ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 198 อย่ามาแย่งความผิดกับข้า!

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 198 อย่ามาแย่งความผิดกับข้า!

จวบจนจากไปไกล มาถึงสถานที่ที่ไม่มีผู้คน อู๋เจี้ยนอูสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง หน้าซีดขาว ดวงตาฉายแววตื่นกลัว หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ถอนหายใจยาวออกมา

“เกิดอะไรขึ้น ไฟชีวิตสองดวง!! เจ้าดาวพิฆาตดวงนี้เมื่อก่อนก็เก่งกาจปานนั้นแล้ว ตอนนี้เป็นระดับไฟชีวิตสองดวงแล้ว นี่หากอยู่ข้างนอกเขาจะต้องฆ่าข้าอย่างแน่นอน!!”

ในขณะเดียวกับที่จิตใจสั่นสะท้าน อู๋เจี้ยนอูก็หายใจเข้าไม่หยุด เขารู้สึกว่าในช่วงหลายๆ เดือนต่อจากนี้ตนจะไม่ออกจากสำนัก

“ดีที่ข้าหัวไว วันนี้ข้าให้หน้าเขาขนาดนี้ ทั้งยังจ่ายหินวิญญาณค่าปรับให้เขา หากเขาเป็นคนที่มีเหตุผล ครั้งหน้าน่าจะไม่ยึดติดจะฆ่าข้าแล้วกระมัง”

“ปวดหัว…ไม่ได้ ไม่ถึงระดับไฟชีวิตสองดวง ข้าจะไม่ออกมาแม้แต่นอกถ้ำแล้ว!”

นอกหอตระหนักฝัน ท่ามกลางม่านฝน สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาด

เจ้าใบ้อึ้ง สวีเสี่ยวฮุ่ยนิ่งงงงัน

หลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ ท่าทางเหมือนสงสัยนิดๆ เถ้าแก่โรงเตี๊ยมบนถนนทองผุดที่อยู่ข้างๆ ตะลึงตาค้าง

พวกเขาอยู่ใกล้ๆ เมื่อครู่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทางสวี่ชิงยังไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว แค่ทำท่าจะลงมือ อู๋เจี้ยนอูคนนั้นก็เริ่มพูดเองคนเดียวอย่างแปลกประหลาด

อีกทั้งเมื่อรวมกับเสียงหัวเราะ รวมกับคำพูดคำจาเสียงดัง ก็เหมือนว่าสวี่ชิงส่งกระแสจิตอธิบายพูดคุยกับเขาจริงๆ อีกทั้งยังเชิญชวนเลี้ยงเหล้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

เหตุการณ์ทั้งหมดสมจริงนัก น่ากลัวว่าคนนอกที่ไม่เห็นภาพฉากนี้ ได้ยินเพียงแค่เสียง จะต้องคิดว่าเป็นเรื่องจริง คิดว่าอู๋เจี้ยนอูคนนี้เคารพนับถือสวี่ชิงมาก ทั้งสองคนเป็นเหมือนสหายสนิท เคารพนับถือซึ่งกันและกัน

ในขณะเดียวกัน ในความเคารพนับถือนั้น เนื่องจากสวี่ชิงเชื้อเชิญหลายครั้ง ทว่าอู๋เจี้ยนอูไม่มีเวลาจริงๆ ดังนั้นเขาจึงจ่ายค่าปรับที่สวี่ชิงสังหารลูกศิษย์ล่างเขาให้แทนเพื่อเป็นมารยาท

“ทักษะการแสดงของเจี้ยนเจี้ยนน้อยไม่เลวเลย ขนาดข้ายังต้องตะลึง”

เสียงกร๊อบดังขึ้นทำลายความเงียบสงบในห้องส่วนตัว นายกองลุกจากเก้าอี้ กินผิงกั่วกลางเดินมาข้างหน้าต่าง กะพริบตาปริบๆ ให้สวี่ชิง

สวี่ชิงสายตากวาดมองแขนขาของนายกอง ดวงตาฉายแววอัศจรรย์

การฟื้นฟูของนายกองจะเร็วเกินไปแล้ว การงอกขึ้นมาใหม่ของแขนขาที่ขาดทำให้สวี่ชิงรู้สึกไม่เหมือนว่าเป็นเคล็ดวิชากับยาลูกกลอนที่ทำได้ เป็นเหมือนเคล็ดวิชาแปลกประหลาดบางอย่างมากกว่า

ในขณะเดียวกัน ทางงูยักษ์ทางนั้นก็ฉวยโอกาสที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตะลึงงัน ร่างเพียงเลื้อยก็พุ่งออกมา เลื้อยมาตามหน้าต่างอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงมาหาสวี่ชิง

สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง แต่หลังจากสังเกตเห็นดวงตาของงูยักษ์ตัวนี้ เขาก็รู้สึกคุ้นเคยนิดๆ เหมือนว่าเคยเห็นจากที่ใดมาก่อน อีกทั้งบนร่างของอีกฝ่ายไม่ใช่แค่ไม่มีจิตสังหารใดๆ ทั้งนั้น แต่ยิ่งเต็มไปด้วยความเบิกบาน

“ฟ่อๆ”

ท่ามกลางความดีใจ ตัวของงูยักษ์ก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเพรียวบาง แล้วพันเข้ากับแขนของสวี่ชิง ทั้งตัวขาวราวหิมะ ดวงตาโต ทำท่าเหมือนน่ารักน่าชัง

“ฟ่อๆๆ”

“ฟ่อๆ”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมบนถนนทองผุดที่อยู่ข้างหน้าต่างเห็นภาพนี้ในใจกรีดร่ำไห้โหยหวน กำลังจะตำหนิ แต่เสี้ยวขณะต่อมาจากการที่สวี่ชิงเงยหน้า มองเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง

ตาแก่ฉุกคิดภาพที่ก่อนหน้านี้เกือบถูกสวี่ชิงฆ่าขึ้นได้ ในขณะเดียวกับที่ร่ำไห้ในใจ ความรู้สึกที่เห็นบุตรีที่ตนเองเลี้ยงมาจนเติบใหญ่นั้นเลือกคนรักแทนที่จะเลือกบิดา ทำให้เขาปวดใจนัก

“ไม่ได้ เรื่องนี้ข้าจะประนีประนอมไม่ได้ ไอ้เด็กแซ่สวี่นี่แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี ไม่ใช่คู่ครองที่ดีของหลิงเอ๋อร์” ตาแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมสูดลมหายใจลึก ความคิดในใจหมุนเร็วจี๋ รีบพูดขึ้นมาว่า

“ฟ่อๆๆ!”

เขาไม่กล้าพูดภาษามนุษย์ ตอนนี้พูดภาษาของหลิงเอ๋อร์ออกมา

เขาบอกหลิงเอ๋อร์ว่าหากอยากอยู่กับสวี่ชิงไปชั่วนิรันดร์ เช่นนั้นก็ต้องเปลี่ยนร่างถึงจะได้ และหากอยากเปลี่ยนร่างก็ต้องทะลวงระดับสร้างฐาน ดังนั้นตอนนี้ก็ต้องไปแล้ว

หลิงเอ๋อร์มองสวี่ชิงอย่างอาลัยอาวรณ์ ใช้หัวถูแขนของเขาเบาๆ คลายตัวออก เพียงไหววูบก็กลับมาหาตาแก่ ในดวงตาก็ยังคงฉายแววอาลัย

ตาแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมโล่งอก แอบได้ใจ จากนั้นก็ทะยานตัว รีบเดินทางจากไป สวี่ชิงยังได้ยินเสียงฟ่อๆ ฟู่ๆ แว่วๆ มาจากที่ไกลๆ

“พอเถอะรองเจ้ากรมสวี่ ไม่ต้องมองแล้ว มาดื่มกับข้าเจ้ากรมคนนี้สักสามสี่จอก” ที่หน้าต่างของห้องส่วนตัว นายกองกวักมือเรียกสวี่ชิง

สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันไปหาสวีเสี่ยวฮุ่ยแล้วพยักหน้า ส่งสัญญาณว่าอีกฝ่ายไปได้แล้ว

สวีเสี่ยวฮุ่ยกัดริมฝีปาก ในใจซาบซึ้งเป็นยิ่งนัก ท่ามกลางสายฝนนี้ นางคุกเข่าหมอบคารวะ หน้าผากแตะพื้นดิน หลังจากคารวะอย่างเต็มพิธีถึงจะลุกขึ้น เดินจากไปไกลอย่างโดดเดี่ยว

เจ้าใบ้ไม่ได้จากไป เขานั่งย่อตัวอยู่ข้างนอกหอตระหนักฝัน ซึ่งก็คือบริเวณที่ชายหนุ่มผอมแห้งคนนั้นตาย

สวี่ชิงก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ร่างไหววูบก็เดินเข้าไปใกล้หน้าต่าง หลังจากก้าวเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้วก็นั่งลง ครั้งที่แล้วที่อยู่กับจางซาน สวี่ชิงสังเกตเห็นว่านายกองท่าทางไม่ดี ดังนั้นเรื่องบางอย่างจึงไม่ได้พูดไป

ตอนนี้หลังจากนั่งลง สวี่ชิงก็มองไปทางนายกอง

“นายกอง จมูกของเทวรูปทำไมจึงระเบิด” สวี่ชิงถามอย่างจริงจังมากๆ

เขารู้สึกว่าคำถามนี้จำเป็นต้องถาม ไม่เช่นนั้นด้วยความช่างสังสัยของนายกองจะต้องไม่มีทางสงบจิตใจปล่อยวางเรื่องนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นสวี่ชิงจึงคิดว่าตัวเองควรจะทำให้นายกองสบายใจ

“เจ้าไม่รู้หรือ” นายกองกินผิงกั่ว ยิ้มตาหยีมองสวี่ชิง กวาดสายตาประเมิน

สวี่ชิงอึ้งไปเล็กน้อย ส่ายหน้า

“พอได้แล้วรองเจ้ากรมของข้า ทักษะการแสดงของเจ้าข้าเป็นคนสอนเอง เรื่องจมูกเทวรูปเจ้ากับข้าล้วนรู้ดีว่าเพราะอะไร ข้าไม่เปิดโปงเจ้า”

นายกองกินผิงกั่วหมด ก็เอาสาลี่ออกมาลูกหนึ่ง กัดไปคำใหญ่

“ครั้งนี้ข้าเป็นแพะรับบาปเอง ใครใช้ให้ข้าเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าเล่า ข้าก็ไม่เอาหินวิญญาณเจ้าแล้ว แต่ข้ามีเงื่อนไขสองข้อ”

นายกองพูดถึงตรงนี้ ในดวงตาก็ฉายความล้ำลึกออกมา ทำท่าเหมือนข้ามองเจ้าทะลุปรุโปร่ง ทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น

สวี่ชิงขมวดคิ้ว สีหน้าค่อนข้างลังเล เหมือนว่าตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน

นายกองเห็นภาพนี้ก็เอาสาลี่ออกมาลูกหนึ่งแล้วโยนไป

“ไม่ต้องคิดแล้ว ก็เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ ตอนนั้นข้าเห็นกับตาเลย ช่างเถอะๆ ข้าบอกเงื่อนไขสองข้อของข้าก็แล้วกัน ข้อหนึ่ง วันหลังเจ้าห้ามพูดถึงเรื่องที่ข้าแปลงเป็นองค์หญิงสามอีก พวกเราเจ๊ากัน!”

นายกองเอ่ยอย่างจริงจัง

“ข้อสอง ก็คือหินวิญญาณแสนก้อนที่ติดข้าก็ยังต้องคืนข้า!!”

“ขอแค่เจ้าตกลง บาปที่เผ่าสิงซากสมุทร ข้าจะเป็นแพะรับแทนเจ้าเอง!”

นายกองสูดลมหายใจลึก กัดสาลี่ในมือครึ่งหนึ่งอย่างแรง จากนั้นก็สังเกตสีหน้าของสวี่ชิงอย่างละเอียด

สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากครุ่นคิดก็ส่ายหน้า มองนายกองพลางเอ่ยอย่างจริงจัง

“ในเมื่อสาเหตุคือข้า ข้าก็จะประกาศออกไปว่าเรื่องนี้ข้าเป็นคนทำเอง”

“รางวัลอันดับหนึ่งเป็นข้า คดีเทวรูปบรรพชนศพเผ่าสิงซากสมุทรครั้งนี้ข้าเป็นตัวการหลัก นายกองก็แค่ช่วยเหลือเท่านั้น”

สวี่ชิงพูดจบก็ลุกขึ้นจะจากไป

นายกองเห็นภาพนี้ก็ร้อนใจทันที เขาให้ความสำคัญกับเกียรติยศของตัวการหลักนี้ ก็แค่อยากจะหลอกลวงขูดรีดสักหน่อยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะอวดฉลาดแต่สุดท้ายกลับแสดงความโง่ออกมา ดังนั้นจึงรีบขัดขวาง หลังจากกระแอมก็หัวเราะแห้งๆ ออกมา

“ดูเจ้าสิๆ ทำเป็นจริงจัง ข้าล้อเจ้าเล่น เรื่องนี้ข้าเป็นคนทำเอง ข้าถึงจะเป็นตัวการหลัก เรื่องนี้ใครก็อย่ามาคิดแย่งกับข้า!”

“ไม่ใช่ เป็นข้า!” สวี่ชิงพูดอย่างจริงจัง

“ไม่ใช่เจ้า เป็นข้า!” นายกองร้อนใจกว่า

“ไม่ใช่ เป็นข้า!” สวี่ชิงมองนายกอง

“สวี่ชิง ข้าต้องตำหนิเจ้าแล้ว ไม่ใช่เจ้าก็คือไม่ใช่เจ้า เป็นข้า!” นายกองจริงจังยิ่งนัก

“เป็นท่านจริงๆ หรือ” สวี่ชิงขมวดคิ้ว ในดวงตาฉายความไม่ค่อยแน่ใจออกมา

“แน่นอนว่าเป็นข้า ข้ากินเนื้อจวีอิง พอกัดลงไปพลังจวีอิงก็ปะทุขึ้นมา ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ในเทวรูป ส่งผลให้เกิดการพังทลายของตัวรูปสลัก นี่คือการต่อต้านคุณสมบัติเทพ ความจริงหลังจากที่ข้ากลับมาก็ค้นตำราโบราณจำนวนหนึ่ง จวีอิงเคยมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเผ่าสิงซากสมุทร ดังนั้นพลังของนางจึงสามารถกระตุ้นเทวรูปบรรพชนศพได้!”

นายกองสูดลมหายใจลึก เอ่ยอย่างจริงจัง

สวี่ชิงครั้งนี้อึ้งจริงๆ พยักหน้าคล้ายครุ่นคิด แต่ก็เหมือนว่ายังสงสัยอยู่อีกนิดๆ กำลังจะอ้าปาก

นายกองที่อยู่ข้างๆ รีบลุกขึ้น หัวเราะฮ่าๆ

“ศิษย์น้อง ข้ายังมีธุระขอตัวไปก่อนล่ะ เจ้าก็อย่าคิดมาก ข้าเป็นคนทำเองจริงๆ เฮ้อ งานในกรมยุ่งมาก ช่วยไม่ได้…ส่วนแผนการใหญ่ที่ข้าบอกเมื่อครั้งที่แล้ว เดี๋ยวข้าเตรียมเบาะแสเรียบร้อยจะบอกกับเจ้า”

นายกองพูดพลางรีบร้อนวิ่งออกไปจากห้องส่วนตัว จนเดินมาถึงเขตถนน เขาก็หยิบผิงกั่วออกมากัดคำหนึ่ง ในใจสุขสงบโดยสมบูรณ์ ถอนหายใจโล่งอก

“ท่าทางไม่ใช่เจ้าเด็กนี่ หรือจะเป็นข้าจริงๆ อืม น่าจะเป็นข้านี่แหละ”

นายกองสบายใจนัก รู้สึกว่าแบบนี้ถึงจะสมเหตุผล จะอย่างไรเรื่องใหญ่แบบนี้ ตนในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา ย่อมมีเพียงฐานะตัวการหลักเท่านั้นจึงจะคู่ควร

ส่วนในห้องส่วนตัว สวี่ชิงก็โล่งใจเช่นกัน ในใจสุขสงบ

“แบบนี้นายกองน่าจะไม่สงสัยแล้ว”

สวี่ชิงพอใจ ไปจากหอตระหนักฝันกลับมาที่ท่าจอดเรือ ในขณะเดียวกับที่ฝึกบำเพ็ญต่อก็คาดหวังกับแผนการใหญ่ที่นายกองบอก และเวลาก็ค่อยๆ หมุนผ่านไปท่ามกลางการรอคอยนี้

ไม่นานนักก็ผ่านไปหนึ่งเดือน

ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ สงครามระหว่างเผ่าสิงซากสมุทรกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มาถึงช่วงเวลาสำคัญ

สายตาของเผ่ามากมายนับไม่ถ้วนล้วนถูกดึงดูดมา เพราะ…หลังจากที่ยึดเกาะรองสองเกาะ กับเผ่าสิงซากสมุทรไม่มีอะไรมาขวางกั้นอีกต่อไป สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เริ่มทำการโจมตีเผ่าสิงซากสมุทรเต็มรูปแบบ!

การโจมตีเต็มรูปแบบครั้งนี้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตคิดจะลองเหยียบย่างขึ้นไปบนแผ่นดินเผ่าสิงซากสมุทร

ในขณะเดียวกัน พิพิธภัณฑ์ของท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกก็เปิดกิจการแล้ว

ผ่านการประกอบของจางซาน เขาก็ติดชิ้นส่วนจมูกทั้งสองชิ้นเข้าด้วยกันสำเร็จ ในขณะเดียวกับที่ทำให้มันดูแล้วสมบูรณ์พอควร ก็ได้ก่อไฟที่ลุกไหม้อยู่ตลอดเอาไว้กองหนึ่งข้างล่างด้วย

ส่วนตัวอักษรที่บรรพจารย์เขียนก็ยังแขวนเอาไว้สูงอยู่ตรงนั้น

และการที่พิพิธภัณฑ์เปิดกิจการก็ฮือฮาไปทั่วทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิต พวกบรรพจารย์ที่อยู่บนสนามรบเอ่ยชมไม่หยุด ส่วนเผ่าอื่นๆ หลังจากที่อึ้งตะลึง ก็อดไม่ได้คิดอยากมาเข้าชมกันสักหน่อย

ดังนั้น ไม่นานนัก ท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็คึกคักนัก ในขณะเดียวกับที่คนหลั่งไหลเข้ามา ก็เป็นเหมือนกับที่จางซานกล่าวเอาไว้ว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปเฝ้าคุ้มกัน สำนักจะจัดการให้

ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสระดับแก่นลมปราณที่อยู่ประจำการในสำนักเหล่านั้น พวกเขาได้รับคำสั่งจากบรรพจารย์ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องรักษาความปลอดภัยของพิพิธภัณฑ์เอาไว้

ในขณะเดียวกัน รางวัลระลอกแรกที่สวี่ชิงและเฉินเอ้อร์หนิวสร้างคุณงามความชอบครั้งใหญ่เช่นนี้ ก็มาพร้อมกับโองการของท่านบรรพจารย์

“แต่งตั้งเฉินเอ้อร์หนิวและสวี่ชิงเป็นลูกศิษย์เชิดชูเกียรติสำนักของยุคนี้ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต เลื่อนอันดับเฉินเอ้อร์หนิว สวี่ชิงเข้าสู่รายชื่อจัดอันดับ!

“มอบสิทธิ์อัญเชิญเงาของวิเศษเวทสำนักเจ็ดเนตรโลหิตให้ทั้งสองคนได้ใช้สามครั้ง!

“มอบวาสนาแก่นลมปราณ รวบยอดหลังสงคราม!

“ที่กล่าวมานี้คือรางวัลระลอกแรก เมื่อสงครามสิ้นสุดลง จะทำการตบรางวัลตามคุณงามความชอบอีกครั้ง!”

จากโองการของบรรพจารย์ สำนักเจ็ดเนตรโลหิตฮือฮา ด้านหนึ่งคืออันดับ ด้านหนึ่งคือลูกศิษย์เชิดชูเกียรติสำนัก

คนของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่คุ้นกับคำว่าลูกศิษย์เชิดชูเกียรติสำนักคำเรียกนี้เลยจริงๆ ก่อนหน้านี้…ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่มีคำเรียกนี้

แต่ไม่นาน พวกเขาก็รู้ว่าอะไรคือลูกศิษย์เชิดชูเกียรติสำนักแล้ว

สวี่ชิงกับนายกองถูกแต่งตั้งให้ไปคอยต้อนรับแขกทุกคนที่มาเข้าชมจมูกเทวรูปบรรพชนศพแทนเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดในช่วงนี้

บทที่ 194 กลับมาครึ่งเดียว

จางซานเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ยิ้มขื่นออกมา ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

“แหลกที่เผ่าสิงซากสมุทรหรือ”

“ถูกผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณซัดแหลก” สวี่ชิงตอบตามความจริง

จางซานมองใบหน้าสงบนิ่งของสวี่ชิง เขารู้สึกว่าการวิเคราะห์ของตนก่อนหน้านี้นั้นผิด เจ้าเด็กหนุ่มข้างหน้าคนนี้น่าจะเป็นคนที่บ้าระห่ำเหมือนกับนายกอง

นี่เพิ่งจะเป็นระดับสร้างฐานก็มีความสามารถให้ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณลงมือ ซัดเรือเวทของเขาจนแหลก

เรื่องแบบนี้…ไม่ใช่เรื่องที่ระดับสร้างฐานคนใดจะได้เจอได้ อีกทั้งยังมีชีวิตรอดกลับมาอีกด้วย

“นายกองเล่า”

จางซานถามอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกว่าขนาดสวี่ชิงยังเป็นเช่นนี้ นายกองก็ไม่น่าจะดีไปกว่าสักเท่าไร

ทว่าหากทั้งสองคนนี้ลงมือทำการใหญ่ที่เผ่าสิงซากสมุทร เรือเวทจึงพัง ก็เหมือนว่าจะสมเหตุผลอยู่

“นายกอง…”

สวี่ชิงนึกถึงตอนนั้นที่ตนส่งข้าม บนฟ้ามีกลิ่นอายระดับแก่นลมปราณสามทางปรากฏขึ้น ก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“ช่างเถอะ ตอนข้าหลอมเรือเวทให้เจ้า ก็ถือโอกาสต่อโลงให้นายกองโลงหนึ่งด้วยก็แล้วกัน หากครั้งนี้สุดท้ายแล้วไม่ได้ใช้ ครั้งต่อๆ ไปก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้”

จางซานถอนหายใจ

สวี่ชิงพยักหน้า เอ่ยลาจากไป

จวบจนมองสวี่ชิงจากไปจนลับสายตา จางซานส่ายหน้าพลางเดินเข้าไปในห้องทำงานหลอมเรือเวทของตัวเอง ในใจก็ขบคิดไปด้วยว่าในเมื่อจะต่อโลงอยู่แล้ว เช่นนั้นต่อไว้สองโลงเลยท่าจะดี

“เป็นสหายกัน พวกเขาสองคนระห่ำขนาดนั้นกันทั้งคู่ เตรียมไว้ให้คนละโลง ยุติธรรมสมเหตุผล”

ตอนนี้ฟ้าข้างนอกมืดแล้ว สวี่ชิงเดินอยู่บนถนนพลางมองตรอกซอกซอย ฟังเสียงคลื่น ความรู้สึกคุ้นเคยทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายลงมาก

“เช่นนั้นต่อจากนี้ก็หลบกระแสในสำนักก่อน!”

สวี่ชิงพึมพำ เดินไปในกรมปราบพิฆาตที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก

ในฐานะที่เป็นรองเจ้ากรมปราบพิฆาต การมาถึงของสวี่ชิงสร้างความตื่นตัวให้กับสมาชิก โดยเฉพาะกรมปราบพิฆาตที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกคือสำนักงานใหญ่ของหน่วยปราบนิลกาฬ

ส่วนสวี่ชิงในฐานะรองเจ้ากรม ส่วนที่ดูแลรับผิดชอบคือหน่วยปราบนิลกาฬ

ดังนั้นการปรากฏตัวขึ้นของเขาทำให้ลูกศิษย์ทุกคนในกรมปราบพิฆาตต่างเคารพนอบน้อม กระทั่งนอกที่พักของสวี่ชิงยังมีลูกศิษย์ระดับรวมปราณของกรมปราบพิฆาตเป็นองครักษ์ คอยฟังคำสั่งทุกเวลา

เจ้าใบ้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

หลังจากสวี่ชิงเข้าไปในที่พัก เขาก็มาอย่างรวดเร็วนั่งยองอยู่นอกประตู มองทุกคนอย่างดุดัน

เหมือนว่าในความความคิดของเขา ไม่ว่าจะเป็นคนของกรมปราบพิฆาตหรือไม่ ขอแค่เข้ามาใกล้เกินไปก็ล้วนเป็นศัตรูของเขา

ส่วนความเคลื่อนไหวข้างนอก สวี่ชิงสัมผัสได้อย่างชัดเจน และสัมผัสถึงเจ้าใบ้ด้วยเช่นกัน

“ฝึกบำเพ็ญได้เร็วมาก” ในสายตาของสวี่ชิง ทะเลวิญญาณในตัวเจ้าใบ้ที่อยู่นอกที่พักมีขนาดถึงเจ็ดสิบจั้งแล้ว นี่หมายถึงว่าเขาก้าวสู่คัมภีร์แปรสมุทรขั้นที่เจ็ดแล้ว

เวลาสั้นๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว แม้สวี่ชิงจะสังเกตครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีความคิดจะสืบเสาะ ในเมื่อทุกคนต่างมีความลับของตัวเอง เขาไม่สนใจเรื่องของคนอื่น

เวลาก็ไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง ครึ่งเดือนก็ผ่านไป

การกลับมาของสวี่ชิงแม้จะเงียบๆ แต่ก็ค่อยๆ ลือกันออกไป ทว่าตัวเขาอยู่ในกรมปราบพิฆาต อีกทั้งยังมีชื่อเสียงเหี้ยมโหดเลื่องลือ ดังนั้นแม้จะได้รับนัดหมายขอเยี่ยมเยือนอยู่เรื่อยๆ แต่คนที่กระตือรือร้นมารบกวนมีน้อยมาก

นอกจากหวงเหยียนและติงเสวี่ย

ขณะเดียวกันในเวลาครึ่งเดือนนี้ ในสนามรบก็เกิดเรื่องมากมาย การปะทะกันของฝ่ายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตและเผ่าสิงซากสมุทรมาถึงขั้นร้อนแรงที่สุดแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน ทั้งสองฝ่ายทำสงครามขนาดใหญ่ขึ้น

สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแบ่งเป็นเจ็ดเส้นทางทำการโจมตีเกาะรองนอกเผ่าสิงซากสมุทร คิดจะฝ่าทะลวงพวกมัน

ฝ่ายเผ่าสิงซากสมุทรก็ต้านทานสุดกำลัง แต่การแบ่งกองกำลังทหารของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจริงเท็จปะปนกัน ในนั้นมีสี่เส้นทางที่แค่แสร้งโจมตีเท่านั้น เป้าหมายของกลศึกไม่ใช่เพื่อโจมตียึดพื้นที่ แต่เพื่อตรึงกำลังเท่านั้น

สามเส้นทางที่เหลือถึงจะเป็นกองกำลังโจมตีที่แท้จริง เป้าหมายเพื่อยึดครองเกาะรอง เป็นสะพานให้กองทัพของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตสามารถโจมตีดินแดนของเผ่าสิงซากสมุทรได้

ศึกนี้สะเทือนฟ้าดินโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก

แม้สวี่ชิงจะไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่เอกสารเกี่ยวกับสนามรบของกรมปราบพิฆาตก็บรรยายศึกนี้เอาไว้ได้ชัดเจนมาก อีกทั้งสุดท้ายแล้วฝ่ายสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ยึดครองเกาะรองสองเกาะมาได้จริงๆ

เช่นนี้แล้ว สงครามครั้งนี้สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรก็ผลลัพธ์ไม่ดีเอาเสียเลย

กระทั่งว่าระหว่างผู้นำระดับสูงของแต่ละฝ่ายต่างลงมือเองหลายครั้ง สงครามยกระดับเป็นวงกว้าง

รางวัลที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตมอบให้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้ลูกสำนักเจ็ดเนตรโลหิตต่างสังหารจนตาแดงก่ำ

ในขณะเดียวกันรางวัลประกาศจับของนายกองกับสวี่ชิงที่แต่เดิมความร้อนแรงลดลงเล็กน้อยเนื่องจากสงครามครั้งนี้ ทว่าไม่นานนักจากการเพิ่มรางวัลประกาศจับ ก็ทำให้ความร้อนแรงของสวี่ชิงนำหน้านายกองไปทันที

ประกาศเพิ่มรางวัลประกาศจับนี้มาจากเหมี่ยวเฉิน ผู้สืบทอดมรรคาของเผ่าสิงซากสมุทร!

“เพิ่มรางวัลประกาศจับ ใครก็ตามที่สังหารสวี่ชิงได้ ข้าผู้สืบทอดมรรคาผู้นี้ขอสัญญาว่าจะทำตามเรื่องที่ขอให้สำเร็จสิบเรื่อง ขอเพียงอยู่ในขอบเขตที่ทำได้ เรื่องใดก็ได้ทั้งนั้น! สำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสที่ถูกต้องให้ ข้าสัญญาว่าจะทำตามเรื่องที่ขอให้สำเร็จหนึ่งเรื่อง!!”

เหมี่ยวเฉินในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรย่อมมีกำลังรบไม่ธรรมดา ชื่อเสียงยิ่งโด่งดัง กระทั่งว่าในต่างเผ่ายังเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ดังนั้นการเพิ่มรางวัลนำจับจึงวิพากย์วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงทันที

จากนั้น ภายใต้การจับตามองมากมาย ศึกระหว่างสวี่ชิงและเหมี่ยวเฉินครั้งนั้นก็เล่าลือกันออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้เหมี่ยวเฉินไม่ได้ปรารถนา แต่เขาทำอะไรไม่ได้ สำหรับเขาขอเพียงฆ่าสวี่ชิงได้ เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรอง

ดังนั้นเขาจึงเพิ่มรางวัลประกาศจับก่อน ให้ที่ที่สวี่ชิงอยู่มีสายตาที่เป็นปฏิปักษ์มากขึ้น จากนั้นเขาค่อยปล่อยข่าวออกไปอีกข่าวหนึ่ง

“สวี่ชิง เจ้ากล้ามาสนามรบมาสู้กับข้าผู้สืบทอดมรรคาผู้นี้หรือไม่ ศึกนี้คนอื่นไม่เกี่ยว แค่เจ้ากับข้าเท่านั้น!”

ข่าวสองข่าวนี้สวี่ชิงย่อมเห็นอยู่แล้ว แต่เขาเมินผ่านไป เขารู้สึกว่าผู้สืบทอดมรรคาเหมี่ยวเฉินผู้นี้โง่เง่าอยู่นิดๆ

ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตที่ถ้ำยาจก หรือจะเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต ล้วนทำให้สวี่ชิงไม่สนใจการตัดสินประลองเช่นนี้

เขาชอบแอบแฝงตัวไปปาดคอทีเดียวแล้วจากไปมากกว่า แบบนี้เรียบง่ายราบรื่นกว่า

ในขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งเดือนนี้ สำนักก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในนั้น…ก็คือท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกสร้างพิพิธภัณฑ์ขนาดมหึมาขึ้นมาแห่งหนึ่ง

เรื่องนี้แม้ในตอนแรกจะปิดเงียบ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงปิดไม่มิด

อีกทั้งทางจางซานก็ไม่ปกปิดอีกต่อไป กลับช่วยผสมโรง ดังนั้นไม่นานนัก ผู้บำเพ็ญทั้งสำนักก็รู้เรื่อง ในพิพิธภัณฑ์ที่ท่าเรือหนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกมีของเพียงชิ้นเดียววางอยู่

นั่นก็คือ…จมูกของเทวรูปบรรพชนที่เจ็ด!

จมูกนี้จัดแสดงให้ชมในวันที่เปิดพิพิธภัณฑ์วันนั้น

ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตล้วนมาเข้าชมได้ คนต่างเผ่าก็มาเข้าชมได้เช่นกัน

เรื่องนี้เพียงประกาศออกมาไม่ใช่แค่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตฮือฮาเท่านั้น ทางเผ่าสิงซากสมุทรก็ได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งเผ่าคลุ้มคลั่งโกรธแค้นทันที ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้พวกเขาอัปยศมากกว่าเรื่องนี้แล้ว

ส่วนบรรพจารย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตย่อมได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน มีความสุขเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งว่าภายใต้ความชื่นใจยังเขียนตัวอักษรพู่กันหนึ่งชุด ให้คนส่งจากสนามรบกลับมาที่สำนัก แขวนสูงเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์

อักษรชุดนี้มีตัวอักษรเพียงสี่ตัวเท่านั้น

“เพลิงลุกบนจมูก”

สวี่ชิงได้รับข้อความสื่อเสียงจากจางซานก็ออกจากกรมปราบพิฆาตมาในพิพิธภัณฑ์ที่สร้างเกือบเสร็จแล้ว เห็นจมูกบรรพชนศพขนาดมหึมาและตัวอักษรสี่ตัวที่แขวนอยู่บนจมูกก็อึ้งตะลึงไป

จางซานอยู่ข้างๆ ก็ใบหน้าเคร่งเครียดไปเช่นกัน

“ตัวอักษรของท่านบรรพจารย์สี่ตัวนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” สวี่ชิงพึมพำมองไปทางจางซาน

“นี่…หรือจะให้พวกเราใช้ไฟเผา จัดวางให้เหมือนถูกไฟเผาอย่างนั้นหรือ” จางซานลังเลเล็กน้อย พึมพำไม่แน่ใจ

สวี่ชิงกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็สัมผัสอะไรได้ พลันสะบัดหน้าหันไปมองนอกพิพิธภัณฑ์ตรงพื้นที่กว้างโล่งตรงนั้น

“มีอะไรหรือ” จางซานงงงัน

สวี่ชิงจ้องมองตรงนั้น หรี่ตาลง เสี้ยวขณะต่อมามือขวาก็พลันยกขึ้น กริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ก่อนจะฟันไปข้างๆ อย่างโหดเหี้ยม เสียงลากกรีดมาพร้อมด้วยเสียงแปลกประหลาดจากบริเวณที่กริชของสวี่ชิงกรีดลงไป

“เฮอะ!”

สิ่งที่ดังมาตามเสียงคือเสียงพุ่งมาอย่างรวดเร็วของลม มันดังมาจากข้างหลังสวี่ชิง สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ไฟชีวิตในร่างสองดวงปะทุขึ้นทันที ในขณะเดียวกับที่คลื่นความร้อนแผ่ไปทั่วทุกทิศก็หมุนตัวซัดหมัดออกไป

เสียงสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นสวี่ชิงร่างถอยไปข้างหลังสามสี่ก้าว มองไปทางพื้นที่กว้างโล่งที่ห่างออกไปไม่ไกล มิติตรงนั้นบิดเบี้ยวคล้ายว่ามีเงาร่างหนึ่งอยู่ข้างใน มันถอยหลังไปเช่นกัน

“เฉินเอ้อร์หนิว” สวี่ชิงมองทางบริเวณที่บิดเบี้ยวก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ

“เรียกนายกอง!” เสียงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงดังออกมาจากในนั้น ทว่าเงาของนายกองกลับไม่ปรากฏออกมา จางซานที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังออกว่าเป็นเสียงของนายกองเช่นกัน มองไปทางพื้นที่ที่บิดเบี้ยวอย่างตื่นเต้นดีใจ

“นายกอง เจ้ากลับมาแล้ว!”

“แน่นอน ครั้งนี้ไม่มีอันตรายอะไร ก็แค่ระดับแก่นลมปราณหลายสิบตนไล่ฆ่าก็เท่านั้น ข้าหนีมาได้ง่ายดายราวปอกกล้วย ข้ากระทั่งว่ายังไปสนามรบเผ่าสิงซากสมุทรมาอีกด้วย กลับมาจากทางนั้น”

ในมิติมีเสียงนายกองดังออกมา จากนั้นกลางอากาศก็มีผลผิงกั่วลอยกลางอากาศ เสียงกร๊อบดังขึ้น ผิงกั่วถูกกัดไปคำหนึ่ง

“ทำไมเจ้าไม่ปรากฏตัว” จางซานสงสัย

ในมิติที่สวี่ชิงและจางซานมองไม่เห็นมีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น คนคนนี้เหลือเพียงขาข้างเดียว แขนข้างเดียว เอวแทบจะถูกฟันขาด ทั่วทั้งร่างมีบาดแผลนับไม่ถ้วน มีหลายทางที่ทะลุร่างกายของเขา

โดยเฉพาะใบหน้าของเขา ราวกับเสียโฉมไปแล้ว จมูกช้ำหน้าบวมไม่เป็นรูปเป็นร่าง ผมไหม้เหมือนถูกไฟเผา เป็นนายกองนั่นเอง

เขาฝืนสะกดความเจ็บปวดแสนสาหัสทั่วทั้งร่างพยายามลืมตาบวมเป่งที่เหลือเพียงขีดเดียว ยกมุมปากเอ่ยอย่างหยิ่งทะนง

“ชินแล้ว ข้ารู้สึกว่าสภาวะอำพรางกายไม่เลวเลย สะดวกทำเรื่องอะไรมากมาย อีกทั้งในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการของพวกเจ้า อยู่ในสภาวะเช่นนี้ยิ่งเป็นการทำให้ฐานะของข้าโดดเด่นขึ้น”

พูดแล้วก็จงใจถือผลผิงกั่ว อ้าปากที่เหมือนไส้กรอกสุดกำลัง กินต่ออย่างสุขุม เอ่ยขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้านอีกว่า

“ระดับหลอมตันเถียนสิบกว่าคนนั่นถูกข้าหลอกจนหัวปั่น ข้ากระทั่งว่ายังมีเวลาไปดูเทวรูปบรรพชนศพที่หนึ่ง ซ้ำยังฉี่ใส่ด้วย น่าเสียดายเทวรูปนั่นใหญ่เกิน เอามาไม่ไหว ไม่เช่นนั้นข้ายังกะว่าจะเอามันกลับมาให้พวกเจ้าฉี่ใส่ด้วยเหมือนกัน

“อีกทั้งเหตุที่ข้าเป็นแบบนี้ก็เพื่อดูแลรองเจ้ากรมสวี่ ข้าเองก็ไม่ได้อะไร ในเผ่าสิงซากสมุทรหลับตายังสามารถเข้าๆ ออกๆ ได้สบาย แต่รองเจ้ากรมสวี่ทำไม่ได้ เพื่อคุ้มกันเขา ข้ากระทั่งว่าเดินวนในวังหลวงของเผ่าสิงซากสมุทรมารอบหนึ่งด้วย

“หากไม่ใช่ว่าข้ารีบกลับมาหาพวกเจ้าแล้วล่ะก็ ข้ายังวางแผนว่าจะไปดูสถานที่รักษาอาการบาดเจ็บของบรรพจารย์เผ่าสิงซากสมุทรเสียหน่อย ดูว่าจะเอาอะไรกลับมาจากที่นั่นได้หรือไม่”

ในขณะเดียวกับที่นายกองเอ่ยอย่างหยิ่งทะนง ใบหน้าก็บวมฉึ่งราวหัวหมู ความเจ็บปวดทั้งร่างทำให้เขาตัวสั่นอย่างอดไม่ได้ ความสาหัสของบาดแผลดูเหมือนพอๆ กับตอนที่บ้าระห่ำไปชิงเลือดเนื้อจวีอิงตอนนั้น แต่ความจริงในร่างแทบจะแหลกละเอียดหมดแล้ว

เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้สำหรับเขาแล้วมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน แต่ศักดิ์ศรีความเป็นหัวหน้าทำให้เขาแพ้ไม่ได้ ตอนนี้เมื่อพูดจบกก็กวาดตามองสวี่ชิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“รองเจ้ากรมสวี่ ครั้งนี้ข้าเจ้ากรมคนนี้ช่วยเจ้าถึงขนาดนี้ หินวิญญาณห้าหมื่นก้อนที่เจ้าติดข้าไว้อย่าลืมคืนเสียเล่า”

สวี่ชิงมองนายกองพูดอย่างเงียบๆ ก้มหน้ามองเจ้าเงาที่คนนอกมองไม่เห็น มีเพียงเขาที่สัมผัสรับรู้ได้คนเดียว

ตอนนี้เจ้าเงากำลังแสดงรูปร่างมนุษย์ที่มีขาเดียว แขนเดียว กินผิงกั่วด้วยร่างที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง… รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท