เขาเคยเจอสวีเสี่ยวฮุ่ย สามเดือนก่อนหลังจากที่จัดการมดปลวกโจวชิงเผิงคนนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีคนกำลังตรวจสอบเรื่องนี้ จึงแอบจับตาดู และก็พบกับสวีเสี่ยวฮุ่ยที่กำลังหาเบาะแสเหมือนลูกกวางบาดเจ็บไร้ที่พึ่ง
เดิมทีเขาไม่คิดจะสนใจคนอ่อนแอที่ตบให้ตายได้ด้วยฝ่ามือเดียวเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทีเปราะบางในสถานการณ์นั้นของสวีเสี่ยวฮุ่ย เขาก็รู้สึกสนใจจึงแสร้งเข้าไปช่วยเหลือ เล่นด้วยสักพักก็เบื่อหน่ายไม่สนใจนางอีก
แต่ตอนนี้ ใจของเขาสั่นเทา
เขารู้จักสวี่ชิง รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายชื่อเสียงเลื่องลือไร้เทียมทาน ก่อนที่เขาจะสังหารโจวชิงเผิง ก็รู้มาว่าสวี่ชิงกับโจวชิงเผิงเข้ามารุ่นเดียวกัน แต่ก็แค่รุ่นเดียวกันเท่านั้น
ในเจ็ดเนตรโลหิต รุ่นเดียวกันไม่สำคัญ ที่นี่ล้วนเป็นที่เลี้ยงกู่ จะไปมีสิ่งที่เรียกว่ามิตรไมตรีอยู่ได้อย่างไร
ดังนั้นต่อให้เป็นตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องจริงเลย กระทั่งรู้สึกว่าบางทีน่าจะไม่ใช่อย่างที่ตนเองคิดเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงเดินมา ขาจึงฝืนกลั้นอาการสั่นเทา ก้มหน้าคารวะทันที
“คา…คารวะ..อาจารย์อาสวี่”
“เป็นเขาใช่หรือไม่” สวี่ชิงเบนสายตาไปหาเจ้าใบ้กับสวีเสี่ยวฮุ่ย
เจ้าใบ้พยักหน้าอย่างนอบน้อม สวีเสี่ยวฮุ่ยขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองชายหนุ่มคนนั้นอย่างเคียดแค้น ก่อนหน้าตอนที่เห็นแผ่นหยก นางก็เข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาตนเองช่างโง่เง่าเสียจริง เวลานี้จึงพยักหน้าแรง
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ จิตวิญญาณชายหนุ่มผอมแห้งที่ยืนอยู่หน้าหอตระหนักฝันคนนี้ก็ส่งเสียงครืนครัน ถอยหลังด้วยสัญชาตญาณแล้วรีบร้อนเอ่ยขึ้น
“นายท่านช่วยข้า…”
แทบจะตอนที่เสียงของเขาเพิ่งเปล่งออกมาก็ชะงักหยุดไปทันที เหล็กแหลมสีดำเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศข้างกายสวี่ชิงในพริบตาที่เขาอ้าปาก เข้าประชิดฉับพลัน แทงทะลุลำคอของเขาไป
พลังอัสนีที่แฝงอยู่ด้านใน แผ่ซ่านไปตามบาดแผลทั่วร่าง ทำให้ชายหนุ่มคนนี้ดวงวิญญาณแตกสลาย ร่างกายแห้งแตกในพริบตา เหมือนกับจะแตกสลาย
และอัสนีในน้ำฝนก็นำสายฟ้าในชั้นเมฆบนท้องฟ้า ฟาดอัสนีครืนครันสายหนึ่งมาจากท้องนภาในพริบตา ราวกับงูสีเงินตัวหนึ่งจุติลงมาบนร่างของชายหนุ่มผอมแห้งที่เดิมทีกลายเป็นศพไปแล้ว
เสียงตูมดังขึ้น ศพที่แห้งแตกของเขาก็แตกสลายกลายเป็นเนื้อแห้งสีดำหลายก้อนที่ปล่อยควันออกมา ร่วงลงกับพื้น และถูกสายฝนพัดดับไป
ภาพนี้ สั่นสะเทือนเกินไป จนทำให้คนที่มองเห็นทั้งหมดมีคลื่นยักษ์โถมสวรรค์ก่อขึ้นมาในจิตใจ
แม้ว่าการที่สร้างฐานสังหารรวมปราณ เดิมก็ควรจะเรียบร้อยหมดจดเช่นนี้ แต่การลงมือของสวี่ชิงน่าตกตะลึงเกินไป กระทั่งดึงสายฟ้าสวรรค์มาด้วย สิ่งนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่เห็นจิตวิญญาณสั่นสะท้าน
เหล็กแหลมสีดำกลับมาในพริบตา ลอยอยู่เงียบๆ ด้านหลังสวี่ชิง ผสานรวมอยู่กับเจ้าเงา
และยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้คนที่มองเห็นรอบๆ จิตใจสั่นสะท้านเข้าไปอีก
ตอนนี้รอบๆ เงียบสงัดลง สวี่ชิงกำลังจะจากไป แต่ตอนนี้เอง เสียงประหลาดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ชั้นสองของหอตระหนักฝัน ดังมาจากหน้าต่างที่หลิงเอ๋อร์เปิดไว้
“ไอ้หยาเสี่ยวเจี้ยนเจี้ยนที่ตายไปคนนั้นเป็นคนติดตามที่เจ้าพามาก่อนหน้านี้ เมื่อครู่เขาขอความช่วยเหลือจากเจ้านี่”
เสียงนี้เป็นของนายกอง
สวี่ชิงก่อนหน้าตอนที่มองไปทางงูใหญ่กับชายชราถนนทองผุด ก็สังเกตเห็นว่าในห้องส่วนตัวยังมีกลิ่นอายอีกสองสาย คนหนึ่งเขาคุ้นเคยอย่างมาก ส่วนอีกคนเขาก็ใช่ว่าจะไม่รู้จัก
สวี่ชิงจึงเงยหน้า มองไปทางหน้าต่างห้องส่วนตัวด้านบน
ในห้องส่วนตัว อู๋เจี้ยนอูอัจฉริยะฟ้าประทานยอดเขาลำดับหนึ่งเหลือบมองนายกองที่ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม หลังจากนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ เขาก็แค่เสียงเย็นชา สะบัดชายเสื้อลุกขึ้น คลื่นไฟชีวิตดวงหนึ่งระเบิดขึ้นครืนครันในร่างกายเขา ท่วงท่าพลังราวสายรุ้ง จนทุกทิศทางสั่นสะเทือน
“ว้าว~” นายกองโห่ร้องเสียงสูงตามมาติดๆ
อู๋เจี้ยนอูรู้สึกว่าคนผู้นี้โง่เสียจริง และการที่ตนเองจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนโง่ก็ดูน่าขายหน้าเกินไป ดังนั้นจึงไม่แม้แต่จะมองนายกองเลย ปรี่ไปที่หน้าต่างด้วยสีหน้าอึมครึม
เมื่อไปถึงหน้าต่าง คลื่นพลังกลิ่นอายทั่วร่างเขา พลังบำเพ็ญปะทุขึ้นถึงขีดสุด สายอัสนีครืนครันบนท้องฟ้า และมีกระบี่ใหญ่ทองสัมฤทธิ์เล่มหนึ่งปรากฏออกมาจากชั้นเมฆ พุ่งเป้ามายังสถานที่แห่งนี้
ราวกับมีความโมโหโกรธาโหมขึ้นท้องฟ้ากำลังก่อตัวขึ้นในร่างอู๋เจี้ยนอู พร้อมระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้นมีจิตสังหารที่น่าตกตะลึงก็กำลังแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา สุดท้ายก็ผสานเข้าไปในดวงตา จ้องมองสวี่ชิง
“ทำไมเจ้าจึงสังหารคนติดตามของข้า!!”
ประโยคนี้ เขาพูดอย่างแข็งกร้าว
มาพร้อมกับความน่าเกรงขามจนถึงสีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่ท่วงท่าพลังประดุจสายรุ้งก็รู้สึกถึงความอัจฉริยะฟ้าประทาน
โดยเฉพาะขณะพูดจา เสียงครืนครันของสายอัสนีบนท้องฟ้าก็แล่นแปลบปลาบไปทั่วสารทิศ กระบี่ใหญ่ทองสัมฤทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นเล่มนั้นแผ่ความคมกริบไร้ที่สิ้นสุดออกมา
ภาพนี้ ทำให้คนทั้งหมดในร้านรวงรอบๆ จิตใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง
เวลานี้จึงพากันออกห่างอย่างรวดเร็ว พวกเขามีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าถัดจากนี้…น่าจะมีการต่อสู้ศึกใหญ่เกิดขึ้นที่นี่
ถึงอย่างไรสวี่ชิงคนนี้ก็สังหารคนติดตามต่อหน้าเจ้านาย เรื่องนี้ก็เหมือนกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่
โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญของยอดเขาลำดับหนึ่งก็รักหน้าตากันทั้งนั้น จะต้องไม่ปล่อยผ่านไปแน่ๆ
ขณะเดียวกันงูใหญ่ในห้องส่วนตัวนี้ ดวงตาก็เผยความดุร้ายพุ่งเป้าไปที่อู๋เจี้ยนอู เหมือนคิดจะฉกเขาอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็ถูกชายชราถนนทองผุดกอดเอาไว้แน่น
ในใจชายชราตอนนี้ก็เบิกบานอยู่สักพักแล้ว แอบคิดว่าสวี่ชิงเอ๋ยสวี่ชิง จากนี้เจ้าจะทำอย่างไร ยอดเขาลำดับหนึ่งเป็นพวกเข้าข้างพรรคพวกมากที่สุด แล้วศิษย์พี่ที่อยู่ด้านหน้าอู๋เจี้ยนอูทั้งแปดคน พวกเขาก็ชอบยกพวกอาละวาดเป็นที่สุดด้วย
ขณะเดียวกัน เจ้าใบ้กับสวีเสี่ยวฮุ่ยข้างๆ สวี่ชิงก็จิตวิญญาณสั่นสะท้านเช่นกัน
เจ้าใบ้เงยหน้า ต่อให้ร่างกายจะสั่นเทาใต้แรงกดดันของอู๋เจี้ยนอู แต่ก็ยังแยกเขี้ยวแหลมออกมา จ้องที่คอของอีกฝ่ายเขม็ง
ส่วนสวีเสี่ยวฮุ่ยก็กัดริมฝีปากล่าง ก้นบึ้งจิตใจร้อนรนยิ่ง นางรู้สึกว่าเรื่องของตนเองเรื่องนี้ทำให้สวี่ชิงลำบากเสียแล้ว
ทว่า…ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ของคนทั้งหมดนี้ มีเพียงสวี่ชิงที่ยังสีหน้าปกติ
เขามองไปยังอู๋เจี้ยนอูที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สายตาเย็นเยียบ ไม่พูดเลยแม้แต่ประโยคเดียว ขณะที่ยกมือขวาเหล็กแหลมสีดำก็ลอยหวึ่งออกมาจากเงาที่อยู่ด้านหลัง
ตอนนี้เอง เสียงหัวเราะยาวของอู๋เจี้ยนอูก็ดังออกมาจากหน้าต่าง
เขาเงยหน้าขึ้นหัวเราะร่าพลางพยักหน้า และส่งเสียงที่หมายถึงว่ายอมรับด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเสียงยังดังมากราวกับจะให้คนทั้งหมดได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เจ้าพูดมามีเหตุผล เรื่องนี้ในเมื่อเป็นความแค้นส่วนตัวของพวกเจ้า เช่นนั้นสกุลอู๋ก็ไม่ควรไปก้าวก่ายจริงๆ”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไรเลย
“เรื่องดื่มสุราก็ไม่ต้องแล้ว เรื่องนี้สกุลอู๋เข้าใจ” อู๋เจี้ยนอูอ้าปากหัวเราะร่า
“ฮ่าๆ สหายสวี่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ช่วงนี้ข้าไม่มีเวลาจริงๆ ช่างเถิดๆ สกุลอู๋ก็ชื่นชมความสำเร็จในเผ่าสิงซากสมุทรของเจ้า แต่เจ้าก็ยังเกรงใจเช่นนี้ เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าทำเช่นนี้กับข้า สกุลอู๋เองก็ไม่ใช่คนขี้เหนียว หนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณจากการสังหารคนผู้นี้ สกุลอู๋จะจ่ายให้เจ้าเอง!”
หลิงเอ๋อร์เบิกตากว้าง มองอู๋เจี้ยนอู จากนั้นก็มองไปยังความว่างเปล่ารอบตัวเขา ไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไร
“อืมอืม ได้ ไว้มีเวลาพวกเราค่อยมาพบกัน สกุลอู๋ขอตัวก่อน วันนี้ได้พบสหายสวี่ข้ายินดีมาก”
ในห้องส่วนตัว อู๋เจี้ยนอูเอ่ยขึ้นเสียงดังลั่น น้ำเสียงร่าเริง จากความน่าเกรงขามแต่แรก ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเริงร่า สุดท้ายบนใบหน้าก็มีรอยยิ้ม ประสานหมัดไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าประหลาด ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้พูดอะไรเลยสักประโยค
อู๋เจี้ยนอูกวาดมองสีหน้าสวี่ชิง ก้นบึ้งจิตใจสั่นเทา รีบร้อนสะบัดชายเสื้อ ยังคงหัวเราะร่า เดินออกจากห้องส่วนตัว
มุ่งหน้าสู่ขอบฟ้าห่างไกล ฝ่าสายอัสนีลมฝนก้าวเท้าออกไป
ร่างของเขาลอยขึ้นราวเทพเซียน ประดุจม้วนภาพงดงาม เผยภาพที่น่าตื่นตะลึงออกมา
“ผู้ยอดเยี่ยมหลุดพ้นจากโลกมนุษย์ กลืนกินทะเลเมฆข้าจะขึ้นกลายเป็นเซียน”
กระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดบนฟากฟ้าติดตามอยู่รอบๆ จากการที่เขาทะยานไปเบื้องหน้า เสียงนั้นดังก้องไปทั่วสารทิศ ห่างออกไปเรื่อยๆ
บทที่ 193 นายกองทำทั้งหมด!
สวี่ชิงระแวดระวัง
เขามองเห็นสีหน้าของศิษย์คนนั้นในพริบตาที่ส่งข้ามบนเกาะเงือก
แม้สีหน้านั้นมีแต่ความตกตะลึง มองอารมณ์ภายในอันใดไม่ออก
ทว่าสวี่ชิงนำมาเทียบเคียงดูแล้ว ยังรู้สึกว่ารางวัลที่ขนาดตัวเขาเองยังหวั่นไหว คนอื่นก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่หวั่นไหวเลย
“ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูคู่แค้นของข้าในเผ่าสิงซากสมุทร ยังมีผู้สืบทอดอะไรนั่นอีก”
สวี่ชิงรู้สึกว่าถ้าจมูกของเทวรูปฟื้นคืนไม่ได้ เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่าวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของตนเองอหังการเสียเหลือเกิน สิ่งที่ถูกมันกลืนกินจะไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ความเป็นไปได้ที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งกับหูของผู้สืบทอดคนนั้น ก็คงจะไม่ฟื้นคืนสภาพเดิมเช่นกัน
‘คนผู้นี้คงจะแค้นข้าเข้ากระดูกดำแน่นอน ต้องหาโอกาสจัดการเขาเสีย’
พร้อมความคิดนี้ จากการสว่างวาบของแสงค่ายกลส่งข้าม เบื้องหน้าทั้งหมดล้วนกลายเป็นเลือนราง จากนั้นตอนที่ค่อยๆ แจ่มชัด สวี่ชิงก็กลับมาถึงเจ็ดเนตรโลหิต
เพิ่งจะส่งข้ามมา เสียงก็ดังขึ้นก่อนภาพ ดังเข้ามาในประสาทสัมผัสของสวี่ชิง
นั่นคือเสียงวุ่นวายรวมถึงความคึกคักที่คุ้นเคย
เพียงไม่นานเส้นแสงก็ส่งมา เจ็ดเนตรโลหิตสะท้อนเข้ามาในดวงตาสวี่ชิง
สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาเป็นลำดับแรกคือกลุ่มคนรอบๆ ที่กำลังเข้าแถวรอส่งข้าม รวมไปถึงศิษย์สองคนที่กำลังลงทะเบียนคนสัญจรอยู่ไกลๆ
ศิษย์สองคนหนึ่งชายหนึ่งหญิงนี้สวมชุดนักพรตสีเทา
สวี่ชิงกวาดมองสองคนนี้ รู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตา ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
แต่ตอนที่เขาเดินออกมา ชุดนักพรตสีม่วงบนตัวก็ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาจากรอบๆ ศิษย์ที่รับผิดชอบลงทะเบียนสองคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพนอบน้อมสุดซึ้ง
“คารวะอาจารย์อา!”
สวี่ชิงที่กำลังจะเดินผ่านพวกเขา หลังจากกวาดตาไปยังศิษย์หญิงคนนั้น เท้าของเขาก็หยุดชะงักจากการเอ่ยขึ้นของคนทั้งสอง พิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ศิษย์หญิงคนนี้หน้าตาสะสวย ผมยาวรวบเป็นหางม้า แต่รูปร่างผ่ายผอมไปหน่อย เวลานี้สวี่ชิงกวาดตามา นางรู้สึกตึงเครียด ร่างกายสั่นสะท้าน ขณะที่ใจเต้นรัวเร็วก็ยิ่งค้อมศีรษะต่ำลง
“พลังบำเพ็ญไม่เลว ห่างจากขั้นหกไม่ไกลแล้ว แต่กลิ่นอายทะเลต้องห้ามในคัมภีร์แปรสมุทรของเจ้าน้อยกว่าศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ดระดับเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด นับจากนี้เจ้าจำต้องเพิ่มกลิ่นอายทะเลต้องห้ามให้มากขึ้น เช่นนี้จะทะลวงขั้นได้ราบรื่น”
สวี่ชิงชี้แนะไปหนึ่งคำรบ และเดินจากไปพร้อมคำขอบคุณด้วยเสียงสั่นเทาของหญิงสาวคนนั้น
สาเหตุที่ชี้แนะ เพราะสวี่ชิงนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใคร
วันที่เขามาถึงเจ็ดเนตรโลหิตครั้งแรก คนที่พบก็คือสองคนนี้
ตอนนั้นหญิงสาวเคยเตือนเขาเรื่องอันตรายในสำนักอย่างเป็นมิตร
แม้เรื่องนี้จะเล็กน้อยมาก แต่สวี่ชิงก็รู้สึกว่าเมื่อได้พบกันใหม่ ยังสามารถชี้แนะเพื่อตอบแทนได้
หลังจากเขาเดินไป ศิษย์สองคนนี้ก็ชุ่มโชกไปทั้งตัว
แรงกดดันจากพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงที่แผ่ออกมาโดยธรรมชาติรวมถึงปราณพิฆาตที่ติดมาจากสนามรบ ในสายตาของศิษย์รวมปราณสองคนนี้ก็เป็นราวกับปีศาจ
“พลังบำเพ็ญของผู้อาวุโสคนนี้…แข็งแกร่งมาก!!”
ศิษย์ชายในนั้น เวลานี้สูดลมหายใจ เขาบีบพัดในมือเกือบหัก
พูดจบเขาก็มองไปยังหญิงสาวข้างกายคนนั้น ดวงตาเผยความประหลาดใจถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่
“เจ้ารู้จักผู้อาวุโสคนนั้นหรือ”
หญิงสาวเหม่อลอยเล็กน้อย รีบร้อนหมุนตัววิ่งไปตรวจสอบบันทึกข้อมูลของค่ายกลส่งข้าม หลังดูเสร็จนางก็ถลึงตาโตฉับพลัน
“สวี่ชิง!”
“สวี่ชิง!?” ชายหนุ่มพอได้ยินก็สั่นไปทั้งตัว
“สวี่ชิงที่กำลังเลื่องชื่อในช่วงนี้ คนที่ทำลายสิ่งศักดิ์สิทธิ์เผ่าสิงซากสมุทร ที่ทำให้เผ่าสิงซากสมุทรโกรธแค้นจนประกาศค่าหัวออกมาคนนั้นน่ะหรือ”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเลื่อนลอย
“แล้วเขารู้จักเจ้าได้อย่างไร!”
ดวงตาชายหนุ่มเผยความอิจฉาออกมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตื่นเต้นขึ้นมา
“ความจำข้าค่อนข้างดี จำได้ว่าหนึ่งปีก่อน มีเด็กหนุ่มคนเก็บกวาดคนหนึ่งถือป้ายแนะนำสีขาวเข้ามา วันนั้นตอนที่ข้าเตือนเขาเรื่องความอันตรายของสำนัก ข้าเคยดูสถานะของเขา เด็กหนุ่มคนนั้นก็มีชื่อว่าสวี่ชิงเช่นกัน”
หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา ในดวงตาเองก็มีแววไม่แน่ใจอยู่บ้าง
ชายหนุ่มข้างๆ สูดลมหายใจอีกครั้ง ยืนมึนอยู่ตรงนั้น พยายามทบทวนความทรงจำอย่างละเอียด
“เจ้าตอนนั้นเคยพูดว่า เขาจะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน”
หญิงสาวหันหน้าไปมองสหายข้างๆ
ชายหนุ่มคนนี้หน้าขาวซีดทันที ลมหายใจหอบถี่ ขณะที่ในใจเกิดความพรั่นพรึงขึ้นอย่างรุนแรง ก็พลันรู้สึกว่าพฤติกรรมในอดีตที่คิดว่าศิษย์น้องหญิงยอดเขาลำดับเจ็ดคนนี้ซื่อบื้อเกินไป กลับมีวาสนาแฝงอยู่เช่นนี้
และสวี่ชิงในตอนนี้ ไม่รับรู้ถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ของศิษย์สองคนนี้ เมื่อครู่ก็แค่ถือโอกาสทำไปเท่านั้น
เวลานี้เขาเดินอยู่ในเมือง เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีเทาแล้ว ก็ปรี่ไปยังกรมขนส่งที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก
เรือเวทของเขาพังกระจุยไปหมดแล้ว จึงไม่รู้ว่าจะพักที่ใด นอกจากกลับไปยังถ้ำพำนักบนยอดเขาลำดับเจ็ด ไม่เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงหาสถานที่เพื่อพักผ่อนอีกหลายวัน
กรมปราบพิฆาตเป็นตัวเลือกแรก แต่สวี่ชิงก็ตัดสินใจจะไปหาจางซานเพื่อหลอมเรือเวทก่อนไปกรมปราบพิฆาต
ไม่ได้กลับมาครึ่งปี สวี่ชิงที่เดินอยู่ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต มองคนที่สัญจรไปมารอบๆ มองดูร้านรวงและแผงลอยที่คุ้นเคยเหล่านั้น ในใจก็สงบลงมามากอย่างหาได้ยากยิ่ง
และความห่างไกลของสนามรบ ก็ทำให้บรรยากาศสงครามในเจ็ดเนตรโลหิตไม่ชัดเจนนัก ดูแล้วไม่แตกต่างอะไรกับช่วงเวลาปกติ
มีเพียงท่าเรือที่สำนักใช้สำหรับการขนส่งและเทียบท่าในเชิงกลยุทธ์ทรัพยากรเป็นส่วนใหญ่
ถึงอย่างไรค่ายกลส่งข้ามก็สามารถส่งข้ามทรัพยากรได้ แต่สิ้นเปลืองเกินไป
และถึงแม้เรือสินค้าจะช้า แต่เมื่อมองจากสนามรบที่ลากยาวถึงครึ่งปีก็ยังถือว่าพอรับได้
ถึงอย่างไรสนามรบนี้ก็ไม่สามารถจบลงได้ในเวลาอันสั้น
“ศิษย์พี่จางซานเดิมพันไว้ถูกแล้ว”
สวี่ชิงคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้หลังจากนี้ก็รู้สึกดีอย่างยิ่ง
แต่ว่าเขาก็ยังคงระมัดระวังอยู่ ถึงอย่างไรเรื่องที่นายกองก่อนั้นก็ทำให้มีคนรู้สึกละโมบเกินไป
“ยังดีที่นายกองอยู่ก่อนหน้า เงินค่าหัวของเขาสูงที่สุด ถ้าจะลงมือก็ควรลงมือกับตัวเขาก่อน…และเขาก็รักหน้าตาเสียเหลือเกิน คิดแล้วน่าจะดีใจที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ดังนั้นข้าไม่ควรเปิดเผยเรื่องนี้”
สวี่ชิงขบคิดอย่างตั้งใจ เมื่อพยักหน้าอย่างเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น จิตใจก็สงบลงเล็กน้อย หวังว่านายกองจะกลับมาไวหน่อย
ตอนนี้เมื่อเดินไปไม่นาน สวี่ชิงก็มาถึงท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก
ที่นี่ถูกสำนักใช้งานไปกว่าครึ่งเช่นกัน เหนือผืนน้ำล้วนมีเรือบรรทุกที่บรรทุกทรัพยากรกลยุทธ์ไว้จนเต็มหลายลำรอเดินเรือออก สวี่ชิงกวาดตามองก็เกิดอาการทอดถอนใจ
ท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกนี้ดีขึ้นกว่าครึ่งปีก่อนอย่างชัดเจน ถนนแต่ละเส้นก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ร้านรวงก็ทยอยเปิดกิจการแล้ว
เทียบกับก่อนหน้า ก็มีฝูงชนมากขึ้นเกินสิบเท่า
และเพราะเชื่อมกับอีกสามท่าเรือ พื้นที่ใหญ่โต ผู้คนหลั่งไหลมากขึ้น ทำให้จำนวนกับประเภทของร้านรวงก็ยิ่งหลากหลายขึ้น
สวี่ชิงก้าวเดินฉับไว หลังจากกวาดตามองความคึกคักของที่นี่ ก็มาถึงกรมขนส่งของท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก
เขาไม่ได้เข้าไปทันที แต่ล้วงเอาแผ่นหยกสื่อเสียงไปหาจางซาน
พริบตาต่อมา ในกรมขนส่งก็มีเงาหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว จางซานนั่นเอง
“สวี่…”
คนยังมาไม่ถึง เสียงตื่นเต้นของจางซานก็ดังมา
แต่เขาก็รู้จังหวะ หลังจากหลุดโพล่งออกมาคำหนึ่ง ก็รีบกลืนอีกคำหนึ่งลงไปอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาก็มาถึงตัวสวี่ชิง แววตาเขามีความยินดี ดึงตัวสวี่ชิงเข้าไปในคลังแห่งหนึ่งของกรมขนส่ง
เมื่อเข้าไป จางซานก็รีบร้อนเอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจ
“เจ้ากับนายกองครั้งนี้ดังใหญ่แล้ว!!”
“นายกองเป็นคนทำ” สวี่ชิงเอ่ยแก้ทันควัน
“พวกเจ้าสองคนบ้าเกินไปแล้ว ถึงกับเข้าไปในเผ่าสิงซากสมุทรแล้วทำลายจมูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาอีก ทำเอาเทวรูปบรรพชนศพลำดับเจ็ดของเผ่าสิงซากสมุทรฟื้นฟูไม่ได้ ว่ากันว่านับจากนี้จะไม่มีจมูกอีกแล้ว!”
หน้าจางซานเผยความตื่นเต้น
“นี่นายกองก็เป็นคนทำ!” สวี่ชิงรีบร้อนเอ่ยออกมา
“เรื่องนี้บ้ามาก ข้าได้ยินว่าแนวหน้าเผ่าสิงซากสมุทรแตกพ่ายไปแล้ว กระทั่งระดับสูงเผ่าสิงซากสมุทรคิดจะมาเจรจากับพวกบรรพจารย์ อยากจะขอจมูกคืน แต่ถูกบรรพจารย์ปฏิเสธฃไปแล้ว
“นายกองก็บ้าระห่ำเกินไปแล้ว ข้าเองก็ถูกหางเลขไปด้วย เจ้ารู้อยู่ว่าทั้งหมดนี่นายกองเป็นคนทำ” สวี่ชิงถอนหายใจ
จางซานเวลานี้สงบอารมณ์ลงมาพอควร มองสวี่ชิง สองตาเปล่งประกาย รีบร้อนเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา
“สวี่ชิง จมูกนั่นยังอยู่ใช่หรือไม่ ให้ข้าดูหน่อย”
“ยังอยู่ แต่หลังจากออกจากเผ่าสิงซากสมุทร มันก็กลายเป็นก้อนหินธรรมดาไปแล้ว ไม่ได้วิเศษมหัศจรรย์อะไรเลย”
สวี่ชิงเสียดายหน่อยๆ ล้วงจมูกออกมา วางลงข้างๆ เสียงดังตึง
จมูกนี้ใหญ่มาก ขนาดนับสิบจั้ง สีเทาทั้งชิ้น แม้จะไม่มีกลิ่นอายใดแผ่ออกมา แต่กลับแฝงไปด้วยความป่าเถื่อน
โดยเฉพาะรูเล็กนับไม่ถ้วนเหมือนรังผึ้งบนนั้น ราวกับมีเจตจำนงแห่งกาลเวลาภายใต้พายุทรายที่พัดผ่านแผ่ซ่านออกมา
“เบาหน่อย!”
จางซานร้อนรนอุทานขึ้น เดินวนรอบจมูกอย่างรวดเร็ว ลูบไปลูบมา ประกายในดวงตายิ่งรุนแรงขึ้น ท้ายสุดก็มองสวี่ชิง
“สวี่ชิง ใครบอกว่าจมูกนี้ไม่มีความมหัศจรรย์กัน นี่เป็นเทวรูปของเผ่าสิงซากสมุทรเลยนะ เป็นสิ่งที่เผ่าสิงซากสมุทรปรารถนาจะนำกลับไปมากที่สุดในตอนนี้ เพราะนี่คือเกียรติยศของพวกเขา”
จางซานเลิกคิ้ว
“ข้ามีแผน เตรียมจะสร้างพิพิธภัณฑ์ขนาดยักษ์แห่งหนึ่งขึ้นในท่าเรือของพวกเรา จากนั้นก็เอาจมูกที่เจ้ากับนายกองได้มา ฝังติดด้วยกันแล้ววางไว้ด้านใน
“เมื่อมีพิพิธภัณฑ์นี้ ข้าจะบอกเจ้าให้นะสวี่ชิง ท่าเรือของพวกเราก็จะไร้เทียมทานเลยทีเดียว!
“พวกเราไม่ต้องจัดคนมาคุ้มกันเลย สำนักจะช่วยเราเอง และจะยิ่งส่งเสริมพวกเราอย่างจริงจัง ท่าเรือของพวกเราจะเลื่องชื่อระบือไกล คนมากมายจะเข้ามาเยี่ยมเยียน การจะกลายเป็นท่าเรืออันดับหนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิตก็นับวันรอได้เลย
“และถนนร้านรวงที่อยู่ใกล้กับจมูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เผ่าสิงซากสมุทร ก็จะมีมูลค่ามากขึ้น พวกเรารวยเละแล้ว!!”
สวี่ชิงฟังไปฟังมา ในดวงตาก็เกิดประกายประหลาด มองจางซานที่ใบหน้าดีอกดีใจ ในใจรู้สึกเลื่อมใสไหวพริบด้านการค้าของจางซานอย่างมาก
ดังนั้นหลังจากใครครวญ ก็เห็นด้วยกับความคิดของจางซาน
เมื่อคุยเรื่องนี้จบ สวี่ชิงก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นแผ่วเบา
“ศิษย์พี่จางซาน เรือเวทของข้า…”
จางซานลูบจมูกเทวรูปบรรพชนศพอย่างแผ่วเบา เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
หลังจากได้ยินคำพูดของสวี่ชิง เขาก็เงยหน้าขึ้นยิ้มๆ ด้วยสีหน้าที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
“หยิบออกมาสิ ข้าเดาไว้แล้วว่าเจ้ากลับมาครั้งนี้ เรือเวทคงจะพังยับแน่ๆ ตอนนี้ท่าเรือของพวกเรามีเงินหนาอยู่ จะพังถึงเพียวใด ข้าจะซ่อมให้เจ้าเหมือนใหม่เลย”
“ต้องไหววานศิษย์พี่จางซานแล้ว จะดีที่สุดถ้าช่วยข้าหลอมได้ไวหน่อย ขอบคุณมาก!”
สวี่ชิงพอได้ยินก็ประสานมือไปทางจางซาน จากนั้นก็หันหลังจะเดินจากไป
“หืม เรือเวทล่ะ เจ้าเอาออกมาให้ข้าสิ ไม่ให้ข้าแล้วข้าจะซ่อมอย่างไร”
จางซานผงะอยู่ครู่หนึ่ง มองไปทางสวี่ชิงอย่างแปลกใจ
“ไม่มีแล้ว” สวี่ชิงมองจางซาน
ในคลังเงียบงันไปครู่หนึ่ง
จางซานมองสวี่ชิง ค่อยๆ เบิกตากว้าง
“ไม่มีแล้ว?”
สวี่ชิงพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ไม่มีแล้ว”
