บทที่ 199 สองดาราเกี้ยวเดือน
ลูกศิษย์เชิดชูเกียรติสำนักที่ว่าก็คือคนที่เป็นหน้าเป็นตา เป็นตัวแทนของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตต้อนรับแขก
เช่นนี้แล้วต่างเผ่าที่มาเยี่ยมเยือนสำนักเจ็ดเนตรโลหิตล้วนได้เห็นสวี่ชิงและนายกอง และทุกครั้งที่ได้เห็นพวกเขาก็จะคิดถึงเรื่องน่าอับอายของเผ่าสิงซากสมุทร
ดังนั้นในช่วงเวลาต่อมา จากการมาเยือนจำนวนมากมายของคนต่างเผ่า สวี่ชิงและนายกองก็ยุ่งจนหัวหมุนอย่างเลี่ยงไม่ได้
สวี่ชิงในตอนนี้ยืนอยู่ที่ท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก รอคอยคนต่างเผ่าที่ใกล้จะมาถึงอย่างเงียบๆ ในช่วงเวลาพลบค่ำนี้
ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ใบหน้าที่มากพอจะทำให้คนทั้งหลายหลงใหล งดงามจนเกินปกติ จากลมทะเลที่พัดมาไรผมเล็กละเอียดที่หน้าผากปลิวพริ้ว ประดุจม่านสีดำที่สั้นยาวไม่เท่ากัน แอบซ่อนความเย็นชาและหงุดหงิดเอาไว้
นี่เป็นต่างเผ่ากลุ่มที่เจ็ดที่เขามาคอยต้อนรับในช่วงเวลาครึ่งเดือนหลังจากได้รับคำสั่งจากบรรพจารย์แล้ว
แต่สวี่ชิงก็ไม่สามารถชินได้เสียที ในใจของเขาต่อต้านหน้าที่นี้
เขาไม่ชอบโดดเด่นเกินไปต่อหน้าคน นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย แต่สวี่ชิงก็รู้ดีว่าชื่อเสียงจอมปลอมอย่างลูกศิษย์ลูกศิษย์เชิดชูเกียรติสำนักนี้ก็คือการปกป้องตนอย่างหนึ่ง
ชื่อเสียงจอมปลอมชั้นนี้จะกำจัดความคิดประสงค์ร้ายที่คอยคิดจ้องลงมือมากมาย ในเมื่อ…เขาคือหน้าตาที่เป็นตัวแทนของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
แต่ก็เนื่องจากเป็นหน้าตา ดังนั้นถ้าไม่เกิดอันตรายเลย ก็จะเป็นภัยอันตรายร้ายแรงอย่างแน่นอน
แล้วยังมีอันดับคำเรียกนี้ สวี่ชิงก่อนหน้านี้เคยได้ยินคนพูดว่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมีส่วนที่เหมือนกับเผ่าสิงซากสมุทร และก็มีส่วนที่แตกต่างกัน ในเมื่อในอันดับนี้ ก่อนหน้านี้มีเพียงลูกศิษย์สืบทอดสายตรงของเจ้ายอดเขาทั้งเจ็ดเท่านั้น ถึงจะเข้ามาอยู่ในอันดับได้
หากได้อยู่ในอันดับ ก็เท่ากับมีฐานะที่พิเศษ ผู้ชิงตำแหน่งเจ้ายอดเขาในอนาคตก็คือแก่งแย่งกันจากในอันดับนี้
ในขณะเดียวกันด้านสิทธิพิเศษก็ไม่เหมือนกับลูกศิษย์ทั่วไป ส่วนสวี่ชิงก็พูดได้ว่าเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของเจ้ายอดเขาก็ได้เข้าสู่รายชื่อจัดอันดับแล้ว
‘อันดับของเฉินเอ้อร์หนิวเลื่อนขึ้น…นายกองน่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่แล้ว’ ในใจสวี่ชิงยืนยันเรื่องนี้ แต่ว่าเขาก็รู้สึกรางๆ ว่าเบื้องหลังนายกองน่าจะมีความลับที่ยิ่งใหญ่กว่านี้
รอด้วยความคิดเช่นนี้ แม้สวี่ชิงจะจนปัญญาแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของบรรพจารย์ตรงๆ ได้
“ทำไมยังไม่มาอีก” ผมยาวที่ลมทะเลพัดปลิวพริ้วระขนตาสวี่ชิง ขัดจังหวะความคิดของเขา เขาเงยหน้ามองไปทางทะเล ความหงุดหงิดในใจเพิ่มมากขึ้น
“ศิษย์พี่สวี่ เผ่าดาราสมุทรนี้ได้ยินคนพูดกันว่ามีปลาดาวแปลกประหลาดดวงหนึ่งที่หลังทุกตน โดยปกติไม่ชอบแสงอาทิตย์ ดังนั้นพวกเขาอาจจะใกล้ๆ ฟ้ามืดถึงจะปรากฏตัว”
สวี่ชิงไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียว ลูกศิษย์ข้างหลังเขามีถึงยี่สิบกว่าคน นี่คือหน้าตาที่นายกองจัดการให้ สำหรับคำสั่งของบรรพจารย์ นายกองกระตือรือร้นกว่าเขามาก
ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยในสำนักถูกนายกองเรียกให้มาเข้าร่วม ขณะเดียวกันสวี่ชิงก็เหมือนเป็นไพ่ตายของนายกอง หากแขกที่มาเป็นผู้บำเพ็ญหญิงเป็นหลัก นายกองมักจะเรียกสวี่ชิงทันที
และการปรากฏตัวทุกครั้งของสวี่ชิงก็ทำให้ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าหญิงที่มาชมจมูกบรรพจารย์ศพต่างตื่นตะลึงในรูปโฉม สงสัยใคร่รู้ในตัวเขามาก
สวี่ชิงเดิมจะปฏิเสธ แต่คิดถึงว่าแบบนี้จำนวนครั้งที่ตนต้องออกมาก็จะน้อยมาก ดังนั้นจึงยอมรับการจัดการนี้
แต่นายกองก็เหมือนจะกังวลว่าสวี่ชิงจะโดดเดี่ยว ดังนั้นจึงจัดสหายร่วมสำนักที่เขาคุ้นเคยดีสองคนมาให้อย่างเอาใจใส่ เพื่อเป็นผู้ช่วยด้วย
คนหนึ่งก็คือกู้มู่ชิงที่กำลังพูดอยู่ตอนนี้
กู้มู่ชิงเอ่ยเสียงเบา ใบหน้าของนางสง่างามอ่อนโยน ประดุจดอกบัวในแก้ว รูปโฉมหยาดเยิ้ม มีชีวิตชีวา
ตอนนี้มุมปากของนางมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏ คิ้วตายังมีความเป็นเด็กหลงเหลืออยู่นิดๆ แฝงด้วยความมีชีวิตชีวายิ่งนัก ชุดนักพรตสีส้มทั้งร่างขับเน้นร่างสูงโปร่งของนาง ประดุจเมฆพรายรุ้ง เป็นประกายระยิบระยับ
“ศิษย์พี่สวี่ เผ่าดาราสมุทรทำเกินไปนิดจริงๆ กล้ามาสายเสียได้ แต่ว่าไม่เป็นไร ข้าเพิ่งได้รับการตอบรับจากสมาพันธ์เจ็ดสำนัก รอเมื่อสงครามจบสิ้นข้าก็จะไปได้เรียนวิชาสมุนไพรแล้ว เมื่อไปถึงที่นั่นข้าก็มีคุณสมับติให้เผ่าดาราสมุทรมาขอโทษศิษย์พี่ด้วยตัวเอง!
“แล้วก็ศิษย์พี่ นี่คือสิ่งที่ข้าได้จากการเรียนในช่วงนี้ ศิษย์พี่ท่านช่วยข้าตรวจหน่อยสิเจ้าคะ”
เห็นกู้มู่ชิงพูดกับสวี่ชิงแบบนั้น ติงเสวี่ยก็ก้าวออกมาพูดกับสวี่ชิงบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังหยิบตั๋ววิญญาณปึกหนึ่งและแผ่นหยกอีกชิ้นหนึ่งออกมาอีกด้วย
นางยิ้มงดงาม ข้อมือขาวกว่าหิมะ ผมดำประดุจปุยเมฆ ริมฝีปากเล็กๆ สีกุหลาบใต้จมูกโด่งเผยอเล็กน้อย ประดุจดอกกุหลาบที่งดงามเฉิดฉัน
เสียงที่ดังออกมาไพเราะก้องกังวาน ฉายความไร้เดียงสา ส่วนดวงตาก็เป็นประกายระยับ คิ้วเรียวละเอียดดุจไหม ดวงตาที่เหมือนกระชากวิญญาณคู่นั้น เหมือนเพียงแค่ชั่วแวบเดียวก็ทำให้คนจมอยู่ในนั้นจนถอนตัวไม่ขึ้น
ติงเสวี่ยก็คือผู้ช่วยคนที่สองที่นายกองจัดเตรียมให้สวี่ชิง
หญิงสาวสองคนนี้ยืนอยู่ข้างซ้ายขวาของสวี่ชิง ต่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เหมือนดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ต้นไผ่ เบญจมาศ ที่ยากจะตัดสินว่าใครเลิศล้ำกว่า
และข้างหลังพวกเขาสามคน ในบรรดาลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตสามสิบกว่าคนนี้มีเจ้าจงเหิงด้วย
ครึ่งเดือนนี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ถึงจะทำให้ตัวเองยังรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้ ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ต่างมองสวี่ชิงทางนั้นราวมองเทพ
ในครึ่งเดือนนี้ ระหว่างกู้มู่ชิงและติงเสวี่ยดูเหมือนสามัคคีกันแต่ความจริงแล้วการแก่งแย่งชิงดีซึ่งกันและกันบางอย่างก็เห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้กู้มู่ชิงปรายตามองติงเสวี่ยแวบหนึ่ง
ติงเสวี่ยก็ไม่อ่อนข้อ หลังจากกวาดตามองไปก็คิ้วงามก็เลิกขึ้น จากนั้นก็ทำท่าน้อยอกน้อยใจออกมา
“ศิษย์พี่กู้ เผ่าดาราสมุทรต่อให้มีเหตุผลอะไร แต่นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขา ให้พวกเรารอไม่เป็นไร แต่ให้พี่สวี่ชิงมารอ ข้าไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย หรือท่านไม่คิดเช่นนี้หรือ โดยเฉพาะพี่สวี่ชิงฝึกบำเพ็ญเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้นยังต้องมารอพวกเขาอีก พวกเขาทำเกินไปแล้ว”
กู้มู่ชิงหน้าอกกระเพื่อม นางที่นิสัยเยือกเย็นสง่างาม ครึ่งเดือนมานี้ยังมีหลายครั้งที่ควบคุมเอาไว้ไม่ได้อยู่นิดๆ นางไม่ถนัดพูดจาอะไรพวกนี้ ทุกครั้งที่ได้ยินก็รู้สึกว่าติงเสวี่ยมารยาแพศยา น่ารังเกียจนัก
“ติงเสวี่ย เจ้าเอาแต่เรียกข้าว่าศิษย์พี่ ปีนี้ข้าอายุสิบเจ็ด ขอถามว่าเจ้าอายุเท่าใด”
ติงเสวี่ยตาแดงก่ำ ก้มหน้าลงไป เอ่ยเสียงเบา
“ศิษย์พี่กู้ เสวี่ยเอ๋อร์ผิดไปแล้ว ข้า…ข้าพูดไม่ค่อยเป็น หากประโยคไหนทำให้ศิษย์พี่ไม่พอใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่สงสารพี่สวี่ชิงเท่านั้นเอง”
ที่หน้าผากกู้มู่ชิงเส้นเลือดเต้นตุบ ลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย
ลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่ข้างหลังพวกนางเหล่านั้น ทุกคนที่ได้ยินต่างมองเงาแผ่นหลังของติงเสวี่ยด้วยแววตาลึกซึ้ง ส่งสายตาคุยกัน ต่างเห็นความนับถือในตัวติงเสวี่ยกันและกัน
เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ชนะขาดลอย
สวี่ชิงมองๆ ติงเสวี่ย แล้วก็มองๆ กู้มู่ชิงอย่างสงสัย ไม่ได้ไปสนใจ ช่วงนี้เขารู้สึกว่าสหายร่วมสำนักทั้งสองคนนี้แปลกเหลือเกิน คล้ายว่าจะไม่ถูกกัน
ดังนั้นกำลังจะเอ่ยปาก แต่ในตอนนี้เอง ในทะเลไกลๆ ก็มีเสียงดังครืนครันดังมา สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทันที เห็นเพียงบนผิวน้ำใต้แสงอาทิตย์อัสดงที่แต่เดิมนิ่งสงบกลับแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นซัดถาโถม
จากเสียงคลื่นกึกก้องสนั่นหวั่นไหว ห่างออกไปพันจั้ง เรือศึกดาวห้าแฉกสีดำลำมหึมาลำหนึ่งก็พลันลอยขึ้นมาจากใต้ทะเล จากนั้นก็เรียงเป็นแถว มีเรือศึกดาวห้าแฉกสีดำทั้งหมดเจ็ดลำ
พลังกดดันน่าครั่นคร้ามแผ่ออกมาจากในนั้น ขณะเดียวกับที่แผ่ซ่านไปทั่วทุกทิศ ดวงตามหึมาทั้งเจ็ดดวงของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็แผ่ประกายแสงสีแดงออกมาเช่นกัน คล้ายว่ากำลังตรวจสอบ
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ เพราะในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่ใช่มีแค่ค่ายกลที่สะกดทุกสิ่งเท่านั้น ขณะเดียวกันเมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เจ้ายอดเขาลำดับหกก็ถูกส่งให้กลับมาบำเพ็ญที่สำนักแล้ว
มีเจ้ายอดเขาลำดับหกดูแล ใจสวี่ชิงรู้สึกปลอดภัยมั่นคงอีกมาก
ตอนนี้จากการเข้าใกล้ของเรือศึกดาวห้าแฉกสีดำเจ็ดลำ สวี่ชิงก็เห็นบนเรือศึกดาวห้าแฉกมีเงาร่างผู้บำเพ็ญจำนวนมากปรากฏขึ้น ทุกลำเหมือนจะมีประมาณสามสิบกว่าคน
เผ่าดาราสมุทร เป็นกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่มีลักษณะอย่างมนุษย์ สมาชิกในเผ่ามีรูปลักษณ์หน้าตาภายนอกคล้ายกับมนุษย์ เพียงแต่ผมของพวกเขาเป็นสีฟ้า ดวงตาก็เช่นกัน
ในนั้นสตรีมีจำนวนมาก
ในคนสองร้อยกว่าคนตอนนี้ เป็นผู้บำเพ็ญหญิงถึงเจ็ดส่วน สามคนที่อยู่ข้างหน้าสุด ระลอกคลื่นของทุกคนล้วนน่ากลัวมาก ในการรับรู้ของสวี่ชิงเหมือนจะพอๆ กับผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณสามหัวหกแขนเผ่าสิงซากสมุทรตนนั้นในตอนนั้น
ทั้งสามคนนี้ลักษณะเป็นหญิงกลางคน ข้างหน้าพวกนางเป็นเด็กสาวผมสีฟ้าคนหนึ่ง เด็กคนนี้หน้าตางดงาม ดูแล้วอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด สวมชุดกระโปรงยาว ดวงตาใสกระจ่าง ผิวขาวผิดปกติ
สายตาของนางกวาดมาบนฝั่ง ผละจากกู้มู่ชิงและติงเสวี่ยมาจับจ้องที่ร่างของสวี่ชิง
“ยินดีต้อนรับพันธมิตรเผ่าดาราสมุทรสู่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต” สวี่ชิงประสานหมัดคารวะ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“เจ้าก็คือสวี่ชิงหรือ” เด็กสาวในดวงตาแฝงด้วยความสงสัย ยิ้มพลางเอ่ย
“ใช่” สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ หลังจากพยักหน้าก็เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“วันนี้มืดแล้ว พรุ่งนี้จะมีคนนำทุกท่านเข้าชมวัตถุเทวรูปบรรพชนศพ” พูดจบสวี่ชิงก็สั่งการลูกศิษย์ที่อยู่ข้างหลัง
“ส่งพันธมิตรเผ่าดาราสมุทรไปที่พัก”
“ช้าก่อน ศิษย์พี่สวี่ชิง เผ่าดาราสมุทรเราเกลียดชังเผ่าสิงซากสมุทรเป็นหนักหนา ข้านับถือการกระทำของท่านยิ่งนัก ข้าอยากมอบของกำนัลให้ท่าชิ้นหนึ่ง ขอโปรดรับไว้”
เด็กสาวยิ้มพลางเอ่ย หันไปมองผู้ติดตามข้างหลังแวบหนึ่ง ไม่นานนักผู้ติดตามก็หยิบหอยสังข์อันหนึ่งออกมา ยื่นไปข้างหน้าสวี่ชิง
สวี่ชิงเงยหน้ามองเด็กสาว
“ศิษย์พี่สวี่ชิง นี่คืออาวุธเวทที่เป็นเอกลักษณ์ของเผ่าเรา หลังจากที่เป่ามันจะได้รับการอวยพรจากเผ่าเรา อีกทั้งยังเรียกให้สิ่งมีชีวิตประเภทหอยทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ในทะเลต้องห้ามให้ปรากฏตัวขึ้นได้” เด็กสาวพูดจบก็โค้งคารวะ ตามคนในเผ่าขึ้นฝั่ง มองมาทางสวี่ชิงหลายครั้ง
ภาพนี้ทำให้ติงเสวี่ยขมวดคิ้วงาม ไม่ค่อยพอใจ กู้มู่ชิงเองในใจก็เกิดความไม่สบายใจขึ้นมาเช่นกัน
โดยเฉพาะหลังจากที่คนจากเผ่าดาราสมุทรถึงฝั่งแล้ว เด็กสาวคนนั้นเหมือนนึกอะไรได้ เดินมาทางสวี่ชิง นี่ทำให้ติงเสวี่ยเลิกคิ้ว กำลังจะพูดอะไร
แต่ในตอนนี้ จู่ๆ ที่ไกลก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา เงาร่างแต่ละทางๆ บินเข้ามาใกล้จากในท่าเรือ ภาพที่เกิดขึ้นอย่างกะทันกันนี้ทำให้เผ่าดาราสมุทรระมัดระวังตัวกันขึ้นมาทันที ประกายเฉียบคมฉายวูบในดวงตาของหญิงวัยกลางคนทั้งสาม
สวี่ชิงหันกลับไปมองเช่นกัน เพียงแวบแรกก็เห็นนายกองและองค์หญิงสองที่อยู่ข้างหลังนายกองที่อยู่ในกลุ่มคนที่มาถึงทันที
นายกองรวดเร็วยิ่งนัก เพียงพริบตาก็มาถึงข้างกายสวี่ชิง ไม่ทันได้ทำความเคารพตามมารยาทกับเผ่าดาราสมุทร เขาก็เอ่ยเสียงต่ำทุ้มขึ้นว่า
“บรรพจารย์ถ่ายทอดคำสั่งลงมาเกาะบูรพาสงัดมาเยือน!”
“เกาะบูรพาสสงัดหรือ” สวี่ชิงอึ้งงงงัน แต่จากสามคำที่นายกองพูดออกมา ทางติงเสวี่ยทางนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี ผู้บำเพ็ญเผ่าดาราสมุทรสามคนนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมากทันทีเช่นกัน
“เจ้าเกาะบูรพาสงัดเป็นหญิงชรา ชื่อว่าจอมคนบูรพาสงัด พลังบำเพ็ญของนางอยู่ขอบเขตเดียวกับบรรพจารย์หลังจากที่ทะลวงขั้นแล้ว…คนที่มาย่อมไม่ใช่นาง แต่เป็นหลานของนาง คนคนนี้นิสัยย่ำแย่…เจ้าต้องระวัง”
นายกองสีหน้าจริงจัง เพิ่งพูดจบ ในทะเลที่ไกลๆ ก็พลันมีคลื่นท่วมฟ้าซัดโถม!
พลังกดดันแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งแผ่กดดันไปทั่วทุกสารทิศทันที
บทที่ 195 ความทุกข์ระทมของผู้อ่อนแอ
“นายกอง หากเงินรางวัลหนึ่งร้อยล้าน ขาข้างหนึ่งรวมกับแขนข้างหนึ่ง น่าจะได้หินวิญญาณสามสิบล้านก้อนแล้วกระมัง”
สวี่ชิงเก็บสายตาที่มองไปยังเจ้าเงา มองไปทางผลผิงกั่วที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลพลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
ผลผิงกั่วที่ลอยอยู่กลางอากาศมีรอยฟันปรากฏขึ้น คล้ายว่าคนที่กัดลงไปตอนนี้หยุดท่าทางชะงัก
“รองเจ้ากรมสวี่ ขาข้างหนึ่งอะไรกัน ไม่เข้าใจๆ แต่หินวิญญาณสองหมื่นก้อนที่ติดข้าไว้จะเบี้ยวไม่ได้ อย่างไรเสียครั้งนี้เพื่อคุ้มครองเจ้าแล้ว ข้าสู้สุดชีวิตเลยทีเดียว!”
สวี่ชิงร้องอ้อขึ้นมา แล้วหยิบแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาชิ้นหนึ่งโยนไปให้
นี่คือบันทึกภาพเคลื่อนไหวจริตจะก้านและท่าทางโอ้อวดของนายกองในตอนแปลงโฉมเป็นองค์หญิงสามที่บรรพจารย์สำนักวัชระบันทึกเอาไว้…
แผ่นหยกแผ่นนั้นถูกรับเอาไว้ทันที หลังจากผ่านไปสี่ห้าอึดใจ เสียงหัวเราะร่าก็ดังขึ้นมา
“ศิษย์น้องที่ข้ารักลึกซึ้งเป็นที่สุด เมื่อครู่ศิษย์พี่ล้อเล่นกับเจ้าเท่านั้น เอ๋ จางซาน ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่เหมือนกัน ที่นี่กำลังจะสร้างอะไรหรือ ทำไมข้างๆ ถึงมีจมูกด้วย”
จางซานสีหน้าแปลกประหลาด ของชิ้นที่ใหญ่ที่สุดที่นี่ก็คือจมูกนั่นแล้ว เขาพูดในใจว่านายกองเอ๋ยนายกอง วิธีเปลี่ยนเรื่องของเจ้าจะมักง่ายเกินไปหน่อยกระมัง
ดังนั้นเขาจึงมองบริเวณที่ผิงกั่วถูกกัดคำแล้วคำเล่าพลางส่ายหน้า
“นายกอง ทางเจ้ายังมีจมูกของเทวรูปอีกชิ้นหนึ่งใช่หรือไม่ เอามาวางไว้ด้วยกันที่นี่ ข้าจะเอามาต่อกันเพื่อจัดแสดง”
จางซานเพิ่งพูดจบ ข้างๆ ที่กว้างโล่งก็มีเสียงตึงดังขึ้น ก้อนหินก้อนใหญ่สีเทาตกลงมา มันมีขนาดถึงเจ็ดแปดจั้ง เป็นจมูกชิ้นที่นายกองเอาไปนั่นเอง
เพียงแต่ริมขอบบางแห่งบนนั้นจะเห็นรอยฟันมากมาย เหมือนว่าเคยถูกคนกัดไปหลายครั้ง
“เจ้านี่ไม่มีประโยชน์ ระหว่างทางที่กลับมาข้าลองกัดไปหลายครั้ง ไม่มีผลอะไรเลย” นายกองส่งเสียงออกมาอย่างเกียจคร้าน
จางซานไม่สนใจ ก้าวขึ้นไปอุ้มจมูกขึ้นมา วางมันกับชิ้นของสวี่ชิงชิ้นนั้น สีหน้าเผยแววฮึกเหิม แววตาเป็นประกาย
“เอาละ ข้าเพิ่งกลับมายังมีกิจธุระต้องจัดการ ช่วงนี้ข้ากำลังเตรียมแผนการใหญ่ ตอนนี้มีหัวใจศพระดับสูงแล้วแต่ยังขาดรายงานบางอย่าง รอข้าจัดการเรียบร้อย พวกเราสามคนก็ไปทำการใหญ่กันได้แล้ว!” เสียงนายกองดังก้อง แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้น
“ยังจะทำการใหญ่อีกหรือ” จางซานสูดลมหายใจ มองไปทางผิงกั่วราวกับมองเทพ
สวี่ชิงตาจ้องเพ่ง ถามขึ้นว่า
“เปิดช่องเวทได้หรือไม่”
“ไม่ใช่แค่เปิดช่องเวท เป้าหมายของรองเจ้ากรมสวี่เล็กเกินไปแล้ว ครั้งนี้หากพวกเราทำสำเร็จ เช่นนั้นก็จะก้าวเดียวสู่สวรรค์แล้ว เนื้อจวีอิงก่อนหน้านี้ หัวใจศพระดับสูงล้วนเตรียมเพื่อแผนการใหญ่ทั้งสิ้น” นายกองยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น แต่แผลปริแตก เจ็บจนปากเหยเก
“เดี๋ยวข้าจะบอกรายละเอียดกับพวกเจ้า ข้าไปก่อน เฮ้อ ชีวิตก็เหนื่อยเช่นนี้ งานมากมายรอข้าไปจัดการ” นายกองฝืนสะกดความเจ็บปวดเอาไว้ หลังจากพูดอย่างไม่สะทกสะท้านก็กระโดดโหยงเหยงจากไปอย่างรวดเร็ว
จางซานมองไม่เห็น แต่สวี่ชิงก้มหน้ามองเจ้าเงา ตอนนี้เจ้าเงาทำท่ากระโดดโหยงเหยง เซไปมาบนพื้น
“มีชิ้นส่วนจมูกสองชิ้นนี้ พิพิธภัณฑ์ของพวกเราก็สุดยอดแล้ว!” จางซานไม่สนใจนายกอง ตอนนี้ความทุ่มเททั้งหมดของเขาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ หลังจากวนรอบจมูกรอบหนึ่ง เขาก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกรอบ
สวี่ชิงดึงสายตากลับมาเงียบๆ มองไปทางจางซาน
“ศิษย์พี่จาง เรือเวทของข้าจะหลอมได้หรือไม่”
“หลอมเสร็จแล้ว คู่มืออยู่ข้างใน สวี่ชิงเจ้าลองอ่านดูเองก่อน ต่อจากนี้ข้าจะประกอบชิ้นส่วนจมูกสองชิ้นนี้เข้าด้วยกัน ทำให้มันสมบูรณ์แบบขึ้นอีกนิด”
จางซานพูดพลางโยนขวดใบเล็กให้สวี่ชิงใบหนึ่ง จากนั้นทั้งตัวก็พุ่งไปบนจมูก เริ่มทำการศึกษาว่าจะประกอบอย่างไร
สวี่ชิงรับขวดมา เอ่ยลาจากไป
เขาไม่ได้กลับกรมปราบพิฆาต แต่มายังริมฝั่งท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก ปล่อยเรือเวทออกมา
คลื่นซัดเป็นระลอกจากเสียงดังสนั่นหวั่นไหวสะท้อนก้อง เรือเวทลำมหึมาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
รูปร่างของเรือลำนี้เหมือนกับก่อนหน้านี้ทุกประการ ไม่มีข้อแตกต่างอะไรเลย
ทว่าเห็นได้ชัดว่าวัสดุดีขึ้น จากรายรับทางด้านการเงินของท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก แสดงว่าจางซานลงทุนกับการหลอมเรือเวทสวี่ชิงไปมหาศาล
กระทั่งว่าสวี่ชิงสัมผัสได้ลางๆ ถึงระลอกคลื่นที่ควบคุมการลุกไหม้ของไฟชีวิต นี่ทำให้เขานึกถึงเรื่องที่จางซานเคยพูดว่าเรือเวทเมื่อถึงระดับแปดก็จะมีพลังควบคุมไฟชีวิต
สวี่ชิงมองเรือเวท หยิบแผ่นหยกคู่มือที่จางซานให้มาเปิดอ่านดู
แม้ครั้งนี้ในเรือเวทจะไม่มีเนื้อจวีอิง พลังคุณสมบัติเทพไม่อาจสำแดงออกมาได้ ทว่าความยอดเยี่ยมของวัสดุเรือเวททำให้คุณสมบัติของมันไม่เลวเลย
โดยเฉพาะชิ้นส่วนทุกชิ้นข้างในล้วนทำจากวัสดุระดับสูง เรือใหญ่เวทขั้นแปดลำนี้ดูจากราคาก็น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่งแล้ว
“สวี่ชิง เรือใหญ่เวทกับเรือเวทต่างกัน เนื่องจากการยกระดับเรือเวทง่าย ทุกขั้นจึงล้วนทำให้พลังพลานุภาพยกระดับเพิ่มขึ้นมาก แต่เรือใหญ่เวทไม่ใช่
“แม้เจ็ดขั้นแรกของเรือใหญ่เวทจะมีความแตกต่างแต่ก็ไม่มาก มีเพียงหลังจากระดับแปดเท่านั้นจึงจะก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว เรือใหญ่เวทของเจ้าครั้งนี้สิ่งที่ข้าเพิ่มความแข็งแกร่งหลักๆ แล้วก็คือการป้องกันระดับแปด ส่วนแหล่งกำเนิดพลังงานหลักข้าใช้หัวใจของอสูรศิลาแกร่ง และเอามาเพิ่มการป้องกันด้วย ทำให้เรือใหญ่เวทเทียบเท่าสภาวะแสงนภาระดับสร้างฐานขั้นต้น
“แต่คุณสมบัติเทพไม่มีแล้ว ทว่าข้าก็เว้นที่ว่างเอาไว้ หากเจ้าได้หัวใจของสิ่งมีชีวิตประเภทเทพมาก็จะทำให้เรือใหญ่เวทของเจ้าลำนี้ยกระดับสู่ขั้นเก้าได้ทันที
“ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นการป้องกันหรือด้านอื่นก็เทียบได้กับระดับสร้างฐานขั้นกลางแล้ว!
“วันข้างหน้ายิ่งหัวใจคุณสมบัติเทพที่เจ้าได้มายิ่งมีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่มากเท่าไร พลังเรือใหญ่เวทของเจ้าก็จะยิ่งมากเท่านั้น และเมื่อถึงขั้นที่สิบก็เทียบได้เท่ากับระดับสร้างฐานขั้นปลายแล้ว และเรือใหญ่เวทขั้นสิบของทั้งสำนักก็มีจำนวนน้อยนิดนัก!
“นอกจากนี้ข้ายังเพิ่มวิทยาการแกล้งระเบิดที่ข้าเพิ่มไปเมื่อครั้งที่แล้วบนเรือใหญ่เวทเจ้า ในขณะเดียวกันข้าก็ได้บุกเบิกแนวทางใหม่ให้กับเจ้าโดยเฉพาะอีกอย่างหนึ่งด้วย เพิ่มการระเบิดตัวเองเข้าไป เช่นนี้แล้วเจ้าก็อาจจะสะดวกมากขึ้น ข้าเองก็มีความรู้สึกมีส่วนร่วมด้วย เมื่อเรือใหญ่เวทเจ้าระเบิด เจ้าก็จะได้รู้ว่าข้ามีส่วนร่วมด้วยอย่างไร…”
สวี่ชิงมองแผ่นหยกที่ทิ้งข้อความเสียงของจางซานเอาไว้ พลางมองเรือใหญ่เวทข้างหน้าด้วย
แม้ตอนนี้เรือใหญ่เวทลำนี้จะไม่มีการโจมตีคุณสมบัติเทพ แต่สวี่ชิงก็ยังก้าวขึ้นไปอย่างพอใจ หลังจากเปิดการป้องกัน เขาก็กลับเข้ามาในตัวเรือ ในเสี้ยวพริบตาที่นั่งลงจิตใจก็ผ่อนคลายนัก
‘ชินกับการอยู่บนเรือแล้วจริงๆ แต่ความรู้สึกมีส่วนร่วมด้วยในการระเบิดทำลายตัวเองที่จางซานบอกคืออะไรกัน’ สวี่ชิงค่อนข้างสงสัย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก หลังจากสูดลมหายใจลึกก็หลับตานั่งสมาธิเงียบๆ
เพียงพริบตาก็ผ่านไปสามวัน
ด้วยกลับมาของนายกอง เรื่ององอาจหาญกล้าของสวี่ชิงและนายกองก็สร้างระลอกคลื่นในสำนักอีกครั้ง สวี่ชิงก็คาดหวังนิดๆ เช่นกันว่ารางวัลสำหรับเรื่องนี้ที่สำนักบอกจะเป็นอะไร
ในขณะเดียวกันในใจของเขาก็ผ่อนคลายเล็กน้อยเช่นกัน
ก่อนที่นายกองจะกลับมาสวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยเอามากๆ หากในสำนักมีผู้นำระดับสูงเกิดจิตคิดร้ายอะไรจริงๆ เช่นนั้นเขาก็จะเผชิญหน้ากับวิกฤตอันตรายครั้งใหญ่
แม้ความเป็นไปได้ดูจากตอนนี้แล้วจะน้อยมาก ทว่าก็ต้องป้องกันเอาไว้
แต่…นายกองกลับมาแล้ว สวี่ชิงก็สบายใจ
“จะอย่างไรเขาถึงจะเป็นตัวการหลัก จมูกก็เป็นเขาที่ทำให้ระเบิด ในประกาศจับรางวัลค่าหัวของเขายิ่งเกินสมควร อีกทั้งเขายังอยู่ในอันดับหนึ่ง เช่นนี้แล้วหากมีคนจะลงมือ ถ้ามีสองแล้วต้องเลือกหนึ่งก็จะต้องเลือกเขาอย่างแน่นอน”
สวี่ชิงใจสงบสุขอยู่ทางนี้ ทว่าในพลบค่ำของวันที่สาม คนที่ใจไม่สงบเอาเสียเลยมาพร้อมกับความทุกข์ระทม มาถึงท่าเรือที่นึ่งร้อยเจ็ดสิบหก ด้านนอกเรือใหญ่เวทของสวี่ชิง
หญิงสาวคนนี้ไม่ได้ตัวสูง ดูแล้วผ่ายผอมอ่อนแอ สวมชุดนักพรตสีเทา พลังบำเพ็ญระดับรวมปราณทั้งร่างก็แค่ขั้นสามเท่านั้น
คนประเภทนี้ ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตทำอะไรก็แล้วแต่ล้วนต้องระมัดระวังทุกคน ไม่ว่าจะหญิงหรือชายล้วนเป็นเช่นนี้
คนคนนี้ก็คือสวีเสี่ยวฮุ่ยที่เข้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตพร้อมสวี่ชิงนั่นเอง
นางยืนอยู่ข้างเรือใหญ่เวทของสวี่ชิงเงียบๆ ใบหน้าแฝงด้วยความเศร้าโศก ในใจยิ่งผสมปนเปไปด้วยทุกข์ระทมและกระวนกระวาย หากไม่ใช่ว่าอับจนหนทางแล้วจริงๆ นางไม่กล้ามาหาสวี่ชิงแน่นอน
แม้พวกเขาจะนับว่าเข้าสำนักพร้อมกัน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีการไปมาหาสู่อะไร โดยเฉพาะตอนนี้สวี่ชิงเป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานแล้ว อีกทั้งยังมีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่มีใครไม่รู้จักเขา
บุคคลมีชื่อเสียงเช่นนี้ ต่อให้นางพยายามให้ตายก็อยู่ไกลเกินเอื้อม
ดังนั้นนางทนทุกข์ทรมานนานอยู่หลายเดือนสุดท้ายถึงยอมกัดฟันมา ตอนนี้เพิ่งเข้าใกล้เรือใหญ่เวทก็รีบคุกเข่าลงทันที
“ศิษย์สวีเสี่ยวฮุ่ย ขอเข้าพบอาจารย์อาสวี่ชิง”
ในเรือใหญ่เวท สวี่ชิงที่นั่งทำสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น เงยหน้ามองไปข้างนอกด้วยสีหน้าสงบนิ่ง สายตาเหมือนมองทะลุสิ่งกีดขวางไปจับจ้องสวีเสี่ยวฮุ่ยที่อยู่ข้างนอกได้
“มีเรื่องอะไร”
เสียงของเขาดังออกมาจากเรือใหญ่เวท ดังก้องข้างหูสวีเสี่ยวฮุ่ย นางตัวสั่นไปทั้งร่าง เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“อาจารย์อา ศิษย์พี่โจวชิงเผิงเขา…เมื่อสามเดือนก่อนได้ตายอย่างอนาถในสำนักเสียแล้ว”
เรือใหญ่เวทเงียบนิ่ง
หลังจากนั้นหลายอึดใจ เงาร่างของสวี่ชิงก็เดินออกมาจากในห้องโดยสารเรือ เขายืนอยู่บนเรือ ก้มมองสวีเสี่ยวฮุ่ยที่คุกเข่าอยู่คนนั้น ในหัวมีภาพฉากที่พวกเขาสี่คนขึ้นเขาด้วยกัน และเรื่องที่โจวชิงเผิงมอบแมงดาพรายปรารถนาให้ตนอย่างใจกว้างผุดขึ้นมา
ความจริงเขาไม่ได้สนิทสนมกับโจวชิงเผิงมากนัก แต่การที่อีกฝ่ายมอบแมงดาพรายปรารถนาในตอนนั้นก็นับเป็นน้ำใจ อีกทั้งในภายหลังมันก็มีส่วนช่วยเหลือตัวเขาไม่น้อย ตอนนี้ได้ยินว่าโจวชิงเผิงตายอนาถ เขาก็รู้สึกสะท้อนใจเช่นกัน
แต่ก็ไม่ได้ผิดคาดสักเท่าไร
การเลี้ยงกู่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตไม่มีทางลดลงเพราะสงคราม ย่อมมีคนตายในนี้ และมักจะมีคนเฝ้าปรารถนาอยากฝากตัวเข้ามา
แต่ในเมื่อตนติดน้ำใจเขา เรื่องนี้สวี่ชิงต้องไถ่ถาม เขาจึงมองสวีเสี่ยวฮุ่ยพลางเอ่ยอย่างช้าเนิบ
“เล่ามาให้ละเอียด”
ประเยคนี้ของสวี่ชิงทำให้สวีเสี่ยวฮุ่ยตาแดงก่ำ น้ำตาไหลริน
หลายเดือนมานี้นางสิ้นหวังหลายต่อหลายครั้ง จวบจนคำถามของสวี่ชิงในตอนนี้ทำให้ในใจของนางมีความหวังขึ้นมา
“อาจารย์อาสวี่ ศิษย์พี่โจวอยู่ที่กรมคุ้มกันสมุทรแต่เดิมนั้นติดตามอาจารย์อาติงเซียวไห่ เขากับข้าช่วยอาจารย์อาติงทำเรื่องที่ให้คนนอกรู้ไม่ได้มากมาย และอาจารย์อาติงก็รับปากเขาว่า ในวันข้างหน้าจะให้สิทธิ์รายชื่อผู้ติดตามกับเขา
“แต่หลังจากอาจารย์อาติงเลื่อนขั้นไปจากกรมคุ้มกันสมุทรแล้วก็ไม่ได้เรียกให้ศิษย์พี่โจวไปอยู่ข้างกาย ทำให้ศิษย์พี่โจวไร้การปกป้องไปในทันที และเรื่องมากมายที่เขาทำเมื่อก่อนหน้านั้นก็สร้างความไม่พอใจให้กับคนจำนวนไม่น้อย นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุการตายของเขา
“นอกจากนั้นศิษย์พี่โจวยังได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาลมาจากเกาะเผ่าเงือกในการแข่งขันครั้งใหญ่ของยอดเขาลำดับเจ็ดครั้งนั้นด้วย ผลเก็บเกี่ยวพวกนี้เดิมก็รักษาเอาไว้ได้ แต่ด้วยไม่ได้รับความสนใจจากอาจารย์อาติง สุดท้ายแล้วศิษย์พี่โจวก็ถูกคนจับจ้อง วันหนึ่งเมื่อสามเดือนก่อนก็ตายอนาถอยู่บนถนน
“ข้าสืบเรื่องมาจนถึงตอนนี้ก็หาไม่เจอว่าฆาตกรคือใคร”
สวีเสี่ยวฮุ่ยน้ำตาริน แม้จะเต็มไปด้วยความเศร้าโศกแต่คำพูดคำจาเป็นลำดับขั้นตอน เห็นได้ชัดว่านางเตรียมคำพูดนี้ไว้ในใจนานแล้ว
“เจ้ากับโจวชิงเผิงอย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง มองไปทางสวีเสี่ยวฮุ่ย
“ศิษย์พี่โจวมีบุญคุณกับข้า ก่อนหน้านี้ข้าได้หยิบยืมหินวิญญาณจำนวนมหาศาลเพื่อเรื่องเรือเวท ทว่าไม่มีปัญญาคืน จำต้องทิ้งศักดิ์ศรีไปประจบประแจงยั่วยวน ตกเป็นของเล่นของลูกศิษย์บางคน อยู่ต่อหน้าคนดูเหมือนมีหน้ามีตา แต่ความจริงแล้วมีชีวิตเหมือนปศุสัตว์ ต้องเผชิญกับการทรมานต่างๆ จากพวกเขา เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล เป็นตัวข้าเองที่ใฝ่ต่ำ รักหน้าตาเกินไป ข้ายอมรับชะตา”
สวีเสี่ยวฮุ่ยกัดริมฝีปากเอ่ยเสียงเบา
“ศิษย์พี่โจวสงสารข้า ช่วยข้าใช้หนี้ เดิมข้าคิดว่าเขาชอบข้า แต่จนสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่แตะต้องข้า กลับช่วยข้าหลายต่อหลายครั้ง ข้าคิดว่า…ข้าสวีเสี่ยวฮุ่ยแม้เป็นคนต่ำต้อย แต่ข้าก็รู้ว่ามีบุญคุณต้องทดแทน
“แต่ความสามารถของข้ามีจำกัด หลายเดือนมานี้ต่อให้ข้าต้องพลีกายไปสืบก็ไม่ได้ผลอะไร จึงทำได้เพียงแค่มาที่นี่ ขอร้องอาจารย์อาสวี่เท่านั้น”
สวีเสี่ยวฮุ่ยก้มหน้า หน้าผากแตะพื้นดิน
พลังอ่อนโยนกลุ่มหนึ่งแผ่มาขัดขวางการโขกศีรษะของนาง
“ไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าแซ่สวี่ก็เคยติดค้างน้ำใจโจวชิงเผิงครั้งหนึ่ง เรื่องนี้ข้าสืบเอง”
