ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 200 ผู้มาเยือนไม่เป็นมิตร

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 200 ผู้มาเยือนไม่เป็นมิตร

แรงกดดันนี้มีความเผด็จการวูบหนึ่ง แค่เพิ่งปรากฏก็กระพือคลื่นยักษ์ที่ท่าเรือ ทำให้คลื่นสีดำหอบม้วนอย่างรุนแรง กลายเป็นกำแพงน้ำกลางอากาศ ครืนครันเข้ามาทางประตูใหญ่นอกท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิต

คลื่นนี้ขนาดค่อนข้างใหญ่มีพลังบ้าคลั่งแฝงอยู่ภายใน กระทั่งกระตุ้นค่ายกลใหญ่เจ็ดเนตรโลหิต ม่านแสงสีแดงสายหนึ่งจากแสงที่เปล่งออกในจุดที่ห่างจากเจ็ดเนตรโลหิตก็ปรากฏขึ้นฉับพลัน เข้าสกัดคลื่นน้ำ

เสียงครืนครันดังออกมาในระยะใกล้เช่นนี้ เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนแก้วหูจนหูดับ ทำให้ผู้คนในท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกราวกับมีสายฟ้าอัสนีสะเทือนก้องที่ข้างหู

สวี่ชิงเลิกคิ้ว มือขวายกขึ้นโบก พลังเวทในร่างกายก็แผ่ซ่านปกคลุมกู้มู่ชิงและติงเสวี่ยไว้ด้านในฉับพลัน ตัดขาดจากเสียงครืนครันที่สามารถสั่นสะเทือนจิตวิญญาณนี้ไป

แต่ศิษย์เจ็ดเนตรโลหิตที่เหลืออีกสามสิบกว่าคนก็แย่หน่อย พวกเขาแต่ละคนกระอักเลือดสด พากันถอยหนี เสียงนี้สามารถทำอันตรายกับศิษย์ระดับลมปราณได้จริงๆ

สวี่ชิงหรี่ตาลง นายกองที่อยู่ข้างๆ ลูบคาง มององค์หญิงสองที่อยู่ข้างกาย

องค์หญิงสองก็ขมวดคิ้วเช่นกัน นางมองไปทางประตูใหญ่ของเจ็ดเนตรโลหิตไกลๆ เอ่ยขึ้นกะทันหันว่า

“นี่หมายความว่าอย่างไร”

“ไอ๊หยาพี่สาวอย่าเพิ่งโมโหนะ” จากเสียงองค์หญิงสองที่ดังออกมา ก็มีเสียงใสเสียงหนึ่งดังตอบกลับมาจากทางประตูใหญ่ของท่าเรือ

พริบตาต่อมาหนวดของปลาหมึกขนาดยักษ์เส้นหนึ่งก็โผล่พ้นผืนน้ำขึ้นมาจากใต้ทะเลด้านนอกประตูใหญ่ท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิต

หนวดปลาหมึกเส้นนี้หนาหลายจั้ง ขนาดความยาวก็ยาวนับร้อยจั้ง ดูแล้วยิ่งใหญ่มาก เวลานี้ผ่านประตูใหญ่ท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิตเข้ามาหยุดในอ่าว จากนั้นก็มีหนวดแบบเดียวกันค่อยๆ ยื่นออกมาจากน้ำทะเลเรื่อยๆ

พริบตาต่อมา หัวปลาหมึกที่ใหญ่โตยิ่งกว่าก็โผล่ขึ้นมาจากใต้ทะเล

ด้านบนหัวปลาหมึกตัวนี้มีตัวตนที่เหมือนจะเป็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ สาเหตุที่ใช้คำว่าน่าจะ ก็เพราะชุดทะมัดทะแมงสีดำที่นางสวมอยู่ดูแล้วไม่ใช่การแต่งกายของเด็กสาวเลย กระทั่งเส้นผมก็ไม่ใช่ผมยาว แต่สั้นเอามากๆ

ทว่านางก็ดูอ้อนแอ้นบอบบางมาก ขณะพูดเวลานี้ ก็เข้าประชิดชายฝั่งท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกทันทีจากการที่ปลาหมึกขนาดยักษ์ตัวนั้นคลานออกมาจากใต้ทะเล

น้ำทะเลสีดำสาดลงมาบนพื้น บางส่วนสาดรดบนตัวศิษย์เจ็ดเนตรโลหิต กระทั่งเผ่าดาราสมุทรที่อยู่ข้างๆ เวลานี้คนในเผ่าส่วนใหญ่ตัวสั่นเทา พากันก้มหน้าลง

ร่างของปลาหมึกยักษ์ตัวนี้ แผ่กลิ่นอายระดับเดียวกับผู้อาวุโสแก่นลมปราณที่น่าตื่นตะลึงออกมา!

เนื่องจากอสูรทะเลที่สะพรึงเช่นนี้มีร่างกายที่ใหญ่โต พลังการต่อสู้จึงมักจะเหนือกว่ากว่าระดับของผู้บำเพ็ญ เวลานี้แรงกดดันบนตัวก็ยิ่งแผ่ความน่าสะพรึงออกไปรอบด้านอย่างเหิมเกริม

เมื่อเห็นภาพนี้ สวี่ชิงก็ถอยหลังหลายก้าวหลบน้ำทะเลที่สาดกระเซ็นมา เงยหน้ามองเด็กสาวชุดดำที่ยืนอยู่บนตัวปลาหมึกขนาดยักษ์อย่างเย็นชา

เด็กสาวคนนี้อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี ใบหน้ารูปแตง ริมฝีปากบาง คิ้วและดวงตามีชีวิตชีวาค่อนข้างพริ้มเพรา

เมื่อร่างบางกระโจนลงมาจากที่สูง ก็วิ่งตรงไปหาองค์หญิงสองทันทีโดยไม่แม้แต่จะมองสวี่ชิงและนายกอง

“พี่สาว เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้ ต้องโทษเจ้าเสี่ยวผี” พูดพลาง เด็กสาวก็ยกมือขวาโบกไปด้านหลัง ฉับพลันเข็มแหลมหลายเล่มก็ปรากฏออกมากลางอากาศรอบตัวนาง แผ่แสงคมกริบออกมาพร้อมกับพลังที่น่าตกตะลึงพุ่งไปทางปลาหมึก

เป้าหมายไม่ใช่ร่างกายที่มีเนื้อหนังหยาบหนาของมัน แต่เป็นดวงตา

พริบตาต่อมา ปลาหมึกตัวนี้สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ในดวงตาถูกแทงด้วยเข็มแหลมสีดำจำนวนมาก แต่มันกลับไม่กล้าหลบ ทั้งๆ ที่เจ็บปวดก็ไม่กล้าขัดขืน ปล่อยให้เลือดสีดำไหลออกมา

“พี่สาวไม่ต้องโมโหนะ ข้าช่วยตีมันให้แล้ว”

ภาพนี้ปรากฏอยู่ในสายตาสวี่ชิง เขาหดม่านตาลงเล็กน้อย ตอนที่กวาดสายตามองสาวน้อยชุดดำ ก้นบึ้งจิตใจเขาก็ปรากฏระลอกคลื่นขึ้นมา

สำหรับสวี่ชิง อีกฝ่ายแตกต่างกับคนทั้งหมดที่เขาเคยเจอมา ไม่ว่าจะนายกองหรือว่าผู้สืบทอดมรรคาเผ่าศพสิงซากสมุทร กระทั่งผู้อาวุโสสำนักและเจ้ายอดเขาก็ล้วนแตกต่างกับเด็กสาวคนนี้

อีกฝ่ายเหมือนจะดู…บริสุทธิ์กว่า!

ความบริสุทธิ์นี้ ทำให้สวี่ชิงเข้าใจสาเหตุในทันที และสาเหตุนี้ก็คือต้นกำเนิดระลอกคลื่นในก้นบึ้งจิตใจของเขา

‘นางไม่มีไอพลังประหลาด!’

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้บำเพ็ญที่ไม่มีไอพลังประหลาดนอกจากตนเอง ความบริสุทธิ์บนตัวอีกฝ่ายนั้นราวกับเทพธิดา กระทั่งทั้งร่างยังมองเห็นช่องเวทอีกหนึ่งร้อยกว่าช่องอยู่รางๆ กำลังเปล่งแสงออกมา

ไม่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบช่อง

สวี่ชิงกวาดตาดูและมั่นใจว่ามีหนึ่งร้อยสี่ช่อง เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวคนนี้ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเปิดช่องเวท สุดท้ายจะต้องไปถึงหนึ่งร้อยยี่สิบช่องแน่นอน กระทั่งมากกว่านี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ถึงอย่างไรสวี่ชิงตอนแรกก็เคยได้สัมผัสแล้ว ว่าหนึ่งร้อยยี่สิบ…ไม่ใช่ขีดจำกัด

“เหยียนเหยียน ที่นี่คือเจ็ดเนตรโลหิต เจ้า…” องค์หญิงสองขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ

“เอาล่ะๆ พี่สาวข้าผิดไปแล้ว” เด็กสาวชุดดำรีบเดินมาอยู่ข้างกายองค์หญิงสอง กอดแขนกำยำของนางไว้ เอ่ยด้วยเสียงออดอ้อน

ความสัมพันธ์ของนางกับองค์หญิงสองไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้องค์หญิงสองส่ายหัว มองไปทางนายกอง

“ศิษย์พี่ใหญ่…เหยียนเหยียนไม่ได้เจตนา”

นายกองยิ้มพิจารณาเด็กสาวเสื้อดำคนนั้นครู่หนึ่ง เด็กสาวคนนี้ก็มองนายกองอย่างประหลาดใจ จากนั้นจึงยิ้มบางๆ เผยลักยิ้มสองข้าง

“ดวงตาของเจ้าน่ารำคาญเสียจริง ถ้ายังมองข้าอีก ข้าจะให้เสี่ยวผีควักออกมาเสีย”

เมื่อนายกองได้ยินก็ตาเป็นประกาย พยายามถลึงตาโต ราวกับจะเผยให้เห็นว่าดวงตาของตนเองสวยเพียงใด จากนั้นก็ล้วงผิงกั่วออกมาใบหนึ่ง กัดไปหนึ่งคำ

“ไม่เป็นไร ข้าให้เจ้าเลยก็ได้ มาแลกกับน้ำยาบูรพาสงัดขวดหนึ่ง จะแลกหรือไม่”

เด็กสาวชุดดำเลิกคิ้วงาม

องค์หญิงสองรีบร้อนดึงเด็กสาวชุดดำที่อยู่ข้างๆ เด็กสาวแค่นเสียง สายตากวาดไปทางกลุ่มคน ท้ายสุดก็ไปหยุดอยู่บนตัวสวี่ชิง

เดิมทีก็แค่กวาดตามอง แต่พริบตาต่อมานางก็เห็นใบหน้าของสวี่ชิง

“พี่สาว คนคนนี้ใช่คนสำนักเดียวกับท่านใช่หรือไม่ ข้าอยากเอาใบหน้าของเขามาหลอมทำเป็นหน้ากาก ตอนใส่ออกไปด้านนอกต้องดูดีแน่ๆ”

เด็กสาวชุดดำไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น ในดวงตานางเผยประกายประหลาดออกมาจริงๆ กระทั่งปลาหมึกยักษ์ข้างๆ ตอนนี้ก็ยังเผยแววตาเย็นยะเยือกจับจ้องไปทางสวี่ชิง

ผู้คนรอบๆ พากันตึงเครียด โดยเฉพาะเผ่าดาราสมุทร ล้วนถอยหลังไปทั้งหมด

สวี่ชิงไม่พูดอะไร แต่พลังเวทในร่างกายควบรวมไว้นานแล้ว เงาใต้เท้าเองก็เตรียมพร้อมเช่นกัน

เด็กสาวชุดดำหรี่ตาลง องค์หญิงสองข้างกายนางก็ถอนหายใจ มองไปทางเด็กสาวชุดดำอย่างเอาจริงเอาจัง

“ไม่ได้!”

นางรู้จักสวี่ชิง และรู้ว่านางเป็นเพื่อนของหวงเหยียน เมื่อพูดแล้วจึงมองไปทางสวี่ชิง

“สวี่ชิงขอโทษด้วย เจ้ากลับไปก่อนเถิด เรื่องนี้ข้าจะให้หวงเหยียนไปอธิบายกับเจ้าภายหลัง”

สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า หันหลังตั้งท่าจะจากไป

แต่ตอนนี้เอง เมื่อเด็กสาวชุดดำได้ยินชื่อหวงเหยียน จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา

“พี่สาว ทำไมท่านถึงปกป้องเขานัก ชอบเขาแล้วหรือ เช่นนั้นข้าไม่เอาหน้าเขาแล้วก็ได้ ขอข้าข่วนเสียหน่อยแล้วกัน”

พูดจบ นางก็เคลื่อนไหวฉับพลัน ปะทุความเร็วขึ้นพริบตา พุ่งเข้าหาสวี่ชิง ดวงตาก็เผยความเป็นอริและความโหดร้ายรุนแรงออกมา

ความโหดร้ายและความเป็นอรินี้ประหลาดมาก ตอนลงมือก็รวดเร็วขีดสุด แต่สวี่ชิงก็เตรียมป้องกันไว้นานแล้ว ไฟชีวิตในร่างกายจุดติดขึ้นในพริบตา เข้าสู่สภาวะแสงนภาทันควัน เขาพุ่งออกไปด้วยเช่นกัน ทะยานไปหาเด็กสาวที่พุ่งมา

และขณะเดียวกัน ปลาหมึกที่อยู่ข้างๆ ก็แผ่แรงกดดันระดับแก่นลมปราณออกมาทันที คิดจะลงมือ แต่ตอนนี้เอง เสียงคำรามต่ำราวสายอัสนีเสียงหนึ่งก็ดังมาจากยอดเขาลำดับหกของเจ็ดเนตรโลหิต

“บังอาจนัก!”

ปลาหมึกแก่นลมปราณก็ตัวสั่นเทิ้มทันทีจากเสียงที่ดังมา กลิ่นอายดับสลายราวกับถูกสะกด และถูกพลังไร้ลักษณ์วูบหนึ่งกดลงไปบนพื้น ขยับตัวไม่ได้

ส่วนนายกองก็ไหววูบทันที พุ่งตรงไปยังปลาหมึกที่ถูกยอดเขาลำดับหกสะกด กลิ่นอายเย็นเยียบระเบิดออกมาทั้งร่างในพริบตา เมื่อเข้าประชิดก็กอดหนวดเส้นหนึ่งเอาไว้แล้วกัดลงไป

ขณะเดียวกัน สวี่ชิงกับเด็กสาวชุดดำก็ปะทะกันกลางอากาศ เล็บของเด็กสาววาดข่วนอย่างแรงไปบนใบหน้าสวี่ชิงท่ามกลางเสียงครืนครัน สวี่ชิงไม่หลบเลยสักนิด กริชปรากฏขึ้นในมือขวา ออกแรงวาดกรีดไปที่คอเด็กสาว

ร่างของเด็กสาวเบี่ยงหลบกริชของสวี่ชิง แต่พริบตาต่อมาสวี่ชิงก็ยกเข่าเสยไปที่หน้าอกนางอย่างจัง เสียงโครมดังขึ้น เด็กสาวพลันกลายเป็นเศษกระดาษ

สวี่ชิงม่านตาหดลง ล้วงขวดเล็กที่บรรจุของเหลวสีดำใบหนึ่งออกมาฟาดไปด้านหลังสุดกำลังอย่างไม่ลังเล

เสียงตูมดังขึ้น ขวดเล็กแตกกระจาย ของเหลวสำดำด้านในสาดกระจายออกมา ส่วนหนึ่งตกมาบนฝ่ามือสวี่ชิง แต่ส่วนที่มากกว่าสาดรดไปบนมือขวาของเด็กสาวที่จู่ๆ เดินออกมาจากความว่างเปล่าด้านหลังสวี่ชิง

หน้าเด็กสาวเปลี่ยนสีเป็นครั้งแรก สะบัดอย่างรุนแรง แต่ก็สะบัดไม่ออก ในของเหลวสีดำนั้นมีแมลงตัวเล็กอยู่นับไม่ถ้วน พริบตาที่สัมผัสเข้ากับฝ่ามือเด็กสาว ก็มุดเข้าไปในรูขุมขนอย่างรวดเร็วทันที

“เจ้า!”

เด็กสาวเพิ่งจะเอ่ยปาก จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายวาบ พุ่งออกไปฉับพลัน เหล็กแหลมสีดำก็ลอยขึ้นมาจากเงาทันควัน พุ่งตรงไปทางเด็กสาว

ในจังหวะวิกฤต บนยอดเขาลำดับหก ก็มีเสียงหมดความอดทนดังออกมา

“พอแล้ว”

พอเสียงนี้ดังขึ้น ร่างกายสวี่ชิงก็สั่นเทิ้ม ด้านหน้าเกิดพลังสกัดกั้นมหาศาล จึงทำได้เพียงถอยหลัง

เด็กสาวชุดดำคนนั้นก็เช่นกัน ระหว่างที่ถอยหลังใบหน้าก็ขาวซีด ก้มหน้าลงมองฝ่ามือ ล้วงเอายาลูกกลอนหลายเม็ดออกมากิน แต่ก็ยังไม่ได้ผล

สุดท้ายจึงทำได้เพียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ล้วงเอายันต์อักขระสีทองใบหนึ่งออกมาแปะบนมือขวา จึงสามารถสกัดการลามของแมลงเล็กสีดำในร่างกายนางเหล่านั้นไว้ได้

องค์หญิงสองทางนั้นก็รีบเข้ามา มองภาพเหล่านี้ก็ถอนหายใจ แสดงสีหน้าขอโทษไปหาสวี่ชิง ประคองเด็กสาวชุดดำเอาไว้

“เจ้าชื่อสวี่ชิงสินะ ข้าจำเจ้าไว้แล้ว ใบหน้านี้ของเจ้าข้ากำหนดไว้แล้ว นอกจากนี้เจ้าไปบอกเจ้าอ้วนหวงเหยียนนั่นด้วย ถ้ายังมาวุ่นวายกับพี่สาวข้า ข้าจะเอาเขาให้ตายเลย!” เด็กสาวชุดดำหน้ามืดครึ้ม หลังจากเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก็ถูกองค์หญิงสองลากออกไปจากท่าเรือ

นายกองก็ลงมือสุดกำลังเช่นกัน แต่ก็ยังทำอะไรกายเนื้อของสิ่งมีชีวิตระดับแก่นลมปราณไม่ได้ สุดท้ายจึงเลือกส่วนปลายสุดแล้วออกแรงสุดกำลัง และกัดหนวดมาได้ส่วนหนึ่ง

ปลาหมึกตัวนั้นคิดจะต่อต้าน แต่ตอนนี้ถูกสะกดไว้ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้ออกมา แต่เด็กสาวชุดดำก็เหมือนลืมมันไปแล้ว

ส่วนเผ่าดาราสมุทรเหล่านั้นก็มองไปทางนายกองกับสวี่ชิงอย่างยำเกรง

จากที่พวกนางเห็น สองคนนี้เป็นคนบ้า คนหนึ่งถือโอกาสที่อสูรทะเลระดับแก่นลมปราณถูกสะกด พุ่งเข้าไปกัดอย่างไม่รักตัวกลัวตาย ส่วนอีกคนก็ยังกล้าลงมือกับองค์หญิงเล็กจากเกาะบูรพาสงัด ยิ่งไปกว่านั้นยังคิดจะสังหารจริงๆ อีกด้วย

“แต่ละคนบ้าระห่ำไม่แพ้กัน ห้ามไปยั่วโมโหสองคนนี้โดยเด็ดขาด!”

นี่ทำให้พวกนางอดคิดถึงเงินค่าหัวของเผ่าสิงซากสมุทรขึ้นมาไม่ได้ ในใจรู้สึกว่าคนแบบนี้เท่านั้นที่สามารถทำเรื่องใหญ่เช่นนั้นได้ ดังนั้นจึงค่อยๆ แยกย้าย

ไม่นานนัก ที่ท่าเรือก็เหลือเพียงสวี่ชิง นายกอง รวมไปถึงปลาหมึกยักษ์ที่ถูกสะกดอยู่ตัวนั้น ส่วนกู้มู่ชิงกับติงเสวี่ยก็ถูกนายกองสั่งให้ออกไปแล้ว

ติงเสวี่ยดูกังวลเล็กน้อย แต่รู้ว่าพวกเขามีเรื่องจะคุยกัน จึงบอกลาแล้วจากไป แต่กู้มู่ชิงก่อนจะออกไป ก็ส่งขวดลูกกลอนใบหนึ่งให้สวี่ชิง

“ศิษย์พี่สวี่ชิง ลูกกลอนนี้มีผลในการสะกดอาการบาดเจ็บจากแมลง”

สวี่ชิงพยักหน้าขอบคุณ จนถึงตอนที่คนทั้งหมดออกไป นายกองแบกหนวดที่กัดออกมาเส้นนั้นวิ่งตรงมาหาสวี่ชิง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้านะ เด็กคนนั้นชอบน้องสองมาหลายปีแล้ว เห็นได้ชัดว่าตรวจสอบมาแล้วว่าเจ้าคือเพื่อนสนิทของหวงเหยียน ครั้งนี้มาหาเรื่องหวงเหยียนแน่ ส่วนเจ้าแค่ติดร่างแหเท่านั้น

“แต่ว่านางก็คงคิดไม่ถึง ว่าเจ้าก็เคี้ยวยากใช่ย่อย”

ดวงตาสวี่ชิงเผยประกายเย็นเยียบ ไม่พูดอะไร เดินตรงไปหาปลาหมึกยักษ์

“เจ้าจะทำอะไร” นายกองมองไปทางสวี่ชิง

“ตัดหนวดมาสักเส้น” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“อย่าเลย เวลาสะกดจะหมดอยู่แล้ว!!” นายกองร้อนรน

“เช่นนั้นท่านก็มาช่วยสิ รีบๆ ตัดออกมา” สวี่ชิงเดินไปเบื้องหน้าปลาหมึกยักษ์ตัวนั้น บนมือก็ปรากฏกริช สะบั้นอย่างแรงท่ามกลางสายตาเคียดแค้นของอีกฝ่าย

บทที่ 196 ความลับของเอ้อหนิว

คำพูดนี้ของสวี่ชิง สำหรับสวีเสี่ยวฮุ่ยแล้ว เป็นคำพูดที่นางซาบซึ้งที่สุดในช่วงหลายเดือนนี้ นางไม่ได้โกหก สิ่งที่พูดกับสวี่ชิงทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริง

และส่วนที่นางไม่ได้พูดออกมาก็คือความกล้ำกลืนกับความเจ็บปวดที่ตนเองจ่ายออกไปสืบเพื่อตอบแทนบุญคุณในช่วงหลายเดือนนี้ ตอนนี้นางไม่มีความรู้สึกใดๆ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิตสำนักนี้เลย

ทว่านางก็ไม่ได้เกลียดผู้ใด นางเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนดีๆ อย่างศิษย์พี่จู่ๆ ถึงตายอย่างเวทนา นางเพียงแค่อยากทำเท่าที่ทำได้เพื่อตอบแทนบุญคุณของอีกฝ่ายเท่านั้น

บางครั้ง นางก็คิดว่าตนเองไปสืบหาอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ มันคุ้มหรือไม่…แต่สวีเสี่ยวฮุ่ยก็รู้สึกว่า หากตนเองล้มเลิกไป เช่นนั้นบางทีก็เหมือนทอดทิ้งความอบอุ่นสุดท้ายในจิตใจไป

ความอบอุ่นนี้ เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดหลังจากนางมาถึงเจ็ดเนตรโลหิต นางจึงไม่อยากทอดทิ้งไป

ดังนั้นต่อให้สวี่ชิงแผ่พลังออกมาประคองนางไว้ หลังจากที่พลังสลายไป นางก็ยังเลือกคุกเข่า ราวกับว่าสำหรับคนอ่อนแอแล้ว การคุกเข่าให้ผู้อื่นก็เหมือนเป็นการปลอบประโลมอย่างหนึ่ง

ในใจสวี่ชิงก็รู้สึกทอดถอนใจเช่นกัน

ตอนนี้จึงล้วงแผ่นหยกออกมาสื่อเสียง ส่งเสียงราบเรียบออกไปหาคนผู้หนึ่ง

“มาพบข้าหน่อย”

ผ่านไปไม่นาน ร่างเงาผอมเล็กร่างหนึ่งก็ทะยานมาจากซอยไกลๆ อย่างรวดเร็วในค่ำคืนนี้ มาหาสวี่ชิงด้วยความเร็วสูงสุดตลอดทาง

สวีเสี่ยวฮุ่ยก็สัมผัสได้ หันหน้าไปม่านตาหดลง

นางเห็นว่าคนที่มาเป็นเด็กคนหนึ่ง สวมเสื้อขนสุนัขอยู่ใต้ชุดนักพรตสีเทา ทั้งตัวดูโป่งพอง แต่ความเย็นชาในดวงตารวมถึงปราณพิฆาตบนร่างกายที่แผ่ออกมาก็เพียงพอทำให้คนมากมายที่เห็นใจสั่นสะท้าน

สวีเสี่ยวฮุ่ยสูดลมหายใจ นางเคยได้ยินเรื่องของคนที่ชอบสวมเสื้อขนสัตว์ใต้ชุดนักพรตคนนี้

นางรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าใบ้ ครึ่งปีนี้มีชื่อเสียงไม่น้อย เป็นคนที่ในกรมปราบพิฆาตที่โดดเด่นขึ้นมาหลังจากสวี่ชิง ชื่นชอบการฆ่าสังหาร

คนร้ายประกาศจับที่ถูกเขาสังหารไปมีมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้เป็นแค่รวมปราณขั้นเจ็ด แต่อันที่จริงรวมปราณขั้นเก้าของสำนักเล็กๆ บางแห่งก็ตายอนาถด้วยน้ำมือเขามาแล้ว เพราะเจ้าใบ้คนนี้ดูไม่รักชีวิตยิ่งกว่าเจ้าพวกนั้นเสียอีก

เหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว ชีวิตไม่ได้มีค่าอะไร หากแน่ใจว่าเป็นศัตรู เจ้าไม่ตายข้าก็ตาย

ดังนั้นหลังจากที่เห็นการมาเยือนของเจ้าใบ้ สวีเสี่ยวฮุ่ยก็หวาดผวาด้วยสัญชาตญาณเล็กน้อย

จนพริบตาต่อมา เจ้าใบ้ก็มาถึงที่นี่ ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองสวีเสี่ยวฮุ่ย คุกเข่าไปทางสวี่ชิง ความบ้าคลั่งและยินดีที่เผยออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน

“ไปสืบสาเหตุการตายของโจวชิงเผิงหน่อย ส่วนเรื่องรายละเอียด เจ้าสามารถใช้แผ่นหยกสื่อเสียงถามนางได้” สวี่ชิงชี้ไปทางสวีเสี่ยวฮุ่ย

เจ้าใบ้พยักหน้าอย่างแรง หันหลังเดินจากไป ไม่ถามคำถามใดกับสวีเสี่ยวฮุ่ยเลย

ราวกับว่าเรื่องนี้ในมุมมองของเขา การที่ตนเองออกไปจัดการหลังจากที่ถามผู้อื่น จะแสดงถึงความไร้ศักยภาพของตนเอง

สวี่ชิงมองแผ่นหลังเจ้าใบ้ผาดหนึ่ง ไม่พูดอะไร ยืนรอเงียบๆ อยู่ตรงนั้น

ตอนนี้แสงสายัณห์ลาลับแล้ว แสงตะวันลาลับที่ขอบฟ้าถูกหมึกย้อมจนกลายเป็นดำสนิท แสงจันทร์บางเบาก็ยากที่จะทำให้แสงตะวันปรากฏขึ้นอีกครั้ง ค่ำคืนค่อยๆ คืบคลานมา

และท่าเรือที่สวี่ชิงอยู่ เป็นสถานที่ที่เขาเลือกโดยเฉพาะ ที่นี่ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนก็ล้วนเงียบสงบ ไม่มีใครเข้ามารบกวน

ขณะเดียวกันเจ้าใบ้ก็ไม่ปล่อยให้สวี่ชิงรอนาน ขั้นตอนทั้งหมดเพียงแค่เวลาสองชั่วก้านชั่วก้านธูป เจ้าใบ้ก็กลับมาคุกเข่าลงตรงนั้น ส่งแผ่นหยกชิ้นหนึ่งให้สวี่ชิงอย่างนอบน้อม

คำตอบที่สวีเสี่ยวฮุ่ยสืบหามาหลายเดือนและจ่ายออกไปชมหาศาลยังหาได้ยากเย็น สำหรับเจ้าใบ้แล้วใช้เวลาแค่สองชั่วก้านธูปเท่านั้น แน่นอนว่านี่ต้องเกี่ยวข้องกับกรมปราบพิฆาตด้วย

ขณะที่สวีเสี่ยวฮุ่ยกำลังตื่นเต้นนี้ สวี่ชิงก็รับแผ่นหยกมาตรวจสอบ

ด้านในตรวจสอบสาเหตุการตายของโจวชิงเผิงไว้ละเอียดยิบ สำหรับเรื่องเหล่านี้สวี่ชิงไม่สนใจ เขาแค่กวาดตาผ่านๆ และไปดูข้อมูลของคนร้าย

คนร้ายไม่ใช่ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ด

คนผู้นี้ชื่อว่าหลี่เจ๋อหลิน เป็นศิษย์ล่างเขาของยอดเขาลำดับหนึ่ง พลังบำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นเก้า ปกติเป็นคนมืดมน มีความอาฆาตพยาบาทรุนแรง

ในแผ่นหยกของเจ้าใบ้ยังทำเครื่องหมายว่ามีการตายของศิษย์ล่างภูเขายอดเขาอื่นอีกสิบเอ็ดคน ล้วนมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับคนผู้นี้

เพียงแต่ว่าคนผู้นี้ระวังตัวมาก ล้วนข้ามเขตแดนมาสังหาร และเป้าหมายที่เลือกทั้งหมดก็มักจะพอเหมาะพอเจาะมาก จึงไม่เกิดเรื่องยุ่งยากที่แก้ไขไม่ได้

ถึงอย่างไรในมุมมืดของเจ็ดเนตรโลหิตก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นบ่อยๆ ขอแค่ไม่ทำโจ่งแจ้งเกินไป ขอแค่ไม่มีผู้แข็งแกร่งไปตรวจสอบสอบสวน เช่นนั้นหน่วยงานต่างๆ ในเจ็ดเนตรโลหิตก็จะไม่มาสนใจ

อย่างเช่นเรื่องของโจวชิงเผิง หากเขากับสวี่ชิงไม่ได้มีไมตรีต่อกันครั้งหนึ่ง เช่นนั้นเรื่องนี้เมื่อเขาตายก็คือตายไปเลย

และการสืบสวนของเจ้าใบ้ก็ละเอียดมาก นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ยังสืบได้กระทั่งตำแหน่งปัจจุบันของหลี่เจ๋อหลินคนนี้อีกด้วย รวมไปถึงเส้นสายของเขาในช่วงนี้

“อู๋เจี้ยนอูยอดเขาลำดับหนึ่งรับมาเป็นผู้ติดตาม เวลานี้อู๋เจี้ยนอูตอบรับคำเชิญไปที่หอตระหนักฝัน ส่วนว่าใครเชิญไม่อาจตรวจสอบได้ แต่หลี่เจ๋อหลินคนนี้กำลังคุ้มกันอยู่ด้านนอกหอตระหนักฝัน”

สวี่ชิงพยักหน้า จัดการส่งแผ่นหยกไปให้สวีเสี่ยวฮุ่ยที่กำลังกังวลอยู่ข้างๆ

หลังจากสวีเสี่ยวฮุ่ยรีบร้อนรับไปดูอย่างละเอียด ลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตอนที่อ่านถึงช่วงท้ายสุดสีหน้านางก็ขาวซีด เงยหน้ามองสวี่ชิง สีหน้าแฝงความขมขื่นและสงสัย

“อาจารย์อาสวี่ เรื่องนี้…”

ตอนที่นางรู้ตัวคนร้ายจากเนื้อหาในแผ่นหยก ก็ได้รับรู้ด้วยว่าเบื้องหลังของคนร้ายคนนี้ยิ่งใหญ่มาก นางไม่แน่ใจว่าสวี่ชิงจะช่วยเหลือต่อไปหรือไม่

“ไปเถอะ” สวี่ชิงสีหน้าปกติ หลังจากเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบก็เดินตรงไปเบื้องหน้า เจ้าใบ้ก็นำทางอยู่ไม่ห่าง สวีเสี่ยวฮุ่ยมองแผ่นหลังของสวี่ชิงอย่างงุนงง สูดลมหายใจลึก สะกดความตื่นเต้นในใจ เดินตามอยู่ด้านหลัง

หอตระหนักฝัน เป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

ถือว่าเป็นหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่เลื่องชื่อที่สุดแห่งหนึ่งในเขตท่าเรือ พื้นที่กว้างขวาง ปกติมีคนเข้าๆ ออกๆ ไม่น้อย เมื่อเทียบกับโรงเตี๊ยมของกรมคุ้มกันสมุทรแล้ว หอตระหนักฝันมีระดับสูงกว่าเล็กน้อย

โดยเฉพาะที่นี่มีอาหารวิญญาณเป็นหลัก ปกติถ้ากินเยอะหน่อย ไม่เพียงแต่ทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังช่วยสลายไอพลังประหลาดอีกด้วย แม้จะเล็กน้อย แต่ถ้านานวันไปก็ถือว่าใช้ได้

ตอนนี้บนชั้นสองหอตระหนักฝัน มีคนสามคนกำลังนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวที่หรูหราห้องหนึ่ง

หากสวี่ชิงอยู่ที่นี่ ก็จะพบว่าเขาล้วนรู้จักสามคนนี้

คนหนึ่งคืออู๋เจี้ยนอูจากยอดเขาลำดับหนึ่ง คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอู๋เจี้ยนอูคือนายกองที่ใบหน้าซีดขาว นายกองเวลานี้ไม่พรางตัวแล้ว มองรวมๆ ทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ดี

อาการบาดเจ็บหายไปหมดแล้ว

คนสุดท้าย เป็นชายชราที่กำลังถอนหายใจ ชายชราคนนี้ก็คือเถ้าแก่โรงเตี๊ยมที่ถนนทองผุดนั่นเอง

และถ้าพูดให้ถูกก็คือ ที่นี่ไม่ได้มีแค่คนสามคน แต่ยังมีงูอีกตัวหนึ่ง

งูตัวนั้นตัวใหญ่มาก พันอยู่บนคานห้องส่วนตัว ห้อยลงมาครึ่งตัว กวัดแกว่งร่างโยกไปโยกมา เหมือนเล่นกับตัวเองแก้เบื่อ

บางครั้งก็แลบลิ้นใส่นายกอง หรือบางทีก็ส่งเสียงฟ่อๆ เหมือนกำลังถามอะไรอยู่

นายกองหรี่ตาเงยหน้า มองงูยักษ์

“หลิงเอ๋อร์ คิดถึงใครบางคนใช่หรือไม่”

“ฟ่อๆ!”

“เอาอย่างนี้ เจ้าเอาปราณหมอกไอพลังประหลาดที่เจ้าเก็บมาครั้งที่แล้วให้ข้าสิบขวด แล้วเดี๋ยวข้าจะเรียกเจ้าเด็กนั่นมาให้ ให้เขาอยู่กับเจ้าทั้งวันเลยเป็นอย่างไร ยุติธรรมสมเหตุสมผลอยู่นะ”

นายกองเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางไร้พิษสง

ดวงตางูยักษ์เปล่งประกายขึ้นทันที ชายชราโรงเตี๊ยมข้างๆ รีบร้อนห้ามปราม

“เฉินเอ้อหนิว เจ้าจะเกินไปแล้วนะ หลอกข้ายังพอทำเนา ไยตอนนี้แม้แต่เด็กน้อยยังหลอกเล่า!!”

อู๋เจี้ยนอูที่นั่งอยู่ข้างๆ มองนายกองเย็นชาผาดหนึ่ง หยิบเหยือกสุราจรดที่ปากดื่มลงไปอึกใหญ่ เอ่ยเสียงราบเรียบ

“หาเป็นผู้ใจละโมบยุติธรรมไม่ สักวันไซร้คงถูกตัดสะบั้น!”

นายกองกระพริบตาปริบๆ ล้วงผลผิงกั่วออกมาจากหน้าอก กัดลงไปอย่างเชื่องช้าคำหนึ่ง เผยสีหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้มให้กับอู๋เจี้ยนอู

“เสี่ยวเจี้ยนเจี้ยน แม้วันนี้เจ้าเพิ่งจะออกมาจากปิดด่าน ไม่รู้ว่าภายนอกเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น และไม่รู้ว่าข้าตอนนี้ร้ายกาจถึงเพียงใดแล้ว แต่ข้าก็ยังจะบอกเจ้านะ ถ้าข้าเป็นอาจารย์เจ้า ข้าจะซัดเจ้าจนกลับมาพูดภาษามนุษย์ให้ได้”

อู๋เจี้ยนอูเลิกคิ้ว

“เลิกคิ้วปลิ้นตาจ้องผิดแผก สายฟ้าอัสนีจะผ่าลงวีรบุรุษ!”

“เจ้าไม่ต้องมาพูดยกยอข้า ข้ารับปากอาจารย์เจ้าไว้แล้วว่าจะไม่อัดศิษย์ของเขาอีก วางใจเถอะข้าจะไม่อัดเจ้า” นายกองเอ่ยพลางยิ้มตาหยี

เมื่อชายชราโรงเตี๊ยมได้ยินก็ตบหน้าผาก มองนายกองกับอู๋เจี้ยนอูอย่างจนใจ

“เอาล่ะๆ วันนี้ที่ข้าเชิญพวกเจ้ามา คือมีเรื่องสามเรื่องที่ข้าต้องรีบพูดรีบไป เห็นพวกเจ้าแล้วรำคาญเสียจริง…” ชายชราโรงเตี๊ยมถอนหายใจ

“เรื่องแรก อู๋เจี้ยนอูสัญญาที่อาจารย์เจ้าติดค้างข้าใกล้จะครบกำหนดแล้ว แต่ช่วงนี้ข้าอยู่ในเจ็ดเนตรโลหิตไม่ได้ ดังนั้นก่อนที่ข้าจะไปต้องเสริมกำลังผนึกโรงเตี๊ยมนั่นให้แกร่งขึ้น เจ้าบอกอาจารย์เจ้ารีบส่งคนมารับช่วงต่อ ไม่เช่นนั้นเกิดเรื่องขึ้นจะก็ไม่เกี่ยวกับข้าแล้วนะ”

“เรื่องที่สอง เฉินเอ้อหนิว ผนึกของเจ้าข้ายังสามารถเสริมกำลังให้ได้อีกสามครั้ง หลังจากสามครั้งนี้ข้าก็ทำต่อไม่ได้แล้ว ดังนั้นเจ้าต้องรีบหาวิธีอื่นมาสะกด ความเป็นเทพยิ่งแกร่งยิ่งดี ไม่เช่นนั้น…ถ้ามันคืนชีพขึ้นมา เจ้าก็จะไม่ใช่ตัวเจ้าอีก” ชายชราเหลือบมองนายกองอย่างล้ำลึก

นายกองท่าทางปกติ ยังคงยิ้มตาหยีราวกับไม่ใส่ใจ

แต่ถ้าสวี่ชิงอยู่ที่นี่ ด้วยความคุ้นเคยกับนายกอง คงมองออกว่าหลังจากที่นายกองได้ยินคำพูดของชายชราแล้ว ผิงกั่วก็คลึงหมุนอยู่ในมือ ไม่ได้กัดกิน

“เรื่องที่สาม ก็คือเรื่องที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ ข้าจะออกไประยะหนึ่ง หลิงเอ๋อร์จะสร้างฐานแล้ว นางค่อนข้างพิเศษ ข้าต้องพานางไปแดนบรรพชนรอบหนึ่ง เกรงว่าต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้กลับมา”

“ฟ่อๆ ฟู่!” งูยักษ์ไม่แกว่งลำตัวแล้ว รีบร้อนเอ่ยปากกับชายชรา

ชายชราถลึงตาใส่

“ยังจะคิดถึงเจ้าเด็กสกุลสวี่นั่นอีก เจ้าไม่กลัวเขากินเจ้าหรือไรกัน”

“ฟ่อ!!” งูยักษ์ถลึงตาใส่เช่นกัน ไม่ยอมถอย

เมื่อชายชราเห็นงูยักษ์เป็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจยาวออกมาทีหนึ่ง รอยย่นบนหน้าก็เหมือนจะเพิ่มมากขึ้นแล้ว

“ข้าว่าเจ้าเด็กสวี่ชิงนั่นก็ไม่เลวนะ ดูเหมาะกับหลิงเอ๋อร์มากเลย” นายกองกระแอมไอ ทำท่าให้กำลังใจหลิงเอ๋อร์

หลิงเอ๋อร์ก็ดูดีอกดีใจทันที แกว่งตัวไปมาอย่างรวดเร็ว กระทั่งยังคายขวดเล็กที่ใส่ปราณหมอกไอพลังประหลาดจนเต็มใบหนึ่งให้นายกองที่พูดจาเข้าหู

นายกองรับมาแล้วใส่เข้าไปในอก ใบหน้าฉีกยิ้มกว้าง

“เหมาะกันมาก ยิ่งไปกว่านั้นอันที่จริงข้ายังรู้สึกว่าสวี่ชิงสามารถมาเป็นสนมชายให้กับหลิงเอ๋อร์ของพวกเราได้ด้วย”

“ฟ่อ?” หลิงเอ๋อร์อยากรู้อยากเห็น เหมือนกำลังถามว่าสนมชายคืออะไร

นายกองกำลังจะอธิบาย อู๋เจี้ยนอูที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินพวกเขาพูดถึงชื่อสวี่ชิงก็ตาขวาง ดีดกายขึ้นมาฉับพลันจากท่าทางขี้เกียจเหนียงยานก่อนหน้า สีหน้าเคร่งขรึม

“โฉมหน้าแท้จริงแห่งใต้หล้าคือผู้ใด เมื่อมองย้อนไปคือผู้เดียวกัน?”

นายกองกับชายชรามองหน้ากันและกัน

“ไม่รู้เรื่อง”

“ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร”

พอเห็นเช่นนี้ อู๋เจี้ยนอูก็ร้อนรนขึ้นมา ลมหายใจหอบถี่ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“สวี่ชิงที่เจ้าพูดถึงคือสวี่ชิงจากยอดเขาลำดับเจ็ดที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะเข้าสู่ระดับสร้างฐานคนนั้นหรือ คนที่หน้าตาเย้ายวนมากคนนั้นน่ะนะ ใช่คนเดียวกันหรือไม่” อู๋เจี้ยนอูรีบร้อนเอ่ยขึ้น

“ใช่ สวี่ชิงเป็นรองกรมของข้า เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือ” หน้านายกองยิ้มเหมือนไม่ยิ้มอีกครั้ง

“ไม่รู้จักการมาแต่ปางบรรพกาล ฟ้า…” อู๋เจี้ยนอูแค่นเสียง กำลังจะพูดต่อ นายกองก็เอ่ยขึ้นมาแผ่วเบา

“ไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร เขาก็กลับมาแล้ว ข้าเรียกเขามาเจอเจ้าที่นี่หน่อยแล้วกัน หรือจะให้ข้าพาเจ้าไปหาเขาทำความรู้จักกันสักหน่อย”

อู๋เจี้ยนอูถลึงตาโต สูดลมหายใจลึก ลุกขึ้นยืน

“ข้ามีภาระใหญ่จะไปได้เช่นไร วันหลังมีวาสนาค่อยพานพบ”

พูดจบ เขาก็หันหลังจะจากไป แต่พริบตาที่เขาหันหลัง จู่ๆ แรงกดดันที่น่าตกตะลึงวูบหนึ่งก็ระเบิดครืนครันมาจากถนนนอกห้องส่วนตัว

คลื่นพลังที่แผ่มาฉับพลันนี้ ทำให้อู๋เจี้ยนอูหน้าเปลี่ยนสี หลิงเอ๋อร์ตาเป็นประกาย ใช้หัวดันหน้าต่างแล้วมองออกไปด้านนอก

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง… รายละเอียด กำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท